บทที่ 6
วันที่สิบหกเดือนแปด รัชทายาทกับหลี่จั้นนำข่าวใหม่ที่รวบรวมได้ในช่วงสองวันนี้มาที่หอชังไห่ หลี่ตู้กับโอวหยางตี๋ตามมาด้วย หารือถึงปัญหาที่พบหลังจากนำแผนการของหลี่เมิ่งซีไปปฏิบัติจริง ระหว่างคุยกันอย่างครึกครื้น จือชุนก็เข้ามารายงาน “คุณหนู หลงจู๊สามหลี่อี้มารายงานว่าร้านยาอี๋ชุนเกิดเรื่องเจ้าค่ะ”
ทุกคนในห้องโถงตะลึงงัน หลี่ตู้กับโอวหยางตี๋สีหน้าเปลี่ยนไปทันที ไม่รอให้หลี่เมิ่งซีพูดอะไรก็เอ่ยถามพร้อมกัน “เกิดอะไรขึ้น หลี่อี้อยู่ที่ใด”
“บ่าวเห็นหลี่อี้ตกใจจนหน้าซีด ไม่ทันได้ถามมากก็พาเข้ามาทันที คนรออยู่ที่หน้าประตูเจ้าค่ะ”
“รีบตามเข้ามา”
ไม่นานหลี่อี้ก็ถูกพาเข้ามา พอเข้าประตูมาเขาก็คุกเข่าลงแล้วเอ่ยว่า “เจ้านาย หลงจู๊ใหญ่ แย่แล้วขอรับ ร้านยาอี๋ชุนถูกราชสำนักปิดเพื่อตรวจสอบแล้ว!”
พอคำพูดนี้ถูกเอ่ยออกมา แม้แต่หลี่เมิ่งซีเองยังตกใจจนยืดตัวตรง หน้าผากมีเหงื่อผุดซึม ขณะกำลังจะพูดก็ได้ยินรัชทายาทเอ่ยว่า “ถูกราชสำนักปิดเพื่อตรวจสอบ?! ข้าเพิ่งกลับจากการประชุมขุนนาง ไฉนจึงไม่ได้ยินเสด็จพ่อตรัสถึง!”
ซั่งกวนหงฮุยตกใจจนเหงื่อเย็นหลั่งเต็มตัวเช่นกัน หรือว่าเยียนอ๋องปลอมราชโองการเพื่อลงมือกับร้านยาอี๋ชุน เป็นไปไม่ได้ เขาไม่มีทางใจกล้าถึงเพียงนั้นแน่ แล้วก็เป็นไปไม่ได้ที่เสด็จพ่อจะออกราชโองการจัดการร้านยาอี๋ชุนในช่วงเวลาที่ยังต้องใช้คนเช่นนี้ เว้นแต่…มีคนบีบให้เสด็จพ่อสละบัลลังก์ ในวังเกิดกบฏหรือ!
“ทูลรัชทายาท เมื่อครู่ขันทีในวังมาถ่ายทอดพระราชเสาวนีย์ของไทเฮา”
พอได้ยินว่าเป็นพระราชเสาวนีย์ของไทเฮา ซั่งกวนหงฮุยพรูลมหายใจยาวแล้วถามต่อ “พระราชเสาวนีย์ว่าอย่างไรบ้าง”
“พระราชเสาวนีย์บอกว่าเซียนปรุงยาคือสะใภ้รองสกุลเซียว อาศัยอยู่ในคฤหาสน์สกุลเซียวเมืองผิงหยางแต่กลับโกหกว่าป่วยอยู่ทางใต้ ไม่ยอมเข้าวังถวายการรักษาไทเฮา กระทำความผิดฐานหลอกลวงเบื้องสูง มีโทษหนักถึงประหารชีวิตทั้งตระกูล จึงปิดร้านยาอี๋ชุนเพื่อตรวจสอบและจับกุมเซียนปรุงยาทั้งครอบครัว โชคดีที่หลงจู๊รองหลี่กังอัญเชิญราชโองการของฮ่องเต้ที่ว่า ‘ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามก่อกวนร้านยาอี๋ชุน’ ออกมา เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบปิดร้านยาเพื่อดำเนินการตรวจสอบเห็นแล้วจึงไม่กล้าขัดราชโองการ แต่นำแถบผนึกมาปิดไว้และบอกว่าจะกลับไปกราบทูลฮ่องเต้กับไทเฮาให้ทรงตัดสินพระทัย จากนั้นคุมตัวหลงจู๊รองและลูกจ้างในร้านไปทั้งหมด เนื่องจากบ่าวเพิ่งกลับจากทำธุระข้างนอก แฝงตัวเฝ้าดูสถานการณ์อยู่ในกลุ่มคนจึงหนีรอดมาได้ขอรับ”
ซั่งกวนหงฮุยฟังแล้วเส้นเอ็นบนหน้าผากปูดนูน เขาตบโต๊ะตวาดเสียงเกรี้ยวกราด “เซียวจวิ้น ข้าไม่ขออยู่ร่วมโลกกับเจ้าเด็ดขาด!”
หลี่เมิ่งซีร่างกายสะท้าน นางพูดกับรัชทายาท “พี่ใหญ่โปรดบรรเทาโทสะด้วย คุณชายรองไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้แน่ คิดว่าต้องมีการเข้าใจผิดกันแน่นอน”
“ซีเอ๋อร์ เขาหย่าเจ้าก่อน แล้วยังทำผิดต่อเจ้าอีก เจ้ายังจะพูดแทนเขาอีกรึ!”
ซั่งกวนหงฮุยพูดจบก็เห็นร่างกายของหลี่เมิ่งซีโงนเงน ใบหน้านางขาวซีด เขารีบปรับเสียงให้อ่อนโยนแล้วพูด “เรื่องนี้นอกจากคนสนิทของเจ้า ข้า และหลี่จั้นแล้ว ก็มีแค่เซียวจวิ้นคนเดียวเท่านั้นที่รู้ หลี่จั้นไม่มีทางแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปแน่”
หลี่จั้นที่อยู่ด้านข้างรับคำติดๆ กัน กลับได้ยินหลี่เมิ่งซีพูดอย่างดื้อรั้น “ข้าเชื่อคุณชายรอง เขาไม่มีทางทำร้ายข้าแน่!”
เห็นหลี่เมิ่งซีปกป้องเซียวจวิ้นถึงเพียงนี้ ดวงตาซั่งกวนหงฮุยพลันฉายความขุ่นเคือง “ซีเอ๋อร์ โลกนี้มีหลายคนที่ความรักแปรเปลี่ยนเป็นความแค้น เจ้าอย่ายึดติดงมงายนักเลย ปล่อยให้ความรักผูกมัดตนเองเช่นนี้มีแต่จะเป็นการทำร้ายตนเอง”
หลี่เมิ่งซีกำลังจะพูดกลับได้ยินหลี่อี้พูดว่า “ทูลรัชทายาท บ่าวก็คิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ฝีมือของคุณชายรองสกุลเซียวเช่นกัน ตอนบ่าวมาที่นี่ ระหว่างทางได้ยินคนพูดว่าเจ้านายสกุลเซียวหลอกลวงเบื้องสูง ทำผิดต่อพระมหากรุณาธิคุณจึงถูกปลดออกจากการเป็นสกุลสูงศักดิ์และโดนยึดทรัพย์ สกุลเซียวเองก็ถูกจับกุมทั้งบ้านเหมือนกัน บ่าวได้ยินเช่นนี้จึงตั้งใจตามไปดู เห็นเหล่าไท่จวิน นายท่านใหญ่ คุณชายรอง และคนอื่นๆ ในสกุลเซียวถูกคุมตัวขึ้นรถนักโทษ ส่งไปยังที่คุมขัง หน้าประตูคฤหาสน์สกุลเซียวมีคนมามุงดูแน่นขนัด เรื่องที่สะใภ้รองสกุลเซียวเป็นลูกอนุแต่งงานแทนลูกภรรยาเอก มีฐานะต่ำต้อย…ตลอดจนเรื่องในอดีตที่สกุลเซียวถูกนายท่านสกุลหลี่หลอก รวมถึงข่าวลืออื่นๆ ล้วนแพร่ไปทั่วเมืองผิงหยางแล้ว กิจการในเมืองผิงหยางของสกุลเซียวก็ถูกปิด ครั้งนี้สกุลเซียวดับสิ้นแล้วจริงๆ ตอนนี้บนถนนมีป้ายประกาศจับกุมเจ้านาย หลงจู๊ใหญ่ คุณชายใหญ่ และคุณชายสามสกุลเซียวแปะอยู่เต็มไปหมด”
ฟังคำพูดนี้แล้วซั่งกวนหงฮุยก็เหม่อลอยไปครู่หนึ่ง ใบหน้าขาวซีดขณะพึมพำ “ใครกันที่แพร่ข่าวนี้ออกไป นี่สวรรค์จะกำจัดข้าจริงๆ หรือ!”
หลี่จั้นเห็นดังนั้นจึงรีบค้อมกายโน้มน้าว “รัชทายาท ท่านจะดูถูกตนเองไม่ได้เป็นอันขาด นักปราชญ์ว่า เมื่อสวรรค์จะมอบหมายภารกิจใหญ่ให้ผู้ใด ย่อมต้องทำให้จิตใจของคนผู้นั้นเจ็บปวด ทำให้เส้นเอ็นและกระดูกเหนื่อยล้า ทำให้เรื่องราวมีอุปสรรควุ่นวาย นี่เป็นบททดสอบที่สวรรค์มีต่อท่าน เยียนอ๋องผิดศีลธรรม ไม่สนใจชีวิตของราษฎรชาวต้าฉี แล้วจะปล่อยให้อำนาจปกครองแผ่นดินตกอยู่ในมือคนเช่นนี้ได้อย่างไร เซียนปรุงยาแฝงตัวอยู่ในสกุลเซียวมาตลอด สองปีมานี้ล้วนปลอดภัยราบรื่น จู่ๆ สวรรค์กลับส่งนางมาให้รัชทายาทก่อนที่สกุลเซียวจะต้องรับโทษ นั่นก็เพื่อมอบทางรอดให้แก่ท่าน สวรรค์กำลังช่วยเหลือท่านอยู่ ตอนนี้สิ่งที่รัชทายาททรงต้องทำก็คือสืบดูให้แน่ชัดโดยเร็วว่าฮ่องเต้ทรงมีท่าทีอย่างไรต่อเรื่องนี้ และพาเซียนปรุงยาเดินทางลงใต้โดยด่วน ขอเพียงราษฎรปลอดภัย พวกเขาต้องสนับสนุนท่านแน่ วิกฤตของรัชทายาทย่อมคลี่คลายไปได้เอง”
หลี่จั้นพูดจบ หลี่เมิ่งซีจึงพูดต่อ “คุณชายหลี่กล่าวได้ถูกต้อง ยิ่งในช่วงเวลานี้ พี่ใหญ่ยิ่งต้องเด็ดเดี่ยวและมีความมั่นใจให้มาก ท่านต้องจัดการเรื่องราวต่างๆ อย่างสุขุม น้องสาวเชื่อว่าพี่ใหญ่ต้องไม่เป็นไรแน่นอน”
หลี่ตู้ที่เงียบมาตลอดพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เขาตบหน้าผากพลางพูดทันที “เจ้านาย บ่าวคิดออกแล้ว เมื่อวานคุณชายรองมาหาท่านที่ร้านยาอี๋ชุน ท่าทางดูร้อนใจมาก บ่าวโมโหที่เขาเขียนหนังสือหย่าให้ท่านแล้วยังจะตัดบัวเหลือใยอีก บ่าวจึงสั่งให้คนไล่เขาออกไป เมื่อวานตอนบ่ายเขาได้ทิ้งจดหมายไว้ฉบับหนึ่ง บอกบ่าวว่าต้องมอบให้ท่านให้ได้ บ่าวไม่อยากให้ท่านข้องเกี่ยวกับเขาอีกจึงไม่ได้บอกเรื่องนี้กับท่าน บัดนี้มาย้อนคิดดูแล้ว เกรงว่าคุณชายรองคงรู้ว่าคฤหาสน์สกุลเซียวมีคนแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป ถึงได้ร้อนใจส่งข่าวนี้ให้ท่าน”
“จดหมายของคุณชายรองเล่า”
“อยู่ที่ร้านยาอี๋ชุนขอรับ บ่าวไม่ได้นำมาด้วย”
“เจ้า!” ยามเผชิญหน้ากับหลี่ตู้ที่จงรักภักดีมากเกินไปจนทำให้เสียเรื่อง ชั่วขณะหนึ่งที่หลี่เมิ่งซีไม่รู้จะพูดอะไรดี กระนั้นนางก็ยังรู้สึกอบอุ่นที่เซียวจวิ้นเป็นห่วงนาง จากนั้นจึงนึกขึ้นได้ว่าเขาถูกจำคุกไปแล้ว ใบหน้านางพลันเปลี่ยนเป็นขาวซีด
ระหว่างนิ่งเงียบ หลี่จั้นก็ตบต้นขาเอ่ยว่า “รัชทายาท พอหลงจู๊หลี่พูด กระหม่อมก็นึกขึ้นได้เช่นกัน เมื่อวานเซียวจวิ้นมาหากระหม่อม บอกว่ามีเรื่องด่วนอยากพบท่าน บังเอิญท่านอยู่ในวัง กระหม่อมบอกว่าจะนำคำพูดไปถ่ายทอดแทน แต่เขากลับบอกเพียงจะคุยกับท่านต่อหน้าเท่านั้น รออยู่เกือบหนึ่งชั่วยาม ภายหลังได้ยินว่าท่านออกจากวังแล้วตรงไปค่ายทหารทันที กระหม่อมยังบอกเขาว่ามะรืนนี้รัชทายาทต้องเสด็จไปแน่นอน มีเรื่องอะไรค่อยพูดตอนนั้นก็ยังไม่สาย เซียวจวิ้นบอกเพียงจะไปหาท่านที่ค่ายทหาร จากนั้นก็ไม่ทราบข่าวคราวของเขาอีก คิดว่าเซียวจวิ้นคงไม่ได้เข้าไปในค่ายทหารกระมัง…”
“หรือจะเป็นคุณชายสาม” ไม่รอให้หลี่จั้นพูดจบ หลี่เมิ่งซีก็พึมพำกับตนเองอย่างเหลือเชื่อ สายตาของทุกคนพุ่งมาที่นาง
หลี่จั้นหยุดคำพูดของตนเองแล้วถามว่า “คุณชายสาม? คุณหนูหลี่หมายถึงเซียวอวิ้นน่ะหรือ”
“เรื่องนี้ข้าเคยบอกคุณชายสาม แต่คุณชายสามมีนิสัยเปิดเผยสง่างาม เป็นไปไม่ได้ที่จะทำเรื่องเช่นนี้”
เจ้านายไว้ใจคนสกุลเซียวมากเกินไปแล้ว ช้าเร็วต้องตายเพราะสกุลเซียวเป็นแน่! หลี่ตู้ฟังแล้วสีหน้าเปลี่ยนไป เขาหันไปถามว่า “หลี่อี้ ตอนเจ้าเห็นรถนักโทษที่บรรทุกคนจากคฤหาสน์สกุลเซียว มีคุณชายสามอยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้นด้วยหรือไม่”
“เมื่อครู่บ่าวบอกไปแล้วมิใช่หรือ คุณชายใหญ่กับคุณชายสามสกุลเซียวหนีไปได้ มีป้ายประกาศจับแปะอยู่เต็มท้องถนน”
ทุกคนฟังแล้วหัวใจจมดิ่ง เห็นหลี่เมิ่งซีหน้าซีด ต่างไม่มีใครอยากพูดอะไรทั้งนั้น
เนิ่นนานผ่านไป หลี่เมิ่งซีจึงเงยหน้าพูดกับรัชทายาท “พี่ใหญ่ น้องสาวเป็นสตรีที่อาศัยอยู่แต่ในเรือน ไม่รู้กฎเกณฑ์ในราชสำนักสักเท่าไร พูดไปแล้วท่านอย่าได้หัวเราะเยาะ ไม่ทราบว่าราชโองการใหญ่กว่า หรือพระราชเสาวนีย์ใหญ่กว่า หากพระราชเสาวนีย์นี้ประกาศออกมาโดยปิดบังฮ่องเต้ พี่ใหญ่จะขอร้องฮ่องเต้ให้ออกราชโองการอีกฉบับมายกเลิกพระราชเสาวนีย์นี้ได้หรือไม่”
“ในสถานการณ์ทั่วไป ไทเฮาจะไม่ทรงก้าวก่ายการเมือง ราชโองการย่อมใหญ่กว่าพระราชเสาวนีย์ ปกติแล้วพระราชเสาวนีย์จะบังคับใช้เฉพาะกับฝ่ายในเท่านั้น ความผิดมหันต์อย่างการยึดทรัพย์และประหารทั้งตระกูลเช่นนี้ ส่วนใหญ่ล้วนต้องกราบทูลให้เสด็จพ่อทรงออกราชโองการด้วยพระองค์เอง แม้จะออกพระราชเสาวนีย์ก็ต้องประทับตราแผ่นดินตกทอดของเสด็จพ่อจึงจะมีผล บัดนี้ดูแล้วเยียนอ๋องทุ่มสุดกำลัง เกรงว่าคงปิดบังเสด็จพ่อนำพระราชเสาวนีย์ไปยึดทรัพย์สกุลเซียวก่อน ตอนนี้ไม้กลายเป็นเรือไปแล้ว เสด็จพ่อเองก็มิอาจแก้ไขอะไรได้”
“เช่นนี้มิเท่ากับไทเฮาทรงก้าวก่ายเรื่องการเมืองหรอกหรือ ฮ่องเต้ย่อมสามารถออกราชโองการยกเลิกพระราชเสาวนีย์ฉบับนี้ได้มิใช่หรือ”
“ซีเอ๋อร์คิดอะไรง่ายดายเกินไป แม้ราชโองการจะใหญ่กว่าพระราชเสาวนีย์ แต่ราชวงศ์ก็ให้ความสำคัญกับหลักความกตัญญู หากวันนี้ยังไม่ได้มีการปฏิบัติตามพระราชเสาวนีย์ เสด็จพ่อยังสามารถไปเจรจาที่วังฉือหนิง ขอให้ไทเฮาทรงยกเลิกพระราชเสาวนีย์ได้ แต่ตอนนี้พระราชเสาวนีย์ประกาศไปทั่วหล้าแล้ว ราษฎรต่างรู้กันทั่ว หากไม่มีเหตุผลที่เพียงพอ เสด็จพ่อมิอาจล้มล้างพระราชเสาวนีย์ได้ตามอำเภอใจ หาไม่แล้วย่อมกลายเป็นอกตัญญูอย่างยิ่ง กลายเป็นเรื่องตลกของราชวงศ์ไป”
“เหตุผลที่เพียงพอ?!” ฟังคำนี้แล้ว หลี่เมิ่งซีตาเป็นประกาย “พี่ใหญ่ น้องสาวส่งจดหมายไปทางใต้วันที่สิบสองเดือนแปด ให้คนในร้านสาขาสวมรอยเป็นเซียนปรุงยาปรากฏตัวรักษาโรคระบาดทางใต้ คิดว่าอีกไม่กี่วัน หนังสือกราบทูลว่าเซียนปรุงยาปรากฏตัวที่ทางใต้ต้องส่งมาถึงเมืองผิงหยางแน่ พี่ใหญ่จะใช้เหตุผลนี้กราบทูลฮ่องเต้ให้ทรงตั้งคดีและสอบสวนใหม่ ยกเลิกพระราชเสาวนีย์ได้หรือไม่”
“ซีเอ๋อร์พูดมาก็มีเหตุผล แต่เกรงว่าจะไม่ทันการณ์แล้ว วิธีการของเยียนอ๋องโหดเหี้ยม จุดประสงค์ก็เพื่อกำจัดสกุลเซียว หายากที่จะมีโอกาสเช่นนี้ แล้วจะให้เขาปล่อยไปง่ายๆ ได้อย่างไร คิดว่าเยียนอ๋องจะต้องลงมือภายในวันสองวันนี้แน่ หลังจากที่ยึดทรัพย์และประหารชีวิตคนสกุลเซียวทั้งตระกูลไปแล้ว วันหน้าต่อให้พบว่าเป็นการตัดสินที่ผิดพลาดและมีการพลิกคดีขึ้นมาจริง อย่างมากก็แค่สังหารคนเพิ่มไม่กี่คน และมอบยศตำแหน่งให้หลังตายเท่านั้น สุดท้ายสกุลเซียวยังคงถูกกำจัดทิ้งอยู่ดี นับแต่โบราณมามีคดีที่ไม่เป็นธรรมเช่นนี้มากมาย จะมีสักกี่คนที่กล้าเอาผิดราชวงศ์เล่า!”
ไม่ คนที่หลอกลวงเบื้องสูงเป็นนาง หาใช่เขา เรื่องพวกนี้สมควรให้นางเป็นผู้รับผิดชอบ นางยินดีตายแทนเขา! ชีวิตของคนสกุลเซียวทั้งหมดนางไม่สนใจ ต่อให้ตายทั้งหมดก็ไม่เกี่ยวอะไรกับนางแม้แต่น้อย ทว่าพอคิดว่านางกับเซียวจวิ้นจะอยู่กันคนละโลก หลี่เมิ่งซีก็หายใจไม่ออกไปชั่วขณะ ฟังถึงตรงนี้ ใบหน้าพลันซีดเผือด มือกดหน้าอกแน่น ร่างกายโงนเงนทำท่าจะล้มลง นางได้จือชิวประคองไว้และพูดเสียงสะอื้น “คุณหนู ท่านใจเย็นๆ ก่อนเถอะ มีรัชทายาทกับคุณชายหลี่อยู่ คุณชายรองต้องไม่เป็นอะไรแน่เจ้าค่ะ ท่านต้องเข้มแข็งไว้นะเจ้าคะ”
หลี่เมิ่งซีพรูลมหายใจยาวออกมาและตั้งสติ นางคืนสู่ความสุขุมเยือกเย็นอีกครั้ง ก่อนจะตบตัวจือชิวตอบว่า “ข้าไม่เป็นไร ไม่ต้องตื่นตกใจไป”
พูดจบก็เงยหน้าพูดกับรัชทายาท “พี่ใหญ่ น้องสาวยินดีเผชิญหน้ากับเยียนอ๋องในศาลเพื่อพิสูจน์ความจริง น้องสาวจะไปมอบตัวกับทางการประเดี๋ยวนี้ เยียนอ๋องกับฮ่องเต้ล้วนไม่เคยพบน้องสาวมาก่อน ขอพี่ใหญ่โปรดช่วยจัดการเรื่องนี้ให้ด้วย ไปเป็นพยานในศาลเพื่อพิสูจน์ว่าน้องสาวไม่ใช่คนที่โขกศีรษะสาบานเป็นพี่น้องกับท่าน ไม่ใช่เซียนปรุงยา มีทุกคนในร้านยาอี๋ชุนและพี่ใหญ่เป็นพยาน แม้จะล้มล้างพระราชเสาวนีย์ไม่ได้ อย่างน้อยก็ยังสามารถยื้อคดีนี้ไว้จนกระทั่งหนังสือกราบทูลจากทางใต้ส่งมาถึง ถึงเวลานั้นทุกอย่างย่อมคลี่คลายเอง”
เห็นหลี่เมิ่งซีจะเอาตัวเข้าเสี่ยงอันตรายเพื่อช่วยเหลือเซียวจวิ้น ซั่งกวนหงฮุยก็ตัวสั่นสะท้าน สองมือสั่นระริกอย่างห้ามไม่อยู่ เขาจ้องมองหลี่เมิ่งซีอย่างแข็งทื่อพูดอะไรไม่ออกชั่วขณะ
นิ่งคิดอยู่นานรัชทายาทจึงเอ่ยว่า “ซีเอ๋อร์ไม่ได้อยู่ในราชสำนัก เจ้าย่อมไม่รู้ว่าน้ำในราชสำนักนั้นลึกเพียงใด เรื่องนี้ไม่ได้ง่ายดายเช่นที่เจ้าคิด ไม่พูดถึงว่าหากไม่มีเหตุผลที่หนักแน่นพอ เสด็จพ่อทรงไม่มีทางสอบสวนคดีที่ไทเฮาทรงตัดสินไปแล้วใหม่แน่ แค่วิธีการอันโหดเหี้ยมที่เยียนอ๋องใช้เพื่อชิงตำแหน่งรัชทายาทก็ถึงขั้นไม่สนใจชีวิตของราษฎร แล้วเขาจะใส่ใจชีวิตเจ้าเพียงคนเดียวได้อย่างไร ตอนนี้ทั่วเมืองล้วนปิดประกาศจับกุมเจ้าไปทุกหนแห่ง เจ้าออกไปเช่นนี้ก็เท่ากับวิ่งเข้าหาศัตรู คดีนี้อยู่ในความรับผิดชอบของเยียนอ๋อง ข้าไม่อาจก้าวก่ายตามอำเภอใจได้ หากเจ้าตกไปอยู่ในมือของเยียนอ๋องจริง เกรงว่ายังไม่ทันได้ขึ้นศาลก็ถูกถลกหนังออกมาชั้นหนึ่งแล้ว จากนั้นยังจะถูกบังคับให้เขียนหนังสือรับสารภาพด้วย…ซีเอ๋อร์ ชีวิตเจ้าไม่ใช่ของเจ้าเพียงคนเดียวหรอกนะ ราษฎรหลายหมื่นคนทางใต้ยังรอการช่วยเหลือจากเจ้าอยู่ ข้าจะปล่อยให้เจ้าเป็นอะไรไปไม่ได้เด็ดขาด ช่วงนี้เจ้าก็หลบอยู่ที่นี่กับหลี่ตู้และโอวหยางตี๋ไปก่อนเถอะ เรื่องภายนอกข้าจะจัดการเอง”
สิ่งที่ซั่งกวนหงฮุยไม่ได้พูดก็คือหากมีการขึ้นศาลและเขาเป็นพยานเท็จ ก็ถือเป็นความผิดฐานหลอกลวงเบื้องสูงเช่นกัน เท่ากับเปิดช่องโหว่ที่อันตรายถึงชีวิตให้เยียนอ๋องเอาผิดเขาได้ในภายหลัง หลี่เมิ่งซีรักษาโรคระบาดย่อมต้องพบปะกับหมอหลวงทั้งหลายในสำนักแพทย์หลวง ทั้งยังต้องพบกับเหล่าขุนนางทางใต้ เรื่องนี้ช้าเร็วเสด็จพ่อก็ต้องรู้แน่ ถึงเวลานั้นหากมีเยียนอ๋องกับไทเฮาคอยยุแยง ต่อให้เสด็จพ่อคิดจะปกป้องเขามากเพียงใด แต่จะอุดปากของผู้คนมากมายได้อย่างไรเล่า
เห็นหลี่เมิ่งซีมีสีหน้ากลัดกลุ้ม หลี่จั้นจึงโน้มน้าวด้วยอีกคน “คุณหนูหลี่อย่าเพิ่งหมดหวัง เรื่องนี้ใช่ว่าจะไม่มีหนทางอื่น…”
“ยังมีหนทางอะไรอีกหรือ”
“ยังมีอีกสองวิธีที่สามารถทำให้ฮ่องเต้ทรงยกเลิกพระราชเสาวนีย์ แล้วส่งคดีนี้กลับไปสอบสวนใหม่ที่กรมอาญา ทว่าทั้งสองวิธีล้วนเป็นไปได้ยากมาก”
“สองวิธีใดบ้าง ต่อให้ยากเพียงใดข้าก็ต้องลองดู!”
เห็นหลี่เมิ่งซีเป็นเช่นนี้ ซั่งกวนหงฮุยก็มีสีหน้าหม่นหมอง เขาก้มหน้าเงียบไม่พูดจา
หลี่จั้นตอบว่า “หนึ่งคือการนำคดีนี้ไปร้องทุกข์ต่อฮ่องเต้ วิธีการคือไปตีกลองร้องทุกข์ที่ประตูอู่เหมิน แต่ราชสำนักมีกฎเกณฑ์ว่าผู้ใดที่จะมาตีกลองร้องทุกข์ต่อฮ่องเต้ต้องกลิ้งบนแผ่นตะปูและถูกหวดตีด้วยไม้ก่อน จากนั้นยังต้องผ่านการสอบสวนของขันที ผ่านด่านเหล่านี้ได้แล้วจึงจะได้พบฮ่องเต้ โดยทั่วไปคนที่กลิ้งบนแผ่นตะปูและถูกหวดตี ต่อให้ยังมีชีวิตอยู่ก็เหลือลมหายใจอยู่เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ตอนขันทีสอบสวน หากพลาดพลั้งไปจนถูกขันทีจับผิดได้ว่ามา ‘รบกวนฮ่องเต้’ หรือ ‘พูดจาส่งเดช’ ย่อมต้องตายอยู่ดี กล่าวได้ว่าวิธีนี้มีโอกาสตายมากกว่าโอกาสรอด หากมิได้มีเรื่องราวที่ไม่เป็นธรรมอย่างใหญ่หลวงก็อย่าเลือกใช้วิธีการนี้เลยจะดีกว่า”
“แล้วอีกวิธีเล่า”
“อีกวิธีหนึ่งเป็นการรวมตัวราษฎรเพื่อเรียกร้อง หากสามารถทำให้ราษฎรรวมตัวกันเคลื่อนไหวได้ ทำให้ฮ่องเต้ทรงหวั่นวิตก เพื่อปลอบประโลมราษฎรแล้ว คดีย่อมถูกตีกลับไปเพื่อพิจารณาใหม่ แต่เวลากระชั้นชิดเช่นนี้ยากที่จะปลุกระดมราษฎรได้ หากการเคลื่อนไหวไม่มากพอ เยียนอ๋องจะทรงหาว่าเป็นคนเร่ร่อนมาก่อความวุ่นวายและใช้กำลังระงับยับยั้งกลุ่มคนแน่ หากมิอาจทำให้ฮ่องเต้หวั่นวิตกได้ย่อมไร้ประโยชน์ วิธีนี้ดูเหมือนง่าย แต่อันที่จริงแล้วยากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์”
หลี่เมิ่งซีนิ่งเงียบไปนาน ก่อนพูดอย่างเด็ดเดี่ยว “ดี พวกเราจะปลุกระดมราษฎรในเมืองผิงหยางภายในคืนนี้เลย ทำให้เกิดการรวมตัวเรียกร้องของราษฎร!”
“น้องสาว เกรงว่าเวลาเพียงเท่านี้จะไม่พอ”
“พี่ใหญ่ พวกเรามิอาจนิ่งดูดายในเรื่องนี้ หากไม่ลองดูแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าไม่สำเร็จ สองวันนี้พี่ใหญ่ช่วยไปเจรจาที่คุกให้ด้วย ก่อนที่คดีนี้จะถูกนำไปพิจารณาใหม่ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรักษาชีวิตของคุณชายรองและทุกคนในร้านยาอี๋ชุนเอาไว้ให้ได้”
“น้องสาว ร้านยาอี๋ชุนมีชื่อเสียงในหมู่ชาวบ้านอยู่บ้างก็จริง แต่จะให้ราษฎรนับหมื่นมารวมตัวกัน อย่างน้อยๆ ก็ต้องใช้เวลาสิบวันถึงครึ่งเดือน เกรงว่ากว่าจะถึงเวลานั้น…”
“พี่ใหญ่ พวกเราจะไม่ไปเจรจาทีละบ้าน พวกเราจะแจกใบปลิว!”
“ใบปลิว?” ซั่งกวนหงฮุยทวนคำพูดรอบหนึ่งอย่างไม่เข้าใจ ทุกคนในห้องโถงต่างหันไปมองหลี่เมิ่งซีพร้อมกัน
ให้ตาย ไฉนจึงหลุดคำพูดยุคปัจจุบันออกมาได้นะ! หลี่เมิ่งซีตบหน้าผาก กระแอมไอทีหนึ่งแล้วพูดราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “อ้อ ก็เหมือนประกาศของทางการ พวกเราเขียนแล้วตอนกลางคืนให้คนเอาไปปิดตามถนนและตรอกต่างๆ โยนเข้าไปในบ้านของพวกชาวบ้าน ชาวบ้านเห็นแล้วย่อมบอกต่อๆ กันไป บางทีใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งวันก็อาจมีการเคลื่อนไหวแล้ว”
ซั่งกวนหงฮุยกับหลี่จั้นตาเป็นประกาย ซั่งกวนหงฮุยเอ่ยว่า “ความคิดนี้ดี เพียงแต่จะเขียนอย่างไรถึงจะทำให้ชาวบ้านสะเทือนใจ เต็มใจออกมาเรียกร้องบนท้องถนน”
“เรื่องนี้ต้องอาศัยความสามารถด้านการเขียนของคุณชายหลี่แล้ว ความเรียงของคุณชายหลี่เป็นหนึ่งไม่มีสองในใต้หล้า ตามความเห็นของน้องสาว พวกเราควรเขียนเช่นนี้ โรคระบาดทางใต้ไม่มีใครรักษาได้นอกจากเซียนปรุงยา ในยามที่บ้านเมืองเดือดร้อน การปิดร้านยาอี๋ชุนเพื่อตรวจสอบ สอบสวนและประหารเซียนปรุงยาเป็นการกระทำที่แสดงถึงความไม่สนใจในราษฎร หากเซียนปรุงยาตายไป การแพร่กระจายของโรคระบาดย่อมทำให้ผู้คนในต้าฉีล้มตาย มีศพเกลื่อนกลาดไปทั่ว…ทูลขอฮ่องเต้โปรดทรงยกเลิกพระราชเสาวนีย์ ล้างมลทินให้เซียนปรุงยาด้วย นี่เป็นใจความคร่าวๆ การเลือกใช้คำยังต้องให้คุณชายหลี่ใคร่ครวญอีกครั้ง”
นี่ข้าโม้เกินไปหรือเปล่า ไม่รู้ว่าชาวบ้านจะยอมเชื่อหรือไม่ แต่เพื่อช่วยเหลือเซียวจวิ้นแล้ว ดูเหมือนจะไม่โม้ไม่ได้ หลี่เมิ่งซีพูดจบรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวเล็กน้อย นางเหลือบมองรัชทายาทกับหลี่จั้นอย่างไม่เป็นธรรมชาติเท่าไร เกรงว่าพวกเขาจะหาว่านางเป็นยายหวังขายแตง ขายเองชมเอง
เห็นรัชทายาทเงียบไปนาน หน้าผากหลี่เมิ่งซีก็มีเหงื่อผุดซึมโดยไม่รู้ตัว ขณะกำลังจะเอ่ยปากจึงได้ยินรัชทายาทพูดออกมากะทันหัน “ดี ทำตามที่ซีเอ๋อร์ว่า หลี่จั้น เจ้าร่างหนังสือทันที เขียนเสร็จหาคนมาคัดลอก ยิ่งมากยิ่งดี แล้วคืนนี้นำไปปิดประกาศ!”
รัชทายาทพูดจบ หลี่เมิ่งซีจึงพูดต่อ “พี่ใหญ่ ร้านยาอี๋ชุนถูกปิด เกรงว่าการเดินทางลงใต้คงต้องเลื่อนออกไป แต่โรคระบาดทางใต้มิอาจรั้งรอ มิสู้พี่ใหญ่จัดหมอหลวงและหมอทั่วไปให้เดินทางลงใต้ไปก่อนเถอะ”
“ซีเอ๋อร์พูดถูก ข้าจะไปจัดการให้ตามนี้ เดิมทีข้ารับราชโองการเดินทางลงใต้ก็เพื่อตามหาเจ้า ตอนนี้มีพระราชเสาวนีย์บอกว่าเจ้าอยู่ในเมืองผิงหยาง เสด็จพ่อย่อมต้องเลื่อนการเดินทางออกไปด้วยเช่นกัน ก่อนอื่นต้องยืนยันให้แน่ชัดว่าเจ้าอยู่ในเมืองผิงหยางหรืออยู่ทางใต้กันแน่”
รัชทายาทพูดจบ หลี่เมิ่งซีจึงพึมพำว่า “พี่ใหญ่ หากการปลุกระดมราษฎรให้ลุกขึ้นเรียกร้องล้มเหลวขึ้นมา พวกเราจะทำเช่นไรดี”
เห็นรัชทายาทไม่ตอบ หลี่เมิ่งซีจึงกัดฟันพูด “ที่พี่ใหญ่พูดมาก็ถูก น้องสาวจะไปมอบตัวกับเยียนอ๋องไม่ได้เด็ดขาด แต่หากการปลุกระดมราษฎรล้มเหลว คงต้องขอให้พี่ใหญ่ช่วยจัดการให้น้องสาวได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้คุณชายรองด้วย”
ส่วนลึกในดวงตาของซั่งกวนหงฮุยฉายความหม่นหมอง เขาเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูด “ไม่มีทาง น้องสาวมีชื่อเสียงโด่งดังในหมู่ชาวบ้าน อีกทั้งท้องฟ้ายังเกิดปรากฏการณ์ประหลาด โรคระบาดแพร่ไปทั่ว จิตใจของราษฎรล้วนเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น เวลานี้ใช้ชื่อของเซียนปรุงยาปลุกระดมผู้คนแล้ว ต้องมีผู้ตอบสนองทันทีแน่!”
ซั่งกวนหงฮุยพูดจบ เห็นหลี่เมิ่งซีเอาแต่มองเขาไม่พูดจา เงียบไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ซีเอ๋อร์วางใจ หากการเรียกร้องครั้งนี้ล้มเหลว ข้าต้องหาหนทางจัดการให้เจ้าได้เผชิญหน้ากับเยียนอ๋องในศาลแน่ สองปีมานี้สกุลเซียวทุ่มเทช่วยเหลือข้าอย่างเต็มที่ ข้าไม่มีทางนิ่งดูดายแน่นอน”
เห็นรัชทายาทรับปากแล้ว หลี่เมิ่งซีจึงผงกศีรษะ “ขอบคุณพี่ใหญ่ที่ช่วยเหลืออย่างเต็มที่ น้องสาวซาบซึ้งใจยิ่งนัก”
พวกเขาหารือรายละเอียดกันอีกครั้ง ซั่งกวนหงฮุยใช้หอชังไห่เป็นสถานที่ทำงานชั่วคราว คำสั่งที่ประทับตรารัชทายาทถูกส่งออกจากหอชังไห่ฉบับแล้วฉบับเล่า หลี่เมิ่งซี หลี่ตู้ และโอวหยางตี๋ก็ไม่ได้อยู่ว่างแต่อย่างใด คำสั่งของเซียนปรุงยาเองก็ถูกส่งไปยังร้านยาอี๋ชุนสาขาต่างๆ เช่นเดียวกัน จนกระทั่งใกล้ยามเว่ย ซั่งกวนหงฮุยจึงลุกขึ้นขอตัวเพื่อเข้าวังไปหยั่งเชิงดูท่าทีของฮ่องเต้
ฮ่องเต้จิ่นตี้ที่อยู่ในวัง หลังออกจากวังฉือหนิงแล้วก็อดขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้ เขาโบกมือสั่งให้เกี้ยวกลับไป เหลือไว้เพียงขันทีประจำตัว วังฉือหนิงทำให้เขาหายใจไม่ออก จึงอยากจะเดินเล่นตามลำพัง
ไทเฮากับเยียนอ๋องถึงกับตัดสินใจข้ามหน้าเขาที่เป็นฮ่องเต้ ในเวลาที่จำเป็นต้องใช้คนเช่นนี้ อาศัยเพียงคำให้การของอนุภรรยาคนหนึ่งในคฤหาสน์สกุลเซียวก็ตัดสินว่าเซียนปรุงยามีความผิดฐานหลอกลวงเบื้องสูงและยังออกพระราชเสาวนีย์มายึดทรัพย์สกุลเซียวและปิดร้านยาอี๋ชุนอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันให้ตั้งตัว ช่างเหลวไหลยิ่งนัก!
หลังการประชุมขุนนางและทราบข่าวนี้ เขาไม่มีเวลาให้คิดมากก็รีบตรงมายังวังฉือหนิงอย่างเร่งร้อน ไม่ง่ายเลยกว่าจะรอจนไทเฮาตื่น เดิมทีตั้งใจโน้มน้าวอีกฝ่ายด้วยเหตุผล ต้องการให้ไทเฮาเข้าใจว่าตอนนี้ต้าฉีประสบภัยจากธรรมชาติ หายนะจากมนุษย์ โรคระบาดแพร่กระจายไปทั่ว เป็นช่วงเวลาที่ต้องใช้คน โดยเฉพาะเซียนปรุงยา ต่อให้เซียนปรุงยาทำผิดมหันต์เพียงใดตอนนี้ก็ยังฆ่าไม่ได้ เขาอยากโน้มน้าวให้ไทเฮาออกพระราชเสาวนีย์อีกฉบับ ละเว้นความผิดฐานหลอกลวงเบื้องสูงให้เซียนปรุงยาเสีย ให้อีกฝ่ายทำคุณชดใช้ความผิดแทน
คิดไม่ถึงว่าฟังคำพูดนี้แล้วไทเฮาจะกริ้วจัด คาดคั้นฮ่องเต้จิ่นตี้ว่าอยากเห็นเสด็จแม่อย่างนางตายไวๆ ใช่หรือไม่ เรื่องอื่นก็แล้วไปเถอะ แต่เซียนปรุงยาหลอกลวงเบื้องสูงเพื่อจะได้ไม่ต้องถวายการรักษาให้นางซึ่งเป็นไทเฮา ฮ่องเต้ยังจะยกเว้นความผิดให้อีกหรือ!
เนื่องจากโมโหเกินไป ไทเฮายังพูดไม่ทันจบก็เป็นลมหมดสติไป เรื่องนี้ทำให้ฮ่องเต้จิ่นตี้โมโหยิ่งนัก ที่จริงเขาสามารถออกราชโองการยกเลิกพระราชเสาวนีย์ได้ ต่อให้ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าพระราชเสาวนีย์มีความผิดพลาด และตราบใดที่ราษฎรทั่วหล้ายังไม่รู้ อย่างน้อยเขาก็ยังสามารถประชุมหารือเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ ทว่ายามนี้พระราชเสาวนีย์ถูกประกาศออกไปแล้ว ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับคดีจะถูกประหารชีวิตในวันมะรืน เกรงว่าคงไม่มีเวลาแล้ว…
เขาเดินมาถึงหน้าประตูวังแห่งหนึ่งโดยไม่รู้ตัว เงยหน้าเห็นคำว่า ‘วังหย่งเหอ’ ก็อึ้งไป ขมวดคิ้วและหันหลังเดินกลับ เพิ่งเดินไปได้สองก้าว พระชายาจิ้งเฟยก็ให้นางกำนัลประคองวิ่งออกมา พลางก้าวเร็วๆ เข้ามาหาและร้องว่า “ฝ่าบาท!”
ฮ่องเต้จิ่นตี้ชะงัก เขาหยุดเดินโดยไม่รู้ตัว ยืนอยู่ที่เดิมโดยมิได้หันกลับไป เวลานี้เขาไม่อยากพบพระชายาจิ้งเฟยเป็นที่สุด
พระชายาจิ้งเฟยก้าวเร็วๆ เข้ามาหลายก้าวและคุกเข่าลง “หม่อมฉันขอฝ่าบาททรงเมตตา ละเว้นคนแก่และเด็กในสกุลเซียวด้วยเถอะเพคะ!”
เห็นใบหน้าของชายารักประหนึ่งดอกสาลี่ต้องน้ำฝน ฮ่องเต้จิ่นตี้พลันหัวใจหดเกร็ง เขาเอ่ยว่า “แม้เราจะเป็นถึงโอรสสวรรค์ผู้สูงส่ง แต่เราก็มิอาจหักล้างพระราชเสาวนีย์ของไทเฮาอย่างไร้เหตุผลได้ ฝ่ายในมิอาจก้าวก่ายเรื่องในราชสำนัก เรื่องนี้ชายารักอย่าได้เอ่ยถึงอีกเลย!”
ฮ่องเต้จิ่นตี้พูดจบก็ก้าวเดินต่อไป พระชายาจิ้งเฟยคุกเข่าลงกอดขาฮ่องเต้จิ่นตี้พลางอ้อนวอน “ฝ่าบาท จะสายฟ้าหรือหยาดฝนล้วนเป็นพระกรุณา ครอบครัวของมารดาหม่อมฉันทั้งครอบครัวต้องรับโทษกะทันหัน ตายไม่น่าเสียดาย แต่ขอฝ่าบาททรงพิจารณาเรื่องนี้อย่างชัดเจนด้วย หากฝ่าบาททรงประหารเซียนปรุงยาจริง เกรงว่าแผ่นดินของพระองค์จะมิอาจรักษาเอาไว้ได้นะเพคะ…”
พระชายาจิ้งเฟยพูดถึงตรงนี้ เห็นแววเยียบเย็นที่สาดออกมาจากสองตาของฮ่องเต้จิ่นตี้ นางก็ตกใจจนกลืนคำพูดที่เหลือกลับลงไป ได้แต่มองฮ่องเต้จิ่นตี้อยู่เช่นนั้น
เห็นฮ่องเต้จิ่นตี้จะก้าวเท้าออกไป ด้วยความร้อนใจและคิดว่าสกุลเซียวของนางต้องโทษหมดแล้ว วันนี้หากไม่เสี่ยงตายกราบทูล เกรงว่านางคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานเช่นกัน จึงกัดฟันพูด “ฝ่าบาททรงเคยบอกหม่อมฉันว่าจิ้งอวิ๋นต้าซือคาดการณ์ว่าโรคระบาดทางใต้นั้นเซียนปรุงยาสามารถคลี่คลายได้ ไม่พูดถึงข่าวลือที่ว่าเซียนปรุงยาคือสะใภ้รองสกุลเซียวเป็นความจริงหรือเท็จยากจะแยกแยะ แต่หากฝ่าบาททรงประหารคนของเซียนปรุงยาจริงและประกาศจับเซียนปรุงยา ต่อให้เซียนปรุงยามีใจสงสารคิดจะช่วยเหลือราษฎรจริงก็คงไม่กล้าออกหน้ารักษาโรคระบาดครั้งนี้แน่ หม่อมฉันได้ยินมาว่าหมู่บ้านทางใต้ที่เกิดโรคระบาด ตอนนี้ในสิบครัวเรือนว่างเปล่าไปเก้าครัวเรือนแล้ว ศพคนตายเกลื่อนกลาดไปทั่ว จิตใจผู้คนหวาดหวั่นพรั่นพรึง เวลาเพียงสิบกว่าวันโรคระบาดก็แพร่ไปถึงครึ่งมณฑล หากราชสำนักยังคิดหาหนทางรับมือไม่ได้สักที เกรงว่า…ฝ่าบาท หม่อมฉันขอเสี่ยงตายกราบทูลว่าชีวิตของไทเฮาเพียงพระองค์เดียวกับบ้านเมืองและแผ่นดินของพระองค์ ตลอดจนราษฎรต้าฉีอีกหลายหมื่น สิ่งใดกันแน่ที่สำคัญ ขอฝ่าบาทโปรดพิจารณาให้ถ่องแท้ด้วยเพคะ”
“ชายารักลุกขึ้นเถอะ เราเข้าใจแล้ว”
เห็นว่าน้ำเสียงของฮ่องเต้อ่อนโยนขึ้น รู้ว่าพระองค์รับฟังคำพูดของนางแล้ว พระชายาจิ้งเฟยจึงหยุดเมื่อเห็นว่าสมควร นางรีบขอบพระทัยและลุกขึ้นแล้วหลบไปยืนด้านข้าง ขณะกำลังจะเชิญฮ่องเต้เข้าไปในวังหย่งเหอก็เห็นขันทีคนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ โขกศีรษะกราบทูล “ทูลฝ่าบาท รัชทายาทเข้าวังมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
“เรียกตัวรัชทายาทไปที่ห้องทรงพระอักษร” ฮ่องเต้จิ่นตี้เหลือบมองพระชายาจิ้งเฟยแวบหนึ่ง ก่อนจะหมุนตัวเดินไปห้องทรงพระอักษร
พระชายาจิ้งเฟยกำลังจะเอ่ยปากทูลลา นางกลับเห็นฮ่องเต้จิ่นตี้หยุดเดินกะทันหัน เขาหันกลับมาเอ่ยว่า “พระราชเสาวนีย์ของเสด็จแม่ประกาศออกไปแล้ว เราเป็นโอรสสวรรค์มีอำนาจสูงส่งก็จริง แต่ก็เป็นบุตรของผู้อื่นด้วย มิอาจล้มล้างพระราชเสาวนีย์ของเสด็จแม่ได้อย่างไร้เหตุผล แต่หากมีคนมาร้องทุกข์กับเรา หรือมีราษฎรนับหมื่นเรียกร้องความเป็นธรรมแทนเซียนปรุงยา เราย่อมสามารถมอบหมายให้กรมอาญาพิจารณาคดีนี้ใหม่ได้!” ฮ่องเต้จิ่นตี้พูดจบก็หันหลังจากไป
พระชายาจิ้งเฟยตาเป็นประกาย นางรีบเอ่ยว่า “หม่อมฉันขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงสนับสนุน น้อมส่งฝ่าบาทเพคะ!”
กิจการของบรรพบุรุษถูกทำลายลงในมือข้า! ฟังเสียงไอที่ดังมาจากห้องขังฝั่งตรงข้ามเป็นระยะแล้ว เหล่าไท่จวินในชุดนักโทษและถูกตีตรวนก็ใบหน้าซีดเผือด หัวใจหดเกร็งเป็นระยะ นางแก่แล้วจะตายก็ช่างเถอะ แต่สกุลเซียวมีหลานชายสายตรงอยู่เพียงคนเดียว เห็นทีสวรรค์คงต้องการให้สกุลเซียวของนางไร้ทายาทสืบสกุลจริงๆ
เรื่องที่เยียนอ๋องจะโจมตีสกุลเซียวนั้นเหล่าไท่จวินก็เตรียมพร้อมรับมืออย่างเต็มที่แล้ว แต่นางไม่คิดไม่ฝันว่าสกุลเซียวจะถูกยึดทรัพย์และถอดยศตำแหน่งเช่นนี้!
วันนั้นตอนที่เซียวจวิ้นและเซียวอวิ้นบอกตนกับนายท่านใหญ่เรื่องหลี่เมิ่งซีเป็นเซียนปรุงยา นอกจากความตื่นตระหนกตกใจแล้ว เหล่าไท่จวินยังเสียใจภายหลังอย่างยิ่ง เสียใจที่สองปีมานี้เพราะคำสอนของบรรพบุรุษทำให้ตนคิดจะหย่าซีเอ๋อร์ครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงขั้นนิ่งเฉยและปล่อยให้นายหญิงใหญ่รังแกซีเอ๋อร์ ทำให้นางหมดใจกับสกุลเซียว…
แม้ซีเอ๋อร์จะมีความผิดฐานหลอกลวงเบื้องสูง แต่ขอเพียงนางคลี่คลายโรคระบาดทางใต้ได้ ย่อมถือเป็นความดีความชอบครั้งใหญ่ ไม่เพียงความผิดฐานหลอกลวงเบื้องสูง เกรงว่ากระทั่งความผิดของนายท่านรองยังถูกยกเว้นได้ด้วยซ้ำ เดิมทียังคิดจะหาที่พึ่งทางการเมือง บัดนี้จึงพบว่าซีเอ๋อร์ไม่เพียงเป็นยันต์คุ้มภัยของสกุลเซียวเท่านั้น ทั้งยังเป็นที่พึ่งของสกุลเซียวด้วย เป็นยันต์ป้องกันอันตรายของสกุลเซียวอย่างแท้จริง
หากตามตัวซีเอ๋อร์กลับมาได้ ร้านยาอี๋ชุนย่อมเป็นกำลังของสกุลเซียว ถึงเวลานั้นสกุลเซียวยังจะกลัวอะไรอีก
ตามการประเมินสถานการณ์ของเหล่าไท่จวิน ต่อให้ฐานะของนางเปิดเผย ฮ่องเต้จิ่นตี้ก็ไม่มีทางเอาผิดเซียนปรุงยาในช่วงเวลาที่บ้านเมืองกำลังประสบภัยเช่นนี้แน่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าคนที่แอบได้ยินคำพูดนี้เป็นเพียงสาวใช้ที่นำโจ๊กไปส่งเท่านั้น นางจะใจกล้าบ้าบิ่นถึงขั้นเปิดเผยเรื่องนี้ออกไปได้อย่างไร ต่อให้คิดไปในทางที่เลวร้ายที่สุด เรื่องราวถูกเปิดเผยออกไปจริง แต่ตราบใดที่ยังจับตัวซีเอ๋อร์ไม่ได้ ขอเพียงเวลาขึ้นศาลสกุลเซียวทุกคนยังคงยืนกรานปฏิเสธ มีรัชทายาทคอยช่วยเหลืออยู่ ทั้งยังมีโรคระบาดทางใต้คอยกดดัน เยียนอ๋องย่อมทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว
ดังนั้นแม้เซียวจวิ้นจะกลัดกลุ้มกระวนกระวายอย่างมาก ทว่าเหล่าไท่จวินกลับสุขุมมากทีเดียว หลังหารือกับนายท่านใหญ่แล้ว ต่างก็เห็นด้วยกับการจัดการของเซียวจวิ้น ให้เซียวชิงกับเซียวอวิ้นเดินทางลงใต้ภายในคืนนั้นเลย พวกคุณหนูทั้งหลายต่างก็ถูกส่งออกจากคฤหาสน์ไปเงียบๆ ส่วนเซียวจวิ้นก็ให้อยู่ที่นี่ต่อเป็นการชั่วคราว เนื่องจากเหล่าไท่จวินไม่มีทางปล่อยให้รัชทายาทพายันต์คุ้มภัยของสกุลเซียวเดินทางลงใต้ไปตามลำพังแน่ ไม่ว่าอย่างไรเซียวจวิ้นก็ต้องออกเดินทางพร้อมกับรัชทายาท
เซียวจวิ้นถูกร้านยาอี๋ชุนกีดกัน ทั้งยังติดต่อรัชทายาทไม่ได้ แต่เหล่าไท่จวินหาได้ใส่ใจ ขอเพียงรัชทายาทยังไม่ออกเดินทางนางก็ไม่กลัว ทั้งยังปลอบโยนเซียวจวิ้นว่าไม่ต้องร้อนใจ พรุ่งนี้ค่อยไปลองดูใหม่…
ตามหลักแล้วการประเมินสถานการณ์ของเหล่าไท่จวินไม่ควรผิดพลาด แต่นั่นคือในสถานการณ์ทั่วไป ตอนนี้เป็นช่วงเวลาคับขัน ทั้งยังเจอเยียนอ๋องที่เพื่อบรรลุเป้าหมายแล้วก็สามารถลงมือได้โดยไม่เลือกวิธีการ ทั้งโหดเหี้ยมอำมหิตและคลุ้มคลั่ง ครั้งนี้การคาดการณ์ของนางจึงผิดพลาดไป
เวลาเพียงชั่วข้ามคืน สกุลเซียวที่สืบทอดมายาวนานนับร้อยปีก็ถูกขุดรากถอนโคน สกุลสูงศักดิ์ในต้าฉีที่ดำรงอยู่มานับร้อยปีล้มครืนไปกะทันหัน
สะใภ้ใหญ่ยังดี เพียงนั่งยองอยู่มุมห้อง แม้เนื้อตัวยังสั่นระริก แต่ก็ตั้งสติได้แล้ว นางลอบภาวนาขอให้คุณชายใหญ่กับบุตรสาวทั้งหลายปลอดภัย แต่นายหญิงใหญ่กลับคลุ้มคลั่งอยู่บ้าง นางนอนอยู่บนกองฟางในห้องขัง ใบหน้าซีดขาวราวกระดาษ ปากพึมพำอยู่ตลอดว่า “ไฉนจึงเป็นเช่นนี้ ไฉนจึงเป็นเช่นนี้…”
เห็นสภาพของนายหญิงใหญ่แล้วเหล่าไท่จวินก็ส่ายหน้า สกุลเซียวถูกทำลายลงด้วยน้ำมือนายหญิงใหญ่จริงๆ หากมิใช่เพราะนางไม่ยอมรับซีเอ๋อร์ รังแกซีเอ๋อร์ เกรงว่าซีเอ๋อร์คงไม่หมดใจกับสกุลเซียว คงไม่ปิดบังฐานะจนเป็นการหลอกลวงเบื้องสูงเช่นนี้ ที่ครอบครัวของนายท่านรองทั้งหมดต้องรับโทษก็ล้วนเป็นฝีมือของพี่สาวนางทั้งสิ้น!
ระหว่างคิดก็เห็นผู้คุมมือหนึ่งถือท่อนเหล็ก มือหนึ่งถือพวงกุญแจเดินช้าๆ มาตามทางเดินยาว เดินไปพลางตะโกนไปด้วย “เซียวจวิ้น! เซียวจวิ้น! ชายาเยียนอ๋องมาเยี่ยมเจ้า!”
ผู้คุมเดินมาถึงหน้าประตูห้องขังของเซียวจวิ้นกับนายท่านใหญ่แล้ว เห็นเซียวจวิ้นทำราวกับไม่ได้ยิน ยังคงนั่งอยู่บนกองฟาง ผู้คุมคุกก็อดพูดเสียงดังขึ้นไม่ได้ “บังอาจ! นักโทษประหารเซียวจวิ้น ชายาเยียนอ๋องมาแล้วยังไม่เข้ามาโขกศีรษะอีก!”
“ผู้คุมซุน อย่าตะโกนอีกเลย เปิดประตูเถอะ”
“พระชายา ข้างในทั้งเหม็นและสกปรก ท่านรออยู่ตรงนี้สักครู่ ข้าน้อยจะไปเรียกเขาออกมาขอรับ”
ผู้คุมพูดจบกำลังจะตะโกนอีกครั้งก็ได้ยินเสียงคนตะโกนออกมาจากห้องขังทางด้านหลัง “ซิ่วเอ๋อร์! ซิ่วเอ๋อร์! เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย เจ้ามาแล้วหรือ ข้ารู้อยู่แล้วว่าซิ่วเอ๋อร์ต้องมาช่วยพวกเรา!”
จางซิ่วและผู้คุมหันไปมองพร้อมกัน ที่แท้นายหญิงใหญ่เห็นจางซิ่วที่ตอนนี้เป็นชายารองของเยียนอ๋องมา นางจึงคลานเข้ามาหาอย่างคลุ้มคลั่ง เกาะลูกกรงเหล็กและร้องตะโกนไม่เป็นภาษา เห็นจางซิ่วมองมาก็พูดว่า “ซิ่วเอ๋อร์มาแล้วหรือ ยังคงเป็นซิ่วเอ๋อร์ที่มีน้ำใจและคุณธรรม คิดถึงท่านน้าอย่างข้าและมาเยี่ยมพวกเรา ตอนนี้ซิ่วเอ๋อร์เป็นชายาเยียนอ๋องแล้ว เจ้าไปขอร้องเยียนอ๋องที บอกว่าพวกเราสกุลเซียวถูกปรักปรำ จวิ้นเอ๋อร์หย่ากับหลี่เมิ่งซีนานแล้ว หลี่เมิ่งซีไม่ใช่คนสกุลเซียวอีกแล้ว นางทำผิดฐานหลอกลวงเบื้องสูงก็ไม่เกี่ยวอะไรกับสกุลเซียว คนที่สมควรถูกสับเป็นพันเป็นหมื่นชิ้นก็คือนาง เป็นนางที่ทำร้ายคนสกุลเซียว ซิ่วเอ๋อร์ไปขอร้องให้เยียนอ๋องละเว้นสกุลเซียวด้วยเถอะ แล้วจับนางจิ้งจอกผู้นั้นมาเข้าคุกแทน!”
จางซิ่วอดทนรอให้นายหญิงใหญ่พูดพล่ามจนจบ นางจึงค่อยหันกลับมาพูดกับนายหญิงใหญ่ชัดๆ ทีละคำอย่างอ่อนโยน “ผู้คนล้วนบอกว่าขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ด ท่านน้า คิดไม่ถึงว่าท่านที่แก่ถึงเพียงนี้แล้ว รอยเหี่ยวย่นปรากฏเต็มหน้าผาก แต่ท่านก็ยังคงไร้เดียงสาถึงเพียงนี้! สกุลเซียวจะถูกปรักปรำได้อย่างไรเล่า ตอนที่หลี่เมิ่งซีขัดราชโองการ นางยังเป็นสะใภ้สกุลเซียวอยู่ ท่านคิดว่าพวกท่านหย่านางแล้วสกุลเซียวจะได้รับการยกเว้นอย่างนั้นหรือ!”
จางซิ่วพูดจบก็หมุนตัวกลับไปทันใดโดยไม่สนใจนายหญิงใหญ่อีก นางพูดกับผู้คุมเสียงเฉียบ “เปิดประตูห้องขัง!”
ผู้คุมตัวสั่น เปิดประตูห้องขังของเซียวจวิ้นอย่างลนลาน จางซิ่วย่างเท้าเข้าไปอย่างมั่นคง เดินเข้าไปข้างในช้าๆ
“ซิ่วเอ๋อร์! ซิ่วเอ๋อร์! เห็นแก่ที่หลายปีมานี้น้าปฏิบัติต่อเจ้าเฉกเช่นลูกสาวแท้ๆ คนหนึ่ง เจ้าไปขอร้องบิดาเจ้า ขอร้องเยียนอ๋องที พวกเราสกุลเซียวถูกปรักปรำ!”
“หุบปาก! นางหญิงบ้า ขืนส่งเสียงอีกข้าจะตัดลิ้นเจ้าซะ!”
เห็นจางซิ่วเดินจากไปอย่างไร้เยื่อใยแล้ว นายหญิงใหญ่ก็เหมือนคนจมน้ำที่ต้องการคว้าฟางเส้นสุดท้าย นางพยายามตะโกนร้องเรียก ผู้คุมเห็นพระชายามีสีหน้ารำคาญจึงใช้ท่อนเหล็กเคาะลูกกรงสองทีและตวาดดังลั่น ทำเอานายหญิงใหญ่ตกใจจนหุบปาก ทว่าสองมือยังเกาะลูกกรงเหล็กแน่นพลางจ้องจางซิ่วเขม็ง
สะใภ้ใหญ่ประคองเหล่าไท่จวินเดินออกมาอย่างโงนเงน นางเกาะลูกกรงเหล็กมองไปยังฝั่งตรงข้าม
เข้าไปในห้องขังแล้ว จางซิ่วก็เดินไปตรงหน้าเซียวจวิ้น เห็นเขาสวมชุดนักโทษ ข้างแก้มเต็มไปด้วยตอหนวดสีเขียวนั่งอยู่ในนั้นอย่างหยิ่งทะนง แม้จะดูอิดโรยแต่กลับแผ่ความแข็งกร้าวไม่ยอมจำนนออกมาจากภายใน เห็นจางซิ่วเข้ามา เขาก็เงยหน้ามองนางอย่างเย็นชา
จางซิ่วเห็นแล้วหัวใจหดเกร็งอย่างห้ามไม่อยู่ นางสาบานแล้วว่าจะลืมคนผู้นี้ แต่พอเผชิญหน้ากัน แม้เขาจะอยู่ในสภาพทรุดโทรมเช่นนี้ก็ยังคงทำให้หัวใจนางเต้นรัว
นายท่านใหญ่เห็นจางซิ่วเข้ามาก็เอ่ยว่า “ซิ่วเอ๋อร์มาแล้วหรือ”
จางซิ่วเหลือบมองนายท่านใหญ่แวบหนึ่งโดยไม่พูดอะไร เอาแต่มองเซียวจวิ้น
เซียวจวิ้นเห็นดังนั้นจึงพูดว่า “พระชายามาที่นี่ ขออภัยที่ข้าน้อยถูกตีตรวนอยู่ มิอาจคารวะพระชายาได้”
ฟังคำพูดเหินห่างของเซียวจวิ้นแล้ว ดวงตาจางซิ่วก็ฉายความโกรธแค้น ก่อนนางจะพูดเสียงเรียบ “พี่ชายคงคิดไม่ถึงกระมังว่าท่านจะมีวันนี้!”
เห็นเซียวจวิ้นไม่ตอบ จางซิ่วจึงพูดต่อ “พี่ชายนึกเสียใจกับสิ่งที่เคยพูดไปบ้างหรือไม่ หากเสียใจ ขอเพียงท่านคุกเข่าขอร้องข้า เก็บคำพูดที่ท่านเคยพูดกลับคืนไป ข้าก็จะขอร้องเยียนอ๋องให้ละเว้นชีวิตท่าน นับแต่นี้ไปท่านยังคงใช้ชีวิตอย่างอิสรเสรีได้”
ไม่รอให้เซียวจวิ้นตอบ นายหญิงใหญ่ก็ตะโกนมาจากฝั่งตรงข้าม “จวิ้นเอ๋อร์รีบตอบไปสิว่าเจ้าเสียใจภายหลัง คนที่เจ้าชอบคือซิ่วเอ๋อร์!…”
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง! ผู้คุมใช้ท่อนเหล็กเคาะลูกกรงหลายที
นายหญิงใหญ่หุบปาก นางยังคงมองไปที่ฝั่งตรงข้ามอย่างประหม่า เกรงว่าลูกชายที่ดื้อรั้นจะพูดโดยไม่คิด ทำให้ซิ่วเอ๋อร์โมโห ทิ้งโอกาสรอดเพียงหนึ่งเดียวนี้ไป จวิ้นเอ๋อร์ของข้าต้องมีชีวิตรอด!
ห้องขังเงียบลงอีกครั้ง ได้ยินเซียวจวิ้นตอบว่า “พระชายา ชีวิตนี้ทั้งชีวิต ข้ารักเพียงนาง ไม่นึกขุ่นเคืองหรือเสียใจภายหลัง”
(ติดตามต่อได้ในเล่ม)
Comments
comments