X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักยอดหญิงเทพสมุนไพร

ทดลองอ่าน ยอดหญิงเทพสมุนไพร เล่ม 5 บทที่ 2

หน้าที่แล้ว1 of 8

บทที่ 2

 ซีเอ๋อร์คือเซียนปรุงยาในตำนาน!

เห็นความตกใจของหลี่เมิ่งซีกับจือชิวตอนเห็นรัชทายาทแล้ว สีหน้าตื่นตระหนกเช่นนั้นทำให้ความหวังอันน้อยนิดที่หลงเหลืออยู่ในใจของเซียวจวิ้นหายไปสิ้น เขานั่งตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น จับจ้องหลี่เมิ่งซีตาไม่กะพริบ

แม้จะเตรียมใจไว้แล้ว แต่เห็นหลี่เมิ่งซีในชุดสตรีเป็นครั้งแรก ผิวขาวปานหิมะ หาใช่ผิวสีทองแดงเหมือนตอนสวมชุดบุรุษ ดวงหน้างามเฉิดฉัน งามปานจะล่มบ้านล่มเมือง ซั่งกวนหงฮุยพลันเหม่อลอยราวกับอยู่ในห้วงฝัน เขาลุกขึ้นยืนโดยไม่รู้ตัว นานครู่ใหญ่ที่พูดอะไรไม่ออก บรรยากาศในห้องหนังสือพลันชะงักงัน ทำเอาหลี่เมิ่งซีกับจือชิวรู้สึกหายใจไม่ออก

ซั่งกวนหงฮุยเป็นคนแรกที่สงบสติอารมณ์ได้ เห็นหลี่เมิ่งซียังยืนทื่ออยู่หน้าประตู เขาจึงก้าวเร็วๆ เข้าไป แล้วยิ้มเอ่ยว่า “น้องชาย ข้าช่างโง่เขลาโดยแท้ คิดว่าเจ้าเป็นบุรุษมาตลอด ตามหาเจ้าอย่างยากลำบากอยู่สองปี คิดไม่ถึงว่าน้องชายจะซ่อนตัวอยู่ในเรือน ไม่ วันหน้ามิอาจเรียกเจ้าว่าน้องชายได้อีกแล้ว”

“คุณชายท่านนี้ ท่านจำคนผิดแล้ว…”

“พี่ใหญ่มาแล้วหรือ…”

ฟังคำพูดรัชทายาทแล้ว หลี่เมิ่งซีกับจือชิวก็พูดออกมาพร้อมกัน เดิมทีจือชิวคิดจะยืนกรานปฏิเสธ น่าเสียดายที่คำว่า ‘พี่ใหญ่’ ของหลี่เมิ่งซีดับความหวังริบหรี่ในใจจือชิวไปจนสิ้น สีหน้านางเปลี่ยนเป็นซีดขาวทันใด เหลือบมองคุณชายรองโดยสัญชาตญาณ เห็นสายตาตื่นตะลึงของคุณชายรองแล้วจึงรีบก้มหน้าลงอย่างลนลาน

หลี่เมิ่งซีสงบสติอารมณ์ได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน คารวะรัชทายาทและก้าวขึ้นไปช้าๆ เห็นดวงตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดคู่นั้นของเซียวจวิ้นแล้ว หัวใจของหลี่เมิ่งซีรู้สึกเจ็บแปลบ นางอยากลบเลือนความเจ็บปวดในดวงตาคู่นั้นออกไปเหลือเกิน อยากบอกเขาเหลือเกินว่านางไม่อยากเห็นเขาเป็นเช่นนี้ ไม่อยากเลยสักนิด

นี่ล้วนไม่ใช่ความตั้งใจของนาง ไม่ใช่จุดประสงค์ดั้งเดิมของนางแม้แต่น้อย แต่นางกลับบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์นั้นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว จนบัดนี้กลายเป็นผลไม้รสขม หลี่เมิ่งซีใช้มือกดหน้าอก กัดฟันและฝืนเอ่ยอย่างสุขุม “คุณชายรอง ที่ผ่านมา…ที่ผ่านมาข้าภรรยาไม่ได้บอกท่านว่าข้าภรรยาเป็นเจ้าของร้านยาอี๋ชุน”

ได้ยินหลี่เมิ่งซียอมรับด้วยตนเองว่านางคือเซียนปรุงยา เซียวจวิ้นพลันรู้สึกว่าเลือดในตัวถูกสูบออกไปจนหมด ใบหน้าเขาซีดเผือด สีหน้าชะงักงัน จ้องมองหลี่เมิ่งซีอย่างแข็งทื่อ ริมฝีปากขยับไปมา แต่กลับมิได้ตอบอะไร นานครู่ใหญ่จึงฝืนลุกขึ้นยืน โค้งคำนับรัชทายาทและเอ่ยว่า “รัชทายาท โปรดอภัยด้วยที่ข้าน้อยเสียมารยาท วันนี้ข้าน้อยมีเรื่องในครอบครัวทำให้มิอาจอยู่กับพระองค์ได้ วันหน้าข้าน้อยจะต้องไปขอขมาถึงที่ด้วยตนเองแน่นอน”

คุณชายรองไม่มีสมองหรือไร นี่คือรัชทายาทนะ ท่านถึงกับกล้าไล่แขกอย่างนี้เชียวหรือ เป็นสกุลสูงศักดิ์แล้วอย่างไร ผู้อื่นเป็นถึงโอรสของฮ่องเต้ หากยัดเยียดความผิดฐานลบหลู่เบื้องสูงให้ท่าน ก็ยังสามารถจัดการท่านได้อยู่ดี คำพูดของคุณชายรองทำเอาจือชิวตื่นตระหนก นางเหลือบมองสะใภ้รองด้วยสีหน้าเป็นกังวล

ได้ยินคำพูดเซียวจวิ้นแล้ว ซั่งกวนหงฮุยก็อดอึ้งไปไม่ได้ รอยยิ้มชะงักค้างอยู่บนใบหน้า มองเซียวจวิ้นอยู่นาน ขณะกำลังจะเอ่ยปาก กลับได้ยินหลี่เมิ่งซีพูด “พี่ใหญ่ วันนี้น้องสาวมีเรื่องในครอบครัว เชิญพี่ใหญ่กลับไปก่อนเถอะ เรื่องโรคระบาดทางใต้ หลี่ตู้บอกน้องสาวแล้ว วันหน้าน้องสาวค่อยหารือกับพี่ใหญ่อีกครั้ง”

ฟังคำหลี่เมิ่งซีแล้ว ซั่งกวนหงฮุยก็มองนาง จากนั้นจึงเหลือบมองเซียวจวิ้น พลันนึกขึ้นได้ว่าควรให้เวลาพวกเขาก่อน ให้พวกเขาพูดคุยกันให้เข้าใจ แล้วค่อยหารือเรื่องการเดินทางลงใต้อีกครั้ง

คิดเช่นนี้ซั่งกวนหงฮุยจึงคลี่ยิ้มน้อยๆ “ได้ น้อง…น้องสาว ตกลงตามที่เจ้าว่าแล้วกัน พรุ่งนี้ข้าจะมาใหม่”

ซั่งกวนหงฮุยพูดจบ หมุนแหวนน้าว บนนิ้วโป้งเล่นโดยไม่รู้ตัว เงียบอยู่นานก่อนจะเดินช้าๆ ไปตรงหน้าเซียวจวิ้น มองเขาด้วยสายตาใสกระจ่างและพูดเนิบช้า “ในเมื่อพี่เซียวมีเรื่องภายในครอบครัวต้องจัดการ วันนี้ข้าคงไม่อยู่นาน แต่พี่เซียวอาจไม่รู้ว่าเมื่อวานเสด็จพ่อทรงออกราชโองการให้ร้านยาอี๋ชุนเรียกตัวน้องชาย อ้อไม่สิ น้องสาวให้เข้าวังถวายการรักษาไทเฮาทันที หลี่ตู้กราบทูลเสด็จพ่อแล้ว อ้างว่าน้องสาวล้มป่วยอยู่ทางใต้ ไม่อาจเข้าวังโดยทันทีได้ การหลอกลวงเบื้องสูงเป็นความผิดมหันต์ มีโทษถึงประหารชีวิตทั้งตระกูล หากพี่เซียวไม่อยากให้น้องสาวถูกเสด็จพ่อลงโทษถึงตาย ตอนนี้ก็อย่าเพิ่งป่าวประกาศฐานะของน้องสาวออกไป แล้วข้าจะจัดการเรื่องนี้ให้เอง”

ฟังคำพูดนี้แล้ว เซียวจวิ้นก็ตัวสั่นสะท้าน หันไปมองหลี่เมิ่งซี เห็นนางพยักหน้ายืนยัน เขาจึงผงกศีรษะรับคำ

ซั่งกวนหงฮุยเห็นดังนั้นก็เอ่ยว่า “ดี พี่เซียว วันนี้ขอลาไปก่อน พรุ่งนี้ข้าจะมาใหม่!”

เห็นเซียวจวิ้นโค้งกายคำนับ ซั่งกวนหงฮุยก้าวเดินออกไป ตอนใกล้จะถึงประตูพลันนึกถึงสีหน้าไม่เป็นมิตรของเซียวจวิ้น ในใจอดบังเกิดความกังวลไม่ได้…เป็นห่วงหลี่เมิ่งซี

ซั่งกวนหงฮุยลังเลครู่หนึ่งและหมุนตัวกลับมา เกือบจะชนเข้ากับหลี่เมิ่งซีและจือชิวที่ตามออกมาส่ง เขารีบถอยหลบไปด้านข้างครึ่งก้าว ประคองตัวไว้ พลางกระแอมไอและพูดว่า “จำได้ว่าสองปีก่อนตอนพบน้องสาวครั้งแรก น้องสาวเคยถามข้าว่าวันหน้าหากใต้หล้านี้ไม่มีที่ให้น้องสาวอยู่ ข้าจะยินดียิ้มเย้ยยุทธจักร ท่องเที่ยวไปตามขุนเขาลำเนาไพรกับเจ้าหรือไม่… ตอนนั้นข้ายังไม่ทันได้ตอบ น้องสาวก็จากไปเสียก่อน วันนี้ข้าจะบอกเจ้าว่า หากมีวันนั้นจริง ข้ายินดีไปกับเจ้า…”

จือชิวฟังแล้วหน้าซีด นางอยากจะปลดรัชทายาทที่กลัวใต้หล้าจะไม่วุ่นวายผู้นี้ออกจากตำแหน่งเหลือเกิน น่าเสียดายที่นางไม่ใช่ฮ่องเต้! จือชิวลอบเสียใจภายหลัง ไฉนตอนนั้นนางไม่ไปเดินขบวนเรียกร้องบนท้องถนนให้ปลดรัชทายาทด้วยนะ รัชทายาทผู้นี้สมควรถูกนำไปสังเวยสวรรค์จริงๆ!

ให้ตาย นี่มิใช่การท้าทายอย่างโจ่งแจ้งหรือ! รัชทายาทจะทำอะไรกันแน่ แค่นี้ยังยุ่งไม่พออีกหรือไร หลี่เมิ่งซีฟังแล้วสีหน้าตื่นตะลึง นั่นเป็นเพียงคำพูดยามเมามายเท่านั้น สองปีมานี้นางก็ลืมไปตั้งนานแล้ว คิดไม่ถึงว่ารัชทายาทจะยกเอาคำพูดนี้มาพูดต่อหน้าเซียวจวิ้นอีกครั้ง

หลี่เมิ่งซีเหลือบมองเซียวจวิ้นอย่างร้อนตัว เห็นหน้าผากเขามีเส้นเอ็นปูดขึ้นมา นานแล้วที่ไม่เห็นเขามีสีหน้าโกรธเกรี้ยวเช่นนี้ หัวใจของนางอดเต้นรัวไม่ได้ อยากให้คนที่เอ่ยคำพูดบ้าๆ นั่นออกมาไม่ใช่นางจริงๆ

ช้อนตาขึ้นเห็นรัชทายาทมองนางด้วยสายตากระตือรือร้น หากนางเงียบหรือปฏิเสธย่อมดูเป็นคนใจแคบ หลี่เมิ่งซีฝืนข่มหัวใจที่เต้นรัว ถอยไปครึ่งก้าวและย่อกาย “บุญคุณที่พี่ใหญ่มีต่อน้องสาวหนักแน่นดุจขุนเขา น้องสาวซาบซึ้งใจยิ่งนัก”

ได้ยินเช่นนี้ซั่งกวนหงฮุยก็ยิ้มน้อยๆ แล้วพยักหน้า เขาเหลือบมองเซียวจวิ้นแวบหนึ่งอย่างครุ่นคิด ก่อนจะหมุนตัวก้าวยาวๆ ออกไป ได้ยินเซียวจวิ้นตะโกนไล่หลังมาว่า “เซียวเหยียน ส่งรัชทายาทออกจากคฤหาสน์!”

เซียวเหยียนได้ยินก็วิ่งเข้ามา เดินนำรัชทายาทที่เพิ่งก้าวออกจากประตูห้องไปยังประตูชั้นใน ผู้ติดตามทั้งสองของรัชทายาทเห็นผู้เป็นนายออกมาแล้ว พวกเขาก็รีบออกจากห้องรับรองแขกและคอยตามอยู่ข้างหลัง

รัชทายาทจากไปแล้ว เซียวจวิ้นที่สงบสติอารมณ์แล้วยืนแข็งทื่ออยู่ที่เดิม เขาจ้องมองหลี่เมิ่งซี สายตาฉายความเย็นเยียบ นางหัวใจสะท้านอย่างห้ามไม่อยู่ อยากให้เขาเป็นเช่นเมื่อสองปีก่อนมากกว่า ยามที่โกรธก็จะทำหน้าบึ้งตึง ขว้างปาข้าวของทุกอย่างในห้องอย่างเกรี้ยวกราด อย่างน้อยก็ยังดีกว่าการเผชิญหน้ากับเขาที่แผ่ไอเย็นเยียบออกมาจากกระดูกเช่นนี้ เขาที่เป็นเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกหนาวเยือก เหมือนตกลงไปในบ่อน้ำเย็นเฉียบอย่างไรอย่างนั้น ทำให้นางหายใจไม่ออก ได้แต่ยืนแข็งทื่ออยู่ที่เดิมมองเซียวจวิ้นที่ค่อยๆ หันกลับมา นี่เป็นครั้งแรกที่นางขาดความสุขุม ไม่ใจเย็นเฉกเช่นทุกครั้งอีก

“หลี่เมิ่งซี หลี่เมิ่งถาน ข้าช่างโง่เขลาจริงๆ ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว แม้เจ้าจะแสดงพรสวรรค์ด้านการรักษาในคฤหาสน์อยู่หลายครั้ง แต่ข้ากลับไม่เคยเชื่อมโยงสองชื่อนี้เข้าด้วยกันมาก่อน!”

“คุณชายรอง…” ได้ยินน้ำเสียงของเซียวจวิ้นที่ราวกับลอยมาจากขอบฟ้า สะท้อนความว่างเปล่าล่องลอยแล้ว หลี่เมิ่งซีจึงอดร้องเรียกไม่ได้

เซียวจวิ้นไม่ขานรับ เพียงมองนางและพูดต่อ “เจ้าของร้านยาอี๋ชุน น้องชายบุญธรรมของรัชทายาท ช่างแข็งแกร่งจนทำให้ข้ารู้สึกกลัวจริงๆ เจ้าแค่พูดมาคำเดียวว่าเจ้าคือเซียนปรุงยา ข้าเซียวจวิ้นไม่คู่ควรกับเจ้า ข้าก็จะปล่อยเจ้าไปแต่โดยดี เล่นแมวจับหนูเช่นนี้เจ้าสนุกมากกระมัง! มองเหยื่อของตนเองทรมานอยู่ท่ามกลางความเจ็บปวดทุกวัน เฝ้าดูพวกเราคนสกุลเซียวแต่ละคนคุกเข่าต่อหน้าเจ้าให้ดูเป็นที่ขบขัน ได้เห็นท่านย่าเป็นลมไม่ได้สติ ได้เห็นมารดากระอักเลือด เจ้าคงพอใจแล้วกระมัง”

“คุณชายรอง…”

“ซีเอ๋อร์ ข้ารู้ว่าเจ้าเคยถูกรังแกในคฤหาสน์สกุลเซียว ข้าเคยทำไม่ดีกับเจ้า ข้าตำหนิตนเองอยู่ลึกๆ มาตลอด หากเรื่องพวกนี้เป็นเพราะเจ้าต้องการแก้แค้นที่ข้าเคยทำผิดต่อเจ้าในอดีต แก้แค้นสกุลเซียวที่เคยรังแกเจ้าแล้วล่ะก็ เช่นนั้นตอนนี้ข้าขอบอกเจ้าไว้เลยว่าเจ้าได้เลือกวิธีการแก้แค้นที่ดีมากจริงๆ เพราะเจ้าชนะแล้ว!”

คำพูดของเซียวจวิ้นไม่เจือคลื่นอารมณ์ใดๆ อีก เหมือนเป็นการบอกเล่าเรื่องราวเรื่องหนึ่งเท่านั้น ทว่าแต่ละคำพูดกลับเหมือนใบมีดที่กรีดหัวใจของหลี่เมิ่งซีจนเจ็บปวด นางยืนแข็งทื่อตรงหน้าเขา ส่ายหน้าโดยไม่รู้ตัว อยากบอกเขาเหลือเกินว่าไม่ใช่อย่างนั้น ตอนแรกที่นางนำสินเจ้าสาวไปจำนำและเปิดร้านยาอี๋ชุน เพียงเพราะนางอยากอาศัยกำลังอันน้อยนิดของตน หาที่พำนักพักพิงที่ปลอดภัยให้ตนเองเท่านั้น…นางไม่เคยคิดที่จะแก้แค้นมาก่อน นางแค่อยากไขว่คว้าหาชีวิตที่อิสระของตนเอง นางทำผิดไปจริงๆ หรือ

หลี่เมิ่งซีใบหน้าซีดเผือด ริมฝีปากขยับไปมา แต่ร่างกายกลับไม่อยู่ในการควบคุมของตนเอง นางเปล่งเสียงใดๆ ไม่ออก เห็นมุมปากของเซียวจวิ้นเผยรอยยิ้มหยัน ก่อนที่เขาจะพูดต่อ “เห็นเจ้าตัดสินใจเด็ดเดี่ยวว่าจะไปจากคฤหาสน์สกุลเซียว ข้าก็คิดมาตลอดว่าเป็นเพราะคำสอนของบรรพบุรุษและมารดามิอาจยอมรับเจ้า คิดมาตลอดว่าเจ้าอยู่ในคฤหาสน์แล้วไม่มีความสุข ข้าจึงเร่งจัดการงานในมืออย่างสุดกำลัง หวังเพียงน้องสามจะคุ้นเคยกับกิจการของสกุลโดยเร็ว ข้าจะได้พาเจ้าออกจากคฤหาสน์ จากไปให้ไกลสุดขอบฟ้า ทำสิ่งที่เจ้าอยากทำเป็นเพื่อนเจ้า”

เซียวจวิ้นพูดถึงตรงนี้ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ จนน้ำตาไหลเขาจึงหยุดหัวเราะ ก่อนจะพูดต่อ “ข้าน่าหัวเราะมาก โง่เขลามากจริงๆ ใช่หรือไม่ ทั้งที่รู้ว่าเจ้าไม่ชอบข้า แต่กลับคาดหวังว่าสักวันเจ้าจะหวั่นไหวเพราะข้า จึงคอยตามตื๊อเจ้าไม่เลิก เหนี่ยวรั้งเจ้าไว้โดยคิดเข้าข้างตนเอง เป็นเพราะข้าคิดว่าเจ้าที่อ่อนแอจะเอาตัวรอดไม่ได้ ซีเอ๋อร์ ข้าเพิ่งรู้วันนี้เองว่าข้าคิดผิดแล้ว ผิดไปแล้วจริงๆ ผิดจนไม่น่าให้อภัย เจ้าแข็งแกร่งจนไม่ต้องการให้ใครมาปกป้องตั้งนานแล้ว ข้าไม่มีทางรั้งตัวเจ้าเอาไว้ได้ ข้าคิดมาตลอดว่าที่เจ้าคิดหาหนทางออกจากคฤหาสน์เป็นเพราะคฤหาสน์สกุลเซียวไม่ยอมรับเจ้า บีบให้เจ้าจำต้องจากไป ข้าเพิ่งรู้วันนี้เองว่าที่แท้เจ้ามีสัญญากับรัชทายาทมานานแล้ว ได้! วันนี้ข้าจะสงเคราะห์เจ้า ขณะที่ข้ายังไม่นึกเสียใจภายหลัง เจ้าพาคนของเจ้าไปซะ ออกจากคฤหาสน์สกุลเซียวไปให้ไกล นับแต่นี้ไปพวกเราไม่มีบุญคุณและความแค้นต่อกัน!”

หลี่เมิ่งซียืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ราวกับเลือดในกายถูกสูบออกไปจนหมด ใบหน้าซีดขาว ร่างกายสั่นระริก

พาคนของเจ้าไปซะ ออกจากคฤหาสน์สกุลเซียวไปให้ไกล!

พาคนของเจ้าไปซะ ออกจากคฤหาสน์สกุลเซียวไปให้ไกล!

คำพูดนั้นวนเวียนอยู่ในหูตลอด เหมือนสายฟ้าที่ฟาดลงมา สั่นสะเทือนจนหูนางดังหึ่งๆ ไม่หยุด ทำให้นางมิอาจใช้ความคิดได้อีก

ในที่สุดก็เป็นอิสระ แต่กลับไม่รู้สึกดีใจเลย!

ในที่สุดเขาก็ปล่อยนางไป นี่เป็นสิ่งที่นางปรารถนาตลอดสองปีมานี้ ไฉนเมื่อได้มาแล้ว หัวใจจึงเจ็บปวดถึงเพียงนี้

หลี่เมิ่งซีให้จือชิวประคอง นางฝืนตั้งสติให้มั่นคง ก่อนที่จะสุขุมมากขึ้น ไม่ว่าเขาจะรักนางอย่างลึกซึ้งเพียงใด สุดท้ายเรื่องของนางกับเขาก็ไม่มีบทสรุป โดยเฉพาะตอนนี้ เรื่องโรคระบาดทางใต้ทำให้นางต้องเดินทางลงใต้ไปกับรัชทายาท เดินทางจากไปครั้งนี้อนาคตยังไม่แน่นอน เป็นตายยังมิอาจรู้ได้

นางกับเขาไม่สามารถเดินย้อนกลับไปได้อีกแล้ว ถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องแยกจากกัน เวลาจากกันคำสาปแช่งย่อมดีกว่าความอาลัยอาวรณ์

บางทีความเกลียดชังเข้ากระดูกเช่นนี้จึงจะทำให้เขาลืมนางได้อย่างสิ้นเชิง นับแต่นี้ไปไม่เกี่ยวข้องกันอีก เขาจะได้ไม่ต้องขึ้นชื่อว่าอกตัญญูเพราะนางด้วย หากถลำลึกมากไปกว่านี้ เกรงว่าสุดท้าย…

ถอนหายใจอย่างไร้เสียงเฮือกหนึ่ง สุดท้ายหลี่เมิ่งซีก็ไม่ได้อธิบายอะไรอีกแม้แต่ครึ่งคำ นางเงยหน้าพูดเสียงเรียบ “เมิ่งซีขอบคุณคุณชายรองที่สงเคราะห์ ขอคุณชายรองโปรดเขียนหนังสือหย่าให้เมิ่งซีด้วย!”

“สะใภ้รอง…” จือชิวที่ประคองสะใภ้รองอยู่ได้ยินคำพูดนี้แล้วร้องเสียงหลง ใบหน้าขาวซีด ร่างกายสั่นเทาอย่างห้ามไม่อยู่

คำพูดไร้เยื่อใยของหลี่เมิ่งซีทำให้ใบหน้าของเซียวจวิ้นที่เดิมทีขาวซีดพลันเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ เขาไอสำลักรุนแรงอย่างห้ามไม่อยู่ รีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาปิดปากและหันไปประคองตัวกับผนัง เนิ่นนานจึงยกผ้าที่ปิดปากออก มองเลือดสีแดงฉานบนนั้นแล้ว คำพูดของหมอหลวงหลี่วนเวียนอยู่ในหูอีกครั้ง

คุณชายรองเป็นโรคปอด…

คุณชายรองเป็นโรคปอด…

คิดถึงคำพูดของหมอหลวงหลี่แล้วเซียวจวิ้นอดยิ้มขื่นไม่ได้ เดิมทีตั้งใจเดินทางลงใต้เพื่อตามหาเซียนปรุงยาให้ช่วยรักษาโรคให้ เขาจะได้อยู่กับซีเอ๋อร์ไปตราบชั่วนิรันดร์ เคยคิดที่ไหนว่าบุคคลที่เขาเดินตามหาจนรองเท้าเหล็กพังที่แท้จะอยู่ในเรือนของเขาเอง ตอนนั้นเพื่อช่วยชีวิตนาง เขาละทิ้งศักดิ์ศรีทั้งหมดคุกเข่าอยู่หน้าประตูร้านยาอี๋ชุนท่ามกลางธารกำนัล แต่นางที่ใจแข็งยังคงหันหลังจากไปโดยไม่อาลัยแม้แต่น้อย บัดนี้เขายังจะหันกลับไปขอร้องนาง กระดิกหางขอความเห็นใจจากนางได้อีกหรือ

เมื่อความพยายามทั้งหมดสลายกลายเป็นเถ้าธุลี แม้เขายอมละทิ้งทุกอย่างแล้วก็ยังไม่สามารถสั่นคลอนหัวใจเย็นชาดวงนั้นได้ เช่นนั้นนอกจากปล่อยมือแล้ว เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น

ช่างเถอะ สกุลเซียวถูกดึงเข้าไปเกี่ยวพันกับการเมืองแล้ว พายุฝนกำลังโหมกระหน่ำ ร่างกายเขาเองก็มิต่างจากดวงตะวันที่กำลังลับเหลี่ยมเขา ทนรับการโจมตีไม่ไหวอีกแน่ แล้วไยต้องทำลายอนาคตอันงดงามของนางด้วยเล่า เขาควรปล่อยมือจากนางได้แล้ว เพื่อนาง เขาถึงกับขัดคำสั่งบิดามารดา ทำให้ท่านย่าเสียใจ เวลานี้เขาควรทำเพื่อสกุลสักที ชดเชยให้สิ่งที่เขาทำลงไป หากรัชทายาทเพลี่ยงพล้ำจริง ก็ให้ลูกเนรคุณเช่นเขาตายไปพร้อมสกุลเซียวก็พอ มีเหมืองแร่ทองแดงที่เขาฟู่ลี่ที่เขาก่อตั้งขึ้นมาอยู่ มีพี่ใหญ่กับน้องสาม สกุลเซียวย่อมไม่ถึงกับไร้สิ้นทายาทถึงกับถูกถอนรากถอนโคน…

พับผ้าเช็ดหน้าที่เปื้อนเลือดช้าๆ เช็ดมุมปากและค่อยๆ หันกลับมา เซียวจวิ้นคืนสู่ความสุขุมแล้ว เขาพูดอย่างเด็ดเดี่ยว “ได้ ข้าจะเขียนให้เจ้า!”

เซียวจวิ้นพูดจบก็ตรงไปที่โต๊ะเขียนหนังสือ คลี่กระดาษ หยิบพู่กันบนโต๊ะขึ้นมา จุ่มหมึกสีเข้มจนชุ่มและตวัดพู่กันเขียนโดยเร็ว

 

‘เซียวจวิ้นบุตรชายสายตรงของสกุลสูงศักดิ์ในผิงหยาง บัดนี้ต้องเดินทางลงใต้ไปดูแลกิจการ เนื่องจากทางใต้เกิดโรคระบาด เดินทางไปแล้วเกรงว่าจะรักษาชีวิตไว้ไม่ได้ มีภรรยาหลี่เมิ่งซีที่อายุยังน้อย จึงยินดีเขียนหนังสือหย่านี้ อนุญาตให้นางแต่งงานใหม่ได้โดยไม่มีข้อโต้แย้ง นี่เป็นความยินยอมพร้อมใจอย่างแท้จริง หาได้ถูกบีบบังคับ ด้วยเกรงว่าวันหน้าจะไร้หลักฐาน จึงเขียนหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรไว้

เซียวจวิ้น

ฮ่องเต้จิ่นตี้ปีที่เจ็ดเดือนแปดวันที่สิบสอง

เซียวจวิ้นเขียนเสร็จ ร่างกายก็สั่นเทาเล็กน้อย เขาวางพู่กันและยืดตัวขึ้น ก่อนจะพรูลมหายใจยาว หยิบแท่นหมึกออกมาและประทับนิ้วโป้งลงไปอย่างสั่นระริก ประคองกระดาษขึ้นมาด้วยสองมือ เป่าหมึกด้านบนเบาๆ อย่างระมัดระวังเหมือนกำลังประคบประหงมของล้ำค่าโดยมิอาจตัดใจปล่อยมือได้ มองดูอย่างถี่ถ้วนแล้ว สุดท้ายจึงยื่นให้หลี่เมิ่งซี “นี่เป็นสิ่งที่เจ้าอยากได้มาตลอด และเป็นสิ่งสุดท้ายในชีวิตนี้ที่ข้าสามารถทำให้เจ้าได้”

เห็นหลี่เมิ่งซียื่นมือมารับไป เซียวจวิ้นก็หมุนตัวกะทันหัน ก้าวยาวๆ ออกจากห้องหนังสือ เสียงไออย่างรุนแรงดังมาจากนอกห้องหนังสืออีกระลอกหนึ่ง…

 

ปีก่อนๆ ช่วงวันเกิดเหล่าไท่จวิน หน้าประตูคฤหาสน์สกุลเซียวจะมีเกี้ยว รถม้า และรถเทียมลาที่มาส่งของขวัญและแสดงความยินดีเข้าแถวยาวเหยียดไปไกล บนถนนเต็มไปด้วยรถม้าและผู้คนจำนวนมาก ปีนี้นับแต่วันเกิดเหล่าไท่จวินเป็นต้นมากลับมีเพียงเกี้ยวประปรายมาเยือนไม่กี่หลัง เรียกว่าหน้าประตูเงียบเหงาโดยแท้ บ่าวเฝ้าประตูสองสามคนงีบหลับอยู่ในช่องประตู บ้างก็พูดคุยกันอย่างเบื่อหน่าย

เวลาพลบค่ำ รถม้าที่ไม่จัดว่างดงามหรูหราคันหนึ่งแล่นออกจากคฤหาสน์สกุลเซียวไปช้าๆ

ไม่ได้พาคนมามาก ทั้งไม่ได้นำของมาด้วยมากนัก หลี่เมิ่งซีพามาแต่สาวใช้สามคน ของใช้ส่วนตัวง่ายๆ และหัวใจที่แหลกสลายออกจากคฤหาสน์สกุลเซียว

หลี่เมิ่งซีถึงขั้นทิ้งยาที่ปรุงขึ้นหลายวันนี้ไว้ให้หงจู ให้นางหาโอกาสมอบให้เซียวจวิ้น จากไปครั้งนี้ยังไม่รู้วันข้างหน้าจะเป็นเช่นไร จะได้พบกันอีกเมื่อใด นางเพียงหวังให้เขาใช้ชีวิตต่อไปให้ดี

ในรถม้าเงียบงัน ทั้งสี่ต่างมีสีหน้าหนักอึ้ง โดยเฉพาะจือซย่ากับจือตงที่ทำหน้าเหมือนบิดามารดาเสีย รถม้าแล่นออกจากประตูใหญ่แล้ว พวกนางยังไม่อยากเชื่อว่าสะใภ้รองถูกหย่าแล้วจริงๆ

หลี่เมิ่งซีเลิกมุมหนึ่งของม่านรถขึ้นเบาๆ และมองออกไป บนถนนใหญ่อันเงียบเหงาอ้างว้าง ไม่มีเงาร่างของคนที่สวมชุดสีขาว ขี่อาชาสูงใหญ่ เสื้อผ้าพลิ้วไหว ยิ้มน้อยๆ รอนางอยู่ตรงนั้นและบอกว่าจะไปเป็นเพื่อนนางอีกแล้ว มีเพียงใบไม้ร่วงเหลืองแห้งกับลมฤดูใบไม้ร่วงอันเหน็บหนาว สะท้อนความอ้างว้างที่แสนจะห่อเหี่ยวของฤดูใบไม้ร่วงออกมา

เห็นหลี่เมิ่งซีมีสีหน้าซึมเศร้า จือชิวอดบ่นไม่ได้ “สะใภ้รอง วันนี้ท่านควรอธิบายกับคุณชายรองให้ชัดเจนนะเจ้าคะ คุณชายรองรักท่านมากจริงๆ เป็นความรักแบบที่สามารถสละชีวิตให้ท่านได้ ครั้งนี้ท่านทำร้ายจิตใจเขาเสียแล้ว”

นางมีวิญญาณของคนยุคปัจจุบัน เป็นสตรีที่ประพฤติตัวผิดจารีตธรรมเนียม ส่วนเขาเป็นคนโบราณอย่างแท้จริง สิ่งที่เขาต้องการคือสตรีตัวเล็กๆ ที่เขาสามารถดูแลประคบประหงมไว้ในฝ่ามือ พวกเขาถูกกำหนดไว้แล้วว่ามิอาจเข้ากันได้ ไม่ต้องพูดถึงว่าเบื้องหลังของเขายังมีสกุลเซียวที่ไม่ยอมรับนาง ฟังคำพูดจือชิวแล้ว หลี่เมิ่งซีก็เจ็บแปลบในใจ อธิบายแล้วอย่างไร เขาจะยอมรับนางที่เป็นเช่นนี้ได้หรือ นางจะสามารถละทิ้งร้านยาอี๋ชุนและทำตัวเป็นนกน้อยที่คอยพึ่งพิงเขาได้อย่างนั้นหรือ

อธิบายไปมีแต่จะเสียใจมากกว่าเดิม ตั้งแต่นางเปิดร้านยาอี๋ชุน และตัดสินใจออกจากคฤหาสน์เพื่อแสวงหาอิสระ นางกับเขาก็ไม่มีทางให้ย้อนเดินกลับไปได้อีก

เว้นแต่วันหนึ่งพวกเขาจะยอมเปลี่ยนแปลงเพื่ออีกฝ่าย

นางยอมหรือ…แล้วเขาจะยอมหรือ

หลี่เมิ่งซีส่ายหน้าเงียบๆ “ข้าไม่ใช่สะใภ้รองอีกแล้ว ต่อไปเปลี่ยนคำเรียกขานเถอะ!”

“สะใภ้รอง…” ฟังคำพูดนี้แล้วจือชิวร้องเสียงหลง พลันนึกขึ้นได้ว่าคุณชายรองเขียนหนังสือหย่าให้แล้ว ไม่เปลี่ยนคำเรียกแล้วจะทำอย่างไรได้ “สะใภ้รองพูดถูกเจ้าค่ะ ต่อไปบ่าวจะเรียกท่านว่าคุณหนู”

จือซย่า จือตงผงกศีรษะรับคำเช่นกัน ระหว่างคุยกันก็ได้ยินคนบังคับรถบอกว่า “เรียนสะใภ้รอง ในคฤหาสน์มีคนตามมา พวกเราจะหยุดรถหรือไม่ขอรับ”

ทั้งสี่คนในรถได้ยินเช่นนั้น ดวงตาพลันเปล่งประกาย จือชิวรีบเลิกม่านรถด้านข้าง ทุกคนพากันมองออกไป เห็นม้าหลายตัวควบทะยานออกมาจากคฤหาสน์สกุลเซียว ม้าตัวหน้าสุดมีเงาร่างสีขาวนั่งอยู่ กำลังโบกมือมาที่รถม้าเป็นสัญญาณให้หยุด

หลี่เมิ่งซีเห็นแล้วหัวใจอดเต้นรัวไม่ได้ หันกลับไปและตะโกนบอกคนบังคับรถทันที “หยุดรถ!”

“หยุด…” คนบังคับรถรั้งเชือกบังเหียน รถม้าค่อยๆ หยุดลง ไม่นานม้าด้านหลังก็ตามมาทันและหยุดข้างรถม้า คนบนม้ากระโดดลงจากม้า ประสานมือพูด “ไฉนพี่สะใภ้รองจึงจากไปโดยไม่บอกกล่าวเช่นนี้ ท่านย่าให้ข้ามารับท่านกลับไป ท่านกับพี่รองมีความเข้าใจผิดอะไรกันก็สามารถชี้แจงต่อหน้าได้เลย ท่านย่าบอกว่าหากพี่รองไม่เชื่อฟัง ท่านย่าจะช่วยสั่งสอนเขาแทนท่านเอง ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องให้ข้ารับท่านกลับไปให้ได้”

ครั้นเห็นผู้ที่มาคือเซียวอวิ้น หลี่เมิ่งซีก็ผิดหวัง ฟังคำเขาแล้วเอ่ยว่า “ข้าให้หงจูไปเรียนเหล่าไท่จวิน นายหญิงใหญ่ และนายท่านใหญ่แล้ว เนื่องจากยุ่งๆ จึงมิได้ไปอำลาที่เรือนโซ่วสี่ด้วยตนเอง หวังว่าคุณชายสามจะนำคำพูดข้าไปบอกเหล่าไท่จวินด้วย ข้าจะจดจำบุญคุณของเหล่าไท่จวินไว้ตลอดไป”

“พี่สะใภ้รอง ท่านย่าบอกข้าว่าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเชิญท่านกลับไป”

เห็นคนที่ติดตามเซียวอวิ้นมาล้อมรถม้าของนางไว้ หลี่เมิ่งซีมุ่นคิ้วเอ่ยว่า “คุณชายสามอาจไม่ทราบว่า ตอนอยู่ในอารามชิงซิน ข้ากับเหล่าไท่จวินเคยมีสัญญาต่อกัน หากข้าจะออกจากคฤหาสน์สกุลเซียว นอกจากคุณชายรองแล้ว คนอื่นๆ ในสกุลเซียวล้วนมิอาจสืบสาวเอาความได้ คุณชายสามโปรดกลับไปขอบคุณเหล่าไท่จวินแทนข้าด้วยที่อุตส่าห์รั้งตัวข้าไว้”

“เรื่องนี้…” เรื่องนี้ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนจริงๆ! เซียวอวิ้นฟังแล้วสีหน้าชะงักไป คิดถึงนิสัยของพี่สะใภ้รองแล้ว ด้วยรู้ว่ามิอาจโน้มน้าวนางได้ เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะโบกมือไล่คนเหล่านั้นออกไปและเงยหน้าพูด “ในเมื่อพี่สะใภ้รองตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ข้าก็ไม่สะดวกจะโน้มน้าวอีก เพียงแต่เพิ่งจะพ้นวันเกิดของเหล่าไท่จวินมาไม่กี่วันเท่านั้น ท่านรออีกสองสามวันค่อยไปก็ยังไม่สาย”

“คุณชายรองเขียนหนังสือหย่าให้ข้าแล้ว คนที่ถูกหย่าแล้วจะให้อยู่ในสกุลเซียวได้อย่างไร!”

“เรื่องนี้ เรื่องนี้…ความรู้สึกที่พี่รองมีต่อพี่สะใภ้รองฟ้าดินเป็นพยานได้ ครั้งนี้ต้องเป็นความเข้าใจผิดแน่ มิใช่เจตนาที่แท้จริงของพี่รองแน่นอน พี่รองขังตนเองอยู่ในห้องหนังสือไม่ยอมพบใครทั้งสิ้น คิดว่าคงเศร้าเสียใจอย่างยิ่ง พี่สะใภ้รอง…”

หลี่เมิ่งซีฟังคำพูดนี้แล้ว หัวใจเจ็บปวดราวถูกมีดขวานกรีดฟัน นางเงยหน้าทันใดและขัดคำพูดของเซียวอวิ้น “คุณชายสามยังมีธุระอื่นอีกหรือไม่”

เห็นหลี่เมิ่งซีตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะไป เซียวอวิ้นขบคิดและเอ่ยว่า “เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน รัชทายาทบวงสรวงฟ้าทำให้ท้องฟ้าวิปริต ถูกราษฎรทั่วหล้าตำหนิ ตำแหน่งรัชทายาทไม่มั่นคง สกุลเซียวเองก็ไม่ปลอดภัย เกรงว่าจะมิใช่ที่พำนักพักพิงที่ดี เดิมทีข้ากับพี่รองก็ตั้งใจว่าจะเดินทางลงใต้อยู่แล้ว เดินทางไปครั้งนี้ยังไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร พี่สะใภ้รองหลบไปอยู่นอกคฤหาสน์ชั่วคราวก่อน วันหน้าหากสกุลเซียวอยู่รอดปลอดภัย ข้าต้องให้พี่รองไปขอขมาพี่สะใภ้รองด้วยตนเองและเชิญพี่สะใภ้รองกลับคฤหาสน์แน่นอน พี่สะใภ้รองจากไปครั้งนี้ แค่จำไว้ว่าพี่รองทำไปเพราะหวังดีกับพี่สะใภ้รองก็พอ”

เซียวอวิ้นพูดจบก็กวักมือ เขารับห่อสัมภาระใบหนึ่งจากมือของบ่าวชายด้านหลัง ยื่นให้หลี่เมิ่งซีด้วยสองมือพลางพูด “ได้ยินว่าพี่สะใภ้รองออกจากคฤหาสน์โดยไม่ได้นำอะไรติดตัวไปด้วยเลย นี่เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับเดินทางเล็กน้อย พี่สะใภ้รองอย่าได้รังเกียจ หากใช้อย่างประหยัดหน่อยน่าจะอยู่ได้ถึงตอนที่ข้ากับพี่รองกลับมาจากทางใต้ ในห่อสัมภาระยังมีจดหมายฉบับหนึ่ง หากพี่สะใภ้รองไม่อยากกลับบ้านเดิม สามารถไปหาบุคคลในจดหมายตามที่อยู่ในจดหมายได้ เขาเป็นสหายที่สนิทสนมกับข้ายิ่งนัก เห็นจดหมายแล้วต้องคุ้มครองท่านให้ปลอดภัยได้แน่”

เห็นเซียวอวิ้นช่วยเหลือด้วยความจริงใจเช่นนี้ คิดถึงความช่วยเหลือที่เขาหยิบยื่นให้ตนหลายต่อหลายครั้ง กระแสความอบอุ่นพลันไหลผ่านหัวใจของหลี่เมิ่งซี นางไม่ได้รับห่อสัมภาระ เพียงแต่โบกมือให้คนอื่นๆ ถอยออกไป เห็นทุกคนถอยไปไกลแล้ว นางจึงหันไปพูดกับเซียวอวิ้นที่มีสีหน้าสงสัย “ข้าขอบคุณในความจริงใจของคุณชายสาม เรื่องมาถึงยามนี้ข้าจะพูดความจริงกับคุณชายสามแล้วกัน ข้าก็คือเจ้าของร้านยาอี๋ชุน เนื่องจากตอนนั้นได้ยินคุณชายสามบอกว่าสกุลเซียวมีคำสอนของบรรพบุรุษ ด้วยรู้ว่าข้ากับคุณชายรองไม่มีวาสนาต่อกัน ข้าจึงนำสินเจ้าสาวไปจำนำและเปิดร้านยาอี๋ชุนขึ้นมา เดิมทีแค่ต้องการหาที่พักพิงและหลักแหล่งให้ตนเองหลังจากถูกหย่าเท่านั้น ไม่เคยคิดมาก่อนว่าเหตุการณ์จะเป็นเช่นวันนี้ เมื่อเช้ารัชทายาทมาที่คฤหาสน์และเปิดเผยความจริง คุณชายรองจึงเขียนหนังสือหย่าให้ข้าด้วยเหตุนี้ ที่ข้าจากไปครั้งนี้เพราะต้องทำตามราชโองการเดินทางลงใต้ไปกับรัชทายาทเพื่อรักษาโรคระบาด วันหน้าหากคุณชายสามมีอะไรสามารถไปแจ้งที่ร้านยาอี๋ชุนได้เสมอ วันนี้ข้าขออำลา ฝากบอกคุณชายรองด้วยว่าให้เขาดูแลตนเองให้ดี”

“พี่สะใภ้รอง พี่สะใภ้รอง…คือเซียนปรุงยา…ที่ผู้คนเล่าลือกัน…พี่รองหย่าท่าน…เพราะเหตุนี้” ฟังคำบอกเล่าของหลี่เมิ่งซีแล้ว เซียวอวิ้นก็พึมพำกับตนเองอย่างโง่งม เสียงเขาสั่นเล็กน้อย ดวงตาที่เบิกโตปานระฆังทองแดงจ้องหลี่เมิ่งซีอย่างเหลือเชื่อ

เห็นท่าทีของเซียวอวิ้นแล้ว หลี่เมิ่งซีไม่พูดมากอีก เพียงกวักมือเรียกคนบังคับรถที่อยู่ห่างออกไป ส่งสัญญาณให้เขารีบออกเดินทาง

แม้คุณชายสามจะมีคุณธรรมและมีนิสัยที่เปิดเผยตรงไปตรงมา แต่อย่างไรเรื่องนี้ก็เกี่ยวพันถึงความเป็นความตาย ในสถานการณ์วิกฤตเช่นนี้ฐานะเซียนปรุงยาของสะใภ้รองคนรู้น้อยเท่าไรก็ยิ่งดี เห็นสะใภ้รองบอกเรื่องนี้กับคุณชายสามโดยไม่ปิดบัง จือชิวอยากห้ามก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว นางเหลือบมองสะใภ้รองด้วยสายตาตำหนิแวบหนึ่งก่อนจะพูดกับคุณชายสามที่ยืนตะลึงงันอยู่ตรงนั้น “คุณชายสาม เมื่อวานฮ่องเต้มีราชโองการให้เซียนปรุงยาเข้าวังถวายการรักษาไทเฮา พี่ชายของบ่าวกราบทูลฮ่องเต้ไปแล้วว่าเซียนปรุงยาล้มป่วยอยู่ทางใต้ หากฐานะของเซียนปรุงยาเปิดเผยออกไป ย่อมมีความผิดมหันต์ฐานหลอกลวงเบื้องสูง บ่าวขอร้องคุณชายสามอย่าเพิ่งเปิดเผยเรื่องนี้ออกไปเลยนะเจ้าคะ”

เห็นเซียวอวิ้นผงกศีรษะอย่างแข็งทื่อ จือชิวจึงปล่อยม่านรถ ก่อนที่รถม้าจะแล่นจากไปช้าๆ…

สวรรค์! เป็นไปได้อย่างไร เป็นไปได้อย่างไร พี่สะใภ้รองก็คือเซียนปรุงยาที่ข้าตามหามาตั้งนาน

ท่ามกลางลมฤดูใบไม้ร่วงหนาวเย็น เซียวอวิ้นยืนนิ่งงันอยู่ที่เดิม แขนเสื้อปลิวพลิ้ว มองส่งรถม้าโดดเดี่ยวคันนั้นค่อยๆ แล่นห่างออกไป ก่อนจะหายลับไปท่ามกลางดวงอาทิตย์สนธยาที่เป็นสีแดงดุจโลหิต

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 7 มิ.ย. 62

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

Jamsai Editor: