บทที่ 3
เกือบห้าทุ่มแล้วปารุสก์เดินโซซัดโซเซออกมาจากร้านเกมออนไลน์ร้านหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้กับบ้านของอาสดา เขาพยายามหาที่พักใหม่เพื่อจะก้าวออกจากความช่วยเหลือของคนที่เป็นทั้งรุ่นพี่และเพื่อนร่วมงาน แต่เสนอแห่งไหนไปอาสดาก็ยังไม่เห็นด้วยสักที ทำให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นเสมือนน้องคนสุดท้องของหน่วย NIC จำเป็นต้องอาศัยบ้านของอาสดาอยู่ไปก่อน และการมาเล่นเกมในร้านแทนที่จะอยู่เล่นที่บ้านก็เป็นความพยายามหาเวลาส่วนตัวให้ทั้งตัวเขาเองและอาสดา ไม่เช่นนั้นคงต้องเห็นหน้ากันตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง
แสงไฟหน้าร้านไม่ค่อยสว่างนัก รถมอเตอร์ไซค์ที่จอดเรียงรายอยู่ตรงหน้าเป็นของนักเรียน นักศึกษาที่มาเล่นเกมออนไลน์ในร้านเช่นเดียวกันกับเขา ปารุสก์ยืนบิดขี้เกียจเพื่อยืดเส้นยืดสายหลังจากนั่งหลังขดหลังแข็งในร้านตั้งแต่สิบเอ็ดโมงเช้าจนถึงตอนนี้ อาหารมื้อเช้า กลางวัน และเย็นรวมกันเป็นชุดแฮมเบอร์เกอร์หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ เวลาเดียวที่เขายอมลุกจากเก้าอี้คือตอนที่ปวดปัสสาวะ ชายหนุ่มอ้าปากหาวเสียกว้าง เมื่อหุบปากลงแล้วก็รู้สึกเหมือนใครกำลังยืนจ้องมองมาทางเขาในเงามืดสลัวอยู่
มีชายร่างใหญ่ยืนพิงรถเก๋งคันหนึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามถนน แสงไฟจากเสาไฟฟ้าทอดตัวไม่ตรงกับตำแหน่งที่ชายคนนั้นยืนอยู่ทำให้ปารุสก์ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นคนที่ตนรู้จักหรือไม่ สัญชาตญาณการระวังภัยเตือนให้เขาระวังตัว ชายหนุ่มถอยหลังหวังจะกลับเข้าไปภายในร้านเกมออนไลน์อีกครั้ง ทันใดนั้นชายร่างใหญ่ก็ขยับตัวเช่นกัน นั่นยิ่งทำให้ปารุสก์วิตกเพิ่มขึ้น เขาตัดสินใจหันหลังกลับแล้ววิ่งเข้าไปในร้านทันที
แต่ยังไม่ทันที่ประตูอัตโนมัติของร้านจะปิดไล่หลัง เสียงสัญญาณในกระเป๋ากางเกงยีนของเขาก็ดังขึ้น
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด…ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด…
ปารุสก์สะดุ้งแต่ก็ยังมีสติพอที่จะมุดลงไปใต้โต๊ะคอมพิวเตอร์ตัวหนึ่งซึ่งว่างจากการใช้งานอยู่ จากนั้นเขาก็ล้วงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าขึ้นมาดู ชายหนุ่มคิดไม่ผิดว่าคนที่โทรเข้ามาคือหัสยุทธ เทวดามาโปรดในตอนที่เขากำลังมีเคราะห์แท้ๆ เหงื่อตรงขมับจับตัวกันเป็นหยดไหลลงมาข้างใบหู ปารุสก์ไม่สนใจเด็กติดเกมสองคนที่ก้มลงมามองเขาใต้โต๊ะด้วยสีหน้าสงสัย ชายหนุ่มโบกมือไล่ให้เด็กพวกนั้นกลับไปสนใจหน้าจอคอมพิวเตอร์ของตนแล้วกดรับสาย
“หัวหน้าครับ หัวหน้า…” เมื่อนึกขึ้นได้ว่าอาการตื่นเต้นของตนทำให้ใช้เสียงที่ดังเกินไป ปารุสก์จึงรีบลดเสียงลงเป็นกระซิบ “หัวหน้าครับ ผมกำลังแย่ มีคนสะกดรอยตามผมมา”
“อืม ท่าทางมันเป็นยังไง”
“ตัวสูง ยืนซะเท่เชียว ผมไม่เห็นหน้ามันชัดๆ หรอก แต่รู้ว่ารูปร่างดีสูงใหญ่ มันยืนพิงรถอยู่หน้าร้านเกมที่ผมมาเล่นประจำ ตอนนี้ผมหลบเข้ามาในร้านอีกครั้งแล้วครับ ผมควรจะทำยังไงดี”
“แล้วนายรู้ได้ยังไงว่ามันสะกดรอยตามนาย”
“เราสบตากันในเงาสลัว ผมรู้สึกได้เลยว่ามันจ้องผมอยู่ ขนของผมลุกซู่ไปหมดตอนที่สบตากับมัน ผมว่ามันคงรอผมมานานแล้ว เหมือนที่หัวหน้าเคยเตือนว่าอาจจะมีใครสะกดรอยตามพวกเรา”
“ออกมาดูซิว่าหน้าตาท่าทางอย่างนี้รึเปล่า”
แล้วปารุสก์ก็เห็นหน้าแข้งของคนคนหนึ่งยืนอยู่หน้าโต๊ะคอมพิวเตอร์ตัวที่เขาซ่อนอยู่ ขาคู่นั้นสวมกางเกงยีนสีเข้ม
“ออกมา…”
จากนั้นนายตำรวจมือใหม่คนล่าสุดของหน่วย NIC ก็ยิ้มแหยก่อนที่จะโผล่ศีรษะออกมาจากใต้โต๊ะแล้วเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของหน้าแข้งคู่นั้น
“ราตรีสวัสดิ์ครับหัวหน้า”
หัสยุทธปิดโทรศัพท์มือถือแล้วถอนหายใจ “ระวังตัวมันก็ดี แต่ผมว่านายเล่นใหญ่ไปหน่อย”
หัวหน้าขยับถอยห่างจากโต๊ะเพื่อเปิดทางให้ลูกน้องคลานออกมา สายตาของเด็กวัยรุ่นจ้องมาที่พวกเขาสองคนอย่างสนใจ หัสยุทธจึงรีบประกาศ
“พวกนายก็กลับบ้านกันได้แล้ว นี่มันจะเที่ยงคืนแล้วนะ”
“พี่เป็นตำรวจเหรอ” หนุ่มน้อยผอมก้างใส่แว่นตาหนาเตอะคนหนึ่งถามอย่างท้าทาย
“ใช่สิ หน่วยสืบสวนซะด้วย”
“เฮ้ย!”
คราวนี้ทั้งคนใกล้คนไกลจากจุดเกิดเหตุนั้นต่างก็ชะเง้อคอและจ้องมาทางหัสยุทธเขม็ง เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของเขาบางส่วนก็ยอมลุกจากเก้าอี้ บางส่วนยังไม่ยอมขยับออกแต่บ่นพึมพำจับใจความได้ว่ายังเหลือชั่วโมงในการเล่นเกมค้างอยู่ หัสยุทธไม่ได้จริงจังกับคำขู่ของตนเองนัก เขาแค่กลัวว่าเด็กๆ เหล่านี้จะเสียสุขภาพจึงพูดเตือนไปอย่างนั้นเอง ตอนนี้จึงหันมาพยักหน้าให้ลูกน้องเพื่อจัดการเรื่องที่เขาต้องการให้เสร็จ
“ตามมา”
ปารุสก์เดินตามหัวหน้าต้อยๆ เหมือนลูกเป็ด หัสยุทธก้าวยาวๆ ข้ามถนนหน้าร้านที่เขาเคยยืนอยู่ข้างรถของตัวเอง เมื่อปารุสก์เห็นรถส่วนตัวของหัสยุทธในระยะใกล้ก็ยิ้มแหยทันที
“อ้อ รถของหัวหน้านี่เอง”
“ก็ใช่น่ะสิ ทีอย่างนี้ล่ะจำได้ เมื่อกี้วิ่งตูดแป้น…ขึ้นรถแล้วค่อยคุยกัน”
“ครับ”
ปารุสก์เปิดประตูฝั่งข้างคนขับแล้วแทรกตัวลงนั่งบนเบาะ ความคิดยังวนเวียนกับความสงสัยว่าทำไมหัวหน้าจึงมาหาเขาถึงที่นี่แทนที่จะใช้โทรศัพท์โทรมาสั่งงานเหมือนเช่นเคย
“ชีวิตของนายช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง”
“ฮะ…” ความสงสัยยิ่งเพิ่มเป็นทวีคูณเมื่อถูกตั้งคำถามกลับ ปารุสก์ไม่ได้เตรียมตัวกับเรื่องนี้ “ชีวิตของผมเหรอครับ”
“อื้ม”
“ก็…ก็ดีครับ สุขภาพดี มีเงินใช้ มีสวัสดิการของตำรวจ แล้วผมก็กำลังหาที่อยู่ใหม่”
“เรื่องที่อยู่เจ้าอาสเล่าให้ฟังบ้างแล้ว ก็ดีเหมือนกัน ยังไงคนเราก็ต้องมีบ้านของตัวเอง”
“ครับ”
“ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกนะ”
“ครับ”
ดูเหมือนหัสยุทธจะขับรถอย่างไม่มีจุดหมายที่แน่นอน เขาไม่เร่งรีบแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะจอดแวะที่ไหน และตอนนี้เขากำลังหมุนหัวรถเตรียมเข้าช่องทางด่วนแล้ว
“นายเป็นพลเรือนคนเดียวของหน่วยเราตั้งแต่ก่อตั้ง NIC มีการขออนุญาตเป็นกรณีพิเศษเพื่อแต่งตั้งนายเข้ามาเป็นสมาชิกโดยที่มีผมเป็นคนรับรอง”
“ครับ”
ปารุสก์รับคำทั้งที่ไม่เข้าใจสถานการณ์ที่กำลังเป็นอยู่เลยว่าทำไมหัวหน้าจึงมาหาเขาที่นี่ เวลานี้ โดยเฉพาะการพูดถึงเรื่องที่รู้กันดีอยู่แล้ว
“แสดงให้เห็นว่าคนนอกก็สามารถเข้าถึงงานราชการได้หากได้รับการรับรอง” หัสยุทธสรุป “รวบรวมคำสั่งพิเศษที่เกิดขึ้นก่อนการตั้งหน่วย NIC สักสองหรือสามปีเท่าที่นายพอจะหาได้ พยายามจัดหมวดหมู่โดยจำแนกจากคนออกคำสั่ง ผมคิดว่านายจะพบกับกลุ่มคนและเส้นสายที่โยงใยกันอยู่”
จู่ๆ เขาก็ได้รับการสั่งงาน ปารุสก์รีบล้วงโทรศัพท์มือถือของตนขึ้นมาจดโน้ตไว้ทันที
“ถ้าได้คำตอบแล้วให้ส่งข้อมูลมาที่ผมโดยตรง”
“ผมบอกเรื่องนี้กับพี่วุฒิ พี่อาสได้ไหมครับ”
หัสยุทธส่ายหน้าช้าๆ “บอกไปสองคนนั้นก็ยังมองไม่เห็นภาพหรอก นายทำงานของนายไปเถอะ เมื่อถึงเวลาผมจะเป็นคนบอกเอง”
“ครับผม”
“ผมพยายามตามหาตัว Satan เพื่อที่จะหยุดการโจมตีจากมัน การที่ต้องอยู่อย่างหวาดระแวงว่ามันจะแว้งกัดเมื่อไรมันทำให้หงุดหงิดชะมัด”
“ผมเข้าใจครับหัวหน้า ผมก็จะพยายามหาคำตอบที่หัวหน้าต้องการมาให้ได้”
“ขอบใจรุสก์ อ้อ แล้วเรื่องที่อยู่ บางทีผมอาจจะช่วยนายได้ถ้าได้พูดเรื่องนี้กับป้าดาว นายสนใจจะอยู่ทาวน์เฮ้าส์ไหมล่ะ”
“บ้านของหัวหน้าเหรอครับ”
“ใช่ ผมคุยกับหมอบุษแล้วว่าอาจจะขายมันเพื่อไปซื้อบ้านที่ใหญ่พอสำหรับพวกเราสามคน”
“อ๋อ จริงด้วย เดี๋ยวหัวหน้าก็ต้องแต่งงานแล้ว ทั้งป้าดาวกับหมอบุษก็จะได้อยู่บ้านเดียวกัน” ปารุสก์ดูตื่นเต้นขึ้นมาในนาทีหนึ่งแล้วต่อมาเขาก็สลดลง “แต่ลำพังเงินเดือนผมคงผ่อนบ้านหลังใหญ่อย่างนั้นไม่ได้หรอกครับ”
“ได้สิ ผมยังทำได้เลย นายทำได้แน่ นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ผมพยายามผลักดันให้นายสอบเข้าเป็นตำรวจนะ”
“หัวหน้าคิดอย่างนั้นเหรอครับ”
“ใช่”
เป็นอีกครั้งที่หัสยุทธให้ความมั่นใจแก่ลูกน้องของเขา นายตำรวจร่างใหญ่เป็นมากกว่าหัวหน้างาน เขาแทบจะทำตัวคล้ายพ่อของปารุสก์เข้าไปทุกที ความรัก ความเมตตานั้นมีให้เด็กหนุ่มจนเต็มเปี่ยม
“แล้วทำไมนายถึงมาเล่นเกมที่ร้านล่ะ”
“เปลี่ยนบรรยากาศครับ”
“ไม่ใช่เจ้าอาสพาสาวเข้าบ้านนะ”
“โอ๊ย ทำไมหัวหน้ารู้”
หัสยุทธหัวเราะดังลั่น “มีอะไรที่ผมไม่รู้เกี่ยวกับลูกน้องของตัวเองบ้าง งั้นจะพาไปเลี้ยงข้าวต้มก่อนส่งกลับบ้านแล้วกัน จะได้มีเวลาให้เจ้าอาสทำธุระส่วนตัวให้เสร็จก่อน”
แล้วคนทั้งคู่ก็หัวเราะให้กันอย่างอารมณ์ดี
ในที่สุดก็ถึงวันที่ทั้งสองครอบครัวจะมาพบหน้ากันอย่างเป็นทางการเสียที บุษบงกชเป็นคนจัดการทุกอย่างทั้งเรื่องสถานที่นัดหมาย รวมไปถึงอาหารที่จะรับประทานร่วมกันในวันนี้ คุณหมอมานั่งรอรายงานจากผู้จัดการฝ่ายห้องอาหารและจัดเลี้ยงในล็อบบี้ของโรงแรมสปาร์คกลิ้ง (Sparkling) เพื่อตรวจทานความเรียบร้อยก่อนจะถึงเวลาสำคัญในช่วงค่ำ เมื่อกรรณิการ์ ผู้จัดการฝ่ายห้องอาหารปรากฏตัวพร้อมแฟ้มเอกสารในมือ บุษบงกชก็ยิ้มทักทาย
“ไม่ต้องรีบค่ะคุณไก่ เดี๋ยวจะล้ม”
“สวัสดีค่ะคุณหมอ ขอโทษที่ทำให้ต้องรอนะคะ เช้านี้ยุ่งมากเลยค่ะ ปลีกตัวออกมาก็ไม่ได้ มีแต่คนต้องการตัวไก่ไปซะหมด”
คนพูดอารมณ์ดีและมีใบหน้าเป็นมิตรมาก รูปร่างอวบเล็กน้อยกับผมสั้นแถมมีหน้าม้านั้นทำให้เธอดูอ่อนวัยกว่าความเป็นจริง กรรณิการ์นั่งลงบนโซฟาใกล้บุษบงกชแล้วเปิดแฟ้มงานบนโต๊ะทันที
“นี่เป็นห้องอาหารที่จัดเตรียมไว้ค่ะ เป็นแบบที่คุณหมอชอบ มีดอกกล้วยไม้ตามมุมต่างๆ ของห้องและบนโต๊ะอาหารนะคะ ส่วนด้านนี้เป็นรายการอาหารค่ะ มีรูปถ่ายมาให้ดูด้วย ทุกอย่างจะพร้อมตรงตามเวลาอย่างแน่นอนค่ะ”
เมื่อมองดูทุกอย่างในแฟ้มแล้วบุษบงกชก็เพิ่งรู้สึกว่าตัวเองตื่นเต้นเกินความจำเป็นไปมาก ทั้งที่วันนี้เป็นแค่การพบปะพูดคุยกันของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายเท่านั้น แต่เธอทำเหมือนกับว่าวันนี้เป็นวันหมั้นของเธอกับหัสยุทธ เมื่อคิดได้เช่นนั้นคุณหมอก็หลุดขำออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยจนกรรณิการ์ตกใจ
“คุณหมอมีปัญหาตรงไหนบอกไก่ได้นะคะ ไก่จะรีบแก้ไขให้ทันทีเลยค่ะ”
“ปะ…เปล่าค่ะ ขอโทษทีค่ะที่จู่ๆ ก็หัวเราะออกมา ความจริงหมอขำตัวเองน่ะค่ะ พอเห็นคุณไก่ตั้งใจทำทุกอย่างมาให้ดูอย่างนี้ก็รู้สึกว่าตัวเองตื่นเต้นมากเกินไป เฮ้อ แค่ทานข้าวด้วยกันเองนะคะ”
“ไม่จริงค่ะ” ผู้จัดการวัยกลางคนยกมือขึ้นห้าม “นี่ไม่ใช่แค่การทานข้าวนะคะ แต่สำหรับวันนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของครอบครัวใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ค่ะ และโรงแรมสปาร์คกลิ้งของเราต้องใส่ใจในทุกรายละเอียดความต้องการของลูกค้า เพราะเราเชื่อมั่นว่าเมื่อเริ่มต้นดีละ…”
“หยุดค่ะคุณไก่…คุณไก่กำลังอ่านสปอตโฆษณาของโรงแรมให้หมอฟังอีกแล้วนะคะ”
จากนั้นคนทั้งคู่ต่างก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี
“แหม คุณหมอรู้ทัน แต่ไก่พูดจริงนะคะ ไม่ใช่แค่ทานข้าวนะคะ แต่เป็นวันสำคัญของคุณหมอ ไก่ยินดีทำทุกอย่างให้ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายพอใจค่ะ”
บุษบงกชมองคู่สนทนาด้วยความรู้สึกขอบคุณจากใจจริง “ขอบคุณมากนะคะ ตัดสินใจไม่ผิดเลยที่เลือกมาที่นี่”
“แน่นอนค่ะ และงานแต่งงานของคุณหมอทางโรงแรมก็พร้อมจะเสนอชื่อเพื่อเข้าแข่งขันคัดเลือกสำหรับเป็นสถานที่จัดงานวิวาห์ด้วยค่ะ”
“โอ๊ย หมอไม่มีการจัดแข่งขันอะไรอย่างนั้นหรอกค่ะคุณไก่”
“อ้าว เหรอคะ งั้นก็แสดงว่าตัดสินใจเลือกโรงแรมของเราเลยสินะคะ”
“มัดมือชกกันเลยนี่นา”
คุณหมอแกล้งประชดแล้วก้มลงอ่านเอกสารในมืออย่างสนใจจนไม่ทันสังเกตว่ามีพนักงานร่างเล็กคนหนึ่งของโรงแรมเดินเข้ามาหาผู้จัดการของเธอ หญิงสาวสองคนกระซิบกระซาบกันชั่วครู่ จากนั้นบุษบงกชก็ถูกรบกวนด้วยเสียงขออนุญาต
“คุณหมอคะ ไก่ต้องขอตัวสักครู่นะคะ ไม่เกินสิบนาทีค่ะ พอดีน้องเขาแก้ปัญหาไม่ได้ คุณหมอรอสักครู่ได้ไหมคะ”
“เชิญคุณไก่ตามสบายเลยค่ะ หมอไม่หนีไปไหนหรอก”
เธอยิ้มให้แล้วมองหญิงสาวสองคนที่มีรูปร่างต่างกันเดินเร็วๆ ห่างออกไป บุษบงกชกลับมาสนใจรายละเอียดของงานในค่ำวันนี้อีกครั้ง รูปโต๊ะอาหารที่จัดเตรียมไว้เหมือนจะขาดอะไรไปบางอย่าง ในที่สุดเธอก็นึกออกว่าไม่มีเก้าอี้นั่งสำหรับหลานสาวตัวน้อยของเธอ เรื่องนี้สำคัญและจำเป็นต้องบันทึกไว้ คุณหมอควานหาปากกาในกระเป๋าถือของตัวเองอยู่พักหนึ่งแล้วต้องยอมรับว่าเมื่อเช้าเปลี่ยนจากกระเป๋าถือใบใหญ่และเธอไม่ได้ย้ายปากกาด้ามโปรดในนั้นมาด้วย ในที่สุดจึงจำเป็นต้องลุกขึ้นแล้วเดินไปที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ของโรงแรม หวังว่าเธอจะสามารถขอยืมปากกาสักด้ามได้จากตรงนั้น
อีกสองก้าวจะถึงเคาน์เตอร์อยู่แล้ว จู่ๆ ชายร่างใหญ่ที่ยืนอยู่ก่อนหน้าก็หมุนตัวกลับมาอย่างกะทันหัน และมันยังเป็นจังหวะเดียวกันกับที่บุษบงกชมาถึงตรงจุดปะทะพอดี แรงกระแทกทำให้เอกสารในมือของเธอร่วงลงสู่พื้น ชายคนนั้นก็ตกใจเช่นกัน แต่เขามีสัญชาตญาณที่ไวกว่า มือใหญ่ยื่นออกมาจับข้อศอกของคุณหมอไว้เพื่อป้องกันไม่ให้เธอล้มลง
“ขอโทษครับ!”
“ค่ะ”
หญิงสาวก็ตกใจมากเช่นกัน เธอเพิ่งเงยหน้าขึ้นมองชายคู่กรณีชัดๆ เขาเป็นชายรูปร่างสูงใหญ่คล้ายหัสยุทธ บุษบงกชถูกสอนให้แยกบุคคลตามลักษณะเด่นของแต่ละคน แล้วเพียงแวบเดียวเธอก็ให้คำจำกัดความของชายคนนั้นขึ้นมาในสมองว่า ‘มีรอยแผลเป็นตรงหัวคิ้ว’ คนทั้งคู่สบตากันนิดหนึ่ง แล้วเขาก็ปล่อยมือจากข้อศอกของเธออย่างสุภาพ คนทั้งคู่ถอยหลังคนละก้าวเพื่อรักษาระยะห่าง ชายคนนั้นยังก้มลงเก็บเอกสารที่หล่นคืนให้บุษบงกชอีกด้วย
“ขอโทษครับ ผมขยับตัวเร็วเกินไป ไม่ทันเห็นคุณ เป็นอะไรมากรึเปล่าครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันก็ต้องขอโทษเหมือนกันที่เดินเข้ามาด้านหลังเงียบๆ”
“ถ้าไม่เป็นอะไร ผมขอตัวก่อนนะครับ”
“เชิญตามสบายค่ะ”
ชายผู้มีรอยแผลเป็นก้มศีรษะให้เธอนิดแล้วรีบเดินจากไป บุษบงกชไม่ติดใจอะไร เธอจึงกลับมาสนใจปัญหาของตัวเองต่อ พนักงานต้อนรับหน้าเคาน์เตอร์รีบยิ้มกว้างให้
“ขอยืมปากกาสักด้ามได้ไหมคะ”
“ได้ค่ะ…นี่ค่ะ”
บุษบงกชรับมาแล้วจดบันทึกสิ่งที่ต้องการลงไปในกระดาษใบหนึ่งทันที
นาทีที่สายตาของคนทั้งคู่ประสานกันนรบดีรู้สึกใจหาย เขาชาวาบไปทั่วตัวเพราะไม่คิดว่าจะพบบุษบงกชที่นี่ แล้วด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นไม่มีทางเลยที่เขาจะหลบออกไปทันทีโดยไม่กล่าวคำขอโทษหรือพูดคุย เพราะหากทำเช่นนั้นอาจจะยิ่งน่าสงสัยเพิ่มขึ้น บุษบงกชเป็นผู้หญิงที่มีเครื่องหน้าโดดเด่น การเห็นเธอผ่านกล้องวงจรปิดหลายครั้งทำให้เขาจดจำใบหน้าของเธอได้ไม่ยาก และทันทีที่ประสานสายตากันเขาก็รู้ว่าเป็นเธอ
นรบดีไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาก่อนว่าจะได้พบบุษบงกชที่นี่ การมาติดต่อประสานงานกับทางโรงแรมเป็นเรื่องที่เขาวางแผนมาก่อนนานแล้ว และไม่เคยคิดเลยว่าจะโคจรมาพบคนรักของหัสยุทธ โชคดีแค่ไหนที่เธอไม่รู้จักเขา และเธอก็จะไม่มีวันรู้จักเขาด้วย อดีตนายตำรวจเชื่อมั่นเช่นนั้น ก่อนออกจากบริเวณโถงของโรงแรม นรบดีได้เหลือบมองบุษบงกชอีกครั้งพานนึกสงสัยว่าเธอมีธุระอะไรในโรงแรมแห่งนี้…
ทางฝั่งหัสยุทธก็ดูเหมือนจะตื่นเต้นไม่แพ้ว่าที่เจ้าสาว อีกราวสามชั่วโมงจะถึงเวลานัด ละอองดาวก็จัดแจงนำซิ่นผ้าไหมไทยของตัวเองออกมาวางบนเตียงนอนโดยมีเจ้าเดือนเสี้ยวคู้ตัวมองดูเธออยู่ไม่ห่าง หญิงชราพยายามคิดว่าสีอะไรใส่แล้วจึงจะเป็นมงคลในวันนี้
“วันอาทิตย์สีชมพูกับโอลด์โรสเป็นเดช สีเขียวเป็นศรี สีเทากับดำถึงจะเป็นมนตรีแต่ก็ดูไม่เหมาะที่จะใส่ไปขอลูกสาวเขา เดชหมายถึงอำนาจ…เอาอำนาจไปข่มเขาไม่น่าจะดี งั้นต้องเลือกอันที่เป็นโชคลาภ สิริมงคล…สีเขียวนี่แหละ ว่าไงเจ้าเสี้ยว”
เดือนเสี้ยวยกศีรษะขึ้นมานิดหนึ่งคงเพราะได้ยินชื่อของตัวเอง แต่หลังจากนั้นก็ทำท่าว่าอยากจะหลับอีกครั้ง
“เฮ้อ แกนี่ไม่มีประโยชน์เลย เจ้านายแกจะแต่งงานแล้วนะ ต้องแสดงความยินดีกับเขาหน่อยสิ”
ละอองดาวยกซิ่นผ้าไหมไทยสีเขียวขึ้นมาดูใกล้ๆ อย่างพึงพอใจ จากนั้นก็จับแยกออกมาจากสีอื่นเพื่อนำเสื้อลูกไม้สีขาวที่มีอยู่หลายตัวมาเทียบ ระหว่างนั้นเจ้าของบ้านอีกคนก็มาเคาะประตูห้องพร้อมกับร้องเรียกป้าของเขาไปด้วย
“ป้าครับ ช่วยดูเนกไทหน่อย”
“เข้ามาสิ”
หัสยุทธเปิดประตูเข้ามาพร้อมเนกไทอีกสี่เส้น เมื่อเห็นเสื้อผ้าที่ป้าของเขานำมาวางบนเตียงหนุ่มใหญ่ก็ทำตาโต
“โห ตู้เสื้อผ้าระเบิดเหรอครับ”
“ไม่ต้องมาแซว ตัวเองล่ะ…เดินเร่ขายเนกไทเหรอ”
หัสยุทธย่นจมูกใส่แล้วเดินมาหยุดตรงปลายเตียงนอนของละอองดาว สายตาเกิดไปปะทะเจ้าเดือนเสี้ยวอย่างไม่ได้ตั้งใจ ทั้งคนทั้งแมวจ้องตากันด้วยความหวาดระแวงทั้งคู่
“เมื่อคืนไปไหนมา” นายตำรวจหนุ่มใหญ่ถาม “เป็นสาวเป็นนางกลับบ้านมืดค่ำ ไม่รักนวลสงวนตัว”
คราวนี้แมวสาวไม่นอนต่อแล้วแต่มันลุกขึ้นยืนแล้วเดินลงจากเตียงไปทันที หัสยุทธมองตามด้วยความหมั่นไส้จนกระทั่งมันเดินผ่านบานประตูที่เปิดค้างไว้ออกไป
“แหม เดี๋ยวนี้พูดอะไรไม่ได้เลย สะบัดหน้าใส่ เดินหนี”
ละอองดาวหัวเราะคิกคัก “นี่…อย่าไปยุ่งกับเจ้าเสี้ยวมันมาก เดี๋ยวมันรำคาญจะหนีออกจากบ้านซะเปล่าๆ”
“นี่แมวหรือวัยรุ่น” พูดแล้วเขาก็ส่ายหน้าช้าๆ
“เหมือนกันนั่นแหละ แมววัยรุ่นไง ไหนจะให้ป้าช่วยอะไร”
หัสยุทธยกแขนทั้งสองข้างขึ้นพร้อมกัน โดยแต่ละข้างมีเนกไทพาดอยู่ข้างละสองเส้น ละอองดาวมองเนกไททั้งสี่กลับไปกลับมาหลายรอบก่อนถาม
“สูทสีอะไร”
“ดำอยู่แล้ว”
หญิงสูงวัยส่ายหน้า “เทา”
“หืม…แต่ผมใส่ดำแล้วหล่อ หมอบอก”
“นี่ใส่ไปให้พ่อแม่เขาดูด้วย สีดำจะทำให้หน้าเราดุเกินไป ใส่เชิ้ตสีขาว สูทเทากับเนกไทสีเดียวกันจะทำให้ดูสะอาดสะอ้าน ภูมิฐานมากกว่า” แล้วละอองดาวก็หยิบเนกไทหนึ่งในสี่เส้นนั้นออกมา “นี่เส้นนี้”
หัสยุทธหรี่ตามองผู้มีพระคุณของเขาแวบหนึ่งด้วยใบหน้ายียวนก่อนยิ้มจนเห็นฟันขาว
“ตกลงครับคุณป้าสุดที่รัก งั้นผมขอตัวไปจัดชุดตามที่ป้าบอกก่อนนะ”
“จ้า เชิญเถอะว่าที่เจ้าบ่าว”
นายตำรวจร่างใหญ่หัวเราะคิกคักอย่างกับเด็กผู้หญิง ทั้งเขินทั้งชอบใจ รู้สึกว่าตนเองกำลังมีความสุขจนเปี่ยมล้นหัวใจไปหมด แต่ตอนที่กำลังจะดึงบานประตูให้กว้างออกนั้นจู่ๆ ก็ถูกเรียกให้หยุดเสียก่อน
“เดี๋ยวหัส…”
“ครับ” เขาหันกลับมาทั้งที่ยังมีรอยยิ้มทั้งปากทั้งตา
“ป้าว่าจะขายบ้านหลังนี้นะ”
“ฮะ?” เขาอึ้งไปนิดก่อนจะยิ้มออกมาอีกครั้ง “สมกับเป็นป้าหลานกัน ผมก็คิดเหมือนป้าเลย เราควรจะขายหลังนี้เพื่อไปซื้อหลังใหญ่ขึ้น พอผมมีลูกเราจะกลายเป็นครอบครัวใหญ่ทันที เนี่ยไปคุยกับเจ้ารุสก์ ลูกน้องที่ทำงานไว้แล้วเผื่อว่าเขาอยากจะซื้อบ้านหลังนี้ต่อจากเรา”
“แต่ป้าจะไม่ไปอยู่กับแกหรอกนะ”
…
เกิดความเงียบงันหลายอึดใจกว่าคนฟังจะถามออกมาได้อีกครั้ง
“อะไรนะครับ” หัสยุทธหันหลังกลับมาทั้งตัว สายตาของเขาทั้งสงสัย ทั้งกังวล “ทำไมล่ะครับ ทำไมป้าจะไม่อยู่กับผม เพราะหมอบุษเหรอ”
“เปล่าๆๆ” ละอองดาวโบกมือไปมาเป็นพัลวัน “ป้ารักหนูบุษจะตายไป”
“แล้วทำไมครับ” หัสยุทธเดินเข้ามาหาผู้มีพระคุณที่สุดในชีวิตของเขา “เราเป็นครอบครัวเดียวกันไม่ใช่เหรอ ป้าบอกอย่างนั้นมาตลอด แล้วทำไมจู่ๆ ป้าจะไม่อยู่กับเรา แล้วถ้าไม่อยู่ด้วยกันป้าจะไปอยู่ที่ไหน ผมเป็นครอบครัวคนเดียวของป้านะ”
ละอองดาวยิ้มบางๆ แล้วถอนใจ สีหน้าไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรนัก เหมือนคนที่ตัดสินใจอะไรได้อย่างเด็ดขาดแล้วเสียมากกว่า นางบอกด้วยเสียงนุ่ม
“ป้าจะไปอยู่กับเพื่อน”
“เพื่อนที่ไหนครับ ผมรู้จักมั้ย แล้วทำไมป้าต้องไปอยู่กับเขา ป้ามีครอบครัวนะไม่ใช่คนไร้ญาติ”
หัสยุทธไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับการตัดสินใจของละอองดาวในครั้งนี้ มันเป็นเรื่องสำคัญและเขาอดโทษตัวเองไม่ได้ว่าการแต่งงานของเขาทำให้ป้าตัดสินใจเช่นนั้น นายตำรวจเดินกลับมาที่ปลายเตียงของละอองดาวแล้วโยนเนกไทในมือลงบนกองเสื้อผ้า จากนั้นก็จับมือทั้งสองข้างของหญิงชรามากุมไว้
“บอกผม…ถ้าป้าไม่สบายใจเรื่องอะไรก็ตาม บอกผม ผมจะแก้ปัญหาให้ป้าเอง”
ละอองดาวยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาตบหลังมือของชายหนุ่มก่อนตอบ “มันไม่ใช่ปัญหา เขาเรียกว่าการจัดการชีวิตต่างหาก แล้วป้าก็มีแต่ความสบายใจ…จริงๆ”
“ผมไม่เข้าใจ” หัสยุทธสลด
“ฟังป้านะ ชีวิตนี้ของป้าได้ทำทุกสิ่งที่ต้องการและตั้งใจแล้ว เหลืออย่างสุดท้ายก็คือการเตรียมตัวตาย”
“อะไรนะครับ!…ป้าเป็นมะเร็งเหรอ”
“ไม่ได้เป็น! ฉันสบายดี ปัดโธ่! กำลังซึ้งเลย” ละอองดาวสะบัดมือออกจากหลานชายอย่างเซ็งๆ “ป้าจะย้ายไปอยู่บ้านคนแก่”
“หา…ป้าพูดอะไรเนี่ย ป้ามีหลานชายที่สามารถดูแลป้าได้ตลอดชีวิตนะ ทำไมต้องไปอยู่บ้านพักคนชราด้วย ไม่เอา ผมไม่ให้ป้าไป”
“ฉันไม่ได้ขออนุญาตแก ฉันบอก”
“ไม่ๆๆ ผมไม่ยอม”
“เฮ้อ…นี่ไง เป็นอย่างนี้ไงถึงไม่อยากบอกก่อน”
“ก่อนอะไร…อย่าบอกนะว่าป้าย้ายข้าวของบางส่วนไปอยู่บ้านพักคนชราแล้ว”
“ยัง! แล้วมันไม่ได้เป็นบ้านพักคนชราอย่างที่แกคิด มันเป็นสถานที่สำหรับรอความตายอย่างดีงามที่สุดเท่าที่ป้ารู้จักเลย”
“เอาข้อมูลทุกอย่างที่ป้ารู้มาให้ผมตรวจสอบก่อน ทุกอย่างจะไม่ได้รับอนุญาตหากผมไม่มีข้อมูลที่มากพอ แล้วขอถามหน่อยว่าเป็นเพราะผมจะแต่งงานใช่ไหมป้าถึงทำอย่างนี้ ถ้าเป็นอย่างนั้นผมไม่แต่งก็ได้”
“จะบ้ารึไง โอ๊ย นี่ฉันเลี้ยงแกมาให้เป็นผู้ชายติงต๊องอย่างนี้ได้ยังไงเนี่ย”
หัสยุทธทิ้งตัวนั่งลงบนเตียง เขารู้สึกไม่ดีเลย ความสดชื่นเมื่อสิบนาทีที่แล้วเหือดแห้งไปหมด “ป้าคิดเรื่องนี้มานานเท่าไรแล้ว ทำไมผมไม่เคยรู้เลย”
“ตั้งแต่แกเรียนจบ”
ละอองดาวตอบแล้วนั่งลงข้างหลานชายตัวโต เรื่องเครื่องแต่งกายของคนทั้งคู่ดูเหมือนจะถูกลืมไปจนหมดสิ้น หัสยุทธหันมามองใบหน้าด้านข้างของหญิงชราที่เลี้ยงดูเขามา
“คิดมาตลอดเลยสินะว่าไม่ต้องการอยู่ด้วยกัน ผมเป็นภาระมากใช่ไหม”
หญิงชราถอนใจอีกครั้ง นางรู้ว่าช่วงเวลานี้จะต้องถูกหัสยุทธประชดประชันไม่หยุดหย่อน แต่มันก็เป็นวิธีระบายความเครียดของเขาที่นางเข้าใจได้ ละอองดาวตบไปที่หลังมือใหญ่บนตักของเขาสองสามครั้ง
“ไม่เอาน่า หัสก็รู้ว่าป้าไม่มีทางคิดอย่างนั้น เราอยู่ด้วยกันมาหลายสิบปีด้วยความรักและป้าจะจากไปด้วยความรักเหมือนเดิม ไม่มีอะไรมาเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ของเราสองคนได้ หัสก็รู้นี่…ใช่ไหม”
“ผมกำลังงง” เขาสะบัดศีรษะสองสามครั้ง “ขอถามอีกครั้ง…ถ้าผมไม่แต่งงาน ป้าจะไปไหม”
“ไป”
หัสยุทธจ้องมองผู้มีพระคุณของเขาด้วยสายตางงงัน แต่สายตาที่ฝ้าฟางของละอองดาวนั้นมีแต่ความมั่นคง
“ที่นั่นจะเป็นที่สุดท้ายของลมหายใจ มันสงบและสุขสบายตามอัตภาพ ป้าจะมีเพื่อนไว้คอยพูดคุย เล่าความหลังให้กันและกันฟัง มีกิจกรรมสำหรับพวกเราคนแก่ให้ทำ มันดีจะตายไป” นางยิ้ม
“ตลอดเวลาที่ผ่านมาป้าคงเหงามากสินะ ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย”
“อย่าโทษตัวเองน่า ชีวิตใครก็ชีวิตมัน ต่างก็ต้องมีทางเดินของตัวเองทั้งนั้น การดูแลคนแก่ในช่วงสุดท้ายของชีวิตไม่ใช่เรื่องสนุกหรอกนะ ป้าคิดถึงเรื่องนี้ด้วย หากอยู่ที่นั่นจะมีคนดูแลป้าอย่างดี”
“ผมก็ดูแลได้”
ละอองดาวส่ายหน้าแล้วยิ้ม นางยกมือขึ้นจับใบหน้าของหลานชายอย่างอ่อนโยน “ป้ารู้ แต่ป้าไม่ต้องการให้หัสทำ อีกไม่กี่ปีป้าคงอยู่ในสภาพช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เมื่อถึงเวลานั้นป้าอยากจากไปอย่างสวยงาม ไม่อยากให้หลานชายต้องมาเฝ้าเช็ดอึเช็ดฉี่ให้”
“ป้ายังแข็งแรงออก”
“ไม่อยากจะยอมรับเลยว่าเดี๋ยวนี้เดินขึ้นบ้านสองชั้นก็หอบแล้ว หัวเข่าก็ไม่ค่อยจะดี”
หัสยุทธใจหาย นานเท่าไรแล้วที่เขาหยุดเวลาชีวิตของละอองดาวไว้ เขาอยู่กับนางมานานจนไม่คิดว่าป้าจะแก่ตัวลงไปทุกวัน บางทีการทำอาหารหรือการรอคอยเขากลับบ้านตอนดึกๆ ดื่นๆ ก็อาจจะเป็นเรื่องยากของป้าไปแล้วก็ได้ แต่เขาไม่เคยตระหนัก นายตำรวจหนุ่มใหญ่รู้สึกผิด เขาไถลตัวจากปลายเตียงลงไปนั่งที่พื้นแล้วเอาศีรษะพิงหัวเข่าของหญิงชราไว้ รู้สึกว่าตัวเขาเองกำลังอ่อนแอและไม่ต้องการให้ละอองดาวเห็นน้ำตา
“ผมจะมีชีวิตที่มีความสุขได้ยังไงหากไม่มีป้า”
นางลูบผมของหลานชายเบาๆ “ได้สิ เพราะหัสมีคนที่หัสรักแล้วเขาก็รักหัสมาก ป้าก็ไม่ได้ไปไหน ยังอยู่ในหัวใจ ในความคิดถึงของหลานเสมอ หากคิดถึงเมื่อไรก็ยังไปเยี่ยมกันได้ ที่ป้าตัดสินใจทำทุกอย่างมันเป็นเรื่องของการเตรียม ‘กาย’ ส่วน ‘ใจ’ ของพวกเราต่างก็เข้มแข็งกันอยู่แล้ว แค่จัดสรรให้มันลงตัวเท่านั้น”
“ผมยังตอบแทนบุญคุณป้าไม่หมดเลย”
ละอองดาวหัวเราะเบาๆ “หมดตั้งนานแล้ว หมดตั้งแต่หัสตั้งใจเรียนหนังสือจนจบ มีงานการที่ดีทำ นั่นคือทั้งหมดที่ป้าต้องการจากหลานชาย สำหรับป้า…ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว”
เหมือนกับการปลดเปลื้องทุกอย่างในใจออกไปจนหมด ไม่เหลือความทุกข์ใดอีกแล้ว อดีตที่เคยรู้สึกผิดต่อหัสยุทธนั้นถูกลบล้างไปจนไม่มีเหลือ นางทำดีที่สุดแล้ว นั่นคือการให้อนาคตกับเด็กคนที่อดีตสามีของเธอเคยพรากมันไปจากเขา แม้จะเรียกชีวิตของพ่อแม่กลับคืนมาให้หัสยุทธไม่ได้ แต่ก็ขอทำหน้าที่แทนพวกเขาเหล่านั้นอย่างดีที่สุดเท่าที่ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะทำได้ น้ำตาหยดเล็กหล่นลงบนแก้ม หญิงชรารีบปาดมันทิ้ง
“ให้เวลาผมอีกนิดได้ไหม ให้ผมทำใจก่อน…อย่าเพิ่งไปตอนนี้” น้ำเสียงของเขาสั่น
“ยังไม่ใช่ตอนนี้หรอก ป้าจะรอให้เรื่องงานแต่งงานเรียบร้อยเสียก่อน”
หัสยุทธหันมากอดขาของละอองดาวไว้แน่น เขาก้มหน้าลงบนตักเพื่อไม่ให้เธอเห็นน้ำตา แต่เมื่อหญิงชราวางมือลงบนกลางศีรษะของเขา นายตำรวจร่างใหญ่ก็ปล่อยให้ตัวเองร้องไห้อย่างไม่ปิดบัง คนสองคนบนโลกที่ไม่มีความสัมพันธ์กันทางสายเลือด แต่ได้รู้จักกันเพราะความตายของคนรัก คนสองคนที่ไม่น่าจะใช้ชีวิตเป็นครอบครัวเดียวกันได้ แต่พวกเขาสามารถผูกพันกันด้วยความรัก ช่างเป็นสิ่งมหัศจรรย์เหลือเกิน…
บทที่ 4
ห้องประชุมขนาดเล็กของโรงแรมสปาร์คกลิ้งถูกตกแต่งใหม่ให้กลายเป็นห้องรับประทานอาหารค่ำสำหรับครอบครัว จานกระเบื้องเคลือบและเครื่องแก้วราคาแพงถูกนำมาจัดวางไว้บนโต๊ะกระจกรูปไข่ ที่รองจานสีขาวลายลูกไม้ขลิบทองช่วยส่งให้ภาชนะทุกชิ้นดูโดดเด่นมากขึ้นไปอีก แม้กระทั่งเก้าอี้ซึ่งบุด้วยผ้าไหมสีขาวไข่มุกก็ดูเหมือนจะชักนำให้ทุกคู่สายตาต้องหยุดมองที่มันก่อน ทุกอย่างในห้องเป็นสีเรียบยกเว้นดอกกล้วยไม้ซึ่งบุษบงกชเลือกไว้หลายพันธุ์ เมื่อนำมาจัดวางทั้งใส่แจกันบนโต๊ะและอยู่ในกระถางตามมุมต่างๆ แล้วยิ่งทำให้บรรยากาศของทั้งห้องเกิดสีสันสวยงามละลานตาไปหมด ว่าที่เจ้าสาวมองดูภาพเหล่านั้นด้วยความพึงพอใจ
“ขอบคุณมากเลยนะคะคุณไก่ หมอพอใจมาก”
“ยินดีค่ะ ได้ยินอย่างนั้นไก่ก็มีความสุขมากแล้วค่ะ ดีใจที่ลูกค้าพิเศษของเราชอบ”
คุณหมอหันกลับมาหากรรณิการ์แล้วยอมรับออกมาตรงๆ “ยิ่งตื่นเต้นขึ้นไปอีกค่ะ แม้จะรู้ว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว”
คนฟังยิ้มกว้าง “คุณหมอได้รับสิทธิ์นั้นค่ะ วันสำคัญอย่างนี้ต้องตื่นเต้น…ถูกต้องแล้วค่ะ แล้ววันนี้คุณหมอก็สวยมากจริงๆ”
หญิงสาวคนหนึ่งซึ่งรู้ตัวดีว่าเธอมีอายุล่วงวัยที่ผู้หญิงคนอื่นนิยมแต่งงานกันมาได้พักหนึ่งแล้วถอนใจอย่างอิ่มสุข คุณหมอสวมชุดแส็กสั้นยี่ห้อหรูสีขาวนวล ใส่เครื่องประดับเพียงเล็กน้อยเพื่อให้เครื่องสำอางที่แต่งแต้มบนใบหน้านั้นสะกดสายตาคนมองมากกว่า ริมฝีปากอิ่มสวยด้วยสีกุหลาบยามยิ้มแล้วเห็นฟันขาวแทบจะเป็นประกายราวไข่มุก ผมหนาถูกรวบขึ้นเผยให้เห็นต้นคอขาว ไรผมที่ตกลงมาเล็กน้อยทำให้เธอดูอ่อนหวาน เมื่อมีความสุขจนล้นเปี่ยมเช่นนี้รอยยิ้มของเธอมันจึงเป็นการยิ้มทั้งปากทั้งตาดูน่ามอง
“ขอบคุณค่ะ” บุษบงกชแก้เขินโดยการก้มลงดูนาฬิกาบนข้อมือ “อีกสิบนาทีคุณพ่อคุณแม่คงมาถึง นี่หมอนัดครอบครัวให้มาเร็วกว่าฝั่งสารวัตรราวสิบห้านาทีค่ะ”
“ทำไมล่ะคะ ไก่คิดว่าฝ่ายชายจะต้องมาก่อนซะอีก”
“ก็บ้านหมอมีสมาชิกเยอะกว่าน่ะสิคะ กว่าจะนั่งเรียบร้อยลงตัวสารวัตรคงมาถึงพอดี รายนั้นชอบมาก่อนเวลาด้วยค่ะ…ถ้าไม่ติดงานน่ะนะคะ”
สองสาวหัวเราะกันคิกคัก แล้วเสียงหัวเราะก็พลันต้องสะดุดลงเพราะโทรศัพท์มือถือของบุษบงกชดังขึ้น เธอขอตัวรับสาย ผู้จัดการฝ่ายห้องอาหารของโรงแรมจึงหลบออกไปจากบริเวณห้องจัดเลี้ยงนั้นเพื่อให้แขกมีเวลาส่วนตัว คุณหมอเดินเข้าไปใกล้โต๊ะอาหาร มือข้างหนึ่งลูบผ้าบุเก้าอี้อย่างมีความสุข ซึ่งรอยยิ้มนั้นอาจไม่ใช่เพราะความพึงพอใจต่อสัมผัสที่มือแต่มันเป็นเพราะคนในสายมากกว่า
“ฮัลโหล…ค่ะ”
“น่าจะถึงในสิบห้านาทีนี้ครับ”
“โอ๊ะ ไม่ต้องรีบนะคะ ครอบครัวของฉันยังมาไม่ถึงเลย”
“ทำไมล่ะ ผมไปถึงก่อนไม่ดีกว่าเหรอ”
“งั้นยังไงก็ได้ค่ะ ขับรถดีๆ นะคะ
“ครับผม แล้วเจอกัน”
แค่ได้ยินเสียงของเขา บุษบงกชก็รู้สึกว่าแก้มของตัวเองร้อนผ่าว คุณหมอต้องพยายามลดอาการตื่นเต้นของตัวเองลง เธอหลับตาแล้วหายใจเข้าออกลึกๆ
…
“โห นี่ถึงขนาดต้องทำสมาธิกันเลยนะ”
เสียงแหบห้าวที่คุ้นเคยดังมาจากทางด้านข้าง เมื่อบุษบงกชลืมตาขึ้นก็เห็นรอยยิ้มล้อจากพี่ชายของเธอพร้อมกับเจ้าหญิงน้อยในอ้อมแขน
“หม่อนไหมคนสวยของอา”
บุษบงกชหันไปสนใจหลานสาวในชุดกระโปรงฟูฟ่องแทนที่จะเลือกคำแก้ตัวมาให้ธีรวุฒิ เธอยื่นมือออกไปเพราะอยากจะอุ้มเจ้าตัวเล็ก แต่พี่ชายกลับไม่ยอมยกให้
“ไม่เอาดีกว่า เดี๋ยวหลานทำชุดเปื้อน” ธีรวุฒิเป็นห่วง
บุษบงกชยอมเชื่อแต่ก็ย่นจมูกให้ จากนั้นแพรอรกับบิดามารดาของคุณหมอก็เดินตามเข้ามาในห้อง ทุกคนแต่งกายอย่างเป็นทางการและดูจะพึงพอใจกับสถานที่มากจนลืมชมว่าที่เจ้าสาวไปเสียสนิท เมื่อทักทายกันเสร็จเรียบร้อยแล้วบุษบงกชจึงต้องกระตุ้นเตือนความทรงจำของทุกคน
“ยังไม่มีใครชมบุษเลย”
“อ้อ น้องบุษสวยมากเลยค่ะ ชุดสวย แต่งหน้าก็สวย วันนี้เปล่งปลั่งไปหมด สวยหวานมาก”
“รักพี่อรที่สุด” คุณหมอเดินเข้าไปกอดพี่สะใภ้
“สวยจนพ่อคิดว่าอาจจะไม่ยกให้สารวัตรนะ”
ชนกานต์พูดเสียงเข้มแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ของตน พิมพ์กมลหัวเราะกับความยียวนของสามี เพราะตลอดทางที่นั่งรถมาก็เอาแต่บ่นว่าถึงเวลาแล้วเหรอที่ลูกสาวจะเป็นฝั่งเป็นฝา บุษบงกชแกล้งทำหน้างอแล้วเดินเข้าไปโอบบิดาจากทางด้านหลัง
“ยกให้เถอะนะคะ รถไฟขบวนสุดท้ายแล้วค่ะคุณพ่อ”
ทุกคนขำกับคำออดอ้อนนั้น ชนกานต์หันไปหอมแก้มลูกสาวเบาๆ คนเป็นบิดากับมารดาได้ตำแหน่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามประตูทางเข้าของห้อง ส่วนธีรวุฒิกับแพรอรนั่งอยู่หัวโต๊ะทั้งสองด้านของโต๊ะกระจกรูปไข่ โดยมีเก้าอี้ของหม่อนไหมอยู่ข้างแม่ของเธอ พี่เลี้ยงเด็กที่ตามมาด้วยมีมุมเล็กๆ ของตัวเองตรงมุมห้องติดกับกระถางดอกกล้วยไม้ บุษบงกชพยายามกำกับให้ทุกคนนั่งในตำแหน่งที่กำหนดไว้ ยังเหลือเก้าอี้อีกสามตัวซึ่งว่างอยู่ มันตั้งฝั่งตรงข้ามชนกานต์กับพิมพ์กมล คุณหมอคิดว่าจะให้ละอองดาวนั่งตรงกลาง ส่วนเธอกับหัสยุทธจะอยู่คนละข้างเพื่อที่จะไม่ให้ละอองดาวรู้สึกโดดเดี่ยวเกินไป อย่างน้อยก็ยังมีบรรยากาศของครอบครัวใหญ่โอบล้อมพวกเขาอยู่
เมื่อทุกคนนั่งประจำที่และพูดคุยกันได้ไม่กี่นาที พนักงานที่รอบริการหน้าห้องจัดเลี้ยงก็เข้ามาแจ้งว่าหัสยุทธกับละอองดาวเดินทางมาถึงแล้ว พิมพ์กมลขยับตัวแล้วยิ้มให้สามี เธอเองก็ตื่นเต้นเหมือนกับทุกคน แต่คงเพิ่มความปลาบปลื้มเข้าไปด้วย ผู้เป็นมารดาดูน้ำตารื้นอยู่ตลอดเวลา ธีรวุฒิกับบุษบงกชลุกขึ้นยืนต้อนรับแขกคล้ายกับทุกคนกำลังรอผู้มาเยือนอยู่ในบ้านของตัวเอง ตอนนี้บุษบงกชได้ขยับตัวไปยืนรอตรงหน้าประตูแล้ว เมื่อสายตาของว่าที่คู่บ่าวสาวมาบรรจบกันพวกเขาก็ยิ้มพราย
ละอองดาวถูกประคองมาโดยหลานชายคนเดียวของเธอ ชายร่างใหญ่ดูภูมิฐาน มั่นคง สุภาพ หล่อเหลาสะอาดสะอ้านจนคนที่จะเป็นภรรยาของเขาในอนาคตนั้นรู้สึกอิจฉาตัวเองขึ้นมาทันที บุษบงกชยกมือไหว้ผู้สูงวัยก่อนแล้วจึงเดินเข้าไปประคองละอองดาวอีกข้าง คนทั้งสามเดินมาหยุดที่หน้าโต๊ะกระจก ธีรวุฒิกับแพรอรยกมือไหว้แขกผู้อาวุโสก่อนจะรับไหว้หัสยุทธ จากนั้นฝ่ายแขกก็ได้ทักทายบิดามารดาของฝ่ายว่าที่เจ้าสาวบ้าง เมื่อทุกคนลุกขึ้นยกมือไหว้กันครบแล้วชนกานต์ก็เป็นฝ่ายเชิญให้ทุกคนนั่ง ละอองดาวหันไปมองหลานสาวตัวน้อยของบุษบงกชที่มีของเล่นอยู่ในมือด้วยสายตาอ่อนโยน แพรอรบอกให้บุตรสาวยกมือไหว้ผู้ใหญ่ หม่อนไหมก็ทำหน้าที่ของตนได้อย่างน่ารักน่าชัง บรรยากาศในห้องอบอุ่นมากจนหัสยุทธลืมความเศร้าของเขาเมื่อสองสามชั่วโมงที่แล้วไปชั่วขณะ…
“ดีใจที่วันนี้ได้พบหน้ากันเสียทีนะครับคุณละอองดาว” ชนกานต์เปิดฉากการพูดคุยก่อน
“เช่นกันค่ะ วันนี้เป็นวันดีเหมาะสำหรับการพูดคุยกันเรื่องการเริ่มต้นสร้างครอบครัวใหม่นะคะ”
“ครับ”
“ถ้าอย่างนั้นดิฉันขออนุญาตทำหน้าที่ทั้งแม่สื่อและผู้ปกครองของสารวัตรหัสยุทธไปพร้อมกันเลยก็แล้วกัน”
บุษบงกชหันไปลอบยิ้มกับว่าที่เจ้าบ่าวของเธอด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข
“ดิฉันเป็นผู้ปกครองของ…”
“แม่ครับ”
หัสยุทธพูดสวนขึ้นมาและมันทำให้ทุกคนในโต๊ะจดจ้องไปที่เขาก่อนจะสลับไปมองละอองดาว หญิงชราหันไปยิ้มให้หลานชาย แล้วทุกคนก็พลอยยิ้มไปด้วย
“มามา”
เสียงเล็กๆ ดังขึ้นมาอย่างที่ทุกคนไม่คาดคิด หม่อนไหมกำลังยิ้มแล้วเรียกคำว่าแม่เหมือนที่หัสยุทธเพิ่งเรียก นั่นทำให้ทุกคนปล่อยเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกัน ดีเสียอีกที่บรรยากาศจะได้ไม่ซาบซึ้งเกินไปจนมีน้ำตา
“ใช่จ้ะลูก…มามา” ละอองดาวหันไปตอบเจ้าตัวเล็กแล้วกลับมาตั้งสติกับหน้าที่ของตนต่อ “ดิฉันเป็นเหมือนแม่ของสารวัตร ดิฉันได้เลี้ยงดู อบรมสั่งสอน และให้การศึกษาเขาตามกำลังความสามารถ และตอนนี้เขาก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่ มีหน้าที่การงานที่ดี แม้จะอันตรายไปบ้างแต่ก็เป็นสิ่งที่เขารัก ดิฉันก็เลยขัดไม่ได้”
ทุกคนในโต๊ะพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ พิมพ์กมลยังคงทำท่าเหมือนกลั้นน้ำตาตลอดเวลา
“วันหนึ่งเขามาบอกป้าว่าเขามีคนที่เขารัก” ละอองดาวจับมือของหัสยุทธกับบุษบงกชคนละข้างมาวางไว้ที่ตักของตน “ป้าก็ดีใจมาก พอได้เจอกับหนูบุษก็รู้สึกรัก เอ็นดูขึ้นมาทันที และคิดว่าเขาคงเจอคู่ของเขาแล้วจริงๆ”
แพรอรเป็นอีกคนที่พยายามกลั้นน้ำตา เธอกัดริมฝีปากของตัวเองไว้แล้วเสไปมองหม่อนไหม เพื่อปรับอารมณ์ของตัวเองไม่ให้อ่อนไหวเกินไปนัก
“ถ้าคุณพ่อคุณแม่ของหนูบุษไม่ว่าอะไร ดิฉันก็อยากสู่ขอคุณหมอบุษบงกชให้หลานชายที่รักเหมือนลูกของตัวเอง เพราะเห็นว่าทั้งสองเขารักกัน ทั้งอายุ หน้าที่การงาน ความคิด และทัศนคติก็เหมาะสม เข้ากันได้ แต่ถ้าคุณพ่อคุณแม่ขัดข้องก็ขอให้บอกมาเพื่อที่เราจะได้หาทางแก้ไข ดิฉันอยากให้ทุกคนมีความสุขเมื่อเขาทั้งสองจะเริ่มต้นสร้างครอบครัวใหม่ด้วยกัน”
ชนกานต์กับพิมพ์กมลหันมายิ้มให้แก่กัน แล้วผู้เป็นสามีก็พยักหน้าให้ภรรยาเป็นฝ่ายตอบ
“ดิฉันมีลูกสาวคนเดียวค่ะ ออกจะห้าวหน่อยแต่ก็เป็นเด็กดี ไม่เคยทำอะไรให้พ่อแม่หนักใจ เขาค่อนข้างเป็นตัวของตัวเองจนบางครั้งก็กลัวว่าจะอยู่กับใครไม่ได้ ตอนที่ทราบว่าเขาดูใจกับสารวัตรอยู่ พวกเราก็เป็นห่วงหลายเรื่อง แต่เมื่อเวลาผ่านไปสารวัตรก็ได้พิสูจน์ให้ครอบครัวเราเห็นว่าสามารถดูแลและปกป้องลูกสาวของเราได้ ดิฉันกับสามีก็ไม่มีอะไรขัดข้องหากทั้งสองคนต้องการจะแต่งงานกัน ขอแค่อย่างเดียวว่าให้สารวัตรรักและดูแลลูกสาวของเราเหมือนที่พวกเรารักและดูแลยายบุษมา”
“ผมสัญญาครับ”
“ขอบคุณคุณพิมพ์กมลมากนะคะที่ไว้ใจตาหัส” ละอองดาวบอก “เอาเป็นว่าตอนนี้ทั้งสองฝ่ายก็เห็นพ้องต้องกันแล้วว่าจะอนุญาตให้ลูกทั้งสองแต่งงานกัน ต่อไปก็คงต้องพูดถึงเรื่องสินสอดทองหมั้น ไม่ทราบว่าทางคุณพ่อคุณแม่ของหนูบุษต้องการให้เราจัดหาอะไรบ้างคะ”
ชนกานต์เป็นฝ่ายขยับตัว เหมือนกับว่าเขาเตรียมพร้อมสำหรับเรื่องนี้มาเป็นอย่างดี หัวใจของบุษบงกชเองเต้นไม่เป็นส่ำแม้จะตกลงกันมาบ้างแล้วว่าจะพูดถึงเรื่องนี้กันอย่างไรบ้าง แต่บิดาของเธอมักมีเรื่องให้เธอประหลาดใจเสมอนั่นแหละ
“อ่ะแฮ่ม ผมก็ไม่อยากเรียกร้องอะไรมาก แต่ถ้าไม่เรียกเลยก็ดูจะกระไรอยู่ ลูกสาวผมเป็นหมอชำนาญการเฉพาะด้านที่มีไม่กี่คนในประเทศไทย คุณละอองดาวคงเข้าใจนะครับ”
“เข้าใจดีค่ะ เพราะหลานชายของดิฉันก็เป็นหัวหน้าและผู้เชี่ยวชาญพิเศษในหน่วยงานที่มีหนึ่งเดียวในประเทศไทยเหมือนกัน” แล้วนางก็ยิ้ม
ว่าที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวต้องพยายามหุบยิ้มแล้วก้มหน้างุด ดูเหมือนจะเจอมวยถูกคู่เข้าให้แล้ว ชนกานต์ก็รู้สึกว่าคนของตัวเองไม่ได้เหนือกว่า และคนทางโน้นก็ไม่ได้ด้อย แต่อยากจะให้มันยากขึ้นมาหน่อย ไม่อย่างนั้นเขาจะว่าเอาได้ว่ายอมยกลูกสาวคนเดียวให้ง่ายเกินไป
“เรื่องทรัพย์สิน…ทางหมอบุษเนี่ยเขามีคอนโดมิเนียมเป็นของตัวเอง แถมอยู่กลางใจเมืองด้วยนะ”
“ตาหัสก็มีทาวน์เฮ้าส์สามชั้นค่ะ ทำเลดี อยู่ในย่านสำคัญทางเศรษฐกิจ ขึ้นทางด่วนง่าย จะไปทำงานก็สะดวกสบาย”
“ยายบุษมีหุ่นยนต์ดูดฝุ่นด้วย”
ทุกคนหัวเราะคิก ท่าทางเรื่องจะเลยเถิดไปกันใหญ่
“แต่เรามีแมวค่ะ มันอาจจะดูเย่อหยิ่งไปหน่อย แต่รวมๆ แล้วก็ดี หนูบุษเคยเจอเจ้าเดือนเสี้ยวแล้วด้วย”
ชนกานต์กำลังอ้าปากจะพูดต่อแต่ถูกพิมพ์กมลห้ามไว้ด้วยการแตะไปที่แขนเบาๆ เขาจึงยอมเงียบ ผู้เป็นมารดาของคุณหมอขอพูดบ้าง
“อยากจะถามสารวัตรเรื่องที่อยู่หลังแต่งงานค่ะ ว่าตกลงจะย้ายไปอยู่ที่ไหนกัน”
“ผมคุยกับทั้งหมอบุษ ทั้งคุณป้าแล้ว” เขาพูด หยุดไปนิดก่อนเริ่มต่อ “คิดว่าจะขายทาวน์เฮ้าส์เพื่อซื้อบ้านหลังใหม่ครับ”
“อ้าว ถึงกับต้องขายทาวน์เฮ้าส์เลยเหรอคะ”
“ครับ”
“เป็นความต้องการของดิฉันเองค่ะ” ละอองดาวยอมรับ “ดิฉันอยากให้พวกเขาสร้างครอบครัวในบ้านหลังใหม่ที่มีบริเวณสำหรับให้เด็กๆ วิ่งเล่น”
“ก็ดีครับ” ชนกานต์รีบบอก “แล้วคอนโดฯ ของบุษล่ะ”
เขาหันไปถามบุตรสาวของตน แต่บุษบงกชยังไม่ได้ตัดสินใจในเรื่องนี้ เธอจึงอึกอัก คนที่ช่วยแก้สถานการณ์ให้กลับเป็นละอองดาว
“ตามใจหนูบุษเถอะค่ะ ทรัพย์สินของคุณหมอป้าก็ไม่อยากให้หัสไปยุ่ง เพราะถึงยังไงป้าก็จะขายทาวน์เฮ้าส์อยู่แล้ว ป้าจะไปอยู่บ้านแสงเย็น”
บุษบงกชหันกลับไปมองใบหน้าของละอองดาวด้วยความสงสัย “บ้านไหนคะ คุณป้าจะไปอยู่ที่ไหน”
“แสงเย็น เหมือนเคยได้ยิน…อุดรธานีรึเปล่าคะ” พิมพ์กมลแทรกขึ้น
“ใช่ค่ะ คุณพิมพ์กมลรู้จักด้วยเหรอคะ”
“คุณแม่รู้จักบ้านพักคนชราที่นั่นเหรอครับ” หัสยุทธถาม
“อะไรนะคะ คุณป้าจะไปอยู่บ้านพักคนชราเหรอคะ บุษไม่ให้ไปนะคะ ถ้าคุณป้าไป คุณหัสจะอยู่ได้ยังไงคะ”
เหมือนเหตุการณ์เมื่อสามชั่วโมงก่อนหมุนกลับมาเกิดขึ้นอีกครั้ง กิริยาอาการของบุษบงกชไม่ต่างจากหัสยุทธเลย เพียงแต่เธอยังไม่ร้องไห้ คุณหมอลุกขึ้นแล้วเดินไปทางด้านหลังเก้าอี้ของหัสยุทธ เธอฉุดข้อมือของเขาเพื่อให้เดินตามออกไปคุยกันด้านนอกของห้อง ทุกคนทำหน้างงงัน ยกเว้นละอองดาวกับพิมพ์กมลที่ยังสนใจบ้านแสงเย็นอยู่ เธอจึงตั้งใจคุยอย่างจริงจัง
“มันเป็นแหล่งพักพิงสุดท้ายของคนที่ เอ่อ…”
“ใช่ค่ะ คนที่เตรียมตัวตาย”
“ตอนนี้ดิฉันมีเพื่อนคนหนึ่งอยู่ที่นั่น แล้วอีกสองคนที่เป็นสาวโสดก็มีแผนที่จะไปอยู่ที่นั่นเหมือนกัน โอ้ แล้วทำไมคุณละอองดาวถึงไม่อยากอยู่กับหลานล่ะคะ ไม่อยากเห็นลูกของสารวัตรเหรอคะ”
“เห็นได้นี่คะ อุดรฯ ไม่ไกลสักหน่อย”
“แล้วสารวัตรยอมเหรอคะ”
“กว่าจะยอมก็น้ำหูน้ำตาไหลมาแล้วค่ะ ดิฉันผิดเองที่เพิ่งบอกเขาทั้งที่เตรียมตัวมานานพอสมควรแล้ว”
“เดี๋ยวๆ นี่คุยเรื่องอะไรกัน เล่าให้ผมฟังด้วยสิ”
ชนกานต์ท้วง แต่ธีรวุฒิเห็นว่าฝ่ายหญิงคงขี้เกียจเล่ารายละเอียดจึงขออาสาเล่าให้บิดาฟังแทน
“บ้านแสงเย็น เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางการแพทย์นิดหน่อยครับ เนื่องจากเจ้าของเป็นหมอ ท่านมีไอเดียว่าจะทำแหล่งพักพิงสุดท้ายสำหรับคนสูงอายุที่มีกำลังทรัพย์พอสมควร เหมือนบ้านพักคนชราของเอกชนนั่นแหละครับ เมื่อยี่สิบปีก่อนท่านได้ช่วยเหลือชาวบ้านที่ต้องการขายที่ดินแปลงใหญ่ ท่านรับซื้อไว้ในราคาที่ไม่แพงมากนัก แต่สิบปีต่อมาที่ดินถูกพัฒนาจนมีราคาแพงขึ้นหลายเท่าตัว ท่านเลยคิดทำธุรกิจนี้หลังเกษียณ อาจารย์หมอท่านนี้เคยสอนผมด้วยครับ”
“แล้วเตรียมตัวตายคืออะไร ฟังดูน่ากลัว”
แพรอรยิ้มแล้วช่วยสามีตอบ “ไม่ได้น่ากลัวอะไรหรอกค่ะคุณพ่อ มันหมายถึงการมีชีวิตที่มีความสุข ไม่เป็นภาระของลูกหลานในตอนใกล้ตายน่ะค่ะ ซึ่งคนที่ไปอยู่ในบ้านแสงเย็นไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นคนที่ไม่มีครอบครัวนะคะ ผู้สูงอายุบางรายก็ยินดีที่จะเข้าไปอยู่เพราะไม่อยากให้ลูกหลานต้องมาคอยดูแลในตอนที่ตัวเองต้องนอนติดเตียง แถมในนั้นมีทั้งเพื่อน ทั้งกิจกรรมที่เหมาะสมกับวัย แล้วยังมีแพทย์ พยาบาลคอยดูแลเรื่องสุขภาพอย่างใกล้ชิดด้วย เป็นสถานที่ที่ดีเชียวค่ะ เพียงแต่ต้องเตรียมค่าใช้จ่ายก้อนโตไว้สักหน่อย”
“คล้ายกับการทำประกันชีวิตไว้นั่นแหละค่ะ” ละอองดาวพูดบ้าง “ดิฉันต้องจองคิวไว้หลายปีกว่าจะได้บ้านพักของที่นั่น ตอนนี้จังหวะมันพอเหมาะพอเจาะ หลานชายก็จะมีคู่ชีวิตที่ดีแล้ว ดิฉันก็ไม่มีอะไรต้องห่วง”
ระหว่างที่คนในห้องกำลังพูดคุยกันถึงการวางแผนชีวิตของละอองดาวอยู่นั้น หัสยุทธก็เดินจูงมือบุษบงกชกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง แต่ดูเหมือนคุณหมอจะตาช้ำๆ ชอบกล นายตำรวจหนุ่มใหญ่เดินมาส่งว่าที่เจ้าสาวของเขาที่เก้าอี้แล้วกลับไปนั่งยังที่ของตน บุษบงกชหันไปหาละอองดาวทั้งตัว เธอคว้ามือของหญิงชรามากุมไว้แล้วพูดเสียงเบา
“หนูรู้สึกผิด”
“โถ ไม่มีอะไรที่หนูบุษต้องรู้สึกผิด นี่คือครรลองชีวิตของป้า ซึ่งป้าต้องการเป็นคนกำหนดเอง”
คุณหมอปล่อยให้น้ำตาไหลอีกครั้ง มันสร้างความสะเทือนใจให้บุคคลในครอบครัวของเธอไปด้วย ทุกคนรู้ดีว่าละอองดาวเป็นคนให้ชีวิตใหม่ ให้อนาคตแก่หัสยุทธ หากไม่มีหญิงชราคนนี้ว่าที่ลูกเขยของพวกเขาคงไม่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมอย่างที่เห็น การตัดสินใจของหญิงชรานั้นเห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการเป็นภาระกับใครอีก มันเป็นการวางทุกอย่าง ไม่มีการยึดมั่นถือมั่นว่าสิ่งที่ตนเองทำมาหลายปีนั้นต้องได้รับการตอบแทน นางทำไปด้วยความบริสุทธิ์ใจจริงๆ ละอองดาวเช็ดน้ำตาให้ว่าที่หลานสะใภ้ มันเป็นภาพที่ทุกคนในห้องรู้สึกถึงความรักที่ส่งมอบจากหญิงชราสู่บุคคลผู้ซึ่งจะมาทำหน้าที่แทนเธอในอนาคตได้เป็นอย่างดี นั่นคือการใช้ชีวิตและการดูแลซึ่งกันและกันระหว่างเธอกับหัสยุทธ คนที่เป็นพ่อเมื่อเห็นอย่างนั้นก็ใจอ่อน
“เอาล่ะ ถ้างั้นผมก็ยกลูกสาวให้เลยแล้วกัน ไม่ต้องเอาอะไรแล้ว”
“อ้าว…คุณพ่อ!”
บุษบงกชร้องเสียงหลง เมื่อทุกคนหายตกใจกับคำประกาศของชนกานต์แล้วก็เปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะแทน
“ไม่ได้ค่ะ ยังไงทางเราก็จะจัดการให้อย่างเหมาะสม สวยงาม แม้คุณจะไม่เรียกร้องอะไร” ละอองดาวบอกด้วยรอยยิ้ม “เชื่อใจป้านะหนูบุษ”
“ค่ะ บุษเชื่อใจคุณป้า ขอบพระคุณมากนะคะ”
คุณหมอยกมือไหว้อย่างอ่อนน้อม ละอองดาวจึงยกแขนโอบเธอไว้ด้วยความรัก แค่นี้คนเป็นพ่อแม่ก็รู้สึกว่าตัดสินใจยกลูกสาวให้ถูกคน ถูกครอบครัวแล้ว ไม่มีอะไรจะยิ่งใหญ่และสำคัญไปกว่าความรัก ความเข้าใจที่คนจากสองครอบครัวมีให้แก่กัน
หลังอาหารค่ำที่มีความหมายของว่าที่คู่บ่าวสาวจบลง หัสยุทธก็พาละอองดาวไปส่งที่บ้าน ส่วนบุษบงกชนั้นกลับมาที่คอนโดมิเนียมของตนเพื่อรอให้หัสยุทธมาพูดคุยเรื่องของคนทั้งคู่อีกครั้ง คุณหมอยืนยันว่าเธอต้องการคุยอย่างจริงจังและต้องเป็นในที่ที่เป็นส่วนตัวเพื่อที่เธอจะสามารถร้องไห้ได้อย่างอิสระ
การตัดสินใจของหัสยุทธเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เขาเห็นด้วยกับความต้องการของละอองดาวแต่มันทำให้บุษบงกชรู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปเช่นนี้ แม้หัสยุทธจะพยายามปลอบโยนหลายครั้งแต่เธอก็ไม่สามารถหยุดคิดถึงเรื่องนี้ได้ ว่าที่เจ้าสาวนั่งน้ำตาคลอในตอนที่หัสยุทธมาเคาะประตูห้อง เธอเดินไปเปิดให้เขาก่อนที่จะโผกอดเขาไว้ หัสยุทธกอดตอบหลวมๆ รู้ดีว่าตนเองต้องเจอพายุอารมณ์ต่อจากนี้และเขาพร้อมยอมรับมันไว้ทั้งหมด
เมื่อประตูห้องถูกปิดลงบุษบงกชก็ปล่อยโฮกับหน้าอกของเขา
“ฉันไม่อยากให้ชีวิตคู่ของเราเริ่มต้นด้วยการสูญเสียคนที่เรารักไปอย่างนี้ มันควรจะเป็นการแต่งงานที่ทุกคนมีความสุข ป้าดาวสำคัญกับคุณมาก ฉันรู้สึกแย่…”
คำพูดของเธอขาดเป็นห้วงและอู้อี้ หัสยุทธกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นแล้ววางคางบุ๋มลงบนเรือนผมหนาอย่างอ่อนโยน
“มันมีวิธีอื่นมั้ยที่ไม่ใช่แบบนี้”
เขาส่ายหน้าไปมา บุษบงกชรับรู้การปฏิเสธจากปลายคางที่เคลื่อนไหวบนศีรษะตน เธอยิ่งร้องเสียงดังขึ้นอีก
“ฉันจะกลายเป็นคนเห็นแก่ตัว ฉันจะได้ตัวคุณมาอยู่ด้วย แต่คุณป้าดาวต้องโดดเดี่ยว เหมือนคนที่ไม่ลงทุนอะไรแต่แค่รอเก็บเกี่ยวผลประโยชน์”
เมื่อฟังคำพรรณนาของเธอจบตรงนี้หัสยุทธก็หลุดขำ เขาพยายามกลั้นแล้วแต่ก็ไม่สามารถหยุดมันได้ บุษบงกชเงยหน้าจากอกแล้วจ้องเขาด้วยแววตาดุ คราบน้ำตายังเปรอะเปื้อนอยู่เลย
“หัวเราะทำไม ฉันกำลังเครียดอยู่นะ”
นายตำรวจร่างใหญ่ยิ้มกว้างก่อนตอบ “กำลังคิดว่าตัวเองเป็นมะม่วงที่ถูกคุณเก็บ”
“บ้าเหรอ”
คุณหมอทุบหน้าอกของเขาไปทีหนึ่ง คราวนี้หัสยุทธไม่กลั้นหัวเราะแล้ว เขาตั้งใจขำเต็มที่จากนั้นก็ดึงร่างบางให้มานั่งที่โซฟากลางห้อง เขานั่งลงก่อนแล้วรวบตัวเธอให้นั่งตะแคงข้างลงบนตัก หัสยุทธมองคนรักด้วยสายตาอบอุ่น เขายิ้มอย่างปลอบโยน เช็ดน้ำตาให้ แล้วกอดเอวเธอไว้หลวมๆ
“ฟังผมบ้างได้มั้ย”
บุษบงกชพยักหน้า
“ผมผ่านช่วงเวลาฟูมฟายเหมือนคุณมาแล้ว ตอนนี้ผมปลงตกแล้วว่าทุกอย่างมันต้องเป็นไปตามครรลอง ป้าดาวกับผมไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขกัน แม้เราจะผูกพันกันแต่มันก็เกิดขึ้นเพราะอุบัติเหตุจากน้ำมือของคนที่ป้าดาวรัก ป้าดาวให้ทุกอย่างกับผมด้วยความรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบแทนคนที่ตายไป ตอนนี้เมื่อผมมีชีวิตที่ดี ป้าดาวก็ควรมีโอกาสที่จะได้เป็นอิสระ ถ้าผมรั้งป้าดาวไว้นั่นต่างหากคือความเห็นแก่ตัว”
“ป้าดาวกับคุณคิดอย่างนั้นจริงเหรอคะ”
หัสยุทธพยักหน้า “ถึงแม้จะไม่มีคุณเข้ามา สักวันป้าดาวก็จะไปจากผมอยู่ดี พอมีคุณ…คุณทำให้ป้าดาวจากผมไปอย่างมีความสุขนะ”
บุษบงกชยังคงจ้องเขาตาแป๋ว หัสยุทธเพิ่มความมั่นใจให้เธอด้วยการโอบกอดที่แน่นขึ้นแล้วซุกหน้าลงไปที่ไหล่บอบบางนั้น
“ตอนนี้ผมไม่มีใครแล้วนะ คุณจะเป็นอนาคตของผม”
“เราจะเป็นอนาคตของกันและกันต่างหากล่ะคะ”
คนทั้งคู่เงยหน้าสบตากันแล้วต่างยิ้ม บุษบงกชขยับตัวยุกยิกบนตักเพื่อจะหันหน้าไปสบตากับเขาได้ถนัดขึ้น เธอประคองแก้มสากทั้งสองข้างแล้วพูดเสียงอ่อน
“ต่อจากนี้ไปขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ”
หัสยุทธพยักหน้า “เช่นกันครับ”
แล้วคุณหมอก็เป็นฝ่ายก้มหน้าลงไปจุมพิตที่ริมฝีปากบางของเขาก่อน หัสยุทธจูบตอบอย่างอ่อนโยน…
เหตุการณ์ร้ายที่เคยเกิดขึ้นทำให้คนสองคนได้รู้จักกัน แต่ดูเหมือนบางคนอยากเป็นมากกว่าเพื่อน โอบเกียรติเริ่มทำตัวติดกันตพรมากขึ้นหลังจากเธอผ่านเรื่องร้ายมาแล้ว เขาพยายามแสดงให้เห็นถึงความเอาใจใส่และการใช้เส้นสายเพื่อทำให้คนร้ายในคดีบุกบ้านกันตพรนั้นต้องรับโทษทัณฑ์สูงสุด แต่ไม่ใช่แค่การแสดงพลังเพียงอย่างเดียว เขายังแสดงด้านที่อ่อนโยนให้เธอด้วย นั่นคือการส่งชายคนร้ายเข้ารับการรักษาอาการทางจิตกับโรงพยาบาลตำรวจในขณะที่ต้องรับโทษไปด้วย โอบเกียรติทำทุกอย่างเพื่อเอาใจสาวน้อยคนนี้จริงๆ และกันตพรเองก็ซาบซึ้งในสิ่งที่เขาทำให้ แม้จะไม่ได้แสดงออกมากมายเกินกว่าคำขอบคุณ และเมื่อโอบเกียรติขอร้องให้เธอร่วมรับประทานอาหารด้วยกันสักมื้อเพื่อเห็นแก่มิตรภาพที่ดีต่อกัน หญิงสาวจึงไม่อาจปฏิเสธได้
ชายวัยสี่สิบดูจะมีอาการตื่นเต้นมากกว่าสาวน้อย เขาพยายามเลือกเสื้อผ้าสำหรับใส่ออกเดตแบบที่ไม่ให้ดูเหมือนอาเสี่ยที่เลี้ยงดูสาวน้อยวัยขบเผาะอยู่ มันจึงออกมาเป็นกางเกงยีนกับเสื้อเชิ้ตคอจีนที่ไม่เอาชายเสื้อใส่ไว้ในกางเกง โอบเกียรติพยายามให้ลุคของเขาดูสบายๆ และเป็นผู้ใหญ่ใจดี ส่วนกันตพรนั้นก็สวมชุดสุภาพตามสไตล์ของเธอ เสื้อแขนสามส่วนกับกระโปรงตัวยาว สีหน้าของหญิงสาวดูสงบกว่าอีกฝ่ายมาก
“คุณอาบอกว่ามีเรื่องจะคุยกับก้อย…”
เธอทวงถามขึ้นมาเบาๆ ในตอนที่รออาหารมาเสิร์ฟ โอบเกียรติยิ้มเก้อนิดๆ แล้วหายใจลึกก่อนตอบ
“เอ่อ ก็ไม่มีอะไรมาก เอ้อ ไม่ใช่…ที่จริงมันก็สำคัญอยู่เหมือนกัน”
“อะไรล่ะคะ”
“เรื่องคนร้าย เอ่อ ตอนนี้เขาได้รับการบำบัดอยู่นะ”
“ก้อยทราบแล้วค่ะ คุณอาเคยบอกก้อยแล้ว”
โอบเกียรติก็รู้ เขาพยายามอีกครั้ง “ก้อยกลับไปอยู่ที่บ้านหลังนั้นแล้วนอนหลับไหม”
“ค่ะ” เธอหลบสายตา
“ถ้ารู้สึกไม่ดี ผมคิดว่าก้อยน่าจะหาที่อยู่ใหม่”
กันตพรขมวดคิ้วทันที “แต่นั่นมันเป็นบ้านของก้อยนะคะ”
“ผมรู้ แต่ถ้ามันทำให้เราต้องคิดถึงเรื่องร้ายๆ อยู่ตลอดเวลา มันไม่ดีแน่ ถ้าขายบ้านหลังนั้นไปซะ ก้อยจะมีเงินซื้อคอนโดมิเนียมที่มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้ยี่สิบสี่ชั่วโมง แบบนั้นมันจะดีกว่า”
หญิงสาวเบือนหน้าหนี ไม่ปฏิเสธแต่ก็ไม่ยอมรับ สีหน้าตึงเหมือนต้องการปิดการสื่อสารทั้งหมดแล้ว โอบเกียรติรู้เรื่องราวของเธอผ่านการบอกเล่าของหัสยุทธ แต่เพิ่งรู้เพิ่มอีกอย่างหนึ่งว่าเธอก็ดื้อเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
“เจ้าหัสมีกำหนดการที่จะแต่งงานกับคุณหมอบุษแล้ว”
นายตำรวจร่างใหญ่พูดขึ้นมาลอยๆ แต่สามารถดึงความสนใจของคู่สนทนาให้มาสบตาอีกครั้งได้
“ก้อยทราบแล้วค่ะ คุณอาบอกก้อยแล้ว”
“เพราะฉะนั้นอาบุญธรรมของคุณจะไม่มีเวลาให้คุณเหมือนเดิม ถ้าเกิดเหตุด่วนเหตุร้ายขึ้นเขาจะไม่สามารถวิ่งแจ้นมาหาคุณได้ทันทีเหมือนเมื่อก่อน”
กันตพรค้อนให้นิดๆ แต่ไม่พูดอะไร
“แต่ผมทำได้…”
หญิงสาวหันขวับมามองเขา
“ผมทำหน้าที่นั้นแทนเจ้าหัสได้ ถ้าคุณอนุญาต”
กันตพรไม่แน่ใจว่าความหมายของคำพูดนั้นครอบคลุมแค่ไหน ยังไงเธอเป็นผู้หญิง เธอก็ต้องระมัดระวังตัวไว้ก่อน
“ฉันโตพอที่จะดูแลตัวเองได้แล้ว ฉันไม่ต้องการคนดูแลค่ะ”
“แน่ใจนะ”
“แน่ใจค่ะ”
โอบเกียรติถอนใจ เขาคงเข้าไปนั่งในหัวใจของกันตพรได้ยาก โดยเฉพาะการเข้าไปแทนที่หัสยุทธ
“เข้าใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นวันนี้ก็มาทานอาหารกันให้อร่อยเถอะ”
นายตำรวจร่างใหญ่สรุปเพื่อกลบเกลื่อนความผิดหวังและเขาเห็นแล้วว่าอาหารที่สั่งไว้นั้นกำลังจะถูกเสิร์ฟพอดี เมื่อโอบเกียรติยอมรับทุกอย่างได้โดยง่ายมันกลับทำให้กันตพรสงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาที่กำลังดำเนินอยู่ตอนนี้ หลังจากพนักงานเสิร์ฟถอยออกไปแล้วเธอจึงเป็นฝ่ายถามขึ้น
“นี่เป็นอาหารมื้อสุดท้ายของเราใช่ไหมคะ”
โอบเกียรติชะงัก “ทำไมถามอย่างนั้นล่ะ”
“เพราะก้อยไม่เห็นความจำเป็นอะไรที่เราต้องพบกันอีก มื้อนี้ก้อยขอเป็นฝ่ายเลี้ยงขอบคุณที่คุณอาช่วยเป็นธุระจัดการเรื่องทุกอย่างให้ เมื่อจบแล้วเราก็ไม่มีเรื่องอะไรที่จะต้องคุยหรือพบกันอีก…ไม่ใช่เหรอคะ”
คนมีอายุมากกว่าถอนหายใจหนักอย่างไม่ปิดบัง “จะไม่เปิดโอกาสให้ผมเลยใช่ไหม”
“ก้อยไม่พร้อมกับความสัมพันธ์ที่เกินเลยไปมากกว่านี้ค่ะ”
“ผมรู้ว่าผมมาแทนที่เจ้าหัสไม่ได้ แต่อย่างน้อยให้ผมดูแล…”
“ก็ถ้าคุณอายังอยู่ ก้อยก็ลืมอาหัสไม่ได้” เธอตัดสินใจยอมรับด้วยความรู้สึกที่เจ็บปวด ซึ่งทั้งสีหน้าและน้ำเสียงนั้นไม่ได้โกหกความรู้สึกของตัวเองหรือหลอกลวงโอบเกียรติเลย “คนเราจะเลิกรักคนหนึ่งแล้วมีคนใหม่ทันที มันเป็นไปไม่ได้หรอกนะคะ แล้วก้อยก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับคุณอาด้วย แค่ต้องการขอบคุณที่ช่วยเหลือก้อยเท่านั้นเอง”
“แต่ความรู้สึกแบบนั้นมันก็เคยเกิดขึ้นกับเจ้าหัสมาก่อนไม่ใช่เหรอ”
กันตพรสะอึก แต่ยังไม่ยอมรับ “คุณอาคิดว่ามันจะสามารถเกิดขึ้นซ้ำสองได้เหรอคะ”
โอบเกียรติยกไหล่ขึ้นน้อยๆ “ไม่มีใครรู้หรอกถ้าคุณไม่ยอมเปิดใจ ความจริงที่ผมชวนคุณมาในวันนี้ ผมอยากให้คุณคิดเรื่องที่อยู่ใหม่อย่างจริงจังมากกว่า หรืออย่างน้อยคุณก็ควรทิ้งตู้เสื้อผ้าตู้นั้นไปซะ”
ใบหน้าของกันตพรขาวซีดลงทันที “ทำไมคุณอารู้…”
“นอนไม่หลับ คอยจ้องมองไปที่ตู้เสื้อผ้า กลัวเกินกว่าจะเข้าใกล้มันอีก”
“ก้อยย้ายไปนอนห้องอื่นแล้ว” เธอไม่ยอมตอบในสิ่งที่โอบเกียรติคาดเดา
“ผมทายถูกใช่ไหม คิดดูให้ดีๆ นะ สุขภาพจิตของคุณสำคัญกว่าความทรงจำเก่าๆ ในบ้านหลังนั้น ความจริงถ้าไปอยู่ในที่ใหม่ๆ คุณอาจจะมีความสุขมากกว่า” โอบเกียรติหยิบช้อนส้อมของตัวเองขึ้นมา “ทานข้าวเถอะ มื้อสุดท้ายก็มื้อสุดท้าย ผมจะกินช้าๆ ก็แล้วกัน”
กันตพรมองหนุ่มใหญ่ตรงหน้าด้วยความสงสัย เขามีหลายอย่างที่เหมือนกับหัสยุทธโดยเฉพาะรูปลักษณ์ภายนอก แต่ทำไมเธอจึงไม่รู้สึกอะไรกับเขาเหมือนที่รู้สึกกับหัสยุทธ ความรู้สึกของคนช่างแปลก…คนหนึ่งตามแต่อีกคนกลับพยายามหนี หญิงสาวเพิ่งเข้าใจว่าสิ่งที่โอบเกียรติรู้สึกกับเธอช่างเหมือนกับที่เธอรู้สึกกับหัสยุทธ…คนหนึ่งไล่ตามแต่อีกคนกลับยิ่งหนี
แล้วถ้าเธอไม่หนีล่ะ…
มันจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปจากนี้ จู่ๆ กันตพรก็อยากรู้…
(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 14 ส.ค. 62)
Comments
comments
No tags for this post.