บทที่ 6
สาวใช้ทั้งสี่ของหลี่เมิ่งซีกำลังเลือกน้ำหอมที่นางปรุงขึ้นใหม่ พวกนางถือขวดใบเล็กสูดดมไปมา จือชุนดมพลางพูด “สะใภ้รองเก่งจริงๆ คิดได้อย่างไรว่าต้องนำเครื่องหอมไปละลายน้ำแล้วปรุงเป็นน้ำหอม เช่นนี้เวลาใช้ก็สะดวกขึ้นมาก เวลาซักเสื้อผ้าแล้วไม่ต้องนำไปรมกำยาน สะดวกจริงๆ เจ้าค่ะ”
จือซย่าพูดต่อ “ขวดนี้กลิ่นหอมอ่อนจาง คล้ายมีคล้ายไม่มี ดมแล้วให้ความรู้สึกสดชื่นและสบายใจ ทำจากเครื่องหอมสงบใจใช่หรือไม่เจ้าคะ แต่ดมแล้วก็ไม่เหมือน บ่าวชอบมาก ขวดนี้มอบให้บ่าวเถอะเจ้าค่ะ”
หลี่เมิ่งซีฟังแล้วอธิบายง่ายๆ “พวกนี้ล้วนปรุงจากดอกไม้สดกับสมุนไพรพิเศษ ใช้ดอกไม้ใบหญ้าที่แตกต่างกันปรุงกลิ่นที่ไม่เหมือนกันออกมา ขวดของจือซย่าใช้หญ้าซวินอีกับมะลิ หญ้าซวินอีมีสรรพคุณทำให้จิตใจสงบ เหมาะสำหรับพรมในม่านมุ้งตอนกลางคืนมากที่สุด ขวดของจือชิวใช้กุหลาบเป็นหลัก ล้วนเป็นของที่ข้าทำขึ้นเล่นๆ พวกเจ้าเลือกที่ชอบไปเถอะ จำไว้ว่าในเรือนของเราไม่มีของสิ่งนี้ ระวังอย่าให้คนอื่นรู้เข้าแล้วถามหาที่มาเอาได้”
“บ่าวขอบคุณสะใภ้รอง” สาวใช้ทั้งสี่เลือกพลางส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวอย่างดีอกดีใจ ชั่วขณะหนึ่งที่รู้สึกชอบไปหมดทุกขวด แย่งกันไปแย่งกันมาจนโต้เถียงกัน
“สะใภ้รอง น้ำหอมนี้มีกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ ทั้งยังใช้สะดวก พวกขุนนางและชนชั้นสูง คุณชายคุณหนูทั้งหลายต้องชอบแน่ สะใภ้รองลองเอาไปขายที่ร้านยาอี๋ชุนสิเจ้าคะ” ระหว่างเลือก ตาจือชิวก็เป็นประกายเหมือนเห็นเงินกองใหญ่หลั่งไหลเข้ามา นางรีบบอกคัมภีร์การค้ากับหลี่เมิ่งซีทันที
“ใช่เจ้าค่ะ บ่าวเห็นด้วยกับจือชิว” จือซย่า จือตงคล้อยตาม
“ข้าไม่ชอบกลิ่นกำยานเพราะกลิ่นเข้มข้นเกินไป ทั้งยังเห็นว่าพวกเจ้าเก็บดอกไม้มามากจึงลองปรุงไว้ใช้เอง เดิมทียาที่ร้านยาอี๋ชุนก็ทำกำไรสูงอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องขายของพวกนี้หรอก ทำของออกมาให้คนอยากซื้อใช่ว่าดีเสมอไป ขอมีกำไรแค่พอใช้ก็พอแล้ว”
หลี่เมิ่งซีพูดจบ เห็นพวกนางเงียบไปจึงถามว่า “จือชิว เรื่องร้านสาขาจัดการไปถึงไหนแล้ว”
พอพูดถึงร้านยา จือชิวก็กระตือรือร้น “ดูความจำของบ่าวสิเจ้าคะ สองวันนี้มัวแต่เรียนรู้ธรรมเนียมมารยาท กระทั่งลืมเรื่องสำคัญไปเสียได้ วันก่อนพี่ชายของบ่าวให้คนส่งจดหมายมาบอกว่าหาได้ที่หนึ่งในเมืองจิ้นหยาง เดิมทีเคยเป็นร้านขายอาหาร กิจการไม่ดีจึงต้องการขายกิจการ เห็นพี่ชายบอกว่าทำเลตรงนั้นดีมาก ใหญ่เป็นสองเท่าของร้านยาอี๋ชุน พี่ชายถูกใจตั้งแต่เห็นแวบแรก อยากซื้อไว้จึงร้อนใจให้บ่าวมาขอความเห็นจากสะใภ้รอง วันนั้นประจวบเหมาะกับที่ท่านไปเรือนโซ่วสี่ กลับมาแล้วบ่าวก็ต้องไปเรียนธรรมเนียมมารยาทจึงลืมเลือนเรื่องนี้ไป”
“เรื่องนี้ให้หลี่ตู้มีอำนาจจัดการทั้งหมด เพียงแต่กำชับเขาให้รอบคอบสักหน่อย เรื่องทุกอย่างอย่าร้อนใจเกินไป แล้วเรื่องบ้านพักไปถึงไหนแล้ว”
“เรื่องบ้านพักยังไม่ได้ข้อสรุปเจ้าค่ะ พี่ชายบอกว่าไม่ต้องร้อนใจ ที่พักของท่านต้องเลือกให้เหมาะสมหน่อย ใช่แล้วสะใภ้รอง วันก่อนพี่ชายไปวัดจิ้งอวิ๋น คิดจะซื้อหยกประดับลายเมฆและฝูชิ้นนั้นกลับมา คิดไม่ถึงว่าตอนพี่ชายไปถึง ร้านค้าแห่งนั้นจะถูกปิดไปแล้ว”
“ปิดแล้ว? รู้หรือไม่ว่าเพราะอะไร”
“พี่ชายของบ่าวลองสืบดู เห็นว่าหลงจู๊ล่วงเกินคนเข้า จึงถูกบังคับซื้อร้านไป ตอนนี้ปิดร้านไว้ชั่วคราวรอการตรวจนับสินค้าเจ้าค่ะ”
จือชุนได้ยินแล้วดวงตาเป็นประกาย นางถามแทรกขึ้นมา “คุณชายรองจัดการพวกเขา ช่วยระบายโทสะแทนสะใภ้รองใช่หรือไม่”
จือชิวส่ายหน้า มองหลี่เมิ่งซีแล้วพูด “เดิมทีบ่าวก็คิดว่าเป็นฝีมือของคุณชายรอง ซาบซึ้งใจอยู่นาน ภายหลังพี่ชายสืบดู ก่อนจะบอกว่าผู้ซื้อมีแซ่หลี่ ไม่ใช่สกุลเซียวเจ้าค่ะ”
“แล้วพี่ชายเจ้าไม่ได้ถามผู้ซื้อหรือว่าหยกประดับชิ้นนั้นกับกำไลหยกเหลืองยังอยู่หรือไม่ พวกเราซื้อกับเขาก็เหมือนกัน” จือชุนถามอย่างไม่ถอดใจ
“ภายหลังพี่ชายไปอีกครั้ง ขอให้คนตรวจสอบดู แต่กลับไม่มีของสองสิ่งที่พวกเราพูดถึงเลย”
ฟังคำพูดจือชิวแล้ว หลี่เมิ่งซีก็ผิดหวังไปครู่หนึ่ง นางนั่งเหม่อลอยอยู่ตรงนั้น
จือชิวเห็นแล้วไม่รู้จะปลอบโยนอย่างไร พลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงพูดกับหลี่เมิ่งซีว่า “สะใภ้รองยังจำได้หรือไม่ว่าครึ่งเดือนก่อนท่านช่วยชีวิตคุณชายคนหนึ่งไว้”
หลี่เมิ่งซีฟังแล้วจึงถามอย่างสงสัย “คุณชายอะไร จู่ๆ เจ้าพูดขึ้นมาเช่นนี้ ข้าคิดไม่ออกจริงๆ”
“สะใภ้รองงานเยอะจนหลงลืม ครั้งก่อนที่พวกเราแอบออกจากคฤหาสน์ไปตรวจดูกิจการ เจอคุณชายคนหนึ่งเป็นลมอยู่หน้าร้านยา พี่ชายกับท่านพ่อต่างตรวจแล้วก็ไม่พบว่าเป็นโรคอะไร ขณะทำอะไรไม่ถูก บังเอิญเจอท่านเข้า ท่านก็บอกว่าถูกพิษและถอนพิษให้ ช่วยชีวิตเขาไว้”
“พอเจ้าพูดข้าก็นึกขึ้นได้ คุณชายผู้นั้นถูกพิษเฮ่อหลงเหยียน เป็นพิษประหลาดชนิดหนึ่ง คนทั่วไปถอนพิษไม่ได้จริงๆ โชคดีที่พบข้าเข้า นับว่าเขาดวงแข็ง เจ้าบอกว่าเขาฟื้นขึ้นมาก็จากไปเลยมิใช่หรือ ไฉนจึงพูดถึงเขาขึ้นมาเล่า”
“หลายวันก่อนคุณชายผู้นั้นกลับมา พี่ชายโกรธที่เขาจากไปโดยไม่อำลาจึงไล่เขาออกไปจากร้าน ทว่าเขากลับดื้อดึงอยู่หน้าร้านยาอี๋ชุนไม่ยอมจากไป บอกว่าท่านช่วยชีวิตเขาเอาไว้ นับแต่นี้ไปชีวิตของเขาเป็นของท่านแล้ว จะพบท่านให้ได้ พี่ชายเกรงว่าจะกระทบต่อการค้าจึงพาเขาเข้าไปด้านหลังร้าน สอบถามดูจึงรู้ว่าคุณชายผู้นี้แซ่โอวหยาง ชื่อตัวเดียวว่าตี๋ เป็นชาวยุทธ์คนหนึ่ง ว่ากันว่าเป็นจอมยุทธ์กระบี่ เนื่องจากถูกศัตรูไล่ฆ่าและถูกพิษมา เขาจึงหมดสติอยู่ที่หน้าร้านยา จับพลัดจับผลูได้สะใภ้รองช่วยถอนพิษให้ พอเขาฟื้นขึ้นมา เพื่อหลบเลี่ยงศัตรูจึงจากไปโดยไม่อำลา หลายวันก่อนเขาสังหารศัตรูได้แล้วจึงกลับมาหาท่านเพื่อทดแทนบุญคุณ ตอนนี้เขาเป็นผู้คุ้มกันให้ร้านยาอยู่เจ้าค่ะ”
“หึๆ ฟังดูก็เหมือนนิทาน ในเมื่อมีรัชทายาทคุ้มกันอยู่ ยังต้องใช้เขาด้วยหรือ” หลี่เมิ่งซีพูดยิ้มๆ ในหัวพลันเกิดความคิด ราวคว้าจับอะไรได้ นางหุบปากลงทันที จอมยุทธ์โอวหยางที่โผล่ออกมากะทันหันผู้นี้ทำให้นางคิดถึงนิยายกำลังภายในที่เคยอ่านเมื่อชาติที่แล้ว พรรคกระยาจกเอย พรรคเขียวเอย ค่ายนั้นพรรคนี้ แน่นอนว่านางก่อตั้งพรรคขึ้นมาไม่ได้อยู่แล้ว แต่วันหน้าเมื่อกิจการใหญ่โตขึ้น นางต้องเปิดร้านสาขาอีก ย่อมมิอาจพึ่งพารัชทายาทเสียทุกอย่างได้ ยังไม่พูดถึงว่าต้องพึ่งตนเองเลย ทว่าแต่โบราณมาเชื้อพระวงศ์เป็นพวกที่พึ่งไม่ได้มากที่สุด
เมื่อกิจการใหญ่โตก็ควรมีการรักษาความปลอดภัยของตนเอง คิดแล้วจึงเงยหน้าพูดกับจือชิว “เจ้าพูดถึงผู้คุ้มกัน ข้าก็นึกขึ้นได้ วันหน้าจะเปิดร้านสาขา กิจการใหญ่ขึ้น เรื่องย่อมมากขึ้น แค่ขนส่งยาไปมาก็ต้องใช้คนจำนวนมากแล้ว มิอาจพึ่งพารัชทายาทได้ทุกเรื่อง เราควรมีขบวนผู้คุ้มกันเป็นของตนเอง”
“สะใภ้รองพูดมาก็ใช่ เพียงแต่…”
“เอาอย่างนี้ บอกหลี่ตู้ว่าให้คุณชายโอวหยางพักอยู่ก่อน สังเกตเขาสักระยะหนึ่ง หากเขาเป็นคนเปิดเผยซื่อตรงจริง พวกเราก็จะไว้วางใจเขา แต่หากเขามีจุดประสงค์อื่น ให้ไล่ออกไปเสีย ร้านสาขาให้เปิดที่จิ้นหยางก่อนแล้วกัน ที่อื่นๆ ระงับเอาไว้ก่อน สถานที่แห่งนั้นกว้างใหญ่ ให้หลี่ตู้รับคนที่ร่างกายแข็งแรงกำยำจำนวนหนึ่งเข้ามา ไม่ต้องเสียดายเงินแทนข้า ตั้งใจฝึกฝนผู้คุ้มกันกลุ่มหนึ่งที่มีความสามารถและจงรักภักดี”
“ความคิดนี้ของสะใภ้รองก็ดีอยู่หรอกเจ้าค่ะ เพียงแต่พี่ชายกับท่านพ่อล้วนเป็นพ่อค้า จะฝึกผู้คุ้มกันเป็นได้อย่างไร หรือพวกเราจะเชิญครูฝึกยุทธ์มาเจ้าคะ”
“อืม เจ้าพูดถูก ในเมื่อยังต้องสังเกตท่าทีของคุณชายโอวหยางผู้นั้นอยู่ ตอนนี้เราก็ยังใช้เขาไม่ได้ เชิญครูฝึกยุทธ์มาจำนวนหนึ่งก่อนแล้วกัน”
ฟังคำพูดของทั้งสองแล้ว จือซย่าที่อยู่ด้านข้างพลันพูดแทรก “สะใภ้รอง บ่าวได้ยินว่าครูฝึกยุทธ์ทั่วไปล้วนมีดีแต่กระบวนท่า รู้จักแต่หมัดมวยที่สวยงาม แต่ใช้งานจริงไม่ได้ หากสะใภ้รองคิดจะฝึกผู้คุ้มกัน ท่านต้องหาคนที่รู้จริงเจ้าค่ะ”
จือตงพูดต่อ “จะไปหาที่ไหนเล่า ไม่พูดถึงว่าไม่รู้จัก ต่อให้รู้จักก็ขอร้องผู้อื่นไม่ได้อยู่ดี!”
หลายคนพลันเงียบ ต่างคิดหาหนทางดีๆ ไม่ออก
เวลานี้เองหลี่เมิ่งซีพลันตบหน้าผาก “พวกเรามีคนอยู่แล้วกลับไม่ใช้ ยังมานั่งกลุ้มใจอีก ขี่ลาหาลาโดยแท้!”
“ใครเจ้าคะ”
“รัชทายาทอย่างไรเล่า มา เอาพู่กันกับหมึกมา ข้าจะเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง พรุ่งนี้ให้จือชิวส่งคนออกไป แล้วให้หลี่ตู้ส่งต่อไปให้รัชทายาท”
จือชิวรีบรับคำ นางวางขวดน้ำหอมในมือ ก่อนจะไปเตรียมกระดาษกับหมึก
ระหว่างพูดก็มีคนเคาะประตู จือตงจึงรีบวิ่งออกไป
ครู่หนึ่ง หงจูเดินตามนางเข้ามา คารวะหลี่เมิ่งซีแล้วเอ่ยว่า “สะใภ้รอง คุณชายรองเชิญท่านไปเรือนกลาง บอกว่ามีธุระเจ้าค่ะ”
“คุณชายรองไม่ได้บอกหรือว่าเรื่องอะไร” จือชิวฟังแล้วเอ่ยถาม
“คุณชายรองไม่ได้บอก แต่ดูท่าทางร้อนใจมากเจ้าค่ะ”
“เจ้ากลับไปเรียนคุณชายรองก่อน บอกว่าข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
“เจ้าค่ะ บ่าวขอตัวก่อน” หงจูรับคำ แล้วเดินออกไปอย่างเร่งรีบ
สาวใช้ทั้งสี่ได้ยินว่าเซียวจวิ้นเรียกหลี่เมิ่งซีไปพบก็ประหม่าขึ้นมา ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไร จือชิวปรนนิบัติหลี่เมิ่งซีแต่งตัวง่ายๆ จือชุนหยิบชุดพิธีการออกมาแล้ว
หลี่เมิ่งซีมองดูแล้วบอกว่า “อยู่ในเรือนตนเอง ใส่ชุดทั่วไปตัวนี้ก็พอ อย่าเปลี่ยนให้ยุ่งยากเลย หมู่นี้คุณชายรองอารมณ์แปรปรวน หากไปช้าจะถูกหาเรื่องเอาได้”
“สะใภ้รอง!” เห็นสะใภ้รองกับจือชิวเดินออกไปข้างนอก จือซย่าจึงร้องเรียก
“อะไรหรือ” หลี่เมิ่งซีหันกลับมา
“บ่าวคิดว่าสองวันนี้คุณชายรองอารมณ์ไม่ดี อย่าให้พี่จือชิวไปเลย ประเดี๋ยว ประเดี๋ยว…”
หลี่เมิ่งซีฟังแล้วก็เข้าใจความหมายของจือซย่า ช่วงนี้เซียวจวิ้นอารมณ์ไม่ดีจริงๆ เขาไล่สาวใช้กับบ่าวหญิงสูงวัยออกไปกลุ่มใหญ่ จือชิวเองก็มีอคติกับเซียวจวิ้นมาก ทั้งยังเป็นคนอารมณ์ร้อน นิสัยร้ายกาจ เกรงว่านางจะล่วงเกินเซียวจวิ้นและถูกไล่ออกไปด้วย
หลี่เมิ่งซีคิดดูแล้วก็เห็นด้วย นางหันไปพูดกับจือชิว “เจ้าอยู่ที่นี่เถอะ ให้จือชุนไปกับข้า”
จือชิวเหลือบมองจือซย่าแวบหนึ่ง “สะใภ้รอง ให้บ่าวไปกับท่านเถอะเจ้าค่ะ บ่าวจะระวัง”
“ไม่เป็นไร หลายวันนี้คุณชายรองจับผิดสาวใช้ในเรือนอยู่ แม้แต่สาวใช้ในเรือนของชุ่ยอี๋เหนียงกับหงอวี้ยังถูกไล่ออกไปหลายคน คุณชายรองเองก็อคติกับเจ้าอยู่แล้วด้วย เจ้าหลบเลี่ยงไปก่อนเถอะ หากเขาไล่เจ้าออกไปจริงๆ ข้าย่อมเสียหายใหญ่หลวง” หลี่เมิ่งซีพูดกึ่งหยอกล้อ ก่อนจะให้จือชุนประคองเดินออกไป
จือชิวฟังแล้ว ได้แต่พยักหน้ารับคำ แล้วรออยู่ในเรือน
พอคิดว่าจะได้ครองคู่กับหลี่เมิ่งซีเพียงสองคน มีแต่พวกเขาสองคนเท่านั้น มือของเซียวจวิ้นที่ถือถ้วยชาก็อดสั่นนิดๆ ไม่ได้ เขาดื่มชาอึกใหญ่ ฝืนข่มจังหวะหัวใจที่เต้นรัวของตนเอง
ซีเอ๋อร์จะตามข้าลงใต้หรือไม่ สายตาคาดหวังที่จับจ้องฉากบังลมแฝงความกังวล
ระหว่างคิดก็เห็นจือชุนประคองหลี่เมิ่งซีเดินอ้อมฉากบังลมเข้ามาช้าๆ เห็นเซียวจวิ้นดื่มน้ำชาอยู่ หลี่เมิ่งซีจึงก้าวขึ้นหน้ามาย่อกายนิดๆ “คารวะคุณชายรอง ภรรยาผู้น้อยไม่ทราบว่าคุณชายรองกลับมาแล้วจึงมิได้ออกไปต้อนรับ ขอคุณชายรองโปรดอภัยด้วย”
มิได้ออกไปต้อนรับ! หลายวันนี้ก็ไม่เคยเห็นเจ้าออกไปต้อนรับอยู่แล้วนี่!
แน่นอน คำพูดนี้เซียวจวิ้นได้แต่บ่นในใจ เขาไม่มีทางพูดออกมา ดูเหมือนธรรมเนียมเหล่านี้ล้วนเป็นเขาที่บ่มเพาะขึ้นมาเอง ตอนนี้กลายเป็นว่าถ้าเขาอยากพบหน้านางก็ต้องไปเชิญนางมา เซียวจวิ้นวางถ้วยชาแล้วเอ่ยว่า “ซีเอ๋อร์นั่งลงเถอะ”
“ขอบคุณคุณชายรอง” หลี่เมิ่งซีให้จือชุนประคองนั่งลงข้างเขา
กลิ่นหอมสดชื่นคล้ายมีคล้ายไม่มีระลอกหนึ่งปะทะจมูก กำซาบเข้าไปในจิตใจ เซียวจวิ้นที่ชื่นชอบกลิ่นหอมสูดจมูกโดยไม่รู้ตัว กลิ่นหอมนี้เขาไม่เคยพบเจอมาก่อน คิดถึงตอนเทศกาลฉีเฉี่ยว เครื่องหอมในถุงหอมที่นางมอบให้แม่นางทั้งหลาย เขาก็ไม่เคยพบเห็นมาก่อนเช่นกัน หรือว่านางปรุงเครื่องหอมได้ ไฉนจึงไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้กับเขามาก่อน เซียวจวิ้นอดขมวดคิ้วครุ่นคิดไม่ได้
“คุณชายรอง…” หงจูเห็นเซียวจวิ้นไม่พูดจา หลี่เมิ่งซียิ่งเหมือนพระพุทธรูปองค์หนึ่ง ทั้งสองราวกับกำลังแข่งกันว่าใครจะเอ่ยปากก่อน พอคิดว่าคุณชายรองตามสะใภ้รองมาจะต้องมีธุระแน่ นางจึงร้องเรียกเสียงค่อย ทำลายความเงียบ
ได้ยินเสียงหงจูแล้ว เซียวจวิ้นก็ดึงสติกลับมา เห็นทุกคนในห้องโถงกำลังมองเขา จึงกระแอมเสียงค่อยก่อนพูด “พรุ่งนี้ข้าจะเดินทางลงใต้แต่เช้า ซีเอ๋อร์จัดเตรียมข้าวของให้ข้าด้วย”
“พรุ่งนี้ท่านจะเดินทางแต่เช้า?! รีบร้อนถึงเพียงนี้เชียวหรือ จะไปนานเท่าไรเจ้าคะ”
“ต้องดูสถานการณ์ก่อน อย่างน้อยหนึ่งปี อย่างมากสองปี”
“นานขนาดนั้นเชียว!” ให้ตาย ข้ายังไม่ได้หนังสือหย่าเลยนะ!
เขาเดินทางจากไปตั้งปีสองปี แล้วหนังสือหย่าของนางจะทำอย่างไรเล่า ร้านยาอี๋ชุนทำให้นางสามารถใช้ชีวิตโดยไม่ต้องห่วงเรื่องปากท้องก็จริง แต่กลับมิอาจต้านทานอำนาจของสกุลเซียวได้
หากไม่มีหนังสือหย่า ต่อให้นางหนีออกจากคฤหาสน์ไป แค่สองวันครึ่งก็ต้องถูกจับกลับมาแล้ว แม่สามีที่ชั่วร้ายและหาเรื่องนางได้ทั้งที่ไม่มีเรื่องจะต้องจับนางใส่กรงหมูแล้วนำไปถ่วงน้ำ โทษฐานที่ทำตัวเป็นหญิงแพศยาหนีตามคนอื่นไปแน่! ละครในชาติก่อนล้วนเป็นเช่นนี้ทั้งนั้น นางไม่อยากมารับบทนี้ในยุคโบราณหรอกนะ
“ข้าป่วยนานหลายเดือน กิจการทางใต้จึงถูกวางพักไว้ก่อน ครั้งนี้ข้าเลยต้องไปนานหน่อย” เซียวจวิ้นได้ยินน้ำเสียงตกใจของหลี่เมิ่งซีแล้ว หัวใจพลันรู้สึกหวานล้ำ น้ำเสียงก็อ่อนโยนขึ้นมาก
หลี่เมิ่งซีคิดดูแล้วเอ่ยว่า “คุณชายรองไปนานขนาดนี้ ต้องเตรียมการให้ดี ออกเดินทางพรุ่งนี้เวลาดูจะกระชั้นไปสักหน่อย คุณชายรองเลื่อนออกไปสักสองวันได้หรือไม่ ภรรยาผู้น้อยจะได้เตรียมการให้ดี”
เลื่อนออกไปอีกสองสามวันย่อมดีที่สุด ขอแค่สองสามวันก็พอ นางต้องตอแยให้เขาเขียนหนังสือหย่าภายในสองสามวันนี้ให้ได้ เพราะนางสุดจะทนกับอารมณ์ของนายหญิงใหญ่แล้ว
“นายท่านใหญ่กับเหล่าไท่จวินตกลงเรียบร้อยแล้ว จะออกเดินทางพรุ่งนี้ ซีเอ๋อร์ไม่ต้องยุ่งยากนักหรอก ถึงอย่างไรก็มีเงิน ขาดแคลนอะไรซื้อหาเอากลางทางก็ได้”
“ภรรยาผู้น้อยทราบแล้วเจ้าค่ะ จะให้หวังอี๋เหนียงไปจัดเตรียมเดี๋ยวนี้ คุณชายรองมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่” หลี่เมิ่งซีเห็นว่าเรื่องนี้เปลี่ยนแปลงไม่ได้ จิตใจนางพลันห่อเหี่ยว ครั้งนี้ไม่ได้ ครั้งหน้าก็ค่อยๆ คิดหาหนทางใหม่แล้วกัน
ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องออกจากคฤหาสน์สกุลเซียวให้ได้!
ตั้งสติได้แล้วจึงนึกขึ้นได้ว่าเซียวจวิ้นจะออกจากบ้านเป็นเวลาหนึ่งปีถึงสองปี แม้บอกว่าไม่ต้องจัดเตรียมอะไรมากนัก แต่อย่างไรเขาก็เป็นถึงคุณชายสกุลสูงศักดิ์ย่อมมิอาจสะเพร่าละเลย สิ่งที่ต้องจัดเตรียมมีมาก เวลากระชั้นเช่นนี้ต้องรีบจัดการแล้วจริงๆ หลี่เมิ่งซีจึงอดรู้สึกร้อนใจไม่ได้
เซียวจวิ้นฟังคำพูดหลี่เมิ่งซีแล้ว เขาก็ยกถ้วยขึ้นดื่มน้ำชาอย่างใจเย็น
แต่หลี่เมิ่งซีกลับร้อนใจเหลือเกิน! เวลาออกจากบ้านต้องเตรียมทั้งรถเอย ม้าเอย ของกินเอย ของใช้เอย สิ่งที่ต้องจัดเตรียมมีมากมายนัก เจ้าไม่ต้องจัดการ เจ้าถึงได้ไม่ร้อนใจ ยังมานั่งดื่มน้ำชาอยู่ตรงนี้อีก อย่างน้อยก็ควรให้ข้ารีบไปจัดเตรียมได้แล้ว
เนิ่นนานผ่านไป เซียวจวิ้นจึงวางถ้วยชาแล้วเงยหน้าพูด “ซีเอ๋อร์ คือว่าข้าไปตรวจตรากิจการทางใต้ครั้งนี้ เหล่าไท่จวินให้ข้าพาภรรยาหรืออนุไปด้วย เจ้าเห็นว่า…”
“เช่นนั้นคุณชายรองอยากพาใครไปหรือเจ้าคะ ภรรยาผู้น้อยจะไปจัดการเดี๋ยวนี้” หลี่เมิ่งซีถามจบ เห็นเซียวจวิ้นเงียบไปนานจึงถามหยั่งเชิง “หากจะพูดถึงการออกจากบ้าน สี่คนในเรือนหลังที่สะดวกพาไปด้วยมีเพียงหงอวี้กับชุ่ยอี๋เหนียง สองคนนี้คล่องแคล่ว นิสัยละเอียดเอาใจใส่ หงอวี้ปรนนิบัติคุณชายรองมานานกว่า รู้นิสัยและความเคยชินของคุณชายรอง ตามความเห็นของภรรยาผู้น้อยพาหงอวี้ไปดีกว่า ภรรยาผู้น้อยจะไปสั่งให้นางเตรียมตัว”
เซียวจวิ้นฟังคำพูดนี้แล้วใบหน้าพลันเย็นชา เขาวางถ้วยชาแล้วลุกเดินออกไปทันที
หรือว่านางเดาใจเขาผิด ที่จริงเขาอยากพาจางอี๋เหนียงไปหรือ แต่ผิงเอ๋อร์ของจางอี๋เหนียงเพิ่งอายุเพียงสี่ขวบเท่านั้น นางจะยอมตัดใจทิ้งบุตรสาวไว้ในคฤหาสน์ตามลำพังหรือ หรือเขาคิดจะพาทั้งครอบครัวเดินทางลงใต้ไปทำงานด้วยกัน
ถึงอย่างไรเซียวจวิ้นก็อารมณ์แปรปรวนเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว หลี่เมิ่งซีไม่สนใจอะไรมากมาย เพียงรีบสั่งให้คนไปตามอี๋เหนียงทั้งหลายจากแต่ละเรือนมา จากนั้นก็ยุ่งง่วนเตรียมการเรื่องการเดินทางของเซียวจวิ้น
สมแล้วที่เป็นสกุลสูงศักดิ์ เมื่อมีคนมีเงินแล้วทำอะไรก็ล้วนง่ายไปหมด เรื่องที่เดิมทีกระชั้นมาก หลี่เมิ่งซีกลับใช้เวลาแค่ช่วงบ่าย ตอนหัวค่ำทุกอย่างก็จัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว นางให้หงจูไปรายงานเซียวจวิ้น ส่วนตนเองกับพวกจือชิวกลับไปพักผ่อนที่เรือนปีกตะวันออก
เซียวจวิ้นเอนกายอยู่บนเตียงอย่างหงุดหงิด วันนี้เขารวบรวมความกล้าอย่างถึงที่สุด พูดกับซีเอ๋อร์ว่าเขาจะพาภรรยาหรืออนุคนหนึ่งไปด้วย ไม่ว่าใครใช้หัวเข่าคิดก็เดาได้ว่าน้ำเสียงที่เขาใช้บอกชัดว่าต้องการพานางลงใต้ไปด้วยกัน พานางไปเพียงคนเดียวเท่านั้น จากนั้นพวกเขาจะได้ใช้ชีวิตครองคู่กันเพียงสองคน
ทว่านางโง่จริงหรือแกล้งโง่กันแน่ ทั้งที่รู้ดีว่าหงอวี้กับชุ่ยอี๋เหนียงเป็นสองคนที่เขาไม่อยากเห็นหน้ามากที่สุด คนหนึ่งเป็นคนที่เขาไม่ชอบ อีกคนหนึ่งเป็นคนที่เขารังเกียจ ทว่านางกลับให้เขาเลือกเอาหนึ่งคนจากสองคนนี้ ทำให้เขาแทบจะโมโหตายแล้ว
เขาโมโหตนเองเช่นกันที่พอเผชิญหน้ากับนางก็ขาดความสุขุมในยามปกติไป พอปะทะกันก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ทุกที สุดท้ายเขาก็ต้องเป็นฝ่ายสะบัดมือเดินจากมา ตอนนี้ไหนเลยจะมีหน้ากลับไปขอร้องให้นางเดินทางลงใต้ไปกับเขาเล่า!
ขณะรู้สึกจนใจ หงจูก็เข้ามารายงาน “คุณชายรอง เซียวซย่ากลับมาแล้ว บอกว่ามีเรื่องด่วนต้องการพบท่านเจ้าค่ะ”
“เรื่องด่วนอะไร รอถึงพรุ่งนี้ไม่ได้หรือ ดึกป่านนี้แล้วยังจะเข้ามาในเรือนในอีก”
“บ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะ บ่าวถามแล้วแต่เขาไม่พูด เดิมทีบ่าวคิดว่าถึงอย่างไรพรุ่งนี้เขาก็ต้องออกเดินทางพร้อมกับท่าน มีเรื่องอะไรค่อยคุยระหว่างทางก็ได้ แต่เขาบอกว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก ต้องพบท่านตอนนี้เลยเจ้าค่ะ”
“เรื่องใหญ่มาก?! แล้วเขาเล่า”
“รออยู่นอกประตูเจ้าค่ะ”
“บอกให้เขาไปรอที่ห้องหนังสือ ข้าจะเปลี่ยนเสื้อผ้า” เซียวจวิ้นพูดจบก็ลุกขึ้นลงจากเตียง
หงจูเห็นเช่นนั้นจึงรีบพูด “คุณชายรอง ดึกป่านนี้แล้ว พรุ่งนี้ท่านยังต้องตื่นแต่เช้าเร่งเดินทางนะเจ้าคะ”
ฟังหงจูพูดแล้ว เซียวจวิ้นขบคิดก่อนจะเปลี่ยนใจ “ให้เขามาที่นี่!”
หงจูรับคำแล้วเดินออกไป ไม่นานก็พาเซียวซย่าเดินเข้ามา
เซียวซย่าเดินเข้ามาในห้องด้านใน เห็นเซียวจวิ้นสวมเพียงชุดชั้นกลางนั่งอยู่บนเก้าอี้และกำลังดื่มน้ำชา
เห็นเซียวซย่าเข้ามาเซียวจวิ้นจึงเอ่ยถาม “เรื่องอะไร เร่งด่วนถึงเพียงนี้!”
“คุณชายรอง…” เซียวซย่าร้องเรียกหนึ่งคำแล้วเงียบไป เขามองหงจูที่ยืนอยู่ด้านข้าง
เซียวจวิ้นเห็นดังนั้นจึงพูดกับหงจู “หงจู เจ้าออกไปก่อน เฝ้าหน้าประตูอย่าให้ใครเข้ามา”
หงจูรับคำ หมุนตัวเดินออกไป ก่อนจะหันกลับมาปิดประตู
เซียวซย่าเห็นประตูปิดลงแล้วจึงก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว หยุดตรงหน้าเซียวจวิ้นแล้วพูดเสียงค่อย “คุณชายรอง คนที่ส่งไปสกุลหลี่ก่อนหน้านี้กลับมาแล้ว เพียงแต่…”
“เพียงแต่อะไร สืบอะไรกลับมาได้”
“คุณชายรอง บ่าวรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ควรส่งคนออกไปมากนัก หาไม่หากเรื่องที่คุณชายรองแอบสืบประวัติสะใภ้รองอย่างลับๆ แพร่ออกไปจะไม่น่าฟัง เพื่อความเหมาะสมบ่าวจึงส่งเซียวเหิงออกไปคนเดียว เซียวเหิงเพิ่งกลับมาและบอกบ่าวว่าเขาเช่าบ้านหลังหนึ่งใกล้กับบ้านสกุลหลี่ ใช้ชื่อว่าหลี่เหิง พักอาศัยอยู่ที่นั่นเป็นเวลาเดือนกว่าจึงสืบเรื่องราวมาได้อย่างกระจ่างชัดแจ้ง”
ฟังที่เซียวซย่าพูดแล้ว ใบหน้าของเซียวจวิ้นพลันฉายความไม่พอใจ เขาพูดเสียงเย็น “กระจ่างชัดแจ้ง?! ประวัติของสะใภ้รองซับซ้อนมากหรือไร”
“คุณชายรองกล่าวไม่ผิดขอรับ สะใภ้รองหาใช่บุตรสาวสายตรงสกุลหลี่ แต่ถือกำเนิดจากอนุห้าของนายท่านหลี่จ้าวอี๋เหนียง เป็นบุตรสาวที่เกิดจากอนุ นายท่านหลี่มีบุตรสาวสายตรงเพียงคนเดียว นามว่าหลี่เมิ่งเฟย ปีนี้อายุสิบห้า แก่กว่าสะใภ้รองสองปี รูปโฉมไม่ได้หนึ่งในสิบของสะใภ้รองเลย ทั้งคนผู้นี้ยังหยิ่งยโสเอาแต่ใจ ไม่รักษาจรรยาของสตรี ได้ยินว่าหมั้นหมายกับเฉียนจวินหาว คุณชายน้อยของบ้านเฉียนเหมยผู้รวมฎีกา ปีหน้าเดือนสองจะแต่งเข้าสกุลอยู่แล้ว แต่ก็ยังไปมาหาสู่กับคุณชายผู้มั่งคั่งหลายคนอยู่บ่อยครั้ง ความสัมพันธ์ตัดไม่ขาด คุณชายรอง เนื่องจากตอนเหล่าไท่เหยียหมั้นหมายให้ท่าน สัญญาถูกระบุแค่ว่าต้องเป็นบุตรสาวสายตรงสกุลหลี่ มิได้เขียนวันเดือนปีเกิดเอาไว้ ทำให้สกุลหลี่สบช่องส่งสะใภ้รองเข้ามา ตามหลักแล้วด้วยความเฉลียวฉลาดของเหล่าไท่จวินกับนายท่านใหญ่ไม่น่าจะเกิดข้อผิดพลาดเช่นนี้ได้ แต่เพราะตอนนั้นคุณชายรองป่วยหนัก เหล่าไท่จวินกับนายท่านใหญ่ต่างก็ร้อนใจกันมาก สกุลหลี่สามารถส่งบุตรสาวมาแต่งงานเสริมมงคลได้นับเป็นเรื่องน่ายินดีครั้งใหญ่ จึงมิได้ตั้งใจตรวจสอบให้แน่ชัด คุณชายรอง คุณชายรอง ท่านเป็นอะไรไปขอรับ”
เซียวซย่ากำลังรายงาน พอเงยหน้าขึ้นก็พบว่าเซียวจวิ้นมีสีหน้าซีดเผือด ถ้วยชาในมือถูกบีบจนแตกละเอียด น้ำชากระเซ็นไปทั่วร่าง เลือดไหลลงมาตามฝ่ามือ
เซียวซย่าเป็นคนเดียวในคฤหาสน์ที่รู้ความในใจของเซียวจวิ้น เมื่อครู่พอได้ยินเซียวเหิงรายงาน เขาก็มาเรียนผู้เป็นนายทันที แม้จะเตรียมใจไว้ก่อนแล้ว แต่ไม่คิดว่าเซียวจวิ้นจะตื่นตกใจเช่นนี้ เขาตะลึงงัน ก้าวเข้าไปจะตรวจดูมือเซียวจวิ้น แต่กลับถูกผลักออก “พูดต่อไป ยังมีอะไรอีก”
“คุณชายรอง!”
“พูดต่อ!”
สบสายตาคมกริบเหมือนดาบของเซียวจวิ้นแล้ว เซียวซย่าพลันหนาวเยือก แม้จะเห็นว่ามือของผู้เป็นนายมีเลือดไหล แต่เขาก็ไม่กล้าก้าวเข้าไปอีก ได้แต่ยืนอยู่ตรงนั้นแล้วพูดต่อ “ได้ยินเซียวเหิงบอกว่าสะใภ้รองผู้นี้เนื่องจากรูปโฉมงดงามกว่าพี่สาว ตอนอยู่บ้านเดิมจึงมักถูกพี่สาวรังแก แม้จะเป็นคุณหนูเหมือนกัน แต่ว่ากันว่านางถูกหลี่ฮูหยินกับหลี่เมิ่งเฟยจิกใช้ไม่ต่างจากบ่าว หาไม่แล้วสะใภ้รองจะทำอาหารอร่อยได้อย่างไร คิดว่าตอนอยู่บ้านเดิมคงถูกบังคับให้เข้าครัวทุกวัน บ่าวยังได้ยินเซียวเหิงบอกว่าก่อนสะใภ้รองจะแต่งเข้ามา พอรู้ว่าต้องออกเรือนแทนพี่สาว นางเคยแขวนคอฆ่าตัวตายด้วยขอรับ ภายหลังถูกช่วยเอาไว้ได้ก่อนจะถูกกักบริเวณ นายท่านหลี่ส่งคนมาเฝ้านางทุกวัน บังคับให้เรียนรู้ธรรมเนียมมารยาท จนกระทั่งวันแต่งงานจึงถูกปล่อยตัวออกมา ได้ยินว่าลำบากไม่น้อย คิดว่าสุขภาพที่อ่อนแอของสะใภ้รองน่าจะเป็นเพราะโรคที่บ่มเพาะขึ้นตอนอยู่บ้านเดิมขอรับ”
“เรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ เวลาผ่านมานานขนาดนี้ ไฉนสกุลเซียวจึงไม่มีใครรู้เลย”
“คุณชายรอง สกุลเซียวใช่ว่าไม่มีคนรู้ แต่คนที่รู้ล้วนถูกสั่งให้ปิดปากเงียบต่างหาก!”
“อะไรนะ! ถูกสั่งให้ปิดปากเงียบ?! ยังมีใครในสกุลเซียวที่รู้เรื่องนี้อีก”
“บ่าวไม่ทราบขอรับ เซียวเหิงบอกว่าครั้งหนึ่งเคยได้ยินคุณชายคนหนึ่งที่มีสัมพันธ์กับหลี่เมิ่งเฟยเมาแล้วพูดว่า คฤหาสน์สกุลเซียวมีคนจ่ายเงินและข่มขู่เขาว่าหากกล้าพูดเรื่องนี้ออกไป ระวังชีวิตของคนในครอบครัวเขาให้ดี ดังนั้นเซียวเหิงจึงต้องใช้เวลาและความพยายามเนิ่นนานกว่าจะสืบเรื่องนี้ได้ขอรับ”
“เรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้กลับเป็นคนสกุลเซียวที่สั่งให้ผู้อื่นปิดปากเงียบ ใครกันที่มีความกล้าเช่นนี้ แล้วมีจุดประสงค์อะไร คนพวกนั้นไม่แพร่งพรายอะไรออกมาเลยหรือ”
พอได้ยินว่าฐานะลูกอนุของหลี่เมิ่งซีถูกคนสกุลเซียวสั่งเก็บเป็นความลับ เซียวจวิ้นนอกจากตกตะลึงแล้วยังเกิดความรู้สึกไม่สบายใจ จนถึงขั้นรู้สึกเหมือนตนเองเป็นแค่หมากที่ถูกคนอื่นบังคับควบคุม
“เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เซียวเหิงจึงสืบดูครั้งแล้วครั้งเล่าว่าคนที่สั่งให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับมีรูปร่างหน้าตาและลักษณะเด่นอย่างไร หมายคาดเดาดูว่าเป็นคนของใคร ทว่าคนพวกนั้นกลับบอกเพียงว่าคนผู้นั้นถือป้ายหยกเฉพาะของคฤหาสน์สกุลเซียวและอ้างชื่อสกุลเซียว นอกจากนี้แล้วก็ไม่ยอมบอกอะไรอีกเลย”
เซียวซย่าพูดถึงตรงนี้ก็เหลือบมองเซียวจวิ้นแวบหนึ่ง เห็นเขาก้มหน้าครุ่นคิดจึงพูดต่อ “บ่าวบังอาจคาดเดาว่าคนในคฤหาสน์สกุลเซียวที่กล้าทำเช่นนี้มีเพียงสามคนเท่านั้น เหล่าไท่จวิน นายท่านใหญ่ และนายหญิงใหญ่ สามคนนี้ต่างก็รักคุณชายรองมาก ไม่มีทางทำเรื่องที่เป็นผลเสียต่อคุณชายรองแน่นอน ดังนั้นบ่าวขบคิดจนหัวแทบแตกก็ไม่เข้าใจว่าตอนที่คนผู้นั้นรู้เรื่องนี้แล้ว เหตุใดจึงไม่เปิดเผยออกมาแต่แรก ทว่ากลับปิดเป็นความลับ เพียงเพราะหน้าตาของสกุลเซียวหรือ อย่างไรเรื่องนี้ก็ขัดกับคำสอนของบรรพบุรุษ หากปิดบังไว้จริง วันใดคุณชายรองรับตำแหน่งประมุขสกุล นั่นย่อมเป็นความผิดร้ายแรงฐานหลอกลวงบรรพบุรุษ บรรพบุรุษสกุลเซียวยังเฝ้าดูอยู่บนสวรรค์นะขอรับ!”
ได้ยินคำพูดสุดท้ายของเซียวซย่าแล้ว ร่างกายของเซียวจวิ้นพลันสั่นสะท้าน เขาเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนพูดกับเซียวซย่า “ส่งคนออกไปปิดเรื่องนี้เป็นความลับเดี๋ยวนี้ บอกเซียวเหิงว่าห้ามพูดถึงเรื่องนี้อีก โดยเฉพาะกับเหล่าไท่จวิน นายท่านใหญ่ และนายหญิงใหญ่ จะให้พวกเขารู้ไม่ได้เด็ดขาดว่าข้ารู้ฐานะของสะใภ้รองแล้ว”
“บ่าวรู้ว่านี่เป็นเรื่องใหญ่ พอรู้เรื่องนี้แล้วจึงสั่งให้เซียวเหิงปิดปากเงียบทันที ได้ยินเซียวเหิงบอกว่าสกุลหลี่หวาดเกรงอำนาจของสกุลเซียวจึงไม่กล้าป่าวประกาศออกไป หลี่เมิ่งเฟยแลกเทียบดวงชะตากับสกุลเฉียนด้วยฐานะของลูกอนุ หลี่เมิ่งเฟยเคยอาละวาดในคฤหาสน์สกุลหลี่ด้วยเรื่องนี้มาก่อนแล้ว บอกว่านางเป็นลูกสาวสายตรงแท้ๆ กลับต้องออกเรือนด้วยฐานะลูกอนุ วันหน้าอยู่บ้านสามีจะต้องถูกรังแกเป็นแน่ โวยวายจะมาชี้แจงเรื่องนี้ที่คฤหาสน์สกุลเซียว ยืนยันฐานะบุตรสาวสายตรงของตนเอง ทำให้นายท่านหลี่โมโหจนตัดสินใจใช้กฎบ้าน แม้แต่หลี่ฮูหยินก็พลอยถูกลงโทษไปด้วย นางจึงไม่กล้าอาละวาดอีกขอรับ”
เซียวซย่าพูดถึงตรงนี้ก็กระแอมหนึ่งทีแล้วพูดต่อ “เดิมทีบ่าวประหลาดใจมาตลอด สะใภ้รองแต่งเข้ามาเกือบครึ่งปีแล้ว ไฉนบ้านเดิมจึงไม่มีคนมาหาเลย สะใภ้รองเองก็ไม่พูดเรื่องกลับบ้านเดิมเลยสักครั้ง ยามนี้มาคิดดูแล้ว เกรงว่าสกุลหลี่คงกังวลว่าหลังจากที่สะใภ้รองกลับไปแล้ว คนที่ล้อมหน้าล้อมหลังล้วนเป็นบ่าวของสกุลเซียว เมื่อบ่าวสองสกุลใกล้ชิดกัน คนเยอะปากมาก ย่อมยากที่ความจริงจะไม่เปิดเผย”
เซียวซย่าพูดจบก็เห็นเซียวจวิ้นนั่งนิ่งเหมือนไม้แกะสลัก เงียบงันไม่พูดจา เซียวซย่ารู้สึกเสียใจแทนเขา แต่เรื่องบางอย่างยังคงต้องพูด ใคร่ครวญดูแล้วจึงพูดอย่างระวัง “ชาติกำเนิดของสะใภ้รองขัดต่อคำสอนของบรรพบุรุษ ปิดได้ชั่วคราวแต่มิอาจปิดได้ตลอดไป ถึงเวลานั้นมีเหล่าไท่จวิน นายท่านใหญ่ นายหญิงใหญ่อยู่ เกรงว่าท่านจะตัดสินใจเองไม่ได้ คุณชายรองรีบตัดสินใจแต่เนิ่นๆ เถอะขอรับ”
“คิดไม่ถึงว่าตอนที่ซีเอ๋อร์อยู่บ้านเดิมจะลำบากเช่นนี้ มิน่าตั้งแต่แต่งเข้าสกุลเซียวมา นางถึงรักษากฎธรรมเนียมอย่างเคร่งครัด ระมัดระวังไปเสียทุกเรื่อง หลายเดือนมานี้ ข้าผิดต่อนางเสียแล้ว”
ราวกับไม่ได้ยินคำพูดของเซียวซย่า เซียวจวิ้นพึมพำกับตนเอง เนิ่นนานจึงมองเห็นเซียวซย่าที่ยังยืนอยู่ตรงหน้า “ไปตามเซียวเฉวียนกับเซียวกุ้ยมา ข้าจะรอพวกเขาอยู่ในห้องหนังสือ จากนั้นไปห้องบัญชีนำสัญญาขายตัวของคนในครอบครัวพวกเขาทั้งหมดมาด้วย บอกว่าข้าต้องการ อ้อ ถ้าสมุห์บัญชีถาม ให้บอกว่าข้าต้องการบ่าวพวกนี้ วันหน้าให้พวกเขาติดตามข้าและทำงานให้ข้า”
“คุณชายรอง ท่านลืมไปแล้วหรือ ก่อนหน้านี้เซียวกุ้ยกับเซียวเฉวียนถูกท่านส่งไปดูแลกิจการที่นอกคฤหาสน์ ยามนี้ไม่ได้อยู่ในคฤหาสน์แล้ว ดึกป่านนี้ประตูชั้นในก็ลงกลอนแล้วด้วย มีเรื่องอะไรคุณชายรองบอกบ่าวมาเถอะขอรับ พรุ่งนี้เช้าบ่าวจะให้คนไปแจ้งพวกเขาเอง”
“เอาป้ายหยกของข้าไป แล้วเรียกตัวพวกเขามาที่ห้องหนังสือเดี๋ยวนี้”
“คุณชายรอง นี่เป็นเรื่องใหญ่ ท่านต้องใคร่ครวญให้ดีนะขอรับ จะทำอะไรส่งเดชไม่ได้เป็นอันขาด มือของท่านยังมีเลือดออก บ่าว…”
เซียวจวิ้นโบกมือด้วยความรำคาญ
มองมือเซียวจวิ้นที่เลือดยังไหลไม่หยุด เซียวซย่าก็ถอนหายใจ เขาหมุนตัวเดินออกไป
หากความเจ็บปวดทางร่างกายสามารถทดแทนความเจ็บปวดในใจราวกับมดกัดแทะนี้ได้ เขายินดีทำให้ตนเองพิการเสียยังดีกว่า ยามนี้เซียวจวิ้นบังเกิดความวู่วามอยากเอาศีรษะโขกกำแพงยิ่งนัก
สวรรค์! ก่อนออกเรือนซีเอ๋อร์ถูกรังแกสารพัด ถูกบังคับให้แต่งงานเสริมมงคลแทนผู้อื่น แต่เขากลับถูกข่าวลือตามท้องถนนบดบังสายตา เกือบครึ่งปีมานี้เขาทำอะไรกับนางไปบ้าง!
กระนั้นสิ่งที่ทำให้หัวใจเขาร้าวรานและสิ้นหวังมิใช่เรื่องนี้ เพราะฐานะลูกอนุของซีเอ๋อร์กำหนดแล้วว่านางมิอาจเป็นภรรยาของเขาได้!
เดิมทีคิดว่าสามารถจับมือภรรยา อยู่เคียงข้างกันไปจนแก่เฒ่าได้ พอเขาปักใจกับนางแล้ว จู่ๆ ก็มีคนบอกเขาว่านางเป็นลูกอนุ ถูกกำหนดไว้แล้วว่าไม่อาจเป็นภรรยาของเขาได้ เรื่องนี้จะให้เขายอมรับได้อย่างไร!
ดึกมากแล้ว เซียวจวิ้นจัดการธุระเสร็จ เขาเดินออกมาจากห้องหนังสือ ในลานบ้านเงียบเหงาไม่มีใครสักคน มีเพียงลมกลางคืนโชยพัดมาช้าๆ เซียวจวิ้นกระโดดขึ้นไปบนหลังคาเรือนกลาง มองผ่านหลังคาเรือนต่างๆ ไปจนถึงเรือนปีกตะวันออก
แสงจันทร์เย็นเยียบขับเน้นเงาร่างผอมสูง ทำให้เขาดูแข็งกร้าวและอ้างว้างกว่าเดิม ลมกลางคืนแฝงไว้ซึ่งกลิ่นหอมอ่อนจาง ซีเอ๋อร์ชอบปรุงเครื่องหอมจริงๆ น่าเสียดายที่เครื่องหอมเหล่านั้นไม่ได้ปรุงขึ้นเพื่อเขา
เขาเพิ่งจะรู้วันนี้เองว่านางยินดีตายก็ไม่อยากแต่งกับเขา!
ซีเอ๋อร์ไม่รักเขา เรื่องนี้ทำให้หัวใจที่เจ็บปวดของเซียวจวิ้นรู้สึกยินดี คนสองคนที่ถูกกำหนดแล้วว่าไม่อาจอยู่ด้วยกันได้ เมื่อไม่รักแล้วย่อมจะไม่เจ็บปวด หากต้องมีใครเจ็บ ให้เขาแบกรับมันคนเดียวก็พอ นี่เป็นสิ่งที่เขาติดค้างนางอยู่
ข้ารับใช้ในเรือนที่ทำตัวเป็นบ่าวสองนายถูกเขาจัดการไปหมดสิ้นแล้ว ข้ารับใช้ที่ซื้อเข้ามาใหม่ก็ล้วนเป็นเช่นกระดาษขาว ซีเอ๋อร์สามารถอบรมพวกนางให้ดีได้ เขาเองก็จากไปอย่างวางใจได้แล้ว
ภาพหลี่เมิ่งซีสวมชุดเจ้าสาว ยิ้มน้อยๆ ขณะที่แต่งงานใหม่กับคนอื่นพลันวาบขึ้นตรงหน้า ในใจของเซียวจวิ้นรู้สึกได้ถึงความด้านชาคละเคล้าด้วยความยินดี สมองมึนงงเหมือนคนเมา พอสร่างเมาแล้วถึงจะมีความรู้สึก
พรุ่งนี้ย่อมเป็นความเจ็บปวดไม่สิ้นสุด
คืนนี้ถูกกำหนดให้เป็นคืนที่ยากจะข่มตาหลับ หลี่เมิ่งซีไม่รู้ว่าค่ำคืนก่อนวันที่เขาจะเดินทางลงใต้ เขาเฝ้ามองนางอยู่บนหลังคาเช่นนี้ทั้งคืนด้วยความทรมาน
(ติดตามอ่านต่อได้ในฉบับเต็ม)
Comments
comments