X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักรำพันรักหมอยา

ทดลองอ่าน รำพันรักหมอยา บทที่เจ็ด-บทที่แปด

หน้าที่แล้ว1 of 20

บทที่เจ็ด

ถังเหอเป็นลูกโทน แต่งฮูหยินแล้วสี่คน ฮูหยินใหญ่นามว่าเลี่ยวชิงเหยียน ว่ากันว่าเป็นหลานสาวฮูหยินผู้เฒ่าถัง พ่อแม่จากไปเร็วจึงติดตามข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าถังตั้งแต่เล็ก ฮูหยินผู้เฒ่าถังเอ็นดูนาง กลัวนางแต่งงานออกไปแล้วถูกคนรังแกจึงออกหน้าจัดการให้ถังเหอแต่งนางเข้าสกุล ฮูหยินผู้นี้แม้เป็นลูกพี่ลูกน้องกับถังเหอ ทว่าได้รับการประคบประหงมตามใจตั้งแต่เยาว์วัย ความสัมพันธ์กับถังเหอจึงไม่ดีนัก ไม่นานถังเหอก็รับบุตรีคหบดีในเมืองคนหนึ่งเป็นอนุ เลี่ยวชิงเหยียนไหนเลยจะทนไหว หนึ่งร้องไห้ สองอาละวาด สามแขวนคอ อยากจะไล่ฮูหยินรองออกจากบ้านให้จงได้

ท่ามกลางความเกรี้ยวโกรธถังเหอจะเขียนหนังสือหย่า เคราะห์ดีฮูหยินผู้เฒ่าถังยับยั้งเอาไว้ได้ ทั้งสองจึงสงบศึก นับแต่นั้นฮูหยินรองสกุลถังก็ถูกกลั่นแกล้งสารพัดอย่างจากฮูหยินผู้เฒ่าถังและเลี่ยวชิงเหยียน เทศกาลตวนอู่ ปีถัดมาฮูหยินรองก็กระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ตอนที่เลี่ยวชิงเหยียนเห็นศพของฮูหยินรองแล้ว นางก็ได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจ ทุกคืนเอาแต่ฝันเห็นฮูหยินรองกลับมาเอาชีวิต ตั้งแต่นั้นมานางก็กลายเป็นคนเสียสติ

ไปๆ มาๆ แม้ถังเหอจะแต่งงานมาแล้วสามปี ทว่าเขากลับไม่มีทายาทเลยสักคนเดียว ด้วยเหตุนี้ในปีที่สี่ เขาจึงแต่งฮูหยินคนที่สามเฮ่อหลันซีเข้ามา หลังเฮ่อหลันซีเข้ามาในจวนก็ได้รับความโปรดปรานจากถังเหอและฮูหยินผู้เฒ่าถังอย่างมาก แต่สามปีผ่านไปก็ยังให้กำเนิดได้แค่เพียงบุตรีสองคน ฮูหยินผู้เฒ่าถังในใจร้อนรน เร่งรัดให้ถังเหอรับอนุเพิ่มขึ้นอีก ถังเหอต้องใจเจิ้งหนานชิงบุตรสาวตระกูลปัญญาชนสกุลเจิ้งมานานแล้ว ประจวบเหมาะกับได้ยินว่าบุตรคนโตสกุลเจิ้งเล่นพนันติดหนี้ก้อนโต เขาจึงขอเจิ้งหนานชิงแลกกับการใช้หนี้ให้แทน หลังเจิ้งหนานชิงเข้ามาในจวนไม่นานก็ตั้งครรภ์ แต่เพียงสามเดือนก็แท้งโดยไม่คาดคิด นับแต่นั้นก็ไม่ตั้งครรภ์อีก

ทันทีที่เฉียวจือซูได้รับรู้เรื่องราวเหล่านี้ก็ราวกับมีเมฆหมอกหนาทึบ

สวนในจวนสกุลถังกิ่งหลิวแตกยอดใหม่ระเบาๆ บนผิวน้ำในบ่อขนาดเล็กที่นิ่งเรียบ กลางทางเดินสายเล็กอันมิดมืด สาวใช้นางหนึ่งเดินมาอย่างเร่งร้อน นางเคาะประตูห้องแขกเรือนฝั่งตะวันตกของจวนสกุลถังแผ่วเบา

เฉียวจือซูเปิดประตูและถาม “นำยามาแล้วหรือ”

ผู้ที่มาคือสี่เอ๋อร์ นางปิดประตูด้วยท่าทางประหม่า และรีบร้อนพยักหน้า

เฉียวจือซูถามอีก “ที่วางไว้ในตู้ยาก็นำมาด้วยหรือไม่”

สี่เอ๋อร์พยักหน้าอีก ก่อนจะยื่นมือทั้งสองข้างมา มือแต่ละข้างล้วนถือห่อยาอยู่ นางแบมือซ้าย “นี่คือยาหนึ่งเทียบที่ฉินมามาซื้อเพิ่ม” จากนั้นนางก็ยื่นห่อยาในมือขวาให้เฉียวจือซู “นี่คือที่ฉินมามาวางไว้ในตู้ยาหลังเที่ยง ข้าทำตามที่ท่านสั่ง เฝ้าอยู่ใกล้ๆ ห้องยามาโดยตลอด เมื่อสักครู่ถึงค่อยแอบเอาออกมา”

เฉียวจือซูรับยามาวางบนโต๊ะ เปิดห่อยาทางซ้ายมือก่อน อาศัยแสงอ่อนจางของโคมไฟแยกอย่างละเอียดครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็เปิดห่อยาอีกห่อ ใช้ช้อนยายาวบางคันหนึ่งเขี่ยไปมา แยกเม็ดสีแดงน้ำตาลขนาดเท่าเมล็ดถั่วออกมาได้สองสามเม็ด

“เมล็ดอวิ๋นไถ?” สี่เอ๋อร์หน้าเปลี่ยนสีอย่างมาก

เฉียวจือซูพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม

สี่เอ๋อร์ทั้งตกใจและโมโห “คิดไม่ถึงว่าคนผู้นั้นจะมือเท้าเร็วปานนี้!”

“ตอนบ่ายมีใครเข้าห้องยาบ้าง”

“เห็นแค่พี่อาเม่ยเข้าไป”

“อาเม่ย?”

“ใช่เจ้าค่ะ นางเป็นคนข้างกายฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินผู้เฒ่าต้องกินยาทุกวัน นางจะเข้าไปทั้งเช้าและบ่าย” สี่เอ๋อร์ยิ่งพูดสีหน้ายิ่งย่ำแย่ “หรือว่าเป็นฮูหยินผู้เฒ่าจริงๆ”

“ที่ผ่านมาฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่ชอบฮูหยินสี่หรือ”

“หาได้เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ หลังจากฮูหยินสี่แท้งลูก ฮูหยินผู้เฒ่าถึงได้เอ่ยตำหนิติเตียนฮูหยินสี่ จากสาเหตุนี้ ฮูหยินสี่ต้องร้องไห้มาไม่รู้ตั้งกี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว” สี่เอ๋อร์ยิ่งพูดยิ่งโมโห นางกลั้นไม่ไหวหลั่งน้ำตาให้เฉียวจือซูเห็น “ทั้งที่ฮูหยินสี่เป็นคนดีแท้ๆ ไม่รู้เหตุใดฮูหยินผู้เฒ่าต้องไปเชื่อฟังคำพูดฮูหยินสามด้วย สตรีผู้นั้นกลัวก็แต่ฟ้าดินจะไม่วุ่นวายพอ หวังจะได้ครอบครองจวนสกุลถังเพียงผู้เดียว เป็นนายหญิงแห่งจวนสกุลถัง”

เฉียวจือซูครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ย “นอกจากอาเม่ยก็ไม่มีคนอื่นอีก?”

สี่เอ๋อร์ส่ายหน้า “ตั้งแต่ฉินมามาซื้อยากลับมาข้าก็อยู่ใกล้ๆ ที่นั่นมาโดยตลอด ไม่เห็นคนอื่นเลยเจ้าค่ะ” คิดไปคิดมาก็พูดอีก “มีเรื่องหนึ่ง ไม่รู้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่” เห็นเฉียวจือซูมองตนเองคล้ายไต่ถาม นางจึงเอ่ยต่อ “ข้าเหลือบเห็นฮูหยินสาม นางเดินผ่านที่นั่น อ้อ ทว่านางไม่ได้เข้าไป มีตอนที่อาเม่ยเข้าไป นางยังมองมาทางข้า อีกนิดเดียวก็เกือบจะเห็นข้าอยู่แล้ว”

“นางผ่านที่นั่น?”

สี่เอ๋อร์พยักหน้า “ตามปกติพอตกบ่ายฮูหยินสามจะไปอยู่กับฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าค่ะ”

“เจ้าบอกว่านางจะไปที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่า?” เฉียวจือซูถามอย่างฉงน

“ทางเส้นนั้นก็คือเส้นที่ตรงไปยังเรือนของฮูหยินผู้เฒ่า” สี่เอ๋อร์ลูบจอนผมอย่างใคร่ครวญ “อันที่จริงก็ดูปกติดี เพียงแต่ข้าไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงรู้สึกแปลกๆ หากแต่ก็คิดไม่ตกว่าแปลกที่ใดเจ้าค่ะ”

“เจ้าลองเล่าสถานการณ์ตอนนั้นโดยละเอียดอีกรอบหนึ่งซิ”

สี่เอ๋อร์ผงกศีรษะ “ข้าตามอยู่ด้านหลังฉินมามา มองเห็นนางวางห่อยาไว้ในตู้ยากับตาตนเอง จากนั้นข้าก็รอที่ใต้ต้นการบูร ประมาณครึ่งชั่วยาม* ผ่านไป พี่อาเม่ยก็เข้าไป ข้ากำลังจะมองให้ละเอียดอยู่แท้ๆ พลันเห็นฮูหยินสามเดินมาคนเดียว กำลังมุ่งไปทางเรือนของฮูหยินผู้เฒ่า ทว่ากลับดูเชื่องช้าเป็นพิเศษ เดินไปพลางพร้อมกับกวาดมองรอบตัวไปพลาง จนนางเกือบจะเห็นข้าอยู่แล้ว”

“นางมาคนเดียว?”

สี่เอ๋อร์พยักหน้าอย่างแรง ก่อนจะสะกิดใจจนร้องขึ้นมา “ข้าก็ว่าที่ใดที่ผิดแปลกไป ปกตินางมักจะพาคนกลุ่มหนึ่งเดินลอยชายไปมา ชอบให้คนพินอบพิเทานางเป็นที่สุด แต่วันนี้กลับมีแค่นางเพียงคนเดียว แม้แต่สาวใช้สักคนยังไม่มี…อ้อ ยังมีอีก ทั้งที่นางเห็นพี่อาเม่ยอยู่ในห้องยากลับไม่ทักทาย พี่อาเม่ยเป็นคนสนิทของฮูหยินผู้เฒ่า หากเป็นยามปกตินางคงต้องปราดเข้าไปทักทายเสียด้วยซ้ำ!”

เฉียวจือซูฟังไปพลางใช้นิ้วเคาะโต๊ะเบาๆ เปลวไฟจากตะเกียงน้ำมันไหวระริก สะท้อนให้นัยน์ตาเขาทอประกายเป็นพิเศษ

เนิ่นนานสี่เอ๋อร์ถึงได้ยินเขาถามอีก “ฮูหยินสี่แท้งเพราะเหตุใด”

“มีวันหนึ่งตื่นมาตอนเช้า ฮูหยินรู้สึกว่าตนเองนอนตกหมอน พี่อาเม่ยจึงเข้ามานวดให้นาง ไฉนเลยจะรู้ พอตกบ่ายฮูหยินกลับปวดท้อง จากนั้นก็…เฮ้อ…”

“แม่นางอาเม่ยเคยนวดให้ฮูหยินสี่หรือ” เฉียวจือซูชี้สะบักของตนเองและถาม “ตรงนี้ใช่หรือไม่”

“หือ?” สี่เอ๋อร์นึกอยู่พักใหญ่ ก่อนส่ายหน้าอย่างเป็นทุกข์ “จำไม่ได้แล้ว จำได้แค่พี่อาเม่ยทุบๆ ตีๆ ที่บ่าฮูหยินสี่ ฮูหยินผู้เฒ่าเมื่อยแข้งปวดขา ยามปกติก็จะเป็นพี่อาเม่ยที่นวดให้ทั้งนั้น ช่วงนั้นฮูหยินสี่ตั้งครรภ์ ฮูหยินผู้เฒ่าย่อมใส่ใจฮูหยินสี่เป็นพิเศษ ทว่าพอไม่ได้ตั้งครรภ์แล้วนางก็เปลี่ยนสีหน้าไปทันที” สี่เอ๋อร์โมโหระคนเสียดาย “ก่อนหน้านี้อยู่ร่วมกันดีๆ มาตลอด ยังไปซื้อยาบำรุงครรภ์มาให้โดยเฉพาะ”

“ใครเป็นคนจ่ายยา”

“หมอหลินในสำนักซิ่งหลินเจ้าค่ะ และทุกครั้งต้องเป็นศิษย์ฝีมือดีของหมอหลินตู้จื่อเฟยเป็นผู้จัดยาให้เองกับมือ”

“สำนักซิ่งหลินอีกแล้วหรือ” เฉียวจือซูหรี่ดวงตา

“สำนักซิ่งหลินมีชื่อเสียงที่สุดในแถบนี้ หมอหลินจิตใจดีงามวิชาแพทย์ล้ำเลิศ ได้ยินว่าบรรพบุรุษของเขาเคยเป็นหมอหลวงในวังด้วยนะเจ้าคะ อาการปวดข้อของฮูหยินผู้เฒ่าก็ได้เขาช่วยรักษามาตลอด ดังนั้น…”

“ใบสั่งยานั้นยังอยู่หรือไม่”

“เป็นเรื่องเมื่อหนึ่งปีก่อนแล้ว ผู้ใดจะยังเก็บใบสั่งยาไว้อีก ข้าฟังแล้วเหมือนจะชื่อตำรับยาเชียนจินเป่า…” สี่เอ๋อร์คิดอยู่นานสองนานก็คิดไม่ออก

“เชียนจินเป่าอวิ้นทัง* ?” เฉียวจือซูเอ่ยชื่อออกมา

“ใช่ๆ เป็นอันนั้น!”

เฉียวจือซูเงียบขรึมไป สายลมเอื่อยลอดผ่านกรอบหน้าต่างพัดเปลวเทียนไหวระริกติดๆ ดับๆ สะท้อนวูบวาบในดวงตาเขา สี่เอ๋อร์เห็นเขาคล้ายกำลังครุ่นคิดจึงไม่กล้ารบกวน

นางรออยู่ด้านข้างราวหนึ่งถ้วยชาจึงทนไม่ไหวถามขึ้น “ท่านหมอซู มีปัญหาอะไรอีกหรือไม่เจ้าคะ”

เฉียวจือซูหลุดจากภวังค์ พลางยิ้มน้อยๆ เอ่ย “ตอนนี้ไม่มีแล้ว เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ!”

สี่เอ๋อร์พยักหน้า เดินถึงหน้าประตูก็อดเหลียวกลับมากำชับไม่ได้ว่า “ใต้เท้าให้เวลาท่านแค่สามวัน แต่ตอนนี้วันที่หนึ่งได้ผ่านไปแล้ว”

เฉียวจือซูยิ้มบางพลางพยักหน้า

“ฮูหยินสี่เป็นกังวลมาก ก่อนข้ามานางให้ข้าเตือนท่านให้ระวังตัวตลอด”

“ขอบใจฮูหยินสี่แทนข้าด้วย” เฉียวจือซูเอ่ย เห็นเงาหลังสี่เอ๋อร์หายไปในสวนอันมืดมิดถึงค่อยปิดประตู เขาเป่าตะเกียงดับ ก่อนเงยหน้าไปทางคานห้องแล้วพูดขึ้น “ลงมาได้แล้ว”

ซุนจิ่วเม่ยยิ้มทะเล้น “พี่ใหญ่เฉียวรู้ว่าข้ามาตั้งนานแล้วหรือ”

“ถุงหอมของเจ้าคราวนี้กลิ่นค่อนข้างแรง สถานการณ์ในคุกเป็นอย่างไร”

ซุนจิ่วเม่ยเบ้ปาก “ท่านให้ข้ามาก็เพราะอยากทราบข่าวของสตรีผู้นั้น?!”

“จิ่วเม่ย นี่มิใช่เรื่องล้อเล่น!” เฉียวจือซูเอ่ยเคร่งขรึม

“เอาเถิดๆ” ซุนจิ่วเม่ยพูดอย่างบึ้งตึง “วันนี้กัวติ้งสอบสวนไปอีกรอบหนึ่ง นางสลบไปแล้ว ไม่ได้พูดอะไร”

“สลบไปอีกแล้วหรือ” เฉียวจือซูดูเป็นกังวลอยู่บ้าง

ซุนจิ่วเม่ยพูดอย่างอิจฉา “ท่านก็ยังคิดถึงนางอยู่!”

“จิ่วเม่ย ข้าแค่อยาก…”

“อยากรู้เรื่องสมุดรายชื่อ!” ซุนจิ่วเม่ยเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ผู้ใดจะทราบเล่าว่าสตรีผู้นั้นรู้หรือไม่รู้กัน ไม่แน่เพราะว่าไม่รู้อะไรทั้งสิ้นถึงได้ถูกตีจนสลบ” เห็นเฉียวจือซูมุ่นคิ้ว นางจึงรีบพูด “เฮ้อ ช่างเถิดๆ ข้ารู้แล้ว กรอกปาเจินทัง ให้นางก่อนถ้วยหนึ่งตามที่ท่านสั่งแล้ว” จากนั้นก็มองสำรวจเฉียวจือซูจากหัวจรดเท้าอีกหน และถามด้วยความสงสัย “เหตุใดท่านจึงมายุ่มย่ามเรื่องผู้อื่นถึงที่นี่ได้เล่า” นางทำปากยื่นต่อ “อ้อ ท่านคงไม่ได้ต้องตาฮูหยินสี่อะไรนั่นเข้าแล้วกระมัง”

“เจ้าคิดไปถึงไหนแล้ว!” เฉียวจือซูไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ก่อนอธิบายว่า “เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าผู้ใดบอกกัวติ้งว่าอ้ายจื่อจินเป็นคนฝังเหอปู้ผิง”

“ได้ยินว่าคือเจ้าเมืองที่นี่ ถังเหอ”

“แล้วผู้ใดที่เป็นคนบอกถังเหอ”

“เดิมก็มีแต่คนในสำนักซิ่งหลินที่รู้ แน่นอนว่า…” ซุนจิ่วเม่ยเงยหน้าขึ้นตาโต “ท่านอยากจะหาตัวคนแจ้งเบาะแส?”

“บางทีเขาก็คือคนในพรรคเยียนที่หลบซ่อนอยู่” เฉียวจือซูใช้นิ้วเคาะพื้นโต๊ะแผ่วเบา “ข้าคิดว่าคนผู้นั้นไม่จำเป็นต้องติดต่อถังเหอโดยตรง”

“ท่านจะบอกว่ามีคนส่งข่าวให้เขา?”

“คนที่จะส่งข่าวได้ง่ายที่สุดไม่ควรจะเป็นคนนอกจวนสกุลถัง”

“ท่านคิดว่าในจวนสกุลถังมีคนสมคบกับคนในสำนักซิ่งหลิน?”

“ได้ยินว่าหลังจากเจิ้งหนานชิงแท้งลูกก็กินซื่ออู้ทังมาตลอด เดิมทีซื่ออู้ทังก็เป็นตำรับยาที่ดี แต่หากเพิ่มเมล็ดอวิ๋นไถลงไป ผลที่ออกมาก็แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง การจัดแจงรัดกุมปานนี้หากมิใช่คนรู้วิชาแพทย์เกรงว่าคงกระทำไม่ได้ และมีเพียงผู้ที่รู้แผนการนี้เป็นคนจ่ายตำรับยาซื่ออู้ทัง มิเช่นนั้นทุกสิ่งก็ไร้ประโยชน์”

“คนผู้นั้นนอกจากออกความคิดวางแผนแล้ว ยังเข้าร่วมด้วย? ท่านมั่นใจได้อย่างไรว่าตำรับยาซื่ออู้ทังนี้คือการจงใจจ่ายยามิใช่จ่ายยาจากการวินิจฉัย”

“หากกล่าวถึงหนึ่งปีก่อนตอนที่ฮูหยินสี่เพิ่งแท้งลูก การจ่ายตำรับยาซื่ออู้ทังอาจมีความเป็นไปได้ อย่างไรผู้ที่แท้งบุตรลมปราณและเลือดย่อมถูกทำลายไป ทว่าตำรับยานี้ใช้มาหนึ่งปีกลับไม่เคยเปลี่ยน”

“นั่นก็หมายความว่าตอนนี้เลือดลมของนางยังอ่อนแอ”

“ไม่ อาการของนางในยามนี้ชัดเจนว่าหยางพร่อง หมอมีประสบการณ์สักคนไม่ว่าใครก็มองออกทั้งนั้น!”

“ดังนั้นคนที่ออกความคิดอยู่ในที่ลับก็คือคนแจ้งเบาะแส?”

“คนผู้นี้ต้องมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งยิ่งกับผู้บงการเรื่องฮูหยินสี่แน่”

“ท่านอยากคลำตามเถาวัลย์มาหาผลแตง สืบจากเรื่องของฮูหยินสี่จนถึงตัวคนแจ้งเบาะแส ในใจท่านมีข้อสรุปแล้วใช่หรือไม่” ซุนจิ่วเม่ยเห็นเขาขมวดคิ้วก็รีบถาม “หรือจะเป็นฮูหยินผู้เฒ่าคนนั้นจริงๆ ข้าได้ยินว่านางกับหลินเต๋ออีแห่งสำนักซิ่งหลินรู้จักกันมานาน”

“เหตุจูงใจเล่า” เฉียวจือซูถาม

“เมื่อครู่สาวใช้คนนั้นก็พูดแล้วนี่ ตั้งแต่ฮูหยินสี่แท้ง ยายเฒ่านั่นก็อยากไล่นางออกจากจวน มีลูกไม่ได้มิใช่เป็นเหตุผลที่ดีที่สุดหรือ”

“เป็นเหตุผลที่ดีทีเดียว” รอยยิ้มเย็นบนใบหน้าเฉียวจือซูราวกับกุมความจริงเอาไว้

“ใช่น่ะสิ! ต่อให้ไม่มีฮูหยินสี่ ถังเหอก็หาใช่ไร้ฮูหยินเสียหน่อย เขามิใช่ยังมีฮูหยินสามนั่นอีกหรือ” ซุนจิ่วเม่ยเอ่ยอย่างมั่นใจ “เป็นยายเฒ่านั่นกับตาเฒ่าหลินเต๋ออีสมคบคิดกันแน่นอน”

“เช่นนั้นเหตุจูงใจของหลินเต๋ออีเล่า หากฮูหยินผู้เฒ่าถังเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลังจริง คนที่โน้มน้าวให้นางบอกความลับนี้ก็มีแต่หลินเต๋ออี แต่อ้ายจื่อจินถูกส่งเข้าคุกเช่นนี้จะมีประโยชน์อะไรกับเขา”

ซุนจิ่วเม่ยอับจนคำพูดไปชั่วขณะ

เฉียวจือซูหยักยิ้มมุมปาก ในแววตากลับมิเจือรอยยิ้ม “ในจวนสกุลถังนี้ทุกหนแห่งล้วนแต่เปี่ยมด้วยความไม่ชอบมาพากล ทั้งยังคล้ายมีสัมพันธ์ล้ำลึกกับสำนักซิ่งหลิน หากต้องการเข้าใจสำนักซิ่งหลิน ต้องเข้าใจจวนสกุลถังก่อน นี่คงเป็นหนทางที่ดีที่สุด”

วันที่สอง ฝนที่ตกๆ หยุดๆ ติดต่อกันมาสิบวัน ในที่สุดก็ถึงคราวที่ฟ้าปลอดโปร่ง แสงอาทิตย์สายหนึ่งสะท้อนเงาไม้ลงบนผิวน้ำในบ่อ บางครั้งก็จะมีแมลงปอโฉบแตะแผ่วเบาบนใบบัวเหนือผิวน้ำ บินต่ำฉวัดเฉวียน สาวใช้ชุดสีเขียวคนหนึ่งสะพายตะกร้าผักเดินอยู่ข้างบ่อน้ำ เป็นอาเม่ยสาวใช้ในเรือนฮูหยินผู้เฒ่าถัง

ฮูหยินผู้เฒ่าถังชอบกินผักอวิ๋นไถที่สุด ผักอวิ๋นไถในจวนล้วนได้อาเม่ยเป็นคนเลือกสรรด้วยตนเอง ในตะกร้าผักของนางบรรจุผักอวิ๋นไถที่มีหยดน้ำเกาะอยู่เต็มไปหมด ทว่าอาเม่ยมิได้เดินไปทางห้องครัว ทั้งไม่ได้เดินไปทางเรือนใหญ่ของฮูหยินผู้เฒ่า ตรงกันข้ามกลับเดินไปทางเรือนหลันซี ด้านในเรือนหลันซีเป็นที่พำนักของฮูหยินสามสกุลถัง…เฮ่อหลันซี

ขณะที่อาเม่ยเดินอยู่นั้น ทันใดก็รู้สึกว่าบริเวณใต้เข่าลงไปสามชุ่นคล้ายถูกอะไรตีเข้าทีหนึ่ง ทั้งขาพลันชาหนึบ ร่างกายพลันเซโน้มไปด้านหน้า เคราะห์ยังดีที่ได้แขนมีกำลังข้างหนึ่งประคองไว้ได้ทันเวลา นางเบิกตากลมอย่างหวาดหวั่น ที่ปรากฏในสายตาเป็นสิ่งแรกก็คือเส้นผมสีเทาขาวทั่วศีรษะ ต่อมาคือนัยน์ตาลุ่มลึกดังมหาสมุทรคู่หนึ่ง สุดท้ายจึงเป็นสันจมูกอันสูงโด่ง อาเม่ยพลันหน้าแดงเรื่อ ถอยหลังอย่างลนลานไปหลายก้าว แล้วเอ่ยอย่างเขินอาย “ขอบคุณท่านหมอซู”

หลังเฉียวจือซูเข้ามาอาศัยที่จวนสกุลถังในฐานะแขก ผมสีเทาขาวประหลาดทั่วศีรษะของเขาก็กลายเป็นเรื่องที่คนในจวนสกุลถังถกกันบ่อยที่สุด ด้วยเหตุนี้ อาเม่ยจึงไม่เห็นว่าเขาแปลกหน้าแต่อย่างใด

เฉียวจือซูยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเหลือบมองตะกร้าผักในมืออาเม่ย ท่าทีเรื่อยเฉื่อยยิ่ง “ไฉนจึงซื้อผักอวิ๋นไถมามากมายเช่นนี้”

อาเม่ยยิ้มเอ่ย “นี่ไม่นับว่ามากมายอะไร ครั้งก่อนฮูหยินสามยังขอไปถึงห้าชั่ง เชียวนะเจ้าคะ!”

เฉียวจือซูเผยสีหน้าตกตะลึง “ข้าได้ยินว่าฮูหยินผู้เฒ่ากินมังสวิรัติมานานปี ทุกมื้อล้วนต้องมีผักอวิ๋นไถ ที่แท้ฮูหยินสามก็ชอบกินเช่นเดียวกันหรอกหรือนี่!”

“ยามที่ฮูหยินผู้เฒ่าต้องการจะกิน ล้วนได้ฮูหยินสามเป็นผู้ลงครัวด้วยตนเองเจ้าค่ะ”

“ผักอวิ๋นไถมากมายเพียงนี้เกรงว่าคงทำได้หลายมื้อกระมัง”

“ไม่เจ้าค่ะๆ ทุกครั้งฮูหยินสามจะคัดก้านกับเมล็ดออก ทั้งยังเลือกแต่ส่วนที่อ่อนที่สุด เห็นอยู่เต็มตะกร้าเช่นนี้ อย่างมากก็ทำได้แค่อาหารหนึ่งมื้อเท่านั้นเจ้าค่ะ”

“ฮูหยินสามมีน้ำใจโดยแท้”

“ท่านหมอซู ฮูหยินสามต้องการผักเหล่านี้โดยเร็ว ข้าขอตัวก่อน”

อาเม่ยเดินไปไกลแล้ว เฉียวจือซูยังคงก้มหน้าใคร่ครวญ เมื่อครู่หินที่เขาใช้ปาจุดจู๋ซานหลี่ของสาวใช้วางราบอยู่กลางหญ้าอ่อนที่เพิ่งแตกหน่อ เสมือนมันอยู่ที่นั่นเสมอมา เขาเก็บหินขึ้นมาขัดถูอย่างเชื่องช้าก่อนเขวี้ยงออกไป หินลอยเป็นเส้นโค้งงดงามกลางอากาศ มุมปากเฉียวจือซูยกยิ้มเป็นเส้นโค้งน่าชมเช่นเดียวกัน ได้ยินเพียงเสียงจ๋อม ในบ่อน้ำมีคลื่นน้ำแผ่ออกเป็นวงชั้นแล้วชั้นเล่า

เฉียวจือซูเดินไปทางเรือนหลันซีเช่นเดียวกัน แต่เดินโดยใช้อีกทางหนึ่ง ทางสายนี้ตรงไปยังด้านหลังของเรือนหลันซี ประตูหลังเรือนหลังนี้ปิดสนิทแน่นหนา เฉียวจือซูทะยานขึ้นไปบนกำแพงอย่างแผ่วเบา ยามนี้อาเม่ยกำลังยื่นตะกร้าใส่ผักอวิ๋นไถอยู่เต็มให้สาวใช้นางหนึ่ง

“ฮูหยินสามเล่า” อาเม่ยถามขึ้น

“ฮูหยินสามไปหาหมอที่สำนักซิ่งหลิน” สาวใช้นางนั้นตอบ “ฮูหยินสามบอกว่าวันนี้อากาศดี ให้ข้านำเมล็ดเจวี๋ยหมิงไปตากแห้งให้หมด พอดีเลย ข้าตามไปพร้อมกับท่านแล้วกัน” นางกล่าวพลางชี้กระชอนใหญ่บนพื้นที่อยู่ไม่ไกลนัก กระชอนนั้นเดิมไว้ใช้แยกข้าวสาร ยามนี้กลับมีเมล็ดเล็กๆ ขนาดเท่าถั่วเขียวสีแดงน้ำตาลและสีน้ำตาลเข้มบรรจุอยู่เต็ม มองจากที่ไกลดูเหมือนเมล็ดเจวี๋ยหมิงอย่างที่สาวใช้คนนั้นพูดถึง

สองคนพูดคุยสนทนายิ้มร่ากันอีกพักหนึ่ง ก่อนช่วยกันยกกระชอนใหญ่เปิดประตูด้านหลังเรือนเดินออกไป เฉียวจือซูกระโดดลงจากกำแพงอย่างเงียบเชียบ และเดินตามหลังทั้งสองไปจนถึงห้องโถงด้านหลัง

ภายในห้องโถงด้านหลังคือที่ตั้งป้ายบรรพชนของตระกูลถัง รวมทั้งที่ตั้งพระโพธิสัตว์ทองสองสามองค์ซึ่งนำมาจากวัดเทียนไถกั๋วชิ่ง หญิงชราใบหน้าเคร่งเครียดนางหนึ่งกำลังคุกเข่าบนเบาะกลมไหว้พระอย่างเลื่อมใสศรัทธา

นอกห้องโถงด้านหลังมีพื้นที่ว่างแห่งหนึ่ง เป็นพื้นที่เดียวในจวนสกุลถังที่ไม่มีต้นไม้โบราณสูงเทียมฟ้าบดบัง สาวใช้ผู้นั้นกับอาเม่ยวางกระชอนใหญ่ลงบนพื้น จากนั้นเดินเข้าไปภายในห้องโถงด้านหลังอย่างระมัดระวัง กระทั่งหญิงชราสวดมนต์จบรอบหนึ่งถึงเรียกขึ้นอย่างนบนอบ “ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ”

“นางหนูสามให้เจ้ามาตากเมล็ดเจวี๋ยหมิงอีกแล้วหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่าถังเอ่ยกับสาวใช้ผู้นั้นด้วยท่าทางน่าเคารพยำเกรง

“ฮูหยินสามนึกถึงครั้งก่อนตอนที่ท่านหมอหลินกล่าวว่าเมล็ดเจวี๋ยหมิงช่วยบำรุงดวงตา ครั้งนี้จึงใช้ให้ข้าตากมากหน่อย เอาไว้ให้ฮูหยินผู้เฒ่าต้มชาดื่มเจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่าถังได้ยินก็มีสีหน้าอ่อนโยนลงอย่างที่คิด อาเม่ยเห็นรอยยิ้มน้อยๆ ของฮูหยินผู้เฒ่าแล้วก็รีบยุยงอยู่ที่ด้านหนึ่ง “ฮูหยินสามช่างกตัญญูจริงๆ! ฮูหยินสี่หากมีน้ำใจเช่นนี้ก็คง…”

“ไม่ต้องพูดถึงหญิงดวงซวยนั่นกับข้า!” ใบหน้าฮูหยินผู้เฒ่าถังบึ้งตึงอีกหนทันที

อาเม่ยรู้ตัวว่าพลั้งปากจึงรีบเงียบเสียงแล้วถอยไปข้างๆ

ตอนนี้เอง ด้านในเรือนติดกันพลันแว่วเสียงกรีดร้องแหลมสูงเสียงหนึ่ง ฮูหยินผู้เฒ่าถังได้ยินเสียงนี้แล้วทั้งปวดใจและจนปัญญา นางถอนใจเฮือกหนึ่งและถามขึ้น “ตอนนี้ผู้ใดรับใช้ข้างกายชิงเหยียน”

“เมื่อครู่ฮูหยินใหญ่ไล่ทุกคนหมดแล้วเจ้าค่ะ!” อาเม่ยก้มหน้าไม่กล้ามองฮูหยินผู้เฒ่า สาวใช้ข้างกายอีกคนก็หวั่นกลัวก้มหน้างุด

“พวกเจ้าไม่มีผู้ใดสักคนอยู่ข้างกายนางเลยหรือ!” ฮูหยินผู้เฒ่าถังพลันโกรธเกรี้ยว

“ฮูหยินใหญ่ใช้ไม้กวาดตี…” เสียงอาเม่ยเบาลงเรื่อยๆ

“ยังไม่รีบประคองข้าไปดูอีก!” ฮูหยินผู้เฒ่าถังร้อนใจดั่งไฟเผา

ฮูหยินผู้เฒ่าถังและคนอื่นๆ มาถึงเรือนชิงเหยียน เห็นด้านในเรือนมีกลุ่มคนทำอะไรไม่ถูกมุงล้อมเนืองแน่นอยู่ก่อนแล้ว พ่อบ้านเหล่าถังคุกเข่าอยู่ในลานกึ่งกลางเรือนอ้อนวอนขอร้องอย่างสุดความสามารถ “ฮูหยินใหญ่ขอรับ วางมีดลงเถิด เหล่าถังขอร้องท่านล่ะ วางมีดเถิดขอรับ”

เห็นบนเก้าอี้หินกลางลาน ฮูหยินใหญ่เลี่ยวชิงเหยียนผมเผ้ายุ่งเหยิงมือถือมีดหั่นผักยืนแยกเขี้ยวยิงฟันโบกไม้โบกมืออยู่ “น้องสอง เจ้าออกมา ข้ารู้เจ้ามาหาข้า! เจ้าออกมาสิ! ทั้งที่เจ้าเป็นคนแย่งพี่ชายไปแท้ๆ เหตุใดต้องแสร้งทำตัวน่าสงสารอย่างนั้นด้วย ทุกคนบอกว่าข้าทำร้ายเจ้า ข้าทำร้ายเจ้าที่ใดกัน เจ้าพูด เจ้าพูดมาสิ!” นางแผดเสียงแหบพร่า นัยน์ตาเลื่อนลอยเปี่ยมด้วยความสิ้นหวังและพรั่นกลัว

“ออกมา! ออกมา!” นางออกแรงฟันอากาศ ประหนึ่งตรงนั้นมีคนผู้หนึ่งยิ้มเย็นมองดูนางอยู่จริงๆ

“ชิงเหยียน!” ฮูหยินผู้เฒ่าถังเจ็บปวดดวงใจอย่างที่สุด โดยไม่สนคนรอบตัวห้ามปราม นางก็เดินโขยกเขยกไปที่ข้างเก้าอี้หิน “การตายของนางหนูสองหาได้เป็นเพราะเจ้า แต่เป็นเพราะข้า ลงมา! ฟังแม่ก่อน ลงมาเถิด!”

เลี่ยวชิงเหยียนหยุดแขนที่กำลังปัดป่าย จ้องฮูหยินผู้เฒ่าถังนิ่งงัน

“ชิงเหยียน ข้าเอง! แม่เอง!”

“แม่?” นางทวนซ้ำเสียงหนึ่ง

ฮูหยินผู้เฒ่าถังคิดว่าในที่สุดเลี่ยวชิงเหยียนก็จดจำนางได้ นางพยักหน้าตรงๆ อย่างซาบซึ้งใจ

“ไม่ เจ้าไม่ใช่ท่านแม่!” จู่ๆ เลี่ยวชิงเหยียนก็แผดเสียงร้อง “เจ้าคือน้องสอง! เจ้าคือน้องสอง เจ้าแสร้งเป็นท่านแม่มาหลอกข้า! เจ้าต้องการแย่งพี่ชาย แย่งท่านแม่ไป! ข้าจะฆ่าเจ้า ฆ่าเจ้า!” นางกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง ฉับพลันก็เงื้อมือทั้งสองข้างขึ้นแล้วกระโดดลงมา มีดหั่นผักในมือขวาฟาดฟันตามลงมาด้วย

“ฮูหยินผู้เฒ่า!”

“สวรรค์!”

“ช่วยฮูหยินผู้เฒ่าเร็ว!”

เสียงลม เสียงมีด และเสียงร้องตระหนกของคนทั้งหลายดังขึ้นอย่างอลหม่าน…

จู่ๆ ฮูหยินผู้เฒ่าก็รู้สึกว่าสรรพเสียงราวกับลอยห่างไปไกลยิ่ง ขณะที่มีดประกายวิบวับตรงหน้า รวมถึงรอยยิ้มประหลาดที่ดูแสนสุขทว่าความจริงทุกข์ระทมเหยียดออกมากขึ้นเรื่อยๆ ถาโถมจากเบื้องหน้าเข้ามา

สายลมเย็นเยียบคล้ายกรีดผ่านข้างลำคอไป ฮูหยินผู้เฒ่าถังเห็นใบไม้ถูกฟันเป็นสองซีกลอยผ่านสายตา จากนั้นใต้เท้าก็อ่อนยวบ ฟ้าดินมืดมิดลงทันใด ก่อนหมดสติไปนางคล้ายมองเห็นผมสีเทาทอประกายแวววับ

บทที่แปด

เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าฟื้นขึ้นมาก็มองเห็นใบหน้าเป็นห่วงเป็นใยของถังเหอ

“ท่านแม่!” ถังเหอร้องเสียงค่อยคำหนึ่ง “ยังมีที่ใดที่ไม่สบายอีก”

“เพียะ!” เสียงตบหน้ากังวานใสดังขัดวาจาของถังเหอ

“ท่านแม่!” ถังเหอกุมแก้มซีกซ้ายอย่างตกตะลึง

“เจ้ามันลูกทรพี หากมิใช่เจ้า ชิงเหยียนจะกลายเป็นเช่นนี้รึ?!” ฮูหยินผู้เฒ่าถังโมโหจนไม่อาจระงับ

“ท่านแม่ เรื่องนี้ผ่านไปแล้ว ครั้งหน้าข้าส่งนาง…”

“เจ้ายังคิดส่งนางไปที่ใดอีก!” ฮูหยินผู้เฒ่าถังตวาดขึ้นมา

ถังเหอเห็นฮูหยินผู้เฒ่าถังเกิดโทสะ จึงได้แต่รับปากอยู่ด้านข้าง “ไม่ไปที่ใดทั้งนั้นขอรับ ให้พักอยู่ในเรือนชิงเหยียน!”

“ข้าไม่เชื่อ! ข้าจะพบนางเดี๋ยวนี้!”

“ท่านแม่ เป็นความจริง น้องอยู่ที่เรือนชิงเหยียน!”

“แล้วเหตุใดไม่ให้ข้าพบ!”

“ตอนนี้นางยังไม่สงบ”

“เช่นนั้นข้ายิ่งต้องไปพบนาง หากนางเป็นอะไรไป ข้าจะมีหน้าลงไปพบน้องสาวข้าได้อย่างไร!” พูดไปพูดมา ฮูหยินผู้เฒ่าถังก็ร่ำไห้

“ท่านแม่ นางไม่มีทางเป็นอะไรหรอกขอรับ หมอซูกำลังรักษานางอยู่”

ฮูหยินผู้เฒ่าถังหยุดร้องไห้ “ผู้มีพระคุณของนางหนูสี่คนนั้นน่ะรึ”

ในใจถังเหอยังคงหวาดหวั่นไม่หาย “เมื่อครู่หากมิใช่เขาหยุดน้องสาวได้ทันเวลา…”

ฮูหยินผู้เฒ่าถังขบคิดครู่หนึ่งแล้วกล่าว “พูดเช่นนี้ก็นับว่าเขาช่วยข้าไว้น่ะสิ เขาช่วยข้าได้ครั้งหนึ่งแล้วก็ช่วยครั้งที่สองได้ เจ้ากลัวอะไรเล่า พาข้าไปพบชิงเหยียน!”

เฉียวจือซู เจิ้งหนานชิง สี่เอ๋อร์ และพ่อบ้านเหล่าถังทั้งหมดล้วนอยู่ในเรือนชิงเหยียน เฉียวจือซูกำลังฝังเข็มให้เลี่ยวชิงเหยียน คนที่เหลือมองดูอย่างกังวลอยู่ข้างๆ เห็นเฉียวจือซูแทงเข็มบางลงไปหนึ่งชุ่นที่จุดเสินเหมินซึ่งอยู่ตรงจุดพับข้อมือฝั่งนิ้วก้อยของเลี่ยวชิงเหยียนอย่างสงบนิ่ง จุดเสินเหมินเป็นจุดพลังชีวิตของเส้นลมปราณมือเส่าอินหัวใจ ซึ่งเชื่อมโดยตรงกับชีพจรหัวใจ ช่วยรักษาอาการจิตใจกระสับกระส่าย คลุ้มคลั่ง เฉียวจือซูยังฝังที่จุดชิงเหลิ่งยวนอีกเข็มหนึ่ง จุดชิงเหลิ่งยวนยังมีอีกชื่อว่าชิงเหลิ่งเฉวียนอยู่ในตำแหน่งเหนือสะดือสองชุ่น เป็นส่วนหนึ่งของเส้นลมปราณมือเส่าหยางซานเจียว ช่วยขับระบายเลือดลมอินและหยางในเส้นลมปราณซานเจียวได้ รักษาผู้มีอาการปวดศีรษะ เฉียวจือซูปั่นปลายเข็มอย่างเบามือ ก่อนจะเห็นคิ้วที่มุ่นเป็นปมของเลี่ยวชิงเหยียนคลายออก ขจัดอาการปวดหัวจากอาการเสียสติออกไปได้พอดี

จากนั้นเขาจึงนำแท่งอ้ายจู้ขึ้นมาแท่งหนึ่ง แท่งอ้ายจู้คือแท่งกระดาษสีขาว ด้านในห่อก้อนอ้ายหรงและม้วนเป็นแท่งยาว เจิ้งหนานชิงเห็นแค่เขาใช้กลักจุดไฟจุดแท่งอ้ายจู้ และใช้มือซ้ายยกมือเลี่ยวชิงเหยียนขึ้น ใช้แท่งอ้ายจู้เผารมช่องระหว่างนิ้วทั้งสิบของนาง

เจิ้งหนานชิงถามอย่างสงสัย “ผู้มีพระคุณ นี่คือการทำอะไร” เจิ้งหนานชิงถามเช่นนี้พาให้เหล่าถังที่เฝ้าดูอยู่ตื่นตัวทันตา ด้วยกลัวเขาจะเผาลวกมือเลี่ยวชิงเหยียน

“วางใจได้ ไฟบนแท่งอ้ายจู้นี้ยังลวกไม่ถึงมือนาง” ประหนึ่งอ่านจิตใจเหล่าถังออก เฉียวจือซูเอ่ยราบเรียบ ก่อนงอข้อมือขวาทันที แท่งอ้ายจู้ในมือจี้มือเลี่ยวชิงเหยียนเบาๆ เลี่ยวชิงเหยียนราวถูกคนตีหนหนึ่ง กล้ามเนื้อหดเกร็งทั่วกาย จู่ๆ ก็ส่งเสียงร้องออกมา

เหล่าถังก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่งทันที ตัดสินใจว่าหากเขากระทำเช่นนี้อีกครั้งก็จะดึงเขาออก

“อย่าขยับ! ถ้าเจ้าเข้าใกล้อีกก้าว ข้าก็ช่วยนางไม่ได้แล้ว!” แผ่นหลังเฉียวจือซูราวกับมีดวงตา เอ่ยเสียงเย็นเยียบ

เหล่าถังตกใจอย่างยิ่ง เขาชะงักเท้ากึก

ยามนี้เฉียวจือซูก็ค่อยๆ ยกแท่งอ้ายจู้ขึ้นไปจ่อนิ้วทั้งสิบของเลี่ยวชิงเหยียนและรมไปมาในแนวดิ่ง คนทั้งหมดไม่เข้าใจสาเหตุพากันถลึงตาโต เห็นเพียงเลี่ยวชิงเหยียนซึ่งแม้นิ้วมือจะมิได้สัมผัสกับเปลวไฟของแท่งอ้ายจู้โดยตรง ทว่าอารมณ์บนใบหน้ากลับทุกข์ทรมานขึ้นทุกขณะ ราวกับกำลังถูกฉีกทึ้ง หน้าผากก็มีเหงื่อเย็นผุดพราย

“อ๊า!” นางกรีดร้องอีกเสียง พลางเริ่มดิ้นสะบัด

“กดนางไว้!” เฉียวจือซูสั่ง

เหล่าถังได้สติ รีบโผเข้าไปกดเท้าที่ดิ้นสะเปะสะปะของเลี่ยวชิงเหยียน

คนทั้งหมดตื่นตกใจทว่ากลับไม่มีใครกล้าปริปาก กระทั่งแท่งอ้ายจู้ไหม้หมดถึงได้สติกลับมา เลี่ยวชิงเหยียนหลังผ่านการดิ้นสะบัดพลิกตัวไปมาและครวญเสียงต่ำแล้ว ในที่สุดก็หลับไปอย่างช้าๆ

เจิ้งหนานชิงจดจ้องสีหน้าหลับอย่างสงบของเลี่ยวชิงเหยียนที่แตกต่างกับเมื่อครู่ดุจคนละคนอย่างเป็นกังวล ก่อนจะถามขึ้น “ผู้มีพระคุณ พี่หญิงเป็นอย่างไรบ้าง”

เฉียวจือซูคลี่ยิ้มบาง หันไปเอ่ยกับเหล่าถัง “อีกหนึ่งชั่วยามฮูหยินใหญ่จะฟื้น รบกวนพ่อบ้านถังไปตามใต้เท้าถังมาด้วย”

เหล่าถังระบายลมหายใจโล่งอก และถอยออกไป

เฉียวจือซูเห็นเหล่าถังเดินไปไกล จึงค่อยหันหน้าไปถามเจิ้งหนานชิง “ตอนนี้นางใช้ยาอะไรอยู่”

“กานม่าย กานม่าย…” สี่เอ๋อร์เอ่ยถึงครึ่งหนึ่งก็เอ่ยไม่ออก

“ตำรับยากานม่ายต้าเจ่าทังใช่หรือไม่” เฉียวจือซูกล่าว

“ใช่เจ้าค่ะ ใช่!” สี่เอ๋อร์รีบพยักหน้า พลางเอ่ยอย่างเลื่อมใส “ท่านหมอซู ไฉนท่านจึงรู้ไปเสียทุกอย่าง”

อารมณ์ของเฉียวจือซูมิได้ผ่อนคลายลงเพราะประโยคนี้ของสี่เอ๋อร์ ตรงกันข้ามกลับหนักอึ้งขึ้นมาก เจิ้งหนานชิงเห็นท่าทีเช่นนี้ของเขาแล้วในใจพลันตื่นตระหนก เอ่ยถามออกไป “ยามีปัญหาอะไรหรือ โรคของพี่หญิงรักษาหายสนิทได้หรือไม่”

“หากนางไม่ใช้ยานี้อีก ยังจะมีโอกาสรักษาหายขาดได้” เฉียวจือซูพูดเสียงหนัก

“ท่านหมอซูพูดอะไร ไม่กินยานี้ โรคมิใช่ทรุดลงหรือ จะรักษาให้หายสนิทได้อย่างไร” สี่เอ๋อร์ได้ฟังก็ประหลาดใจ

เจิ้งหนานชิงกลับฟังความนัยของวาจาเขาออก นางตกตะลึงพรึงเพริด ก่อนจะถามขึ้น “ท่านกำลังบอกว่ามีคนลอบใช้วิธีสกปรก ต้องการให้พี่หญิงใหญ่รักษาไม่หาย?”

เฉียวจือซูผงกศีรษะเล็กน้อยอย่างสุขุม

“คนผู้นี้คือ…”

“ฮูหยินสี่อย่าได้เป็นกังวล สุดท้ายคนผู้นี้จะกระโดดออกมาเอง” เฉียวจือซูหยักยิ้มมุมปากอย่างมั่นอกมั่นใจ ภายในแววตาเผยประกายอำมหิตวูบหนึ่ง

เจิ้งหนานชิงแม้เชื่อครึ่งสงสัยครึ่ง แต่ยังคงเอ่ยจริงจัง “หากผู้มีพระคุณต้องการสิ่งใด หนานชิงจะช่วยเหลือจนสุดความสามารถ”

เฉียวจือซูคลี่ยิ้มน้อยๆ หันไปมองสี่เอ๋อร์ “ตลอดมามิใช่แม่นางสี่เอ๋อร์เป็นห่วงสัญญาสามวันของข้ากับใต้เท้าถังหรอกหรือ”

สี่เอ๋อร์พยักหน้าทันใด “ใช่เจ้าค่ะๆ ท่านหมอซู ตอนนี้เหลืออีกเพียงวันเดียวแล้วนะเจ้าคะ”

“เช่นนั้นขอแม่นางสี่เอ๋อร์บอกกล่าวฉินมามาให้แสร้งทำเป็นไม่ทันระวัง เทสมุนไพรดิบลงพื้น แล้วพรุ่งนี้ให้ไปซื้อยาที่สำนักซิ่งหลินใหม่”

“อะไรนะเจ้าคะ!” สี่เอ๋อร์ยังเรียบเรียงความคิดไม่ทัน

“อีกอย่าง ตอนที่ฉินมามาไปซื้อยาให้ฮูหยินสี่ ให้นางซื้อเพิ่มอีกเทียบหนึ่งด้วย” กล่าวไป เฉียวจือซูก็เดินไปยังข้างโต๊ะ เขียนตำรับยา ‘ลูกกลอนเหมิงสือกุ่นถานหวัน’ อย่างว่องไว

สี่เอ๋อร์ยังอยากถามอีก กลับได้ยินเสียงฮูหยินผู้เฒ่าถังแว่วมาจากนอกประตู “ชิงเหยียน!”

ทั้งสามคนหันหน้าไปพร้อมกัน เห็นถังเหอประคองฮูหยินผู้เฒ่าถังข้ามธรณีประตูเข้ามา ส่วนเหล่าถังก้มศีรษะอย่างนบนอบอยู่ที่ด้านหลังของพวกเขาทั้งคู่ คาดว่าเหล่าถังได้รายงานสถานการณ์ที่นี่ต่อคนทั้งสองแล้ว

เจิ้งหนานชิงเรียกขาน “ท่านแม่” อย่างเคารพคำหนึ่ง ก่อนถอยไปอีกด้าน และไม่กล่าวอีกแม้แต่ประโยคเดียว

ถังเหอมองเจิ้งหนานชิงแวบหนึ่ง ก่อนมองดูเฉียวจือซู แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไร ฮูหยินผู้เฒ่าถังกลับเดินตรงไปข้างเตียง สิ่งแรกที่ทำคือจับมือเลี่ยวชิงเหยียนพลางปาดน้ำตาสองสามหน แล้วเงยหน้าขึ้นมองหาเฉียวจือซู “เจ้าก็คือหมอซูผู้นั้น?”

“เป็นผู้น้อยขอรับ!”

ฮูหยินผู้เฒ่าพิจารณาเขาจากหัวจรดเท้ารอบหนึ่ง “ได้ยินว่าเจ้าช่วยชีวิตข้า”

น้ำเสียงนางไม่ลดความยโสลงเลย ราวกับการที่เฉียวจือซูช่วยนางไว้นั้นเป็นเรื่องที่ชอบด้วยเหตุผล แม้แต่เจิ้งหนานชิงได้ยินยังรู้สึกกระอักกระอ่วน ทว่าเฉียวจือซูกลับนิ่งสบายเป็นธรรมชาติยิ่ง “หากพบขอทานคนหนึ่งตกอยู่ในอันตราย ผู้แซ่ซูย่อมเข้าช่วยเช่นกัน”

ฮูหยินผู้เฒ่าถังคิดไม่ถึงว่าหมอต่ำต้อยไร้ชื่อเสียงจะเปรียบตนเองกับขอทาน นางโมโหจนใบหน้าเขียวคล้ำ

เจิ้งหนานชิงรีบร้อนคลี่คลายสถานการณ์ “ท่านแม่ เมื่อครู่ผู้มีพระคุณบอกว่าโรคของพี่หญิงรักษาหายขาดได้เจ้าค่ะ”

เฉียวจือซูยิ้มน้อยๆ “แน่นอนว่าได้”

“อ้อ โรคที่แม้แต่หมอหลินยังรักษาไม่ได้ ทว่าหมอซูกลับรักษาได้! ข้านั้นอยากจะชมดูเสียหน่อย” น้ำเสียงแปลกพิกลเสียงหนึ่งดังลอยมา ทุกคนหันมองออกไปด้านนอก ไม่รู้ฮูหยินสามเฮ่อหลันซีเข้ามาในห้องตั้งแต่เมื่อใด ซ้ำยังไปยืนด้านหลังฮูหยินผู้เฒ่าอย่างรู้ทัน ทีแรกฮูหยินผู้เฒ่ายังพอเชื่อเฉียวจือซูอยู่บ้างเล็กน้อย พอได้ยินเฮ่อหลันซีกล่าวเช่นนี้ ใบหน้าก็ปรากฏสีหน้าระแวงขึ้นมา

ถังเหอเห็นว่าพายุหอบหนึ่งตั้งท่าก่อตัวจึงชิงถาม “เจ้าพูดจริงหรือว่าสามารถรักษานางให้หายได้”

เฉียวจือซูยิ้มเอ่ย “ไม่เพียงรักษาให้หาย ยังตอบข้อสงสัยของใต้เท้าถังได้อีกด้วย”

ถังเหอย่อมรู้ว่าเขาพูดถึงเรื่องอะไร ไม่รอให้ฮูหยินผู้เฒ่าตอบสนองก็โพล่งขึ้นมาว่า “ดี! ข้าให้โอกาสนี้แก่เจ้า!”

ฮูหยินผู้เฒ่าถังเห็นถังเหอประกาศเช่นนี้แล้ว ในใจก็รู้ว่าไม่อาจหักหน้าเขาต่อหน้าคนหมู่มากได้ จำต้องข่มกลั้นโทสะในใจ ขึงตาเหี้ยมให้เฉียวจือซูปราดหนึ่ง แล้วมองไปยังเจิ้งหนานชิงอย่างตักเตือน เฮ่อหลันซีเห็นฮูหยินผู้เฒ่าทวีความรังเกียจเจิ้งหนานชิงก็ยิ่งรู้สึกได้ใจอย่างยิ่ง

เฉียวจือซูจับตามองท่าทางของทุกคนไว้โดยไม่แสดงความรู้สึกใด เขาหันหน้าทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง ภายนอกดำทะมึน เพิ่งฟ้าใสได้วันเดียวก็เริ่มครึ้มฝนอีกแล้ว

วันที่สามเป็นวันที่ฟ้ากลับมาครึ้มอีกครั้ง ในอากาศอบอวลด้วยกลิ่นน้ำฝนที่ทำท่าเหมือนจะตก ไร้ลมพัด กิ่งไม้บนสันกำแพงเลื้อยยาวจรดชายคาห้องยาอย่างเงียบเชียบ มุมหนึ่งนอกห้องยาประดุจภาพวาดหมึกที่เพิ่งลงสีใหม่

ร่างอาเม่ยในชุดหรูฉวินลายดอกไม้เล็กจิ๋วพื้นสีขาวเดินเข้ามาจากโค้งทางเดินตามปกติด้วยฝีเท้าเนิบช้า นางเดินมาถึงหน้าประตู มือกุมสลักประตูเอาไว้ ทว่ากลับหยุดเท้า ท่าทางนางเปลี่ยนเป็นประหม่ากะทันหัน กวาดตามองรอบทิศอย่างตื่นตัว ด้านนอกห้องยาเงียบสงัด กระทั่งเสียงนกขับขานยังเหมือนสูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย นางพรูลมหายใจเบาๆ แล้วผลักประตูออกอย่างเนิบช้า

เอี๊ยด…เสียงสลักประตูขยับเป็นท่วงทำนองไม่รื่นหูอย่างยิ่ง ราวกับบุกเข้าไปอย่างกะทันหันในพื้นที่เงียบสงัดแห่งหนึ่ง อาเม่ยพลอยใจเต้นตึกๆ จากนั้นนางก็ก้าวเข้าไปในห้อง มองด้านนอกอย่างระวังตัวอีกรอบก่อนปิดประตูอย่างระมัดระวัง

ในห้องยามีตู้สีดำเป็นมันอยู่ห้าตู้ เป็นที่เก็บยาในจวนสกุลถังสำหรับถังเหอ มารดาของถังเหอ รวมทั้งฮูหยินทั้งหลาย จากซ้ายไปขวาแบ่งเป็นตู้ยาของถังเหอ ฮูหยินผู้เฒ่าถัง ฮูหยินสาม และฮูหยินสี่ อาเม่ยหยุดชะงักเล็กน้อย ฉับพลันหันไปทางตู้ยาทางด้านขวาสุด จากนั้นนางค่อยๆ เปิดลิ้นชักยาอย่างระมัดระวัง ก่อนหยิบห่อเล็กห่อหนึ่งออกมาจากอก

ปัง! ประตูถูกผลักเข้ามาอย่างแรงกะทันหัน “อาเม่ย เจ้ากำลังทำอะไร!” เสียงตวาดกร้าวเสียงหนึ่งดังขึ้น ก่อนที่ถังเหอจะเดินเข้ามา

ชั่วพริบตาที่อาเม่ยหมุนตัวไปอย่างตกตะลึง มือก็สั่นจนห่อเล็กในมือร่วงลงพื้น เมล็ดสีแดงน้ำตาลและสีน้ำตาลเข้มขนาดเท่าเมล็ดถั่วเม็ดแล้วเม็ดเล่าพลันกลิ้งออกมา

“ใต้เท้า!” อาเม่ยขาอ่อน คุกเข่าเสียงดังโครมกับพื้น

“นี่คืออะไร!” ถังเหอพูดอย่างเกรี้ยวกราด

“เมล็ดเจวี๋ย…เมล็ดเจวี๋ยหมิงเจ้าค่ะ” อาเม่ยพูดเสียงสั่น

“เมล็ดเจวี๋ยหมิง?” แววตาคมกริบดุจกระบี่ของถังเหอปราดมองนาง นางเสียขวัญจนเนื้อตัวสั่นเทิ้มขึ้นมา

“เจ้าดูว่าคืออะไร” ถังเหอใช้สายตาแสดงท่าทีให้เฉียวจือซูที่อยู่ด้านหลัง

เฉียวจือซูเก็บเมล็ดขึ้นมาดม แล้วเอ่ยว่า “สิ่งนี้แม้คล้ายเมล็ดเจวี๋ยหมิงก็จริง ทว่าไม่ใช่เมล็ดเจวี๋ยหมิง แต่เป็นเมล็ดอวิ๋นไถขอรับ”

“เมล็ดอวิ๋นไถ?” อาเม่ยร่างกายสั่นสะท้าน ราวกับบทสรุปนี้ทำให้นางเสียขวัญยิ่งแล้ว

ถังเหอได้ยิน ‘เมล็ดอวิ๋นไถ’ สี่พยางค์ก็บังเกิดโทสะทันที “อาเม่ย เจ้าช่างบังอาจนัก เจ้ากล้าทำร้ายฮูหยินสี่ กล้าปองร้ายให้ข้าไร้ผู้สืบสกุล! ใครก็ได้ มาลากตัวนางออกไป!”

“ใต้เท้าถังอย่าเพิ่งใจร้อนไปขอรับ!” เฉียวจือซูมองออกว่าอาเม่ยหาได้รู้เรื่องราวทั้งหมด เขารีบเข้าไประงับหยุดยั้ง

ถังเหอไหนเลยจะฟังเข้าหู เขาหันไปสั่งคนรับใช้ “ยังไม่รีบลากนางไปตีให้ข้าอีก!”

อาเม่ยประหนึ่งเพิ่งตื่นจากฝัน นางร้องขึ้นเสียงดัง “ไม่ ไม่ใช่นะเจ้าคะ! นี่คือเมล็ดเจวี๋ยหมิง หาใช่เมล็ดอวิ๋นไถ! ฮูหยินสา…”

“ผู้ใดกล้าตีอาเม่ย” แม้น้ำเสียงแหบพร่า แต่ได้ยินแล้วกลับน่าเกรงขามยิ่ง พาให้คนรับใช้ทั้งหมดหยุดฝีเท้าโดยไม่รู้ตัว

อาเม่ยเห็นฮูหยินผู้เฒ่าถังที่พาฮูหยินสามเฮ่อหลันซีมาปรากฏตัวด้วย จึงรีบร้อนทั้งคลานทั้งกลิ้งโถมเข้าไปหา “ฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินสาม อาเม่ยไม่รู้ อาเม่ยไม่รู้อะไรทั้งนั้นนะเจ้าคะ!”

“เหตุใดเจ้าต้องตีอาเม่ย แม้แต่สาวใช้ข้างกายผู้ชราเช่นข้ายังขัดหูขัดตาเจ้าอีกหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่าถังเคาะไม้เท้าเสียงดังลั่น

“ท่านแม่ อย่าโมโหจนเสียสุขภาพไปเลยเจ้าค่ะ!” เฮ่อหลันซียุ่งง่วนกับการตบหลังให้นาง

“ท่านแม่! สาวใช้นางนี้ใส่เมล็ดอวิ๋นไถในซื่ออู้ทังของหนานชิง ถึงได้ทำให้นางไม่ตั้งครรภ์”

“นี่มันเมล็ดอวิ๋นไถอันใดกัน! นี่มันเมล็ดเจวี๋ยหมิงชัดๆ! อาเม่ยจะใส่เมล็ดเจวี๋ยหมิงที่นางหนูสามเป็นคนตากแดดให้ในตู้ยาข้า นี่ยังมีความผิดด้วยหรือ!” ฮูหยินผู้เฒ่าถังกล่าวด้วยโทสะ “นางจิ้งจอกตัวนั้นมีลูกเองไม่ได้แท้ๆ ยังจะมาเอ่ยถึงเมล็ดอวิ๋นไถอะไรอีก!”

“หากนางต้องการใส่ยาให้ท่านจริง เหตุใดต้องเปิดลิ้นชักหนานชิงด้วยเล่า” ถังเหอชี้ไปยังลิ้นชักเดียวในห้องที่ถูกเปิดออกด้วยสีหน้าเคร่งขรึม นั่นคือตู้ยาของเจิ้งหนานชิง

ฮูหยินผู้เฒ่าถังนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ นางเองก็สงสัยเล็กๆ ขึ้นมาเช่นกัน

“ท่านแม่ ข้าว่าอาเม่ยต้องได้ยินฉินมามาบอกว่าเมื่อวานบ่ายทำยาของน้องหญิงสี่หก ยามนี้จึงมาตรวจดูว่าฉินมามาซื้อมาแล้วหรือยัง อาเม่ยรับใช้ท่านนานปี รู้ว่าท่านต้องการอุ้มหลานถึงได้กังวลแทนน้องหญิงสี่เป็นพิเศษ” เฮ่อหลันซีรีบคลี่คลายสถานการณ์แทนอาเม่ย “หากท่านสงสัย ตามฉินมามาเข้ามาถามก็ทราบแล้วเจ้าค่ะ”

อาเม่ยรีบร้อนพยักหน้าระรัว “ใช่เจ้าค่ะๆ ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านก็รู้ว่าฉินมามาบางครั้งก็เลอะเลือน ข้าแค่จะดูว่าได้ซื้อยานี้กลับมาแล้วหรือไม่”

ในเมื่อต่างมีเหตุผลของตนเอง ฮูหยินผู้เฒ่าถังย่อมต้องตามฉินมามาเข้ามาตรวจสอบ ฉินมามาได้รับการกำชับจากเฉียวจือซูก่อนแล้ว จึงเล่าเรื่องที่ตนทำยาหล่นก่อนไปซื้อยาอีกรอบออกมาอย่างละเอียดตั้งแต่ต้นจนจบ ถึงตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่าถังยิ่งเชื่อคำพูดอาเม่ยอย่างลึกซึ้งโดยไร้ข้อสงสัย นางแค่นเสียงเย็นเอ่ยกับถังเหอ “เจ้าได้ยินแล้วนี่ อาเม่ยทำเพื่อนางจิ้งจอกตัวนั้น มิได้ทำร้ายนางเสียหน่อย” กล่าวไปนางก็ขึงตาเหี้ยมใส่เฉียวจือซูแวบหนึ่ง หันไปด้านหลังเล็กน้อยพูดกับถังเหอ “หากไม่มีเรื่องราวก็อย่าฟังคำพูดประหลาดจากคนไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าพวกนี้”

ถังเหออับจนคำพูดไปชั่วขณะ หันมองเฉียวจือซู

“ที่แท้ผู้ที่กินเมล็ดอวิ๋นไถก็คือฮูหยินผู้เฒ่า?” เฉียวจือซูหัวเราะเสียงเย็น

“ว่ากระไรนะ!” ฮูหยินผู้เฒ่าถังโมโหดาลเดือด

“เมล็ดพวกนี้คือเมล็ดอวิ๋นไถ ในเมื่อมิใช่ให้ฮูหยินสี่กิน ก็ย่อมให้ฮูหยินผู้เฒ่ากิน แต่ไม่รู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากินเมล็ดอวิ๋นไถเพราะเหตุใดกัน”

“เมล็ดอวิ๋นไถอะไร นี่เป็นเมล็ดเจวี๋ยหมิงที่นางหนูสามตากให้ข้า!” ฮูหยินผู้เฒ่าถังเอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยว

ได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าถังพูดคำนี้ เฮ่อหลันซีพลันหน้าซีดเผือด สัมผัสได้ถึงแววตาเย็นชาอันเข้มงวดของถังเหอถลึงมองมาทางตนเอง นางจึงลนลานแก้ต่าง “นี่ก็คือเมล็ดเจวี๋ยหมิง หากใต้เท้าไม่เชื่อ สามารถเชิญตู้จื่อเฟยแห่งสำนักซิ่งหลินมาแยกแยะจริงเท็จได้”

“ไฉนจึงไม่ให้ท่านหมอหลินเต๋ออีมาแยกแยะจริงเท็จเล่า” เฉียวจือซูถามต่อ

“หมอหลินยุ่งเกินไป ไฉนเลยจะมีเวลาสนใจเรื่องเหล่านี้!” เฮ่อหลันซียังคงปากแข็ง ดึงฮูหยินผู้เฒ่าถังไว้ แล้วเอ่ย “ท่านแม่ ท่านอย่าได้ฟังคนต่างถิ่นผู้นี้กล่าววาจาเพ้อเจ้ออีกเลย พี่หญิงตอนนี้ถูกเขาทำร้ายจนต้องนอนอยู่เลยนะเจ้าคะ! เขากับน้องหญิงสี่อาจจะนัดแนะกันมาแล้วก็ได้”

ฮูหยินผู้เฒ่าถังได้ฟังสีหน้าพลันแปรเปลี่ยนไปทันใด พลางเอ่ยกระแทกเสียง “เจ้าเป็นใครกันแน่ เหตุใดต้องทำร้ายชิงเหยียน นางหนูสี่สั่งให้เจ้าทำใช่หรือไม่ เจ้ากับนางมีความสัมพันธ์อะไรกันแน่ ผู้มีพระคุณ? หมอเทวดาอะไรนั่นก็คงกุขึ้นมาส่งเดชทั้งนั้นกระมัง อย่าคิดว่าข้าแก่แล้วมองไม่ออก ข้าขอบอกเจ้าไว้เลย ดวงตาข้ายังแจ่มชัดยิ่งนัก!”

ถังเหอฟังออกว่าถ้อยคำนี้มีความหมายแฝงอยู่ สีหน้าเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก “ท่านแม่ ที่ท่านพูดหมายความว่าอย่างไร”

“หมายความว่าอะไร” ฮูหยินผู้เฒ่าถังชายตามองเฉียวจือซูแวบหนึ่งอย่างเหยียดหยาม “เอาตัวนางจิ้งจอกนั่นออกมา!”

ไม่นานนัก คนรับใช้สองสามคนก็ลากเจิ้งหนานชิงที่มีสภาพอ่อนโรยเข้ามาในห้อง ถังเหอเห็นเจิ้งหนานชิงปล่อยผมสยาย ใบหน้าสีขาวเนียนแต่เดิมบวมแดง เห็นได้ชัดว่าถูกคนตบมา ก็ปวดใจสุดแสนทันที

“เหล่าถังเจ้าพูด!” แต่แล้วน้ำเสียงเด็ดขาดของฮูหยินผู้เฒ่าถังก็หยุดยั้งฝีเท้าของถังเหอที่จะก้าวไปหาเจิ้งหนานชิง

“ใต้เท้าขอรับ วันนั้นท่านให้ข้าจับตาดูฮูหยินสี่ ข้าเห็นฮูหยินกับคนแซ่ซูผู้นี้กอดกัน แต่ภายหลังเกิดเรื่องเมล็ดอวิ๋นไถขึ้น ข้า ข้าจึงไม่ได้บอกกับท่านขอรับ” เหล่าถังกล่าวเสียงค่อย โดยไม่กล้าเงยหน้ามองถังเหอ

สีหน้าถังเหอในยามนี้ดูมิต่างจากถูกคนตบบ้องหู ฮูหยินผู้เฒ่าถังประเดี๋ยวร้องไห้ประเดี๋ยวถอนใจไม่หยุด “บุรุษพเนจรไม่รู้ที่มาที่ไปผู้นี้ต้องการทำลายบ้านสกุลถังของพวกเรา! ไม่เพียงล่อลวงฮูหยินสี่ยอดดวงใจของเจ้า ยังทำให้ชิงเหยียน…ชิงเหยียนนางตอนนี้ยังไม่ฟื้น หนึ่งวันหนึ่งคืนไปแล้ว ไม่รู้เขาใช้วิธีมารอันใด เมื่อครู่แม้พวกเราจะใช้น้ำแกงโสมป้อนนางก็ไม่ตื่น!”

“น้ำแกงโสม?!” เฉียวจือซูสีหน้าแปรเปลี่ยนไปทันตา ทั้งยังหัวเราะลั่นออกมากะทันหัน “ฮ่าๆ ฮูหยินผู้เฒ่า ลูกสะใภ้คนดีของท่านคงได้ตายจริงแล้วล่ะ ทั้งยังตายด้วยน้ำมือของท่าน!”

ฮูหยินผู้เฒ่าตกใจจนหน้าถอดสี ตะคอกว่า “เจ้าคนต่ำช้า พูดเหลวไหลกระไร!”

“หรือว่ามิใช่ขอรับ เห็นได้ชัดว่าฮูหยินใหญ่ลมปราณอุดตันทรวงอก ไฟเสมหะรบกวนจิตใจ ใช้การระบายเป็นดี ท่านไม่เพียงไม่ขับระบาย ยังจะใช้น้ำแกงโสมอีก หากมิใช่ทำร้ายนางแล้วยังจะเป็นอะไรได้” เฉียวจือซูเอ่ย

“ท่านแม่ใช้น้ำแกงโสมเพื่อบำรุงพลังชีวิตของพี่หญิงใหญ่” เฮ่อหลันซีรีบพูด

“ที่แท้เป็นความคิดของท่านหรือความคิดของฮูหยินผู้เฒ่ากันแน่” ประโยคนี้ของเฉียวจือซูพาให้เฮ่อหลันซีพูดไม่ออก เขาหันหน้ามองไปทางถังเหออย่างสงบนิ่งเยือกเย็น ถังเหอก็กำลังมองเขาอย่างเชื่อครึ่งสงสัยครึ่ง ก่อนขยับมุมปากเล็กน้อยคล้ายต้องการกล่าวอะไร ทว่าเฉียวจือซูกลับเปล่งวาจารวดเร็วกว่าเขา “ใต้เท้าถังไม่เชื่อข้าได้ แต่ควรจะเชื่อภรรยาของตนเองยิ่งกว่าผู้ใด”

ถังเหอพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ได้แต่จ้องมองเจิ้งหนานชิงอย่างปวดใจและทุกข์ระทม ส่วนฝ่ายหลังกลับเบือนหน้าไปไม่ยอมมองเขา

“หากข้าทำให้ฮูหยินใหญ่ตื่นขึ้นในเวลาสี่กำนธูปได้ ก็จะพิสูจน์ว่าคำพูดของข้าเป็นความจริง และคนที่ทำร้ายฮูหยินใหญ่คือผู้อื่น”

“ท่านแม่ อย่าฟังเขา…”

“แค่เวลาสี่ก้านธูปก็ตรวจสอบได้ว่าสิ่งที่ข้าพูดเป็นความจริงหรือเป็นเท็จ ฮูหยินสามไม่กล้าหรือขอรับ”

“เจ้าอย่ามาใส่ร้ายยุยง! ท่านแม่ ท่านอย่าเชื่อเขา!”

“หากภายในชั่วสี่ก้านธูปฮูหยินใหญ่ไม่ฟื้น ข้ายอมให้จัดการได้ตามต้องการ ฮูหยินผู้เฒ่า ยามนี้ทำร้ายฮูหยินใหญ่ไปก็หาได้มีประโยชน์อะไรกับข้า แต่หากยังไม่ลงมือช่วยอีก เกรงว่าถึงหวาถัว กลับมาเกิดก็คงไร้กำลังเปลี่ยนลิขิตฟ้า หรือท่านต้องการเห็นฮูหยินใหญ่จากไปกับตาจริงๆ เล่าขอรับ”

เฮ่อหลันซีเห็นฮูหยินผู้เฒ่าถังลังเลพลันร้อนใจ “ท่านแม่ พวกเรายังไปเชิญ…”

“ตกลงตามนี้!” ถังเหอโพล่งขึ้น มองเฉียวจือซูอย่างเฉียบขาด “ข้าให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย มิเช่นนั้น หลังจากวันนี้ใต้หล้านี้จะไม่มีเจ้าอยู่อีก!”

เจิ้งหนานชิงใจเต้นกระตุก อดเงยหน้าขึ้นมองเฉียวจือซูอย่างเป็นกังวลไม่ได้ อีกฝ่ายกลับอมยิ้มดุจมั่นอกมั่นใจ “ได้!”

เฉียวจือซูเพียงขอน้ำแกงหัวไชเท้าที่ไม่ใส่เครื่องปรุงใดเลยหนึ่งชาม น้ำแกงหัวไชเท้าช่วยระบายลม เขาเห็นว่าเลี่ยวชิงเหยียนสลบไม่ฟื้นเป็นเพราะถูกคนใช้โสมบำรุงลมปราณแบบผิดๆ

ควันเบาบางลอยวนขึ้น เปลวไฟเผาไหม้ลงด้านล่างทีละน้อย เปลี่ยนธูปไปก้านหนึ่งและอีกก้าน สามก้านธูปผ่านไป นี่เป็นธูปก้านสุดท้ายแล้ว ขี้ธูปลอยร่วงลงไปในกระถางธูป คนที่นอนบนเตียงกลับไม่มีท่าทีจะตื่นขึ้นมาแม้แต่น้อย

ถังเหอพลันนึกถึงความสัมพันธ์อันคลุมเครือระหว่างเจิ้งหนานชิงกับเฉียวจือซู ย่ำเท้าไปมาในห้องอย่างหงุดหงิดงุ่นง่าน อีกด้านฮูหยินผู้เฒ่าถังยิ่งรอจนร้อนใจ และใช้ไม้เท้าเคาะพื้นห้อง ฮูหยินสามกลับรับใช้ฮูหยินผู้เฒ่าถังอย่างระแวดระวัง พลางลอบย่ามใจอย่างอดไม่อยู่เมื่อเห็นเวลาใกล้จะหมดลง สี่คนในห้องมีเพียงเฉียวจือซูที่สงบนิ่งที่สุด เขาคุกเข่าข้างหนึ่งข้างเตียง ปั่นเข็มเบาๆ อย่างพิถีพิถันลงบนจุดเสินเหมินของฮูหยินใหญ่ถัง ใช้นิ้วโป้งดีดเข็มอย่างรวดเร็ว ก่อนจับตัวเข็มไว้ก่อนจะออกแรงดึงขึ้น ถอนเข็มออกจากผิวหนังอย่างว่องไว จากนั้นเขาจึงฝังเข็มเพิ่มที่จุดเหอกู่ จุดจู๋ซานหลี่ และจุดอื่นๆ ใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้จับตัวเข็มแน่น ปั่นไปทางขวาอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการใช้วิธีฝังเข็มแบบระบาย

เมื่อถอนเข็มสุดท้ายก็พอดีกับที่ไฟธูปดับมอดลง เถ้าก้อนเล็กก้อนสุดท้ายร่วงลงมา

เฮ่อหลันซีโพล่งขึ้นอย่างฮึกเหิม “เวลาสี่ก้านธูปหมดแล้ว!”

ขาดคำ จู่ๆ บนเตียงก็มีเสียงผายลมดังขึ้นเสียงหนึ่ง ต่อด้วยกลิ่นเหม็นเน่าระบายออกมาติดต่อกัน คนในห้องพากันย่นคิ้วปิดจมูก ทันใดนั้นเสียงครวญครางเบาบางราวกับไม่มีอยู่จริงก็เปล่งออกมาจากริมฝีปากของเลี่ยวชิงเหยียน คนทั้งหมดตะลึงพรึงเพริด หันศีรษะไปพร้อมกัน คนอ่อนแรงสลบไสลอยู่บนเตียงผู้นั้นเริ่มขยับเขยื้อนแล้ว

“ขยับแล้ว นางขยับแล้ว!” เหล่าถังตะโกนขึ้นอย่างตื่นเต้น

“ชิง ชิงเหยียน…” ฮูหยินผู้เฒ่าถังดุจเพิ่งตื่นจากฝัน จู่ๆ น้ำตาก็พรั่งพรู ร่างกายที่ขมึงเกร็งพลันผ่อนคลายลงในพริบตา นางโงนเงนเล็กน้อย จากนั้นก็ทรุดฮวบลงไปด้านข้าง

“ท่านแม่!” ถังเหอรีบร้อนเข้าไปประคองนาง

“เร็ว รีบพาข้าไปดูชิงเหยียน” ฮูหยินผู้เฒ่าถังพิงในอ้อมกอดถังเหอ พลางเอ่ยอย่างอ่อนแรง

ถังเหอจำต้องพาฮูหยินผู้เฒ่าถังที่ถูกความกังวล ความประหม่า และความดีใจเคี่ยวกรำจนไม่เหลือซึ่งเรี่ยวแรงไปยังหน้าเตียงของเลี่ยวชิงเหยียน ฮูหยินผู้เฒ่าถังกุมมือขาวซีดแทบไม่มีสีเลือดของเลี่ยวชิงเหยียนแน่น น้ำตาผู้ชราอาบแก้ม “ชิงเหยียน ชิงเหยียนผู้น่าสงสารของข้า”

เฉียวจือซูยืนข้างเตียง มองคนในห้องที่บ้างปลื้มปีติ บ้างตกตะลึง บ้างผิดหวังอย่างสงบนิ่ง และเอ่ยเรียบๆ ว่า “นางตื่นแล้ว”

 

ราตรีดึกสงัด ยังคงมีฝนตกปรอยๆ เฉียวจือซูผลักประตูเข้าห้อง จุดตะเกียงน้ำมัน เปลวไฟอ่อนกำลังสะท้อนเป็นแถบสีส้มสลัวบนผนัง ท่ามกลางแสงสลัวรางพลันปรากฏเงาร่างของคนผู้หนึ่ง เป็นเงาร่างของสตรี เฉียวจือซูกลับไม่ตกใจแม้แต่น้อย เขารินน้ำให้ตนเองถ้วยหนึ่ง ก่อนเอ่ยเรียบๆ “เจ้ามาแล้วหรือ”

ซุนจิ่วเม่ยยิ้มพลางนั่งลงตรงข้ามเขา แสงตะเกียงน้ำมันกระทบนัยน์ตาดำขลับของนางให้ทอประกายเป็นพิเศษ “ท่านยุ่งวุ่นวายมาทั้งวันแท้ๆ ทว่าเฮ่อหลันซีกลับยังอาศัยในเรือนหลันซีได้อย่างสุขสบาย เจิ้งหนานชิงก็ยังไม่เป็นที่รักของหญิงชราแซ่ถังเช่นเดิม”

“ฮูหยินสี่ไม่ดื่มซื่ออู้ทังแต่เปลี่ยนมากินลูกกลอนโย่วกุย ฮูหยินใหญ่ก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว นี่มิใช่ผลที่ได้หรือ” ดวงตาเรียวของเฉียวจือซูหรี่ลงเล็กน้อย คิ้วงามยกขึ้น “ยิ่งกว่านั้นพวกเรารู้แล้วว่าเฮ่อหลันซีคือตัวการหลัก ส่วนตู้จื่อเฟยแห่งสำนักซิ่งหลินก็เป็นผู้แจ้งเบาะแส”

“แต่อาเม่ยเป็นคนของฮูหยินผู้เฒ่าแท้ๆ เหตุใดท่านจึงคิดว่าคนผู้นั้นคือเฮ่อหลันซี”

“ไม่ว่าเรื่องใดล้วนต้องดูที่เหตุจูงใจ ข้ามองไม่ออกว่าการที่ฮูหยินสี่ตั้งครรภ์ไม่ได้นั้นให้ผลดีอะไรต่อฮูหยินผู้เฒ่าถัง”

“แม้แต่สี่เอ๋อร์นั่นยังบอกว่าฮูหยินผู้เฒ่าต้องการขับไล่เจิ้งหนานชิง”

“สี่เอ๋อร์พูดเช่นกันว่าฮูหยินผู้เฒ่าเปลี่ยนท่าทีต่อฮูหยินสี่โดยสิ้นเชิงหลังจากฮูหยินสี่แท้ง”

“ท่านหมายความว่าอย่างไร”

“หากข้าเดาไม่ผิด การแท้งของฮูหยินสี่ครั้งนั้นแท้จริงมิใช่การแท้งเพราะร่างกายอ่อนแอทั่วไป และผู้ที่ทำให้ฮูหยินสี่แท้งก็คือคนที่ลอบใส่เมล็ดอวิ๋นไถให้ฮูหยินสี่หนนี้แน่นอน”

“ยาบำรุงครรภ์ที่ฮูหยินสี่กินในปีนั้นใช้ตำรับยาเชียนจินเป่าอวิ้นทัง ตามหลักแล้วก็ไม่ควรเกิดภาวะแท้ง แต่ถ้าหากมีคนวางยาในที่ลับเล่า จะเป็นตัวยาอะไรกันแน่นะ เหตุใดคนถึงได้มองไม่ออก”

“ดอกคำฝอย” เฉียวจือซูเอ่ย “ใส่ดอกคำฝอยในปริมาณน้อยๆ ทุกครั้งที่ต้มยา เพียงแค่สองสามครั้งก็จะทำให้เกิดอาการเสี่ยงที่จะแท้งแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องเพิ่มปริมาณยา ด้วยความไม่รู้กลับเป็นการไปเพิ่มปริมาณดอกคำฝอยในยาเข้าพอดี”

“แต่แบบนี้ก็ไม่มีคนพบแล้วหรือ”

“สิ่งนี้ต้องดูที่ความสามารถของคนใช้ยา” เฉียวจือซูเอ่ย “ข้าได้ยินว่าตู้จื่อเฟยคือยอดฝีมือในการใช้ดอกคำฝอย เขามักใช้ดอกคำฝอยรักษาโรคระดูไม่ปกติของหญิงที่แต่งงานแล้ว”

“ท่านรู้ได้อย่างไรว่าตู้จื่อเฟยเป็นคนทำ อย่าได้ลืม สี่เอ๋อร์บอกว่าใบสั่งยานั้นหลินเต๋ออีเป็นคนจ่าย”

“แต่ตู้จื่อเฟยเป็นคนจัดยาด้วยตนเอง ด้วยนิสัยของตู้จื่อเฟย เจ้าคิดว่าเขาจะจัดยาให้ผู้อื่นด้วยตนเองหรือ”

“นี่ ดูไม่น่าเป็นไปได้”

“ตอนจัดยาแอบใส่ดอกคำฝอย เป็นวิธีเลี่ยงหูเลี่ยงตาผู้คนได้ดีที่สุด คนรอบข้างจะสนใจแต่ผู้ออกใบสั่งยา แต่จะหลงลืมคนจัดยาไป”

“เขาก็คงคาดไม่ถึง สี่เอ๋อร์สาวใช้กลับจดจำเรื่องนี้ได้ไม่มีตกหล่น แต่เจิ้งหนานชิงแท้งอย่างไรก็ยังต้องให้หลินเต๋ออีตรวจกระมัง หลินเต๋ออีดูไม่ออกอย่างนั้นหรือ”

“เจ้าลองดูนี่” เฉียวจือซูหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากอก

“นี่คือ…” ซุนจิ่วเม่ยลืมตาโตพูดไม่ออก

“นี่คือใบสั่งยาที่ตู้จื่อเฟยเขียน” ที่แท้สิ่งที่เฉียวจือซูหยิบออกมาคือตำรับยาซื่ออู้ทังที่หนึ่งปีก่อนเชิญหมอจ่ายให้ตอนเจิ้งหนานชิงแท้ง เนื่องจากตลอดมาตำรับยานี้ก็ไม่เคยเปลี่ยนจึงได้เก็บใบสั่งยารักษามาจนบัดนี้ เห็นเพียงส่วนลงนามสะท้อนกับแสงสว่างเลือนรางมีตัวอักษรฉวัดเฉวียนเขียนอยู่สามคำว่า ‘ตู้จื่อเฟย’

“หากตู้จื่อเฟยเป็นคนตรวจเอง เขาจะพูดหรือว่าฮูหยินสี่แท้งเพราะกินดอกคำฝอย นอกจากนี้ฮูหยินสี่นอกจากใช้ดอกคำฝอยมาตลอดแล้ว ยังถูกคนกดจุดเจียนจิ่งด้วย”

“จุดเจียนจิ่ง? คืออะไรกัน”

“จุดเจียนจิ่งคือจุดบนเส้นลมปราณเท้าเส่าหยางถุงน้ำดีรักษาอาการปวดไหล่ได้”

“ข้าได้ยินคืนนั้นสี่เอ๋อร์เคยพูดว่าเจิ้งหนานชิงนอนตกหมอน กดจุดนี้มิใช่ประจวบเหมาะหรือ”

“แต่สำหรับหญิงมีครรภ์แล้ว จุดเจียนจิ่งกลับเป็นจุดต้องห้าม”

“ท่านหมายความว่ามันส่งผลให้แท้งได้?”

“ข้าคิดว่าที่อาเม่ยไปนวดให้เจิ้งหนานชิงหาใช่ความคิดของฮูหยินผู้เฒ่า แต่เป็นเฮ่อหลันซีมอบหมายไปส่วนตัว”

“ที่แท้ท่านก็คาดเดาไว้แล้วแต่แรก ท่านเริ่มสงสัยเฮ่อหลันซีกับตู้จื่อเฟยตั้งแต่เมื่อใดกันแน่”

“ตั้งแต่สี่เอ๋อร์บอกว่าเห็นเฮ่อหลันซีที่นอกห้องยาบ่ายวันนั้น”

“แต่คนที่เข้าห้องยาคืออาเม่ย ตอนนั้นท่านคงยังไม่รู้กระมังว่าอาเม่ยถูกเฮ่อหลันซีซื้อตัวไป”

“ตอนนั้นยังไม่แน่ใจก็จริง แต่ก็เป็นเพราะเหตุนั้น ข้าถึงได้คิดว่าบางทีอาเม่ยก็คือคนของเฮ่อหลันซี พอเป็นเช่นนี้ทุกเหตุการณ์จึงกระจ่าง”

“ข้ายังไม่เข้าใจอยู่ดี ถึงอาเม่ยเข้าห้องยา แต่นางกับเฮ่อหลันซีก็มิได้ติดต่อกันนี่นา แม้แต่สี่เอ๋อร์ยังพูดเลยว่าเฮ่อหลันซีต้องไปที่เรือนของยายเฒ่าถัง”

“สี่เอ๋อร์เห็นนางเข้าไปในเรือนฮูหยินผู้เฒ่าถังกับตาหรือไม่”

“นั่นนับว่าไม่”

“คนมักมีกรอบความคิดตามความเคยชิน ในการรับรู้ของสี่เอ๋อร์ เฮ่อหลันซีมักประจบประแจงฮูหยินผู้เฒ่า ทุกวันตกบ่ายเป็นต้องไปอยู่ในห้องฮูหยินผู้เฒ่า นางย่อมนึกไปว่าเฮ่อหลันซีต้องไปที่เรือนฮูหยินผู้เฒ่า แต่สี่เอ๋อร์ลืมไปข้อหนึ่ง ทางเดินเส้นนั้นแม้ตรงไปยังที่พักของฮูหยินผู้เฒ่าได้…” เฉียวจือซูใช้นิ้วจุ่มน้ำชาวาดลงบนพื้นโต๊ะอย่างง่ายๆ สองสามขีด วาดไปพลางเอ่ยไปพลาง “นี่คือเรือนของฮูหยินผู้เฒ่า นี่คือเรือนหลันซี ส่วนนี่ห้องยา ไม่กี่เส้นนี้คือทางเดินในจวนสกุลถัง”

ซุนจิ่วเม่ยอาศัยแสงเทียนสลัวมองภาพวาดแผนที่จวนสกุลถังที่เฉียวจือซูวาดโดยละเอียด ก่อนเอ่ยอย่างตกใจ “จากเรือนหลันซีไปถึงเรือนฮูหยินผู้เฒ่าถัง ทางเดินนอกห้องยาเป็นเส้นทางที่ไกลที่สุด หรือนางแค่กำลังเดินชมสวน”

“หากต้องการเดินชมสวน ไยจึงไม่พาผู้ติดตามไปสักคน”

“นั่นก็ถูก เฮ่อหลันซีหญิงผู้นี้โอ้อวดเพียงนั้น จะไม่พาไปสักคนได้อย่างไร”

“นั่นเพราะเรื่องที่นางจะทำเป็นความลับเกินไป” นัยน์ตาเฉียวจือซูสาดประกายเย็นเยียบ

“นางคงไม่วางใจอาเม่ย ถึงต้องมาดูกับตาว่าอาเม่ยเข้าห้องยา ถือโอกาสดูต้นทางให้นาง พวกนางสองคนลอบวางแผนเรื่องนี้เอาไว้ ในใจย่อมมีความกังวล ด้วยเหตุนี้พบหน้ากันแท้ๆ กลับทำเป็นมิได้พบ ต่อมาเมล็ดอวิ๋นไถในตะกร้าของอาเม่ยก็พิสูจน์การคาดเดาของข้าได้พอดี”

“คนทั่วไปเห็นเมล็ดอวิ๋นไถจะคิดถึงแต่ยายเฒ่าถัง”

“แม้ผู้กินอาหารจะเป็นฮูหยินผู้เฒ่า แต่ผู้ทำอาหารกลับเป็นฮูหยินสาม นางประกาศว่าตนเองเตรียมเมล็ดเจวี๋ยหมิงให้ฮูหยินผู้เฒ่า แท้จริงคือต้องการปกปิดความจริงเรื่องการตากเมล็ดอวิ๋นไถ”

“รูปร่างเมล็ดอวิ๋นไถคล้ายเมล็ดเจวี๋ยหมิง อาเม่ยถึงได้พูดซ้ำไปซ้ำมาว่าตนเองตากเมล็ดเจวี๋ยหมิง”

“ที่แท้ตอนบ่ายเจ้าก็เห็น” เฉียวจือซูเหลือบมองซุนจิ่วเม่ย เห็นนางยิ้มทะเล้น พลันคลี่ยิ้ม “เมื่อวานที่อาเม่ยกับสาวใช้คนนั้นตากก็คือเมล็ดอวิ๋นไถ ที่ที่อันตรายที่สุดกลับเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุด ข้าคิดว่าฮูหยินผู้เฒ่าถังไม่รู้เลยสักนิดว่านอกห้องพระของตนตากสิ่งของที่ทำให้ลูกสะใภ้ตนเองไม่ตั้งครรภ์”

“หญิงผู้นี้อำมหิตยิ่งนัก! แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าถังกลับไม่ทำอะไรนางเลย เฮ้อ เหตุใดท่านถึงไม่ให้ฉินมามาบอกเรื่องมีเมล็ดอวิ๋นไถปนในกากยาเจิ้งหนานชิงกับฮูหยินผู้เฒ่าถังเสียเลยเล่า เช่นนั้นมิใช่ง่ายดายขึ้นมากหรือ”

“เจ้าคิดว่าฮูหยินผู้เฒ่าถังอาศัยเพียงคำพูดฉินมามาแล้วจะจัดการเฮ่อหลันซี?”

“อย่างน้อยก็พิสูจน์ว่าเจิ้งหนานชิงถูกคนวางยาจริงๆ”

“เฮ่อหลันซีสามารถพูดได้เต็มปากว่านั่นไม่ทันระวังจึงปนเมล็ดอวิ๋นไถเข้าไป อย่าลืมว่าหลายปีมานี้ คนที่ฮูหยินผู้เฒ่าถังไว้ใจที่สุดก็คืออาเม่ยกับเฮ่อหลันซี อาศัยแค่กากยาถ้วยเดียว ชี้แจงอะไรไม่ได้หรอก”

“เช่นนั้นต้องทำอย่างไร ทำมาตั้งมากกลับได้เพียงเท่านี้น่ะหรือ” ซุนจิ่วเม่ยเป็นเดือดเป็นแค้น “เฮ่อหลันซีผู้นั้นชั่วช้าเกินไปจริงๆ ต้องทนดูนางลอยหน้าเสวยสุขต่อไปหรือ”

เฉียวจือซูหัวเราะหยัน “แม้กล่าวว่าฮูหยินผู้เฒ่าถังจะยังดูเชื่ออาเม่ยกับเฮ่อหลันซีอยู่ แต่เมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยได้ถูกหว่านลงไปแล้ว หากนางรู้ว่าคนที่ทำให้อาการป่วยของฮูหยินใหญ่ไม่ดีขึ้นคือเฮ่อหลันซี เจ้าว่านางจะเป็นอย่างไร”

“เลี่ยวชิงเหยียนก็ถูกนางทำร้าย?”

“ข้าจับชีพจรฮูหยินใหญ่ รู้สึกเพียงลอยเร็วและลื่น เห็นชัดว่ามีเสมหะร้อน สี่เอ๋อร์กลับบอกข้าว่าหมอใช้ตำรับยากานม่ายต้าเจ่าทัง* ที่ปกติใช้รักษาสตรีจิตใจแปรปรวนเสมอมา ตำรับยากานม่ายต้าเจ่าทังแม้เป็นยาดี แต่หากใช้กับร่างกายฮูหยินใหญ่ ชะเอม ม่ายตงเสริมอิน ยิ่งจะทำให้เกิดเสมหะชื้น ทั้งฮูหยินผู้เฒ่าถังยังให้คนบำรุงโสมกับฮูหยินใหญ่เป็นประจำ ยิ่งทำให้ลมปราณติดขัด”

“นี่คือการใช้ยาส่งเดชโดยไม่วินิจฉัยอาการที่ท่านพูดถึงบ่อยๆ หรือ”

“นี่เกิดจากมีผู้จงใจกระทำ เป็นผลทำให้อาการป่วยยิ่งแย่ลง”

“ใช้ยาวางยา หากมิใช่ผู้รู้วิชาแพทย์ไม่มีทางทำได้เด็ดขาด ต้องเป็นตู้จื่อเฟยแน่ ผู้เรียนวิชาแพทย์ไม่มีเมตตาธรรมนำหน้า ตรงกันข้ามกลับมีใจคิดร้ายต่อผู้อื่น ไม่คู่ควรที่จะเป็นหมอ แต่ถึงฮูหยินผู้เฒ่าถังรู้ความจริงแล้วจะทำอะไรได้”

“อย่างน้อยคำพูดของเฮ่อหลันซีก็จะไม่เกิดผลอะไรกับถังเหออีก ที่นางบอกความลับแทนตู้จื่อเฟยก็จะไม่มีน้ำหนักเท่าใด” เฉียวจือซูยิ้มน้อยๆ “ที่จริงตอนนี้ถังเหอไม่เชื่อใจเฮ่อหลันซีแล้ว แต่ติดที่เห็นแก่หน้าฮูหยินผู้เฒ่า”

“ท่านยังวางแผนช่วยสตรีผู้นั้น” ซุนจิ่วเม่ยเบ้ปาก “วันนี้ข้ามาหาใช่เพียงต้องการรู้บทสรุปของเรื่องนี้ ข้ามาเพื่อบอกข่าวท่านสองเรื่อง ท่านต้องการฟังข่าวดีหรือข่าวร้ายก่อน”

“แต่ไรมาเจ้าก็มักพูดข่าวร้ายก่อน”

“อ้ายจื่อจินสลบไปหนึ่งวันแล้ว”

นิ้วมือของเฉียวจือซูที่กำลังเคาะโต๊ะพลันหยุดชะงัก แม้จะฟื้นกลับมามีท่าทีเยือกเย็นได้อย่างรวดเร็ว ทว่าซุนจิ่วเม่ยก็ยังมองเห็นชั่วพริบตาที่เขาเกิดอารมณ์ปรวนแปรขึ้นในใจ ซุนจิ่วเม่ยทนไม่ได้เอ่ยตัดพ้อขึ้น “หลายปีเพียงนี้ เหตุใดท่านจึงวางนางลงไม่ได้เล่า!”

“ไม่ ข้าวางแล้ว ข้าวางลงนานแล้ว” เฉียวจือซูก้มหน้า น้ำเสียงทุ้มต่ำคล้ายลอยล่องมาจากห้วงเวลาอันไกลโพ้น “แต่ข้าลืมไม่ได้ว่าจือมั่นถูกคนหยามเกียรติอย่างไร และลืมไม่ได้ว่าท่านพ่อกับเฉียวจือเยวี่ยตายอย่างไร แม้แต่ข้าเองก็เกือบต้องตายไปอย่างด่างพร้อยแล้ว”

“ดังนั้นข้าจึงเกลียดนาง! ข้าไม่มีวันลืมว่าข้าตามท่านกลับมาได้จากที่ใด! หากไม่ใช่นาง บ้านสกุลเฉียวก็ไม่มีทางเป็นเช่นนี้ ท่านไม่มีวันเป็นเช่นนี้!”

น้ำเสียงสะเทือนอารมณ์ของซุนจิ่วเม่ยวนเวียนอยู่ข้างหูเฉียวจือซูไม่หยุด เขาทำได้เพียงยืนเช่นนั้นเงียบๆ รอเสียงนางค่อยๆ เบาลงไป จนสุดท้ายกลืนหายไปในฝุ่นธุลี จากนั้นเขาหลุบดวงตาทั้งสอง ปกปิดความเสียใจและสิ้นหวังในแววตา พลางเอ่ยเย็นชา “แต่นางจำต้องมีชีวิตรอด เพื่อเหอปู้ผิงที่จากไปแล้ว และเพื่อคำฝากฝังของอาจารย์ซุน พวกเราจำต้องหาสมุดเล่มนั้นให้เจอ!” ประโยคสุดท้ายคล้ายเขาสาบานกับตนเอง ทุกถ้อยคำที่เปล่งออกมาชัดเจนยิ่งนัก และในค่ำคืนอันมืดมิดที่มีเสียงฝนพรำตกกระทบใบไม้อ่อนดังเปาะแปะก็ยิ่งดูแน่วแน่เป็นพิเศษ

ซุนจิ่วเม่ยถูกท่าทางแน่วแน่สงบนิ่งเช่นนี้ของเขาดึงดูด ครู่ใหญ่จึงไม่กล่าววาจาสักคำ

เฉียวจือซูถามอีก “ข่าวดีที่เจ้าบอกเมื่อครู่คืออะไร”

“กัวติ้งไปแล้ว” ซุนจิ่วเม่ยหลุดจากภวังค์ “ข้าได้ยินว่าเขาไปพบผู้ตรวจการที่เมืองหลินอัน”

“นี่อาจเป็นโอกาสเดียวที่จะพาอ้ายจื่อจินออกจากคุก!” ช่องหน้าต่างมีลมหอบไอหนาวของฝนฤดูใบไม้ผลิเข้ามา

เปลวเทียนอ่อนโรยในตะเกียงน้ำมันไหววูบฉับพลัน นิ้วมือเฉียวจือซูที่เคาะโต๊ะเบาๆ พลันหยุดลง ประกายเด็ดขาดเหี้ยมเกรียมกระแสหนึ่งสาดออกมาจากดวงตาเขา “จิ่วเม่ย เจ้าไปสืบมาว่าผู้ตรวจการคนนั้นเป็นใครกันแน่ มาที่นี่มีเป้าหมายอะไร”

 

(ติดตามต่อในเล่ม)

หน้าที่แล้ว1 of 20

Comments

comments

No tags for this post.
sangdow Marcom: