บทที่ 16
ไม่มีเฝิงหมัวมัวคอยขัดขวาง เรื่องทุกอย่างก็เป็นไปตามขั้นตอนของเยี่ยเหมย จั่นชิงฮุยสองพี่น้องกับเกาซื่อฮวาได้รับการดูแลปฏิบัติเหมือนกันทุกอย่าง ตากแดด วิ่งเล่น ดื่มน้ำแกงเสริมกระดูก ถึงขนาดว่าปลูกดอกไม้ ปลูกถั่ว จับแมลงในสวน เพียงแค่ห้าหกวันเด็กทั้งสองก็มีความอยากอาหารเพิ่มขึ้น เวลานอนก็หลับสนิท รอยยิ้มบนหน้าก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้นหลายส่วน
สะใภ้ใหญ่จั่นที่หาเวลามาดูที่เรือนเล็กจับดูคนนี้ทีคนนั้นที พลางคิดภาพความเปลี่ยนแปลงในอีกหนึ่งเดือนของเด็กทั้งสอง ก่อนจะจับมือเยี่ยเหมยด้วยความตื่นเต้นยินดีเสียจนพูดไม่ออกจริงๆ
เยี่ยเหมยเวลานี้กลับไม่เอาความดีความชอบเข้าตัว ผลักไปให้ชุนหลันกว่าค่อน
หลังสะใภ้ใหญ่จั่นจากไปแล้ว ชุนหลันก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง แสดงการคารวะยกใหญ่ต่อเยี่ยเหมย “แม่นางเยี่ย วันนี้ชุนหลันจดจำบุญคุณของท่านไว้แล้ว วันหน้าถ้ามีโอกาสจะต้องตอบแทนท่านแน่นอน”
ส่วนที่ด้านหลังสะใภ้ใหญ่จั่น ชุนเถากับเฝิงหมัวมัวแลกเปลี่ยนสายตากันไปมา เฝิงหมัวมัวขบเขี้ยวเคี้ยวฟันสาบานขึ้นมาในตอนที่สะใภ้ใหญ่จั่นไม่ได้ยินว่า “วันหน้าข้าจะต้องหาโอกาสทำให้นางชั้นต่ำนั่นทรมานให้ได้”
ใครเลยจะรู้ว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นกับเยี่ยเหมยในเวลาต่อมาจริงๆ เพียงแต่ใครแพ้ใครชนะก็ยังไม่รู้แน่นอน
ช่วงกลางวันวันต่อมา เยี่ยเหมยกำลังพาเด็กทั้งสามมานั่งล้อมโต๊ะกินข้าว ลู่เฉินกับลู่อันหร่านกลับพลันมาปรากฏตัวอยู่หน้าประตูเรือน พร้อมทั้งนำข่าวน่าตกใจมาด้วย…บ้านสกุลเกาไฟไหม้!
ลู่เฉินมองสตรีที่ลุกขึ้นจากข้างโต๊ะด้วยความตกใจ พอเปลี่ยนจากเสื้อบุนวมของฤดูหนาวมาเป็นชุดฤดูใบไม้ผลิ เส้นโค้งตรงท้องน้อยก็มองเห็นชัด เรือนร่างที่ดูผอมบางในวันนั้นอิ่มเอิบมีน้ำมีนวลขึ้นมาก ลู่เฉินพลันได้สติกลับมาก็เบือนหน้าหนีน้อยๆ แก้มกลับมีสีแดงเรื่อขึ้นมาแล้ว เขากระแอมไอเบาๆ สองสามทีก่อนกล่าวว่า “คนสกุลเกาไม่รู้ว่าพวกท่านอยู่ที่นี่ จึงให้คนไปหาเยี่ยหย่วนที่สำนักศึกษา เยี่ยหย่วนตามคนกลับไปหมู่บ้านเกาจยาแล้วจึงให้ข้ามาบอกให้พวกท่านรู้ ด้วยกลัวว่าพรุ่งนี้วันหยุดแต่เขาไม่มาที่นี่ พวกท่านจะร้อนใจ”
วันนั้นระหว่างทางที่ตามเยี่ยเหมยกลับมาเมืองเซิ่งโจว เยี่ยหย่วนเพิ่งได้รู้ว่าเยี่ยเหมยตอบรับจะรักษาบุตรสาวบุตรชายของสะใภ้ใหญ่จั่น เขาโมโหที่นางเอาชีวิตมาทำการค้ากับผู้อื่นเพื่อเงินในทันที ยังไม่ต้องพูดถึงว่าสะใภ้ใหญ่จั่นมีฐานะระดับใด ลำพังแค่สกุลจั่นทางใต้ของเมืองก็มิใช่ผู้ที่พวกเขาสองพี่น้องจะมีเรื่องด้วยได้แล้ว ทว่าเขาก็ต้านทานเยี่ยเหมยที่พูดรับรองแล้วรับรองอีกพร้อมทั้งบอกว่าจะรักษาเกาซื่อฮวาไปพร้อมกันไม่ไหว
เยี่ยหย่วนจ้องนางอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็โยนคำว่า ‘ไม่สนแล้ว’ ทิ้งไว้แล้วพาลู่อันหร่านกลับสำนักศึกษาปั้นซานไป ทว่าเพียงไม่กี่วันเยี่ยหย่วนก็พาลู่อันหร่านมาปรากฏตัวอยู่นอกประตูเรือนเล็กทางตะวันออกของเมือง เมื่อได้เห็นว่าสภาพร่างกายของเกาซื่อฮวามีความเปลี่ยนแปลงจริงๆ ถึงได้เชื่อคำของเยี่ยเหมย หลังจากนั้นขอเพียงถึงวันหยุดหรือในสำนักศึกษาไม่มีอะไร เยี่ยหย่วนก็จะพาลู่อันหร่านมารายงานตัวที่เรือนเล็ก
“แล้วตอนนี้พวกข้าไม่ร้อนใจหรือไร” ภรรยาต้าเหอเดินวนไปวนมาอยู่ที่เดิมด้วยความร้อนรุ่มใจ บ้านสกุลเกาเป็นนางกับเกาต้าเหอสร้างขึ้นเองกับมือ ถึงแม้หลังแยกบ้านจะได้ห้องใหญ่ที่ดีหน่อยมาแค่หนึ่งห้อง แต่ได้ยินข่าวก็ยังนั่งไม่ติด “ไม่ได้ ข้าต้องกลับไปดู”
“ข้าก็จะกลับไปดูกับอาสะใภ้ด้วย” แม้จะบอกว่าได้พักอาศัยอยู่เพียงไม่กี่วัน แต่มาถึงต่างโลกที่ไม่คุ้นเคยนี้ก็ได้เจอครอบครัวเกาต้าเหอที่ใจดีไม่มีพิธีรีตอง แม้สกุลเกาจะลำบากยากแค้น แต่กลับสำคัญในใจเยี่ยเหมยยิ่งกว่าสกุลเยี่ยเสียอีก
“เจ้าจะกลับไปทำไม ท้องอยู่จะตรากตรำไปกลับได้อย่างไร” ถึงสมองภรรยาต้าเหอจะสับสนยุ่งเหยิง แต่ก็ยังจำได้ว่ายามนี้เยี่ยเหมยทนรับการตรากตรำไม่ได้
“ท่านอาสะใภ้ บ้านสกุลเกามิได้เป็นแค่บ้านของพวกท่าน แต่ยังเป็นบ้านของข้ากับอาหย่วนเช่นกัน” นึกถึงความอ้างว้างเคว้งคว้างเมื่อถูกเยี่ยเซิ่งไล่ออกจากบ้านแล้วไม่มีที่ไปขึ้นมา เยี่ยเหมยก็ให้หนาวเหน็บใจจนน้ำตาคลอหน่วย
แม้บ้านสกุลเกาจะหยาบๆ ง่ายๆ แต่ก็ให้การพักพิงแก่พวกนางสองพี่น้อง เกิดเรื่องใหญ่เพียงนี้ ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องกลับไปดู อีกทั้งนางก็รู้สึกอยู่ตลอดว่าเรื่องนี้มีอะไรไม่ชอบมาพากล บางทีบ้านสกุลเกาอาจจะถูกนางกับเยี่ยหย่วนพลอยทำให้เดือดร้อน!
“เจ้าเด็กหัวดื้อนี่ กลับก็กลับ กลับไปด้วยกัน ไม่ต้องร้องไห้” ภรรยาต้าเหอเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะหลั่งน้ำตาจึงยินยอมตามใจทันที
เวลานี้ลู่เฉินที่ยังรออยู่ข้างประตูก็กำหมัด ร้องบอกเยี่ยเหมยกับภรรยาต้าเหอที่ยังเก็บข้าวของอยู่ว่า “อาสะใภ้ต้าเหอ แม่นางเยี่ย เสี่ยวอันได้ยินว่าบ้านสกุลเกาถูกไฟไหม้ก็ร้อนใจยิ่ง รบเร้าให้ผู้น้อยตามไปด้วยเผื่อว่ามีอะไรที่ช่วยเหลือได้ เมื่อครู่ผู้น้อยจ้างเรือเล็กไว้ลำหนึ่งแล้ว สองท่านรีบหน่อยเถอะ”
เรือที่ลู่เฉินจ้างจอดอยู่ริมท่าเรือที่ที่ผ่านมาเยี่ยเหมยใช้เข้าเมือง แม้จะกล่าวว่าเป็น ‘เรือเล็ก’ แต่อันที่จริงใหญ่กว่าเรือไม้ของบ้านท่านสามเกามาก บนเรือมีคนถ่อเรืออยู่ ภายในห้องบนเรือกว้างขวางสะอาดสะอ้าน ระหว่างที่นั่งสองแถวตรงข้ามกันยังมีเตาไฟเล็กเผาถ่านไม้กับโต๊ะตัวเล็กวางอยู่อย่างละหนึ่ง
เมื่อนั่งในห้องบนเรือเรียบร้อย ภรรยาต้าเหอก็ยังไม่ลืมจะบ่น “อาเหมย ฝากเรือนเล็กไว้กับชุนหลันจะดีหรือ เจ้าไม่ควรตามข้าออกมาวิ่งวุ่นเลยจริงๆ”
“ท่านอาสะใภ้ บ้านสกุลเกาในตอนนี้ยังเป็นบ้านของข้า ไม่กลับไปดูจะสบายใจได้อย่างไร” เยี่ยเหมยรู้ว่าภรรยาต้าเหอทั้งห่วงว่าชุนหลันรู้ความลับของตำรับยาลับ ทั้งห่วงว่าจะเกิดอะไรกับร่างกายตน และก็รู้เช่นกันว่าอันที่จริงนางอาศัยการพูดมาอำพรางความร้อนใจดั่งไฟเผาของตนเอง จึงผ่อนน้ำเสียงเปลี่ยนเรื่องพูด เอ่ยถึงเรื่องอื่นกับภรรยาต้าเหอ
ลู่อันหร่านคงจะถูกลู่เฉินเตือนเอาไว้ ทำท่าอยากพูดอะไรแต่ก็ไม่พูดอยู่หลายครั้ง จนกระทั่งเรือออกจากฝั่งมานาน เยี่ยเหมยหมดเรื่องคุยกับภรรยาต้าเหอแล้ว เขาถึงกะพริบตาร้องเรียก “ท่านน้าเยี่ย วันนี้กลับไปท่านจะยังทำของอร่อยอยู่หรือไม่”
เด็กคนนี้ก่อนหน้านี้เคยกินพวกของกินเล่นอย่างซี่โครงหมูผัดเปรี้ยวหวานและมั่นฝรั่งเส้นทอดที่บ้านเยี่ยเหมย ต่อมาตามเยี่ยหย่วนไปเรือนเล็กของสกุลจั่นก็ได้กินอาหารอร่อยบำรุงแคลเซียมอีกหลายอย่าง บัดนี้พอเห็นเยี่ยเหมย ในหัวก็เหลือแต่รสชาติอร่อยต่างๆ นานาแล้ว
“เสี่ยวอัน!” ลู่เฉินตวาดเบาๆ เป็นการเตือน “นี่มันเวลาอะไร ยังห่วงแต่เรื่องกินอยู่อีก”
“ล้วนกล่าวกันว่าประชาชนถือเรื่องอาหารการกินเป็นเรื่องใหญ่ ท่านลู่อย่าได้ตำหนิเสี่ยวอัน ข้าก็คิดเรื่องกินอยู่ทุกเวลาเช่นกัน” เยี่ยเหมยเปิดห่อผ้าข้างตัว หยิบกล่องอาหารที่ให้เกาต้าเหอทำให้เป็นพิเศษออกมา ช่องทั้งเก้ามีของกินเล่นอยู่สี่ห้าอย่างไม่ว่าจะเป็นพวกมันเทศเส้น เต้าหู้แห้ง ถั่วลิสงห้ารส ก่อนจะทำท่าบอกให้ลู่อันหร่านกินและให้ลู่เฉินดู
พร้อมกับที่เวลาล่วงเลยไปทีละวัน ปฏิสัมพันธ์ช่วงเวลาสั้นๆ กับจั่นอวิ๋นหยางก็ค่อยๆ ถูกเรื่องจุกจิกในชีวิตประจำวันเข้ามาแทนที่ จากที่นึกถึงเสียงที่พิเศษไม่เหมือนใครของเขาขึ้นมาเป็นระยะ ตอนนี้แทบจะโยนคนทิ้งไว้ข้างหลังจนหมดสิ้นแล้ว
ยามนี้นางตั้งครรภ์ได้สี่เดือนกว่า มักจะรู้สึกหิวอยู่บ่อยๆ จึงยิ่งทุ่มความสนใจทั้งหมดให้ตนเองกับลูกในท้อง อยู่ในเรือนเล็กที่สะใภ้ใหญ่จั่นอำนวยจัดหาให้ ความสะดวกต่างๆ ถ้าไม่ใช้ก็เสียเปล่า
หลายวันก่อนนางจึงสอนภรรยาต้าเหอทำของกินเล่นจำนวนมาก ไม่เพียงแค่นางชอบกิน บรรดาคนจากสกุลจั่นก็ชอบกินเช่นกัน แม้วันนี้จะรีบร้อนจากมา แต่นางก็ยังไม่ลืมพกติดมาให้เหล่าดอกไม้ที่เหลือของสกุลเกาด้วย
คนทำอาหารไม่ว่าคนไหนก็ล้วนชอบเห็นคนอื่นชื่นชมยกยอ เยี่ยเหมยก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน จึงย่อมจะนำออกมาแบ่งปันอย่างไม่ตระหนี่ นางยังวางแผนว่าหลังจากนี้จะให้ภรรยาต้าเหอฝึกทำสักสองสามอย่างที่ง่ายและใช้เงินทุนไม่มากเพื่อหาเงินเล็กๆ น้อยๆ ด้วย
“ท่านลู่ก็ลองชิมสักหน่อย” หลังขึ้นเรือเยี่ยเหมยคิดจะจ่ายค่าเรือ กลับได้ยินว่าลู่เฉินจ่ายให้หมดแล้ว ยามนี้นางมองเห็นสีหน้าลู่เฉินได้ไม่ชัด อีกทั้งมีภรรยาต้าเหออยู่ นางก็ไม่สะดวกจะถามลู่เฉินว่าเหตุใดถึงช่วยนาง
เยี่ยเหมยมิได้คิดไปทางอื่น ด้วยถึงลู่เฉินจะเป็นพ่อม่ายลูกติด แต่ก็หล่อเหลาเปี่ยมราศี อบอุ่นอ่อนโยน เป็นอาจารย์ในสำนักศึกษาปั้นซาน รายรับในหนึ่งเดือนมากกว่าที่ครอบครัวห้าชีวิตธรรมดาทั่วไปใช้จ่ายถึงสามปี กล่าวได้ว่าเป็นชายโสดผู้เพียบพร้อม
ส่วนนางนั้นเสียความบริสุทธิ์ตั้งแต่ยังไม่แต่งงานซ้ำยังตั้งท้อง ถูกถ่วงน้ำไม่ตายเป็นเรื่องที่โชคดีที่สุดของนางแล้ว ไหนเลยจะสามารถ ‘ยุ่งเกี่ยว’ กับท่านลู่ที่เป็นดั่งเทพเซียนลงมาจากสรวงสวรรค์ได้ คิดไปคิดมานางก็เห็นว่าน่าจะเพราะเห็นแก่หน้าเยี่ยหย่วน
ตามที่ลู่เฉินบอก เยี่ยหย่วนเป็นคนที่มีพรสวรรค์ดีที่สุดที่เขาเคยพบตั้งแต่สอนอยู่ที่สำนักศึกษาปั้นซานมาสี่ปี ถ้าการสอบฤดูใบไม้ร่วงเยี่ยหย่วนสามารถสอบได้ซิ่วไฉ คิดว่าลู่เฉินคงจะรู้สึกประสบความสำเร็จอย่างมากกระมัง
อันที่จริงเยี่ยเหมยเดาผิดโดยสิ้นเชิง สาเหตุที่ลู่เฉินใส่ใจเพียงนี้เป็นเพราะตัวนาง ที่ลู่เฉินมีท่าทางอบอุ่นอ่อนโยน สุขุมลุ่มลึกอยู่ตลอดเป็นเพราะเขาเคยผ่านเรื่องดีเรื่องร้ายในชีวิตมากเหลือเกิน บัดนี้เพียงปรารถนาแต่จะสั่งสอนลูกศิษย์ และปรารถนาให้บุตรชายเติบโตขึ้นอย่างปลอดภัยเป็นสุข
เยี่ยเหมยรู้สึกว่าตนเองหน้าตาธรรมดา ภูมิหลังก็ไม่ได้มีหน้ามีตา หารู้ไม่ว่าตนเองหน้าตาดีอย่างที่สุด กิริยาวาจามั่นอกมั่นใจ มีความคิดเป็นของตนเองต่างจากหญิงชนบท ทั้งยังไม่ได้เอาแต่ใจหรือเสแสร้งแกล้งทำเหมือนอย่างคุณหนูตระกูลใหญ่ที่ลู่เฉินเห็นมาจนชิน ตลอดทั้งร่างนางเปล่งประกายความมั่นใจและความกระฉับกระเฉงเป็นธรรมชาติ ทำให้คนอยากใกล้ชิดนาง เข้าใจนางจากใจจริง
สุดท้ายลู่เฉินก็ต้านทานสายตาที่รอคอยอย่างเปิดเผยของเยี่ยเหมยไม่ได้ จึงหยิบเต้าหู้แห้งในกล่องมาสองชิ้นก่อนส่งเข้าปากเคี้ยวช้าๆ นางเป็นสตรีคนแรกที่เสี่ยวอันชอบในหลายปีมานี้ ชอบจนพูดถึงนางได้ทุกที่ทุกเวลา ถ้าสามารถมีสตรีที่งามสดใสมั่นใจในตนเองเช่นนี้อยู่เป็นเพื่อนเขาจนโตได้ แม่ของเขาในปรภพคงจะดีใจมากแน่นอนกระมัง
บ้านสกุลเกาถูกไฟไหม้มิผิด แต่ไม่ได้วายวอดทั้งหลังเหมือนอย่างที่ภรรยาต้าเหอกับเยี่ยเหมยคิด หลังเกาต้าเหอกับเกาเสี่ยวเหอแยกบ้านกัน ตรงกลางบ้านก็ใช้กำแพงกั้นอาณาเขต ฝั่งที่เป็นของเกาต้าเหอไหม้จนแทบไม่เหลือ กระท่อมสองห้องสร้างใหม่กับห้องที่เยี่ยเหมยและเกาจินฮวาพี่น้องนอนถูกไหม้หนักที่สุด แทบจะเหลือเพียงเถ้าถ่านสีดำ มีเพียงห้องใหญ่ของบ้านสกุลเกาที่เป็นห้องของเกาต้าเหอสามีภรรยาที่สภาพค่อนข้างดีหน่อย แต่หญ้ามุงหลังคาและเครื่องเรือนข้างในก็ถูกไฟเผาเช่นกัน ผนังทั้งสี่ด้านก็เต็มไปด้วยรอยเขม่าดำ
“ท่านกลับมาทำไม” หลังเยี่ยหย่วนเห็นเยี่ยเหมยก็ขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว แม้น้ำเสียงจะแย่ แต่กลับเขี่ยข้าวของที่กีดขวางทางหลบไว้ข้างๆ ทันที
“เกิดอะไรขึ้น” เยี่ยเหมยเห็นภรรยาเสี่ยวเหอกำลังนั่งอาละวาดโวยวายอยู่ที่พื้นไกลออกไป เกาเสี่ยวเหอก็กำลังยื้อยุดฉุดดึงอยู่กับพี่ชาย
“เรื่องมันแปลกยิ่ง” เยี่ยหย่วนทักทายลู่เฉินแล้วก็เล่าเรื่องที่ตนรู้ออกมา
เช้าเมื่อวานเกาต้าเหอขับวัวเทียมเกวียนพาบุตรสาวทั้งสี่ไปกินเลี้ยงที่บ้านแม่ยาย ตกบ่ายบิดามารดาของเกาต้าเหอก็พาบรรดาบุตรชายของเกาเสี่ยวเหอไปบ้านแม่ยายเช่นกัน ในบ้านจึงเหลือเพียงเกาเสี่ยวเหอสามีภรรยาสองคน
ผลคือเช้าวันนี้คนในหมู่บ้านพบเห็นบ้านสกุลเกาถูกไฟไหม้จนแทบไม่เหลือสภาพ ท่านสามเกาจึงให้คนแยกไปแจ้งเกาต้าเหอสามีภรรยา คนที่ส่งไปเมืองเซิ่งโจวคือเกาเสียง เนื่องจากหาไม่พบว่าภรรยาต้าเหออยู่ที่ใด แต่นึกขึ้นได้ว่าเยี่ยหย่วนที่พักอยู่บ้านสกุลเกาเหมือนกันเรียนอยู่ที่สำนักศึกษาปั้นซาน เขาถึงเกิดความคิดไปหาคนที่นั่น
ยามนี้กำลังอยู่ในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ อากาศในชนบทมีความชื้นอยู่บ้างแล้ว ด้วยสภาพอากาศเช่นนี้ เป็นเรื่องเหลือเชื่อโดยแท้ที่บ้านจะถูกไฟไหม้จนวอดขนาดนี้ได้ ที่เหลือเชื่อยิ่งกว่าคือห้องนอนของเกาต้าเหอสามีภรรยาดูเหมือนจะเป็นเส้นแบ่งเขต ห้องทางขวาอันเป็นของบ้านเกาต้าเหอไหม้วายวอด แต่ทางซ้ายกลับไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่หญ้ามุงหลังคา
ได้ยินเสียงภรรยาต้าเหอกรีดร้องคร่ำครวญและเสียงร้องไห้ระงมของเหล่าดอกไม้สกุลเกา เยี่ยเหมยก็แน่นหน้าอกอย่างยิ่ง ไม่สนใจคำห้ามปรามของเยี่ยหย่วน เดินวนในลานบ้านที่ไหม้เกรียมทั้งยังมีไอร้อนน้อยๆ ลอยขึ้นมารอบหนึ่ง อดขมวดคิ้วไม่ได้ สุดท้ายก็เดินไปยืนอยู่ข้างภรรยาเสี่ยวเหอที่ยังนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น
เยี่ยเหมยกล่าวขึ้นว่า “อาสะใภ้เสี่ยวเหอ ฟังจากที่ท่านพูด ท่านอาต้าเหอยังต้องชดใช้เงินให้ท่านอีกหรือ”
“ทำไม ไม่ควรหรือไร” ภรรยาเสี่ยวเหอมีใบหน้าดุร้ายโดยธรรมชาติ ไม่เคยกลัวจะต้องทะเลาะตบตีกับใคร แต่บัดนี้ชั่วพริบตาที่นางสบตาเยี่ยเหมยกลับยังคงทนไม่ไหวต้องเบือนหน้าหนี พลางย้อนถามอย่างแข็งนอกอ่อนในอยู่บ้าง
เยี่ยเหมยยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ สองตากวาดผ่านกำไลข้อมือสีทองที่โผล่ออกมาจากแขนเสื้อของภรรยาเสี่ยวเหอ จากนั้นก็หันหน้าไปร้องเรียกเกาต้าเหอที่ข้างๆ ทันที “ท่านอาต้าเหอ ข้าคิดว่าท่านไปเชิญท่านสามเกากับเหล่าผู้อาวุโสมาจะดีกว่า ท่านลู่ ในเมื่อรบกวนท่านมาที่นี่แล้ว อีกเดี๋ยวคงต้องรบกวนให้ท่านเป็นพยานด้วย”
เกาต้าเหอพูดอย่างงุนงง “แต่ท่านสามเพิ่งจะไป” ครอบครัวในชนบทที่ไฟไหม้บ้านมิใช่ไม่มี ทุกคนอย่างมากก็มาดูด้วยไม่ค่อยได้เห็น ทว่าเหตุใดแววตาของเยี่ยเหมยกลับแปลกไปอยู่บ้าง ซ้ำยังจะขอให้ท่านลู่เป็นพยานด้วย พยานอะไรกัน
ภรรยาต้าเหออยู่กับเยี่ยเหมยมาได้พักหนึ่งจึงพอจะรู้นิสัยใจคออีกฝ่าย เมื่อมาได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนี้ก็ใจกระตุกวาบ ถลึงตาใส่ภรรยาเสี่ยวเหออย่างเข่นเขี้ยว ก่อนจะตวาดเกาต้าเหอเต็มเสียง “อาเหมยให้ท่านไปก็ไปสิ พูดมากอยู่ทำไม!”
บ้านไหม้ไปแล้ว เหล่าคนอยากดูเรื่องครึกครื้นก็มากันแต่เช้าแล้ว ช่วงนี้เป็นฤดูกาลเริ่มเพาะปลูก ทุกคนไม่มีเวลาว่างให้อยู่แถวบ้านสกุลเกาที่ห่างไกลตัวหมู่บ้านนานนัก ตอนนี้นอกลานเรือนสกุลเกาจึงมีชาวบ้านยืนกระจายกันอยู่เพียงไม่กี่คน ครั้นได้ยินคำของเยี่ยเหมย แต่ละคนก็เหมือนได้กลิ่นเรื่องลับลมคมใน ต่างจ้องมองตาไม่กะพริบ
เมื่อครู่ลู่เฉินเห็นเยี่ยเหมยตรวจดูสถานที่หลายจุดอย่างละเอียด ทั้งยังจับสังเกตเกาเสี่ยวเหอสามีภรรยา หลังได้ยินเช่นนี้ก็คล้ายจะแจ้งใจ รอยยิ้มอบอุ่นอ่อนโยนบนหน้าอันเป็นเครื่องหมายการค้าของเขาหายไปอย่างหาได้ยาก ก่อนหันไปสั่งลู่อันหร่านสองสามประโยค
ลู่อันหร่านได้ยินก็จูงเกาเอ้อร์ฮวาวิ่งไปริมแม่น้ำที่อยู่ไม่ไกล เพียงครู่เดียวก็ยกม้านั่งหุ้มเบาะยัดฝ้ายภายในของห้องบนเรือกลับมาวางด้านหลังเยี่ยเหมย “ท่านน้าเยี่ยเชิญนั่ง” พูดจบก็จ้องเยี่ยเหมยด้วยดวงตาเปล่งประกายระยิบระยับ คล้ายว่ากำลังขอคำชมเชย
“พี่สะใภ้ ท่านต้องการทำอะไร เหตุใดไม่รีบเก็บกวาดห้อง กลับให้คนนอกมาเจ้ากี้เจ้าการอยู่ตรงนี้ ข้าว่านะ ไม่แน่อาจเพราะท่านรับนางแพศยาหน้าไม่อายเช่นนี้เอาไว้ ทำให้สวรรค์พิโรธถึงได้เผาบ้านพวกเรา ต้องให้พวกนางชดใช้!” ภรรยาเกาเสี่ยวเหอรู้สึกว่าแววตาที่เยี่ยเหมยจ้องตนเองนั้นแปลกอย่างยิ่ง จึงหันหัวหอกไปที่ภรรยาต้าเหอด้วยอารามร้อนตัว
“เจ้าเอาแต่พูดเหลวไหลไร้สาระอยู่ได้! อาเหมยกับอาหย่วนเป็นเด็กดีมากเพียงไร อาหย่วนเขายังเป็นถึงว่าที่ซิ่วไฉที่เป็นที่เชื่อมั่นของอาจารย์ในสำนักศึกษา นั่นน่ะมีเทพดาวเหวินฉวี่ปกปักรักษาเชียวนะ น้องสะใภ้ ถ้าเจ้ายังพูดจาเหลวไหลเลื่อนเปื้อนอีก ระวังจะถูกฟ้าผ่าตาย”
ภรรยาต้าเหอก็ไม่ยอมแพ้ ด่ากลับไปอย่างไม่ไว้ไมตรีสักนิด กำลังจะออกปากด่าอีก เยี่ยเหมยกลับยื่นมือมาห้ามนาง พลางจ้องภรรยาเสี่ยวเหอด้วยใบหน้าบึ้งตึง
เยี่ยเหมยกล่าวกับภรรยาเสี่ยวเหอว่า “อาสะใภ้เสี่ยวเหอ คนทำอะไรสวรรค์ล้วนมองเห็น ถ้าท่านสารภาพความจริงก่อนท่านสามเกามาถึง ทุกคนก็ยังคุยกันได้ ถ้าท่านยังเอาเรื่องภัยธรรมชาติมาบังหน้า ทั้งยังคิดจะไถเงินข้า เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”
หินก้อนเดียวทำให้เกิดระลอกคลื่นนับพัน! คำพูดนี้ของเยี่ยเหมยราวกับโยนระเบิดลงกลางฝูงชน ฝูงชนที่มุงดูอยู่เอะอะปั่นป่วนขึ้นมาทันที
ยามนี้เยี่ยหย่วนร้อนใจแล้วจึงปราดมาอยู่ตรงหน้าเยี่ยเหมย “พี่รอง ท่านกำลังพูดเหลวไหลอะไร” ด้วยอารามร้อนใจ คำเรียกขานที่ไม่ได้เรียกมานานก็หลุดออกมาเต็มปากเต็มคำ
เยี่ยเหมยอ้าปากน้อยๆ ยังไม่ทันตอบ ลู่เฉินกลับกวักมือเรียกเยี่ยหย่วนให้ไปหาก่อนกระซิบว่า “อาหย่วนไม่ต้องร้อนใจ พี่รองของเจ้ารู้ดีว่าพูดอะไร ไม่มีทางปรักปรำคนดีเด็ดขาด”
บนหน้าลู่เฉินยังมีรอยยิ้มอบอุ่นอ่อนโยนบางๆ หากแต่ในดวงตากลับมีแววเยียบเย็นไม่ยอมให้มีการตัดสินผิดพลาด เยี่ยหย่วนหายใจสะดุด กลืนคำพูดที่เหลือลงไปก่อนกลับไปยืนด้านหลังเยี่ยเหมยเงียบๆ
ติดตามต่อได้ในเล่ม…
Comments
comments