บทที่ 3
หลี่เมิ่งซีถูกหย่าและออกจากคฤหาสน์อย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ แต่กลับเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้แต่น้อย
ไม่ใช่ไม่ตื่นตระหนก แต่เป็นเพราะตื่นตระหนกมากเกินไปต่างหากจนสูญเสียท่าทีที่ควรมีไป เหมือนท้องฟ้าที่ก่อนหน้านี้ยังแจ่มใสปลอดโปร่ง จู่ๆ กลับเกิดฟ้าผ่ากะทันหัน ยังไม่ทันจะตั้งสติได้เสียงครืนครานก็ลอยออกไปไกลแล้ว เหลือทิ้งไว้เพียงความหวาดหวั่นและตื่นตระหนกในใจ
รัชทายาทเดินทางมาเยือนด้วยตนเองและคุยกับบุตรชายเป็นการส่วนตัว นายท่านใหญ่กระวนกระวายไม่สบายใจอยู่ตลอด หลังกลับจากโถงรับรองแขกด้านนอก เขากับเหล่าไท่จวินก็อยู่ที่เรือนโซ่วสี่ตลอด รอข่าวจากบุตรชาย สุดท้ายกลับเป็นหงจูมารายงานว่าสะใภ้รองถูกหย่าและพาคนออกจากคฤหาสน์สกุลเซียวแล้ว
คำพูดของหงจูไม่ต่างจากสายฟ้าที่ฟาดเปรี้ยงลงมากลางวันแสกๆ นายท่านใหญ่ที่สุขุมเยือกเย็นเสมอมาลุกขึ้นและนั่งลง นั่งลงและลุกขึ้นอีกครั้ง หลายครั้งที่อยากบุกไปเรือนเซียวเซียงถามไถ่ให้ชัดเจน แต่เรื่องอื่นยังพอว่า พอเป็นเรื่องของหลี่เมิ่งซี เขาที่เป็นประมุขของบ้านจำต้องระวังแล้วระวังอีก รอบคอบแล้วรอบคอบอีก สุดท้ายยังคงตัดสินใจรอให้บุตรชายกลับมาอธิบายด้วยตนเอง
หลี่เมิ่งซีมิต่างจากวัตถุมงคลของสกุลเซียว โดยเฉพาะตอนนี้ที่สถานการณ์ไม่แน่นอน แล้วจะปล่อยนางออกจากคฤหาสน์ได้อย่างไร เหล่าไท่จวินที่ทำใจยอมรับหลี่เมิ่งซีได้แล้ว ท่าทีแรกคือสั่งให้คนที่ประตูชั้นในขวางนางไว้ ให้ตายก็ไม่ยอมให้สะใภ้รองออกจากคฤหาสน์ เวลานี้สกุลเซียวต้องมีนางจึงจะปลอดภัย
คิดไม่ถึงว่าคนที่ส่งไปจะกลับมารายงานว่าสะใภ้รองออกจากประตูใหญ่ไปแล้ว เหล่าไท่จวินจึงสั่งให้เซียวอวิ้นพาคนออกไป ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรับนางกลับมาให้ได้ สิ่งที่ไม่ได้พูดให้ชัดเจนก็คืออนุญาตให้เซียวอวิ้นใช้กำลังนำตัวนางกลับมาที่คฤหาสน์
เหมือนคนจมน้ำที่พยายามคว้าจับของในมือ แม้ว่าของสิ่งนั้นจะเป็นเพียงฟางเส้นหนึ่ง เหล่าไท่จวินคิดอย่างงมงายว่าต่อให้ต้องกักบริเวณ ขอเพียงหลี่เมิ่งซีอยู่ในคฤหาสน์สกุลเซียว สกุลเซียวก็จะพ้นเคราะห์ครั้งนี้ไปได้อย่างปลอดภัย
คิดไม่ถึงว่าเซียวอวิ้นจะกลับมาแจ้งว่าสะใภ้รองบอกว่าในอดีตเหล่าไท่จวินเคยให้สัญญา หากนางจะออกจากคฤหาสน์ นอกจากเซียวจวิ้นแล้ว ไม่ว่าใครก็ห้ามขัดขวางทั้งนั้น
เมื่อครู่นี้เหล่าไท่จวินคิดแต่จะตามตัวหลี่เมิ่งซีกลับมา จึงลืมคำสัญญาในอดีตของตนเองไปชั่วขณะ จะให้จวิ้นเอ๋อร์ไปตามนางกลับมา? แต่ซีเอ๋อร์ถูกเขาไล่ออกไปนี่นา ใช้หัวเข่าคิดดูก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้
เห็นทีครั้งนี้ซีเอ๋อร์จะพ้นจากการควบคุมของสกุลเซียวโดยสิ้นเชิงแล้ว เหล่าไท่จวินฟังคำพูดนี้แล้วก็รู้สึกหนาวเยือกตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ความไม่สบายใจอย่างรุนแรงปกคลุมจิตใจ
ได้ยินว่าเซียวจวิ้นขังตนเองอยู่ในห้องหนังสือ เหล่าไท่จวินกับนายท่านใหญ่กลับใจตรงกันอย่างน่าแปลก ไม่ได้ร้อนใจไปถามเขาว่าเพราะอะไร ทั้งไม่ทำอะไรทั้งนั้น แต่ข้ารับใช้ในคฤหาสน์สกุลเซียวต่างรู้ว่าความสงบหลังสะใภ้รองออกจากคฤหาสน์เช่นนี้ออกจะน่ากลัวเกินไป เหมือนคฤหาสน์สกุลเซียวมีเมฆหมอกมัวหม่นปกคลุมอยู่
หลี่เมิ่งซีออกจากคฤหาสน์ คนเดียวในคฤหาสน์สกุลเซียวที่ดีใจก็คือนายหญิงใหญ่ ในที่สุดหินก้อนโตที่กดทับอยู่ในใจนางก็ถูกยกออกไปจนได้ นางไม่ได้ซักไซ้บุตรชายว่าเหตุใดจึงหย่าภรรยา ขอแค่เขาหย่าก็พอ ไยต้องสนใจด้วยว่าเขาหย่าเพราะอะไร
โคมไฟถูกจุดขึ้นแล้ว นางที่นอนป่วยอยู่บนเตียงมาเดือนกว่าราวกับได้รับยาบำรุง แม้ใบหน้าจะขาวซีด แต่กลับกระปรี้กระเปร่ายิ่ง ยามนี้นั่งอยู่ริมเตียง ยิ้มมองเป่าจูเล่าเรื่องที่สะใภ้รองออกจากคฤหาสน์ไปตามลำพัง…
เป่าจูเล่าจบ นายหญิงใหญ่ก็ถอนหายใจ “หากรู้แต่แรกว่าจวิ้นเอ๋อร์จะคิดได้ง่ายดายเช่นนี้ ตอนแรกไยต้องวุ่นวายถึงเพียงนั้นด้วย”
“นั่นสิเจ้าคะ นายหญิงใหญ่ไม่รู้อะไร สะใภ้รองนำรถม้าไปเพียงคันเดียวเท่านั้น ข้าวของที่ใช้ในชีวิตประจำวันล้วนไม่ได้นำไปด้วย สี่คนเบียดกันอยู่ในรถม้าคันเดียว อี๋เหนียงในเรือนหลังไม่มีใครออกมาส่งสักคน แม้แต่หวังอี๋เหนียงที่ปกติสนิทสนมกันยิ่งกว่าอะไรก็ไม่โผล่หน้าออกมา น่าเวทนาทีเดียวเจ้าค่ะ”
ฟังเป่าจูเล่าแล้ว นายหญิงใหญ่จึงกัดฟันพูด “นางจิ้งจอกผู้นี้ นางก็มีวันนี้เหมือนกันหรือ จวิ้นเอ๋อร์ไม่รักใคร่นางแล้ว ข้าดูซิว่านางยังจะเหลืออะไรอีก ใช่แล้ว เจ้าไม่ได้สืบดูหรือว่าเหตุใดจวิ้นเอ๋อร์จึงหย่านาง”
“บ่าวก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ ได้ยินแค่ว่าวันนี้รัชทายาทเสด็จมา สนทนากับคุณชายรองเป็นการส่วนตัวอยู่นานมาก หลังจากรัชทายาทจากไป คุณชายรองก็หย่าสะใภ้รอง ตอนนั้นพวกข้ารับใช้ถูกไล่ออกมาหมด จึงไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องหนังสือเจ้าค่ะ”
ได้ยินว่ารัชทายาทเสด็จมา เงามืดพลันวูบขึ้นในใจของนายหญิงใหญ่ แต่แล้วก็ถูกกลบมิดด้วยความยินดีไม่สิ้นสุด นางอดคิดถึงจางซิ่วไม่ได้ ถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “น่าเสียดายที่ซิ่วเอ๋อร์รีบร้อนแต่งเป็นชายารองของเยียนอ๋องเสียแล้ว ได้ยินว่าวันที่ซิ่วเอ๋อร์ออกเรือน งานพิธีจัดอย่างยิ่งใหญ่ นอกจากชุดแต่งงานไม่ใช่สีแดงสด เกี้ยวไม่ได้เข้าทางประตูหลักแล้ว ธรรมเนียมอื่นล้วนอยู่ในระดับเดียวกับชายาเอก ดีกว่าแต่งเป็นภรรยาเอกของคนทั่วไปตั้งไม่รู้กี่เท่า น่าเสียดายที่จวิ้นเอ๋อร์ไร้วาสนา คนดีขนาดนี้เขากลับไม่ต้องการ พอซิ่วเอ๋อร์ออกเรือนไป เขาก็หย่านางจิ้งจอกนั่น ห่างกันเพียงไม่กี่วันเท่านั้น”
“บางทีคุณหนูซิ่วกับคุณชายรองอาจไม่มีวาสนากันก็ได้เจ้าค่ะ นายหญิงใหญ่อย่าเสียดายไปเลย เมืองผิงหยางมีสตรีดีๆ อีกมากมาย ท่านค่อยเลือกคนที่ถูกใจให้คุณชายรองก็เหมือนกันเจ้าค่ะ”
ได้ยินเป่าจูพูดถึงการแต่งภรรยาใหม่ให้คุณชายรอง นายหญิงใหญ่ก็ตาเป็นประกายในทันใด นางสั่งเป่าจูว่า “เร็วเข้า ประคองข้าขึ้นมาและแต่งตัวให้ข้า ข้าจะไปเรือนโซ่วสี่”
เป่าจูฟังแล้วตกใจจนสะดุ้ง รีบเอ่ยปากห้าม “นายหญิงใหญ่ ท่านจะทำอะไรเจ้าคะ ตอนนี้เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว เหล่าไท่จวินน่าจะพักผ่อนแล้วเจ้าค่ะ”
“ข้าอยากไปปรึกษาเหล่าไท่จวิน เจรจาเรื่องการแต่งงานของจวิ้นเอ๋อร์ จัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยก่อนสิ้นปี หาไม่แล้วราตรียาวนานความฝันยาวไกล ข้าเกรงว่าจวิ้นเอ๋อร์จะเปลี่ยนใจ รับนางจิ้งจอกที่เป็นภัยผู้นั้นกลับมาอีก!”
“นายหญิงใหญ่กล่าวถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ ตามความเห็นบ่าว ถึงอย่างไรสะใภ้รองก็ออกจากคฤหาสน์ไปแล้ว เวลาแค่คืนเดียวคงไม่เป็นไร พรุ่งนี้เช้านายหญิงใหญ่ค่อยไปหารือเรื่องนี้ก็ยังไม่สายเจ้าค่ะ”
นายหญิงใหญ่พยักหน้า “ก็จริงอยู่ ใช่แล้ว ไม่ได้ส่งคนตามไปดูหรือว่าสะใภ้รองไปที่ใด”
“ตอนบ่าวทราบข่าว สะใภ้รองก็จากไปไม่เห็นเงาแล้วเจ้าค่ะ แปดส่วนคงกลับบ้านเดิม พรุ่งนี้บ่าวค่อยส่งคนไปสืบดูที่บ้านเดิมของนางดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ดี เรื่องนี้เจ้าใส่ใจหน่อย ทำให้สกุลเซียววุ่นวายเช่นนี้จะปล่อยให้นางจากไปอย่างสงบสุขแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด”
แม้ร่างกายจะยังโงนเงนไปมา แต่เมื่อมีแรงใจอาการก็ดีขึ้นมาก เช้าตรู่วันต่อมานายหญิงใหญ่จึงให้เป่าจูกับจื่อเยวี่ยประคอง ฝืนสังขารไปยังเรือนโซ่วสี่ เข้าประตูห้องโถงไปแล้ว เดินอ้อมฉากบังลม เห็นเหล่าไท่จวิน นายท่านใหญ่ คุณชายใหญ่ สะใภ้ใหญ่ และคุณชายสามล้วนอยู่ในห้องโถง
ครั้นเห็นนายหญิงใหญ่เข้ามาทุกคนต่างตื่นตกใจ คุณชายใหญ่ สะใภ้ใหญ่ และคุณชายสามรีบลุกขึ้นคารวะ สะใภ้ใหญ่ก้าวเข้าไปประคองนายหญิงใหญ่พลางพูด “ไฉนนายหญิงใหญ่จึงลุกขึ้นมาเดินเล่า วันนี้รู้สึกดีขึ้นหรือไม่เจ้าคะ”
“ดีขึ้นมากแล้ว ข้ารู้สึกว่าเดินได้แล้ว คิดถึงเหล่าไท่จวินจึงมาที่นี่” นายหญิงใหญ่พูดพลางคารวะเหล่าไท่จวิน นายท่านใหญ่ และนั่งลงตรงข้ามนายท่านใหญ่
เหล่าไท่จวินพิจารณาสีหน้าของนายหญิงใหญ่อย่างละเอียด “ลูกสะใภ้ช่างดื้อจริงๆ ร่างกายไม่แข็งแรงก็อย่าฝืนตนเองไปเลย เรื่องในบ้านให้สะใภ้ใหญ่เป็นคนจัดการก็พอ เจ้าพักรักษาตัวให้ดีเถอะ”
“ลูกสะใภ้อกตัญญู ทำให้เหล่าไท่จวินเป็นห่วงแล้ว วันนี้ลูกสะใภ้รู้สึกว่าร่างกายแข็งแรงขึ้นไม่น้อย เพิ่งผ่านวันเกิดของท่านมา มีเรื่องราวมากมายต้องจัดการ ไหนเลยจะยังนอนอยู่ได้”
ฟังคำพูดนี้แล้ว เหล่าไท่จวินก็มีสีหน้าตึงเครียด ระหว่างเยียนอ๋องกับรัชทายาทเป็นเหมือนน้ำกับไฟแล้ว เห็นทีครั้งนี้คงถึงเวลาตัดสินใจว่าใครจะเป็นฮ่องเต้ใครจะเป็นขุนนาง เยียนอ๋องอำนาจแข็งแกร่ง มีแต่จะลงมือหนักข้อขึ้นทุกที แม้แต่อัครเสนาบดียังเกือบถูกบีบให้ตาย เกรงว่ารายต่อไปคงเป็นสกุลเซียว อธิษฐานขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองยังแทบไม่ทัน
ถอนหายใจทีหนึ่ง ขณะกำลังจะพูด สาวใช้ก็มารายงานว่าอาหารเช้าถูกยกมาแล้ว จะให้ตั้งโต๊ะตอนนี้เลยหรือไม่ เหล่าไท่จวินกวาดตามองรอบหนึ่งและเอ่ยว่า “จวิ้นเอ๋อร์เล่า สั่งให้คนไปตามเขาอีกครั้ง!”
ซื่อฮว่าฟังแล้วรีบก้าวขึ้นมาพูดว่า “เรียนเหล่าไท่จวิน เรือนเซียวเซียงเพิ่งส่งคนมารายงานว่าเมื่อวานคุณชายรองอยู่ในห้องหนังสือทั้งคืน ชุ่ยอี๋เหนียงกับหงอวี้ต่างไปคุกเข่าขอร้องที่หน้าประตูห้องหนังสือ แต่คุณชายรองไม่ยอมเปิดประตู หงจูเกรงว่าคุณชายรองจะเป็นอะไรไปจึงให้สาวใช้มารายงาน อยากขอร้องให้เหล่าไท่จวินกับนายท่านใหญ่ไปพูดโน้มน้าว เมื่อครู่บ่าวเห็นว่าสำรับอาหารกำลังจะยกเข้ามาแล้ว เกรงว่าท่านจะเป็นกังวลจนกินอาหารเช้าไม่ลง จึงคิดว่ารอให้ท่านกินอาหารเสร็จแล้วค่อยบอกเจ้าค่ะ”
เหล่าไท่จวินฟังแล้วหัวใจหนักอึ้ง กำลังจะพูดกลับได้ยินนายท่านใหญ่เอ่ยว่า “จวิ้นเอ๋อร์เองก็เลอะเลือนนัก ถึงอย่างไรก็ไม่ควรสร้างความเปลี่ยนแปลงในบ้านในช่วงเวลาคับขันเช่นนี้ ทำให้มารดาเป็นกังวล ไว้ลูกจะกลับไปอบรมเขาให้ดีเอง มารดาอย่ารออีกเลย กินอาหารก่อนเถอะขอรับ!”
เซียวอวิ้นฟังแล้วอ้าปากอยู่หลายครั้ง แต่สุดท้ายก็หุบปากลง
เหล่าไท่จวินเต็มไปด้วยความอึดอัดขัดใจ เดิมทีคิดจะบ่นอีกสองสามคำ แต่เห็นนายท่านใหญ่เองก็มีสีหน้าเหนื่อยล้า เมื่อคืนคงไม่ได้พักผ่อนเท่าไร ครั้นคิดว่าหลายวันนี้คฤหาสน์สกุลเซียวเต็มไปด้วยปัญหาทั้งภายในและภายนอก เห็นบุตรชายมีผมขาวมากขึ้นทุกทีจึงอดรู้สึกปวดใจไม่ได้ นางเปลี่ยนคำพูดเป็น “ตั้งโต๊ะเถอะ!”
เห็นเหล่าไท่จวินสั่งให้ตั้งโต๊ะ ทุกคนต่างก็โล่งอก
นายหญิงใหญ่ให้เป่าจูประคองลุกขึ้น แต่ถูกเหล่าไท่จวินร้องห้ามไว้ “นายหญิงใหญ่ไม่แข็งแรง นั่งลงเถอะ ให้สะใภ้ใหญ่จัดการก็พอ”
นายหญิงใหญ่รีบเอ่ยขอบคุณและนั่งลง กินอาหารเช้าเสร็จ ยกโต๊ะออกไปแล้ว พวกสาวใช้ก็ยกน้ำชาเข้ามา ทุกคนนั่งลงอีกครั้ง นายท่านใหญ่จิบน้ำชาและพูดคุยเป็นเพื่อนมารดาครู่หนึ่ง ในใจเป็นห่วงบุตรชาย ขณะกำลังจะขอตัวไปดูที่เรือนเซียวเซียงก็ได้ยินนายหญิงใหญ่พูดขึ้น “เรียนเหล่าไท่จวิน หลี่เมิ่งซีถูกหย่าแล้ว ตามความเห็นของลูกสะใภ้ มิสู้ใช้เวลาสองสามวันนี้เลือกคุณหนูสกุลดีๆ ให้จวิ้นเอ๋อร์ใหม่ เพิ่งผ่านวันเกิดของท่านมาก็ถือโอกาสจัดการให้เรียบร้อยเสียเลย จะได้เป็นเรื่องมงคลซ้อนเรื่องมงคล สลายไออัปมงคลในช่วงนี้ไปเสีย ไม่ทราบว่าเหล่าไท่จวินมีความเห็นอย่างไร”
ฟังคำพูดนี้แล้ว นายท่านใหญ่ก็นิ่วหน้าโดยไม่รู้ตัว เขาคิดในใจ นี่มันเวลาใดแล้ว ยังจะคิดถึงเรื่องเล็กน้อยในเรือนหลังอีก อีกอย่างเวลานี้ผู้อื่นหลบเลี่ยงยังแทบไม่ทันเลย ใครจะอยากแต่งงานกับสกุลเซียว!
นายท่านใหญ่รู้สึกไม่พอใจ แต่เห็นนายหญิงใหญ่ใบหน้าขาวซีด มารดาก็นั่งอยู่ด้วยจึงไม่สะดวกจะเอ่ยปากตำหนิ ได้แต่นั่งหน้าบึ้งไม่พูดไม่จา
ฟังที่นายหญิงใหญ่พูดแล้ว เหล่าไท่จวินก็รู้สึกเหมือนนายท่านใหญ่ นางไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ขณะกำลังจะตอบปฏิเสธพลันบังเกิดความคิดว่านี่นับเป็นความคิดที่ดีอย่างหนึ่ง ถึงอย่างไรซีเอ๋อร์ก็ไม่กลับมาแล้ว มิสู้ใช้การแต่งงานของจวิ้นเอ๋อร์มาเชื่อมความสัมพันธ์ทางการเมือง หนึ่งได้ขับไล่ไออัปมงคล สองบางทีอาจได้กอดขาของผู้สูงศักดิ์คนใดคนหนึ่งในราชสำนัก ช่วยดึงสกุลเซียวออกจากความวุ่นวายทางการเมืองครั้งนี้ได้พอดี คิดเช่นนี้จึงตอบว่า “ลูกสะใภ้พูดถูก ถือโอกาสช่วงก่อนที่จวิ้นเอ๋อร์ยังไม่ออกเดินทาง ให้เขาเลือกคู่ครองและแต่งงานใหม่ก็ไม่เลว เฮ้อ น่าเสียดายซิ่วเอ๋อร์ เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมอยู่แล้ว แต่นางกลับร้อนใจแต่งให้เยียนอ๋อง…”
“มารดา!”
“ไม่ได้นะขอรับท่านย่า!”
นายท่านใหญ่กับคุณชายสามฟังแล้วร้องตะโกนออกมาพร้อมกัน
เร็วเกินไปหน่อยกระมัง!
สะใภ้ใหญ่ฟังแล้วตกใจจนหน้าเปลี่ยนสีเช่นกัน เมื่อวานตอนเช้าสะใภ้รองยังตกลงกับนางเสียดิบดีว่าจะมาที่เรือนนางเพื่อหารือเรื่องจัดการกิจธุระในเรือน ไหนเลยจะคิดว่าพอถึงเวลาจุดโคมไฟ ข่าวที่สะใภ้รองถูกหย่าและออกจากคฤหาสน์จะแพร่มา จวบจนตอนนี้นางยังไม่เชื่อว่านี่เป็นเรื่องจริงเลย ไม่นึกไม่ฝันว่าเช้าตรู่เช่นนี้ ทั้งยังไม่ทันรู้ว่าเหตุใดคุณชายรองจึงหย่าภรรยา ไม่แน่สามีภรรยาอาจจะแค่แง่งอนกันเท่านั้น สะใภ้รองกลับบ้านเดิมไม่กี่วัน หายโกรธก็ไปรับกลับมาได้แล้ว แต่นายหญิงใหญ่กลับจะเจรจาเรื่องการแต่งงานให้คุณชายรอง ออกจะเร็วเกินไปหน่อยหรือไม่ แล้วคุณชายรองจะยอมหรือ
สะใภ้ใหญ่ขบคิดและอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองคุณชายใหญ่แวบหนึ่งด้วยความเป็นกังวล นางเห็นคุณชายใหญ่ขมวดคิ้วมุ่นเช่นกัน
เหล่าไท่จวินเองก็บังเกิดความคิดนี้กะทันหัน กวาดตามองทุกคนรอบหนึ่ง พบว่ามีแต่นางกับนายหญิงใหญ่ที่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ โดยเฉพาะอวิ้นเอ๋อร์ที่ทำหน้าร้อนอกร้อนใจ ราวกับนางจัดการเรื่องการแต่งงานที่ไม่ถูกใจให้เขาอย่างนั้นแหละ
เห็นเช่นนี้เหล่าไท่จวินกำลังจะเอ่ยปากก็เห็นซื่อฉินก้าวเข้ามาอย่างเร่งร้อน “เรียนเหล่าไท่จวิน เรียนนายท่านใหญ่ คนเฝ้าประตูชั้นในมารายงานว่าหลี่ป๋อองครักษ์ของรัชทายาทมาขอพบนายท่านใหญ่และคุณชายรองที่ประตูชั้นใน บอกว่ารัชทายาทมีเรื่องด่วนให้เขามาส่งข่าวเจ้าค่ะ”
“รีบเชิญไปที่ห้องโถงรับรองแขกด้านนอก” นายท่านใหญ่พูดพลางลุกขึ้น
ได้ยินเหล่าไท่จวินเอ่ยว่า “บอกให้พวกสตรีกลับไป แล้วเชิญเขามาที่นี่เถอะ!”
เซียวจวิ้นหย่าภรรยาต้องเกี่ยวข้องกับรัชทายาทแน่ แต่เขาขังตนเองอยู่ในห้องหนังสือ เหล่าไท่จวินเองก็จนปัญญา บัดนี้เห็นรัชทายาทให้คนมาส่งข่าวอย่างเร่งด่วนจึงรู้ว่าเรื่องนี้ร้ายแรงแน่ ไหนเลยจะรอให้นายท่านใหญ่ฟังจบแล้วมาหารือกับตนไหว เมื่อสถานการณ์คับขันคนเราย่อมต้องพลิกแพลง เวลานี้มิอาจยึดถือธรรมเนียมจุกจิกจึงสั่งให้ตามหลี่ป๋อมาที่เรือนโซ่วสี่
ฟังคำมารดาแล้ว นายท่านใหญ่รู้สึกมีเหตุผลเช่นกัน ดังนั้นจึงนั่งลง บอกให้นายหญิงใหญ่กับสะใภ้ใหญ่กลับไปก่อน เหลือไว้เพียงบ่าวชายและสาวใช้รุ่นใหญ่ของเหล่าไท่จวินไม่กี่คน
ไม่นานบ่าวชายคนหนึ่งก็เดินนำหลี่ป๋อเข้ามา ต่างฝ่ายต่างคารวะ พูดคุยทักทายกันแล้วก็นั่งลงเรียบร้อย หลี่ป๋อเอ่ยว่า “เหล่าไท่จวิน นายท่านใหญ่สกุลเซียว ตอนนี้เพิ่งเลิกประชุมขุนนาง รัชทายาทยังหารือเรื่องงานอยู่กับฝ่าบาท มิอาจปลีกตัวออกมาได้ จึงตั้งใจให้ข้าน้อยมาส่งข่าวให้ท่าน บอกว่าการประชุมขุนนางเช้านี้ ผู้ตรวจการจาง รองข้าหลวงตรวจการซุน และขุนนางใหญ่อีกเกือบสามสิบคนร่วมกันลงชื่อในหนังสือกราบทูลว่าที่ทางใต้เกิดอุทกภัยไปทั่ว โรคระบาดแพร่กระจาย คนเร่ร่อนก่อความวุ่นวาย ราษฎรลำบากยากแค้น เป็นเพราะผู้ตรวจการมณฑลเจียงซูหลัวซงและเจ้าเมืองหยางโจวเซียวจื้อบกพร่องต่อหน้าที่ ทั้งยังร้องเรียนเจ้าเมืองเซียวว่าระหว่างดำรงตำแหน่งมีการยักยอกทรัพย์ ทุจริตฉ้อฉล รับสินบน ตลอดจนความผิดอื่นๆ อีกรวมยี่สิบข้อ ภัยพิบัติทางใต้รุนแรงขึ้นทุกวัน ส่งผลกระทบในวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ แต่กลับยังไม่ได้รับการควบคุม มีแนวโน้มที่ราษฎรจะก่อกบฏสูง เพื่อปลอบโยนราษฎรจึงร่วมกันลงชื่อขอให้ฝ่าบาทประหารผู้ตรวจการหลัวและเจ้าเมืองเซียวเพื่อบรรเทาโทสะของราษฎร…ฝ่าบาททรงออกราชโองการกักขังผู้ตรวจการมณฑลเจียงซูหลัวซงและเจ้าเมืองหยางโจวเซียวจื้อรวมถึงครอบครัวของทั้งสองเพื่อรอการสอบสวนแล้ว ทรัพย์สินยึดเข้าคลังหลวง”
หลี่ป๋อยังพูดไม่จบ เหล่าไท่จวินก็ใบหน้าซีดเผือด
นายท่านรองและครอบครัวถูกจับเข้าคุกแล้ว! เห็นทีเยียนอ๋องจะลงมือจัดการสกุลเซียวแล้วจริงๆ!
“แล้วรัชทายาท ใต้เท้าอัครเสนาบดี ขุนนางใหญ่ในราชสำนักไม่มีใครพูดจาให้ความยุติธรรมแทนนายท่านรองเลยสักคนหรือ ปล่อยให้คนเจ้าเล่ห์พวกนี้กุความผิดขึ้นมาใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่นได้อย่างไร”
ยามนี้นายท่านใหญ่ใบหน้าซีดเผือดเช่นกัน กล้ามเนื้อข้างแก้มกระตุกไม่หยุด แต่ถึงอย่างไรก็เป็นบุรุษ เห็นหลี่ป๋อมีสีหน้าลำบากใจจึงรีบปลอบโยนมารดา “มารดา ท่านใจเย็นๆ ก่อน ฮ่องเต้บอกเพียงว่าจะกักขังรอการสอบสวน ยังไม่ได้กำหนดความผิด พวกเราฟังองครักษ์หลี่พูดให้จบก่อนเถอะ”
เห็นเหล่าไท่จวินสงบลงแล้ว นายท่านใหญ่จึงส่งสัญญาณให้องครักษ์หลี่พูดต่อ หลี่ป๋อพูดต่อว่า “เดิมทีพวกเขายังบอกว่านายท่านสกุลเซียวใช้อำนาจบาตรใหญ่ในเมืองผิงหยาง ติดสินบนขุนนาง ตลอดจนความผิดอื่นๆ อีกสิบข้อ ทั้งยังนำจดหมายที่เจ้าเมืองเซียวส่งให้นายท่านสกุลเซียวออกมาแสดง แต่เนื่องจากรัชทายาท อัครเสนาบดี และขุนนางอื่นๆ คอยปกป้องอยู่ หนังสือกราบทูลฉบับนั้นจึงถูกฝ่าบาทเก็บค้าง ไว้ก่อน เพียงจำกัดการเคลื่อนไหวของคนในคฤหาสน์สกุลเซียวชั่วคราวไม่ให้ออกจากผิงหยาง เพราะอาจถูกเรียกตัวได้ทุกเมื่อ…รัชทายาทบอกว่าต้องการให้คุณชายรองสกุลเซียวถือโอกาสตอนราชโองการยังไม่ออกมารีบเดินทางออกจากผิงหยางโดยเร็ว ให้เตรียมตัวลงใต้ในทันที รัชทายาทยังบอกว่าเขาหารือเรื่องงานเสร็จแล้วจะมาที่นี่ด้วยตนเอง ต้องการให้คุณชายรองเตรียมตัวออกจากคฤหาสน์ก่อนขอรับ”
“จดหมายของนายท่านรอง?” ได้ยินว่ามีการนำจดหมายส่วนตัวของสกุลเซียวออกมาแสดง นายท่านใหญ่ลอบตระหนกในใจ คนที่สามารถเข้าห้องหนังสือของเขาได้มีเพียงคนสนิท แล้วจดหมายจะรั่วไหลออกไปได้อย่างไร พอหลี่ป๋อพูดจบ เขาจึงเอ่ยถามออกมา
หลี่ป๋อรีบตอบ “เรื่องนี้รัชทายาทตั้งใจกำชับมาว่ารัชทายาทสงสัยว่าข้างกายนายท่านสกุลเซียวจะมีสายของเยียนอ๋องอยู่ ให้นายท่านสกุลเซียวระวังคนข้างกายด้วย”
ฟังคำนี้แล้วเหล่าไท่จวินกับนายท่านใหญ่มองตากันและส่ายหน้า เหล่าไท่จวินถามว่า “รัชทายาทจะให้จวิ้นเอ๋อร์ลงใต้ไปทำอะไรหรือ”
“รัชทายาทไม่ได้บอกไว้ขอรับ บอกเพียงให้ข้าน้อยมาส่งข่าว คุณชายรองย่อมเข้าใจเอง ข้าน้อยยังมีธุระอื่นอีก ต้องขอตัวก่อน”
เห็นหลี่ป๋อขอตัว นายท่านใหญ่ก็ไม่ได้รั้งเขาไว้ กล่าวขอบคุณอีกครั้งและยัดตั๋วแลกเงินร้อยตำลึงให้ เดินไปส่งเขาถึงหน้าประตู ก่อนจะหันหลังเดินกลับมา
นายท่านใหญ่กลับเข้ามาในห้องโถง เห็นเหล่าไท่จวินใบหน้าซีดเผือด ข้ารับใช้ทั้งหลายใบหน้าไร้สีเลือด ร่างกายสั่นระริก แม้แต่เซียวอวิ้นที่ปกติซุกซนขาดความรับผิดชอบยามนี้ยังทำอะไรไม่ถูก เซียวชิงที่เป็นขุนนางยังนับว่าสุขุมเยือกเย็นได้อยู่ ยามนี้กำลังปลอบโยนเหล่าไท่จวินเสียงค่อย
โบกมือไล่ข้ารับใช้ทั้งหลายออกไป บอกให้เซียวอั๋งเฝ้าอยู่หน้าประตู จากนั้นนายท่านใหญ่จึงเอ่ยปากปลอบโยน “มารดาอย่ากังวลไปเลย น้องรองแค่ถูกกักขังชั่วคราวเท่านั้น ยังไม่ถูกกำหนดโทษเสียหน่อย สกุลเซียวได้รับพระเมตตาอย่างยิ่ง คิดว่าครั้งนี้เคราะห์ร้ายจะต้องกลับกลายเป็นดีแน่ ก็แค่สูญเสียทรัพย์สินเล็กน้อย ยังดีที่จวิ้นเอ๋อร์ก่อตั้งกิจการทางใต้ไว้แล้ว ทรัพย์สินส่วนใหญ่ของสกุลเซียวล้วนอยู่ที่นั่น ยังไม่ถึงขั้นรากฐานถูกสั่นคลอนหรอกขอรับ”
“พี่รองก่อตั้งกิจการทางตอนใต้?” เซียวอวิ้นที่ตั้งสติได้แล้วได้ยินคำพูดนี้จึงถามขึ้นมา เซียวชิงเงยหน้ามองบิดาเช่นกัน
นายท่านใหญ่พูดกับทั้งสองคน “ปีก่อนจวิ้นเอ๋อร์เดินทางลงใต้ก็เพื่อก่อตั้งกิจการใหม่ เรื่องนี้วันหน้าค่อยเล่าให้ชิงเอ๋อร์ อวิ้นเอ๋อร์ฟังอย่างละเอียด ครั้งนี้ให้พวกเจ้าเดินทางลงใต้ก่อน หนึ่งเพื่อหลบเลี่ยงเคราะห์ภัย หากรัชทายาทถูกปลดจากตำแหน่ง สกุลเซียวย่อมยากที่จะหนีรอด พวกเจ้าอยู่ทางใต้ปกปิดชื่อแซ่ ดีร้ายอย่างไรก็ยังสามารถรักษาเชื้อสายสกุลเซียวเอาไว้ได้ สองหากคฤหาสน์สกุลเซียวในผิงหยางเกิดอะไรขึ้น พวกเจ้าย่อมสามารถใช้กำลังทางใต้ช่วยเหลือสกุลเซียวได้ อวิ้นเอ๋อร์รีบไปเรือนเซียวเซียงถ่ายทอดคำพูดของรัชทายาทกับพี่รองของเจ้า บอกให้เขามาหารือที่เรือนโซ่วสี่ทันที ชิงเอ๋อร์ก็กลับไปเถอะ เตรียมตัวออกจากคฤหาสน์ภายในวันนี้”
“บิดา ลูก…”
“ชิงเอ๋อร์ หายนะถึงตายอยู่ตรงหน้ายังจะมัวลังเลอะไรอีกหรือ กิจการของบรรพบุรุษถูกทำลายไปต่างหากจึงจะเป็นความอกตัญญูอย่างยิ่งยวด พวกเจ้าออกไปเตรียมการกันเถอะ ออกเดินทางภายในคืนนี้เลย เกรงว่าพรุ่งนี้หากราชโองการออกมา ไม่ว่าใครก็จากไปไม่ได้ทั้งนั้น…”
สมแล้วที่เป็นเหล่าไท่จวิน พอตั้งสติได้ก็จัดการเรื่องราวอย่างเฉียบขาด ครั้นเห็นเซียวชิงจะยังรั้งรออยู่ที่นี่ต่อไป ไม่รอให้เขาพูดจบนางก็ขัดขึ้นเสียก่อน น้ำเสียงก้องกังวานเจือแววหนักแน่นไม่ยอมให้ปฏิเสธ
เห็นเหล่าไท่จวินโมโห เซียวชิง เซียวอวิ้นรีบรับคำและลุกขึ้นเดินออกไป
หลานสองคนออกไปแล้ว เหล่าไท่จวินหันไปมองนายท่านใหญ่แล้วถาม “ไฉนจดหมายส่วนตัวของนายท่านใหญ่จึงรั่วไหลออกไปได้”
“ลูกก็ไม่ทราบขอรับ ประเดี๋ยวลูกจะไปตรวจสอบดูให้ดี”
“เห็นทีคฤหาสน์สกุลเซียวจะมีหนอนบ่อนไส้จริงๆ ถึงเวลากำจัดทิ้งแล้วล่ะ เอกสารลับในห้องหนังสือของนายท่านใหญ่ที่ควรทำลายสองวันนี้ก็ทำลายซะเถอะ เก็บไว้ย่อมเป็นต้นเหตุแห่งหายนะ”
“ขอรับ ลูกก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน คืนนี้จะลงมือจัดการให้เรียบร้อย มารดาไม่ต้องกังวล รัชทายาทจิตใจมีเมตตา คนดีฟ้าย่อมคุ้มครอง ขอเพียงผ่านพ้นเคราะห์ภัยครั้งนี้ไปได้ อดทนอีกสักนิด สถานการณ์ย่อมต้องดีขึ้นแน่”
“ตั้งแต่ต้าฉีเกิดปรากฏการณ์ประหลาด อัครเสนาบดีถูกร้องเรียน เกิดข่าวลือเกี่ยวกับรัชทายาทขึ้นมากมาย ข้าเองก็กังวลว่าจะมีวันนี้ หากเยียนอ๋องลงมือกับสกุลเซียว เขาต้องลงมือกับนายท่านรองก่อนเป็นคนแรก เรื่องนี้อยู่ในความคาดหมายอยู่แล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าผู้ตรวจการจางจะเป็นผู้นำการร้องเรียนในครั้งนี้ ถึงอย่างไรก็เป็นญาติกัน ไปมาหาสู่กันอย่างใกล้ชิดอยู่ตลอด หลายปีมานี้สกุลเซียวก็สนับสนุนเขาด้านการเงินไม่น้อย เวลานี้ไม่ช่วยเหลือกันก็แล้วไปเถอะ กลับเป็นผู้นำในการร้องเรียนนายท่านรองเสียได้!”
“มารดา ช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายไหนเลยจะสนใจญาติมิตรอีกเล่า ทุกคนต่างทำงานเพื่อเจ้านายของตนเองทั้งนั้น”
พูดถึงตรงนี้นายท่านใหญ่พลันบังเกิดความคิดบางอย่าง “มารดา ซิ่วเอ๋อร์แต่งงานกับเยียนอ๋อง นางพักอยู่ในคฤหาสน์ตั้งนาน จะเป็น…”
ฟังคำพูดนี้แล้ว เหล่าไท่จวินร่างสั่นเทา แต่แล้วก็ส่ายหน้าทันที “อุบายของซิ่วเอ๋อร์ออกจะชั่วร้ายไปหน่อย แต่อย่างไรนางก็เป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง มือของนางยื่นเข้าไปไม่ถึงห้องหนังสือของเจ้าหรอก นายท่านใหญ่ตรวจสอบคนข้างกายดูดีกว่า แต่พวกข้ารับใช้ในเรือนต่างๆ ที่ปกติใกล้ชิดกับซิ่วเอ๋อร์ยังคงต้องกำจัดทิ้งให้หมด”
“มารดากล่าวถูกต้อง พรุ่งนี้ลูกจะสั่งการชุยซื่อและพ่อบ้านเต๋อ”
“เรื่องของผู้ตรวจการจางอย่าเพิ่งบอกนายหญิงใหญ่ ข้าว่าอาการป่วยของนางดูไม่น่าจะรักษาให้หายได้ ปกตินางสนิทสนมกับพี่สาวที่บ้านเดิมยิ่งนัก หากรู้เรื่องนี้แล้วเกรงว่าจะรับไม่ได้”
“มารดากล่าวถูกต้อง ใช่แล้ว มารดา ลูกอยากให้จวิ้นเอ๋อร์รวบรวมราษฎรทางใต้ร่วมกันลงชื่อสนับสนุนน้องรองในนามของซั่งกวนจวิ้น ขอเพียงยังไม่ถูกตัดสินความผิดในตอนนี้ พวกเราย่อมค่อยๆ คิดหาหนทางได้แน่”
“อืม บอกพวกเขาสามพี่น้องด้วยว่าถึงทางใต้แล้วให้ไปติดต่อกับทางการก่อน อย่าปล่อยให้ครอบครัวของนายท่านรองที่อยู่ข้างในต้องลำบาก สองวันนี้ในคฤหาสน์ของเราเองก็ต้องเตรียมการด้วย ควร…”
ระหว่างพูด ซื่อฮว่าก็เคาะประตูเข้ามารายงาน “เรียนเหล่าไท่จวิน นายท่านใหญ่ รัชทายาทเสด็จมาถึงแล้วเจ้าค่ะ”
เหล่าไท่จวินฟังแล้วรีบบอกให้เชิญ เวลานี้นางไม่ยึดถือธรรมเนียมจุกจิกอีก ให้เชิญรัชทายาทมาที่เรือนโซ่วสี่
รัชทายาทพาองครักษ์สองคนเดินตามบ่าวชายมายังเรือนโซ่วสี่ เหล่าไท่จวินกับนายท่านใหญ่ยืนต้อนรับอยู่นอกประตูแล้ว เห็นเขาเข้ามาก็รีบเข้าไปคุกเข่าโขกศีรษะ คำนับรัชทายาท
“ข้าน้อยซั่งกวนซื่อถวายบังคมรัชทายาท”
“ข้าน้อยเซียวเฉินถวายบังคมรัชทายาท”
ซั่งกวนหงฮุยเห็นเช่นนั้นจึงยื่นมือออกไปทำท่าประคอง “เหล่าไท่จวิน นายท่านใหญ่สกุลเซียวไม่ต้องมากพิธี รีบลุกขึ้นเถอะ”
เหล่าไท่จวินกับนายท่านใหญ่รับคำและลุกขึ้น ทักทายกันอีกสองสามคำก่อนจะเข้าไปในห้องโถง นั่งลงตามตำแหน่งของเจ้าภาพกับแขกแล้ว จึงให้คนยกชาอย่างดีเข้ามาใหม่
ซั่งกวนหงฮุยนั่งลงเรียบร้อยแล้วก็ยกชาขึ้นจิบคำหนึ่ง เขาไม่พูดเรื่องไร้สาระ กล่าวถึงเรื่องที่ให้หลี่ป๋อมาส่งข่าวรอบหนึ่ง จากนั้นเล่าเรื่องที่ฮ่องเต้ให้เขาไปตามหาเซียนปรุงยาที่อยู่ทางใต้ให้ฟัง สุดท้ายจึงเอ่ยว่า “เหล่าไท่จวินกับนายท่านใหญ่สกุลเซียวไม่ต้องกังวล นี่เป็นเพียงสถานการณ์ชั่วคราวเท่านั้น เสด็จพ่อทรงเป็นห่วงอุทกภัยและโรคระบาดทางใต้ มีหนานไหวจงกับอัครเสนาบดีคอยปกป้องอย่างเต็มที่ เสด็จพ่อไม่มีทางเชื่อข่าวลือบนท้องถนนพวกนั้นแน่ หาไม่พระองค์คงไม่ส่งข้าลงใต้เช่นนี้ ขอเพียงข้าพบตัวเซียนปรุงยา รักษาโรคระบาดให้หาย เมื่อราษฎรสงบสุข ข่าวลือย่อมถูกทำลายไปเอง ระหว่างที่ข้าเดินทางลงใต้ ขอเพียงนายท่านใหญ่พยายามรักษากิจการของสกุลเซียวเอาไว้ ไม่ให้สกุลโอวหยางและสกุลหลี่ร่วมมือกันทำลายลงได้ พวกเราย่อมมีโอกาสในการพลิกสถานการณ์ ส่วนเจ้าเมืองเซียว ข้าเดินทางลงใต้แล้วจะสั่งให้คนดูแลเขาให้มากหน่อย”
“ข้าน้อยขอบพระทัยรัชทายาทที่ทรงเมตตา เรื่องของน้องรองต้องขอพึ่งพารัชทายาทด้วย”
“ต่อให้ไม่มีการร้องเรียนของผู้ตรวจการจาง อุทกภัยและโรคระบาดทางใต้ครั้งนี้ คฤหาสน์สกุลเซียวก็ยากที่จะปฏิเสธความรับผิดชอบ ภาษิตว่าการทำสงครามสำคัญที่เสบียงอาหาร กองทัพใหญ่ทางเหนือต้องกินใช้ทุกวัน ทางใต้ประสบอุทกภัยเก็บเกี่ยวข้าวไม่ได้แม้แต่เมล็ดเดียว ราชสำนักตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากแล้ว นายท่านสกุลเซียวทำกิจการค้าเสบียงอาหารและแพรพรรณอยู่ทางใต้มาหลายปี หากสกุลเซียวสามารถเปิดยุ้งแจกจ่ายข้าวสาร ช่วยราชสำนักจุนเจือราษฎรที่ประสบภัย ควบคุมไม่ให้ผู้ประสบภัยอพยพขึ้นเหนือ ยุติการก่อความวุ่นวายของคนเร่ร่อน สร้างความดีความชอบครั้งใหญ่ บางทีอาจสามารถช่วยชีวิตเจ้าเมืองเซียวได้”
เหล่าไท่จวินตาเป็นประกายก่อนจะหม่นลง นางเอ่ยว่า “รัชทายาทตรัสได้ถูกต้องยิ่งนัก เพียงแต่รัชทายาททรงไม่รู้ว่าสองปีมานี้กิจการทางใต้ของสกุลเซียวส่วนใหญ่โอนให้เหมืองแร่ทองแดงเขาฟู่ลี่ไปหมดแล้ว เดิมทีปีนี้เสบียงอาหารไม่เพียงพออยู่แล้วด้วย หลายวันก่อนเพื่อช่วยเหลือนายท่านรอง จวิ้นเอ๋อร์ได้ขายเสบียงอาหารให้ทางการในราคากลางเพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย หากจะให้เปิดยุ้งแจกจ่ายข้าวสารอีก เกรงว่าต่อให้อยากทำก็ไร้ซึ่งกำลัง”
ซั่งกวนหงฮุยฟังแล้วหัวใจจมดิ่ง เดิมทีเขาเต็มไปด้วยความหวัง หมายจะโน้มน้าวสกุลเซียวให้เปิดยุ้งแจกจ่ายข้าวสาร ควบคุมคนเร่ร่อนให้ได้ก่อน แล้วเขากับเซียนปรุงยาค่อยรักษาโรคระบาด รอให้สถานการณ์ทางใต้มั่นคงแล้ว วิกฤตของเขาย่อมคลี่คลายลงได้ ทางเหนือเองก็มีหลักฐานที่บ่งชี้ว่าเยียนอ๋องสมคบกับข้าศึก ถึงเวลาเขาย่อมโค่นล้มเยียนอ๋องได้แน่
คิดไม่ถึงว่าในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ สกุลเซียวกลับบอกว่าไม่มีเสบียงอาหารแล้ว มิอาจช่วยเหลือได้!
เงียบอยู่เนิ่นนาน ซั่งกวนหงฮุยจึงเอ่ยว่า “พูดถึงเหมืองแร่ทองแดงเขาฟู่ลี่ ได้ยินว่าซั่งกวนจวิ้นก็ขายเสบียงอาหารในราคากลางเหมือนกัน เมื่อครู่ตอนข้าหารือสถานการณ์ภัยพิบัติทางใต้กับเสด็จพ่อ เสด็จพ่อยังพูดถึงเขาและให้ความสำคัญทีเดียว ชื่นชมเขาที่ไม่ได้ฉวยโอกาสตอนบ้านเมืองเดือดร้อนสมคบกับพ่อค้าเจ้าเล่ห์ขึ้นราคาเสบียงอาหาร กำลังหารือว่าจะออกราชโองการยกย่องชื่นชม เพียงแต่คนผู้นี้อุบายล้ำลึก คบหาทั้งข้าและเยียนอ๋อง ทำตัวเป็นนกสองหัว มิอาจนำเขามาใช้งานได้อย่างแท้จริง”
นายท่านใหญ่ฟังแล้วขบคิดครู่หนึ่งก่อนพูด “ข้าน้อยได้ยินจวิ้นเอ๋อร์บอกว่าเขากับซั่งกวนจวิ้นมีไมตรีต่อกันอยู่ หากจวิ้นเอ๋อร์สามารถโน้มน้าวซั่งกวนจวิ้นให้ร่วมมือกับสกุลเซียวเปิดยุ้งแจกจ่ายข้าวสาร ร่วมกันปกป้องน้องรองได้ รัชทายาททรงมีความเห็นอย่างไร”
ซั่งกวนหงฮุยฟังแล้วส่ายหน้าเอ่ยว่า “หากเป็นเช่นนั้นจริงย่อมดีที่สุด เพียงแต่เกรงว่าเวลานี้…”
“ในอดีตตอนสกุลเซียวมอบกิจการให้เขา ซั่งกวนจวิ้นเคยให้สัญญากับจวิ้นเอ๋อร์ว่าหากสกุลเซียวมีอะไรเขาฟู่ลี่จะช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ได้ยินว่าคนผู้นี้จิตใจกว้างขวาง นิสัยเปิดเผย ให้จวิ้นเอ๋อร์ไปลองดูก่อนเถอะ หากเขาเป็นคนรักษาสัจจะจริง บางทีวิธีนี้อาจสำเร็จลงได้”
ฟังคำพูดนี้แล้ว ซั่งกวนหงฮุยก็มีสีหน้าเบาใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ให้พี่เซียวลองดูเถอะ หากสำเร็จจริงๆ ย่อมนับเป็นโชคดีของข้า โชคดีของราษฎรทั่วหล้า ใช่แล้ว ไฉนจึงไม่เห็นพี่เซียวเลยเล่า”
“จวิ้นเอ๋อร์กำลังเตรียมการลงใต้ตามพระประสงค์ของรัชทายาท หากรัชทายาททรงมีธุระกับเขา ข้าน้อยจะให้คนไปตามเดี๋ยวนี้”
เห็นนายท่านใหญ่จะเรียกคน รัชทายาทจึงห้ามไว้ “ไม่ต้องหรอกนายท่านสกุลเซียว ข้าไปหาเขาเองดีกว่า” ซั่งกวนหงฮุยพูดจบก็ลุกขึ้น
เหล่าไท่จวินกับนายท่านใหญ่เห็นแล้วไม่กล้าขัดขวาง ทั้งสองรีบรับคำและลุกขึ้นเดินตามหลังออกมาส่ง เพิ่งถึงประตูก็เห็นเซียวอวิ้นยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ตรงนั้น ครั้นเห็นรัชทายาทออกมา เขาจึงรีบคุกเข่าโขกศีรษะ ข้ารับใช้สองฝั่งต่างพากันคุกเข่าลง
เห็นเซียวอวิ้นโขกศีรษะ ซั่งกวนหงฮุยหยุดเดินแล้วพูด “ลุกขึ้นเถอะ”
เซียวอวิ้นลุกขึ้นและหลบไปยืนด้านข้าง มองบิดากับรัชทายาทด้วยสีหน้าลังเล ทำท่าจะพูดและเงียบไป
เห็นเซียวอวิ้นเป็นเช่นนี้ นายท่านใหญ่นึกอะไรขึ้นได้ เขาให้เซียวอวิ้นไปตามเซียวจวิ้นมา หรือว่าเซียวจวิ้นฟังคำของรัชทายาทแล้วก็ยังไม่สนใจ นี่มันเวลาใดแล้ว นายท่านรองเข้าคุก หายนะถึงแก่ชีวิตอยู่ตรงหน้าแล้ว เขาก็ยังจะใช้อารมณ์เพียงเพราะสตรีคนเดียวอยู่อีกหรือ คิดเช่นนี้ก็อดหน้าบึ้งไม่ได้ เห็นรัชทายาทกำลังจะก้าวออกไป ด้วยเกรงว่าบุตรชายจะล่วงเกินรัชทายาทอีก ทำให้รัชทายาทโกรธ เขาจึงเอ่ยถาม “ไฉนเจ้าจึงกลับมาคนเดียว จวิ้นเอ๋อร์เล่า”
ได้ยินบิดาถาม เซียวอวิ้นเหลือบมองรัชทายาทแวบหนึ่งก่อนตอบ “เรียนบิดา ลูกนำคำพูดของรัชทายาทไปถ่ายทอดให้พี่รองทราบแล้ว พี่รองบอกว่าเขาจะอยู่เฝ้าคฤหาสน์สกุลเซียวในผิงหยาง ตอนนี้กำลังเตรียมเอกสารสำหรับเดินทางลงใต้ ต้องการให้ลูกมาบอกบิดาว่าเขาจัดการเสร็จแล้วจะรีบมาชี้แจงกับบิดาอย่างละเอียดขอรับ”
เซียวจวิ้นจะไม่เดินทางลงใต้?! คิดจะให้ข้าพาน้องสาวเดินทางลงใต้ไปคนเดียวหรือ เรื่องที่ขัดต่อขนบธรรมเนียมเช่นนี้จะทำได้อย่างไร! หรือว่าเซียวจวิ้นจะโมโหและหึงหวงเพราะคำพูดเมื่อวานจึงไม่อยากให้น้องสาวเดินทางลงใต้ คิดจะก่อกวนเอาชนะข้าด้วยอารมณ์ในเวลาเช่นนี้!
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 14 มิ.ย. 62
Comments
comments