บทที่ 1
ถ้ามีโอกาสอีกครั้ง เยี่ยเหมยจะต้องเรียกร้องให้ทำฝาท่อระบายน้ำให้แข็งแรงขึ้นแน่นอน! เพราะนี่แค่ละสายตานิดเดียวเธอก็ตกลงมาในท่อระบายน้ำที่มืดมิดพร้อมกับจักรยานแล้ว
เสียงตูมดังเข้ามาในโสตประสาท ตัวเธอยังสามารถได้ยินเสียงตนเองกับจักรยานตกน้ำพร้อมกัน ก่อนที่ร่างกายจะถูกกระแสน้ำโถมซัดมาอย่างบ้าคลั่งและโอบล้อมร่างทั้งร่างในชั่วพริบตา กลิ่นเหม็นเน่าทะลักเข้าในปากและจมูก ร่างกายทุกส่วนราวกับถูกบีบอัดจนแทบระเบิด ตัวเย็นวาบ ความหวาดกลัวแผ่ขยายไร้ขอบเขตท่ามกลางความมืด
หนาวจัง! น่ากลัวเหลือเกิน..
สองมือของเยี่ยเหมยโบกปัดไปมาข้างลำตัวด้วยสัญชาตญาณ
เวลานั้นเองพลันมีเสียงผู้ชายทุ้มนุ่มดังขึ้นริมหูเยี่ยเหมย ‘ร้อนจริง’
สิ่งที่โอบคลุมเยี่ยเหมยพร้อมกับเสียงนั้นยังมีร่างกายอุ่นร้อนร่างหนึ่ง ก่อนลมหายใจผ่าวร้อนจะพ่นรดลำคอของเธอ
ทั้งๆ ที่เยี่ยเหมยกลัวจนแทบหายใจไม่ออก แต่ก็ยังคงอดที่จะครางออกมาเสียงหนึ่งด้วยความสบายไม่ได้
‘อย่าขยับ’ แม้น้ำเสียงนั้นจะเย็นชาอยู่บ้าง แต่กลับทำให้เยี่ยเหมยรู้สึกโล่งใจ ถ้าความตายมีรสชาติเช่นนี้ก็ไม่ได้ทรมานอะไรนัก
เพียงแต่ชั่วครู่ต่อมาฝ่ามืออุ่นร้อนนั้นกลับลูบคลำไปมาทั่วตัวเธอ ข้างหนึ่งบีบคอ อีกข้างฉีกเสื้อผ้าบนตัวเธอออกอย่างหยาบคาย
เยี่ยเหมยยังไม่ทันกรีดร้องออกมาเบื้องล่างก็พลันเจ็บปวดรุนแรงเหมือนมีกระบี่คมเล่มหนึ่งแทงทะลุร่าง
‘ไม่นะ!’ เยี่ยเหมยอยากจะร้องออกมา แต่คอเธอถูกคนบีบอยู่ ไม่ว่าร้องอย่างไรก็ร้องไม่ออก ทำได้เพียงดิ้นรนสุดชีวิต
‘บอกว่าอย่าขยับ แค่ครู่เดียว…ครู่เดียวเท่านั้น ขอโทษด้วย แต่ข้าทนไม่ไหวแล้ว เจ้าชื่อแซ่อะไร ข้าจะชดเชยให้เจ้า…’ เสียงผู้ชายไพเราะน่าฟังมุดแทรกเข้าส่วนลึกในความทรงจำของเยี่ยเหมยพร้อมกับอากัปกิริยาที่ลึกขึ้นหนักขึ้นเรื่อยๆ ของเขา เสียงหอบหายใจก็ดังคลออยู่ริมหูเธอ
เยี่ยเหมยรู้สึกเพียงว่าลำคอของตนถูกบีบจนเจ็บ เจ็บจนเหมือนแทบจะตายได้ในทันที! เธอยังอายุน้อยและยังไม่อยากตาย เธอเป็นพี่เลี้ยงเด็กมาหลายปีเพิ่งจะเก็บเงินค่าบ้านในชนบทก้อนแรกได้ครบ มิหนำซ้ำเธอยังเอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงาน ถึงขนาดไม่เคยได้มองดูทิวทัศน์รอบข้างให้เต็มตา และไม่เคยเจอผู้ชายที่รักที่ทะนุถนอมเธอเลยสักคน เธอยังตายไม่ได้!
ความปรารถนาจะเอาชีวิตรอดอันแรงกล้าทำให้เธอกลั้นหายใจ ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีผลักผู้ชายที่ทับอยู่บนตัวเธอออกไป
‘ใกล้แล้ว…ใกล้แล้ว…’ ชายคนนั้นคล้ายรู้สึกได้ถึงการดิ้นรนของเยี่ยเหมย มือที่บีบคอเธอจึงคลายออกเล็กน้อย ยื่นหน้าไปข้างหูเธอ พึมพำปลอบโยนไม่หยุด
‘อา…’ หลังเสียงครางแผ่วเบาดังขึ้น เยี่ยเหมยพลันรู้สึกว่ามือตนเองเหมือนคว้าสิ่งของเย็นๆ บางอย่างได้ ความคิดหลุดออกมาจากฉากเหตุการณ์ที่งดงามทว่าน่ากลัวนั่นทันที สิ่งที่ตามมาคือความรู้สึกที่ถูกกระแสน้ำเหม็นเน่าบีบอัดขณะตกน้ำนั้น ไหนเลยจะยังมีผู้ชายกายอุ่นร้อนอะไรอยู่อีก
เยี่ยเหมยเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดภายใต้สถานการณ์แบบนี้ตนถึงยังแยกแยะความฝันและความจริงได้ชัดเจน ที่สำคัญคือเธอยังสามารถดึงตนเองออกมาจากความฝันแล้วพบว่าตนเองยังอยู่ในน้ำอีกด้วย
ที่นี่มันท่อระบายน้ำด้านล่างฝาท่อ แต่เธอก็ยังฝันวาบหวามเหมือนจริงอีกทั้งน่ากลัวแบบนี้ได้?! เยี่ยเหมยบ่นตนเองในห้วงความนึกคิดพลางคลำดูของที่อยู่บนตัว โชคยังดี เป็นเชือกพันตัวเธออยู่ ไม่ใช่มือของผู้ชายในความฝัน
เยี่ยเหมยไม่ทันสืบสาวอย่างละเอียดว่าเชือกพวกนี้มาจากไหน มัวแต่ดีใจที่พวกมันมัดไม่แน่นนัก สะบัดมือเท้าไม่กี่ทีเชือกก็คลายออก
การค้นพบนี้ทำให้เยี่ยเหมยดิ้นหลุดจากเชือกอย่างไม่ยากเย็น แต่หลังจากนั้นเธอก็รู้สึกว่าบนตัวยังมีของอย่างอื่นกดทับอยู่อีก ทว่าพอคลำดูกลับไม่ใช่จักรยานที่ตกลงมาพร้อมกับตนเอง แต่คล้ายเข่งไม้ไผ่สานทรงกระบอกใส่หินก้อนใหญ่ที่ใช้เวลาป้องกันน้ำท่วมอย่างไรอย่างนั้น
ท่ามกลางความคลุมเครือนี้ เยี่ยเหมยคล้ายว่าได้ยินเสียงคนดังโหวกเหวก ความมุ่งมั่นจะเอาชีวิตรอดเอาชนะความอ่อนแรง เธอเหยียบด้านหนึ่งของเข่งทรงกระบอกที่อยู่ใต้เท้าถีบตัวว่ายไปอีกด้านหนึ่งอย่างสุดกำลัง โชคดีมากที่เธอหาสุดปลายอีกด้านพบพอดี จึงพยายามมุดศีรษะกับไหล่ออกจากรูอย่างเต็มที่ทันที แต่เรื่องที่ทำให้เธอรู้สึกแปลกใจคือพอมาถึงส่วนท้อง รูกลับคล้ายว่าแคบลงเล็กน้อย ทำให้เธอต้องเปลืองแรงเฮือกใหญ่กว่าจะมุดออกไปได้ อีกทั้งการทำเช่นนี้ยังทำให้ช่วงท้องปวดตุบเป็นระลอก เหมือนว่ามีมือสองข้างและเท้าอีกสองข้างถีบดันดิ้นรนอยู่ในท้องตนเต็มแรง
เยี่ยเหมยแทบจะใช้เรี่ยวแรงไปจนหมด ในที่สุดก็ถีบตัวโผล่ศีรษะขึ้นเหนือน้ำได้
ท้องฟ้ามืดสลัว หยดน้ำทำให้สายตาของเธอพร่ามัว ทำได้เพียงอาศัยฟังเสียงแยกแยะทิศทาง ก่อนจะหันหน้าเร่งเสียงร้องตะโกนไปทางกลุ่มคนที่จำนวนน้อยลงทุกทีนั้น
“ช่วยด้วย ฉันอยู่ตรงนี้!”
ภาพเจ้าหน้าที่พยาบาลกรูกันมาหาเช่นในจินตนาการของเยี่ยเหมยไม่ได้ปรากฏขึ้น เธอได้ยินเพียงเสียงหวีดร้องและเสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นรอบด้าน แต่ไม่มีเสียงใครกระโดดลงน้ำดังมาเลย
หรือจะยังไม่มีคนแจ้งตำรวจ
เยี่ยเหมยยกมือปาดหยดน้ำที่หยดลงมาไม่หยุด สูดหายใจลึกเอาอากาศที่สดชื่นเกินปกติเข้าไปสองเฮือก ก่อนขยับมือเท้าวักน้ำว่ายไปทางจุดที่กลุ่มคนรวมตัวกัน ว่ายไปพลางนึกงงไปพลางว่าเหตุใดที่นี่ถึงไม่เห็นแสงหลอดไฟสว่างไสว มีก็เพียงแสงเพลิงจุดเล็กจุดน้อยส่องแสงวิบวับ
“ช่วยด้วยๆ ฉันอยู่ตรงนี้!” ในที่สุดเท้าเยี่ยเหมยก็เหยียบถูกพื้นดินแล้ว เธอกุมท้องน้อยที่ปวดเล็กน้อยไว้ ก่อนจะล้มลงกับพื้นอย่างหมดแรง พลางเปล่งเสียงตะโกนไปยังจุดที่กลุ่มคนอยู่อีกครั้ง
“ฮูหยิน จะ…จะทำอย่างไรดีเจ้าคะ”
บนฝั่ง บ่าวหญิงรูปร่างกำยำที่ในมือบ้างถือไม้คานบ้างถือคบเพลิงจำนวนเจ็ดแปดคนพากันหนีกระเจิงออกไปไกลกว่าเดิมด้วยความตระหนกตกใจ รุมล้อมอยู่ข้างกายสตรีวัยกลางคนที่เกล้าผมสูงและคลุมเสื้อคลุมลายหรูอี้สีม่วงเข้มนางหนึ่ง จ้องมองเยี่ยเหมยที่กำลังคลานมาข้างหน้าอยู่ตรงริมบึงน้ำ แต่ละคนตัวสั่นเทาราวกับใบไม้ร่วงกลางสายลม
ขณะกำลังหวาดหวั่นละล้าละลังอยู่นั้นเองก็มีสตรีหน้าซีดเผือดนางหนึ่งโผล่พรวดจากด้านหลังกลุ่มคนมาคุกเข่าลงเบื้องหน้าฮูหยินผู้นั้น “ฮูหยิน! สวรรค์มีเมตตาต่อทุกสรรพสัตว์ อาเหมยถูกถ่วงน้ำแล้วยังไม่ตาย นี่ต้องเป็นเพราะพระพุทธองค์ทรงคุ้มครอง ฮูหยิน ท่านได้โปรดเมตตาไว้ชีวิตอาเหมยสักคราเถิดเจ้าค่ะ ผู้น้อยอนุภรรยาโขกศีรษะขอร้องท่านแล้ว!”
ผู้คนในอาณาจักรต้าฉี่เชื่อเรื่องผีสางเทพยดากันเป็นส่วนมาก คนที่ถูกถ่วงน้ำไปเกือบครึ่งก้านธูป กลับไม่ตาย ซ้ำยังว่ายกลับขึ้นมาได้อีกเหมือนเยี่ยเหมยดูก็รู้สึกแปลกประหลาดยิ่ง ทำให้เหล่าบ่าวหญิงที่จับเยี่ยเหมยใส่กรงหมูถ่วงน้ำด้วยตนเองใจเต้นรัวไม่หยุด แม้แต่ผู้เป็นฮูหยินเองในใจยังประหวั่นขึ้นมาอยู่บ้างแล้ว ยิ่งกว่านั้นนางก็มิใช่คนโหดเหี้ยมเลือดเย็น หลังจากมองดูสตรีที่ร้องห่มร้องไห้กองอยู่กับพื้นเล็กน้อยก็ถอนหายใจและโบกๆ มือพลางว่า “ช่างเถิดๆ คุณหนูเหมยชะตาแข็ง พานางกลับไปก่อนค่อยว่ากัน”
เพิ่งจะพูดจบก็มีหนุ่มน้อยร่างผอมเล็กโผล่ออกมาจากพงหญ้าริมฝั่งน้ำ ดึงตัวเยี่ยเหมยที่ล้มอยู่บนพื้นให้ลุกขึ้นมา “ท่านไม่ได้ยินที่ฮูหยินพูดหรือ รีบกลับไปเร็วเข้า!”
เยี่ยเหมยมึนไปหมดตั้งแต่ตอนที่ผู้หญิงคนนั้นร้องห่มร้องไห้แล้ว! เธอจำได้ชัดๆ ว่าท่อระบายน้ำที่เธอตกลงมานั้นอยู่กลางเมืองที่เป็นป่าตึกคอนกรีตสูง แต่ที่นี่รอบด้านมีแต่เนินดินสูงๆ ต่ำๆ แม้จะเป็นเวลากลางคืนเหมือนกัน แต่ที่นี่ทั้งไม่มีแสงหลอดไฟทั้งไม่มีเสียงรถดังจอแจ มีเพียงจันทร์เสี้ยวแขวนสูงอยู่บนท้องฟ้าและแสงคบเพลิงจุดเล็กจุดน้อยที่อยู่ไม่ไกล สถานที่ที่เธออยู่เป็นบึงน้ำขนาดใหญ่บึงหนึ่ง ไหนเลยจะยังมีเงาของท่อระบายน้ำให้เห็น
ภายใต้แสงคบเพลิงสาดส่อง ผู้หญิงน่าเกรงขามที่เกล้าผมเป็นมวยสูงคนนั้น คนรับใช้หญิงที่กระซิบกระซาบกันด้วยสีหน้าตระหนกตกใจเหล่านั้น ผู้หญิงดูอ่อนแอที่คุกเข่าร้องไห้กระซิกอยู่บนพื้นนั่น ไม่ว่าเป็นเสื้อผ้าหรือเครื่องประดับล้วนแต่เหมือนกับละครยุคโบราณที่เคยดูไม่มีผิดเพี้ยน เพียงแต่ไม่ได้อลังการเท่าก็เท่านั้น
ระหว่างที่เยี่ยเหมยกำลังงงงวย ข้อมือก็พลันเจ็บ เสียงเร่งรัดอันแหบห้าวในช่วงเสียงแตกหนุ่มของหนุ่มน้อยดังมาเข้าหู ครั้นหันหน้าไปมองก็เห็นเป็นหนุ่มน้อยอายุสิบสองสิบสามคนหนึ่ง แม้คำตวาดจากปากฟังดูดุร้าย แต่สิ่งที่ทออยู่ในดวงตารื้นละอองน้ำของเขาชัดเจนว่าเป็นความห่วงกังวล เบ้าตาที่บวมแดงมองออกได้ว่าเพิ่งจะผ่านการร้องไห้อย่างหนักมา
เรื่องนี้ไม่รู้ทำไมถึงทำให้เยี่ยเหมยที่เดิมทีอยากสะบัดมือเขาออกพลันปวดแปลบในใจ ลุกขึ้นยืนตามแรงของเขา ก่อนจะทิ้งน้ำหนักพิงลงบนบ่าอันผ่ายผอมอ่อนแอของเขาแทบทั้งตัว
“อาหย่วน!” ฮูหยินอุทานออกมา หันหน้าไปกวาดมองเหล่าบ่าวหญิงที่ถูกทำให้ตกใจจนอึ้งไปเช่นเดียวกัน ก่อนพูดขึ้นอย่างเดือดดาลกระหืดกระหอบอยู่บ้าง “ข้ามิใช่บอกให้พวกเจ้าเฝ้าปากทางไว้หรือไร แล้วนายน้อยหย่วนตามออกมาได้อย่างไร มัวแต่ยืนทื่ออยู่ทำไม ยังไม่รีบประคองอี๋เหนียงสี่ลุกขึ้น แล้วพาคุณหนูเหมยกับนายน้อยหย่วนกลับไปอีก”
“เจ้าค่ะ” บ่าวหญิงหลายคนลอบผ่อนลมหายใจโล่งอกเงียบๆ ที่ประคองก็ประคอง ที่แบกก็แบก เพียงไม่นานบรรดาคนที่ริมบึงน้ำก็สลายตัวไปเกลี้ยง นอกจากรอยเท้ายุ่งเหยิงบนพื้นก็ไม่เหลืออะไรอยู่อีก
ตำบลหยางหลิ่วเป็นตำบลเล็กๆ แต่เนื่องจากตั้งอยู่บนชุมทางสัญจรหลัก จึงยังนับว่าเป็นตำบลที่เจริญมั่งคั่ง
สกุลเยี่ยเป็นตระกูลใหญ่อันดับต้นๆ ในตำบลหยางหลิ่ว ไม่เพียงมีคฤหาสน์หลังโตอยู่บนถนนหลักของตำบล ยังมีคฤหาสน์เล็กๆ อีกหลังหนึ่งริมบึงน้ำดำอีกด้วย
คณะของฮูหยินจึงพาเยี่ยเหมยที่หน้าซีดเผือดกลับมายังคฤหาสน์หลังนี้ เพิ่งจะเข้าประตูได้ก็มีสตรีหางตาชี้ ดูมีเสน่ห์อยู่เล็กน้อยนางหนึ่งปราดมารับแต่ไกล
“สำเร็จหรือไม่เจ้าคะ” คำพูดเพิ่งออกจากปาก นางก็มองเห็นสตรีผ่ายผอมอ่อนแอที่ก้มหน้าเช็ดน้ำตาป้อยๆ อยู่ด้านหลังฮูหยิน รวมถึงเยี่ยเหมยที่ถูกบ่าวหญิงสองคนหามอยู่ระหว่างกลางทันที
สตรีนางนั้นหน้าเปลี่ยนสีทันควัน เอ่ยถามว่า “ไฉนฮูหยินถึงพานางกลับมาอีกเล่าเจ้าคะ”
“ทิ้งกรงหมูลงน้ำไปเกือบครึ่งชั่วยาม อาเหมยยังว่ายกลับขึ้นมาเองได้ สวรรค์ไม่รับนาง ข้าไม่พานางกลับมาแล้วจะยังทำอย่างไรได้อีก”
ฮูหยินคนปัจจุบันของสกุลเยี่ยก็คือสตรีที่ดูมีลักษณะท่าทางน่าเกรงขามที่สุดในบรรดากลุ่มคนริมบึงน้ำก่อนหน้านี้ ส่วนผู้ที่ออกมาต้อนรับทักทายนางคืออี๋เหนียงสามของสกุลเยี่ย วันนี้ก็เป็นอีกฝ่ายที่บีบนางให้จับเยี่ยเหมยถ่วงน้ำ แต่ใครเลยจะรู้ว่าคนจะไม่จมน้ำตาย มิหนำซ้ำยังทำให้นางต้องตากลมเย็นทั้งคืน ฮูหยินมีสีหน้าที่ดีให้อีกฝ่ายได้ก็แปลกแล้ว
ให้เป็นที่โปรดปรานเพียงไรก็ยังเป็นแค่อี๋เหนียง ครั้นได้ยินน้ำเสียงเช่นนี้ อี๋เหนียงสามก็รู้ตัวว่าเสียกิริยาเกินไป จึงรีบปรับสีหน้าท่าทาง เบียดบ่าวหญิงสองคนที่ประคองฮูหยินอยู่ออกไปแล้วประคองอีกฝ่ายด้วยตนเอง “ฮูหยินเจ้าคะ ผู้น้อยอนุภรรยาเพียงแต่เป็นห่วงว่าถ้าเรื่องของคุณหนูเหมยแพร่ออกไปจะทำให้ชื่อเสียงของสกุลเยี่ยเสียหาย ทำให้นายท่านกับเหล่านายน้อยเสียหน้า ซ้ำยังจะส่งผลกระทบต่อเรื่องแต่งงานของเหล่าคุณหนูในสกุลเยี่ยอีกด้วย”
ได้ยินเช่นนี้ ฮูหยินก็หน้าเปลี่ยนสีไปมาหลายรอบ สายตาเลื่อนไปหยุดที่เยี่ยหย่วนซึ่งตามประกบเยี่ยเหมยไม่ห่าง นางโบกๆ มือพลางกล่าวเสียงเย็น “ข้าตากลมเย็นมา รู้สึกหัวหนักๆ อยู่บ้าง ข้าไปพักก่อนล่ะ มีอะไรไว้วันพรุ่งค่อยว่ากัน” พูดจบก็โบกมือเป็นสัญญาณให้บรรดาคนที่แออัดอยู่ในลานเรือนแยกย้ายกันไป
“ถ้าข้าเป็นเจ้า ป่านนี้คงกระโดดน้ำตาย ไม่มีหน้าอยู่ทำให้ฮูหยินต้องลำบากใจหรอก” ครั้นเห็นว่าเงาร่างของฮูหยินหายลับไปหลังประตูกั้นกลางระหว่างส่วนหน้ากับส่วนในแล้ว อี๋เหนียงสามก็เก็บสีหน้าวิตกกังวลลง ก่อนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกระซิบข้างหูเยี่ยเหมย
เยี่ยเหมยตอนนี้สมองงุนงงเลอะเลือนไปหมด เธอยังไม่ทันได้ตอบสนองอะไร เยี่ยหย่วนที่ตามประกบอยู่ข้างเธอก็ก้าวมาขวางอยู่ข้างหน้า
“อี๋เหนียงสาม! พุทธศาสนามีคำกล่าวว่า ‘ช่วยชีวิตคนหนึ่งคนได้กุศลกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น’ พี่เหมยรวมกับเด็กในท้องนางนับเป็นสองชีวิตเชียวนะ”
อะไรนะ!
เยี่ยเหมยเบิกตากว้างทันที เรื่องมาถึงตอนนี้เธอพอจะรู้แล้วว่าตนเองทะลุมิติมายุคโบราณ ถึงอย่างไรพี่เลี้ยงเด็กตัวเล็กๆ สุดแสนธรรมดาอย่างเธอ ต่อให้ได้ใบอนุญาตเป็นพี่เลี้ยงเด็กระดับสูงก็ยังเป็นแค่พี่เลี้ยงคนหนึ่งอยู่ดี ไม่ได้มีตระกูลที่โด่งดังและก็ไม่ได้มีเพื่อนเป็นเศรษฐี ไม่มีทางมีใครลงทุนลงแรงมากขนาดนี้เพื่อแกล้งเธอแน่
ศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดที่ข้อมูลข่าวสารเฟื่องฟู ถ้าไม่รู้จักคำว่า ‘ทะลุมิติ’ ก็ถือว่าเชยแหลก เพียงแต่เธอคิดไม่ถึงว่าคนอื่นทะลุมิติไปเป็นองค์หญิงองค์ชาย หรือถ้าแย่จริงๆ ก็ไปอยู่ในครอบครัวชาวไร่ชาวนา นำพาคนทั้งครอบครัวหลุดพ้นความยากจนสู่ความร่ำรวย สุดท้ายก็ต่างจับสามีชั้นเลิศที่มีเงินถุงเงินถังได้อย่างไม่มีข้อยกเว้น แล้วเหตุใดพอถึงคราวตนเองกลับกลายเป็นผู้หญิงท้องที่ถูกจับถ่วงน้ำเสียได้ ชาติก่อนเธอทำบาปทำกรรมอะไร ชาตินี้ถึงได้เคราะห์ร้ายขนาดนี้!
“นายน้อยหย่วน หรือเจ้าไม่กลัวว่ามีพี่สาวหน้าไม่อายเช่นนี้จะส่งผลกระทบต่ออนาคตของเจ้า เจ้าต้องเข้าสอบซิ่วไฉ นะ” อี๋เหนียงสามพูดพลางถอยหลังไปครึ่งก้าว เหลือบมองอี๋เหนียงสี่ที่ยืนตัวลีบอยู่ด้านหลังสองพี่น้องปราดหนึ่ง ในดวงตามีแววขุ่นเคืองปรากฏวาบ
ครั้นอี๋เหนียงสามหันหน้ามามองเยี่ยเหมยอีกครั้ง ในดวงตาก็เหลือเพียงแววรังเกียจเดียดฉันท์อย่างไม่ปิดบัง “หญิงสาวที่ยังไม่แต่งงานก็ทำเรื่องต่ำช้าน่าอายเช่นนั้นจนท้องป่องขึ้นมา ในบริเวณร้อยลี้รอบตำบลหยางหลิ่วเราไม่เคยมีใครหน้าไม่อายขนาดเจ้า ยังมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วตนเองขายหน้าคนเดียวก็ช่างเถอะ แต่นี่ยังจะพลอยทำให้นายน้อยหย่วนกับสกุลเยี่ยเดือดร้อนไปด้วย”
ในใจของอี๋เหนียงสามมีความลับที่ให้ใครรู้ไม่ได้ จึงพ่นถ้อยคำไม่น่าฟังออกมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งใจจะพูดให้เยี่ยเหมยที่มีนิสัยอ่อนแอปวกเปียกไม่มีความคิดของตนเองอับอายจนไม่มีหน้ามองใคร ยิ่งไปแขวนคอตายได้ยิ่งดี
แต่น่าเสียดายที่แม้เยี่ยเหมยผู้เปลี่ยนวิญญาณใหม่แล้วจะมิใช่หญิงเหล็กอะไร แต่ก็ไม่ได้อ่อนแอขี้ขลาดเหมือนเจ้าของร่างเดิม เธอพิงตนเองกับตัวบ่าวหญิง เงยหน้ามองอี๋เหนียงสามตรงๆ “ขายหน้าหรือ…ขายหน้าหรือไม่ก็เป็นเรื่องของข้า แม้แต่ท่านแม่ยังไว้ชีวิตข้าแล้ว เจ้ามีสิทธิ์อะไรมายกมือวาดเท้าอยู่ตรงนี้ อะไรเรียกว่า ‘เรื่องต่ำช้าน่าอาย’ การเพิ่มจำนวนคนรุ่นหลังเป็นเรื่องต่ำช้าแล้วหรือ ถ้าต่ำช้าเจ้าก็อย่าทำแล้วกัน!”
เยี่ยเหมยที่ตรงหน้าผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ทั้งตัวเปียกโชก บนศีรษะยังมีวัชพืชน้ำสั้นๆ ยาวๆ ติดอยู่ไม่น้อย ชั่วครู่ก่อนหน้ายังหน้าซีดขาว ริมฝีปากเป็นสีม่วง ตัวสั่นเทา แต่เพียงชั่วครู่ต่อมากลับคิ้วชี้ชัน มีท่าทางยโสโอหังกดข่มผู้คน ไหนเลยจะยังมีสภาพหัวหดตัวลีบ ไม่กล้ามองคนตรงๆ เช่นเมื่อก่อนอีก
ครั้นคิดโยงไปถึงเรื่องที่ทุกคนบอกว่านางว่ายกลับขึ้นมาจากใต้น้ำ อี๋เหนียงสามก็เบิกดวงตาทรงเสน่ห์โพลงด้วยความตกใจทันที เรียวนิ้วที่ชี้เยี่ยเหมยสั่นระริก “เจ้า…เจ้า…เป็นคนหรือเป็นผี!”
พร้อมกับที่นางพูดจบ ร่างของบ่าวหญิงที่ประคองเยี่ยเหมยอยู่ก็สะท้านเฮือกขึ้นมาเช่นกัน ดูท่าทางจะตกใจไม่น้อย
เยี่ยเหมยในใจสะดุดกึก คนโบราณเชื่อเรื่องงมงาย ถ้าถูกคนรู้ว่าตนเองยืมร่างผู้อื่นอยู่ ดีไม่ดีถ่วงน้ำไม่สำเร็จจะถูกไฟเผาเอาอีก ถ้าเป็นอย่างนั้นเธอก็ตายจริงๆ แน่แล้ว! เธอพลิกมือลูบหน้าโดยจิตใต้สำนึกพร้อมทั้งมองมือที่เหมือนเท้าไก่และปลายแขนเสื้อที่ถูกเสียดสีจนรุ่ยของตนเองแวบหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าพูดอย่างมั่นใจไม่มีใดเกิน “แน่นอนว่าข้าต้องเป็นคน!”
หนุ่มน้อยที่ด้านหน้าเยี่ยเหมยเองก็หันหน้ากลับมามองเธอแวบหนึ่งเช่นกัน จากนั้นก็ขมวดคิ้ว “อี๋เหนียงสาม ใต้เท้าพี่เหมยมีเงากระมัง อีกทั้งหมัวมัวทั้งสองที่ประคองนางอยู่จะสัมผัสไม่ได้เชียวหรือว่าตัวนางเย็นหรือร้อน”
“อี๋เหนียงสาม ข้า…ข้าคุกเข่าขอร้องท่านแล้ว ได้โปรดละเว้นอาเหมยด้วยเถิด” อี๋เหนียงสี่มารดาแท้ๆ ของเยี่ยเหมยคล้ายว่าทำเป็นแต่ร้องไห้กับโขกศีรษะ พูดพลางก็ทำท่าจะคุกเข่าให้อี๋เหนียงสาม
ไม่ว่าเป็นอี๋เหนียงสามหรืออี๋เหนียงสี่ก็ล้วนมีฐานะเป็นอนุภรรยาของนายท่านสกุลเยี่ย ซ้ำรอบๆ ยังมีบ่าวหญิงและบ่าวรับใช้อื่นๆ ที่ยังไม่สลายตัวไปมองอยู่อีก เยี่ยหย่วนที่นับว่าได้รับความโปรดปรานในสกุลเยี่ยก็ยังอยู่ด้วย อี๋เหนียงสามไม่กล้ารับการคุกเข่ากราบกรานจากอี๋เหนียงสี่โดยไม่สนใจอะไร จึงกระทืบเท้าหลบไปด้านข้างด้วยความเจ็บใจ “คอยดูเถอะว่าวันพรุ่งนายท่านมาถึงจะจัดการพวกเจ้าอย่างไร!”
“นายท่านจะมา?” ครั้นได้ยินดังนั้นอี๋เหนียงสี่ก็ยังคุกเข่าตะลึงงันอยู่บนพื้น ทั้งหน้าซีดจนเหมือนผี หันตัวไปดึงแขนเสื้อของเยี่ยหย่วน “อาหย่วน จะทำอย่างไรดี”
เห็นดังนี้ เยี่ยเหมยก็คิดในใจว่า ตัวนางเป็นผู้ใหญ่ไม่คิดหาทางแก้ปัญหา แต่กลับมาถามเด็กแทน ยังมีอะไรพึ่งพาไม่ได้มากกว่านี้อีกหรือไม่
ทว่าด้วยเพราะท้องปวดตุบเป็นระลอกและตัวเย็นวาบขึ้นมาอีกครั้ง เยี่ยเหมยจำต้องเอ่ยเตือนสองแม่ลูกที่ยังขวางทางอยู่ข้างหน้า “ถ้าวันนี้ข้ายังไม่เปลี่ยนเสื้อผ้า ทำร่างกายให้อุ่นอีก จะสามารถเห็นดวงอาทิตย์ในวันพรุ่งได้หรือไม่ก็ยากจะบอกได้แล้ว” ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นฤดูอะไร แค่ลมพัดมาหอบหนึ่งถึงกับทำให้เธอตัวสั่นไม่หยุด
ครั้นพูดจบก็เห็นเยี่ยหย่วนกับอี๋เหนียงสี่ต่างแสดงแววตาประหลาดใจออกมา ดวงตากลมโตที่คล้ายคลึงกันมองเธอเขม็ง
เยี่ยเหมยสูดหายใจลึกคำรบหนึ่ง ก่อนฝืนแสดงสีหน้าท่าทางเศร้าสร้อยออกมา “เดินผ่านประตูผีมารอบหนึ่ง ขอเพียงยังสามารถเห็นท่านกับอาหย่วนได้ ข้าก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น” ยังไม่แน่ใจว่าควรต้องเรียกอี๋เหนียงสี่ว่าอะไร เยี่ยเหมยจึงได้แต่ใช้คำเรียกเลี่ยงๆ ไป
ดีที่อี๋เหนียงสี่กำลังเสียใจเลยไม่ได้สังเกตเห็น นางลุกขึ้นมาประคองเยี่ยเหมยเดินเข้าข้างในด้วยตนเองพลางพูดเจือสะอื้น “อี๋เหนียงเองก็คิดเช่นนี้ ขอเพียงอาเหมยยังมีชีวิต อี๋เหนียงก็ยังคงมีพร้อมทั้งบุตรชายบุตรสาว”
“ถ้าไม่ใช่…ถ้าไม่ใช่เพราะกลัวว่าอี๋เหนียงสี่จะเสียใจ ขะ ข้าก็คร้านจะสนใจท่าน” เยี่ยหย่วนกลับแสดงสีหน้าท่าทางเดียดฉันท์ออกมา น่าเสียดายที่เขายังเบ้าตาแดงอยู่ แววห่วงกังวลในดวงตาก็ยังไม่ทันเก็บลง พอได้ยินเช่นนี้ คิ้วเข้มก็บิดเหมือนหนอนผีเสื้อ ดูน่าขันเป็นที่สุด
เยี่ยเหมยไม่ได้เปิดโปงเขา ก้มหน้าเดินตามอี๋เหนียงสี่เข้าประตู ด้านในประตูมีสาวใช้อายุราวยี่สิบยืนตาแดงมองอี๋เหนียงสี่สามแม่ลูกอยู่ “อี๋เหนียงสี่ คุณหนูเหมย…คุณหนูเหมย นาง…”
“จะแข็งตายแล้ว ยังไม่รีบไปยกน้ำขิงมาให้ข้าอีก!” เยี่ยหย่วนชิงก้าวไปนั่งลงริมโต๊ะกลมตัวหนึ่งภายในห้อง ทางหนึ่งก็ตบโต๊ะสั่ง
สาวใช้อายุราวยี่สิบนางนั้นมองเยี่ยเหมยที่ใบหน้าเล็กซีดขาว ทั้งตัวเปียกโชก ก่อนมองไปยังเยี่ยหย่วนที่นั่งอยู่ริมโต๊ะ เปียกเพียงชายชุด อีกทั้งยังมีเหงื่อออกอีก ฝีเท้านางก็ละล้าละลังอยู่บ้าง
“ข้างนอกไม่มีใครได้ยินหรือไร!” เยี่ยหย่วนตะโกนไปทางด้านนอกอีกครั้ง แต่สายตากลับมองตรงไปที่สาวใช้อายุราวยี่สิบนางนั้น โบกมือพลางพูดกับนางว่า “ช่วยประคองอี๋เหนียงสักหน่อย ระวังอย่าหกล้มเล่า”
ในห้องแบ่งเป็นส่วนในและนอกสองส่วน ส่วนนอกสามารถรับรองแขกได้ ส่วนในใช้สำหรับพักผ่อน กล่าวตามตรง เห็นเตียงเตาขนาดใหญ่ยักษ์ที่ส่วนในแล้วเยี่ยเหมยก็ตะลึงไปเล็กน้อย แต่ทันทีหลังจากนั้นก็ถูกอี๋เหนียงสี่กับกุ้ยฮวาช่วยกันถอดเสื้อผ้าหลายชั้นบนตัวออกแล้วรุนตัวไปนอนลงบนเตียงนั้น ครั้นดื่มน้ำขิงที่บ่าวหญิงข้างนอกห้องนำมาให้เยี่ยหย่วนเสร็จ ผมก็ถูกเช็ดจนแห้งแล้วเช่นกัน
พอกินอิ่มใส่อุ่นก็ทำให้เยี่ยเหมยที่เดิมทียังคิดจะสืบข่าวดูสักหน่อยเคลิ้มหลับไป ก่อนจะหลับ เธอยังหวังอย่างมากว่าพอตื่นขึ้นมาต่อให้ไม่สามารถกลับไปยุคปัจจุบันได้ อย่างน้อยก็มอบความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมให้เธอด้วยเถิด
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments