บทที่ 3
เรื่องที่ไม่เคยรู้
“งานที่โรงเรียนเป็นยังไงบ้าง สอนหนักมั้ย” อติกันต์เป็นฝ่ายชวนคุยก่อน
“ไม่หนักหรอกค่ะ พลีสสอนคลาสเด็กแค่สองคลาสเอง สอนแค่เย็นวันอังคารกับเย็นวันพฤหัส”
“อ้าว! แต่อาเห็นน้องพลีสออกไปโรงเรียนบ่อยๆ นี่นา”
“วันไหนไม่มีสอนก็ไปดูความเรียบร้อยและช่วยครูคนอื่นสอนบ้าง แต่ปกติที่โรงเรียนไม่ได้เปิดสอนทั้งวันหรอกนะคะ บางวันก็ไม่ได้เปิด แล้วแต่คลาสน่ะค่ะ จะมีหลายคลาสหน่อยก็วันเสาร์กับวันอาทิตย์ แต่อย่างวันนี้มีคลาสผู้ใหญ่ แล้วครูที่เขาสอนคลาสนี้ไม่สบาย พลีสก็เลยต้องไปสอนแทนน่ะค่ะ”
“น่าสนุกเหมือนกันเนอะ”
“คุณอาลองมาเรียนดูบ้างมั้ยคะ หล่อๆ อย่างคุณอาถ้าแสดงดีอาจได้เข้าวงการเลยนะ”
“แซวอาเหรอเราน่ะ อาอายุขนาดนี้แล้วถ้าไปเล่นละครคงต้องเป็นบทพ่อแล้วมั้ง”
“โห! คุณอาเพิ่งอายุสามสิบแปดเองค่ะ แถมยังดูหนุ่มกว่าอายุจริงด้วย ทั้งหล่อทั้งแซ่บขนาดนี้เป็นพระเอกยังได้เลย” พาขวัญชื่นชมชายหนุ่มขณะที่ทั้งสองคุยกันอย่างอารมณ์ดี
“น้องพลีสชมแบบนี้ไม่คิดว่าอาจะเขินบ้างเหรอ”
พาขวัญหัวเราะกับคำพูดติดตลกของอติกันต์
“จริงสิ! ปีนี้น้องพลีสก็อายุยี่สิบห้าแล้วใช่มั้ย”
“ใช่ค่ะ คุณอาถามทำไมเหรอคะ นี่อย่าบอกนะคะว่าจะพูดเรื่องเดียวกับคุณพ่อ” พาขวัญหันไปมองคนที่กำลังขับรถไปส่งเธอ อดคิดไม่ได้ว่าพิธานอาจจะบอกให้เขามาช่วยพูดเรื่องภวิลหรือเปล่า
“เรื่องเดียวกับคุณพ่อ? พี่พิธานเขาพูดอะไรกับน้องพลีสเหรอ”
“เอ่อ…ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ คุณพ่อแค่ถามว่าพลีสมีแฟนหรือยัง” พาขวัญตอบอย่างไม่มั่นใจนัก หญิงสาวรู้สึกว่าเธอกับเขายังไม่สนิทกันมากพอที่จะคุยเรื่องส่วนตัวขนาดนี้
“แล้วน้องพลีสมีหรือยังล่ะแฟนน่ะ”
“ยังไม่มีหรอกค่ะ พลีสเพิ่งจะอายุยี่สิบห้าเอง ไม่เห็นต้องรีบเลย”
“ก็จริงนะ” อติกันต์เห็นด้วย คำตอบของเธอเข้าทางเขาพอดี “สมัยนี้ผู้หญิงอายุสามสิบยังไม่มีแฟนก็ไม่แปลกแล้ว บางคนทั้งสวยทั้งเซ็กซี่ แต่อยู่เป็นโสดจนหนุ่มๆ ต้องเสียดายก็มีถมไป”
“เนอะ นี่ถ้าคุณพ่อคิดแบบคุณอาก็ดีสิคะ”
“แสดงว่าพี่พิธานเขาอยากให้น้องพลีสรีบแต่งงานจริงๆ เหรอ”
“ไม่ใช่แค่อยากให้รีบแต่งนะคะ แต่ยังอยากให้พลีสลงเอยกับพี่ภักดิ์ด้วย”
พาขวัญเผลอระบายออกไปแล้วก็นิ่งไปหลายวินาทีเหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าได้หลุดปากพูดเรื่องที่ไม่สมควร อันที่จริงเธอก็ไม่ได้คิดว่าเรื่องนี้เป็นความลับหรอก แต่ก็ไม่คิดว่าจะต้องบอกให้ใครต่อใครรับรู้เพราะมันถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวซึ่งในอนาคตก็ยังไม่แน่ว่าเธอจะได้ลงเอยกับภวิลจริงๆ หรือเปล่า
“มิน่าล่ะ ช่วงนี้พี่พิธานถึงได้ชวนนายภักดิ์มาทานข้าวที่บ้านเราบ่อยๆ” อติกันต์พูดเหมือนเป็นเรื่องตลกทำให้พาขวัญไม่รู้สึกอึดอัดใจ เธอคิดว่าเขาผ่านโลกมามากคงมองเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดา
โดยไม่รู้เลยว่าคำพูดของเธอยืนยันความคิดของอติกันต์ว่าที่ผ่านมาเขาคิดถูกแล้ว และเขาตัดสินใจถูกที่สุดที่มาดักเจอเธอในวันนี้เพื่อบอก ‘อะไรบางอย่าง’ กับเธอก่อนที่มันจะสายเกินไป
“แล้วน้องพลีสชอบนายภักดิ์หรือเปล่า” อติกันต์ละสายตาจากถนนมามองหญิงสาวครู่หนึ่ง เธอจึงส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่ชอบจริงๆ เหรอ นายภักดิ์เขาหล่อยิ่งกว่าพวกนายแบบหรือพระเอกละครอีกนะ ตัวสูง หุ่นดี มาดก็ดี เวลาไปงานอีเวนต์ทีไรพวกผู้หญิงมองเหลียวหลังทุกคน…สาวๆ ติดตรึม”
“นี่พี่ภักดิ์จ้างให้คุณอามาอวยเขาอีกคนเหรอคะ พูดเหมือนคุณพ่อเปี๊ยบเลย”
“แสดงว่าไม่ชอบแบบสาย ฝ. สินะ” อติกันต์หัวเราะ เขาใช้ภาษาแบบวัยรุ่นเพื่อให้เธอรู้สึกสนิทสนมและไม่เกิดช่องว่างระหว่างวัย “งั้นชอบแบบหล่อตี๋พระเอกซีรี่ส์เกาหลีอะไรแบบนี้หรือเปล่า”
“พลีสไม่มีสเป็กหรอกค่ะ”
“ไม่มีสเป็กหรือไม่อยากเล่าให้อาฟัง”
“โธ่…คุณอา” พาขวัญทำหน้ามุ่ยเมื่อถูกรู้ทัน
“แต่พลีสไม่กรี๊ดนายภักดิ์ก็ดีแล้วล่ะ จะได้ไม่หลงเขาง่ายๆ” อติกันต์พูดต่อ เขาทำเหมือนเล่าไปตามเรื่องตามราวและไม่ได้ตั้งใจ ทั้งๆ ที่ความจริงนี่คือจุดประสงค์หลักที่ทำให้เขาอาสามาส่งเธอ “ที่จริงนายภักดิ์เขาก็ดีนะ ขยันทำงาน ฉลาด เข้าหาผู้ใหญ่เก่ง แต่อาอยากให้น้องพลีสดูเขาดีๆ หน่อย”
“คุณอาหมายความว่ายังไงคะ” เธอถามด้วยความสงสัย
“พี่พิธานไว้ใจนายภักดิ์มากไปจนบางครั้งก็มองข้ามในหลายๆ เรื่อง เช่น เรื่องผู้หญิง…อย่างที่อาบอกว่านายภักดิ์เขาดูดี สาวๆ เลยเข้ามาพัวพันเยอะ มันก็เป็นธรรมดาของผู้ชายแหละที่จะเล่นด้วย”
อติกันต์หันไปมองท่าทีของหญิงสาวอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าเธอนั่งฟังเงียบๆ เหมือนกำลังเก็บข้อมูลเขาก็เล่าต่อไป และใส่ไฟภวิลอย่างแนบเนียนโดยทำทีเป็นหวังดีกับหลานสาว
“ตอนที่เริ่มทำงานใหม่ๆ นายภักดิ์เขาอยากสร้างผลงานเร็วๆ จนถึงขั้นยอมนอนกับลูกค้าผู้หญิงเพื่อให้ได้งานเลยนะ หลังๆ ไม่รู้ว่านายภักดิ์เขายังใช้วิธีนี้อยู่หรือเปล่า แต่ลูกค้าสาวๆ อยู่ในมือนายภักดิ์เยอะแยะเลย พวกพนักงานสาวๆ ก็พัวพันกับนายภักดิ์เป็นว่าเล่น อย่างว่าแหละนะ ดูดีขนาดนั้นผู้หญิงที่ไหนก็ต้องชอบ แล้วนายภักดิ์เขาก็เป็นคนฉลาดพอที่จะรักษาความสัมพันธ์เอาไว้เพื่อการทำงาน”
อติกันต์เห็นพาขวัญเงียบไปก็รีบเล่าต่อ
“แต่น้องพลีสอย่าไปบอกพี่พิธานนะว่าอามาบอกน้องพลีสเรื่องนี้ เดี๋ยวพี่พิธานเขาคิดว่าอามาเป่าหูน้องพลีสแล้วจะไม่ให้อาคุยกับน้องพลีสอีก” ชายหนุ่มหันมายิ้มให้เธอ พอเห็นร่างบางเงียบไปก็ทำทีเป็นห่วงเป็นใย “นี่น้องพลีสเครียดหรือเปล่า อาขอโทษนะที่เล่าเรื่องไม่เป็นเรื่องให้เราฟัง”
“ไม่หรอกค่ะ คุณอาบอกพลีสก็ดีแล้ว พลีสจะได้รู้ไว้”
พาขวัญยิ้มสดใสตอบกลับไป อติกันต์ยิ้มตอบเธอและคิดในใจว่าเหยื่อหลงกลแล้ว โดยไม่รู้เลยว่าเห็นยิ้มหน้าซื่อตาใสและทำเหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ทว่าพาขวัญพอจะเดาจุดประสงค์ของเขาออก…พิธานไม่ไว้ใจให้อติกันต์บริหารงานแทน และหากเธอลงเอยกับภวิลแล้วตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดไม่มีทางไปถึงมือของอติกันต์แน่ ถ้าเธอรู้สึกแย่กับภวิลจนไม่ยอมแต่งงานด้วยอติกันต์ก็จะได้ประโยชน์
ถึงกระนั้นการได้รับรู้ข้อมูลอีกด้านก็ดีเหมือนกัน เธอจะได้มองภวิลในหลายๆ ด้าน!
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่พาขวัญจะมีเวลาว่างตรงกับเพื่อนสนิทอย่าง ‘วาสิตา’ ที่เป็นทั้งดีไซเนอร์และเจ้าของห้องเสื้อแบรนด์ดังอย่าง Vasita ที่ปัจจุบันนอกจากจะมีชื่อเสียงมากจนเป็นที่นิยมในหมู่ดาราและเซเลบริตี้ในเมืองไทยแล้วยังกำลังมีชื่อเสียงไปถึงต่างประเทศอีกด้วย
วาสิตาเรียนคณะนิเทศศาสตร์เช่นเดียวกับพาขวัญ แต่คนละสาขา เพราะพาขวัญเรียนสื่อสารการแสดงในขณะที่วาสิตาเลือกจะเรียนโฆษณาและประชาสัมพันธ์ ทว่าด้วยความที่มีใจรักด้านแฟชั่นวาสิตาจึงไปเรียนเกี่ยวกับแฟชั่นที่ต่างประเทศอีกปีเพื่อหาประสบการณ์ ก่อนจะกลับมาสร้างแบรนด์ของตัวเองที่เมืองไทย
หญิงสาวมีแนวความคิดที่ทันสมัย เสื้อผ้ามีดีไซน์แปลกใหม่ แต่ยังไม่แปลกถึงขั้นที่ไม่สามารถสวมใส่ในชีวิตประจำวันได้ จะเรียกว่ามีทั้งความเรียบหรูและเก๋ไก๋ผสมผสานกันได้อย่างลงตัวก็ไม่ผิด นอกจากนี้วาสิตายังประชาสัมพันธ์และสร้างกระแสเก่ง พอมาบวกกับการที่ต้นตระกูลมีชื่อเสียงพอตัวอยู่แล้วก็ทำให้ทั้งตัวเธอเองและแบรนด์ Vasita ได้รับความสนใจจากประชาชนอย่างรวดเร็ว
แต่ชื่อเสียงของตระกูลก็คงช่วยได้แค่ในช่วงแรก หากผลงานไม่ดีจริงก็คงไปไม่รอด ทว่าวาสิตาก็พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นแล้วว่าเธอไม่ได้มีแค่ ‘แบ็ก’ ที่ดี แต่ฝีมือและความสามารถของเธอก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าใคร ที่เธอประสบความสำเร็จได้ในทุกวันนี้เป็นเพราะความสามารถของเธอเอง
ช่วงแรกอาจมีขลุกขลักอยู่บ้างเพราะเมืองไทยไม่ได้สนใจในด้านแฟชั่นเท่าที่ควร แต่ช่วงหลังๆ มีรายการทีวีเกี่ยวกับแฟชั่น ดาราสนใจแฟชั่นมากขึ้น รวมถึงแฟชั่นจากต่างประเทศก็เข้ามามีอิทธิพลทำให้วงการแฟชั่นในไทยได้รับความสนใจมากยิ่งขึ้น แน่นอนว่าแบรนด์ Vasita ก็เป็นอีกแบรนด์ที่ทุกคนจับตามอง
วาสิตาให้ทีมงานส่งเสื้อผ้าให้ดาราระดับอินเตอร์และมีหลายคนเลือกใส่ออกงาน ทั้งนักร้อง นางแบบชื่อดัง และนักแสดงที่มีชื่อเสียง…มันจึงเป็นการการันตีได้ว่าฝีมือเธอไม่ธรรมดา
“สรุปว่ารายการเรียลลิตี้ค้นหานางแบบของแกไปถึงไหนแล้ว”
พาขวัญเปิดประเด็นขึ้นขณะนั่งอยู่ในห้องจัดงานแฟชั่นโชว์ที่ตอนนี้ยังไม่เปิดให้ผู้ชมทั่วไปเข้ามาในงาน นางแบบนายแบบกำลังซ้อมเดินอยู่บนเวที ส่วนวาสิตาก็นั่งดูการซ้อมโดยมีพาขวัญนั่งอยู่ข้างๆ
พอเริ่มทำงานเวลาของทั้งสองคนก็ไม่ค่อยตรงกันนัก แต่วันนี้แบรนด์เสื้อผ้าของเพื่อนจะมีแฟชั่นโชว์ทั้งทีพาขวัญก็ต้องมาให้กำลังใจเป็นธรรมดา จะได้ถือโอกาสอัพเดตชีวิตกันด้วย
“กำลังอยู่ในช่วงเตรียมการและวางแผน แต่ฉันต้องหาสปอนเซอร์เพิ่มด้วยเนี่ย”
“ไหนแกบอกว่าจะหานางแบบมาเดินแบบให้เสื้อผ้าแกไม่ใช่เหรอ”
“ก็ใช่ แต่การประกวดนี้มันไม่ได้แค่ต้องการนางแบบมาทำงาน แต่ฉันต้องการสร้างกระแสให้แบรนด์ตัวเอง แล้วการทำรายการเรียลลิตี้สักรายการมันก็ใช้ทุนสูง ฉันเลยต้องหาสปอนเซอร์ไง”
“จะได้ไม่ต้องควักเนื้อตัวเองและยังอาจได้กำไรจากสปอนเซอร์ด้วย”
“ฉลาดค่าาา” วาสิตาชี้หน้าเพื่อนเหมือนจะบอกว่า ‘ถูกต้อง’ จากนั้นก็เปลี่ยนไปคุยเรื่องของพาขวัญบ้าง “ว่าแต่แกเถอะ เป็นยังไงบ้าง ทำไมพักนี้เหมือนมีเรื่องเครียดๆ”
“พูดอย่างกับแกได้เจอหน้าฉันทุกวัน รู้ได้ไงว่าพักนี้ฉันเครียด”
“ฉันสังเกตได้จากเวลาที่แชตกับแกไง”
“ที่จริงก็ไม่มีอะไรมากหรอก เรื่องทั่วไปแหละ”
“เล่า!” เธอจ้องหน้าเพื่อนอย่างคาดคั้น
วาสิตารู้ว่าลองพาขวัญพูดแบบนี้มีหรือว่าจะไม่มีเรื่องอะไร
“แก…” พาขวัญตัดสินใจเล่าในที่สุด “จู่ๆ พ่อก็พูดว่าอยากให้ฉันแต่งงาน”
“ก็ไม่เห็นจะต้องเครียดเลยนี่นา แกบอกพ่อแกไปว่ายังไม่อยากแต่งก็ได้นี่ พ่อแกเขาใจดีจะตาย เขาคงไม่บังคับให้แกแต่งงานหรอกมั้ง อีกอย่างแกยังไม่มีแฟนเลย จะให้ไปแต่งกับใคร พี่ภักดิ์เหรอ”
“เออ”
“อะไรนะ!”
วาสิตาทำหน้าเหลือเชื่อ ที่เธอพูดชื่อภวิลออกไปเมื่อครู่เพราะเธอแค่ประชดและชายหนุ่มเป็นคนใกล้ตัวของพาขวัญมากที่สุดซึ่งเธอไม่เคยคิดเลยว่าทั้งสองคนจะลงเอยกันได้
“ฉันถึงอดคิดมากไม่ได้ไง” พาขวัญทำหน้ากลัดกลุ้ม “พ่อไม่ได้บังคับให้ฉันรีบแต่งหรอก แต่พ่อก็อยากให้ฉันดูๆ พี่ภักดิ์เอาไว้ แต่ฉันรู้ว่าพ่ออยากให้ฉันลงเอยกับพี่ภักดิ์แน่ๆ”
“พี่ภักดิ์เหรอ…” วาสิตาตั้งสติได้ก็เริ่มพิจารณาอย่างรอบคอบ “แต่จะว่าไปพี่ภักดิ์เขาก็ดีออกนะ ทั้งหล่อ ทั้งสมาร์ต แถมยังทำงานเก่งอีก โห! เป็นฉันนะ ถ้าพี่ภักดิ์เขาโอเค ฉันจะไม่ปฏิเสธเลย ดีซะอีกไม่ต้องเหนื่อยหาสามีเอง สมัยนี้ผู้ชายที่ทั้งหล่อทั้งดีและเก่งเบอร์นี้หาไม่ได้ง่ายๆ นะแก”
“ยังจะมาพูดเล่นอีกนะยายวา”
“ฉันพูดจริงๆ นี่แก! ฉันไม่อยากจะอวย แต่ฉันคลุกคลีอยู่กับดาราและเซเลบ มีสาวๆ หลายคนเลยนะที่อยากได้พี่ภักดิ์ของแกอ่ะ ถ้ามัวแต่ชักช้าระวังจะมีคนตัดหน้าไปก่อนนะ ถ้าแกแต่งงานกับพี่ภักดิ์…เชื่อสิว่าแกจะมีแต่ได้กับได้ ทั้งได้สามีสุดเพอร์เฟ็กต์ที่จงรักภักดี ทั้งได้คนมาดูแลบริษัทให้รุ่งเรือง แถมยังได้ทำงานที่รักอย่างไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังอีก พ่อแกเขาคิดมาดีแล้วถึงได้อยากให้แกลงเอยกับพี่ภักดิ์”
วาสิตาไล่ข้อดีของภวิลสารพัด เมื่อพิจารณาดีๆ แล้วเธอก็เริ่มเห็นด้วยกับพิธานเพราะเธอรู้ว่าพาขวัญไม่อยากดูแลกิจการของวงศ์วรารมย์และอยากทุ่มเทให้กับโรงเรียนสอนการแสดงมากที่สุด
“แต่…คิดไปแล้วก็น่าสนุกดีเหมือนกันเนอะ” วาสิตาเห็นเป็นเรื่องสนุกตามประสาสาวแสบ “ถ้าแกลงเอยกับพี่ภักดิ์จริงๆ ฉันว่า ‘เงาแค้น’ ของแกต้องเต้นเร่าๆ แน่ แค่คิดก็สนุกแล้ว”
“แกนี่มันเหลือเกินจริงๆ ตกลงแพรวเป็นเงาแค้นของฉันหรือเงาแค้นของแกกันแน่”
‘แพรว’ ที่พาขวัญพูดถึงคือ ‘แพรวอาภา’ คู่กัดของเธอซึ่งปัจจุบันเป็นนางเอกละครทางสถานีโทรทัศน์ช่องยี่สิบสามและเพิ่งเริ่มมีชื่อเสียง แพรวอาภาไม่ชอบเธอมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เนื่องจากทั้งสองคนเหมือนถูกจัดให้เป็นคู่แข่งกันมาตลอด เป็นเชียร์ลีดเดอร์ด้วยกัน เล่นละครเวทีของคณะด้วยกันทุกปี แต่พาขวัญกลับได้รับบทบาทที่เด่นกว่าเสมอ
พอปัจจุบันพาขวัญเลือกจะไม่ทำงานในวงการ แต่แพรวอาภากำลังโด่งดังก็คงจะอดชูคอเหนือกว่าพาขวัญไม่ได้ ที่สำคัญแพรวอาภายังเคยมีใจให้ภวิล แต่ภวิลไม่ตอบรับความรู้สึกดีๆ ของเธอ แพรวอาภาจึงโทษว่าเป็นเพราะภวิลเกรงใจพาขวัญทำให้ดาราสาวยิ่งเหม็นหน้าพาขวัญเข้าไปใหญ่
ทีแรกวาสิตาก็ไม่ได้หมั่นไส้อะไรแพรวอาภานักหรอก ออกจะคอยปลอบพาขวัญด้วยว่าไม่ต้องไปยุ่งหรือคิดมากกับคำพูดกระทบกระเทียบของแพรวอาภา แต่ยิ่งทั้งสองคนไม่สนใจอีกฝ่ายก็ยิ่งหาเรื่องพาขวัญมากขึ้น ทั้งสองสาวอดทนได้แค่ปีแรกๆ พอขึ้นปีสองก็เริ่มทนไม่ไหวจึงตอบโต้กลับไปบ้างโดยเฉพาะ ‘สายไฝว้’ อย่างวาสิตาที่พอหมดความอดทนเมื่อไหร่ก็ไม่ต่างอะไรกับระเบิดที่ถูกดึงสลักเลย
“ไม่อยากเชื่อเลยนะว่าฉันจะได้เจอเธอที่นี่…”
เสียงใครคนหนึ่งทักขึ้นจากทางด้านหลังทำให้สองสาวหันไปมองพร้อมกันและเห็นว่าคนที่กำลังเดินตรงเข้ามาหาคือ ‘เงาแค้น’ ของพาขวัญนั่นเอง วาสิตาไม่แปลกใจเพราะรู้อยู่แล้วว่าใครจะมาร่วมเดินแบบในงานนี้บ้างและหนึ่งในนั้นก็มีแพรวอาภาอยู่ด้วย ส่วนพาขวัญที่ไม่รู้มาก่อนได้แต่มองหน้าเพื่อนด้วยความงุนงง แต่ไม่กี่วินาทีต่อมาก็นึกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นดาราคงจะถูกเชิญให้มาร่วมงานในวันนี้ด้วย
“อายุยืนจริงๆ” สองสาวกระซิบกันต่อหน้าคนที่กำลังพูดถึง
“ทีมงานเขานัดนางแบบมาแต่งหน้าตั้งนานแล้ว ทำไมเธอเพิ่งมา” วาสิตาหันไปพูดกับแพรวอาภา นับตั้งแต่หมดความอดทนกับอีกฝ่าย เธอก็กลายเป็นคน ‘เปิดศึก’ แทนพาขวัญเสมอ
“ฉันเป็นนางเอก ไม่จำเป็นต้องมารอแต่งหน้าเหมือนนางแบบโนเนมพวกนั้นหรอก”
“เพิ่งเริ่มจะมีชื่อนิดหน่อยก็ทำตัวเป็นซุป’ตาร์ซะแล้ว ระวังจะร่วงก่อนดังก็แล้วกันนะ”
วาสิตาเหยียดยิ้มขณะกวาดสายตามองอีกฝ่ายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ใจจริงเธออยากจะเหน็บแนมแพรวอาภามากกว่านี้ แต่ก็ยั้งปากไว้เพราะไม่อยากมีเรื่องตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มงาน
ดาราสาวไม่พอใจมาก แต่วาสิตาเป็นเจ้าของห้องเสื้อแบรนด์ดัง มีคนรู้จักในวงการเยอะแยะมากมาย หากมีเรื่องกันไปย่อมไม่เกิดผลดีกับเธอแน่ โดยเฉพาะในถิ่นของวาสิตาแบบนี้
“แล้วเธอเป็นไงบ้างล่ะพลีส โรงเรียนสอนการแสดงไปได้สวยใช่มั้ย” แพรวอาภาเล่นงานวาสิตาไม่ได้ก็ปรายตาไปมองเป้าหมายสำคัญอย่างพาขวัญแทน
“ก็ดีแหละ” หญิงสาวตอบอย่างขอไปที
“น่าเสียดายนะที่คนดังในคณะอย่างเธอผันตัวเองไปอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของคนอื่นทั้งๆ ที่ตัวเองยังไม่ทันดังไปทั้งประเทศเลย” พอได้โอกาสแพรวอาภาก็ไม่วายแขวะพาขวัญเรื่องที่เคยเด่นดังในคณะ
“ก็ยายพลีสมันโดดเด่นจนเบื่อแล้วเลยอยากไปทำงานเบื้องหลังแทน ไม่เหมือนคนบางคนแถวนี้หรอกที่กระหายแสงไฟยิ่งกว่าพวกแมลงเม่าที่เห็นไฟไม่ได้เป็นต้องรี่เข้าไปหา” วาสิตาตอบกลับแทนพาขวัญที่กำลังนั่งทำหน้าเหม็นเบื่ออยู่ข้างๆ “เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะแพรว อย่าเป็นห่วงคนอื่นเขานักเลย โรงเรียนสอนการแสดงของยายพลีสเขามีดีลกับผู้จัดการส่วนตัวดาราดัง กับช่องใหญ่ มีงานไม่เคยขาดหรอก ขนาดเด็กปั้นของช่องที่กำลังก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งอย่าง ‘กมลกานต์’ ยังถูกส่งมาเรียนที่โรงเรียนยายพลีสเลย…ว่างๆ เธอเองก็ลองมาเรียนบ้างนะ เผื่อว่าการแสดงจะพัฒนาขึ้นจนดังเปรี้ยงเหมือนคนอื่นเขาสักที”
แพรวอาภาอ้าปากค้างเมื่อวาสิตาตอบกลับอย่างไม่ไว้หน้าแถมยังพูดจี้ใจดำอีกต่างหาก เธอกับกมลกานต์เข้าวงการพร้อมกัน แต่ละครที่เธอเล่นกลับไม่เปรี้ยงเท่าที่ควร แตกต่างจากกมลกานต์ที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว เล่นละครดึงดูดคนดู บวกกับได้รับบทดีๆ และละครดังทุกเรื่องทำให้กมลกานต์มีชื่อเสียงอย่างรวดเร็วจนตอนนี้ ‘อิชยะ’* ผู้บริหารช่องยี่สิบสามพยายามผลักดันกมลกานต์ขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งของช่อง
“น้องแพรวมาพอดีเลยค่ะ” แพรวอาภายังไม่ทันได้ด่ากลับ สไตลิสต์ของห้องเสื้อที่จ้างเธอมาเดินแบบก็ตรงปรี่เข้ามาก่อน “ไปแต่งหน้ากันเถอะค่ะ เดี๋ยวจะไม่ทัน ขอตัวพาน้องแพรวไปแต่งหน้าก่อนนะคะ”
“ตามสบายค่ะ”
วาสิตาตอบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพราะด่าอีกฝ่ายจนสาแก่ใจแล้ว แต่ถึงเธอกับแพรวอาภาจะเจอหน้าและปะทะฝีปากกันบ่อยๆ ทว่าก็ยังไม่เคยเป็นข่าวดังครึกโครม จะมีก็แค่ข่าวซุบซิบแบบอักษรย่อเท่านั้นเพราะเวลาจิกกัดกันก็มักจะทำเฉพาะเวลาเผชิญหน้ากันตามลำพังไม่ใช่ต่อหน้าคนอื่น
ที่จริงการเป็นข่าวต่างๆ ไม่ว่าในแง่ไหนมันก็ช่วยสร้างกระแสให้กับวาสิตาได้ แต่คงไม่ส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ห้องเสื้อ Vasita เท่าไหร่ อีกอย่างแพรวอาภาก็มีแฟนคลับอยู่พอตัว ต่อให้แฟนคลับจะไม่ใช่ลูกค้า แต่ก็สามารถโจมตีแบรนด์เธอได้ วาสิตายังไม่โง่พอที่จะสร้าง ‘แอนตี้แฟน’ เพิ่มโดยใช่เหตุ
“แกไม่น่าไปต่อปากต่อคำกับยายแพรวเลย” พาขวัญเตือนหลังจากที่เงาแค้นจากไปแล้ว
“จะทนให้ยายนั่นจิกอยู่ฝ่ายเดียวเหรอ ไม่รู้ชาติที่แล้วเกิดเป็นไก่หรือยังไงถึงได้จิกอยู่ได้” วาสิตาเบ้ปาก ยิ่งพูดก็ยิ่งขึ้นแทนเพื่อน “แกน่ะมันแม่พระ นางเอกเว่อร์ ยอมให้มันเหน็บอยู่นั่นแหละ”
“ฉันก็ไม่ใช่นางเอกขนาดนั้นหรอก ฉันแค่รำคาญ”
วาสิตาหัวเราะทันทีเพราะรู้นิสัยของเพื่อนสนิทดีว่าที่ไม่ตอบโต้ไม่ใช่ว่ากลัวหรือไม่กล้าสู้ แต่พาขวัญคงไม่อยากสนใจหรือให้ความสำคัญกับแพรวอาภาเสียมากกว่า ที่จริงวาสิตาก็ไม่ได้เห็นอีกฝ่ายเป็นคู่แข่งคนสำคัญหรอก แต่เธอหมั่นไส้ในความ ‘มั่นหน้า’ ของแพรวอาภาที่เพิ่งเริ่มดังได้ไม่เท่าไหร่ก็เที่ยวไปดูถูกคนอื่นว่าเป็นนางแบบโนเนมทั้งๆ ที่ก่อนตัวเองจะดังก็เคยเป็นตัวประกอบโนเนมในโฆษณามาก่อน
“ฉันนี่อยากให้แกแต่งงานกับพี่ภักดิ์ซะวันนี้พรุ่งนี้เลย ฉันอยากเห็นยายแพรวดิ้น”
“บางทียายแพรวอาจจะไม่สนใจก็ได้นะ แกดูนั่นสิ…” พาขวัญพยักพเยิดหน้าให้วาสิตามองไปที่เป้าหมาย “ใครอ่ะ ทำไมยายแพรวดูพินอบพิเทากับเขาจัง แต่ดูดีไม่เบาเลยนะ”
วาสิตามองไปปราดเดียวก็รู้แล้วว่าผู้ชาย ‘ดูดีไม่เบา’ ที่พาขวัญพูดถึงเป็นใคร…
หนุ่มคนนั้นอายุสามสิบหกปี กำลังจะก้าวขึ้นมาเป็นประธานบริษัทนันทิวัฒน์ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเครื่องสำอางรายใหญ่และเป็นรายแรกๆ ในประเทศไทย แต่ละปีบริษัททำรายได้อย่างมากมายมหาศาล เขามีหน้าตาหล่อเหลาคมคาย รูปร่างสูงสง่า บุคลิกเยือกเย็น และแสนสุภาพราวกับพระเอกที่เดินออกมาจากละครหรือซีรี่ส์ดังจนทำให้สาวๆ ทั้งประเทศต่างพากันยกให้เขาเป็นชายในฝันอีกคนหนึ่ง
“เขาชื่อคุณจิณณ์ ‘จิณณพัต’ ” ดีไซเนอร์สาวพูด “เป็นผู้บริหารแบรนด์เครื่องสำอางยักษ์ใหญ่และเป็นสปอนเซอร์ของงานนี้ด้วย ยายแพรวคงอยากกิ๊กกับเขาล่ะมั้งถึงได้ดูระริกระรี้ขนาดนั้น”
“เขายังโสดอยู่เหรอ”
“น่าจะ”
“แล้วแกไม่สนใจเขาบ้างหรือไง” พาขวัญกระแซะเพื่อน “แกก็ยังโสดนี่นา แหม! แกทำห้องเสื้อ ส่วนเขาทำบริษัทเครื่องสำอาง ถ้าลงเอยกันได้นี่คือคู่รักผู้ทรงอิทธิพลในวงการแฟชั่นเลยนะ”
“ลาก่อน” วาสิตากลอกตามองบนทันที
“ทำไมล่ะ แกกับเขาเคยมีเรื่องกันมาก่อนเหรอ”
พาขวัญถามอย่างแปลกใจเพราะปกติวาสิตาไม่เคยทำหน้าตาเหม็นเบื่อใส่ใครโดยไม่มีเหตุผล แต่ก็น่าแปลก…จิณณพัตดูดีออกขนาดนั้นแล้วทำไมสาวสังคมอย่างวาสิตาถึงได้ไม่ชอบเขา!
* ติดตามเรื่องราวของ ‘อิชยะ’ และ ‘แก้วเกล้า’ ได้ในเรื่อง ‘เท่าที่ใจ… เว้าวอน’ โดย ‘ฉัตรฉาย’
บทที่ 4
เงาแค้น
“เคยร่วมงานกันมาสองสามครั้ง เห็นท่าทางสุภาพใจดีอย่างนั้น แต่เรื่องงานนี่ละเอียดเว่อร์และเยอะสิ่งมากกก” วาสิตาลากเสียงยาวเพื่อยืนยันว่าจิณณพัตเป็นผู้ชาย ‘เยอะสิ่ง’ จริงๆ “ที่สำคัญเหมือนเขาเพิ่งจะอกหักมา ฉันไม่สะดวกเป็นช่างซ่อมหัวใจให้ใคร คนอย่างวาสิตา…สวยเลือกได้”
“ค่ะ!” พาขวัญกระแทกเสียงใส่เพื่อนด้วยความหมั่นไส้
“แต่แปลกนะที่แกไม่รู้จักคุณจิณณ์”
“แล้วทำไมฉันต้องรู้จักเขาด้วยล่ะ”
“คุณจิณณ์เขาเคยควงกับ ‘แก้วเกล้า’ แฟนของคุณอิชย์อยู่พักหนึ่ง แล้วคุณอิชย์เขาก็สนิทกับพี่ภักดิ์ของแกไม่ใช่เหรอ พี่ภักดิ์เขาไม่เคยพูดให้แกฟังบ้างเลยหรือไง”
“โห…ยาก”
พาขวัญกับภวิลไม่ได้สนิทถึงขั้นจะคุยเรื่องส่วนตัวกันอยู่แล้ว และคนอย่างภวิลก็ไม่มีทางเอาเรื่องเพื่อนมาคุยให้คนที่ไม่สนิทฟัง หรือต่อให้สนิทกันก็คงมีความเป็นไปได้น้อยมากที่เขาจะพูด
“เออ! ฉันก็ลืมไปว่าพี่ภักดิ์ของแกพูดน้อย”
วาสิตายิ้มขำเมื่อนึกถึงใบหน้าหล่อเหลาแต่นิ่งเรียบของภวิล เขาเคยมารับพาขวัญที่มหาวิทยาลัยและเธอเคยไปทานข้าวกับเขาและพาขวัญครั้งหนึ่ง ภวิลนั่งฟังพวกเธอคุยกันโดยที่เขาแทบไม่พูดอะไร แต่เขาก็น่ารักอยู่อย่างหนึ่งคือไม่แสดงอาการเบื่อหน่ายหรือรำคาญพวกเธอเลย มิหนำซ้ำยังดูแลพวกเธอแบบเงียบๆ แต่ดูแลอย่างดี…เธอคิดว่าผู้ชายอย่างเขาน่ะเหมาะสมกับเพื่อนสนิทของเธอที่สุดแล้ว
“คุณท่านบอกให้คุณพลีสกลับกับผม”
หลังจบงานแฟชั่นโชว์ภวิลก็เดินเข้ามาหาพาขวัญเพราะพิธานรู้ว่าเธอมาที่งานจึงฝากให้เขาซึ่งเป็นคนออร์แกไนซ์งานนี้รับเธอกลับไปทานอาหารเย็นด้วยกันที่บ้านวงศ์วรารมย์
“ค่ะ” พาขวัญรับคำ
ก่อนหน้านี้พิธานโทรมาบอกให้หญิงสาวรับรู้ล่วงหน้าแล้ว
“พี่ภักดิ์นี่น่ารักจังเลยนะคะ”
วาสิตาที่ยืนอยู่ข้างๆ พาขวัญจงใจพูดแซวและยิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อมองไปทางเพื่อนสนิท พาขวัญจึงรีบกระทุ้งศอกใส่เพื่อนไม่ให้แสดงอาการจนออกนอกหน้า เพราะตั้งแต่พิธานบอกเธอเรื่องภวิล หญิงสาวก็พยายามวางตัวเป็นปกติเหมือนไม่เคยรู้อะไรมาก่อน แต่ลึกๆ เธอก็รู้สึกได้ว่าระหว่างเขากับเธอมีบางสิ่งที่เปลี่ยนไป
แน่นอน…ทั้งภวิลและเธอต่างก็รู้แล้วว่าพิธานต้องการให้ทั้งคู่ลงเอยกัน
“ฝากยายพลีสด้วยนะคะพี่ภักดิ์”
“ครับ”
พูดจบชายหนุ่มก็สบตาพาขวัญเหมือนต้องการปรึกษาว่าเธอจะคุยกับเพื่อนต่อหรือกลับบ้านเลย หญิงสาวจึงบอกลาเพื่อนสนิทก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับเขาเพราะนี่ก็เย็นมากแล้ว เธอไม่อยากให้พิธานรอนาน แต่จังหวะนั้นทั้งสองคนเดินสวนทางกับแพรวอาภาพอดีทำให้ต้องหยุดเดินและเผชิญหน้ากันอย่างเสียมิได้
แพรวอาภามองพาขวัญด้วยหางตาก่อนจะจงใจเดินมากระแทกไหล่หญิงสาวแล้วเดินหน้าเชิดออกไปราวกับอยากประกาศศักดาต่อหน้าภวิล วินาทีนั้นพาขวัญเริ่มหมดความอดทนและเกือบจะเดินตามไปเอาเรื่องอีกฝ่ายอยู่แล้ว แต่ก็ติดที่ชายหนุ่มตามมาคว้าข้อมือเธอไว้เสียก่อน
หญิงสาวหันไปสบตาเขา ภวิลมองเธอด้วยสายตาที่เป็นผู้ใหญ่กว่าราวกับต้องการเตือนสติและบอกให้เธอใจเย็นๆ พาขวัญจึงได้แต่ถอนหายใจระบายความหงุดหงิด
“งั้นก็ไปกันเถอะค่ะ เดี๋ยวคุณพ่อจะรอนาน”
ร่างบางค่อยๆ ดึงมือออกจากมือของคนตัวสูงก่อนจะเดินนำไปที่ลานจอดรถ ชายหนุ่มรีบเดินตามไป หลังจากนั้นทั้งเขาและเธอต่างก็ไม่พูดอะไรกันอีกเลย จนกระทั่งรถวิ่งมาติดไฟแดง
ภวิลหันไปมองหญิงสาวเมื่อเห็นว่าเธอใจเย็นลงมากแล้ว
“คุณพลีสกับคุณแพรวยังมีเรื่องกันอยู่อีกเหรอ”
ชายหนุ่มเปิดบทสนทนาขึ้นก่อน พาขวัญที่นั่งเงียบมานานถึงกับไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองว่าเขาจะเป็นฝ่ายชวนคุย แต่บางทีพ่อเธออาจจะบอกให้เขาพยายามทำความรู้จักกับเธอให้มากขึ้นกระมัง คนที่พูดน้อยและมักจะเงียบใส่เธอจนกลายเป็นเรื่องปกติอย่างเขาถึงได้ชวนเธอคุย
“ก็เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วล่ะค่ะ”
“ผมนึกว่าโตๆ กันแล้วจะเลิกทะเลาะกันเสียอีก”
“พี่ภักดิ์ก็เห็นว่าพลีสอยู่ของพลีสเฉยๆ คนของพี่ภักดิ์นั่นแหละทำหน้าหาเรื่องใส่พลีสก่อน” น้ำเสียงของพาขวัญฉุนเฉียวขึ้นเมื่อภวิลพูดเหมือนเธอเป็นเด็กที่ทะเลาะกับเพื่อนด้วยเรื่องไร้สาระ
“คุณแพรวเป็นคนของผมตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ก็ยายแพรวเขาเคยแอบชอบพี่ภักดิ์นี่นา”
“แต่ผมไม่ได้ชอบคุณแพรว และเราแทบไม่เคยสานความสัมพันธ์กันเลยด้วยซ้ำ”
“พลีสรู้ค่ะ แต่รู้ตัวเอาไว้ด้วยนะคะว่าสาเหตุที่ยายแพรวแยกเขี้ยวใส่พลีสทุกครั้งที่เจอกันก็เพราะพี่ภักดิ์นั่นแหละ ยายแพรวคิดว่าพี่ภักดิ์ไม่ยอมรับรักเพราะพี่ภักดิ์เกรงใจพลีส งี่เง่าที่สุดเลย”
พาขวัญคิดว่าภวิลจะอธิบายถึงสาเหตุที่เขาปฏิเสธความรู้สึกดีๆ ของแพรวอาภาให้เธอฟัง แต่ชายหนุ่มกลับนิ่งเงียบราวกับยอมรับว่า…เขาไม่อาจตอบรับไมตรีของแพรวอาภาเพราะเกรงใจเธอจริงๆ
พี่ภักดิ์ไม่คิดจะอธิบายอะไรบ้างเลยหรือไง
หญิงสาวได้แต่สงสัยอยู่ในใจและน่าแปลก…ที่เธอไม่กล้าถามภวิลตรงๆ ว่าทำไมเขาถึงได้ปฏิเสธแพรวอาภา เป็นเพราะเหตุผลอื่นหรือเพราะเขาเกรงใจเธออย่างที่แพรวอาภาคิดมาตลอด
ทั้งสองคนไม่ได้คุยอะไรกันอีก เพราะปกติก็ใช่ว่าจะคุยกันบ่อยๆ อยู่แล้ว ยิ่งหลังจากที่พิธานพูดเรื่องที่ท่านอยากให้เธอแต่งงานกับภวิลก็ยิ่งทำให้ความรู้สึกที่เธอมีต่อเขาเปลี่ยนไป มันไม่ใช่ว่าเธอรังเกียจหรือต่อต้านเขา เพียงแต่เธอรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเหมือนเดิม พอนั่งเงียบกันนานๆ พาขวัญจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเล่นทั้งๆ ที่เธอไม่ใช่คนติดโทรศัพท์มือถือหรือชอบหยิบมันมาเล่นขณะที่อยู่กับคนอื่นเพราะเธออยากให้ความสำคัญกับคนที่อยู่ด้วย แต่เธออึดอัดจนอยากหาอะไรทำกลบเกลื่อนซึ่งภวิลก็ไม่ได้ว่าอะไร
เขายังวางตัวเป็นปกติราวกับถูกตั้งโปรแกรมเอาไว้ไม่มีผิด…
หญิงสาวทนอึดอัดราวๆ สี่สิบนาทีรถยนต์สีดำคันหรูก็ขับมาถึงบ้านหลังใหญ่ของครอบครัววงศ์วรารมย์ ภวิลเดินลงมาเปิดประตูรถให้อย่างเป็นสุภาพบุรุษ พอเธอก้าวลงจากรถเขาก็ปิดประตู
“ขอบคุณค่ะ”
พาขวัญเดินนำเข้าไปในบ้านโดยมีร่างสูงเดินเยื้องไปทางด้านหลังเล็กน้อยตามปกติของเขาที่เหมือนจะรู้ตัวเสมอว่าไม่ควรทำตัวทัดเทียมเธอ แม้ว่าเธอจะไม่เคยมองว่าเขาฐานะต่ำกว่าเลยก็ตาม ตรงกันข้ามเธอให้เกียรติภวิลเหมือนพี่ชายเสมอ เพราะพิธานเลี้ยงเขามาเหมือนลูก เขาอายุมากกว่า และปัจจุบันเขาก็มีความสำคัญกับบริษัท เธอรู้ดีว่าหากไม่มีเขา สถานการณ์ของวงศ์วรารมย์คงแย่แน่ๆ
“มาเร็วเหมือนกันนะ” พิธานยิ้มต้อนรับทั้งสองคน
“คิดถึงคุณพ่อจังเลยค่ะ” พาขวัญรีบเข้าไปกอดและอ้อนพ่อตามความเคยชิน
“วันนี้รถไม่ค่อยติดครับคุณท่าน” ภวิลรายงาน
“หิวกันหรือยัง” พิธานก้มมองลูกสาวที่อยู่ในอ้อมแขนหลังจากยิ้มขำให้กับความช่างประจบของเธอ “แต่ถึงยังไม่หิวก็ต้องไปทานข้าวกันแล้วล่ะ เพราะพ่อให้รุจาตั้งโต๊ะรอทุกคนแล้ว”
“ใครบอกว่าไม่หิวล่ะคะ พลีสหิวจะแย่แล้ว”
“แล้วภักดิ์ล่ะ ทำงานมาเหนื่อยๆ หิวหรือยัง”
“หิวแล้วครับ”
พิธานหัวเราะเมื่อเห็นพาขวัญมองหน้าภวิลเหมือนจะบอกให้เขาตอบไปในทิศทางเดียวกันและเขาก็ยอมตอบตามใจเธอเหมือนพี่ชายที่ตามใจน้องสาว ไม่อย่างนั้นพิธานคงไม่วายแซวลูกสาวตัวดีว่าแค่ไปนั่งดูแฟชั่นโชว์เฉยๆ แต่กลับหิวเสียยิ่งกว่าคนที่ทำงานหนักอย่างภวิลเสียอีก
ประมุขของบ้านวงศ์วรารมย์อารมณ์ดีเสมอเมื่อได้ทานอาหารเย็นอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา แต่ขณะที่ทั้งสามคนกำลังเดินเข้าไปในห้องทานอาหาร อติกันต์ก็เดินลงมาจากชั้นบนพอดี
ร่างสูงอยู่ในชุดที่ทุกคนมองปราดเดียวก็รู้ว่าเตรียมตัวออกไปข้างนอก…แต่งตัวดูดีตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ดูไม่เป็นทางการแบบนี้คงไม่ได้ไปที่ไหนนอกจากไปปาร์ตี้ไม่ก็ตระเวนราตรีตามเคย
“พักนี้นายภักดิ์แวะมาทานข้าวที่นี่บ่อยจังเลยนะครับพี่พิธาน” อติกันต์ทักทายก่อนจะยิ้มบางๆ ให้กับคนที่พูดถึง อีกฝ่ายจึงยกมือไหว้เขาตามมารยาทแม้จะอายุห่างกันแค่สามปี
“แล้วแกมีอะไรหรือเปล่า” พิธานถาม
“ไม่มีอะไรหรอกครับ แต่ไหนๆ เจอกันแล้วผมขอทานข้าวด้วยคนก็แล้วกัน จะได้ร่วมโต๊ะกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา คิดถึงเมื่อก่อนตอนที่นายภักดิ์ย้ายมาอยู่กับเราใหม่ๆ เหมือนกันนะ”
ว่าแล้วอติกันต์ก็เดินนำทุกคนเข้าไปในห้องทานอาหาร ภวิลนิ่งไปครู่หนึ่งเมื่ออีกฝ่ายพูดถึงเรื่องในอดีตที่เป็นเหมือนรอยแผลในใจเขา พิธานจึงตบไหล่เขาเบาๆ เหมือนจะบอกว่าอย่าไปสนใจ
ภวิลรู้ดีว่าอติกันต์แทบไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเขา ตอนที่พิธานรับเขาเข้ามาอยู่ในบ้านวงศ์วรารมย์นั้นอติกันต์กับเขาก็แทบไม่ได้เจอกันและอีกฝ่ายแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย เพราะอติกันต์ติดเพื่อนอย่างหนักจนไม่ค่อยได้กลับบ้าน จะบอกว่าอติกันต์สนใจแค่ตัวเองก็คงไม่ผิด เพราะกับพาขวัญเองอติกันต์ก็ยังแทบไม่ได้สนใจเลย…แต่หลังกลับจากต่างประเทศนี่แหละที่อติกันต์ดูจะสนอกสนใจหลานสาวมากยิ่งขึ้น และเห็นภวิลในสายตามากขึ้น ไม่ใช่ในฐานะญาติหรือเพื่อนร่วมงาน แต่ในฐานะศัตรูหรือคู่แข่งมากกว่า
ปกติอติกันต์ไม่ค่อยทานอาหารเย็นที่บ้าน เวลาที่ภวิลมาที่นี่จึงมักจะนั่งตรงข้ามกับพาขวัญ แต่วันนี้อติกันต์อยู่ด้วย ที่นั่งตรงนั้นจึงกลายเป็นของอีกฝ่าย ทำให้เขาต้องนั่งถัดจากอติกันต์อีกทีและอีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะพยายามกันเขาออกจากบทสนทนาด้วยการชวนพาขวัญคุยอยู่คนเดียว
ถึงกระนั้นภวิลก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเพราะปกติเขาไม่ใช่คนชอบคุยอยู่แล้ว
“วันนี้งานเป็นยังไงบ้าง เห็นว่าเป็นงานใหญ่ เชิญเซเลบมาเยอะเลยนี่” พิธานหาจังหวะชวนภวิลคุยเพื่อให้เขามีบทบาทบ้าง ท่านไม่ได้อยากชวนเขามาที่นี่เพื่อมาเป็น ‘คนอื่น’
“ก็ดีครับ สื่อให้ความสนใจเยอะดี เจ้าของงานก็ดูจะพอใจมาก”
“ปีหน้าก็คงไม่พ้นที่ภักดิ์จะได้ดูแลงานนี้อีก”
ภวิลยิ้มรับเพราะรู้ว่านั่นคือคำชม งานออร์แกไนซ์จะมีอะไรดีไปกว่าคนที่เคยจ้างงานกลับมาจ้างอีกเพราะประทับใจในการทำงาน พออติกันต์เห็นว่าพาขวัญกำลังเก็บข้อมูลก็รีบพูดแทรกขึ้น
“แล้วที่โรงเรียนของน้องพลีสเป็นยังไงบ้าง ได้ข่าวว่าดาราดังก็ไปเรียนกับน้องพลีสเหรอ”
“ไม่ได้มาเรียนเพราะพลีสหรอกค่ะ มาเรียนกับครูฤดีต่างหาก แต่พอมีดาราดังๆ มาเรียนด้วยก็ดีค่ะ ได้ประชาสัมพันธ์โรงเรียนไปในตัว ผู้ปกครองที่อยากให้เด็กๆ กล้าแสดงออกและอยากดันลูกเข้าวงการก็กล้าส่งลูกมาเรียนมากขึ้น นี่คอร์สเด็กประถมของพลีสเปิดรับสมัครแค่ไม่กี่วันก็เต็มแล้วนะคะ”
“เห็นภักดิ์บอกว่าอีเวนต์เปิดตัวนมผงสูตรใหม่อาทิตย์หน้านี้อยากหาเด็กๆ ไปแสดงเปิดงานนี่นา ตกลงว่าหาเด็กๆ ได้หรือยัง ถ้ายังก็ติดต่อนักเรียนของน้องพลีสเขาไปลองดูมั้ย” พิธานว่า
“คุณพลีสสนใจมั้ยครับ” ภวิลถาม
“พี่ภักดิ์จะให้นักเรียนของพลีสไปแสดงจริงๆ เหรอคะ” พาขวัญถามอย่างตื่นเต้นยินดี
“ถ้าคุณพลีสสนใจเดี๋ยวลองคุยรายละเอียดกันดูได้ครับ” ภวิลบอกอย่างเป็นงานเป็นการ “แต่อาจจะต้องเร่งซ้อมการแสดงหน่อยนะ เพราะงานจะมีในอาทิตย์หน้านี้แล้ว”
“แหม! พลีสต้องสนใจอยู่แล้วสิคะ” เธอยิ้มรับ
“น้องพลีสทุ่มเทให้กับโรงเรียนสอนการแสดงแบบนี้ก็คงไม่มีเวลาเข้าไปดูแลบริษัทเลยใช่มั้ย” อติกันต์วกเข้าประเด็นที่เขาอยากพูด “น้องพลีสไปดูๆ บ้างก็ดีนะ จะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร”
“ที่บริษัทก็มีคุณพ่อกับพี่ภักดิ์ดูแลอยู่แล้วนี่คะ”
“แต่ยังไงน้องพลีสก็ต้องไปเรียนรู้และทำความรู้จักกับพวกพนักงานเอาไว้บ้าง อนาคตอะไรมันก็ไม่แน่ไม่นอนหรอก” อติกันต์พูดต่อแล้วหันไปมองภวิลราวกับจะบอกให้พาขวัญระวังชายหนุ่มเอาไว้
พิธานได้ฟังดังนั้นก็รู้ว่าอติกันต์กำลังจะยุยงให้พาขวัญไม่ไว้ใจภวิล
“ที่นายกันต์พูดก็ถูก” พิธานว่า ถึงจะไม่พอใจในคำพูดของอติกันต์ แต่ท่านก็หัวไวพอที่จะแก้เกม “งั้นอีกสองสามวันภักดิ์มารับน้องพลีสไปที่บริษัทด้วยกันสิ น้องพลีสจะได้เข้าไปทำความรู้จักกับพนักงานเอาไว้ เพราะฉันเองก็ตั้งใจว่าจะหาโอกาสพาน้องพลีสไปแนะนำกับทุกคนอยู่แล้ว”
“ได้ครับคุณท่าน”
ภวิลไม่ขัดข้องเพราะเขาอยากให้พาขวัญรับรู้ขั้นตอนในการทำงานและรู้จักกับพนักงานคนสำคัญในบริษัทอยู่แล้ว เธอจะได้ตรวจสอบเขาได้หากรู้สึกไม่ไว้วางใจหรือระแคะระคายอะไรก็ตาม
ที่สำคัญจะได้ไม่มีใครมาพูดได้ว่าเขายึดอำนาจเอาไว้คนเดียว
“อะไรกันคะ พลีสยังไม่ได้ตอบตกลงเลยนะ” พาขวัญโวยวาย
“จะไม่ตกลงได้ยังไง พี่ภักดิ์เขางานเยอะกว่าเรา เขายังไม่มีปัญหาอะไรเลย ใช่มั้ยภักดิ์”
“ครับ”
พาขวัญถึงกับพ่นลมหายใจอย่างขัดใจ ไม่ว่าพิธานจะพูดอะไร ภวิลก็รับคำตลอด เข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย แล้วแบบนี้จะไม่ให้เธอคิดว่าเขาเป็นหุ่นยนต์ของพิธานได้ยังไงกัน!
ภวิลนัดเจออิชยะและแก้วเกล้าที่ร้าน ‘Nice Life’ ซึ่งเป็นร้านอาหารกึ่งผับที่อยู่ในความดูแลของแก้วเกล้าเอง ที่นี่เปิดบริการมาประมาณสองปีและได้รับความนิยมจากลูกค้าในกลุ่มชนชั้นกลางไปจนถึงผู้มีอันจะกิน เพราะตั้งอยู่ในย่านธุรกิจชื่อดัง ภาพลักษณ์ของร้านดูหรูหรา ดนตรีไพเราะ รสชาติอาหารถูกปาก อาหารแต่ละจานถูกจัดแต่งอย่างสวยงามไม่แพ้บรรยากาศในร้านที่สวยเก๋และเหมาะจะถ่ายรูปอวดในโซเชียล
ร้านนี้เปิดบริการตั้งแต่หกโมงเย็นจนถึงเที่ยงคืน มีลูกค้าแวะเวียนเข้ามาไม่ขาดสาย โดยเฉพาะในโซนวีไอพีที่อยู่บนชั้นสองและมีความเป็นส่วนตัวมากกว่าโซนอื่นๆ จะได้รับความนิยมมากจนต้องโทรมาจองโต๊ะล่วงหน้าไม่ต่ำกว่าสองวัน และคืนนี้ในช่วงเวลาสองทุ่ม โต๊ะที่ดีที่สุดของโซนนี้ได้ถูกจองเอาไว้แล้ว
หลังเสร็จงานชายหนุ่มก็รีบมาตามนัด เขามาถึงที่ร้านตอนสองทุ่มตามเวลานัดหมาย แต่พอเดินไปยังโต๊ะวีไอพีที่ถูกจองเอาไว้ล่วงหน้าก็พบว่าอิชยะกับแก้วเกล้านั่งรออยู่แล้ว และเมื่อสังเกตปริมาณเครื่องดื่มที่ยังเหลืออยู่ในแก้วของทั้งสองคน ภวิลคิดว่าอิชยะน่าจะมารอเขาได้สักพัก
ก็ไม่น่าแปลกอะไรหรอก…
ไม่ใช่เพราะปกติอิชยะเป็นคนมาก่อนเวลานัดนานๆ แต่เป็นเพราะเขาคบหากับแก้วเกล้ามาเป็นปีแล้วและไม่น่าเชื่อเลยว่าผู้ชายอย่างเขาจะเป็นคนติดแฟนมาก ทุกวันนี้หลังเลิกงาน ถ้าไม่มีธุระที่ไหน เวลาของอิชยะทั้งหมดจะเป็นของแก้วเกล้าโดยที่เธอไม่ต้องร้องขอเพราะอิชยะสมัครใจจะยกเวลาทั้งหมดนั้นให้เธอด้วยความเต็มใจอย่างที่สุดทั้งๆ ที่กับผู้หญิงคนก่อนๆ ก็ไม่เคยเป็นเช่นนี้
เมื่อก่อนอิชยะมีผู้หญิงเกี่ยวพันในชีวิตไม่เคยขาด แต่เขาไม่เคยมอบหัวใจให้ใคร เขาอยู่เหนือทุกความสัมพันธ์เสมอและมักเป็นฝ่ายคุมเกมทุกอย่าง จนกระทั่งเขาได้พบกับแก้วเกล้า
ชายหนุ่มเริ่มต้นความสัมพันธ์กับเธออย่างเห็นแก่ตัว ไร้หัวใจ คิดว่าตนเองอยู่เหนือกว่าและเป็นฝ่ายควบคุมทุกอย่างเหมือนที่ผ่านมา ทว่านานวันเข้าเขากลับควบคุมอะไรไม่ได้เลย
แม้กระทั่ง…หัวใจของตัวเอง
อิชยะตกหลุมรักแก้วเกล้าโดยไม่รู้ตัวในตอนที่เกือบจะสูญเสียเธอไปให้กับผู้ชายคนอื่น เขาพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้เธอหวนกลับมา และภวิลก็รู้ดีว่ากว่าอิชยะจะทำให้แก้วเกล้าเชื่อใจจนยอมวางหัวใจไว้ในมือของอิชยะอีกครั้งนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย…ไม่ง่ายเลยจริงๆ
ภวิลจึงไม่แปลกใจที่อิชยะจะรักหญิงสาวเหลือเกิน และเพราะอิชยะรักเธอมากนี่เอง เธอจึงตอบแทนเขาด้วยความรักดุจเดียวกัน และตอนนี้ทั้งสองคนก็ตัดสินใจจะแต่งงานกันในอีกสี่เดือนข้างหน้า
นั่นคือเหตุผลที่อิชยะนัดภวิลมาเจอกันในคืนนี้
“คุณภักดิ์มาแล้วค่ะ คุณน่ะเลิกวอแวฉันได้แล้ว เกรงใจเพื่อนคุณหน่อยสิ”
แก้วเกล้าบอกพร้อมกับดึงมืออิชยะที่โอบอยู่บนเอวของเธอออกไปวางไว้ที่อื่นพร้อมขยับออกห่างจากอีกฝ่ายเกือบฟุต แต่ชายหนุ่มก็ขยับตามไปแล้วโอบเอวบางเอาไว้เหมือนเดิม
“คุณอิชย์!” หญิงสาวจ้องคนรักด้วยสายตาดุๆ
“สวีตกันให้นายภักดิ์มันดูหน่อย มันจะได้เลิกทำตัวนิ่งๆ เป็นหุ่นยนต์แล้วรุกจีบคุณพลีสสักที” อิชยะว่าพลางนั่งไขว่ห้างอย่างสบายใจพร้อมปรายตามามองเพื่อนสนิทด้วยท่าทีโอ้อวด
“ถ้าไม่ติดว่าเห็นแก่คุณเกล้า…งานแต่งที่แกจะให้ฉันจัดให้อาจจะกลายเป็นงานศพของแกแทนก็ได้นะ” ภวิลตอกกลับด้วยสีหน้านิ่งเรียบพลางนั่งลงบนโซฟาตัวตรงข้าม
“ไอ้ภักดิ์!” อิชยะถลึงตาใส่เพื่อนอย่างดุเดือด กว่าเขาจะทำให้แก้วเกล้ายอมตกลงใจแต่งงานด้วยไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ภวิลจะมาแช่งเขาแบบนี้ได้ยังไง “ดูไอ้ภักดิ์นะเกล้า…มันแช่งผม”
แก้วเกล้ายิ้มขำเมื่อคนรักหันมาฟ้องเธอเหมือนเด็กๆ ถูกเพื่อนแกล้ง แต่เธอก็รู้ว่าภวิลกับอิชยะสนิทกันมาก และทั้งสองคนมักจะแซวหรือพูดเล่นกันแรงๆ เป็นปกติอยู่แล้ว
และเพราะคบหากับอิชยะมาเป็นปีแล้วนี่แหละที่ทำให้เธอได้เจอกับภวิลหลายครั้งจนเกิดความคุ้นเคย แม้จะยังไม่ถึงขั้นเป็นเพื่อนหรือสนิทกัน แต่ก็สามารถพูดคุยหรือพูดเล่นได้บ้าง
“แล้วคุณภักดิ์กับคุณพลีสเป็นยังไงบ้างคะ เห็นคุณอิชย์เล่าว่าพักนี้คุณภักดิ์ได้เจอคุณพลีสบ่อยๆ คืบหน้าไปบ้างหรือยัง” เธอถามด้วยความอยากรู้และเอาใจช่วย
ความจริงแล้วแก้วเกล้าคิดว่าภวิลเป็นผู้ชายที่ดูดีมาก เขาเพียบพร้อมทั้งรูปร่างหน้าตา ความสามารถ และฐานะ เมื่ออิชยะเปรยว่าเขายังโสดเธอจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าเขา ‘ตกสำรวจ’ สาวๆ มาได้ยังไงหรือว่าเขาเลือกมากเอง สุดท้ายก็ได้รู้ว่าภวิลมีคนในใจอยู่แล้วและกำลังรอคอยเวลาที่เหมาะสม
และใครคนนั้นน่าจะเป็นพาขวัญนั่นเอง
อิชยะเคยเล่าเรื่องภวิลให้แก้วเกล้าฟังว่าอีกฝ่ายไม่เคยยอมรับว่ารักพาขวัญหรือคิดเกินเลยกับหญิงสาวมากเกินกว่าลูกสาวของผู้มีพระคุณ แต่อิชยะดูออกเพราะภวิลไม่เคยเปิดตัวว่าคบกับผู้หญิงคนไหนเลยราวกับกำลังรอใครสักคน และใครคนนั้นจะเป็นใครไปได้เล่า…ถ้าไม่ใช่คนที่ภวิลเฝ้ามองมาตลอดอย่างพาขวัญ ถึงกระนั้นทั้งสองคนก็ไม่ได้ยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยว เพราะถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่าย
จะมีพูดคุยและถามไถ่บ้างก็ตอนที่พบหน้ากันอย่างนี้นี่แหละ
“สรุปว่านัดผมออกมาคุยเรื่องงานแต่งหรืออยากอัพเดตเรื่องของผมกันแน่ครับ”
ภวิลเลิกคิ้วถามด้วยสีหน้านิ่งๆ แต่ก็ทำให้แก้วเกล้าหลุดขำออกมา เธอรู้ว่าเขามักจะทำสีหน้านิ่งขรึมและน้ำเสียงเซ็งๆ ติดจะดุนิดๆ เพื่อเลี่ยงการพูดคุยเรื่องพาขวัญ หากไม่รู้จักกันมาก่อนคงคิดว่าเขากำลังไม่พอใจ แต่เธอรู้ว่าเขาแค่กลบเกลื่อนเท่านั้น บางทีนี่อาจเป็นวิธีซ่อนความเขินอายของเขา
“ทั้งสองอย่างนั่นแหละ ฉันกับเกล้ามีความสุขกันแล้ว ฉันก็อยากเห็นแกมีความสุขด้วย”
อิชยะตอบ เขากับภวิลสนิทกันก็จริง แต่ทั้งสองเว้นระยะห่างตามความเหมาะสม และไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวของกันและกันนอกจากจะพูดแซวกันบ้าง นั่นทำให้พวกเขาสบายใจจนคบกันได้นาน
“ถ้าเป็นคุณเกล้าพูดฉันก็จะเชื่อนะว่าหวังดี แต่พอเป็นแกพูด…ฉันรู้สึกได้ถึงความเยาะเย้ยถากถาง”
“เกล้า! คุณดูมัน!”
อิชยะฟ้องคนรักเมื่อถูกเพื่อนสนิทตอกหน้า แต่หญิงสาวกลับหัวเราะชอบใจที่เห็นพวกเขากัดกันเป็นเด็กๆ มุมนี้ของพวกเขาสองคนทั้งตลกและน่ารักในสายตาเธอ ใครจะเชื่อว่านักธุรกิจหนุ่มที่ภาพลักษณ์เด็ดขาด ทำงานเก่ง มีความเป็นผู้นำ และดูเป็นผู้ใหญ่ที่น่านับถืออย่างภวิลกับอิชยะจะกัดกันเป็นเด็กประถมแบบนี้ แต่เห็นพวกเขาสองคนสนิทกันและไว้ใจกันเธอก็พลอยรู้สึกดีไปด้วย
หญิงสาวพอจะรู้มาว่าภวิลเป็นเพื่อนรุ่นพี่ร่วมคณะสมัยเรียนมหาวิทยาลัยของอิชยะ อีกฝ่ายอายุมากกว่าคนรักของเธอแค่ปีเดียว ทั้งสองคนสนิทกันเหมือนเพื่อนรุ่นเดียวกัน แม้ว่าหลังเรียนจบแล้วต่างคนจะต่างทำงานจนมีโอกาสได้เจอกันน้อยลง แต่ทุกครั้งที่นัดเจอกันก็ยังสามารถพูดคุยกันได้อย่างสนิทใจ
อิชยะกับภวิลเป็นพวกมีกำแพงกั้นตัวตนค่อนข้างหนาทำให้สนิทใจกับใครได้ยาก แต่ด้วยความที่ทั้งสองคนมีอะไรหลายอย่างในชีวิตคล้ายกันจึงทำให้เข้าใจและสนิทใจกันได้…
Comments
comments
No tags for this post.