X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักสามีสกุลดี สตรีมากวาสนา

ทดลองอ่าน สามีสกุลดี สตรีมากวาสนา บทที่ 14

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 14

ถ้ามิใช่เพราะกินอิ่มและเมื่อครู่มีเยี่ยนเฟยเร่งอย่างเคารพนบนอบอยู่ด้านข้าง เยี่ยเหมยคงคิดว่าสิ่งที่ได้ประสบในวันนี้เป็นความฝันอันสลับซับซ้อนเปลี่ยนแปลงไปมาอีกแล้ว

เกาต้าเหอสามีภรรยาที่รอเยี่ยเหมยอยู่ที่ท่าเรือก็นึกว่าพวกตนกำลังฝันอยู่เช่นกัน ภรรยาต้าเหอรับเงินจากเยี่ยเหมยมาแนบหน้าอก มองเห็นใครก็เหมือนว่ามีเจตนาไม่ดีไปหมด กลัวจะถูกคนรู้เรื่องแล้วมาปล้นเงินไป

“รอก่อน!”

ในขณะนี้เองกลับพลันมีคนกระโดดออกมาขวางไม่ให้คนทั้งหลายลงเรือ ทำเอาเกาต้าเหอสามีภรรยาตกใจแทบตาย เมื่อวิญญาณกลับเข้าร่างได้ถึงพบว่าผู้ที่เรียกให้หยุดยังนับว่าเป็นคนคุ้นเคย ผู้มาก็คือญาติของเกาเสียงที่เปิดโรงเตี๊ยมอยู่ตีนเขาเถาฮวา

“ข้าก็ว่าอยู่ว่าพวกท่านดูคุ้นๆ เป็นคนจากหมู่บ้านลุงเขยของข้าจริงๆ ด้วย” เถ้าแก่น้อยโรงเตี๊ยมปาดเหงื่อ พ่นลมหายใจยาวก่อนหันกลับไปร้องเรียก “ท่านลู่ ท่านมีโชคไม่เลวจริงๆ นั่งเรือไปหมู่บ้านเกาจยาก่อน จากนั้นเดินไปอีกครึ่งวันก็จะถึงตำบลหยางหลิ่วแล้ว ท่านจะไปหรือไม่ขอรับ”

พร้อมกับที่เสียงของเถ้าแก่น้อยโรงเตี๊ยมเปล่งออกมา พวกเยี่ยเหมยก็มองเห็นพ่อลูกคู่หนึ่งที่อยู่ด้านหลังเขาชัดเจน แม้แต่เยี่ยเหมยที่ภพก่อนเคยเห็นหน้าดาราคนดังมามากมาย เวลานี้ก็ตะลึงงันอยู่บ้างเช่นกัน

นี่เป็นสองคนที่รูปโฉมบุคลิกลักษณะโดดเด่นที่สุดที่เยี่ยเหมยเคยเห็นหลังจากทะลุมิติมา คนพ่อมีร่างสูง คิ้วดาบพาดเฉียง ดวงตาเจิดจ้าเป็นประกาย ผิวขาวรูปงาม บุคลิกท่าทางสุภาพเรียบร้อยคงแก่เรียน รอยยิ้มบางๆ แขวนอยู่บนใบหน้า ทำให้คนเกิดความรู้สึกราวกับได้อาบลมวสันต์ ส่วนลูกชายอายุน่าจะราวหกเจ็ดขวบ แก้มขาวผ่องยังป่องอยู่ ลูกตาที่ดำขาวแยกชัดกลอกไปมา แค่เห็นก็รู้ว่าเป็นเด็กเฉลียวฉลาดผู้หนึ่ง

สองพ่อลูกต่างอยู่ในชุดตัวยาวของบัณฑิตที่เป็นแบบเดียวกัน แม้ผ้าจะถูกซักจนซีดแล้ว แต่ยังสามารถมองออกได้ว่าผ้าที่ใช้และการตัดเย็บล้วนไม่เลว

ครั้นสองพ่อลูกเดินมาใกล้ หลานชายท่านสามเกาก็อธิบายว่า “ท่านนี้คือท่านลู่อาจารย์จากสำนักศึกษาปั้นซาน ท่านนี้คือเสี่ยวอันบุตรชายของท่านลู่ พวกเขาสองพ่อลูกมีกิจธุระจะไปตำบลหยางหลิ่ว เดิมทีท่านลู่คิดจะมาจ้างรถม้าที่ร้านข้าอ้อมไปทางบก แต่ตอนนี้ใกล้เย็นแล้ว กว่าจะถึงตำบลหยางหลิ่วอย่างน้อยก็คงวันพรุ่ง”

“ยังดีที่ข้าได้ยินพ่อข้าบอกว่าเหมือนจะเห็นเรือไม้ของท่านลุงเขยจอดอยู่ที่ท่าเรือจึงได้ลองมารอดู คิดไม่ถึงว่าจะเป็นพวกท่านจริงๆ พี่ชายท่านนี้ช่วยพาท่านลู่กับเสี่ยวอันไปหมู่บ้านเกาจยาด้วยได้หรือไม่”

เกาต้าเหอมีนิสัยเรียบง่ายกระตือรือร้น พอได้ยินว่าท่านลู่เป็นอาจารย์ในสำนักศึกษาก็เกิดความเคารพยำเกรงขึ้นมา รีบหันหน้ากลับไปบอกภรรยา “เจ้ากับอาเหมยขยับเปลี่ยนที่หน่อย นำเบาะในเรือมาตบให้เรียบด้วย อย่าทำให้ท่านลู่กับคุณชายน้อยนั่งแล้วเจ็บ”

“รบกวนแล้ว ผู้แซ่ลู่จะจ่ายค่าเรือให้” ลู่เฉินประสานมือค้อมคำนับ ให้ภรรยาต้าเหอกับเยี่ยเหมยจูงกันไปขึ้นเรือและนั่งลงก่อน จากนั้นก็อุ้มบุตรชายเหยียบเรือพายลำเล็กอีกลำก้าวขึ้นหัวเรือ

“ชายหญิงเจ็ดขวบไม่นั่งร่วมเสื่อ ท่านพ่อ นี่ท่านนับว่านั่งร่วมเสื่อกับสตรีหรือไม่” ลู่เฉินยังไม่ทันนั่งดีๆ ลู่อันหร่านก็พลันชี้เยี่ยเหมยกับภรรยาต้าเหอพลางยิ้มซุกซน

สายตาของลู่เฉินกวาดผ่านใบหน้าของภรรยาต้าเหอและเยี่ยเหมยโดยไม่รู้ตัว ภรรยาต้าเหอยังไม่อะไร แต่ครั้นสบกับนัยน์ตาที่ในความเปิดเผยไร้กังวลมีแววยิ้มเจืออยู่ของเยี่ยเหมย ฝีเท้าก็อดจะสับสนขึ้นมาไม่ได้ เรือไม้ลำเล็กจึงพลอยโคลงเคลงน้อยๆ ตามไปด้วย

เขารีบสงบจิตสงบใจ ยิ้มพลางมองบุตรชาย “พ่อเคยบอกแล้วว่ายามมีเรื่องเร่งด่วนต้องปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ ไม่จำเป็นต้องยึดกฎตายตัวเสียทุกเรื่อง”

ไหนเลยจะคาดคิดว่าลู่อันหร่านจะกลอกตา พูดออกมาอีก “ท่านพ่อ ท่านเคยบอกว่าสิ่งที่ขัดต่อจารีตธรรมเนียมไม่พึงดู เมื่อครู่ข้าเห็นท่านลอบเหลือบมองท่านป้ากับท่านน้าผู้นี้ ซ้ำยังมองอย่างตั้งใจเป็นพิเศษด้วย”

เจ้าเด็กผู้นี้!

รอยยิ้มบนหน้าลู่เฉินรักษาไว้ไม่อยู่แล้ว สาเหตุที่เขามองเยี่ยเหมยนานขึ้นอีกอึดใจก็เพียงเพราะถูกแววตานางดึงดูด ใครจะไปรู้ว่าจะถูกบุตรชายพูดเช่นนี้ กลายเป็นเหมือนเขามีเจตนาไม่ดีเสียแล้ว

ลู่เฉินซอยเท้าเดินไปนั่งลงยังที่นั่งกลางเรือ บอกกล่าวสตรีทั้งสองนางอย่างกระอักกระอ่วนอยู่สักหน่อยว่า “ล้วนเป็นเพราะลูกชายข้าไม่มีมารยาท ขอทั้งสองท่านอย่าได้ถือสา”

“ไฉนจึงเป็นข้าไม่มีมารยาทเสียเล่า ข้าไม่ได้ลอบมองความงามของผู้อื่นเสียหน่อย อีกอย่างข้าก็เพิ่งจะอายุไม่เท่าไรเอง” หลังลู่อันหร่านนั่งลงบนม้านั่งไม้แล้วก็ขยับสะโพกน้อยๆ ด้วยความไม่สบอารมณ์ จ้องเยี่ยเหมยไม่วางตาอย่างเปิดเผยไม่ปิดบัง

“พรืด…” เยี่ยเหมยกลั้นไม่ไหว หัวเราะออกมาเป็นคนแรก

ภรรยาต้าเหอที่ด้านข้างก็หัวเราะแล้วเช่นกัน นางที่มีบุตรสาวมาห้าคนก็ยังอยากได้บุตรชายที่หน้าตาดีเหมือนลู่อันหร่าน จึงยื่นมือไปดึงตัวเขามานั่งข้างๆ “เด็กคนนี้พูดจาได้น่ารักชวนขันนัก อายุเท่าไรแล้ว”

“เจ้าลูกสุนัขอายุตั้งหกขวบแล้ว” ลู่เฉินเห็นภรรยาต้าเหอชอบลู่อันหร่านจากใจจริงก็ให้ลูกนั่งตรงกลางสตรีทั้งสองอย่างวางใจ

“ลูกสุนัข? ท่านพ่อ ท่านเป็นอาจารย์ในสำนักศึกษาจริงหรือ ไฉนจึงชอบด่าตนเองว่าสุนัขนัก” ลูกตาลู่อันหร่านชำเลืองมองไปทั่ว หัวเราะคิกคักพลางล้อบิดาขึ้นมาอีกประโยค

คราวนี้เยี่ยเหมยยิ่งขำหนักกว่าเก่า แต่ยังไม่ทันเปิดปากพูดอะไร ลู่อันหร่านก็พลันกุมมือนางไว้ ก่อนพูดอย่างประหนึ่งว่าไม่ทำให้คนตกใจตายก็ไม่เลิกรา “ท่านน้า เวลาท่านหัวเราะไม่เอาผ้าเช็ดหน้ามาปิดปาก เสี่ยวอันชอบยิ่งนัก ท่านน้า ท่านแต่งงานหรือยัง ถ้ายัง สามารถพิจารณาท่านพ่อข้าสักหน่อยได้หรือไม่ ท่านพ่อข้ามีนามเต็มว่าลู่เฉิน ปีนี้อายุยี่สิบสี่ มีลูกชายหนึ่งคนอายุหกขวบ แม้ในบ้านจะไม่มีที่ดินที่นา แต่ก็มีเรือนเล็กหนึ่งหลัง…”

“ลู่อันหร่าน!” ลู่อันหร่านเพิ่งจะพูดได้ครึ่งเดียว รอยยิ้มบนหน้าของลู่เฉินที่ด้านหลังก็รักษาไว้ไม่อยู่แล้ว รีบส่งเสียงห้ามพลางคิดจะยื่นมือมาจับเขา

ลู่อันหร่านกลับหดตัวหลบเข้าอ้อมแขนภรรยาต้าเหอ แลบลิ้นใส่ลู่เฉิน “ท่านเคยพูดเองนี่นาว่าจะแต่งภรรยาตามที่ข้าชอบ ข้าไม่ชอบคนแซ่เฝิงนั่น ต่อหน้ายิ้มให้ท่าน ลับหลังกลับด่าข้าว่าเป็นตัวภาระ”

“ลู่อันหร่าน!” คราวนี้ลู่เฉินโมโหจริงๆ แล้ว เขาทำหน้าบึ้งพลางตวาดเบาๆ “มานี่!”

“ไปทำไม ท่านคิดจะตีข้าใช่หรือไม่ เสี่ยวหู่บอกว่าขอเพียงมีแม่เลี้ยงก็จะมีพ่อเลี้ยง ฮือๆ…” ลู่อันหร่านอารมณ์เปลี่ยนแปลงเร็วโดยแท้ เพียงชั่วครู่ก่อนยังหัวเราะคิกคักแนะนำตัวอยู่เลย แต่ชั่วครู่ถัดมากลับร้องไห้โฮเสียแล้ว

ภรรยาต้าเหอเป็นคนรักเด็ก ทางหนึ่งช่วยเช็ดน้ำตาให้ลู่อันหร่าน ทางหนึ่งก็คิดจะเตือนลู่เฉินสักสองประโยค ทว่าอ้าปากแล้วกลับไม่รู้ว่าควรคุยเหตุผลกับ ‘ปัญญาชน’ อย่างไร จึงหันมารุนเยี่ยเหมยน้อยๆ “อาเหมย เจ้ารีบเตือนท่านลู่สักหน่อยว่า ถึงโมโหอย่างไรก็ไม่อาจระบายอารมณ์กับเด็กได้”

เยี่ยเหมยลอบถอนหายใจ เอ่ยกล่อมภรรยาต้าเหอว่า “อาสะใภ้วางใจได้เลย ท่านลู่ไม่มีทางลงมือทำร้ายลูกหรอก” ต่อจากนั้นก็ก้มหน้าลงไปหยอกลู่อันหร่าน “เสี่ยวอัน ในเมื่อเจ้าเข้าใจว่าอะไรคือสิ่งที่ขัดต่อจารีตธรรมเนียมไม่พึงดู เช่นนั้นก็ต้องรู้เช่นกันว่าอะไรคือสิ่งที่ขัดต่อจารีตธรรมเนียมไม่พึงพูด ถูกหรือไม่ เจ้าลองคิดดูดีๆ ว่าคำที่เจ้าพูดเมื่อครู่นี้สมควรพูดกับท่านน้าและท่านป้าที่เพิ่งได้พบกันหรือไม่ อีกทั้งเจ้ายังเข้าใจอะไรมากเพียงนี้ จะต้องรู้ว่าอะไรคือคำคนน่ากลัวแน่นอนกระมัง”

ลู่อันหร่านเพียงแต่เหงาเกินไป บิดางานยุ่ง เขาก็ออกไปเดินเตร่ในสำนักศึกษา ครูพักลักจำมาอย่างละนิดละหน่อย มีเพียงความรู้ครึ่งๆ กลางๆ เมื่อก่อนมิใช่ไม่มีใครพูดจาไพเราะอ่อนโยนกับเขา หากแต่ในแววตากลับไม่มีความจริงใจเปิดเผยเหมือนกับเยี่ยเหมย ยิ่งไม่มีทางมีใครตั้งใจก้มหน้าลงมาสบตาเขา ให้ความรู้สึกว่าได้รับการให้เกียรติแก่เขาเหมือนกับเยี่ยเหมย

ในดวงตาลู่อันหร่านยังมีน้ำตาอยู่ เขาพยักหน้าหนักแน่น “ท่านน้า ข้ารู้ว่าอะไรคือคำคนน่ากลัว ข้าจะไม่พูดเหลวไหลส่งเดชอีก”

เด็กคนนี้หน้าตาดีโดยแท้ เขากะพริบดวงตากลมโตจ้องมองจนเยี่ยเหมยใจอ่อนยวบ อดไม่ได้ที่จะจินตนาการว่าเด็กในท้องจะเป็นหญิงหรือชาย หน้าตาจะเป็นอย่างไร

“ท่านน้า ท่านรูปโฉมน่ามองยิ่งนัก เสียงก็น่าฟังอย่างยิ่ง” ประกายอบอุ่นอ่อนโยนด้วยความเป็นมารดาที่ฉายเต็มใบหน้านางทำให้ลู่อันหร่านที่ลอบสังเกตนางโดยตลอดยิ่งมีความรู้สึกดีๆ เพิ่มเป็นทวีคูณ ขยับชิดนางมากขึ้น ในดวงตาโตกลมดิกเต็มไปด้วยแววเคารพชื่นชม ใบหน้าเล็กแดงก่ำ ชวนให้คนเอ็นดูยิ่งยวด

แค่คำพูดสั้นๆ ไม่กี่ประโยค เยี่ยเหมยก็มองออกได้แล้วว่าแม้เด็กคนนี้จะซนไปบ้าง แต่ก็เป็นเด็กฉลาดรู้ความ นางอดจะอยากทำให้เขาเบิกบานขึ้นไม่ได้ จึงหยิบหญ้ายาวที่วางอยู่ตรงมุมด้านหนึ่งบนเรือมา นิ้วโบกสะบัดพลิ้วไหวสานเป็นจิ้งหรีดสีเขียวที่ดูราวกับมีชีวิตตัวหนึ่งออกมาได้ในเวลาไม่นาน จากนั้นก็ยื่นไปตรงหน้าลู่อันหร่าน “ให้เสี่ยวอัน”

ในดวงตากลมของลู่อันหร่านมีรัศมีแสงแตกตื่นดีใจสาดพุ่งออกมา “จริงๆ หรือ” พูดจบก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้อีก จึงเงยหน้ามองลู่เฉิน “ท่านพ่อ ลูกสำนึกผิดแล้ว ลูกรับจิ้งหรีดหญ้าที่ท่านน้าสานได้หรือไม่”

ลู่เฉินยังคงหน้าบึ้งตึง ก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ “รับไว้เถอะ ขอบใจ…แม่นางแล้ว”

ชาวบ้านชนบทของเมืองเซิ่งโจวจะเรียบง่ายไม่มีพิธีรีตอง สตรีที่ยังไม่ออกเรือนไม่น้อยจึงเกล้าผมเป็นมวยเหมือนสตรีที่แต่งงานแล้วเพื่อความสะดวก ด้วยเหตุนี้พอเห็นเยี่ยเหมยเกล้าผมเป็นมวย เขาจึงไม่อาจแน่ใจในฐานะของเยี่ยเหมยได้ชั่วขณะ ทำได้เพียงกล่าวขอบใจเรียบๆ ไปประโยคหนึ่ง

“ไม่เป็นไร เสี่ยวอันเป็นเด็กดียิ่ง” เยี่ยเหมยวางจิ้งหรีดหญ้าลงบนมือลู่อันหร่านก่อนถามเขา “เสี่ยวอัน อยากเรียนวิธีการทำเจ้านี่หรือไม่”

ลู่อันหร่านอยากเรียนแน่นอน หนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งเด็กจึงเอาหน้ามาใกล้กัน พูดคุยเรื่องวิธีการสานจิ้งหรีดหญ้าทันที

ลู่อันหร่านฉลาดมากจริงๆ แค่ดูรอบเดียวเขาก็ทำตามออกมาได้ตัวหนึ่งแล้ว แม้สภาพจะไม่ค่อยสวยนัก แต่ก็พอเป็นรูปเป็นร่าง ทำเอาเขาดีใจยิ้มหน้าบาน ลืมจะระวังปากอีกแล้ว “อันที่จริงข้ารู้ว่าไม่ควรถามเรื่องเหล่านั้นกับท่านน้าต่อหน้าผู้อื่น เพราะจะทำให้ท่านน้าเสื่อมเสียชื่อเสียงได้ แต่ถ้าท่านน้ายังไม่ได้แต่งงานพอดี เช่นนั้นท่านพ่อแต่งท่านน้ากลับบ้านแล้วปฏิเสธการแต่งงานกับสกุลเฝิงได้หรือไม่”

“ลู่อันหร่าน!” ลู่เฉินโมโหจนไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว เขากุมขมับพร้อมทั้งส่งสายตาขอโทษเยี่ยเหมย พลางอธิบายกับบุตรชายว่า “พ่อบอกเจ้ากี่ครั้งแล้วว่าไม่ว่าเป็นใคร พ่อก็ไม่มีความคิดจะแต่งงานด้วยทั้งนั้น เจ้ายังเล็ก ไม่จำเป็นต้องมาห่วงเรื่องพวกนี้”

“แต่เสี่ยวหู่บอกว่าคนแซ่เฝิงเป็นหลานสาวของอาจารย์ใหญ่ ท่านจะต้องตอบตกลงเรื่องแต่งงานแน่นอน ข้าก็จะมีแม่เลี้ยงที่ชอบตีคนเพิ่มมา” หลายวันมานี้ลู่อันหร่านถูกเรื่องนี้ทำให้หวาดหวั่น เวลานี้นึกขึ้นมาได้ก็ดึงดันจะถกเรื่องใหญ่ทั้งชีวิตของบิดาตนต่อหน้าเกาต้าเหอสามีภรรยาและเยี่ยเหมย ไม่มองโดยสิ้นเชิงว่าใบหน้าสุภาพอ่อนโยนของบิดาใกล้จะบิดเบี้ยวเป็นยักษ์ดุร้ายแล้ว

ถ้ามิใช่กลัวว่าไล่จับบนเรืออาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุ ลู่เฉินคงได้หิ้วตัวบุตรชายมาพาดบนเข่าแล้วตีหนักๆ สักยกจริงๆ เป็นเพราะไม่เคยถูกตีก็เลยเว้าวอนอยากโดนแท้ๆ! ทว่าตอนนี้เขาทำได้เพียงหันหลังหนีอย่างกระอักกระอ่วน พินิจพิจารณาดูเขาเขียวน้ำใสสองข้างทางอย่างตั้งใจ ริมหูก็มีเสียงเยี่ยเหมยใช้มือปิดปากลู่อันหร่าน คุยเหตุผลกับเด็กด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแผ่วเบา

เยี่ยเหมยเล่านิทานโดยสอดแทรกหลักเหตุผลออกมาดึงดูดความสนใจของลู่อันหร่านไปอีกครั้ง ทำให้ลู่เฉินอดจะโล่งใจยกใหญ่ไม่ได้

เยี่ยเหมยไม่อาจไม่ยอมรับว่าตนเองเป็นพวกชอบยุ่งชอบห่วงเรื่องคนอื่น คิดว่าก่อนหน้านี้ลู่อันหร่านน่าจะถูกประคบประหงมดีเกินไปจึงมีความเข้าใจต่อการปฏิบัติตัวในสังคมเป็นศูนย์ อีกทั้งนางทนเห็นเด็กดีเช่นนี้ถูกเลี้ยงจนนิสัยเสียไม่ได้ ถ้าไม่ชี้นำทางที่ถูกในเวลาเหมาะสม วันหน้าอาจจะยิ่งก่อเรื่องมากขึ้น ยังดีที่เป็นช่วงเวลาสั้นๆ แค่ข้ามน้ำ นางไม่ต้องมีหน้าที่รับผิดชอบอะไรนัก พูดเหตุผลได้เท่าไรก็เท่านั้น

ทางเยี่ยเหมยเล่านิทานเล่าคติสอนใจให้ลู่อันหร่านฟังเบาๆ ด้วยน้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยน ทางด้านภรรยาต้าเหอก็ว่างจนเบื่อ พินิจดูการแต่งกายของลู่เฉินเล็กน้อยก่อนหาเรื่องคุยอย่างอดไม่อยู่

“ท่านลู่รีบร้อนไปตำบลหยางหลิ่วเพื่อเยี่ยมญาติหรือเยี่ยมสหาย”

ลู่เฉินนั่งอยู่ท้ายเรือด้วยท่าทางสบายๆ ใบหน้าที่อ่อนโยนมีรอยยิ้มบางๆ เขากำลังตั้งใจฟังบรรดาหลักเหตุผลที่เยี่ยเหมยพูดให้บุตรชายของเขาฟัง จึงไม่ระวังถูกภรรยาต้าเหอทำให้ตกใจจนสะดุ้ง ประสานมือคารวะก่อนว่า “ผู้น้อยจะไปเยี่ยมสหายพร้อมทั้งเยี่ยมศิษย์ที่หยุดเรียนไปคนหนึ่ง”

“ท่านลู่เป็นคนดีโดยแท้ ลูกศิษย์หยุดเรียนแล้ว ท่านยังอุตส่าห์ไปเยี่ยมถึงที่ด้วยตนเอง” ภรรยาต้าเหอมีความเคารพอย่างสุดซึ้งต่อบัณฑิตผู้ศึกษาเล่าเรียน ในหมู่บ้านก็มีเด็กไปเรียนกับอาจารย์ที่เปิดสำนักศึกษาเช่นกัน แต่อาจารย์ผู้นั้นหยิ่งยโสเสียยิ่งกว่าอะไร ไม่เคยยอมเหยียบเท้าเข้าบ้านลูกศิษย์ในหมู่บ้านคนไหนเลย

เวลานี้เยี่ยเหมยเองก็หยุดเล่านิทาน อดจะนึกถึงเยี่ยหย่วนไม่ได้ ขณะช้อนตาขึ้นมองลู่เฉินก็เห็นเขาถูกลมบนผิวน้ำพัดจนตัวสั่น ท้ายเรือไม่ได้มีประทุนช่วยบังเหมือนตรงกลางเรือ ซ้ำเขายังใส่เสื้อผ้าบาง ตอนนี้เพิ่งจะผ่านมาได้ครึ่งทาง กว่าจะถึงจุดหมายเขาไม่เป็นหวัดไปก็แปลกแล้ว

คิดถึงตรงนี้ เยี่ยเหมยก็บอกให้ภรรยาต้าเหอขยับเว้นที่ว่าง “ท่านลู่ ผิวน้ำลมแรง เชิญเข้ามานั่งคุยกันข้างในเถิด”

ลู่เฉินได้ยินดังนั้นก็มองเยี่ยเหมยปราดหนึ่งอย่างรวดเร็ว ปกติสอนหนังสืออยู่ที่สำนักศึกษาปั้นซานก็ยังต้องติดต่อกับครอบครัวลูกศิษย์เป็นครั้งคราว แต่ไม่มีหญิงสาวชนบทคนใดที่มีลักษณะท่าทางอ่อนหวานและความคิดความอ่านเฉียบแหลมได้อย่างเยี่ยเหมย ทั้งสามารถพูดเหตุผลให้บุตรชายเขาฟังจนเข้าใจด้วยภาษาเรียบง่าย ทั้งสามารถสังเกตเห็นอาการไม่สบายของเขาได้

ลู่เฉินเพิ่งจะมองเยี่ยเหมยอย่างตั้งใจจริงๆ ในเวลานี้เอง การมองคราวนี้ทำให้เขารู้สึกว่าเยี่ยเหมยไม่เหมือนหญิงสาวชนบทจริงๆ มีหญิงสาวชนบทที่ไหนบ้างที่ผิวพรรณขาวผ่อง หน้าตางดงามละมุนละไมได้เช่นนี้

เขามาอยู่เมืองเซิ่งโจวได้หลายปี ย่อมจะรู้ว่าชาวบ้านท้องที่นี้เรียบง่ายไม่มีพิธีรีตอง ชายหญิงมิได้ถือเนื้อถือตัวกันเท่าเมืองหลวง เป็นชนบทห่างตัวเมืองยิ่งไม่มีอะไรต้องพิถีพิถัน ดังนั้นหลังลังเลเพียงเล็กน้อยก็ยกชายชุดไปนั่งลงตรงที่ว่างที่ภรรยาต้าเหอขยับแบ่งให้

“ผู้น้อยมีลูกศิษย์คนหนึ่งนามว่าเยี่ยหย่วน ด้วยความรู้ของเขา พวกท่านอาจจะเคยได้ยินชื่อมาบ้าง…” ในใจลู่เฉินคิดว่าตำบลหยางหลิ่วมีขนาดไม่ใหญ่ หนุ่มน้อยที่สอบได้ถงเซิงตั้งแต่อายุไม่ถึงสิบสองอย่างเยี่ยหย่วนสมควรจะมีชื่อเสียงอยู่บ้าง บางทีตอนนี้อาจจะถามได้ที่อยู่ ถึงเวลานั้นก็ประหยัดแรงในการหาเขาไปได้บ้าง

คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะพูดได้ครึ่งเดียว เยี่ยเหมยกับภรรยาต้าเหอกลับเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ

เยี่ยเหมยยิ่งส่งเสียงถามด้วยความประหม่ากังวล “ท่านหาเยี่ยหย่วน? มีธุระใดหรือ” สายตาจับจ้องใบหน้าลู่เฉินนิ่งงัน

ลู่เฉินถูกนางมองจนใบหน้าขาวสะอาดขึ้นสีเลือดฝาด “ผู้น้อยสอนอยู่ที่สำนักศึกษาปั้นซานมาสี่ปีกว่า แต่เป็นครั้งแรกที่ได้พบลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์ขนาดเยี่ยหย่วน เดิมคิดจะให้เขาลองลงสนามสอบฤดูใบไม้ร่วงนี้ดูว่าจะสอบได้ซิ่วไฉหรือไม่ คิดไม่ถึงว่าหลังปีใหม่ไม่เห็นเขามาเรียน ผู้น้อยไม่รู้ว่าเขาเปลี่ยนสำนักศึกษาหรือมีสาเหตุอย่างอื่น อย่างไรก็ต้องรู้ให้ได้จึงจะสบายใจ”

“อาหย่วนจะสอบซิ่วไฉ?!” ตอนที่เยี่ยเหมยได้ยินเยี่ยหย่วนกับท่านสามเกาคุยถึงคุณชายสุยเฟิงที่ความรู้ความสามารถน่าตื่นตะลึงก่อนหน้านี้ แม้จะรู้สึกถึงสีหน้าอิจฉาของเยี่ยหย่วนได้ แต่กลับไม่เคยคิดเลยว่าเขาอายุยังน้อยก็สามารถจะสอบซิ่วไฉได้แล้ว

“ใช่แล้ว เยี่ยหย่วนมีพื้นฐานสี่ตำราห้าคัมภีร์แน่นอยู่ก่อน หลังมาสำนักศึกษาปั้นซานยิ่งขยันไม่เคยหยุดเรียน เขามีพรสวรรค์ในการเรียนสูงอย่างที่สุด” พูดถึงลูกศิษย์คนโปรด รอยยิ้มบนหน้าลู่เฉินก็ยิ่งกว้างขึ้น เยี่ยเหมยไม่เหมือนหญิงสาวชนบทจริงๆ เขาสามารถพูดกับนางได้สบายๆ ไม่ต้องคอยอธิบายให้มากความ

“อาเหมย เมื่อครู่ท่านลู่ว่าอะไรนะ เขาว่าอาหย่วนสามารถเข้าสอบซิ่วไฉหรือ สวรรค์ ในบ้านข้ามีซิ่วไฉอาศัยอยู่!” คราวนี้ภรรยาต้าเหอที่เข้าใจตามไม่ทันตระหนักได้แล้วว่าท่านลู่พูดอะไร จึงตื่นเต้นจนแทบจะลุกขึ้นยืน แต่ฉับพลันนั้นก็นึกสถานการณ์ของเยี่ยเหมยสองพี่น้องขึ้นได้อีก จึงนั่งกลับลงไปใหม่ด้วยท่าทางสลดหดหู่ “เฮ้อ อาหย่วนช่างดีต่อพี่สาวอย่างเจ้าจริงๆ อยู่ที่บ้านมีคนส่งเสียให้เขาเรียนหนังสือเป็นเรื่องที่ดีเพียงไร กลับแล่นมาอยู่ข้างนอกเพื่อเจ้า บัดนี้ใครจะส่งเสียให้เขาเรียนต่อได้”

เยี่ยเหมยยังไม่ทันตอบ ลู่อันหร่านที่สานจิ้งหรีดอยู่พลันกะพริบๆ ตาพลางกล่าว “พี่เยี่ยหย่วนไม่มีใครส่งเสียเขาเรียนเสียหน่อย ค่าอาหารทุกเดือนล้วนเป็นท่านพ่อข้าจ่าย” พูดจบถึงได้เห็นสายตาพิฆาตจากลู่เฉิน เขางับปากลง ซุกตัวเข้าอ้อมแขนเยี่ยเหมย “ก็จริงนี่นา ปีก่อนพี่เยี่ยหย่วนจ่ายค่าเล่าเรียนเพียงครั้งเดียว หลังเขาสอบได้ถงเซิงก็ไม่คิดจะเรียนต่อ ต่อมาเป็นท่านพ่อให้เงินเขาถึงเรียนต่อได้”

“เสี่ยวอัน มาหาป้านี่ อย่าไปเบียดน้องชายน้อยในท้องท่านน้าเจ้า” ภรรยาต้าเหออ้าปากน้อยๆ ไม่กล้าพูดอะไรแล้ว หากแต่ยังมีสติอยู่จึงรีบจับลู่อันหร่านที่ทำกิริยาไม่เรียบร้อยมาขังไว้ในอ้อมแขนของตนอีกครั้ง

เยี่ยเหมยถูกคำพูดเปิดโปงเบื้องหลังของลู่อันหร่านทำเอาตกใจอึ้งไป มิน่าเยี่ยหย่วนถึงได้ตามนางออกมาได้ง่ายๆ เพียงนี้

ไม่รู้ว่าสกุลเยี่ยนี่อย่างไรกันแน่ ถึงกับทำเรื่องไม่จ่ายค่าเล่าเรียนให้เยี่ยหย่วนออกมาได้ ทว่าเยี่ยเหมยเองก็นึกไปถึงสภาพซับซ้อนในครอบครัวสกุลเยี่ย ความโดดเด่นของเยี่ยหย่วนจะต้องไปกระทบผลประโยชน์ของคนไม่น้อยแน่นอน ได้ยินว่าเยี่ยเซิ่งเป็นคนขี้เหนียวที่ไม่สนใจเรื่องหลังบ้าน คนหลังบ้านจะทำอะไรลับหลังเขาก็ง่ายดายเหลือเกิน นับประสาอะไรกับก่อนหน้าเยี่ยหย่วนยังมีพี่ชายคนละแม่ที่โตแล้วอยู่ถึงสามคน

เรื่องนี้มีจุดน่าสงสัยมากเกินไป เยี่ยเหมยจึงไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไรไปชั่วขณะเช่นกัน หากแต่นางรู้ว่าถ้าไม่มีท่านลู่ที่อยู่ตรงหน้านี้เมตตาช่วยเหลือ เยี่ยหย่วนก็ไม่แน่ว่าจะทนมาได้ถึงก่อนปีใหม่

เยี่ยเหมยมองลู่เฉินด้วยความซาบซึ้งใจ “ท่านลู่ ข้าเป็นพี่สาวของเยี่ยหย่วน อาหย่วนไม่เคยบอกเรื่องที่สำนักศึกษากับที่บ้านเลย พวกข้าเองก็ไม่รู้เรื่องเหล่านี้ หากแต่ตอนนี้อาหย่วนกับข้าแยกออกมาอยู่ตามลำพังแล้ว ค่าเล่าเรียนของภาคการเรียนนี้ข้าจะจ่ายและให้เขากลับไปเรียนอีกครั้งแน่นอน นอกจากนี้เงินที่ท่านเคยจ่ายแทนเขา ข้าก็จะหาทางคืนให้ท่านเช่นกัน”

ไม่ว่าอย่างไรผู้เป็นอาจารย์ทำได้ถึงขนาดนี้ก็นับว่าหาได้ยากโดยแท้ อีกทั้งในเมื่อเยี่ยหย่วนมีพรสวรรค์ เยี่ยเหมยก็จะสนับสนุนเต็มที่

นึกถึงน้องชายที่ปากแข็งใจอ่อนของนางขึ้นมา เยี่ยเหมยก็แจ้งใจอยู่บ้างแล้วว่าเหตุใดเขาถึงไม่แก้ตัวอธิบายอะไรเลย คิดว่าเพราะได้เรียนกับอาจารย์อย่างลู่เฉินทำให้เขาพลอยเรียนรู้ที่จะปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยหลักการสุภาพชนไปด้วย แต่กลับไม่รู้ว่าเรื่องราวบนโลกหาใช่ใช้หลักการสุภาพชนมาจัดการได้ทุกอย่างไม่

ลู่เฉินนิ่งงันไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบโบกมือพร้อมกับกล่าว “ข้ามิได้มาเพื่อค่าเล่าเรียน เพียงแต่ไม่อยากให้เขาเสียเวลาการเรียนเท่านั้น”

“ข้าเข้าใจๆ” เยี่ยเหมยเข้าใจความคิดความอ่านของลู่เฉินจริงๆ จึงเกิดความเคารพนับถือต่อเขา

นางไม่คิดจะกลับไปสถานที่วุ่นวายอย่างสกุลเยี่ยแล้ว คาดว่าเยี่ยหย่วนก็น่าจะคิดเหมือนกับนาง หวังว่าพวกตนสองพี่น้องจะลงหลักปักฐานได้โดยเร็วที่สุด แล้วจะได้รับมารดาที่อ่อนแอเหมือนปั้นจากน้ำท่านนั้นออกมาอยู่ด้วยกัน

ในเมื่อมีเรื่องต้องคิดจึงรู้สึกว่าเรือแล่นไวราวกับบิน จนกระทั่งภรรยาต้าเหอบอกว่าถึงแล้ว เยี่ยเหมยถึงเพิ่งตระหนักได้ว่าตนเองถึงกับนั่งเหม่อมาตลอดทาง

ด้านเยี่ยหย่วนกะเวลามารออยู่ที่ท่าเรือ ขณะมองเห็นสองพ่อลูกลุกขึ้นยืนบนเรือก็อดจะตกใจอึ้งไปไม่ได้ จนกระทั่งลู่อันหร่านโผมาหยุดเบื้องหน้าเขา กอดเอวเขาไว้ เขาถึงได้ส่งเสียงงึมงำออกมา “อาจารย์ลู่ เสี่ยวอัน”

“อาหย่วน เวลาไม่เช้าแล้ว เชิญอาจารย์ไปที่บ้าน กินข้าวแล้วคุยไปด้วยจะดีกว่า” เยี่ยเหมยหยิบห่อผ้ามา ก่อนยัดแท่งเงินแท่งหนึ่งให้ภรรยาต้าเหอ “อาสะใภ้ต้าเหอ เกรงว่าจะต้องรบกวนท่านไปซื้อไข่ไก่กับผักกลับมาอีกแล้ว” ยังดีที่วันนี้มีรายรับก้อนใหญ่ ขณะอยู่ที่เมืองเซิ่งโจวเยี่ยเหมยก็ซื้อเนื้อซื้อผักมาไม่น้อย มิเช่นนั้นอยู่ในหมู่บ้านกันดารห่างไกลนี้ นางก็ไม่รู้จริงๆ ว่าควรให้การรับรองแขกอย่างไร

“ข้าจะเอาของเจ้าได้อย่างไร ข้ายังทุกข์อยู่เลยว่าไม่มีโอกาสได้ขอบคุณเจ้าดีๆ” ภรรยาต้าเหอเบี่ยงตัวหลบมือที่ยื่นมาของเยี่ยเหมย ก่อนจะเดินลิ่วๆ ไปร้านขายของในหมู่บ้าน

เยี่ยเหมยอยากจะรับรองสองพ่อลูกให้ดี จึงลงครัวทำอาหารที่มีครบทั้งสีกลิ่นรสมาหลายอย่าง รวมถึงอาหารว่างสำหรับเด็กอีกสองสามอย่างด้วย

เกาต้าเหอกับเยี่ยหย่วนนั่งกินข้าวเป็นเพื่อนลู่เฉินอยู่ในห้องใหญ่ที่ดีที่สุดของบ้านสกุลเกา เดิมทีลู่อันหร่านก็อยู่ด้วย แต่ต้านทานเสียงหัวเราะพูดคุยครื้นเครงของเยี่ยเหมยกับดอกไม้ทั้งห้าแห่งสกุลเกาที่ในห้องครัวไม่ไหว จึงมาเบียดเสียดแย่งอาหารกับบรรดาสตรีในห้องครัวด้วย

หลังกินเสร็จก็ได้เวลาเข้านอน บ้านสกุลเกาย่อมไม่มีที่ให้สองพ่อลูกพัก เกาต้าเหอจึงพาลู่เฉินไปบ้านท่านสามเกาผู้เป็นหัวหน้าหมู่บ้าน ส่วนว่าเหตุใดลู่อันหร่านไม่ได้ไปด้วยก็เพราะเขาเล่นหนีเข้าไปหลบในห้องเยี่ยเหมย เนื่องจากติดที่เรื่องชายหญิงมีความแตกต่างกัน ลู่เฉินไม่อาจไล่ตามเข้าไป ทำได้เพียงคาดโทษบุตรชายในใจ หลังขอโทษขอโพยแล้วถึงได้ไปบ้านท่านสามเกา

ลู่อันหร่านไม่เพียงฉลาดมากไหวพริบ แต่ยังมองสีหน้าคนเก่งด้วย พอเยี่ยเหมยกลับมาเขาก็แสดงท่าทางน่าสงสารเป็นหนักหนาออกมา ทำเอาเยี่ยเหมยที่ชอบเด็กเป็นทุนเดิมใจอ่อนยวบจนเผลอตอบตกลงให้ลู่อันหร่านนอนข้างนางได้ ซ้ำยังเล่านิทานก่อนนอนไปหลายเรื่อง

เดิมนึกว่าลู่อันหร่านจะค้างด้วยเพียงคืนเดียว คิดไม่ถึงว่านิทานหลายเรื่องนี้จะนำเรื่องยุ่งยากมาให้นาง

วันรุ่งขึ้นลู่เฉินจะพาลู่อันหร่านไปเยี่ยมสหายสองคนที่ตำบลหยางหลิ่ว เขากลับยืนกรานจะไม่ไปด้วย ซ้ำยังมีเหตุผลเต็มที่ บอกว่าเยี่ยหย่วนก็ต้องกลับสำนักศึกษา เขาจะไปกับเยี่ยหย่วนแต่ไม่อยากตามลู่เฉินไปเยี่ยมสหายเก่า

ดีที่เยี่ยเหมยกำลังคิดจะพาภรรยาต้าเหอกับซื่อฮวาไปเมืองเซิ่งโจวตามข้อตกลงกับสะใภ้ใหญ่จั่น คิดดูเห็นว่าลู่เฉินพาลู่อันหร่านไปตระเวนตามตรอกซอกซอยก็ไม่ค่อยสะดวกนัก จึงเป็นฝ่ายเสนอว่านางจะพาลู่อันหร่านไปเมืองเซิ่งโจวก่อน แล้วพอถึงเวลาจะให้เยี่ยหย่วนพาเขาไปส่งที่สำนักศึกษาปั้นซาน

เดิมทีเป็นเพราะไม่มีใครช่วยเขาดูลู่อันหร่าน ลู่เฉินถึงได้ต้องกระเตงบุตรชายไปด้วยทุกที่ บัดนี้มีเยี่ยเหมยกับภรรยาต้าเหอช่วยดูถึงสองคน ทั้งยังมีเยี่ยหย่วนที่ลู่อันหร่านคุ้นเคยอยู่ด้วย ลู่เฉินย่อมจะไม่ห่วงความปลอดภัยของบุตรชาย ข้อเสนอของเยี่ยเหมยเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเขา

ยิ่งกว่านั้นลู่เฉินก็เพียงแค่สุภาพ แต่มิได้เป็นคนลังเลไม่เด็ดขาด หลังตัดสินใจแล้วก็กำชับกำชาลู่อันหร่านหลายประโยค ก่อนจะเดินไปตำบลหยางหลิ่วตามทิศทางที่คนในหมู่บ้านบอก

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 28 พ.ค. 62

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

Jamsai Editor: