บทที่ 5
ออกจากคฤหาสน์สกุลเซียวแล้ว หลี่ตู้กับโอวหยางตี๋ก็มารอต้อนรับด้วยตนเอง ด้วยเกรงว่าคนของคฤหาสน์สกุลเซียวจะสะกดรอยตามจึงเดินทางวกวนมาตลอดทาง เปลี่ยนรถม้าอยู่หลายครั้ง ก่อนจะพาหลี่เมิ่งซีไปยังคฤหาสน์จันหยวน…คฤหาสน์นอกเมืองที่ซื้อไว้บนเขาลู่ติ่ง
ที่ตั้งชื่อนี้เพราะหลี่เมิ่งซีต้องการให้ชื่อเรือนสอดคล้องกับสำนวนยืนสูงมองไกล
เนื่องจากสร้างขึ้นบนพื้นฐานของสภาพพื้นที่ที่รอบด้านล้วนเป็นภูเขา คฤหาสน์จันหยวนจึงไม่เหมือนกับสิ่งก่อสร้างส่วนใหญ่ในเมืองผิงหยางที่เป็นระเบียบและมีสัดส่วนชัดเจน แต่จะมีลักษณะสูงต่ำแตกต่างกันไป พื้นที่ของคฤหาสน์หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับทิวทัศน์อันงดงาม ทั้งศาลาหอเก๋งภายในตลอดจนสะพานเล็กและอาคารต่างๆ ล้วนมีขนาดและรูปทรงแตกต่างกันไป ตั้งอยู่ข้างขุนเขาและสายน้ำ เร้นตัวอยู่กลางป่าไผ่ มองไกลๆ นับเป็นสถานที่ที่สวยงามมีเอกลักษณ์โดยแท้ เพียงแค่หลี่เมิ่งซีเห็นแวบแรกก็ชอบทันที
เจ้านายกลับมาทั้งที ประตูหลักย่อมเปิดกว้างรออยู่นานแล้ว เหนือประตูมีป้ายขนาดใหญ่ อักษร ‘จันหยวน’ สองตัวถูกเขียนด้วยสีทอง
ที่นี่ก็คือบ้านของข้า ช่างดีเหลือเกิน หลี่เมิ่งซียิ้มอย่างสบายใจ นางรู้สึกราวกับว่า…ในที่สุดหัวใจก็มีที่ให้พักพิงเสียที
“สะใภ้รอง ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว บ่าว…”
เงยหน้ามองไปก็เห็นจือชุนเดินนำสาวใช้และบ่าวหญิงสูงวัยสิบกว่าคนมายืนอยู่สองฝั่ง
พอจือชุนเห็นผู้เป็นนายขอบตาก็แดงเรื่อ พูดไปได้ครึ่งเดียวก็สะอึกสะอื้นจนพูดไม่ออก คนอื่นๆ ต่างเข้ามาคารวะ
เห็นจือชุนแล้ว หลี่เมิ่งซีกับคนอื่นๆ ก็รู้สึกแสบจมูกเช่นกัน ยื่นมือไปดึงนางขึ้นมาบนรถม้า หลี่เมิ่งซีพยักหน้าให้ทุกคน ก่อนที่รถม้าจะแล่นต่อไปข้างหน้า เข้าสู่คฤหาสน์จันหยวน
รถม้าแล่นไปเรื่อยๆ จนถึงหอสูงสองชั้นหลังหนึ่ง หลี่เมิ่งซีลงจากรถม้าและเงยหน้ามองไป เห็นหอเล็กหลังคาทรงเซียซานสร้างอยู่ริมเขา มีขื่อแกะสลักและเสาวาดลวดลายประณีตงดงามทีเดียว ระเบียงทางเดินหน้าห้องเชื่อมต่อกันโอบล้อมเป็นลานบ้าน ภายในลานมีภูเขาจำลองและไม้กระถาง เส้นทางเล็กเงียบสงบมีกลิ่นหอมดอกกุ้ยเข้มข้นลอยมา ระหว่างที่นางมองดูอย่างเหม่อลอยก็ได้ยินหลี่ตู้พูดว่า “เจ้านาย บ่าวกับพี่โอวหยางเลือกที่แห่งนี้ก็เพราะถูกใจหอเล็กแห่งนี้ หอเล็กแห่งนี้ไม่เพียงโครงสร้างงดงามมีเอกลักษณ์ ภายในยังตกแต่งประณีต ที่สำคัญกว่านั้นคือเมื่อยืนอยู่บนชั้นสองจะสามารถมองเห็นทิวทัศน์ในคฤหาสน์จันหยวนได้ทั้งหมด ตลอดจนทะเลสาบและขุนเขาไกลออกไป โดยเฉพาะตอนกลางคืน มองหอเล็กงามวิจิตร จันทรา และสัมผัสสายลมอ่อน นึกแล้วช่างงดงามเป็นอย่างยิ่ง ราวกับสวรรค์บนดินก็ไม่ปาน”
เห็นหลี่เมิ่งซีพยักหน้า หลี่ตู้จึงพูดต่อ “ตอนแรกที่บ่าวกับพี่โอวหยางซ่อมแซมคฤหาสน์จันหยวนแห่งนี้ใหม่ นอกจากหอเล็กแห่งนี้แล้ว ที่อื่นๆ ล้วนตั้งชื่อไว้หมด แต่เนื่องจากที่นี่เป็นที่พักของเจ้านาย บ่าวจึงไม่กล้าตัดสินใจโดยพลการขอรับ”
มองหอเล็กตรงหน้าแล้ว หลี่เมิ่งซีที่กำลังอ้างว้างพลันคิดถึงคำกลอนท่อนหนึ่ง…เคยข้ามมหาสมุทรยากเปรียบหาเพียงลำธาร นอกเหนือเขาอูซานไม่อาจนับเป็นเมฆขาว
“ชื่อ ‘หอชังไห่’ ก็แล้วกัน” นางพูด
หลี่ตู้กับโอวหยางตี๋ต่างอึ้งไป หลี่ตู้รีบรับคำ “ขอรับ เจ้านาย พรุ่งนี้บ่าวจะนำป้ายมาแขวนให้” พูดพลางเชิญหลี่เมิ่งซีเข้าไปข้างใน
ในลานบ้านมีบ่าวอยู่ยี่สิบกว่าคน ยืนแบ่งเป็นสองแถวอย่างเป็นระเบียบ เห็นพวกเขาเดินเข้ามาต่างก็คารวะอย่างพร้อมเพรียง หลี่ตู้เอ่ยว่า “ตอนนี้คฤหาสน์จันหยวนซื้อข้ารับใช้ไว้หกสิบคน บ่าวมิได้ให้พวกเขาเข้ามาทั้งหมด บ่าวเพียงเรียกหัวหน้าของแต่ละเรือนเข้ามาเท่านั้น หอเล็กแห่งนี้จือชุนเป็นผู้ดูแลมาตลอด ส่วนเขาก็คือพ่อบ้านของที่นี่หลี่เสียน”
หลี่เสียนผู้นั้นก้าวขึ้นมา
เห็นเขาเดินเข้ามา หลี่ตู้จึงดึงเขามาใกล้ๆ “พ่อบ้านหลี่ มาคารวะเจ้านายของเราคุณหนูหลี่เร็วเข้า เรื่องต่างๆ ในคฤหาสน์จันหยวน นับแต่นี้ไปต้องทำตามคำสั่งของคุณหนูหลี่ทั้งหมด”
พ่อบ้านหลี่ผู้นั้นรีบรับคำและคารวะ “บ่าวคารวะคุณหนู คุณหนูเพิ่งมาถึงจะให้บ่าวพาท่านไปชมสถานที่ต่างๆ หรือไม่ขอรับ”
แม้จะเป็นที่พักของตนเอง ทว่ายามนี้หลี่เมิ่งซีกลับไม่มีอารมณ์จะเดินเล่นเลยแม้แต่น้อย พอได้ยินคำพูดของพ่อบ้านหลี่แล้ว นางจึงส่ายหน้าเป็นการบอกว่าไม่ต้อง จากนั้นเป็นการแนะนำข้ารับใช้ในแต่ละเรือน หลี่เมิ่งซีเอ่ยคำพูดทักทายง่ายๆ สองสามคำก่อนจะบอกให้ทุกคนแยกย้ายไป
ทุกคนเข้าไปในห้องโถงรับรองแขกขนาดเล็ก พอหลี่เมิ่งซีนั่งลงเรียบร้อยก็มีสาวใช้ยกน้ำชาเข้ามา นางยกขึ้นมาจิบคำหนึ่ง เห็นหลี่ตู้กับโอวหยางตี๋ยืนอยู่สองฝั่งจึงเอ่ยว่า “ที่นี่ไม่มีคนนอก พวกเจ้านั่งลงเถอะ!”
ทั้งสองปฏิเสธอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนั่งลง ต่างก็รายงานกิจการของสวนไป่เฉ่าและร้านยาอี๋ชุนตลอดจนราชโองการให้หลี่เมิ่งซีฟังคร่าวๆ สุดท้ายจึงเอ่ยว่า “ดูเหมือนไทเฮาจะทรงพระประชวรหนักมาก เกรงว่าคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน เยียนอ๋องทนอยู่เฉยไม่ได้อีกแล้ว วันนี้เขามาหาเรื่องร้านยาอี๋ชุนแต่เช้า พาคนกลุ่มหนึ่งมานั่งในร้านยา ขัดขวางไม่ให้พวกเราทำการค้า จะให้บ่าวบอกให้ได้ว่าท่านอยู่ที่ใด เนื่องจากเป็นคำสั่งของท่านอ๋อง กระทั่งบ่าวเองก็จนปัญญา ยังดีที่มีคนของรัชทายาทอยู่ด้วย พวกเขาจึงไม่กล้าทำตามอำเภอใจ จนกระทั่งตอนบ่าย จู่ๆ ก็ได้รับราชโองการจากฮ่องเต้ว่าห้ามมิให้ผู้ใดก่อกวนร้านยาอี๋ชุน คนของเยียนอ๋องจึงจากไปด้วยความโมโห คิดว่าราชโองการนี้รัชทายาทน่าจะเป็นคนขอมาเพื่อท่านขอรับ”
หลี่เมิ่งซีผงกศีรษะ “ลำบากพี่ใหญ่แล้ว คิดว่าจือชิวคงบอกเจ้าแล้วกระมัง รัชทายาทกับคุณชายรองต่างก็รู้ฐานะของข้าแล้ว เกรงว่าเรื่องนี้คงปิดได้อีกไม่นาน หากเรื่องนี้แพร่ออกไปย่อมเป็นความผิดฐานหลอกลวงเบื้องสูง ทั้งพวกเราก็ฝ่าฝืนราชโองการ อย่างไรพวกเราก็ต้องเตรียมการรับมือแต่เนิ่นๆ”
“เจ้านาย เรื่องนี้บ่าวขอร้องรัชทายาทแล้ว รัชทายาทบอกว่าจะช่วยจัดการให้ขอรับ”
ช่วยจัดการ? ตอนนี้แม้แต่เขายังยากจะเอาตัวรอดเลย หากความลับถูกเปิดเผยไปจริง เกรงว่าคงเป็นการคาดหวังกับรองเท้าขาดจนถูกบาดเท้า กระมัง
ฟังคำหลี่ตู้แล้ว หลี่เมิ่งซีจึงส่ายหน้า “หากเป็นช่วงเวลาปกติก็แล้วไปเถอะ แต่ตอนนี้เยียนอ๋องกับรัชทายาทเป็นเหมือนน้ำกับไฟที่ไม่ตายไม่เลิกรา เกรงว่าหากเยียนอ๋องทรงรู้เรื่องนี้เข้า ต่อให้รัชทายาทมีใจช่วยก็ไร้กำลัง พวกเราวางแผนรับมือไว้ก่อนย่อมดีกว่า”
โอวหยางตี๋ฟังแล้วค้อมกายเอ่ยว่า “เจ้านายกล่าวได้ถูกต้องยิ่งนัก ทว่าแต่ไรมาพวกเราไม่คบหาขุนนาง เรื่องอื่นยังพอได้ แต่เรื่องในราชสำนักนอกจากรัชทายาทแล้ว พวกเราก็ไม่มีใครอื่นให้ไหว้วานได้เลย ถึงอย่างไรท่านก็เป็นอิสระแล้ว ขอเพียงซ่อนตัวให้ดี ไม่เปิดเผยเบาะแสใดๆ และไม่ปล่อยให้เยียนอ๋องจับตัวไปได้ก็พอ พวกเราจะลงมือเตรียมการตั้งแต่ตอนนี้ หากรัชทายาทถูกปลด ท่านก็ค่อยแกล้งตายและปิดร้านยาอี๋ชุนไป รอให้ลมฝนผ่านไปแล้วค่อยเปลี่ยนชื่อแซ่และเปิดกิจการใหม่ ถึงอย่างไรพวกเราก็มีตำรับยาอยู่ในมือ”
หลี่เมิ่งซีขบคิดแล้วตอบว่า “หากจำเป็นจริงๆ คงได้แต่ทำเช่นนั้น แต่นั่นเป็นเรื่องในภายหลัง แผนการในตอนนี้ยังคงต้องจัดการเรื่องการหลอกลวงเบื้องสูงให้ได้ก่อน เช่นนี้แล้วกัน ประเดี๋ยวพวกเจ้าสองคนกลับไปและใช้พิราบสื่อสารส่งข่าวไปยังร้านสาขาทางใต้ บอกให้พวกเขาหาคนสวมรอยเป็นข้าและออกหน้ารักษาโรคระบาด เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไปฮ่องเต้ย่อมเชื่อว่าข้าอยู่ทางใต้จริง อย่าลืมบอกพวกเขาว่าเยียนอ๋องมีอำนาจที่แข็งแกร่งต้องระมัดระวังให้มาก อย่าให้คนของเยียนอ๋องพบเบาะแสได้เป็นอันขาด”
“วิธีของเจ้านายดีก็จริง แต่คนในร้านสาขาทางใต้ใช่จะมีวิชาแพทย์ล้ำเลิศ เพียงแค่จ่ายยาแล้วสามารถรักษาโรคได้ทันทีเช่นท่านนี่ขอรับ เกรงว่าหากใช้อุบายเช่นนี้แล้วสุดท้ายรักษาโรคระบาดไม่ได้จะทำให้เสียเรื่องมากกว่า”
“ไม่เป็นไร ข้อนี้ข้าคิดไว้แล้ว พวกเจ้าเขียนจดหมายให้ทางนั้นเตรียมพร้อมไว้ก่อน ข้อมูลเกี่ยวกับโรคระบาดที่ข้าให้เก็บรวบรวมไว้เป็นอย่างไรบ้าง”
หลี่ตู้รีบตอบ “เรียนเจ้านาย บ่าวได้รับจดหมายจากท่านก็เตรียมการทันที ทางนั้นส่งข้อมูลเกี่ยวกับอาการป่วยทางร่างกาย การวินิจฉัย และช่องทางการติดต่อโรคระบาดมาให้จำนวนมาก บ่าวนำมาที่นี่ทั้งหมดแล้ว อยู่ในห้องหนังสือชั้นสอง แต่นี่เป็นเพียงการวินิจฉัยเบื้องต้นของหมอในร้านสาขาเท่านั้น เกรงว่าจะยังไม่แม่นยำ อาจดูผิดพลาดไปก็เป็นได้ หากต้องการวินิจฉัยโรคอย่างถ่องแท้และควบคุมการแพร่ระบาดของโรค ยังคงต้องให้ท่านเดินทางลงใต้ด้วยตนเองจะดีกว่าขอรับ”
“ได้ คืนนี้ข้าจะดูข้อมูลพวกนี้และลองปรุงยาออกมาสองสามตำรับ พรุ่งนี้เจ้าก็มาเอาแต่เช้าและส่งตำรับยาไป ให้พวกเขาหาหมู่บ้านเล็กๆ ที่การแพร่ระบาดไม่รุนแรงทดลองดูก่อน แม้จะรักษาคนป่วยได้เพียงไม่กี่คนก็ย่อมสร้างความฮือฮาให้ขุนนางท้องถิ่นได้ เพื่อเอาความดีความชอบพวกเขาต้องส่งม้าเร็วมารายงานข่าวนี้แน่ ขอเพียงมีหนังสือกราบทูลว่าหลายวันนี้ข้าปรากฏตัวทางใต้ส่งมาถึงผิงหยาง ปัญหาเรื่องการหลอกลวงเบื้องสูงย่อมคลี่คลายลงได้”
หลี่ตู้กับโอวหยางตี๋พยักหน้าติดๆ กัน ขณะกำลังจะพูด จือชิวก็เข้ามารายงาน “สะใภ้…คุณหนู อาหารค่ำเสร็จแล้ว เดินทางมาตลอดบ่าย ท่านกินอาหารก่อนเถอะเจ้าค่ะ”
มองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้ามืดแล้ว หลี่ตู้เอ่ยว่า “เจ้านายเดินทางมาทั้งวัน คงเหน็ดเหนื่อยแล้ว ท่านกินอาหารและพักผ่อนก่อนเถอะขอรับ พรุ่งนี้บ่าวค่อยมาใหม่”
โอวหยางตี๋รับคำเช่นกัน
หลี่เมิ่งซีหนึ่งเพราะเหนื่อยแล้วจริงๆ สองนางต้องศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับโรคระบาดภายในคืนนี้จึงไม่ได้รั้งตัวพวกเขาไว้ เห็นทั้งสองลุกขึ้น นางพลันคิดถึงรัชทายาท รีบสั่งว่า “ใช่แล้ว หากพรุ่งนี้รัชทายาทไปหาข้าที่ร้านยาอี๋ชุน บอกเขาว่าข้าต้องจัดการธุระในร้านยาอี๋ชุนก่อน มะรืนนี้ค่อยพาเขามาที่นี่”
หลี่ตู้กับโอวหยางตี๋ฟังแล้วรีบผงกศีรษะรับคำ ก่อนจะขอตัวจากไป
จวบจนกลางดึก หลี่เมิ่งซีอ่านข้อมูลที่หลี่ตู้รวบรวมมาจนจบในที่สุด หลังการใคร่ครวญพิจารณาแล้ว นางก็วินิจฉัยเบื้องต้นว่าโรคระบาดทางใต้เกิดจากหนูและหมัดที่เพิ่มจำนวนขึ้นมากหลังอุทกภัยจนก่อให้เกิดกาฬโรค
กาฬโรคทางตะวันตกเรียกว่าโรคแบล็กเดธ พูดถึงระดับความน่ากลัวของโรคนี้แล้ว หลี่เมิ่งซีก็คิดถึงกลอนอันคุ้นหูในชาติก่อนที่บรรยายถึงกาฬโรคไว้ว่า
‘ทิศตะวันออกมีหนูตาย ทิศตะวันตกมีหนูตาย คนเห็นหนูตายเหมือนเห็นเสือ หนูตายไม่กี่วัน คนล้มตายเป็นเบือ
คนตายมากมายนับไม่ถ้วน ท้องฟ้าหม่นหมองใจคนวิตก สามคนเดินมาไม่ถึงสิบก้าว สองคนพลันล้มขวางถนน
ศพตายเกลื่อนกลาด กระดูกถูกลมกัดกร่อน เรือกสวนไร่นาไร้คนเก็บเกี่ยว ภาษีอากรไม่มีผู้เก็บ’
กลอนนี้สะท้อนให้เห็นถึงความน่าสะพรึงกลัวของกาฬโรค หากไม่ควบคุมให้ทันเวลาปล่อยให้แพร่ระบาดออกไป เช่นนั้นย่อมบอกได้คำเดียว…สยดสยอง
กาฬโรคแบ่งเป็นกาฬโรคต่อมน้ำเหลือง กาฬโรคปอด กาฬโรคชนิดโลหิตเป็นพิษ กาฬโรคชนิดต่างๆ เหล่านี้หากติดโรคแล้วอาการส่วนใหญ่ล้วนคล้ายคลึงกัน จะแยกแยะให้ชัดเจนว่าเป็นกาฬโรคชนิดใด อาศัยแค่ข้อมูลที่รวบรวมมาได้ยังไม่พอ นางต้องเดินทางลงใต้ไปตรวจดูอาการผู้ป่วยด้วยตนเองจึงจะบอกได้ ตอนนี้ได้แต่ลองปรุงยาออกมาหลายๆ ตำรับตามกาฬโรคชนิดต่างๆ และส่งไปให้คนในร้านสาขาลองนำไปใช้ดู
เขียนตำรับยาเสร็จ หลี่เมิ่งซีวางพู่กันในมือและบิดขี้เกียจ เดินไปตรงหน้าต่างและยื่นมือไปผลักหน้าต่าง ลมเย็นระลอกหนึ่งพัดปะทะใบหน้า นางหนาวสั่นอย่างห้ามไม่อยู่
จือชิวด้านข้างเห็นเข้ารีบก้าวเข้ามา “คุณหนู ย่างเข้าปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ระวังจะถูกไอเย็นนะเจ้าคะ ดึกป่านนี้แล้ว ท่านรีบพักผ่อนเถอะเจ้าค่ะ”
เห็นหลี่เมิ่งซีส่ายหน้า จือชิวจึงถอนหายใจ รับเสื้อคลุมกันลมที่จือชุนส่งให้และผูกสายบนไหล่ของหลี่เมิ่งซี
เป็นเช่นที่หลี่ตู้ว่าจริงๆ ยืนอยู่ตรงหน้าต่างของหอเล็กแห่งนี้สามารถมองเห็นดวงจันทร์กระจ่าง มีสายลมอ่อนโชยมา เห็นภูเขาไกลโพ้นเป็นสีดำเลือนราง ท่ามกลางค่ำคืนอันเงียบสงบนี้ บรรยากาศก็ดีเป็นพิเศษ
เขาสบายดีหรือไม่ แล้วกำลังทำอะไรอยู่
มองดวงจันทร์กระจ่างตรงขอบฟ้า ฟังเสียงจักจั่นร้องอยู่นอกหน้าต่าง เงาร่างผอมและสูงตระหง่านเย็นชาและแข็งกร้าวพลันปรากฏตรงหน้าอีกครั้ง หลังความพยายามอยู่หลายเดือน ในที่สุดนางก็ได้ออกจากคฤหาสน์สกุลเซียวจนได้ ทว่ามองย้อนกลับไปกลับพบว่าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่รอบกายนางล้วนเต็มไปด้วยกลิ่นอายของเขา แม้จะจากเขามาแล้ว แต่กลิ่นอายของเขายังคงวนเวียนอยู่รอบกายอย่างมิอาจลบเลือน มองทิวทัศน์งดงามข้างนอกแล้ว หลี่เมิ่งซีจึงท่องกลอนเบาๆ “จากกันครั้งนี้เนิ่นนาน ทิวทัศน์ตระการล้วนไร้ความหมาย…”
“คุณหนู ดึกมากแล้ว ท่านรีบพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ยังมีเรื่องอีกมากมายต้องทำนะเจ้าคะ”
หลี่เมิ่งซีผงกศีรษะแต่ร่างกายกลับไม่ขยับ เพียงมองดวงจันทร์อ้างว้างตรงขอบฟ้าและดวงดาวที่ทอแสงวับวาว วันมะรืนก็เป็นเทศกาลจงชิวแล้ว จันทราเจ้าคงมิได้มีความแค้นใดกับข้ากระมัง ไฉนมักจะเต็มดวงยามที่ผู้คนพรากจากเล่า
สายลมเย็นจันทราหนาวเหน็บ คนที่คิดคำนึงอยู่สุดขอบฟ้า…
ซั่งกวนหงฮุยมาคฤหาสน์จันหยวนโดยมีหลี่ตู้กับโอวหยางตี๋พามา รถม้าถูกปิดอย่างมิดชิดและไม่ได้จอดที่หน้าประตู แต่แล่นมาจนถึงหอชังไห่ ซั่งกวนหงฮุยลงจากรถม้าและเดินตามหลี่ตู้เข้าไปในประตู
เงยหน้ามองไป หลี่เมิ่งซียืนรออยู่ที่หน้าประตูแล้ว นางสวมชุดกระโปรงยาวแพรอวิ๋นจิ่นสีขาวลายไป่เหอ คลุมทับด้วยเสื้อผ้าโปร่งผ่าหน้าสีเหลืองขนห่าน เผยให้เห็นลำคอขาวผ่องปานหิมะและกระดูกไหปลาร้าที่มองเห็นได้ชัดเจน เรือนผมสีดำถูกรวบขึ้นแบบง่ายๆ ประดับด้วยปิ่นรูปผีเสื้อ ยามที่ชุดผ้าโปร่งเริงระบำตามสายลมยิ่งขับเน้นให้นางดูผ่อนคลายล่องลอยมากยิ่งขึ้น สง่างามไม่ธรรมดา ดูแตกต่างจากสะใภ้ผู้อยู่ในกฎระเบียบเฉกเช่นตอนที่เขาเห็นนางในคฤหาสน์สกุลเซียวโดยสิ้นเชิง เขาเห็นเพียงแวบเดียวก็มองจนเหม่อ
“รัชทายาท…” เห็นรัชทายาทยืนเหม่ออยู่ตรงนั้น เสี่ยวจงจื่อจึงร้องเรียกเบาๆ
เสียงของเสี่ยวจงจื่อดึงสติของซั่งกวนหงฮุยกลับมา เขารีบก้าวเข้าไปหานาง
หลี่เมิ่งซีเดินออกมาสองก้าวเช่นกัน ย่อกายอย่างอ่อนช้อยและร้องเรียก “พี่ใหญ่”
“น้อง…ซีเอ๋อร์ สองวันนี้เจ้าสบายดีหรือไม่”
ได้ยินรัชทายาทเรียกชื่อตนเช่นนี้หลี่เมิ่งซีไม่คุ้นยิ่งนัก ร่างกายนางชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มน้อยๆ “น้องสาวสบายดี เชิญพี่ใหญ่เข้าไปข้างในเถอะ”
เห็นหลี่เมิ่งซีมีสีหน้าผ่อนคลาย ดูแล้วไม่เป็นอะไร ซั่งกวนหงฮุยก็ยิ้มน้อยๆ พยักหน้า แล้วเดินตามหลี่เมิ่งซีกับหลี่ตู้เข้าไปในโถงรับแขกก่อนจะนั่งลง จือชิวยกน้ำชาเข้ามาแล้ว ซั่งกวนหงฮุยจิบคำหนึ่งและเงยหน้ามองหลี่เมิ่งซี คิดถึงเรื่องระหว่างนางกับเซียวจวิ้นแล้ว เขาเองก็อยากจะถามนางเสียเหลือเกิน แต่กลับไม่รู้จะเอ่ยปากอย่างไร ขบคิดดูแล้วจึงเอ่ยว่า “ซีเอ๋อร์ วันนั้นไม่ทันได้ชี้แจงกับเจ้าให้ละเอียด เซียวจวิ้นบอกเจ้าหรือไม่ว่าเสด็จพ่อมีราชโองการให้ข้าเดินทางลงใต้”
“เรื่องนี้หลี่ตู้บอกน้องสาวแล้ว หลายวันนี้ร้านยาอี๋ชุนยังมีเรื่องให้ต้องจัดการ ต้องรออีกสามถึงห้าวันจึงจะออกเดินทางได้ พี่ใหญ่มีความเห็นว่าอย่างไร”
ซั่งกวนหงฮุยครุ่นคิดและตอบว่า “เมื่อวานได้รับข่าวเร่งด่วนหกร้อยลี้จากทางใต้ โรคระบาดครั้งนี้แพร่ระบาดรวดเร็วอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ตั้งแต่เกิดโรคจนถึงตอนนี้ เพียงสิบวันจากหมู่บ้านหวงเฉียวเพียงแห่งเดียวก็แพร่กระจายไปครึ่งมณฑลแล้ว รุนแรงราวกับมิอาจหยุดยั้งลงได้…เสด็จพ่อทรงร้อนพระทัยดั่งไฟลน เมื่อวานทรงเรียกตัวข้าเข้าวังต้องการให้ข้าออกเดินทางภายในวันสองวันนี้เลย ซีเอ๋อร์ โรคระบาดครั้งนี้มิอาจรั้งรอ เจ้าปล่อยวางธุระที่ร้านยาอี๋ชุนก่อนได้หรือไม่ แล้วออกเดินทางพรุ่งนี้เลย”
หลี่เมิ่งซีเงียบไปครู่หนึ่งก่อนพูด “พี่ใหญ่ น้องสาวทราบข่าวเรื่องนี้ก็กังวลใจเช่นกัน จึงสั่งให้ร้านสาขาทางใต้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับโรคระบาดไว้นานแล้ว เมื่อคืนศึกษาข้อมูลแล้ววินิจฉัยเบื้องต้นว่าน่าจะเป็นเพราะหลังเกิดอุทกภัยหนูและหมัดเพิ่มจำนวนขึ้นมาก ทำให้เกิดโรคระบาดชนิดหนึ่งที่มีหนูและหมัดเป็นพาหะ โรคชนิดนี้หากไม่ได้รับการควบคุมอย่างทันท่วงทีก็จะแพร่กระจายออกไปเร็วมาก ผลที่ตามมาน่ากลัวทีเดียว”
แม้จะเป็นถึงรัชทายาทแต่พอได้ฟังคำพูดนี้แล้วก็ยังตกใจสะดุ้ง เขามองหลี่เมิ่งซีอย่างกระตือรือร้น พูดด้วยน้ำเสียงร้อนใจ “ลำบากซีเอ๋อร์แล้ว ตามความเห็นของซีเอ๋อร์มีวิธีรักษาโรคนี้หรือไม่”
เห็นหลี่เมิ่งซีผงกศีรษะอย่างมั่นใจ ซั่งกวนหงฮุยก็ลุกขึ้นและก้าวเข้าไปคว้ามือหลี่เมิ่งซี เขาพูดอย่างตื่นเต้น “เป็นความจริงหรือ โรคระบาดนี้เจ้ารักษาได้จริงๆ หรือ!”
“พี่ใหญ่…” สองมือถูกรัชทายาทบีบกุมไว้จนเจ็บ หลี่เมิ่งซีดิ้นรนอยู่พักหนึ่งก็สลัดไม่หลุดจึงส่งเสียงออกมา
ได้ยินเสียงร้องของหลี่เมิ่งซี ซั่งกวนหงฮุยนึกขึ้นได้ว่าอารามตกใจทำให้เขาลืมไปว่านางเป็นสตรี ครั้นได้สติจึงปล่อยนิ้วมือเรียวเล็กอ่อนนุ่มอย่างอาลัย เหลือบเห็นพวงแก้มของหลี่เมิ่งซีเป็นสีแดงเรื่อ หัวใจเขาพลันไหวกระเพื่อม ซั่งกวนหงฮุยสูดหายใจลึก ประคองสติของตนเองไว้ ก่อนจะพูดอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “อ่ะแฮ่ม ข้าตื่นเต้นไปชั่วขณะ ลืมไปว่าซีเอ๋อร์เป็นสตรี ซีเอ๋อร์ หากโรคระบาดครั้งนี้รักษาได้จริง พวกเราก็รีบออกเดินทางกันเถอะ มุ่งหน้าลงใต้!”
หลี่เมิ่งซีถูมือของตนเอง เห็นรัชทายาทนั่งลงเรียบร้อยแล้ว นางจึงเอ่ยเสียงเรียบ “พี่ใหญ่ น้องสาวใคร่ครวญมาสองวันแล้ว โรคระบาดทางใต้นั้น ยามนี้เรื่องการรักษาเป็นเรื่องรองไปแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือการควบคุมขอบเขตการระบาดของโรค ทำลายต้นตอของการแพร่ระบาดลงเสีย หาไม่แล้วจากทางเหนือเดินทางลงใต้อย่างน้อยต้องใช้เวลายี่สิบกว่าวัน แม้จะออกเดินทางในตอนนี้ เกรงว่ากว่าพวกเราจะไปถึงทางใต้ โรคระบาดคงแพร่กระจายไปหลายเมืองแล้ว มิอาจยับยั้งได้อีกต่อไป”
“ซีเอ๋อร์พูดมีเหตุผล เช่นนั้นตามความเห็นของซีเอ๋อร์ ตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไร”
“เมื่อครู่น้องสาวพูดไปแล้ว โรคระบาดครั้งนี้เกิดจากหนูและหมัด ก่อนอื่นต้องแยกเขตโรคระบาด กำจัดหนูและหมัด รวมถึงการเผาศพคนตาย…”
หลี่เมิ่งซีรู้ว่าสิ่งที่ตนพูดซับซ้อนเกินไป ไม่แน่ว่ารัชทายาทจะเข้าใจ นางจึงเลือกเฉพาะประเด็นสำคัญ อธิบายคร่าวๆ ว่าจะควบคุมการแพร่ระบาดของโรคอย่างไร สุดท้ายจึงเอ่ยว่า “กำลังของน้องสาวคนเดียวมีจำกัด มีเพียงใช้อำนาจในมือพี่ใหญ่โยกย้ายกำลังทั้งหมดในต้าฉี จึงจะเอาชนะภัยพิบัติครั้งใหญ่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในครั้งนี้ได้”
หลี่เมิ่งซีพูดจบ ซั่งกวนหงฮุยเงียบไปนาน ก่อนเงยหน้าพูด “ซีเอ๋อร์พูดมีเหตุผล ต้องให้ข้าโยกย้ายกำลังส่วนใดบ้าง ทำอย่างไร ซีเอ๋อร์วางแผนไว้แล้วหรือยัง”
“ตามความเห็นของน้องสาว สองวันนี้พี่ใหญ่ยังไม่ต้องรีบร้อนออกเดินทางหรอก ท่านควรโยกย้ายกำลังและวางแผนรับมือก่อน สองวันนี้น้องสาวกำลังเขียนแผนการ หลักใหญ่ใจความคือพี่ใหญ่ต้องทูลขอฮ่องเต้ให้ออกราชโองการ ข้อแรกโยกย้ายกองทหารในท้องถิ่น ให้พวกเขาตัดการคมนาคมระหว่างเขตโรคระบาดและเขตปลอดโรคระบาด แยกคนป่วยและคนที่ต้องสงสัยว่าป่วยออกจากกัน เผาศพคนตาย ทำความสะอาดเขตโรคระบาดอย่างเข้มงวดเพื่อควบคุมการแพร่กระจายของโรค ข้อสองประกาศใช้ ‘กฎหมายป้องกันโรคระบาด’ ข้อสามโยกย้ายกำลังจากโรงแพทย์และร้านยาทั่วทั้งต้าฉี เกณฑ์หมอชุดใหญ่เดินทางลงใต้เพื่อรักษาโรคระบาดครั้งนี้ ข้อสี่ยังต้องผลิตชุดป้องกันอีกจำนวนมาก เตรียมความพร้อมให้หมอและทหารที่จะเดินทางลงใต้ ป้องกันไม่ให้พวกเขาติดโรคระหว่างการช่วยเหลือและอยู่ในเขตกักกันโรค ข้อห้าพี่ใหญ่ต้องสร้างช่องทางการสื่อสารอย่างเร่งด่วน เพื่อที่ว่าระหว่างเดินทางจากเหนือลงใต้ พี่ใหญ่กับน้องสาวจะได้รู้สถานการณ์ทางใต้ได้อย่างทันท่วงที สามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์รับมือได้ทันการณ์ และควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้ รอให้จัดการเรื่องพวกนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว พี่ใหญ่กับน้องสาวค่อยออกเดินทางลงใต้รักษาโรคระบาดก็ยังไม่สาย”
หลี่เมิ่งซีอาศัยประสบการณ์จากโรคซาร์สในชาติก่อนและสิ่งที่ตนเองเล่าเรียนมาบอกแก่รัชทายาทว่าต้องควบคุมสถานการณ์ในภาพรวมให้ได้ก่อน จากนั้นค่อยทำการรักษาและป้องกันโรคระบาด รัชทายาทรับฟังอย่างตั้งใจ ฟังพลางผงกศีรษะไปด้วย ฟังจบก็ซักถามเล็กน้อย เช่นอะไรคือเขตโรคระบาด คนที่ต้องสงสัยว่าป่วย การกักกันผู้ป่วย และชุดป้องกัน เป็นต้น
หลี่เมิ่งซีถูกถามจนเหงื่อเย็นไหลไม่หยุด ดูเหมือนพวกนี้ล้วนเป็นคำศัพท์ในยุคปัจจุบันทั้งสิ้น ด้วยความร้อนใจนางจึงพูดออกมาหมด รัชทายาทคงไม่คิดว่านางเป็นปีศาจกระมัง หลี่เมิ่งซีแสร้งวางตัวสุขุมและอธิบายให้เขาฟังทีละข้อ
ซั่งกวนหงฮุยขบคิดอยู่นาน สุดท้ายจึงเอ่ยว่า “สิ่งที่ซีเอ๋อร์พูด แม้บางอย่างข้ายังไม่เข้าใจนัก แต่ใจความหลักข้าเข้าใจแล้ว ช่างเป็นคำพูดที่ล้ำค่ายิ่ง คำพูดในวันนี้ของซีเอ๋อร์ทำให้ก้อนหินที่กดทับจิตใจข้าอยู่ถูกยกออกไปครึ่งหนึ่ง รู้สึกอนาคตสว่างไสวขึ้นมาก ชีวิตนี้ข้าโชคดีจริงๆ ที่ได้รับความช่วยเหลือจากซีเอ๋อร์ท่ามกลางวิกฤตเช่นนี้ ไม่ต่างจากปลาได้น้ำเลย เมื่อมีเจ้าวิกฤตครั้งนี้ย่อมคลี่คลายลงได้ ราษฎรทั่วหล้าย่อมปลอดภัยแล้ว ซีเอ๋อร์ ข้า…”
พูดถึงตรงนี้ซั่งกวนหงฮุยพลันชะงัก เรื่องบางอย่างหากพูดออกมาเวลานี้ดูจะบุ่มบ่ามเกินไปหน่อยแล้ว
น่าละอายยิ่งนัก! นางแค่ยืมประสบการณ์จากชาติก่อนมาใช้เท่านั้น ไฉนจึงกลายเป็นช่วยเหลือราษฎรทั่วหล้าไปได้ เห็นทีแม้จะเป็นถึงรัชทายาท แต่ในยามต้องการใช้คนก็ประจบสอพลอเก่งไม่เบาเลย
ฟังคำพูดเกินจริงของรัชทายาทแล้วหลี่เมิ่งซีก็หน้าแดงเล็กน้อย นางรีบปฏิเสธว่า “พี่ใหญ่กล่าวชมเกินไปแล้ว เดิมทีน้องสาวเป็นเพียงสตรีในห้องหับ นอกจากวิชาแพทย์แล้วก็ไม่มีความรู้ความสามารถด้านอื่นอีก ได้รับคำชื่นชมจากฮ่องเต้และพี่ใหญ่ในยามที่บ้านเมืองคับขันเช่นนี้ ได้ใช้กำลังอันน้อยนิดของตนเองช่วยเหลือบ้านเมือง นับเป็นเกียรติอย่างสูงของข้าแล้ว วันหน้าพี่ใหญ่อย่าได้พูดเช่นนี้อีกเป็นอันขาด”
ซั่งกวนหงฮุยยิ้มพลางส่ายหน้าแล้วพูดต่อ “เมื่อครู่ที่ซีเอ๋อร์พูดล้วนเป็นการ ‘ป้องกัน’ แล้วมีตำรับยาสำหรับ ‘รักษา’ บ้างหรือไม่ อีกอย่างคือการประกาศใช้ ‘กฎหมายป้องกันโรคระบาด’ ซีเอ๋อร์บอกหลักใหญ่ใจความออกมาได้หรือไม่ ข้าจะนำไปพิจารณาหารือร่วมกับหมอหลวงทั้งหลายในสำนักแพทย์หลวง จะได้เพิ่มเติมและปรับแก้ในรายละเอียด จากนั้นยื่นเรื่องให้เสด็จพ่อ ยังมี ‘ชุดป้องกัน’ ที่ซีเอ๋อร์พูดถึงอีก ข้าจินตนาการไม่ออกเลยว่าลักษณะของชุดป้องกันเป็นอย่างไร ไม่รู้ว่าควรสั่งให้คนผลิตออกมาอย่างไร”
“วันก่อนน้องสาวลองปรุงยาออกมาหลายตำรับ แม้มิอาจรักษาโรคได้ทั้งหมด แต่ก็สามารถควบคุมโรคได้ น้องสาวให้หลี่ตู้ใช้พิราบสื่อสารส่งไปยังร้านสาขาทางใต้ให้พวกเขาลองใช้ตำรับยานี้ดูแล้ว รอให้ทางโน้นส่งข่าวกลับมาค่อยศึกษาและปรับแก้กันอีกครั้ง สองวันนี้น้องสาว หลี่ตู้ และโอวหยางตี๋ยังเตรียมโยกย้ายยาจากร้านสาขาต่างๆ ส่งไปทางใต้เพื่อช่วยบรรเทาโรคระบาดด้วย ส่วน ‘กฎหมายป้องกันโรคระบาด’ เมื่อวานข้าร่างเค้าโครงไว้แล้ว เดี๋ยวเพิ่มเติมอีกนิดหน่อยแล้วค่อยมอบให้พี่ใหญ่ แต่พี่ใหญ่จะมอบให้ฮ่องเต้ตอนนี้ไม่ได้เป็นอันขาด ทางที่ดีที่สุดคือแสร้งทำเหมือนว่านี่เป็นเอกสารด่วนที่ส่งมาจากทางใต้และมอบให้ฮ่องเต้ หาไม่แล้วฮ่องเต้จะทรงสงสัยว่าน้องสาวอยู่ข้างกายท่านได้”
“ซีเอ๋อร์คิดการณ์รอบคอบยิ่งนัก เป็นข้าที่สะเพร่าไป ข้าจะให้หลี่จั้นเตรียมการเรื่องนี้ทันที ให้รีบร่างหนังสือกราบทูล”
ฮึ! หากข้าไม่คิดการณ์อย่างรอบคอบ เกรงว่าคงถูกประหารทั้งตระกูลไปแล้ว คนที่ต้องโทษหลอกลวงเบื้องสูงไม่ใช่เจ้านี่ พูดเช่นนี้ขาดความรับผิดชอบเกินไปแล้วกระมัง ฟังคำพูดนี้แล้วหลี่เมิ่งซีรู้สึกไม่พอใจทีเดียว แต่ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นโอรสของฮ่องเต้ นางมิอาจบ่นได้
หลี่เมิ่งซีจิบน้ำชาคำหนึ่ง ก่อนจะอธิบายลักษณะและประโยชน์ของชุดป้องกันให้รัชทายาทฟัง รัชทายาทฟังแล้วตื่นเต้นเป็นพิเศษ หารือกับนางต่อว่าจะเขียนหนังสือกราบทูลอย่างไร ส่งข่าวอย่างไร ตลอดจนรายละเอียดในการเตรียมการเดินทางลงใต้ ภาษิตว่าสามหกเก้าเป็นวันที่เหมาะสมในการออกเดินทาง สุดท้ายทั้งสองจึงกำหนดวันออกเดินทางเป็นวันที่สิบเก้าเดือนแปด ตกลงเรียบร้อยรัชทายาทจึงลุกขึ้นขอตัว แล้วแยกย้ายกันไปจัดการงานของตนเอง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 21 มิ.ย. 62
Comments
comments