X
    Categories: overgraYThe Star's Love Relationship รักลับของซูเปอร์สตาร์ทดลองอ่าน

The Star’s Love Relationship รักลับของซูเปอร์สตาร์ บทที่ 4 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 4

ระแคะระคาย

 

โฮสต์บาร์เปิดใหม่กลางย่านคังนัมที่ใช้ชื่อว่า ‘พาราไดซ์คลับเฉพาะสตรี’ มีขนาดใหญ่ หรูหราและทันสมัยที่สุดจนยากที่ร้านอื่นจะตามทัน ที่สำคัญคือมีห้องลับที่ถูกสร้างขึ้นเป็นพิเศษ ต้องผลักผนังที่เป็นประตูลับเข้าไป ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อหลบเลี่ยงการจับกุมของตำรวจ เป็นห้องที่สร้างไว้ให้แขก VVIP ที่ไม่อยากให้ข่าวของตัวเองรั่วไหลไปถึงหูของนักข่าว สถานบันเทิงแห่งนี้บริหารโดยฮันแซผู้เป็นหัวหน้าแก๊งซังดูซึ่งเป็นองค์กรมาเฟียที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ

“มาแล้วเหรอครับลูกพี่”

ทันทีที่เห็นฮันแซซึ่งสวมถุงมือหนังสีดำ มีเสื้อโค้ตยาวคลุมไหล่เปิดประตูเดินเข้ามา เหล่าลูกน้องก็รีบหยุดทุกอย่างในมือแล้วพากันลุกขึ้น

ฮันแซกวาดสายตามองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าที่เยือกเย็นสุขุม ผิดกับใบหน้าเคร่งเครียดและร้อนรนของเหล่าลูกน้อง ข้างหลังเขามีชายร่างสูงใหญ่กว่าคนทั่วไปสองคนกำลังยืนทำหน้าถมึงทึง และยังมีกลุ่มชายฉกรรจ์อีกนับสิบ

ฮันแซ…

เพียงแค่การเคลื่อนไหวเล็กน้อยของเขาก็สามารถหยุดลมหายใจของเหล่าผู้คนภายในห้องอันเงียบเชียบแห่งนี้ได้

“สวัสดีครับ ลูกพี่”

ชายที่กำลังก้มหน้าอย่างเคารพนบนอบผู้นี้ชื่อว่าซังชอล เป็นทั้งลูกน้องและน้องร่วมสายเลือดของฮันแซ ซังชอลถือเป็นผู้มีอิทธิพลอันดับที่สองของแก๊งซังดู

“จัดการทางโน้นเสร็จแล้วเหรอ”

ชายที่ยืนอยู่ด้านหลังรีบก้าวเข้ามาหยิบถุงมือที่ฮันแซถอดทิ้งลงพื้นขึ้นมา

“ครับ ลูกพี่ เมื่อจับตัวมันมาได้ไม่เท่าไหร่ เมียของมันก็ร้องไห้คร่ำครวญจะเป็นจะตาย สุดท้ายมันก็ยอมประทับลายนิ้วมือในเอกสารให้เราครับ”

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวาน พวกเขาเข้าไปถล่มโฮสต์บาร์ที่ขึ้นชื่อที่สุดในย่านคังนัมจนพังยับเยินและยังจับตัวเจ้าของร้านมาทรมานจนยอมลงสัญญาว่าจะปิดร้านลง

และเมื่อร้านนั้นถูกปิดตัวลง โฮสต์บาร์แห่งนี้ที่อยู่ห่างจากที่นั่นไม่กี่กิโลเมตรก็ก้าวสู่อันดับหนึ่งแห่งเดียวของย่านคังนัมทันที

“พวกมันไม่ขัดขืนเหรอ”

“ก็แค่ค้าขายได้นิดๆ หน่อยๆ จะมามีปัญญาอะไรต่อต้านกับแก๊งซังดูของพวกเราล่ะครับ”

รอยยิ้มบางปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฮันแซทันที

“ตอนนี้เราก็ได้ขึ้นเป็นโฮสต์บาร์ที่ดีที่สุดแล้ว แกก็ดูแลเด็กพวกนั้นให้ดีก็แล้วกัน…ถ้ามีเด็กคนไหนดูเข้าท่าก็จับมาไว้ที่ร้านนี้”

“ครับผม อ้อ ไม่รู้ว่าลูกพี่จะรู้จักรึเปล่านะครับ มาดามชองที่กว้างขวางทั้งในวงการการเมืองและวงการธุรกิจได้ตกลงทำงานกับพวกเราแล้วครับ”

“มาดามชองเหรอ”

ฮันแซที่นั่งอยู่บนโซฟายกมือข้างหนึ่งวางบนพนักพิงและยกขานั่งไขว่ห้าง

“เชิญชองเข้ามา”

เมื่อซังชอลสั่ง ชายที่ยืนอยู่ด้านข้างก็รีบหมุนตัวแล้วเดินไปตามทางเดินอย่างรวดเร็ว

ฮันแซมีเส้นผมสีดำระข้างแก้มและกรอบหน้า ทรงผมที่ดูจะยาวเกินทรงผมของผู้ชายทั่วไป…ไม่สิ มันยาวจนเกือบจะเรียกได้ว่าทรงผมบ็อบ ยาวจนผมข้างหนึ่งเลื่อนลงปิดตาข้างซ้ายของเขา นัยน์ตาขาวข้างหนึ่งที่มองไม่เห็นตาดำนั้นเกิดจากการได้รับบาดเจ็บ บวกกับรอยแผลเป็นจากมีดที่ยาวจนถึงใต้ตาส่งผลให้ใบหน้าที่น่ากลัวอยู่แล้วยิ่งดูน่าผวาและน่าขนลุกขึ้นไปอีก

หากเปรียบกันแล้วซังชอลมีรูปร่างหน้าตาดีกว่ามาก ซังชอลทรุดตัวลงนั่งข้างฮันแซ ยกมือสองข้างรินเหล้าอย่างนอบน้อมให้ความรู้สึกแตกต่างจากคนพี่ยิ่งนัก แค่เพียงการปรากฏกายของฮันแซก็สามารถทำให้ทุกคนรู้สึกอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก

หากแต่บุคคลที่มีใบหน้าหล่อเหลา ผิวขาวกระจ่าง และทรงผมแทรกกลางที่ถูกจัดแต่งไปยังด้านหลังอย่างเนี้ยบกริบผู้นี้มีนิสัยดุร้ายจนขึ้นชื่อในแวดวง เขาสามารถทำร้ายผู้คนได้อย่างโหดร้ายทารุณโดยไร้ความปรานี ใครก็ตามที่ทำให้เขาโกรธ เขาก็สามารถลงมือฆ่าคนเหล่านั้นได้อย่างเลือดเย็นจนคนรอบข้างรู้สึกหวาดเกรงเมื่ออยู่ใกล้ เอาเข้าจริงๆ แล้วผู้คนหวาดกลัวซังชอลมากกว่าฮันแซเสียอีก

“เรียกผมเหรอครับ”

ชายคนหนึ่งที่มีใบหน้าหล่อเหลาราวกับรูปปั้นและมีผิวสีแทนเดินเข้ามาในห้อง

“นี่คือมาดามชองครับ เขาเป็นคนที่มีฝีมือและเทคนิคแพรวพราวมากในวงการนี้”

“งั้นเหรอ”

ฮันแซมองสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้า เขารูปร่างหน้าตาดีมาก มิน่าล่ะถึงได้รับการขนานนามเป็นมาดามในวงการ คงจะมีฝีมือในการหาแขกผู้หญิงวัยกลางคนมากเลยทีเดียว

“ถอดสิ”

“ว่าไงนะครับ”

“ต้องให้พูดซ้ำเป็นครั้งที่สองรึไง”

เสียงทุ้มต่ำของซังชอลพุ่งไปยังมาดามชอง

“สั่งให้ถอดก็ต้องถอด ลูกพี่ก็แค่ต้องการเช็กของของนายก็เท่านั้น”

ใบหน้าของมาดามชองแดงก่ำคล้ายกำลังอับอาย หลังจากหันไปมองรอบห้องก็ยอมรูดซิปกางเกงลงช้าๆ

 

***

 

“คอนเซ็ปต์ของการถ่ายทำวันนี้ก็คือการตกหลุมรักของซาราเซียเทพีแห่งท้องทะเลกับมนุษย์ผู้ชาย พอชินวิ่งออกมาจากฝั่งโน้น น้ำทะเลก็จะหมุนวนยกตัวสูงและมีอัญมณีแห่งทะเลถูกวางไว้บนฝ่ามือของชิน จากนั้นเราก็จะย้ายไปถ่ายทำกันต่อในห้อง คิมชินกุมอัญมณีนั่นแล้วก็เข้าฉากรักกับเทพีสาว”

ทีมงานคนหนึ่งอธิบายเกี่ยวกับเนื้อหาของการถ่ายทำของวันนี้ แค่ได้ยินข่าวว่าชินรับงานถ่ายโฆษณาเครื่องประดับ สาวๆ ก็พากันกรี๊ดกร๊าด ทั้งที่การถ่ายทำยังไม่แล้วเสร็จ หากแต่ยอดขายเครื่องประดับกลับพุ่งพรวด ด้วยสาเหตุนี้เองเหล่าผู้บริหารของบริษัทเครื่องประดับจึงพากันมาให้กำลังใจชินก่อนถ่ายทำ

“ฉากสุดท้ายก็จะย้ายกันไปถ่ายที่สระกระโดดน้ำกลางแจ้ง ชินประคองกอดอัญมณีไว้และครองรักกับเทพีผู้นั้นนิรันดร์ ซึ่งชินจะต้องถ่ายฉากกระโดดน้ำ ที่ไม่ใช่การลงน้ำทั่วไป แต่จะต้องกางแขนอย่างสง่างามเหมือนนกตัวหนึ่ง…พอจะเห็นภาพใช่มั้ยครับ ดังนั้นเวลาถ่ายทำให้ช่วยระวังเรื่องนี้ให้เราด้วยนะครับ”

เมื่อผู้กำกับสั่ง คนเขียนบทและทีมงานสองคนก็ก้าวเข้ามาแล้วอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับการถ่ายทำและระยะการเคลื่อนที่ให้ฟังอีกครั้ง

“เร่งมือด้วยนะครับคุณผู้กำกับ ทราบใช่มั้ยครับว่าเมื่อวานชินเขาเพิ่งเข้าโรงพยาบาล วันนี้ก็ช่วยเบาๆ กันหน่อยนะครับ”

ผู้จัดการโค้งให้ผู้กำกับ แล้วยื่นกาแฟให้ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มอย่างประจบประแจง

“ฉันก็อยากทำแบบนั้นเหมือนกัน แต่นายก็น่าจะรู้นิสัยของเจ้าของบริษัทเครื่องประดับนี้ดี แถมฝ่ายโฆษณาของบริษัทนี้ยังมีนิสัยเหมือนเจ้าของบริษัทอย่างกับโคลนนิ่งกันมา จู้จี้จุกจิกและละเอียดมาก ขืนถ่ายงานหยาบๆ ออกไปล่ะก็ คงได้สั่งให้ถ่ายใหม่แน่นอน ไม่เห็นเหรอว่าทุกคนในที่นี้ต่างก็เครียดกันทั้งนั้น”

“ทีมงานทุกคนเตรียมอุปกรณ์มากันอย่างครบถ้วนเพื่อการถ่ายทำที่แสนเพอร์เฟ็กต์ครั้งนี้ครับ” ทีมงานที่ยืนอยู่ข้างผู้กำกับคนหนึ่งรีบพูดเสริมขึ้นทันที

“แหม ผมก็แค่เป็นห่วงสุขภาพของชินเท่านั้นเอง ฝากด้วยนะครับ”

ในระหว่างที่ผู้จัดการกับผู้กำกับกำลังเจรจากันอยู่นั้น ชินก็กำลังนั่งแต่งหน้าเพื่อเตรียมเข้าฉาก

“กรี๊ด”

“กรี๊ดดด~”

ไม่รู้ว่าแฟนคลับบุกเข้ามายังสถานที่ถ่ายทำนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ พวกเธอพากันส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดกันตลอดเวลา คนนับร้อยที่เบียดเสียดอยู่รอบบริเวณล้วนเป็นแฟนคลับของชิน เมื่อแฟนคลับโบกมือให้ ชินก็รีบลุกขึ้นแล้วโค้งทักทายทันที การกระทำนั้นยิ่งเรียกเสียงกรีดร้องให้ดังขึ้นไปอีก แต่ยอนโฮกลับมองภาพนั้นด้วยใบหน้าบูดบึ้ง สายตาคมกริบราวกับเหยี่ยวไม่มีผิด

ผู้จัดการมักจะเอียงหัวอย่างสงสัยทุกครั้งที่เห็นชินแอบมองยอนโฮเป็นครั้งคราว น่าแปลกเหลือเกิน

ตอนที่ชินขอไปเดินเล่นก่อนถ่ายทำแล้วเขาเห็นชินเดินกลับมาพร้อมยอนโฮ นึกว่าชินจะรำคาญบอดี้การ์ดคนนี้เสียอีก ตอนแรกที่เจอกันก็เห็นโวยวายและไล่ยอนโฮไป แต่เอาเข้าจริงๆ ชินกลับนิ่งอย่างผิดคาด

และตอนนี้ชินกำลังยิ้ม

“เกิดอะไรขึ้นกันนะ…”

ผู้จัดการพึมพำ

“ขอปลดกระดุมสองเม็ดนะครับ”

ยองชอลที่เป็นทั้งสไตลิสต์และช่างแต่งหน้าปลดกระดุมเสื้อคอปกสีน้ำเงินออก เผยให้เห็นผิวขาวกระจ่างจนทำให้อดชมไม่ได้

“อา ผิวของคุณชินนี่สวยมากเลยนะครับ”

มือของเขาเลื่อนไปตามช่วงบ่าแล้วกระตุกปลายแขนเสื้อลง จากนั้นก็เริ่มลงมือทาครีมรองพื้นเนื้อบางบนช่วงคอและกระดูกไหปลาร้า เขาเป็นทั้งสไตลิสต์และช่างแต่งหน้าที่มีฝีมือและเป็นมืออาชีพอย่างมาก สไตลิสต์หรือช่างแต่งหน้าผู้หญิงหลายต่อหลายคนที่ผ่านมาล้วนแต่ตื่นเต้นและประหม่าเมื่อทำงานกับชิน พวกเธอมือสั่นและไม่เป็นตัวของตัวเองทุกครั้งที่อยู่ใกล้เขา แต่ยองชอลนั้นแตกต่างจากคนอื่น แม้หนึ่งในเหตุผลอาจเป็นเพราะเขาเป็นผู้ชาย แต่เหนือสิ่งอื่นใดนั่นเป็นเพราะคนคนนี้อยากจะทำงานร่วมกันไปนานๆ ทั้งกับชินและทีมงานนี้

ผิวที่ขาวอยู่แล้วเมื่อลงรองพื้นก็ยิ่งเปล่งประกาย กระจ่างยิ่งกว่าเดิม เปลือกตาที่ปิดลง รูปหน้าดูละมุนละไม ช่วงคอระหง ช่างดูแตกต่างกับรูปร่างอันสง่างามของเทพเนปจูนที่หลงรักซาราเซียเทพีแห่งท้องทะเล รูปร่างของชินในตอนนี้ต่างหากล่ะที่ดูเหมือนกับเป็นอัญมณีเสียเอง

“ผู้ชายอะไรทำไมถึงได้งดงามขนาดนี้”

เสียงของทีมงานคนหนึ่งดังขึ้น

“นี่ล่ะน้า มนุษย์อัญมณี ฉันอยากได้ชินมากกว่าอัญมณีเสียอีก”

ยอนโฮพยักหน้าเห็นด้วยเงียบๆ เมื่อได้ยินเสียงของทีมงานผู้หญิงดังแว่วเข้ามา คำพูดของเธอถูกต้องมากๆ ร่างของชินยามกระทบกับแสงนั้นดูแวววาวงดงามจนไม่อาจละสายตาได้เลย

ถ้าสัมผัสแรงไปนิดก็คล้ายจะแตกสลายและเกรงว่าจะทำให้ผิวกระจ่างนั่นเกิดรอย รูปร่างที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งนั่นก็น่านำไปเป็นแบบในการปั้นชิ้นงานศิลปะจริงๆ

“นี่ คนโน้นเขาจ้องคุณมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ”

ชินหันหน้าไปมองยอนโฮตามคำบอกของยองชอล

อา…

ยอนโฮคิ้วกระตุก ดวงตาหรี่ลงเมื่อมองเห็นใบหน้าที่กระทบแสงแดดของชิน

แสบตา

ภาพของชินที่เห็นนั้นดูสมบูรณ์แบบราวกับหลุดออกมาจากเทพนิยายกรีก จู่ๆ หัวใจของยอนโฮก็เริ่มเต้นแรงขึ้นจนต้องเบนสายตาไปที่อื่น

“เงียบหน่อยครับ ทุกท่านได้โปรดอยู่ในความสงบ ทราบใช่มั้ยครับว่าห้ามรบกวนตลอดการถ่ายทำ”

ระหว่างนั้นเองเหล่าทีมงานก็กระจายตัวเคลียร์พื้นที่ในการถ่ายทำซึ่งรายล้อมไปด้วยบรรดาแฟนคลับ

 

***

 

“ชิน ฉันไปคุยกับผู้กำกับและตากล้องมา พวกเขาบอกว่าการถ่ายทำครั้งนี้เป็นไปอย่างยอดเยี่ยม ไม่มีใครถ่ายออกมาได้ดูดีเท่านายแล้ว ยากที่จะหาใครมาแทนที่นายได้!”

ผู้จัดการเดินเข้ามาแล้วทรุดตัวลงนั่งข้างชิน ก่อนจะยื่นจานที่เต็มไปด้วยอาหารหลายอย่างที่ได้มาจากแฟนๆ ให้

“ยังไม่หิว”

ชินส่ายหน้า ในมือของเขายังคงถือแก้วชาร้อนที่เพิ่งซื้อมาเมื่อครู่หลังจากถ่ายทำเสร็จ เมื่อเห็นชินส่ายหน้าปฏิเสธว่าไม่หิว ผู้จัดการก็หยิบน่องไก่ในจานยื่นให้เขา

“กินนี่หน่อยก็ยังดี อันนี้ไม่อ้วนหรอก”

“ไม่ได้กลัวอ้วน”

“งั้นทำไมไม่กิน เพราะนายไม่ค่อยกินข้าวแบบนี้ไงถึงได้ป่วยบ่อยๆ”

“ก็แค่ไม่อยาก”

พอเห็นชินไม่กินจริงจัง ผู้จัดการก็ยกถ้วยซุปสาหร่ายขึ้นซดแทน

“เขาไม่กินเหรอ”

ชินชี้ไปที่ยอนโฮที่กำลังยืนพิงต้นไม้ใหญ่และมองมาทางนี้

“นั่นสิ ลืมไปเลย คุณยอนโฮมาทานข้าวด้วยกันครับ”

เมื่อเห็นผู้จัดการกวักมือเรียก ยอนโฮก็ยืดหลังก่อนจะเดินตรงมา

“ทานให้อร่อยนะคะ”

แฟนคลับมักจะทำของว่างและอาหารอร่อยๆ มาให้ที่กองถ่ายเป็นประจำ และจากเหตุการณ์ที่มีคนกระชากคอเสื้อของชินในงานแฟนมีตติ้งเดือนที่แล้ว แฟนคลับจึงรู้สึกเสียใจและพยายามรักษามารยาทมากขึ้น

“นายน่ะไม่กินข้าวก็อิ่มทิพย์ได้ มีแฟนๆ ที่รักมากขนาดนี้”

ในระหว่างที่ผู้จัดการกล่าวพลางหัวเราะ ยอนโฮก็เดินมาถึง จากนั้นก็ถอดเสื้อนอกแล้ววางคลุมบนไหล่ของชินด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย

“อะไรเนี่ย”

ทั้งผู้จัดการและชินถึงกับหันไปมองอย่างตะลึงกับการกระทำอันไร้ที่มาที่ไป แต่ยอนโฮยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยเหมือนเคย เขาทรุดตัวนั่งข้างชินแล้วดึงจานที่ชินดันออกเข้ามาใกล้ตัวเอง

“เอ่อ นั่น…ของชินนะครับ”

“ก็เห็นว่าไม่กิน น่าเสียดายถ้าต้องเอาไปทิ้ง”

ยอนโฮตอบหน้านิ่ง

“ใครบอกว่าไม่กิน เอามานี่ จะกินเดี๋ยวนี้แหละ”

ชินแย่งจานกลับมาจากยอนโฮแล้วดึงตะเกียบไม้ให้แยกออกจากกันอย่างแรง จากนั้นก็ลงมือกินไม่หยุด คราวนี้สายตาตกใจของผู้จัดการจึงเลื่อนไปที่ชินแทน ยอนโฮหันไปมองชินก่อนจะลุกขึ้นยืน

เมื่อชินเห็นยอนโฮเดินไปยังรถแจกอาหารก็วางตะเกียบในมือลง

“ทำไมพูดกับเขาสุภาพจังล่ะ” ชินหันไปถามผู้จัดการ

“ก็พอมองเขา ฉันรู้สึกประหม่ายังไงไม่รู้”

“แล้วทำไมพี่ต้องประหม่าด้วยล่ะ คนที่จ้างเขามาคือพี่ไม่ใช่เหรอ”

“ก็ดูหน้าเขาสิ ใครจะกล้า…”

ผู้จัดการรีบส่ายหัว

“เดี๋ยวผมขอออกไปเดินเล่นแป๊บนึงนะ”

ชินถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะกระชากเสื้อที่อยู่บนไหล่ออกอย่างแรงแล้ววางไว้บนเก้าอี้แทน ระหว่างนั้นเองสีหน้าของยอนโฮที่เห็นชินกระชากเสื้อคลุมของตัวเองจึงบึ้งตึง

คอเสื้อของชินกว้างจนทำให้เห็นช่วงไหล่ที่ขาวเนียนและตราประทับสีแดงเด่น ซึ่งตราประทับนั้นสามารถทำให้ชินตกอยู่ในอันตรายได้ ยอนโฮจึงรีบสาวเท้าเข้าไปใกล้แล้วหยิบเสื้อมาคลุมไหล่ให้ชินอีกครั้ง

“ใส่ซะ ถ้าไม่สบาย เดี๋ยวก็เป็นเรื่องอีก”

“ไม่จำเป็น”

ยอนโฮรีบคว้ามือของชินที่ทำท่าจะดึงเสื้อคลุมออก

“อยู่เฉยๆ ไม่ได้เหรอไง”

ประกายตาคมกริบอันน่าหวาดหวั่นกำลังจับจ้องไปที่ชิน

 

***

 

ในที่สุดก็เริ่มถ่ายฉากกระโดดน้ำซึ่งเป็นฉากสุดท้าย

“เอาล่ะ ขอเทกเดียวจบเลยนะ”

เสียงผู้กำกับดังขึ้นพร้อมกับส่งสัญญาณถ่ายทำ ผู้คนมากมายที่ยืนอยู่รอบสระกระโดดกลางแจ้งพากันกรีดร้องเมื่อเห็นชินยืนอยู่ข้างบน ผิวขาวกระจ่างภายใต้ท้องนภาอันมืดมิด

เมื่อชินที่แต่งหน้าแตกต่างจากช่วงเช้ายกมือขึ้นลูบผมที่ปลิวไสว เพชรเม็ดงามที่สวมอยู่บนนิ้วนั้นก็พลันส่องแสงระยิบระยับเมื่อกระทบกับแสงไฟ ชินแหงนหน้ามองท้องฟ้า สองแขนกางออกคล้ายกับกำลังรอรับสตรีอันเป็นที่รักเข้าสู่อ้อมแขน ภาพชินที่เงยหน้ามองฟ้า แอ่นอก วาดสองแขนกว้างช่างดูเร้าใจและเซ็กซี่มาก ในขณะที่ทุกคนกลั้นลมหายใจมองชินอยู่นั่นเอง ยอนโฮก็แอบกลืนน้ำลายกับภาพตรงหน้าเช่นกัน

“จะไม่ใช้สายสลิงในการถ่ายทำจริงๆ เหรอครับ”

ทีมงานคนหนึ่งตะโกนถาม ชินจึงพยักหน้า หากเป็นนักแสดงคนอื่นคงมีการใช้สายสลิงผูกหลังแล้วลองซ้อมสักสองสามรอบก่อนถ่ายจริง ทว่าชินกลับไม่ต้องการซ้อมใดๆ ความสามารถในการว่ายน้ำของชินขึ้นชื่อในหมู่นักแสดงด้วยกัน และเขาสามารถว่ายแข่งกับนักกีฬาว่ายน้ำที่มีความเชี่ยวชาญได้อย่างไม่ห่างชั้นกันมากนัก

ชินหวนนึกถึงภาพในอดีต

‘ฉันสอนว่ายน้ำให้เอามั้ย อยู่ในที่ที่มองเห็นทะเลแบบนี้ การว่ายน้ำได้ถือว่าเป็นเรื่องพื้นฐานเลยนะ ว่ามั้ย’

ลีจองอูเคยพูดเอาไว้แบบนั้น เมื่อถึงยามราตรี เขามักจะเล่าเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับโลกใบนี้ให้ชินฟัง และเขาก็เป็นคนสอนชินว่ายน้ำ

เขาผู้มอบรอยยิ้มอันอบอุ่นให้แก่เด็กกำพร้าที่ไม่มีผู้ใดสนใจอยู่เสมอ เขาผู้ถือถุงที่เต็มไปด้วยขนมและไอศกรีมมาให้สัปดาห์ละครั้ง เมื่อนึกถึงเขาคนนั้น ความหวาดกลัวและความกังวลก็พลันสลายสิ้น

ชินเริ่มขยับเท้า

“จะกระโดดแล้ว”

เสียงกระซิบแผ่วเบาของใครบางคนดังขึ้น ชินพุ่งตัวไปข้างหน้าแล้วทิ้งตัวไปกลางอากาศ คนที่มองดูอยู่ต่างพากันกลั้นลมหายใจ ร่างสง่างามดั่งสกุณาพุ่งเหินลมบนท้องนภาร่วงลงน้ำ ทีมงานต่างส่งเสียงอุทานด้วยความทึ่งเมื่อเห็นร่างของเขาที่ตกลงตั้งฉากคล้ายถูกจับปักให้ตั้งตรง หากไม่ใช่ชิน ก็คงยากที่จะหาใครแสดงได้สมบูรณ์ขนาดนี้

จ๋อม

เสียงน้ำดังเบาๆ มีเพียงคลื่นน้ำเป็นวงเล็กๆ เพียงไม่กี่วงเท่านั้นที่ปรากฏขึ้นหลังจากร่างของชินจมหายไปใต้น้ำ

“คัต”

สิ้นเสียงผู้กำกับ ลมหายใจที่กลั้นอยู่ก็ถูกผ่อนออกมาพร้อมกับเสียงอื้ออึง ช่างเป็นช่วงวินาทีที่ตื่นเต้นและลุ้นยิ่งนัก

“คราวนี้ก็เหลือแค่ถ่ายใต้น้ำใช่มั้ยครับ”

แผนการถ่ายก็คือพอชินร่วงลงผืนน้ำแล้ว ก็ว่ายแหวกอยู่ใต้ท้องทะเลจนเกิดเป็นเกลียวคลื่น ส่วนฉากของเทพีและคลื่นทะเลนั้นสามารถใช้ CG ปรุงแต่งขึ้นมาได้

“ผู้กำกับครับ!”

เสียงใครบางคนดังขึ้น

“ว่าไง”

ภาพของชินที่อยู่ใต้น้ำซึ่งปรากฏบนหน้าจอดูประหลาดพิกล ปกติถ้าอยู่ใต้น้ำแล้วร่างกายของเขาจะว่ายไปมาอย่างอิสระ แต่ตอนนี้เขากำลังจับขาข้างหนึ่ง อ้าปากกว้าง มีฟองอากาศผุดออกมา

“เกิดเรื่องแล้วครับ”

“ไลฟ์การ์ดล่ะ! ไปตามมาเร็ว!”

ทีมงานคนหนึ่งรีบวิ่งตาลีตาเหลือกมาเมื่อได้ยินเสียงตะโกนลั่นของผู้กำกับ

“เห็นว่าคุณคิมชินว่ายน้ำเก่งมาก เราก็เลยให้ไลฟ์การ์ดกลับไปแล้วครับ”

“ว่าไงนะ!”

ใบหน้าของผู้กำกับซีดเผือดทันที

“ชิน!”

ผู้จัดการรีบถอดเสื้อคลุมตัวหนา แม้เขาจะว่ายน้ำไม่เก่งเท่าชินแต่ก็พอมีความมั่นใจอยู่ในระดับหนึ่ง ในขณะที่กำลังปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตที่เป็นอุปสรรคในการดำน้ำอยู่นั้น

ตูม

เสียงกระโดดน้ำก็ดังขึ้น

“มีคนกระโดดลงไปแล้ว!”

ยอนโฮที่ไม่รู้ถอดเสื้อนอกและเสื้อเชิ้ตของตนเมื่อไหร่นั้นได้หายลับไปใต้น้ำที่หนาวเย็นเรียบร้อยแล้ว ทุกคนต่างพากันเพ่งดู ภาพใต้น้ำที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอมอนิเตอร์ฉายให้เห็นยอนโฮกำลังว่ายน้ำพุ่งตัวไปหาชินที่ทรมานจากอาการใกล้จะหมดอากาศหายใจ ชินรีบหันหน้าไปมองทันทีเมื่อรับรู้ถึงอะไรบางอย่างที่เข้ามาใกล้ แต่ชินกลับส่ายหน้าเมื่อเห็นยอนโฮ

“ชินส่ายหน้าทำไมน่ะ”

ภาพของชินที่ส่ายหน้าคล้ายปฏิเสธไม่ให้อีกฝ่ายเข้ามานั้นทำให้ผู้คนที่มองจอมอนิเตอร์พากันประหลาดใจ

มือข้างหนึ่งของยอนโฮคว้าจับเอวและอีกมือก็คว้าเข้าที่ต้นคอของชินอย่างรวดเร็ว ก่อนจะประกบริมฝีปากของตนลงบนริมฝีปากของชินเผื่อส่งอากาศให้

ทันทีที่ฟองอากาศเล็กๆ รอบตัวชินพลันหายไป เสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกพร้อมกับเสียงอุทานของผู้คนก็ดังขึ้นพร้อมกัน

พอตั้งสติได้ชินก็ผลักยอนโฮออก บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าชินตกใจที่ถูกจูบเมื่อครู่ ใบหน้าขาวซีดของชินกำลังย้อมด้วยสีแดงระเรื่อ ชินเม้มริมฝีปากแล้วเริ่มยกแขนแหวกว่าย สูงขึ้น สูงขึ้น จนในที่สุดร่างของเขาก็สามารถลอยเหนือน้ำได้

 

***

 

ชินที่กำลังอบอุ่นร่างกายอยู่บนรถยังคงหน้าแดงก่ำ

“เดี๋ยวมานะชิน”

ผู้จัดการไม่สามารถทนดูแฟนคลับเคาะกระจกรถที่ชินนั่งอยู่ได้อีกต่อไปจึงเปิดประตูลงไปจากรถ โชคดีที่กระจกติดฟิล์มทึบมาก คนภายนอกจึงไม่สามารถมองเห็นได้ว่าใบหน้าของชินแดงก่ำขนาดไหน

“ชินก็แค่เป็นตะคริว ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว ไม่ต้องตกใจนะครับ ชินขอเวลาพักสักครู่”

ผู้จัดการกล่าวกับแฟนคลับ แต่พวกเขากลับไม่ขยับไปไหน ทั้งๆ ที่คนตกน้ำคือชินแท้ๆ แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะตกใจยิ่งกว่าเจ้าตัวเสียอีก

“ไม่ต้องเรียกรถพยาบาลจริงๆ เหรอคะ”

แฟนคลับคนหนึ่งตะโกนถาม

“ไม่เป็นไรครับ อีกเดี๋ยวก็ต้องเข้าฉากแล้ว ได้โปรดช่วยหลบหน่อยนะครับ เขยิบออกไปหน่อย”

ผู้จัดการกางแขนออกกว้างกั้นผู้คนไม่ให้เข้าใกล้รถ ระหว่างนั้นยองชอลก็กำลังช่วยเช็ดผมให้ชินอยู่บนรถ

“ผมอยากอาบน้ำ”

ชินพูดเบาๆ

“อย่าเพิ่งอาบเลยครับ อีกเดี๋ยวก็ต้องเข้าฉากอยู่ดี”

ชินที่จ้องตอเล็กๆ รอบริมฝีปากของสไตลิสต์ครู่หนึ่งก่อนจะยกมือขึ้นลูบคางของตน แต่แล้วเขาก็รีบลดมือลงทันทีเมื่อรู้สึกถึงความเรียบลื่นของคางตัวเอง

“เอาเป็นว่าเปลี่ยนมาใส่เสื้อตัวนี้ก่อนนะครับ”

“อาบไม่ได้จริงๆ เหรอครับ”

ชินยังคงถามอีกครั้ง

“อืม…”

ความเงียบเข้าครอบคลุมภายในรถ เขาต้องทำให้ผมที่เปียกของชินแห้งและต้องแต่งหน้าเพิ่มอีกนิด แต่พอลองคิดดูแล้ว ถ้าแต่งหน้าใหม่หมดเลยหลังจากที่ล้างหน้าสะอาดแล้วก็คงจะดีกว่า

“เดี๋ยวผมลองไปถามผู้กำกับดู รอสักครู่นะครับ”

ยองชอลเปิดประตูรถออกไปด้านนอก ชินจึงเปลี่ยนมาใส่เสื้อตัวใหม่ และขณะที่กำลังจะถอดกางเกงที่เปียกชื้นออกใบหน้าของชินพลันแดงก่ำอีกครั้ง

“ทำไมหัวใจของเราถึง…” เต้นแรงขนาดนี้

ทั้งร่างกายและใบหน้าก็ร้อนผ่าวราวกับถูกไฟแผดเผา พอนึกถึงช่วงที่จมน้ำก็นึกถึงภาพใบหน้าของยอนโฮที่ว่ายเข้ามาเพื่อช่วยเหลือ มือโอบรอบเอว และจุมพิต เขาไม่แน่ใจว่าหัวใจที่เต้นรัวนี้เกิดขึ้นเพราะแรงมหาศาลที่โอบรอบเอวหรือเพราะจุมพิตที่ไม่ทันตั้งตัวกันแน่

“ก็แค่เม้าท์ทูเม้าท์ ก็แค่นั้น…”

ใบหน้าของชินแดงก่ำ

 

***

 

“ใช่ แค่เม้าท์ทูเม้าท์เท่านั้น”

ยอนโฮกำลังนั่งยิ้มอยู่ในรถของตัวเองที่จอดอยู่หลังรถของชิน หลังจากที่ชินว่ายขึ้นสระ ยอนโฮก็ว่ายตามขึ้นมาติดๆ ไม่รู้ว่าชินรีบร้อนอะไร พอขึ้นจากสระได้ก็พุ่งเข้ารถทันที ยอนโฮเห็นดังนั้นจึงเดินไปนั่งในรถของตนเช่นกัน

เวลาผ่านไปสักพักแล้ว แต่แทนที่อาการใจเต้นรัวจะสงบลง กลับเต้นแรงและเร็วกว่าเดิมเสียอีก

งานว่ายน้ำช่วยชีวิตคนไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ พอเห็นชินดูทุรนทุราย เขาก็ใช้แรงทั้งหมดที่มีเพื่อว่ายไปถึงตัวชินให้เร็วที่สุด จากนั้นก็โอบเอวแล้วจูบชินโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว ตอนแรกก็แค่ต้องการช่วยส่งต่ออากาศให้ชินหายใจได้ แต่พอชินหายใจเองได้แล้ว เขากลับไม่อาจละริมฝีปากออกมาได้ และไม่รู้ว่ามันกลายเป็นการจูบจริงตั้งแต่เมื่อไหร่

“นี่เราทำอะไรไป”

ยอนโฮยกมือข้างหนึ่งจับหน้าผาก แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าทำอย่างนั้นไปทำไม พอเห็นชินหน้าแดงก่ำจึงค่อยได้สติกลับคืนมา และเมื่อรับรู้ถึงแรงที่ผลักจึงได้รู้สึกตัวว่าทำเรื่องแปลกๆ ไปซะแล้ว

“ชิน นายกับหมอนั่น…ทำแบบนั้นกันจริงๆ เหรอ”

ทันทีที่ได้ยินเสียงพูดจากภายในรถของชิน มือของยอนโฮที่กำลังสางผมที่เปียกจึงหยุดชะงัก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผลข้างเคียงที่ได้รับขณะที่ถูกทดลองหรือเป็นเพราะประสิทธิภาพอันรุนแรงของยากันแน่ที่ทำให้เขาสามารถได้ยินเสียงจากที่ไกลๆ ได้แม้จะเป็นเสียงที่เบามากก็ตาม ตอนนี้หูของเขาสามารถรับรู้ได้แม้กระทั่งคลื่นเหนือเสียงโดยผ่านขั้นตอนขอสัญญาณไฟฟ้าที่ถูกเปลี่ยนเป็นคลื่นเสียงแล้วส่งต่อไปยังโสตประสาท

“หยุดนะ! ล้อผมเล่นอย่างนี้สนุกนักรึไง”

เสียงของชินที่ฟังดูว้าวุ่นใจทำให้ยอนโฮปรับเอนเบาะไปด้านหลังแล้วยกมือขึ้นกุมใบหน้าที่กำลังฉีกยิ้มกว้าง

 

***

 

“อ้าว ทำไมเหลือนายคนเดียวล่ะ”

หลังจากต้อนแฟนคลับให้ออกไปแล้ว ผู้จัดการก็กลับเข้ามาในรถอีกครั้ง

“ผมขออาบน้ำ เขาเลยลองไปสอบถามดูน่ะ”

“อาบน้ำเหรอ มีเวลาเหลือที่ไหนกันล่ะ”

ผู้จัดการก้มมองนาฬิกาก่อนจะหันหน้าไปมองชิน

“ฉันสงสัยอะไรนิดหน่อย…”

“อะไรเหรอ”

“ชิน นายกับหมอนั่น…ทำแบบนั้นกันจริงๆ เหรอ”

“พี่!”

“ก็เห็นพวกนายผ่านจอมอนิเตอร์…”

“หยุดนะ! ล้อผมเล่นอย่างนี้สนุกนักรึไง”

ชินตะคอก

“เอ๋? โทษที ไม่ได้คิดจะล้ออะไรสักหน่อย แค่เห็นว่าพอนายจมน้ำยอนโฮก็กระโจนลงน้ำก่อนฉันเสียอีก บอกตรงๆ เลยนะว่าตกใจ เห็นชอบทำหน้านิ่งๆ แต่ตอนนั้นยอนโฮรีบกระโดดลงน้ำโดยไม่มีทีท่าลังเลเลย แถมภาพที่เห็นผ่านกล้อง ทั้งสองคนยังทำอย่างนั้นกันใต้น้ำอีก…”

“พี่ต้องการจะพูดอะไร”

“ช่างเถอะ คนที่เขาช่วยก็คือนายอ่ะนะ”

ใบหน้าเปื้อนยิ้มของผู้จัดการเล่นเอาชินไร้ซึ่งคำพูด

“เอ้า เช็ดซะ”

ชินใช้ผ้าขนหนูที่อีกฝ่ายยื่นให้เช็ดขา ก่อนจะสวมกางเกงตัวใหม่อย่างทุลักทุเลเนื่องจากพื้นที่คับแคบ

“แล้วทำไมถึงเป็นตะคริวได้ล่ะ…ถือว่าโชคดีที่ไม่เป็นอะไรมากนะ”

 

***

 

“เป็นตะคริวงั้นเหรอ”

มุมปากของยอนโฮโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มขณะฟังบทสนทนาของทั้งคู่อยู่เงียบๆ เขารู้แล้วว่าทำไมชินที่ว่ายน้ำเก่งจึงจมน้ำ ทว่าแววตาของชินยังคงสร้างความไม่สบายใจให้แก่เขาเช่นเดิม ชินในตอนที่ส่ายหน้าใต้น้ำเมื่อเห็นเขา…

อย่าเข้ามา

ชินต้องการพูดแบบนั้นกับเขาแน่ๆ ในสถานการณ์ที่อาจจะเสียชีวิตแบบนั้น ทำไมถึงไม่มีแววยินดีเมื่อเห็นคนเข้ามาช่วยล่ะ

เขาพลันนึกถึงคำพูดของชินวันนั้นเมื่อสิบปีก่อน ในตึกที่เกิดไฟไหม้ชินบอกว่าทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะตัวเอง

“ความคิดโง่ๆ” ยอนโฮพึมพำ

การที่เคยเป็นทหารที่ทำการฝึกอยู่เสมอทำให้เขามีนิสัยเตรียมเสื้อผ้าสำรองเอาไว้ในรถเพื่อพร้อมเปลี่ยน และยังโชคดีที่เขามีสติถอดเสื้อคลุมและเสื้อเชิ้ตออกดังนั้นจึงมีแค่กางเกงที่เปียก หลังจากที่ยอนโฮเปลี่ยนกางเกงเสร็จ และเตรียมจะเปิดประตูรถออกไปด้านนอกนั้น…

“กางเกงของยอนโฮก็เปียกเหมือนกัน…พี่พอจะหาตัวใหม่ไปให้เขาเปลี่ยนได้มั้ย”

เสียงของชินดังขึ้น

 

***

“จะเป็นไปได้ยังไงครับ ฆาตกรมันโผล่มาที่โรงพยาบาลนี้แน่นอน แต่คุณกลับบอกว่าไม่มีบุคคลน่าสงสัยเข้ามาที่โรงพยาบาลเลยได้ยังไง”

[คนที่มาเยี่ยมคุณคิมชินในวันนั้นก็มีแต่เพื่อนและคนรู้จักของคุณคิมชินทั้งนั้น คุณก็รู้ไม่ใช่เหรอครับว่าห้องพักพิเศษนี้มีกฎห้ามบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามา แล้วกว่าจะเข้ามาได้ก็ต้องผ่านการตรวจสอบถึงสามครั้ง จะบอกว่าฆาตกรผ่านการตรวจสอบจนเข้ามาได้มันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ]

“แล้วดาดฟ้าล่ะครับ มันอาจจะปีนขึ้นปีนลงผ่านเชือกบนดาดฟ้านั่นก็ได้”

[อืม พวกเราเองก็กำลังตรวจสอบอยู่ครับว่าบางทีมันอาจเข้าออกโดยใช้เส้นทางอื่น]

“ว่าแต่ไม่เห็นคนที่กระโจนออกจากห้องพักผู้ป่วยจริงๆ เหรอครับ ให้ตายสิ…”

[ทางเราได้ตรวจสอบ CCTV ทั้งหมดแล้ว แต่ไม่เห็นผู้ชายที่สวมชุดกันฝนเลยครับ ก็อย่างที่ทราบว่าเราไม่ได้ติดตั้งกล้องบริเวณห้อง VVIP เพื่อความเป็นส่วนตัวของผู้ป่วย นอกนั้นแล้วพวกเราก็พยายามค้นหาจนทั่ว แต่ยังไม่พบร่องรอยอะไรเลยครับ]

“คุณดูทั่วแล้วแน่เหรอ หากเป็นไปตามที่คุณพูดจริง มันก็คงไม่ใช่คนแล้วล่ะมั้ง”

พอผู้จัดการตะโกนเสร็จก็ปิดมือถือแล้วโยนลงบนเก้าอี้อย่างหัวเสีย

“ตำรวจเกาหลีก็ควรทำตัวให้น่าเชื่อหน่อยสิ แค่คนร้ายคนเดียวก็ยังจับไม่ได้”

ชินเหลือบตามองผู้จัดการที่บ่นกระฟัดกระเฟียด ดูเป็นเดือดเป็นร้อนและหวาดผวาฆาตกรเสียยิ่งกว่าตัวเขาที่ถูกกระทำเสียอีก

“เอ่อ…ยอนโฮนั่นน่ะ ถ้าเขาเก่งอย่างที่พูดจริง ถ้าคนร้ายโผล่มาอีกก็คงทำอะไรผมไม่ได้หรอก ไม่ต้องห่วงไปหรอกนะพี่”

แม้ชินจะพูดอย่างนั้น แต่ผู้จัดการก็ยังคงเป็นกังวลอยู่ดี

 

***

 

“พรุ่งนี้มีถ่ายตั้งแต่เจ็ดโมงเช้านะ ถ้านายอาบน้ำนอนตั้งแต่ตอนนี้ก็จะมีเวลานอนประมาณสี่ชั่วโมง พรุ่งนี้ฉันจะขับรถมารอตอนหกโมงครึ่งนะ”

“ขอบคุณมากนะพี่”

หลังจากรถของผู้จัดการแล่นห่างออกไปจนลับสายตาแล้ว ชินก็ทำท่าจะเดินเข้าบ้าน แต่ระหว่างนั้นก็หันไปเห็นยอนโฮกำลังมองสำรวจไปรอบๆ

“บ้านผมปลอดภัยดี ไม่ต้องทำหน้าเคร่งขนาดนั้นหรอก”

“…” ยอนโฮยิ้มเยาะ

ปลอดภัยงั้นเหรอ พูดโง่ๆ ที่ที่อันตรายที่สุดก็คือที่ที่ตัวเองคุ้นเคยมากที่สุด

ดูเหมือนชินจะไม่รู้เรื่องนี้ ครั้งแรกที่มาถึงบ้านนี้ยอนโฮก็ลงมือกำจัดกล้องที่แอบติดตั้งไว้ถึงเจ็ดตัวในบริเวณรอบบ้านของชิน ที่ชินพูดว่าบ้านตัวเองปลอดภัยนั่นก็แสดงให้เห็นว่าชินคงไม่รู้เลยว่ามีกล้องต่างๆ แอบซ่อนอยู่ แล้วใครที่สามารถติดตั้งกล้องภายในบริเวณบ้านของท็อปสตาร์อย่างชินได้ล่ะ คำตอบนี้มีเพียงคำตอบเดียว

ประธานต้นสังกัดของชิน

เพราะนอกจากผู้จัดการแล้วคนที่จะสามารถเข้าออกบ้านนี้ได้อย่างอิสระก็คงมีเพียงประธานเพราะตอนนี้ชินไม่เหลือครอบครัวแล้ว

แต่เพื่ออะไรกันเล่า ทำไมจะต้องซ่อนกล้องภายในบ้านของดาราในสังกัดบริษัทตนเองด้วย

“ขอบคุณ”

เสียงของชินเรียกสติของยอนโฮคืนมา

“…”

“ก็แค่อยากจะบอก”

“อืม” ยอนโฮตอบรับด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“ไม่ต้องเดินไปส่งถึงข้างในก็ได้ แล้วพรุ่งนี้…”

“ถ้าคุณไม่ว่าอะไร ผมขอไปทำธุระที่อื่นสักสองชั่วโมง”

ชินหันมองยอนโฮที่กำลังมองนาฬิกาแล้วพูดขึ้นว่า

“ถ้ามีธุระต้องทำก็ไปทำเถอะ เมื่อกี้ผมก็…”

“ผมมีหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้คุณ ดังนั้นผมจะต้องอยู่กับคุณตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ดังนั้นขอเวลาแค่สองชั่วโมงก็เพียงพอแล้วล่ะ”

“อยู่ด้วยกันตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเหรอ ไม่เอา”

“…”

“ผมอยากมีเวลาส่วนตัวตอนกลางคืนบ้าง เพราะฉะนั้นพรุ่งนี้…”

“อีกสองชั่วโมง เดี๋ยวกลับมา”

“นี่ฟังคำพูดของคนอื่นหน่อยได้มั้ย บอกว่าไม่ต้องมาก็แปลว่าไม่ต้องมาไงเล่า! เจ้านายคือผมไม่ใช่เหรอ”

ยอนโฮมองชินที่แผดเสียงดังนิ่งๆ ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปเงียบๆ

 

***

 

“รับผิดชอบความปลอดภัยเหรอ ใครเป็นนายจ้าง ใครเป็นลูกจ้างกันแน่เนี่ย”

พอเข้ามาในบ้าน ชินก็ถอดเสื้อคลุมแล้วโยนทิ้งอย่างหัวเสียก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ ไม่รู้ทำไมเขาจึงรู้สึกน้อยใจเมื่อได้ยินว่ายอนโฮมีธุระต้องไปทำประมาณสองชั่วโมง หรือเป็นเพราะความตื่นเต้นที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของยอนโฮตอนที่กำลังมองนาฬิกา แต่พอนึกถึงตัวเองที่พ่นคำพูดคล้ายแง่งอนขึ้นมา ใบหน้าก็พลันรู้สึกร้อนวูบ

“เพราะหน้าที่เหรอ เขาถึงกระโดดลงไปช่วยแบบนั้น”

ซ่า

สายน้ำที่ไหลลงปะปนกับเสียงถอนหายใจ

“คิดบ้าอะไรเนี่ยเรา”

ชินถูฟองสบู่บนร่างกายที่เหนียวเหนอะจากการที่ไม่ได้อาบน้ำในกองถ่าย หลังจากล้างฟองออกแล้ว ชินก็ยังคงยืนนิ่งอยู่ใต้สายน้ำนั้นอยู่นาน

“จะสองชั่วโมงหรือสองวันก็ไม่สนใจหรอก…ไม่สิ อยากลาออกก็เชิญตามสบาย ไม่เกี่ยวอะไรกับเราสักหน่อย…”

ชินเงยหน้า ปล่อยให้สายน้ำไหลผ่าน

 

***

 

“เป็นอะไรไปครับ”

“เดี๋ยวนะ เหมือนได้ยินเสียงอะไรน่ะ”

ยอนโฮหยุดการสนทนาแล้วพยายามเงี่ยหูฟัง

“คิดบ้าอะไรเนี่ยเรา”

“…”

“จะสองชั่วโมงหรือสองวันก็ไม่สนใจหรอก…ไม่สิ อยากลาออกก็เชิญตามสบาย ไม่เกี่ยวอะไรกับเราสักหน่อย…”

เสียงของชินที่ฟังดูกระเง้ากระงอดบ่นพึมพำกับตัวเอง ยอนโฮยิ้มกว้างจนมินฮยองถึงกับตกตะลึง

“ได้ยินอะไรเหรอครับ”

“อ๋อ เปล่าๆ”

ยอนโฮหุบยิ้ม แล้วคุยกับมินฮยองต่อ

“ได้ยินว่าฮันแซหัวหน้าแก๊งซังดูปรากฏตัวที่คังนัมงั้นเหรอ”

“ครับ ได้ข่าวว่าโฮสต์บาร์ที่มาดามชินดูแลอยู่ก็ปิดตัวลงไปแล้ว คงเป็นเพราะฝีมือของพวกมัน”

“แล้วตอนนี้ฮันแซไปดูแลโฮสต์บาร์นั้นแทนเหรอ”

“เปล่าครับ ไม่ใช่ที่นั่น เห็นว่าไปเปิดโฮสต์บาร์ขนาดใหญ่ใกล้ๆ กันเมื่อไม่นานมานี้เองครับ ดูเหมือนว่าจะให้ฮันซังชอลที่เป็นน้องต่างมารดาเป็นคนรับผิดชอบ”

“อืม…”

หัวคิ้วของยอนโฮพลันกระตุกเมื่อนึกถึงฮันแซ

เมื่อสมัยยังอยู่หน่วยรบพิเศษ ตอนนั้นฮันแซร่วมมือกับฝ่ายบุคคลของกองทัพและทำการทุจริต พอยอนโฮรู้เข้าจึงเกิดการต่อสู้กันแล้วฮันแซก็พลาดท่าถูกยอนโฮฟันเข้าที่ใบหน้าจนสูญเสียดวงตาไปข้างหนึ่ง จากนั้นก็ถูกจับกุมตัวไป

“หมายความว่าฮันแซถูกปล่อยตัวออกมาแล้วงั้นสิ”

ยอนโฮสืบหารายชื่อของคนที่สมรู้ร่วมคิดทั้งหมด หนึ่งในนั้นเป็นชื่อของผู้บังคับบัญชาการหน่วยที่ยอนโฮสังกัด ซึ่งแม้แต่ตัวชายหนุ่มเองยังไม่อยากจะเชื่อ เพราะผู้บังคับบัญชาคนนี้เป็นคนที่ได้รับความเคารพและไว้วางใจจากทหารทุกนาย แต่เขากลับทำการทุจริตเช่นนี้ได้ ไม่ว่าจะคิดอย่างไรยอนโฮก็ไม่สามารถหาคำตอบให้กับเรื่องนี้ได้จริงๆ

นายพลคิมเป็นคนที่ยอนโฮนับถือเสมือนพ่อ ไม่ว่าจะเป็นการฝึกที่เหนื่อยยากลำบากเพียงใด เขาผู้นั้นก็มักจะมาให้กำลังใจอยู่เสมอ

ยอนโฮจึงไม่อาจรายงานชื่อนั้นต่อเบื้องบนได้ และในที่สุดยอนโฮก็เข้าไปพบนายพลคิมเพื่อถามความจริง และคงเป็นเพราะเรื่องนี้ ยอนโฮจึงได้ถูกลักพาตัวไปยังห้องทดลองลับในขณะที่กำลังจะไปหาชินที่สถานเลี้ยงเด็ก

การที่ฮันแซถูกปล่อยตัวนั่นก็หมายความว่านายพลคิมอยู่สุขสบายดี

“ปัญหาก็คือถ้าฮันแซจำคุณได้ คุณก็จะตกอยู่ในอันตราย ดังนั้นช่วย…”

“ไม่มีทาง”

“ไม่ใช่คุณหรอกเหรอที่ทิ้งรอยมีดไว้บนใบหน้าของฮันแซ แถมมันยังต้องเสียดวงตาไปก็เพราะคุณ ไม่ว่าเรื่องนั้นมันจะผ่านมานานแค่ไหน คุณก็ตกอยู่ในอันตรายอยู่ดี ดังนั้นได้หยุดเคลื่อนไหวสักระยะเถอะนะครับ”

“มินฮยอง” ยอนโฮมองคนที่เป็นเหมือนน้องชาย “ยังขี้กังวลเหมือนเดิมเลยนะ”

ยอนโฮตบบ่ามินฮยองเบาๆ ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงจนมากแค่ไหน แต่ตัวตนของเขาที่พวกนั้นรับรู้คือลีจองอูซึ่งตายไปแล้ว หลังกลับมาที่เกาหลีเจสก็ได้หาศพหนึ่งมาศัลยกรรมถึงสี่ครั้งให้มีใบหน้าที่เหมือนเขาที่สุด เพื่อทำให้พวกนั้นเชื่อว่าเขาได้ตายไปจากโลกนี้แล้วจริงๆ ซึ่งเจสได้พยายามทำให้เหมือนแม้กระทั่งลายนิ้วมือและการเรียงตัวของฟัน

เมื่อพวกนั้นพบศพที่มีรายละเอียดต่างๆ เหมือนเขา ไม่ว่าจะเป็นลายนิ้วมือหรือตราประทับที่แผ่นหลังพวกมันก็รีบลงมือเผาศพนั่นทันที ซึ่งหากได้เจอกันอีกครั้งคนพวกนั้นก็คงไม่คิดหรอกว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่

“เอาของที่ฉันบอกเมื่อคราวก่อนมามั้ย”

มินฮยองยื่นกระเป๋าขนาดใหญ่ให้เมื่อยอนโฮถามถึง

“คุณคิดจะอยู่กับคิมชินไปจนถึงเมื่อไหร่ครับ”

บนใบหน้าของมินฮยองยังคงเต็มไปด้วยความกังวล

“ไม่รู้สิ”

ยอนโฮเปิดกระเป๋าดูของที่อยู่ภายใน

“ยังมีเรื่องที่จะต้องรู้ให้ได้ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้หรอก”

เขายังไม่รู้ความหมายของตราประทับที่แผ่นหลังของชิน หากชินเป็นหนูในห้องทดลอง H-DIS แล้วทำไมถึงยังไม่ตาย ทำไมถึงยังมีชีวิตรอดมาจนถึงปัจจุบันได้ ยอนโฮจะต้องรู้ให้ได้ว่าชินมีความสามารถพิเศษอะไรรึเปล่า ขนาดเขาเองยังต้องพึ่งยาของเจสทุกเดือน แต่ทำไมชินจึงดูปกติดี…เขาต้องสืบข้อสงสัยทั้งหมดให้ได้

ยอนโฮตบไหล่ของมินฮยองเบาๆ ก่อนจะขึ้นรถ มินฮยองก้มหัวทำความเคารพ รอจนรถของยอนโฮจากไปไกลแล้วจึงเดินไปขึ้นรถของตัวเอง

บนถนนอันเงียบสงบ

ความมืดเข้าปกคลุมพื้นที่อีกครั้งเมื่อรถทั้งสองจากไป

 

***

 

“ไม่ ได้โปรด อย่า…อึก”

สองมือของชินกำผ้าปูที่นอนแน่น ตามง่ามมือที่ขยำผ้าปูดูแดงก่ำคล้ายเลือดคั่ง ชินตะโกนพลางสะอึกสะอื้น

ฝันร้ายเริ่มขึ้นอีกครั้ง ความทรงจำในตอนนั้นกำลังบีบรัดเขาจนหายใจไม่ออก

“ตื่น!”

มือของยอนโฮเขย่าร่าง แต่ชินยังคงถูกขังอยู่ในความฝันที่ไม่อาจตื่นนี้ร่วมยี่สิบนาทีแล้ว

“ไม่ ก็บอกว่าไม่ไงเล่า”

มือชื้นเหงื่อโบกสะบัดกลางอากาศ ยอนโฮจับมือของชินเอาไว้ ก่อนจะแทรกนิ้วของตนเข้าไประหว่างนิ้วเรียวงามนั้นแล้วกำเอาไว้แน่น

“ตื่น ชิน!”

ยอนโฮเขย่าร่างของชินอีกครั้ง มันช่างเป็นฝันร้ายที่ไม่อาจปลุกให้ตื่นโดยง่ายดาย

“ไปนะ! หลบไป!”

ร่างของชินที่ยังคงตะโกนโหวกเหวกพลันสั่นสะท้าน

“ชิน!”

ยอนโฮตบหน้าของชินเบาๆ เพื่อปลุกอีกครั้ง เม็ดเหงื่อที่ผุดบนหน้าผากเริ่มไหลริน

เขากำลังฝันถึงอะไรกันแน่

ยอนโฮปล่อยมือนั้นแล้วลุกขึ้นไปหยิบผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นเพื่อมาเช็ดตัวให้ชิน ไล่ตั้งแต่หน้าผากจนทั่วใบหน้า ทว่าวินาทีที่มือของเขาเลื่อนไปถึงหน้าอกนั้นเองเปลือกตาของชินก็เปิดขึ้นเล็กน้อย

“จองอู…”

ทันทีที่ชื่อเก่าของเขาถูกเอ่ยออกมาจากปากของชิน ดวงตาของยอนโฮพลันเบิกกว้าง

ทำไมจึงเอ่ยชื่อนั้น…

เขาไม่อยากเชื่อว่าจะได้ยินชื่อนั้นจากปากของชินอีกครั้ง

“จำได้เหรอ”

ยอนโฮถามชินที่ยังลืมตาได้ไม่เต็มที่

“พี่…จองอู”

ยอนโฮยกผ้าขนหนูเช็ดหน้าให้ชินอีกครั้ง

ช่างน่าตกใจจริงๆ ชินยังจำชื่อของตนเมื่อสิบปีก่อนได้

ช่วงเวลาห้าปีที่ได้รู้จักกันนั้นไม่ใช่เวลาสั้นๆ ตอนนั้นชินก็แค่เด็กสิบขวบแต่กลับดูแลน้องๆ ได้อย่างดีราวกับเป็นหัวหน้าครอบครัวในสถานรับเลี้ยงเด็กที่เก่าโทรม เด็กชายที่แบกเด็กที่อ่อนกว่าตนไปตามถนนมืดมิดในยามดึก ตอนที่เห็นเด็กคนนั้นผ่านกระจกรถ เขาก็รู้อดสึกสงสารไม่ได้

‘ที่นี่ไม่มีผู้ใหญ่เลยรึไง’

‘ทุกคนเสียชีวิตหมดแล้วครับ ตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่พี่ชาย ผม แล้วก็น้องครับ’

‘ไม่มีคนช่วยเหลือเลยเหรอ’

ชินส่งยิ้มสว่างไสวแทนคำตอบ

 

***

 

“ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่…”

เปลือกตาของชินลืมขึ้นเต็มที่แล้ว เมื่อร่างกายรับรู้ถึงความเย็นที่มาสัมผัส ฝันร้ายก็อันตรธานหายไป

“เหงื่อโชกเลยนะ”

ยอนโฮวางผ้าขนหนูในมือลงบนโต๊ะเล็กๆ ข้างเตียง

“ผมน่าจะบอกไปแล้วว่าอยากอยู่คนเดียว”

“ก็บอกแล้วไงว่าจะอยู่ข้างๆ ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง”

พอเห็นยอนโฮทำหน้าจริงจัง ชินก็ทำท่าไม่พอใจ

“ฝันร้ายบ่อยเหรอ”

“…”

“เริ่มเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ไม่ใช่เรื่องของคุณ”

ชินพยุงตัวลุกขึ้นจากเตียง พอจะรู้ว่ายอนโฮกำลังคิดอะไรเมื่อเห็นสภาพของเขาที่เป็นแบบนี้ ใบหน้าเปื้อนน้ำตา ทั่วร่างสั่นสะท้าน และยังมีของเหลวสีขุ่นที่ทะลักเปรอะเปื้อน…ฝันร้ายในวันนั้นทำให้ชินมีสภาพเละเทะแบบนี้

“ยาระงับประสาท ยานอนหลับ และนี่เหมือนจะเป็นยาต้านโรคซึมเศร้า”

ยอนโฮเปิดลิ้นชักของโต๊ะเล็กๆ ข้างเตียงแล้วหยิบยาออกมาดู ชินจึงรีบคว้ามือของเขาเอาไว้

“จะทำอะไร”

“เอาไปทิ้ง”

“ว่าไงนะ”

“ยาพวกนี้ช่วยอะไรไม่ได้หรอก”

ยอนโฮกำยาในมือ

“หยุดอยู่ตรงนั้นนะ”

ชินตะโกนใส่หลังยอนโฮที่กำลังหมุนตัวเดินไป รู้สึกเหมือนความโกรธภายในจะปะทุออกมา การกระทำของยอนโฮที่เข้ามายุ่งวุ่นวายในตอนนี้ เหมือนจองอูที่จู่ๆ ก็เข้ามาในชีวิต คอยดูแลตนเป็นอย่างดี แล้วก็หายตัวไป

“ขอเตือนว่าอย่าแตะของของผม”

ชินเสียงแข็ง เขาจะไม่อนุญาตให้ใครก้าวเข้ามาในชีวิตของเขาง่ายๆ อีกแล้ว

“เด็กไม่ควรมีสิ่งของอันตรายพวกนี้”

“คุณนี่…”

“ขอตัวเอาไปทิ้งก่อน เดี๋ยวมา”

แล้วยอนโฮก็เปิดประตูห้องเดินออกไป

 

***

 

“เฮ้ คังฮเยรี สติยังไม่กลับมาอีกเหรอ”

วินาทีที่รถตู้สีขาวคันหนึ่งวิ่งเข้ามายังสถานที่ถ่ายทำ คังฮเยรีก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ทันที ทั้งยังผุดลุกผุดนั่งไม่หยุด แม้กระทั่งตอนนี้ที่กำลังแต่งหน้า ฮเยรีก็ยังเอาแต่จดจ้องรถตู้สีขาวตาเป็นมัน กระทั่งประตูรถเปิดออกและร่างของชินก้าวลงมา เธอก็โบกมือพลางวิ่งเข้าไปหาชินทันที

“ชิน!”

“นี่ ยัยคังฮเยรี”

พี่สาวของเธอได้แต่ตะโกนเรียกเสียงดังลั่น

“หนูอยากจะบ้าตายกับการกระทำของพี่ฮเยรีจริงๆ”

ช่างแต่งหน้าประจำตัวของฮเยรีโยนแปรงในมือลงอย่างหัวเสีย

“โทษที นิสัยของฮเยรีเขาค่อนข้าง…”

“เห็นว่าเป็นท็อปสตาร์แถวหน้า นึกว่าจะมือโปร ที่ไหนได้ดูท่าจะหนักกว่านักแสดงคนอื่นเสียอีกนะคะ ไม่ว่าจะรีบขนาดไหนก็น่าจะรอแต่งหน้าให้เสร็จก่อน จู่ๆ วิ่งออกไปแบบนี้หนูจะทำไง”

พี่สาวของฮเยรีพยายามปลอบประโลมช่างแต่งหน้าที่เอาแต่ถอนหายใจไม่หยุด

“เธออาจจะยังไม่รู้ว่านักแสดงคนอื่นก็แบบนี้กันหมดแหละ แต่อย่างน้อยฮเยรีก็เรื่องมากน้อยกว่านักแสดงหญิงคนอื่นนะ”

“แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่น่าทำตัวแบบนี้…”

ช่างแต่งหน้าได้แต่ถอนหายใจ

 

***

 

“ชิน! ไม่เป็นไรนะ ไม่สบายตรงไหนรึเปล่า”

ฮเยรีเข้ามาใกล้พร้อมกับสำรวจสีหน้าของชิน

“เอ่อ…”

ชินถึงกับพูดไม่ออกเมื่อจู่ๆ ฮเยรีก็วิ่งเข้ามาจับมือพร้อมถามไถ่ ชินเคยทำงานร่วมกับเธอหลายงานแล้ว ทุกครั้งที่เจอกันในกองถ่ายเธอก็มักแสดงท่าทีเช่นนี้กับเขาเสมอ แต่นอกเหนือจากเรื่องงานแล้ว เขาไม่เคยนัดพบกับเธอนอกรอบเลย สำหรับเขาเธอก็เป็นเพียงเพื่อนร่วมงาน ไม่มากหรือน้อยไปกว่านั้น

“ฉันเป็นห่วงแทบแย่ หลังจากวันนั้นฉันก็เห็นข่าวในอินเตอร์เน็ต”

“คุณฮเยรีเป็นห่วงชินของพวกเราเหรอครับ”

ผู้จัดการเอ่ยแทรกขึ้นมาอย่างจงใจ ก่อนจะแอบดึงมือของเธอออกจากชินเนียนๆ

“เป็นห่วงสิคะ เป็นห่วงจนอยากไปเยี่ยมชินที่บ้าน แต่ก็กลัวโดนแอบถ่ายจนเป็นข่าวก็เลยไม่กล้าไปน่ะค่ะ”

ฮเยรีหันหน้าไปหาชิน

“อยากจะโทรหาแต่ก็ไม่มีเบอร์โทรของนายเลย ไม่แปลกเหรอ เราถ่ายงานด้วยกันก็หลายครั้ง อย่าว่าอย่างโน้นอย่างนี้เลยนะชิน ไหนๆ ก็ไหนแล้ว ขอเบอร์โทรนายหน่อยสิ นะๆ”

“โทรหาผมก็ได้ครับคุณฮเยรี เดี๋ยวผมแจ้งข่าวของชินให้เอง…”

“คุณผู้จัดการช่วยอยู่เฉยๆ ได้มั้ยคะ”

สายตากินเลือดกินเนื้อของฮเยรีที่จ้องผู้จัดการพลันจางหายไปทันทีเมื่อชินมองมา ไม่รู้เพราะเหตุใด แต่ไม่มีใครรู้เบอร์โทรของชินเลย ทั้งที่ชินเองก็เริ่มมาจากการเป็นนักแสดงวัยรุ่น แล้วก้าวขึ้นสู่แถวหน้าของวงการเช่นเดียวกันกับเธอ ในระยะเวลาที่ผ่านมาเส้นทางเหล่านั้นก็ยาวนานเพียงพอที่จะให้เขาสานสัมพันธ์กับผู้คนในวงการได้มากมายแท้ๆ

“ว่าแต่ว่าคุณฮเยรี ใบหน้าของคุณตอนนี้…”

ผู้จัดการชี้ไปที่หน้าของฮเยรี

“หน้าของฉันมีอะไรเหรอคะ”

คงเพราะกระโดดออกมาระหว่างแต่งหน้านั่นเอง ใบหน้าด้านขวาจึงยังคงกระดำกระด่างต่างจากด้านซ้ายที่ได้รับการลงรองพื้นแล้ว เธอคงรีบวิ่งมาหาชินโดยที่ไม่รู้ตัวว่าหน้าครึ่งซีกนวลผ่อง อีกครึ่งซีกยังเบี่ยงหน้าสด

ผู้จัดการสังเกตเห็นว่าชินกำลังกลั้นขำกับสภาพของเธอ

“ว่าแต่คนโน้นใครคะ”

สายตาของฮเยรีมองไปด้านหลัง ยอนโฮกำลังยืนจ้องเธอเขม็ง ซึ่งสายตาเย็นยะเยือกของยอนโฮทำให้เธอตกใจ

“บอดี้การ์ดของชินน่ะครับ”

“บอดี้การ์ดเหรอคะ ทำไมต้องมีบอดี้การ์ดด้วยล่ะคะ”

หญิงสาวเอียงหน้าคล้ายงุนงง ตอนที่ชินรับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล เรื่องที่คนร้ายปรากฏตัวขึ้นในโรงพยาบาลที่ชินรับการรักษานั้นได้ถูกประธานลีจัดการไว้ไม่ให้รั่วไหลถึงสื่อต่างๆ ดังนั้นฮเยรีจึงไม่รู้ความจริงนี้

ฮเยรีมองยอนโฮ แค่มองแป๊บเดียว ความน่าเกรงขามที่แผ่ออกจากร่างของยอนโฮก็แทบทำให้คนที่เห็นถึงกับหายใจไม่ทั่วท้อง เธอพยายามเค้นสมองว่าทำไมต้องมีบอดี้การ์ดขนาบข้างชินแบบนี้ แล้วในที่สุดก็นึกอะไรบางอย่างออก

ชิน นายคงไม่ได้เป็นลมเพราะทำงานหนักเกินไปใช่ไหม

ลางสังหรณ์ประหลาดวาบผ่านขึ้นในห้วงความคิด

 

***

 

เย็นวันศุกร์ที่สุดเหวี่ยง ฮันแซได้ทำให้พาราไดซ์โฮสต์บาร์กลายเป็นสวรรค์แห่งคังนัม มีข่าวลือว่าที่นี่เต็มไปด้วยชายหนุ่มรูปร่างหน้าตาดี บรรดาสาวน้อยสาวใหญ่จึงมารวมตัวกัน

คืนนี้ก็เช่นกัน สาวน้อยสาวใหญ่มากันจำนวนมากจนโฮสต์ให้บริการไม่พอ

“ก็บอกว่าไปหาคนหน้าตาดีๆ แถวนี้มาไง!”

ซังชอลตะคอกใส่พนักงานสองคน สภาพของทั้งคู่บ่งบอกได้ว่าเพิ่งถูกกระทืบมาเสียสะบักสะบอม เลือดออกปากออกจมูก เนื้อตัวเขียวช้ำ

“ถ้าโฮสต์ไม่พอจนต้องเสียลูกค้าไปล่ะก็ ลูกพี่คงได้เล่นกูตายแน่ พวกมึงรีบไสหัวไปจับคนแถวนี้ห้าคนมาทำงานเดี๋ยวนี้!”

พนักงานทั้งสองรีบพยักหน้า ก่อนจะรีบวิ่งออกไป

 

ในเวลาทองที่แต่ละบาร์ต่างก็ต้องแข่งกันทำกำไรเช่นนี้จะไปหาโฮสต์ได้จากที่ไหน แต่จะให้เดินเตร็ดเตร่มองหาตามท้องถนนอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ก็ไม่ได้เช่นกัน อย่างน้อยก็ต้องหาโฮสต์สักห้าคนไปให้ซังชอลไม่เช่นนั้นพวกเขาต้องโดนฆ่าตายแน่

หลังจากมองหาตามซอกซอยต่างๆ อยู่ครึ่งชั่วโมง พวกเขาก็เห็นนักศึกษาหนุ่มกลุ่มหนึ่งเพิ่งเดินออกมาจากร้านเบียร์

หนึ่ง สอง สาม…มีทั้งหมดหกคน ไม่มีเวลาให้ลังเลใจอีกต่อไปแล้ว หากไม่ลากคนพวกนี้ไป คนที่จะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตต้องเป็นพวกเขาแน่นอน เขาหยิบมือถือขึ้นมากดโทรออกทันที

“ที่นี่มีเหยื่อ รีบส่งคนมาด่วน”

หลังจากกดวางสาย พวกเขาก็ปรี่เข้าไปหากลุ่มนักศึกษาที่กำลังพูดคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน

 

***

 

“จำเป็นที่จะต้องถอดเสื้อผ้าถ่ายด้วยเหรอ”

พอรู้ว่าชินจะต้องถอดเสื้อเพื่อถ่ายทำฉากเลิฟซีน ยอนโฮก็พูดขึ้นอย่างไม่พอใจ

“นี่คิดจะแทรกแซงแม้กระทั่งงานแสดงของผมเลยเหรอยอนโฮ ดูเหมือนว่าคุณจะเข้าใจอะไรผิดไปนะ…”

แต่พอเห็นสายตาที่เย็นยะเยือกมองมา ชินก็ชะงัก

“ทะ…ทำไม…”

ยอนโฮเดินมาหยุดที่ตรงหน้าชิน ก่อนจะยกมือจับบ่าของชินแล้วพลิกตัวเขาไปอีกด้าน

“ทะ…ทำอะไรน่ะ…”

“อยู่นิ่งๆ”

ยอนโฮหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋า

แควก

เสียงฉีกกระดาษดังขึ้นพร้อมกับที่มีอะไรเย็นๆ บางอย่างสัมผัสแผ่นหลัง

“คุณทำอะไรน่ะ”

พลาสเตอร์สีเดียวกับผิวถูกแปะปิดตราประทับสีแดงบนแผ่นหลังของชิน

“นายมีไอ้นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่”

“นะ…นั่น…ทำไม…อึก”

ชินนิ่วหน้าเมื่ออีกฝ่ายเพิ่มแรงที่ดันแผ่นหลังของเขามากขึ้น

“พูด!”

“อายุสิบห้า”

ตอนอายุสิบห้าเหรอ จำได้ว่าตอนนั้นชินยังไม่มีนี่นา…

วันที่ช่วยชินในตึกที่ถูกเปลวเพลิงเผาไหม้ ตอนนั้นเขาพยุงชินที่ไร้สติออกมา แผ่นหลังของเด็กหนุ่มที่มองเห็นผ่านเสื้อที่ขาดรุ่ยคล้ายกับว่ายังไม่มีตราประทับแบบนี้ แสดงว่าน่าจะเกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์นั้นสินะ

“ปล่อย! เจ็บนะ”

มือของชินพยายามดันยอนโฮออกไปอย่างแรง นี่เป็นครั้งแรกที่ชินเห็นว่าแววตาของยอนโฮดูสับสน ยิ่งไปกว่านั้นทำไมเขาจะต้องทำหน้าเครียดและไต่ถามเกี่ยวกับตราประทับของตนด้วยเล่า

แต่แล้วแววตาของชินที่มองยอนโฮก็พลันวูบไหว

“คุณรู้จักสิ่งนี้เหรอ”

ชินเอ่ยถาม ยอนโฮรู้จักตราประทับที่ปรากฏอยู่บนแผ่นหลังของตนได้อย่างไร ชายสวมหน้ากากที่ช่วยตนจากเพลิงไหม้เมื่อสิบปีก่อน…แผ่นหลังของเขาคนนั้นก็มีตราประทับแบบนี้

หรือว่ายอนโฮ…จะมีอะไรบางอย่างเกี่ยวข้องกับเขาคนนั้น หรือไม่ก็เป็นคนที่จะทำอันตรายเขาคนนั้นทำไมยอนโฮจะต้องสนใจตราประทับนี้ด้วย

แววตาของชินที่จ้องยอนโฮค่อยๆ เปลี่ยนเป็นแววตาดุร้าย

“คุณมีจุดประสงค์อะไรถึงได้เข้ามาใกล้ผม”

หากยอนโฮเป็นหนึ่งในคนที่พยายามเข้าใกล้เขาเพื่อจะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของชายสวมหน้ากากล่ะก็…แสดงว่ายอนโฮจะต้องเป็นคนที่อันตรายที่สุด

 

ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน The Star’s Love Relationship รักลับของซูเปอร์สตาร์ ฉบับเต็ม

ที่งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติครั้งที่ 47 บูธเอเวอร์วาย Y04 โซน Hall A, บอลรูม

ตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป, JamClub หรือคลิกสั่งซื้อได้ที่ Jamshop

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

Editor Jamsai: