บทที่ 1
เซียวจวิ้นนั่งอยู่ในห้องโถง เห็นหงจูเดินนำหมอจางเข้ามาจึงรีบสั่งให้หาที่นั่งแล้วยกน้ำชา จัดการทุกอย่างเรียบร้อยก็ให้หงจูกับคนอื่นๆ ออกไป ก่อนจะเอ่ยปากถาม “ท่านหมอ ร่างกายของฮูหยินเป็นอย่างไรบ้าง เป็นอะไรมากหรือไม่”
หมอจางฟังแล้วพลันคิดถึงใบหน้าซีดขาวของหลี่เมิ่งซีที่ดูเหมือนลมพัดมาวูบหนึ่งก็ล้มลงได้ แม้มิได้ป่วยหนักอะไร แต่ร่างกายกลับพร่องไปหมดแล้ว หากยังไม่ฟื้นฟูบำรุงร่างกายให้ดี เกรงว่าคงมีอายุไม่ยืนยาวเป็นแน่ น่าเสียดายรูปโฉมงดงามปานบุปผาจันทรานั้น คิดเช่นนี้แล้วก็อดส่ายหน้าไม่ได้
เซียวจวิ้นเห็นแล้ว หัวใจพลันจมดิ่ง
เนิ่นนานหมอจางจึงเอ่ยว่า “ข้าตรวจพบว่าร่างกายของฮูหยินอ่อนแอมาก หากคิดจะฟื้นฟูบำรุงหาใช่กระทำได้ภายในชั่วเวลาสั้นๆ จำต้องบำรุงร่างกายในระยะยาว อีกทั้งไม่ควรทำให้ฮูหยินต้องเหนื่อยกายเหนื่อยใจ”
เซียวจวิ้นฟังแล้วก็คิดถึงตอนที่พวกเขาเพิ่งแต่งงานได้ไม่นาน ครั้งหนึ่งหลี่เมิ่งซีเป็นลมไป ตอนนั้นหมอก็พูดเช่นนี้เหมือนกัน คิดไม่ถึงว่าผ่านมานานถึงเพียงนี้แล้วยังคงเป็นเหมือนเดิม ย้อนคิดดูอีกทีก็ใช่ ตั้งแต่หลี่เมิ่งซีแต่งเข้ามาต้องคอยปรนนิบัติพ่อแม่ย่าของสามีทุกเช้าเย็น ไหนเลยจะมีเวลาฟื้นฟูบำรุงร่างกาย ในใจอดบังเกิดความละอายไม่ได้ เขาก้มหน้าครุ่นคิดอยู่นาน ในที่สุดก็เหมือนจะตัดสินใจครั้งใหญ่ได้ เซียวจวิ้นเงยหน้ามองหมอแล้วพูด “ไม่ขอปิดบังท่านหมอ สกุลสูงศักดิ์อย่างพวกเรา เดิมทีกฎธรรมเนียมมีมากอยู่แล้ว ฮูหยินเองก็เพิ่งแต่งเข้ามาเมื่อต้นปี ยิ่งมิอาจผิดพลาดได้แม้แต่น้อย คิดจะฟื้นฟูบำรุงร่างกายอย่างที่ท่านหมอว่าเป็นไปได้ยากนัก ท่านหมอมีวิธีดีอื่นๆ ที่สามารถบำรุงร่างกายฮูหยินให้ฟื้นฟูโดยเร็วได้หรือไม่”
หมอจางฟังแล้วส่ายหน้า “ภาษิตว่ายามป่วยไข้ดุจขุนเขาถล่ม ยามหายดีประหนึ่งสาวเส้นไหม คิดว่าในอดีตฮูหยินน่าจะเคยป่วยหนัก ตอนนั้นแม้จะรักษาจนหายดีแล้ว แต่ไม่ได้ฟื้นฟูบำรุงร่างกายให้ดี กระทั่งโรคถูกสะสมไว้เป็นเวลานาน อาการป่วยเกิดจากจิตใจ โรคของฮูหยินเองก็เกี่ยวข้องกับความกลัดกลุ้มในใจ คุณชายรองสามารถพาฮูหยินออกไปเที่ยวเล่นผ่อนคลายจิตใจได้ เมื่อจิตใจเบิกบานแล้ว โรคย่อมหายไปได้แปดเก้าส่วน ข้าจะเขียนใบสั่งยาให้ก่อน แล้วให้ฮูหยินกินยาตามใบสั่งนี้ระยะยาว ค่อยๆ ฟื้นฟูร่างกาย”
เซียวจวิ้นได้ยินคำว่าใบสั่งยา เขาจึงนึกขึ้นได้ว่าหลี่เมิ่งซีกลัวขม นางไม่เคยยอมดื่มยาเลย ครั้งก่อนที่บังคับให้นางดื่มยาบำรุงไปหนึ่งร้อยชาม ทำเอานางเห็นเขาเป็นศัตรูคู่แค้น โดยเฉพาะสาวใช้รุ่นใหญ่ของนางที่ชื่อจือชิว ยามที่เห็นเขาแล้วก็จะทำหน้าตาบึ้งตึงเย็นชาเสมอ แต่ละวันทำตัวมิต่างจากแม่ไก่คอยปกป้องหลี่เมิ่งซี ราวกับกลัวว่าเขาจะกินนางอย่างไรอย่างนั้น
ยามเผชิญหน้ากับพวกนางนายบ่าว เขาไม่มีความกล้าที่จะบังคับให้หลี่เมิ่งซีดื่มยาอีกแล้ว อีกทั้งยานี้มิใช่ต้องดื่มเพียงชั่วครู่ชั่วคราวเท่านั้น แต่ต้องดื่มในระยะยาว
คิดถึงตรงนี้แล้วก็อดถอนหายใจไม่ได้ เขายิ้มขื่นพลางส่ายหน้า พูดกับหมออย่างจนใจ “ไม่ปิดบังท่านหมอ ฮูหยินกลัวยาขมเป็นที่สุด ถ้าขมฮูหยินก็จะไม่ดื่ม ท่านหมอช่วยสั่งยาที่ไม่ขมและสามารถรักษาโรคได้ด้วยได้หรือไม่”
หมอจางฟังคำพูดนี้แล้วใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มจนใจ เขาตอบว่า “คุณชายรองน่าจะรู้หลักการที่ว่ายาดีขมปากเป็นประโยชน์ต่อการรักษาโรค ข้ามีชีวิตอยู่มาปูนนี้แล้ว ยังไม่เคยได้ยินจริงๆ ว่ามียาที่ไหนที่ไม่ขมและสามารถรักษาโรคได้”
เซียวจวิ้นถูกหมอล้อเลียนจนใบหน้าเป็นสีแดงอ่อนๆ นั่งเงียบครู่ใหญ่ สุดท้ายจึงเงยหน้ามองหมอและพูดอย่างจริงใจ “รบกวนท่านหมอแล้ว ช่วยคิดหาวิธีหน่อยได้หรือไม่ ฮูหยินข้ากลัวขมจริงๆ”
หมอจางฟังแล้วก็เงยหน้ามองเซียวจวิ้นพลางลอบคิดในใจ คิดไม่ถึงว่าคุณชายรองสกุลเซียวผู้มีฉายาพญายมหน้าเย็นจะดีต่อฮูหยินถึงเพียงนี้ เห็นทีข่าวลือตามท้องถนนจะเชื่อถือทั้งหมดมิได้ ด้วยเห็นว่าเซียวจวิ้นมีความจริงใจ หลังจากขบคิดอยู่นาน จู่ๆ หมอจางก็ตบหน้าผากแล้วเอ่ยว่า “พอคุณชายรองพูดขึ้นมา ข้าก็นึกออก หลายเดือนก่อนทางทิศตะวันตกของเมืองผิงหยางมีร้านยาเปิดใหม่ ชื่อว่าร้านยาอี๋ชุน เจ้าของแซ่หลี่ เป็นคนหนุ่มที่ยังอ่อนเยาว์ ยาที่เขาปรุงมีสรรพคุณล้ำเลิศ เป็นหนึ่งไม่มีสองในใต้หล้า ในจำนวนนั้นมียาลูกกลอนบำรุงเลือดลมที่ชื่อว่าลูกกลอนหยั่งเซิง เหมาะกับฮูหยินของท่านมาก คุณชายรองสามารถซื้อมาลองดูได้ หากเป็นเมื่อครึ่งปีก่อน ข้าเองก็จนปัญญาจริงๆ”
“พอท่านหมอเอ่ยถึง ข้าก็นึกขึ้นได้เช่นกัน เจ้าของร้านยาอี๋ชุนแห่งนี้ได้ชื่อว่าเซียนปรุงยา ยาสมานแผลและยาถอนพิษที่เขาปรุงต่อให้มีทองพันชั่งยังหาซื้อไม่ได้ ได้ยินว่าโอสถคืนชีพของเขาสามารถต่อชีวิตให้คนใกล้ตายได้ คิดว่ายาทั่วไปที่เขาปรุงก็คงจะดีที่สุดเช่นกัน ข้าจะทำตามที่ท่านหมอบอก ได้ยินว่าคุณชายหลี่ผู้นี้เป็นน้องชายบุญธรรมของรัชทายาท หากยานี้ใช้ไม่ได้ผล ข้าจะไปขอร้องรัชทายาท ให้เขาช่วยขอให้คุณชายหลี่ปรุงยาดีให้ฮูหยินข้าโดยเฉพาะ”
เซียวจวิ้นฟังคำพูดของหมอจางแล้วความกลัดกลุ้มในใจพลันหายเป็นปลิดทิ้ง เขาผงกศีรษะรับคำติดๆ กัน ขอบคุณและตกรางวัลให้อย่างงาม ก่อนจะส่งหมอจางออกไป
กลับเข้ามาในห้องด้านใน เขาก้าวไปที่หน้าต่างโดยไม่รู้ตัว จับจ้องหน้าต่างเรือนปีกตะวันออกแล้วก็คิดถึงคำพูดของหมอที่ว่าให้พาหลี่เมิ่งซีออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกบ่อยๆ ซีเอ๋อร์ไม่ชอบคฤหาสน์สกุลเซียว เขารู้สึกได้ ควรพานางออกไปสูดอากาศข้างนอกตั้งนานแล้ว
คิดเช่นนี้เซียวจวิ้นจึงอดนึกถึงจางซิ่วกับมารดาไม่ได้ พวกนางคอยจับตาดูเรือนเซียวเซียงอยู่ตลอดเวลา หลายวันมานี้มารดาบอกให้เขาหย่าภรรยามิใช่แค่ครั้งเดียว ทว่าเขาล้วนบ่ายเบี่ยงไปโดยอ้างว่ากำลังยุ่งอยู่กับงานใหญ่ของสกุล ไม่มีเวลาใส่ใจเรื่องภายในเรือน หากพาหลี่เมิ่งซีออกไปเที่ยวเล่นในช่วงเวลานี้ มารดาจะละเว้นนางหรือ คิดถึงเรื่องที่มารดารังแกซีเอ๋อร์ลับหลังตนเองแล้ว เซียวจวิ้นก็ไม่อาจเฝ้าอยู่ที่คฤหาสน์เพื่อช่วยเหลือนางได้ทุกวัน หัวคิ้วจึงอดไม่ได้ที่จะขมวดมุ่นเป็นปม
ญาติผู้น้องคนนี้ช่างน่ารังเกียจจริงๆ หากไม่มีนางสักคน มารดาคงไม่เป็นศัตรูกับซีเอ๋อร์ถึงเพียงนี้กระมัง ควรคิดหาหนทางส่งนางออกจากคฤหาสน์ไปเสียดีกว่า
กล่าวถึงจางซิ่ว ยามนี้นางกำลังนั่งอยู่ในเรือนอย่างเรียบร้อย ปักปลอกหมอนลายนกยวนยาง ยามนี้เหล่าไท่จวินสร้างความมั่นใจให้กับนางแล้ว จางซิ่วรู้ว่าอีกไม่นานตนเองก็จะได้สวมชุดเจ้าสาว
หลายวันนี้นางไม่อาละวาดเหมือนแต่ก่อนอีก ทำตัวเป็นกุลสตรีสกุลใหญ่อย่างแท้จริง และกำลังจัดเตรียมสินเจ้าสาว รอแค่ให้หลี่เมิ่งซีถูกหย่า นางก็สามารถกลับจวนไปรอออกเรือนได้เลย
นางไม่ได้ไปก่อเรื่องที่เรือนปีกตะวันออกอีก แม้แต่เมื่อคืนที่เป่าจูมารายงานอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่าคุณชายรองปฏิเสธคำเชิญของท่านน้า นางยังไม่โมโหอาละวาดเฉกเช่นทุกครั้ง นางกลับปลอบโยนท่านน้าอย่างอ่อนโยนใจกว้างว่า…อย่าโกรธเลย ช่วงนี้พี่ชายยุ่งมากจริงๆ ร่างกายก็ซูบผอมลงไปมาก เห็นแล้วชวนให้ปวดใจ ท่านน้าอย่าได้ตำหนิพี่ชายอีกเลย
นายหญิงใหญ่ฟังคำพูดของจางซิ่วแล้วก็ชมไม่หยุดว่าจางซิ่วรู้กาลเทศะ คิดถึงบุตรชายของตนที่หลายวันนี้ผ่ายผอมลงมากจริงๆ ยากนักที่จางซิ่วจะเข้าอกเข้าใจเช่นนี้ ไหนเลยจะเหมือนลูกสะใภ้ผู้นั้น เย็นชามิต่างจากก้อนน้ำแข็ง ไม่ห่วงใยลูกชายตนแม้แต่น้อย ยิ่งมองว่าที่ลูกสะใภ้คนนี้แล้วก็ยิ่งพึงใจ ความไม่สบอารมณ์ตอนได้ยินเป่าจูมารายงานพลันหายไปสิ้น ยิ้มจนดวงตาหรี่ลงเป็นเส้นตรง
จางซิ่วกำลังคิดอะไรในใจ ปิงซินก็เดินเข้ามาอย่างร้อนใจพลางรายงานว่า “คุณหนู คุณหนู แย่แล้วเจ้าค่ะ!”
จางซิ่วเงยหน้าขึ้นช้าๆ ก่อนจะพูดเสียงค่อย “ลนลานอะไรกัน ไม่มีมารยาทแม้แต่น้อย คนอื่นเห็นเข้าจะคิดว่าปกติข้าไม่ได้อบรมสั่งสอนพวกเจ้าให้ดี!”
“บ่าวผิดไปแล้วเจ้าค่ะ คุณหนู เมื่อครู่บ่าวได้ยินมาว่าตอนเช้าคุณชายรองเชิญหมอมาตรวจโรคให้สะใภ้รอง ได้ยินว่าเป็นท่านหมอที่ตรวจโรคให้คุณชายรองเป็นประจำ หากไม่นับหมอในสำนักแพทย์หลวง นั่นนับเป็นหมอที่ดีที่สุดในเมืองผิงหยางแล้ว คุณหนู บ่าวเกรงว่าคุณชายรองจะเปลี่ยนใจไปแล้ว บ่าวถึงได้ตื่นตกใจ คุณหนูโปรดอภัยด้วยเจ้าค่ะ!”
จางซิ่วสูดหายใจดังเฮือก มือสั่นจนนิ้วกลางถูกเข็มปักผ้าแทงเข้า นางรีบยกมือขึ้นและนิ่วหน้ามอง
ปิงซินเห็นดังนั้นจึงรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา ก้าวขึ้นไปช่วยเช็ดแล้วบีบเลือดออกมา นางจ้องมองคุณหนูก่อนจะพูดอย่างเป็นกังวล “คุณหนู ท่านรีบหาหนทางขอร้องเหล่าไท่จวินกับนายหญิงใหญ่ให้รีบหย่าสะใภ้รองเถอะเจ้าค่ะ บ่าวถึงจะสบายใจ หาไม่แล้วราตรียาวนานความฝันยาวไกล จะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นได้นะเจ้าคะ”
จางซิ่วพูดอย่างเหม่อลอย “หนทางที่คิดออกก็ล้วนคิดไปหมดแล้ว ท่านน้าพูดกับพี่ชายหลายครั้งแล้ว แต่พี่ชายยุ่งกับการใหญ่อยู่ ไหนเลยจะใส่ใจเรื่องพวกนี้ เอาเรื่องเช่นนี้ไปกวนใจเขาในเวลานี้ พี่ชายจะต้องคิดว่าข้าเป็นหญิงไม่รู้ความแน่ แค่นี้ก็ยังรอไม่ได้ เวลานี้ข้าควรยืนอยู่ข้างหลังเขาและคอยสนับสนุนเขาเงียบๆ ดีกว่า จะไปเพิ่มความยุ่งยากใจให้เขาได้อย่างไร”
“ที่คุณหนูพูดมาก็ถูก ถึงอย่างไรเหล่าไท่จวินก็แสดงเจตนาแล้ว รอมาหลายปีเพียงนี้ รออีกแค่ไม่กี่วันจะเป็นไรไป ใช่แล้ว คุณหนู บ่าวยังได้ยินว่าวันนี้ตอนเช้าหลังจากหมอตรวจชีพจรเสร็จ สนทนากับคุณชายรองลับๆ อยู่พักใหญ่ แต่กลับมิได้เขียนใบสั่งยา แม้แต่หงจูยังแปลกใจ นางพาหมอไปตรวจโรคที่เรือนปีกตะวันออกด้วยตนเอง ใบหน้าของสะใภ้รองขาวซีดเหมือนผี ครั้งก่อนแค่เป็นลมยังสั่งยาให้ ครั้งนี้กลับไม่ได้สั่งยาเลย”
จางซิ่วฟังคำพูดนี้แล้วพลันหัวเราะออกมา นางพูดกับปิงซิน “ข้าว่าแล้วเชียว พี่ชายไม่มีทางเชิญหมอให้พี่สะใภ้ด้วยความเป็นห่วงหรอก อีกหน่อยเจอเรื่องแบบนี้อีก อย่าได้ทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูม” พูดจบก็ก้มหน้าปักนกยวนยางต่อ นางต้องเร่งมือหน่อย ใกล้จะได้เป็นเจ้าสาวแล้ว ถึงเวลาจะขาดสิ่งนั้นสิ่งนี้ไม่ได้ ต้องจัดเตรียมอย่างละเอียดรอบคอบ
“เหตุใดคุณหนูจึงพูดเช่นนี้เล่าเจ้าคะ คุณชายรองเชิญหมอที่ดีที่สุดมาจริงๆ นะเจ้าคะ!”
จางซิ่วมองปิงซินราวกับมองคนปัญญาอ่อน ตอนนี้นางอารมณ์ดีมากจึงไม่ถือสาสาวใช้โง่งมผู้นี้ ดังนั้นจึงอธิบายให้ฟังอย่างละเอียด “ตั้งแต่พี่สะใภ้กระอักเลือดก็ไม่ได้ไปคารวะผู้ใหญ่ที่เรือนโซ่วสี่อีก ผ่านมาหลายวันแล้ว เว้นเสียแต่จะลุกไม่ขึ้น หาไม่แล้วจะไม่ไปคารวะได้อย่างไร เมื่อคืนเหล่าไท่จวินต้องบ่นพี่ชายแน่ พี่ชายถึงได้เชิญหมอมาตรวจดูให้แน่ใจว่าพี่สะใภ้ป่วยจนมิอาจไปคารวะได้จริง หากมิใช่ ย่อมสามารถหย่าพี่สะใภ้ด้วยเหตุผลไม่เคารพบิดามารดา หากใช่ พี่ชายก็ยังสามารถหย่าพี่สะใภ้ด้วยเหตุผลว่าเป็นโรคร้ายได้ เห็นทีในที่สุดพี่ชายก็มีเวลาคิดถึงเรื่องของเราเสียที”
“คุณหนูพูดมาก็ถูกเจ้าค่ะ เพียงแต่ที่สะใภ้รองไม่ไปคารวะเพราะได้รับอนุญาตจากเหล่าไท่จวิน บ่าวได้ยินมาว่าโรคร้ายที่ทำให้หย่าภรรยาได้นั้นหมายถึง ‘มิอาจร่วมเซ่นไหว้บรรพบุรุษ’ ดูเหมือนว่าโรคของสะใภ้รองจะยังไม่ร้ายแรงถึงเพียงนั้น เกรงว่า เกรงว่า…”
“เจ้านี่นะ กังวลเรื่องไม่เป็นเรื่อง ไม่เคยได้ยินความผิดจากการ ‘ถูกใส่ร้าย’ หรือ หลายวันมานี้เจ้ายังดูไม่ออกอีกหรือ เหล่าไท่จวิน นายท่านใหญ่ จนถึงท่านน้าต่างก็ยอมรับเรื่องนี้อย่างเงียบๆ แล้ว ขาดแค่ข้ออ้างก็เท่านั้น ทางบ้านบิดามารดาของพี่สะใภ้ก็ไม่มีอำนาจอะไรอยู่แล้ว ต่อให้คิดจะต่อสู้ก็ไม่อาจก่อคลื่นลูกใหญ่อะไรได้ ถึงเวลาจำเป็นพวกเราค่อยผลักดันอีกที จะปล่อยให้พี่ชายแบกรับคำตำหนิคนเดียวไม่ได้”
“จริงด้วย! เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่แน่สะใภ้รองอาจถูกหย่าภายในสองสามวันนี้ก็ได้ ในที่สุดพวกเราก็รอจนมาถึงวันนี้!” ปิงซินพูดอย่างหน้าชื่นตาบาน พอคุณหนูชี้แนะนางก็รู้สึกว่ามีเหตุผล ได้ยินสายที่พวกนางวางไว้ในเรือนเซียวเซียงบอกว่าหลังงานวันเกิดของเหล่าไท่จวิน ยามที่คุณชายรองเห็นสะใภ้รองยังเดินเลี่ยงไปทางอื่นเสียด้วยซ้ำ คาดว่าคงรังเกียจสะใภ้รองอย่างถึงที่สุดแล้ว
เมื่อคืนคุณชายรองรีบร้อนเข้าไปในเรือนปีกตะวันออก คงต้องการคาดคั้นสะใภ้รองว่าป่วยเป็นอะไรถึงไม่ไปคารวะผู้ใหญ่ ภายหลังคิดว่าทำให้เรื่องนี้ชัดเจนแน่นอนย่อมดีกว่า เขาจึงได้เชิญหมอมาตรวจดู จะต้องเป็นเช่นที่คุณหนูพูดแน่ๆ
คุณหนูของนางฉลาดปราดเปรื่องจริงๆ สมแล้วที่เป็นเพื่อนเล่นกับคุณชายรองมาตั้งแต่เล็ก ความคิดจิตใจถึงได้ตรงกัน ปิงซินคิดพลางมองคุณหนูของตนด้วยสีหน้าเลื่อมใส
จางซิ่วเห็นสายตานับถือของปิงซินที่มองมาแล้ว หัวใจจึงเบิกบานยิ่งนัก ราวกับมองเห็นตนเองในชุดเจ้าสาวกุมมือสบตากับเซียวจวิ้นที่สวมชุดเจ้าบ่าวสีแดงอยู่ในห้องหอ เซียวจวิ้นจ้องมองนางเงียบๆ ด้วยความรักลึกซึ้ง ดวงหน้าเล็กจิ้มลิ้มแดงเรื่อเพราะความเขินอาย หัวใจดวงน้อยเต้นตึกตัก เมื่อพูดถึงเซียวจวิ้นแล้ว จางซิ่วก็จมจ่อมอยู่ในจินตนาการ สองแก้มขึ้นสีแดงเรื่อ
“คุณหนู…” ปิงซินหมุนตัวจะจากไปพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เห็นคุณหนูจมอยู่ในภวังค์ความคิด จึงร้องเรียกเสียงค่อย
จางซิ่วดึงสติกลับมา เห็นปิงซินมองตนจึงกระแอมเบาๆ แล้วถามเสียงเรียบ “มีอะไรอีกหรือ”
“บ่าว…บ่าวคิดไปคิดมาแล้วยังคงรู้สึกไม่สบายใจ ได้ยินว่าหน้าของสะใภ้รองซีดขาวมิต่างจากผี ดูเหมือนนางจะป่วยจริงๆ แล้วไฉนหมอจึงไม่เขียนใบสั่งยาเล่าเจ้าคะ”
จางซิ่วฟังแล้วขมวดคิ้วเช่นกัน แต่แล้วก็ตอบทันที “เรื่องแค่นี้ก็ไม่เข้าใจหรือ หมอไม่สั่งยามีความเป็นไปได้เพียงสองอย่างเท่านั้น หนึ่งคือป่วยหนักมาก พี่ชายคิดว่าไม่มีความจำเป็นต้องสั่งยา ปล่อยให้โรคของพี่สะใภ้เป็นไปตามยถากรรม สองคือป่วยไม่หนักหนาอะไร เพื่อแสดงให้เห็นว่าพี่สะใภ้ไม่ได้ป่วย พี่ชายจึงไม่ได้ให้หมอสั่งยา ถึงอย่างไรคนก็ไม่ตายอยู่แล้ว เห็นได้ว่าเพื่อข้าแล้ว พี่ชายนับว่าพยายามมากจริงๆ”
ปิงซินฟังแล้วก็สงสัยในใจ ทว่ายังคงผงกศีรษะรับคำ “คุณหนูพูดถูกเจ้าค่ะ ตอนสะใภ้รองกระอักเลือด นายหญิงใหญ่บอกหมอเป็นนัยว่าห้ามสั่งยาดี ให้สั่งยาแค่เป็นพิธีก็พอ ปล่อยให้โรคของสะใภ้รองเป็นไปตามยถากรรม ไม่แน่สองวันนี้สะใภ้รองอาจจะป่วยหนักขึ้น”
“ถึงอย่างไรครั้งนี้พี่สะใภ้ก็หนีไม่รอดแน่ พี่ชายมีความจริงใจต่อข้าเช่นนี้ ข้าย่อมมิอาจทำให้เขาผิดหวัง สองวันนี้พวกเราอย่าก่อเรื่องให้พี่ชายอีกเลย ค่อยๆ รอไปดีกว่า เจ้าเองก็ไปที่เรือนนั้นให้น้อยลงหน่อย ให้คนคอยจับตาดูไว้ก็พอ ยิ่งใกล้ถึงช่วงเวลาสำคัญก็ยิ่งต้องสุขุม เข้าใจหรือไม่”
“เจ้าค่ะคุณหนู บ่าวทราบแล้ว” ปิงซินฟังคำพูดของคุณหนูที่ไม่รู้ว่าปลอบใจตนเองหรือสั่งสอนนางกันแน่แล้วก็รีบผงกศีรษะรับคำ ขอเพียงเป็นคำสั่งคุณหนู รับคำไว้ย่อมไม่ผิดพลาดแน่
จางซิ่วกับปิงซินต่างก็วาดฝันถึงอนาคตอันงดงามอย่างสุขใจ ทว่าทั้งสองกลับลืมนึกถึงเรื่องหนึ่งไป หากเซียวจวิ้นทำเรื่องโหดร้ายเช่นนี้ได้จริง เขายังจะเป็นคนดีที่นางสามารถฝากชีวิตทั้งชีวิตไว้ได้อีกหรือ
รถม้าคันหนึ่งมุ่งหน้าไปยังวัดจิ้งอวิ๋นอย่างไม่เร็วไม่ช้า ภายในรถเป็นหลี่เมิ่งซี จือชิว จือชุนสามนายบ่าว จือชิวแอบเลิกม่านโปร่งตรงหน้าต่างรถ หลี่เมิ่งซีมองตามมือนางออกไปข้างนอก เห็นว่าข้างนอกเต็มไปด้วยรถราและผู้คน ดูคึกคักทีเดียว ไม่เหมือนกับวัดเก่าแก่อันแสนเงียบเหงาที่ตั้งอยู่บนเขาอย่างโดดเดี่ยวเฉกเช่นที่นางจินตนาการไว้ เห็นได้ชัดว่าที่นี่เป็นเหมือนตลาด ราวกับนางได้ย้อนกลับไปยังสถานที่ท่องเที่ยวในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด สมัยโบราณมีสถานที่ครึกครื้นเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ
มองผู้มาสักการะและพ่อค้าหาบเร่ที่เดินไปมาไม่ขาดสาย ฟังเสียงตะโกนดังค่อยสลับกันไปแล้ว หลี่เมิ่งซีจึงพึมพำ “คิดไม่ถึงว่าวัดจิ้งอวิ๋นจะครึกครื้นเช่นนี้”
“สะใภ้รองไม่รู้อะไร วัดจิ้งอวิ๋นแห่งนี้ไม่เหมือนกับวัดอื่นๆ หรอกนะเจ้าคะ เพราะเป็นวัดใหญ่อันดับหนึ่งของแคว้นฉี เจ้าอาวาสหมัวเต๋อของที่นี่เป็นภิกษุชั้นสูงที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางโลก มีฉายาทางธรรมว่าจิ้งอวิ๋น ว่ากันว่าคนผู้นี้บำเพ็ญตบะมานับร้อยปี อาคมสูงส่ง ช่วยมวลมนุษย์ขจัดภัยอำนวยสุข ศักดิ์สิทธิ์มากเจ้าค่ะ”
“ศักดิ์สิทธิ์มาก?!”
“สะใภ้รองอย่าได้ไม่เชื่อถือเป็นอันขาด ได้ยินว่าฮ่องเต้จิ่นตี้มาสักการะที่นี่ทุกปี พวกสกุลสูงศักดิ์และชนชั้นสูงทั้งหลายยิ่งไม่ต้องพูดถึง สี่ฤดูของที่นี่ล้วนมีผู้คนมากราบไหว้บูชาเนืองแน่น ยังมีผู้ที่เดินทางมาจากแดนไกล นานวันเข้าที่นี่จึงค่อยๆ กลายเป็นเขตการค้าที่ใหญ่เป็นอันดับสองของเมืองผิงหยาง ทั้งยังเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของเมืองผิงหยาง ภาพเช่นนี้หาชมในวัดอื่นไม่ได้หรอกนะเจ้าคะ สะใภ้รอง บ่าวยังได้ยินมาว่าเจ้าอาวาสหมัวเต๋อผู้นี้มีนิสัยประหลาดอย่างหนึ่ง จะพบแต่ผู้ที่มีวาสนากับตนเท่านั้น หากเขาคิดว่าไร้วาสนา ต่อให้เจ้าบริจาคเงินทองกองสูงเป็นภูเขาก็ไม่มีโอกาสได้พบ ที่แปลกยิ่งกว่าก็คือ ยิ่งเขาเป็นเช่นนี้ คนที่มาขอพบเขาโดยไม่เสียดายเงินทองกลับยิ่งมีมากขึ้น”
หลี่เมิ่งซีมองค้อนจือชิวแวบหนึ่ง แปลกอะไรกัน เห็นชัดว่าเป็นเพราะ… ‘ต่ำช้า’! หลี่เมิ่งซีที่มาจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดไม่เคยเชื่อเรื่องผีสางเทวดา นางจึงรู้สึกไม่นับถือจิ้งอวิ๋นต้าซือที่ถูกเล่าลือไปอย่างอัศจรรย์ผู้นี้อย่างยิ่ง
จือชุนกับจือชิวไม่สนใจสายตาค้อนควักของสะใภ้รอง ยากนักกว่าจะได้ออกจากคฤหาสน์ ใบหน้าของสองสาวใช้จึงยากจะปกปิดความตื่นเต้น พวกนางเหลียวซ้ายแลขวา พูดคุยเจี๊ยวจ๊าวไม่หยุด
จือชุนมองเซียวจวิ้นที่ขี่ม้าตัวสูงใหญ่นอกหน้าต่าง แขนเสื้อปลิวพลิ้ว ท่าทางสง่างาม ซึ่งแตกต่างกับเขาในยามปกติที่มักเย็นชา ยามนี้เขาดูสุภาพอ่อนโยนราวกับเป็นคนละคน จือชุนอดรู้สึกภูมิใจแทนสะใภ้รองของตนไม่ได้ นางเอ่ยว่า “สะใภ้รองดูสิเจ้าคะ เวลาคุณชายรองขี่ม้าดูสง่างามน่าเกรงขามจริงๆ คุณชายรองงานยุ่งขนาดนี้ แต่ก็ยังพาสะใภ้รองออกมาข้างนอก ความจริงคุณชายรอง…”
ยังพูดไม่จบ สายตาเหมือนจะกินคนของจือชิวก็ทำเอาจือชุนหวาดกลัวจนกลืนคำพูดที่เหลือกลับลงไป เห็นจือชุนไม่พูดแล้ว จือชิวจึงถลึงตาใส่นางอย่างดุดัน “เจ้านี่นะ กินถั่วร้อยเม็ดก็ไม่รู้สึกถึงกลิ่นเหม็น ยังมีหน้ามาพูดว่าคุณชายรองงานยุ่ง แต่ก็ยังพาสะใภ้รองออกมาอีก เจ้าไม่ได้ยินที่คุณชายรองพูดหรือ เขารับคำสั่งจากเหล่าไท่จวิน เหล่าไท่จวินเป็นคนสั่งด้วยตนเอง คุณชายรองป่วยและแต่งงานเสริมมงคลกับสะใภ้รองจนหายดีแล้ว จึงต้องมาขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คุณชายรองจำเป็นต้องพาสะใภ้รองมาจุดธูปที่นี่ เจ้าไม่เห็นใบหน้าภูเขาน้ำแข็งของคุณชายรองรึ ท่าทางไม่เต็มอกเต็มใจแม้แต่น้อย ตลอดทางไม่ได้หันกลับมามองพวกเราเลยสักแวบเดียว”
จือชุนเหลือบมองจือชิวอย่างประหลาดใจแวบหนึ่ง นางก็แอบสังเกตคุณชายรองเงียบๆ อยู่เหมือนกันหรือ!
เห็นจือชุนมองตน จือชิวจึงโพล่งออกไป “มองอะไรของเจ้ากัน ข้าสังเกตการณ์ศัตรูอยู่ต่างหาก!”
จือชุนมองจือชิวอย่างขุ่นใจ นางไม่ชอบอีกฝ่ายเอาเสียเลย นางคิดว่าจือชิวร้ายกาจและมีอคติมากเกินไป ทั้งไม่ยอมรับฟังความเห็นที่แตกต่าง จนใจที่มักเถียงเอาชนะอีกฝ่ายไม่ได้ แค่ระดับเสียงของนางก็ด้อยกว่าแล้ว แน่นอนว่าท่าทีของนางย่อมข่มอีกฝ่ายไม่ได้แน่
ผลลัพธ์ของการทะเลาะโต้เถียงกันทุกวันของสองคน ส่วนใหญ่ล้วนเป็นจือชุนที่ยอมแพ้ก่อน ทว่าแม้จะพ่ายแพ้ทุกครั้ง นางก็ไม่ท้อ ขอเพียงสะใภ้รองไม่โมโห นางก็มีความกล้าพอที่จะทะเลาะกับจือชิวต่อไป เห็นสะใภ้รองยังคงไม่พูดจา สุดท้ายนางก็ยังไม่ยอมแพ้ เงียบอยู่นานก่อนจะเถียงอย่างอดไม่ได้ “ไม่ได้ยินพี่หงจูบอกหรือไร ในเมืองผิงหยางคุณชายรองได้ฉายาว่าพญายมหน้าเย็น หงจูปรนนิบัติคุณชายรองมาหลายปี น้อยครั้งที่จะเห็นเขายิ้ม คุณชายรองมักมีสีหน้าเย็นชาอยู่เสมอ เพียงแต่กับพวกเราบึ้งตึงยิ่งกว่าปกติเท่านั้น เจ้าไม่เห็นหรือว่าเมื่อวานหลังจากเชิญหมอมาแล้ว คุณชายรองก็ให้เซียวซย่าไปซื้อยาที่ร้านยาอี๋ชุนทันที เจ้าเป็นคนเอากลับมาเองด้วยซ้ำ ดูก็รู้ว่าคุณชายรองห่วงใยอาการป่วยของสะใภ้รองเพียงใด น่าเสียดายที่สะใภ้รองไม่ยอมกิน”
ฟังคำพูดนี้แล้ว พอคิดว่ายาที่ปรุงขึ้นในสวนด้านหลังของเรือนปีกตะวันออกและส่งออกไปขายกลับถูกเซียวจวิ้นซื้อกลับมาราวกับเป็นของล้ำค่านำมาให้นางกิน หลี่เมิ่งซีกับจือชิวต่างก็อดขำพรืดไม่ได้ ได้ยินหงจูบอกว่าคุณชายรองสั่งให้เซียวซย่าหาวิธีซื้อลูกกลอนหยั่งเซิงให้ได้มากกว่านี้ด้วย น่าเสียดายที่หลี่ตู้ได้รับแรงกดดันจากจือชิวมากเกินไป ให้เงินเท่าไรก็ไม่ยอมทำการค้ากับคุณชายรองสกุลเซียว
หลี่เมิ่งซีกับจือชิวคิดถึงเรื่องพวกนี้แล้วก็กลั้นหัวเราะไม่อยู่ เป็นดังคำกล่าวนี้จริงๆ เงินของสามีภรรยา มือซ้ายจ่ายออก มือขวารับเข้า เพียงแต่พวกเขาสามีภรรยาออกจะแปลกประหลาดเป็นพิเศษ
ด้วยเหตุนี้ พวกนางนายบ่าวจึงรู้ว่าเซียวจวิ้นใส่ใจร้านยาอี๋ชุนมาก ขั้นตอนการนำยาเข้ามาและส่งออกไปจึงต้องระมัดระวังยิ่งขึ้น เกรงว่าเซียวจวิ้นจะพบเบาะแสอะไรเข้าเสียก่อน แล้วคลำตามเถาวัลย์มาหาผลแตงก่อนจะพบว่าร้านยาอี๋ชุนนี้เป็นของนาง จากนั้นคงทำลายทิ้งไม่เหลือ
จือชุนเห็นหลี่เมิ่งซีหัวเราะจึงเกิดความกล้า ยืดอกแล้วพูดต่อ “ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว ทุกครั้งคุณชายรองล้วนเป็นสายฟ้าที่ฟาดดัง ทว่าเม็ดฝนกลับเล็กนิดเดียว ไม่ได้ทำอะไรสะใภ้รองจริงๆ เลยนะเจ้าคะ บ่าวยังรู้สึกว่าความจริงแล้วคุณชายรองแม้จะมีใบหน้าเย็นชาเพียงใด ทว่าหัวใจกลับอบอุ่น…”
“หุบปาก! เจ้าคิดจะให้คุณชายรองทำอะไรสะใภ้รองเล่า แต่งงานกันมาตั้งนาน เจ้าเคยเห็นเขานึกถึงสะใภ้รองตอนไหนบ้างหรือ ครั้งก่อนที่สะใภ้รองกระอักเลือด พวกเขาทั้งครอบครัวไม่มีใครก้าวออกมาเลยสักคน มิใช่สาวใช้อย่างพวกเราที่คอยล้อมหน้าล้อมหลังหรือ บ้านนี้ไม่มีคนดีเลยสักคน แค่ยากระจอกๆ ไม่กี่เม็ดนี้ก็ซื้อใจเจ้าได้แล้วหรือนี่ ลูกกลอนพวกนั้นเป็นของพวกเราเอง ใครจะอยากได้เล่า วันใดเขาหย่าสะใภ้รองขึ้นมาจริงๆ เจ้าถึงจะสงบเสงี่ยมกระมัง!” จือชิวเห็นคนชมคุณชายรองเป็นไม่ได้ จือชุนเพิ่งจะเปิดปากก็ถูกนางสวนกลับฉอดๆ ทั้งยังกางเล็บถลึงตาใส่จือชุนราวไก่ชน ด้วยนางโมโหแล้วจริงๆ
นี่มิใช่เรื่องเล็ก ทว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวพันถึงแหล่งทำมาหากิน คุณชายรองไม่ชอบสะใภ้รอง ตั้งแต่นางถูกซื้อเข้ามาในคฤหาสน์ก็ไม่เคยเห็นคุณชายรองเข้าห้องของสะใภ้รองเลยสักครั้ง แม้คุณชายรองจะเป็นคนดี แต่มิใช่คู่ครองที่ดีของสะใภ้รองเลย
จะให้เขาเข้าใกล้สะใภ้รองในรัศมีสามเชียะ ไม่ได้เด็ดขาด จิตใจของจือชุนไม่แข็งแกร่งเช่นนี้ ช้าเร็วต้องถูกคุณชายรองซื้อใจไปแน่ ควรกำราบนางไว้แต่เนิ่นๆ หาไม่แล้วไม่แน่วันใดอาจถูกคุณชายรองหลอกลวง ขายนางกับสะใภ้รองไปพร้อมกัน
จือชุนเห็นจือชิวถลึงตาใส่ตนใบหน้าก็แดงก่ำ ใจรู้ว่าครั้งนี้ยั่วโทสะจือชิวเข้าแล้วจริงๆ นางจึงก้มหน้าอย่างประหม่า นานครู่ใหญ่เห็นจือชิวไม่พูดจาจึงบ่นเสียงค่อย “ก็ไม่มีอะไรสักหน่อย ข้าแค่พูดเท่านั้นเอง ไยต้องทำท่าเหมือนจะกินคนด้วย!”
“เจ้าว่าอะไรนะ ลองพูดใหม่อีกครั้งซิ!” จือชิวเห็นจือชุนยังไม่ถอดใจจึงถือโอกาสนี้เท้าสะเอวคาดคั้น ครั้งนี้จือชุนจึงเป็นใบ้ไปโดยสิ้นเชิง
“พูดให้น้อยลงหน่อยเถอะ ระวังคนข้างนอกจะได้ยินเข้า” หลี่เมิ่งซีเห็นทั้งสองเถียงกันหน้าแดงหูแดง ใจรู้ว่าไม่อาจเงียบต่อไปได้อีก ได้ยินว่าผู้ฝึกยุทธ์ประสาทการได้ยินจะดีเยี่ยม เมื่อครู่จือชิวพูดเรื่องยา นางกลัวจริงๆ ว่าเซียวจวิ้นจะได้ยินเข้าจึงรีบห้ามปรามทั้งสอง
จือชิวเห็นหลี่เมิ่งซีเอ่ยปากขึ้นมาแล้ว นางจึงไม่มีท่าทีดุดันเฉกเช่นเมื่อครู่นี้อีก เพียงนั่งสำรวมอยู่ด้านข้างโดยไม่พูดไม่จา จือชุนฟังคำพูดของหลี่เมิ่งซีแล้วก็เงยหน้าขึ้น ก่อนจะย่นจมูกและเบ้ปากให้จือชิว เมื่ออีกฝ่ายเห็นก็เหยียดตัวเท้าสะเอว ถลึงตาใส่นางอย่างดุดันราวไก่ชนอีกครั้ง
หลี่เมิ่งซีมองสาวใช้สองคนนี้แล้วไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ระหว่างโต้เถียงกันอยู่นั้น รถม้าก็หยุดลง ทั้งสามมองออกไปข้างนอก พบว่ารถม้าผ่านประตูหลักมาแล้ว ตอนนี้อยู่ตรงหน้าซุ้มประตู
ตามหลักผู้ที่มาสักการะ เพื่อแสดงถึงความจริงใจแล้ว ส่วนใหญ่ล้วนลงจากรถที่ประตูหลักและเดินเข้ามา ประจวบเหมาะที่สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้าจึงถือเป็นการเดินตลาดไปด้วย ไม่นานก็มาถึงซุ้มประตู แต่เซียวจวิ้นที่ขี่ม้าเห็นว่าสุขภาพของหลี่เมิ่งซีอ่อนแอเกินไป เดินไกลขนาดนั้นร่างกายจะรับไม่ไหว เขาจึงสั่งให้รถม้าแล่นผ่านประตูหลักไปจนถึงหน้าซุ้มประตูแล้วค่อยหยุด
ข้างนอกบ่าวชายเลิกม่านขึ้นแล้ว จือชิวกับจือชุนลงจากรถม้าก่อนจะหันไปประคองหลี่เมิ่งซีลงมา พอทั้งสามลงจากรถม้า ดวงตาก็ไม่พอให้ใช้เสียแล้ว จือชุนกับจือชิวต่างก็ลืมการโต้แย้งเมื่อครู่นี้ไปโดยสิ้นเชิง พวกนางชี้มือชี้ไม้แล้วพูดคุยเจี๊ยวจ๊าว
หลี่เมิ่งซีทอดสายตามองไป นางเห็นเทือกเขาที่อยู่ไกลออกไปกับต้นสนใกล้ๆ สอดรับกับวิหารและระเบียงศาลาเบื้องหน้าได้เป็นอย่างดี ให้ความรู้สึกอบอุ่นคลุมเครือ ทั้งสงบเงียบปรองดอง
ซุ้มประตูแห่งหนึ่งกั้นขวางความครึกครื้นของตลาดที่อยู่เบื้องนอกกับความเงียบสงบของวัดออกจากกัน ในประตูกับนอกประตูราวกับคนละโลก เมื่อมีความคึกคักข้างนอกเป็นตัวเปรียบเทียบ บรรยากาศด้านในประตูจึงเคร่งขรึมจริงจังมากยิ่งขึ้น ในประตูมีผู้เดินทางมาสักการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างต่อเนื่อง ทว่าทุกคนต่างเงียบเสียงเองโดยไม่ต้องบอก
หลี่เมิ่งซีอุทานในใจอย่างอดไม่ได้ คนโบราณช่างเคารพนับถือเทพเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์จริงๆ
คนยุคปัจจุบันเทียบไม่ติดเลย วัดในความทรงจำพวกนั้นล้วนถูกใช้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทั้งสิ้น แม้จะอยู่หน้าประตูพระอุโบสถก็ยังได้ยินเสียงมัคคุเทศก์ถือโทรโข่งอธิบายประวัติความเป็นมา ไหนเลยจะได้สัมผัสกับความสงบเคร่งขรึมที่แท้จริงเช่นนี้
“สะใภ้รองเข้าไปก่อนเถอะขอรับ คุณชายรองรออยู่” เซียวซย่าเห็นทั้งสามไม่สนใจเซียวจวิ้นที่ยืนรออยู่ด้านข้าง เอาแต่มองซ้ายมองขวาจึงรีบเตือนเสียงค่อย
ได้ยินคำพูดของเซียวซย่าแล้ว ทั้งสามจึงนึกขึ้นได้ว่าพวกนางไม่ได้ออกมาเที่ยวเล่น แต่มาขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จือชิว จือชุนจึงรีบหุบปาก แอบเหลือบมองคุณชายรองก็เห็นว่าคุณชายรองลงจากม้าแล้ว กำลังยืนไพล่มือไว้ข้างหลังมองพวกนางด้วยสีหน้าเย็นชา โดยไม่พูดอะไร
จือชิวแอบแลบลิ้นใส่เซียวจวิ้น แล้วเข้าไปประคองหลี่เมิ่งซีอย่างระวัง พาเดินไปที่ข้างกายคุณชายรองช้าๆ
หลี่เมิ่งซีย่อกายนิดๆ ก่อนจะร้องเรียกเสียงค่อย “คุณชายรอง”
“อืม” เซียวจวิ้นเห็นพวกนางดูสถานที่จนพอใจในที่สุดจึงเดินเข้ามา เขาไม่พูดอะไร เพียงรับคำด้วยเสียงขึ้นจมูก พยักหน้าแล้วหมุนตัวเดินเข้าไปในวิหาร
เข้าซุ้มประตูมาแล้วก็เห็นต้นโพขนาดใหญ่โตโอฬารหลายต้น แม้จะเข้าสู่ปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว แต่พวกมันยังคงยืนหยัดอย่างเขียวชอุ่ม ซ้ายขวาแบ่งเป็นหอระฆังกับหอกลอง ตรงหน้าเป็นวิหารพระเมตไตรย เซียวจวิ้นไม่ได้หยุดชื่นชม แต่ก้าวเข้าไปในวิหารพระเมตไตรยทันที จากนั้นจึงเลี้ยวขวาออกไปทางประตูหลัง มุ่งหน้าไปยังพระอุโบสถ
จือชิวประคองหลี่เมิ่งซีแล้วพูดเสียงค่อย “ได้ยินว่าเซียมซีที่นี่ศักดิ์สิทธิ์มาก ประเดี๋ยวไหว้พระเสร็จ พวกเราไปเสี่ยงเซียมซีกันเถอะเจ้าค่ะ!”
ถึงอย่างไรก็เป็นคนยุคปัจจุบัน แต่ไรมาหลี่เมิ่งซีไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว แต่เห็นจือชิวมีสีหน้าใฝ่ฝัน ก็ไม่อยากทำให้นางหมดสนุก จึงผงกศีรษะรับคำ
หลี่เมิ่งซีให้จือชิวประคองก้าวขึ้นบันไดหินทีละก้าว พอเดินถึงข้างกระถางธูปหน้าประตูพระอุโบสถ นางก็อดลอบถอนหายใจไม่ได้ว่าร่างกายนี้ช่างอ่อนแอนัก จากซุ้มประตูถึงพระอุโบสถเป็นระยะทางไม่เท่าไรแท้ๆ ทว่านางขึ้นบันไดเพียงไม่กี่ขั้นก็หอบหายใจเสียแล้ว เห็นทีต่อไปต้องออกกำลังกายให้มากกว่านี้
ช้อนตาขึ้นก็เห็นเซียวจวิ้นรออยู่ข้างกระถางธูป มือถือธูปที่จุดแล้ว กำลังมองนางที่หอบแฮกๆ เขาก็ขมวดคิ้ว ด้วยเห็นท่าทีเช่นนี้ของเขาจนชิน หลี่เมิ่งซีจึงไม่ใส่ใจ
จือชิวทำปากยื่นสูง หากมิใช่เพราะคุณชายรองเป็นเจ้านายที่นางล่วงเกินไม่ได้ นางคงเข้าไปสั่งสอนคุณชายรองนานแล้ว ลอบด่าเขาในใจ ขมวดคิ้วอะไรนักหนา ร่างกายของสะใภ้รองอ่อนแอมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ทั้งยังเป็นสตรีด้วย จะไปเหมือนท่านได้อย่างไรที่ก้าวยาวๆ แค่ไม่กี่ก้าวก็มาถึง ถ้าคิดว่าช้านักก็ไหว้ก่อนเสียเลยสิ ไม่ได้ขอให้ท่านรอสักหน่อย!
เซียวจวิ้นเห็นหลี่เมิ่งซีก้าวเข้ามาจึงยื่นธูปที่จุดแล้วในมือให้ หลี่เมิ่งซีอึ้งไปเล็กน้อย มีธรรมเนียมเช่นนี้ด้วยหรือ ให้นางไหว้ก่อน นางเป็นหญิงนะ มิใช่ชายเป็นใหญ่หญิงต่ำต้อยหรอกหรือ
นางยื่นมือไปรับอย่างสงบเสงี่ยม กำลังจะก้าวขึ้นไปไหว้ก็เห็นเซียวจวิ้นเหลือบมองนางแวบหนึ่ง จากนั้นเขาจึงหยิบธูปขึ้นมาอีกสามดอก จุดแล้วค่อยพยักหน้าให้นาง
ให้ตายเถอะ ต้องไหว้พร้อมกัน! ไม่พูดแล้วใครจะรู้เล่า เป็นใบ้หรือไร! หลี่เมิ่งซีลอบด่าในใจคำหนึ่ง ทำให้นางหลงดีใจอยู่ตั้งนาน คิดว่าเขาเปลี่ยนนิสัย หันมาเคารพสิทธิ์ของสตรีแล้วเสียอีก!
ทั้งสองไหว้พร้อมกันสามครั้ง แล้วปักธูปลงในกระถางธูปพร้อมกัน ก่อนจะหมุนตัวก้าวเข้าไปในพระอุโบสถ ครั้งนี้เซียวจวิ้นจงใจผ่อนฝีเท้าให้ช้าลงเพื่อให้หลี่เมิ่งซีตามมาทัน พวกเขาก้าวตามกันเข้าไป หลี่เมิ่งซีมองเบาะรองตรงหน้าและเหลือบมองเซียวจวิ้นที่เงียบราวกับคนใบ้ คงมิใช่ต้องโขกศีรษะด้วยกันกระมัง ดูเหมือนเบาะรองนี้จะใหญ่ไม่พอ
ระหว่างที่นางคิด เซียวจวิ้นก็คุกเข่าลงแล้ว สีหน้าเลื่อมใสจริงใจอย่างมาก ปากท่องคำพูดหลายคำ ก่อนจะกราบลงไปอย่างเคารพนอบน้อม
หลี่เมิ่งซีมีชีวิตมาสองชาติแล้ว ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นว่าอะไรคือห้าส่วนจรดพื้น เห็นความศรัทธาของเซียวจวิ้นตอนนี้แล้วนางกลับไม่รู้สึกขบขันแม้แต่น้อย ในใจพลันเกิดความเลื่อมใสตาม ความไม่เชื่อถือก่อนหน้านี้หายไปสิ้น
มนุษย์เราควรมีความศรัทธา เพราะนั่นเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจอย่างหนึ่ง ยามสิ้นหวังยังสามารถประคับประคองตนเองให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ หลายวันนี้นางนอนเป็นศพอยู่บนเตียง รู้สึกเหมือนตนเองเป็นศพเดินได้ ไม่มีชีวิตชีวาแม้แต่น้อย เป็นเพราะนางไม่เชื่อถืออะไรเลยใช่หรือไม่ ในช่วงเวลาที่สับสนถึงได้ท้อใจไปหมด
ระหว่างขบคิด หลี่เมิ่งซีก็ได้ยินเซียวจวิ้นกระแอมไอ นางดึงสติกลับมา พบว่าเขาไหว้เสร็จแล้ว กำลังมองนางอยู่ หลี่เมิ่งซีจึงรีบเข้าไปคุกเข่าบนเบาะรอง กราบไหว้ด้วยความศรัทธาจากใจจริง ปากสวดอธิษฐานในใจ พระโพธิสัตว์ผู้เมตตาและช่วยปัดเป่าทุกข์ให้มวลมนุษย์ เห็นแก่ที่ข้าน้อยกราบไหว้บูชาท่านอย่างจริงใจ จะช่วยชี้แนะหนทางให้ข้าน้อย ช่วยให้ข้าน้อยหลุดพ้นจากทะเลทุกข์ในเร็ววันได้หรือไม่
ท่องจบก็ทำตามเซียวจวิ้น กราบไหว้โดยให้ห้าส่วนจรดพื้น กราบไหว้ครบสามครั้งแล้วจึงจับมือจือชิวที่ยื่นเข้ามาประคอง ก่อนจะลุกขึ้น
( ติดตามตอนต่อไปวันที่ 11 เม.ย 62 )
Comments
comments