X
    Categories: LOVEทดลองอ่านเพลิงธุลี

ทดลองอ่าน เพลิงธุรี บทที่ 5

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 5

งานศพของอรุณกับรานีถูกจัดขึ้นอย่างเงียบเหงา แขกเหรื่อที่มาร่วมงานมีเพียงหยิบมือ แม้มุกตาร์จะทุ่มเงินก้อนโตเพื่อจัดงานศพอย่างยิ่งใหญ่ แต่ก็ไม่อาจฉุดกระชากลากให้แขกดังในเมืองมาร่วมงานได้ เพราะรูปถ่ายการมีเพศสัมพันธ์ของอรุณกับเด็กสาวเด็กชายแพร่ออกไปในโลกอินเตอร์เน็ตโดยมือปริศนา ความฉาวโฉ่นี้ทำให้ไม่มีใครกล้ามาร่วมงานเพราะกลัวตนเองจะแปดเปื้อนไปด้วย

สาเหตุการตายของสองผัวเมียคนดังแห่งเมืองลุคน่ายังคงเป็นปริศนาแม้จะผ่านมาร่วมสามวันแล้ว ตำรวจในเมืองล้วนปวดเศียรเวียนเกล้าด้วยยังหาหลักฐานเอาผิดใครไม่ได้ ข้อสันนิษฐานของผู้คนในเมืองจึงแตกออกเป็นสองฝั่งคือสองผัวเมียถูกฆาตกรรมด้วยประเด็นทางธุรกิจ อีกประเด็นคือรานีเป็นฝ่ายฆาตกรรมสามี ก่อนฆ่าตัวตายตามเพราะกลัวความผิดและผิดหวังที่ลูกสาวหนีงานแต่งงาน

แม้การถูกฆาตกรรมจะเป็นประเด็นที่ตำรวจพุ่งความสนใจ เพราะร่างของอรุณถูกแขวนคอและมีรอยฟกช้ำ แต่ผู้คนในเมืองส่วนใหญ่ล้วนคิดว่าเป็นการแก้แค้นของรานีก่อนฆ่าตัวตายตาม ทว่ามุกตาร์กลับกังขาในข้อสันนิษฐานทั้งหมดและพุ่งเป้าไปที่ลูกเลี้ยงของรานีตามประสาคนเป็นอริกัน

“ฝีมือแกใช่ไหมนังสาริน!” มุกตาร์ชี้หน้าด่ากราด ทำเอาตำรวจหลายนายที่มาร่วมงานศพถึงกับเห็นใจลูกเลี้ยงผู้บอบบางอ่อนหวานแต่ถูกคนในบ้านนี้เลี้ยงมาเหมือนคนรับใช้ตั้งแต่เล็กๆ

“สารินตัวคนเดียวจะไปทำร้ายคุณพ่อคุณแม่ได้ยังไงล่ะคะ”

“อีตอแหล แกคิดว่าจะมีใครเชื่อแกรึไง”

สารินยิ้มหยัน เธอถูกยัดเยียดว่า ‘ตอแหล’ มาตั้งแต่เด็กจนกระทั่งโตเป็นสาว ใครเล่าอยากจะโกหกพกลมถ้าไม่จวนตัวหรือจำเป็นจริงๆ

สารินไม่มีแต้มต่ออะไรเลยในชีวิต เธอเป็นเด็กกำพร้ายากจน ความรู้ก็น้อยนิด มีหน้าตาเป็นใบเบิกทางแต่ก็ต้องแลกมาด้วยการถูกหลอกลวงและเอาเปรียบ

ในเมื่อโลกนี้บังคับให้สารินต้องร้าย ผิดตรงไหนถ้าจะ ‘ตอแหล’ เพื่อให้มีชีวิตรอดพ้นไปในแต่ละวัน

“คุณตำรวจจับมันเลยค่ะ มันไม่มีหลักฐานที่อยู่แน่นอนตอนเกิดเหตุด้วยค่ะ อ้างว่านอนหลับอยู่ฟังไม่ขึ้นหรอกค่ะ”

“แต่ไม่มีใครเห็นคุณสารินออกจากบ้านเลยนะครับ คนรับใช้ในบ้านก็ล้วนให้การในทางเดียวกันว่าเห็นสารินเข้าห้องนอนไปแล้ว”

“มันคงเตี๊ยมกับคนพวกนั้นไว้ล่ะสิ”

สารินไม่ได้เตี๊ยม เธอแค่วางยานอนหลับคนพวกนั้นให้หลับเป็นตาย คนพวกนั้นเห็นแค่ตอนเธอเข้าห้องนอน แต่ไม่เห็นตอนเธอปีนกำแพงออกจากบ้าน ส่วนกล้องวงจรปิดที่ติดไว้ก็เก่ากึ้กจนหลายตัวใช้การไม่ได้ ตัวที่พอใช้การได้สารินก็แอบถอดปลั๊กที่เชื่อมกับกล่องรับสัญญาณก่อนหน้านั้นแล้วก็เลยไม่สามารถบันทึกว่าสารินแอบหนีออกจากบ้านไปกลางดึก

“สารินรู้ว่าพี่มุกตาร์โกรธ แต่สารินไม่รู้เรื่องจริงๆ นะ สารินตัวแค่นี้จะเอาเรี่ยวแรงอะไรไปทำร้ายคุณพ่อคุณแม่ได้ล่ะจ๊ะพี่มุกตาร์”

“ที่คุณสารินพูดมาก็มีเหตุผลนะครับ ลำพังผู้หญิงตัวเล็กๆ คนเดียวไม่สามารถฆาตกรรมคุณอรุณและคุณรานีได้หรอกครับ โดยเฉพาะคุณอรุณยิ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะคุณอรุณตัวสูงกว่าคุณสารินถึงเกือบศอกหนึ่งเชียวนะครับ”

“แต่มันเคยฆ่าคนมาก่อนนะคะ”

“สารินแค่ป้องกันตัวค่ะคุณตำรวจ ถ้ามีคนจะทำร้าย คุณตำรวจจะไม่หาทางปัดป้องต่อสู้เหรอคะ”

มุกตาร์ถลึงตาใส่ “อีตอแหล! ฉันรู้เช่นเห็นชาติกำพืดชั้นต่ำของแกดี แม่กับพ่อไม่น่าเลี้ยงงูเห่าไว้เลย”

ถ้อยคำเหยียดหยามดูหมิ่นเห็นคนไม่เป็นคนของมุกตาร์เพาะความสงสารไว้ในหัวใจของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ตำรวจนายหนึ่งจึงเป็นฝ่ายก้าวเข้ามาดึงสารินไปหลบอยู่ทางด้านหลัง มุกตาร์จึงตวาดแว้ดทันที

“เอ๊ะ! คุณตำรวจเกี่ยวอะไรด้วย เรื่องคนในครอบครัว ยุ่งไม่เข้าเรื่อง!”

“หมิ่นประมาทแบบนี้คุณสารินสามารถแจ้งความจับได้นะครับ”

“อย่ามีเรื่องเลยค่ะคุณตำรวจ พี่มุกตาร์โกรธที่เสียคุณพ่อคุณแม่ไป แต่ไหนแต่ไรสารินก็เป็นที่ระบายอารมณ์ของพี่มุกตาร์อยู่แล้ว เรื่องแค่นี้สารินทนได้ค่ะ”

“ถ้าถูกต่อว่าแบบนี้มานาน ผมแนะนำว่าอย่าอดทนเลยครับ ให้ฟ้องหมิ่นประมาทจะดีกว่า” ตำรวจหนุ่มนายนั้นยืนกรานเสียงแข็ง ทำเอามุกตาร์เลือดขึ้นหน้า แทบจะพุ่งเข้าไปตบสารินแต่ตำรวจอีกหลายนายเข้ามารั้งตัวมุกตาร์ไว้ได้ทัน

“อีตอแหล! คอยดูนะ ฉันจะหาหลักฐานให้ได้ว่าแกฆ่าพ่อแม่ฉัน”

ทว่าทุกคนในงานศพกลับไม่มีใครยืนข้างมุกตาร์เลย ทุกคนต่างมองมุกตาร์ด้วยสายตาเอือมระอา แม้แต่ญาติของหญิงสาวเองก็มองสารินด้วยแววตาเห็นใจ ตำรวจสองนายอาสาพาเธอกลับไปส่งบ้าน พร้อมกำชับให้เธอแจ้งความหากมีการทำร้ายร่างกายเกิดขึ้น

แค่นี้สารินก็รู้แล้วว่าเกมนี้ใครคือผู้ชนะ!

 

งานเปิดพินัยกรรมถูกจัดขึ้นหลังงานเผาศพเพียงสองวัน แขกเหรื่อต่างหลั่งไหลกันมาหลายสิบชีวิตทั้งญาติสนิทและญาติห่างๆ ผิดกับงานศพที่มีคนมาหร็อมแหร็ม มุกตาร์ลากกระเป๋ากลับมาหลังหายออกไปอยู่โรงแรมกับชายคนรักหลายวัน พอเห็นสารินคอยเสิร์ฟน้ำแขกเหรื่อจึงถือโอกาสเข้ามาแกว่งปากหาเรื่องทันที

“ยังมีน้ำหน้าอยู่บ้านนี้อีกรึไง…อีฆาตกร!”

สายตาหลายสิบคู่มองสารินอย่างเห็นใจ แต่กลับไม่มีใครคัดค้านสักคำด้วยคิดว่ามุกตาร์คือเจ้าของมรดกก้อนโต การทำดีกับมุกตาร์ไว้ย่อมดีกว่าถือหางลูกเลี้ยงจนๆ

“เลิกบีบน้ำตาสักที แกหวังว่าคุณแม่จะให้เศษเงินแกรึไง ฝันไปเถอะ ฉันจะไม่ให้แกได้สักเวฬเดียว”

“พอเถอะน่ามุกตาร์” ชายคนรักเปรยขึ้นด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย

“ห่วงมันมากนักรึไง มุกตาร์แตะไม่ได้เลยใช่ไหม ใช่สิ คุณเคยทำงานที่เดียวกับมันนี่”

“ไปกันใหญ่แล้วมุกตาร์ ผมไม่อยากให้มุกตาร์ถูกมองไม่ดีต่างหาก” ชายหนุ่มกระชับอ้อมแขนโอบเอวสาวคนรักไว้ละม้ายจะบอกเป็นนัยว่าเธอคือคนสำคัญที่สุด “จบงานนี้ค่อยไล่มันออกไปก็ไม่สาย ในเมื่อมันอยากฟังพินัยกรรมนักก็ปล่อยมันสิ มุกตาร์ไม่อยากเห็นหน้าตอนมันไม่เหลืออะไรเหรอจ๊ะ”

มุกตาร์คลี่ยิ้มหวาน ที่แท้คนรักก็มองการณ์ไกลกว่าเธอนี่เอง แก้เผ็ดนังตัวแสบทีหลังก็ยังไม่สาย ตอนนี้ให้มันรับใช้เธอและญาติๆ จนสาแก่ใจก่อนดีกว่า

“มุกตาร์ไม่ทันคิดข้อนี้เลยระแวง อย่าโกรธมุกตาร์นะคะ”

ชายหนุ่มพยักหน้ายิ้มๆ โอบเอวหญิงสาวเดินกลับไปที่โซฟาตัวใหญ่ คล้ายจะบอกเป็นนัยว่าเจ้าของมรดกชิ้นโตนั่งอยู่ตรงนี้ แล้วก็เป็นไปตามที่ทุกคนเดากันได้อยู่แล้ว มุกตาร์ครอบครองสมบัติมูลค่าร้อยล้านเวฬ ขณะที่ญาติที่เหลือต่างกลับบ้านมือเปล่า

“ตอนอยู่ก็ไม่คิดสงเคราะห์ใคร ตายไปก็ไม่คิดจุนเจืออีก อีหรอบนี้ไม่พ้นลงนรกแหงๆ” ญาติคนหนึ่งเปรยขึ้นอย่างเสียไม่ได้

มุกตาร์ลุกขึ้นเตรียมจะด่าไล่หลัง แต่คนรักกลับขึงตาห้ามไว้ มุกตาร์จึงรวบยอดความโกรธเกรี้ยวทั้งหมดทั้งมวลลงกับคนคนเดียว

“ไสหัวไปจากบ้านนี้ได้แล้ว…อีขี้ข้า!”

“พี่มุกตาร์อย่าไล่สารินเลยจ้ะ สารินไม่มีที่ไปจริงๆ”

“มึงคิดว่ากูจะทนอยู่ร่วมชายคาเดียวกับฆาตกรฆ่าพ่อแม่ได้รึไง!”

เสียงตวาดแว้ดของมุกตาร์เรียกบรรดาญาติๆ ให้หวนกลับมาที่ห้องโถงได้อย่างรวดเร็วราวกับคนพวกนั้นก็อยากระบายอารมณ์ผิดหวังด้วยการชมละครน้ำเน่าสักฉากเช่นกัน

“สารินไม่ได้ทำร้ายคุณพ่อคุณแม่จริงๆ นะจ๊ะ พี่มุกตาร์อย่าไล่สารินเลย ให้สารินรับใช้พี่มุกตาร์ยังไงก็ได้ สารินไม่มีที่ไปจริงๆ” สารินคุกเข่า พนมมือขอร้อง แต่มุกตาร์กลับยกเท้าถีบจนเธอเซถลาลงไปนอนกับพื้น แต่เพื่อให้ละครฉากนี้ปิดตัวอย่างสมบูรณ์สารินจึงคลานเข้าไปกอดขามุกตาร์ไว้

“พี่มุกตาร์โกรธเกลียดอะไรสารินนัก สารินยอมพี่มุกตาร์มาตั้งแต่เล็ก ไม่ว่าพี่มุกตาร์สั่งให้สารินทำอะไร สารินก็ไม่เคยปฏิเสธ ทำไมถึงจงเกลียดจงชังสารินนัก สารินไม่เหลือใครแล้วนะจ๊ะ”

“งูพิษอย่างมึงมันเลี้ยงไม่เชื่อง มึงฆ่าพ่อกับแม่ กูไม่เอาเลือดหัวมึงออกก็บุญแค่ไหนแล้วอีสาริน!”

มุกตาร์กระชากผมแล้วตบจนหญิงสาวคว่ำไปกับพื้น เรียกเสียงฮือฮาดังขึ้นในหมู่ญาติราวกับพวกเขากำลังเชียร์มวยอยู่ข้างเวที บางคนสะใจ บางคนเห็นใจ แต่ไม่มีใครก้าวเข้ามาช่วยเลยสักคน

“สารินไม่ได้ฆ่าใคร พี่มุกตาร์ก็รู้ดีว่าสารินถูกปรักปรำ สารินไม่มีวันฆ่าลุงการัน สารินติดคุกฟรีถึงสี่ปี แต่สารินก็ยอมปิดปากเงียบตามที่คุณแม่สั่ง สารินยอมทุกอย่างแล้ว พี่มุกตาร์จะเอาอะไรจากสารินอีก”

“อ้อ เดี๋ยวนี้มึงทวงบุญคุณเหรออีสาริน พ่อแม่กูเก็บมึงมาเลี้ยงก็ดีเท่าไรแล้ว แต่มึงไม่เคยสำนึก กลับปล่อยข่าวให้พ่อกูเสียหาย”

“ตอนนั้นสารินเพิ่งสิบสี่ คุณพ่อแอบเข้ามาในห้องจะปลุกปล้ำ สารินตกใจก็เลยคว้าขวดตีหัวพ่อ พอไปถึงโรงพยาบาล พี่พยาบาลเห็นสารินตัวสั่นก็เลยถาม สารินจึงบอกไปตามความจริง”

สารินจงใจตอกย้ำฉากสำคัญให้บรรดาญาติของมุกตาร์หวนนึกถึงความเลวของอรุณ และการตกเป็นเหยื่อของสาริน เพราะในสายตาของชาวลุคน่า สารินคือเด็กสาวกำพร้าน่าสงสารที่ถูกครอบครัวนี้รุมกลั่นแกล้งตั้งแต่เล็กจนโต ข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วว่าสารินเคยถูกอรุณล่วงละเมิดทางเพศ โดยมีรานีและมุกตาร์รู้เห็นเป็นใจ

“อีสารเลว! อีงูพิษเลี้ยงไม่เชื่อง ใครให้ข้าวให้น้ำมึงจนโตแบบนี้ มึงลืมแล้วรึไง”

“สารินไม่ลืมหรอกจ้ะพี่มุกตาร์ ไม่งั้นสารินคงไม่ยอมติดคุกแทนคุณพ่อแบบนี้”

“ใครให้มึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีก”

“ก็พี่มุกตาร์พูดขึ้นก่อนนี่จ๊ะ สารินอัดอั้นมานาน ไม่เคยบอกใคร จนวันนี้พี่มุกตาร์พูดขึ้น สารินก็จะพูดให้หมด”

“อี…”

“เล่าต่อเถอะหนู” ญาติคนหนึ่งของมุกตาร์ที่ดูมีอาวุโสพูดขึ้น สารินได้ทีจึงเล่าต่อทันที

“หลังออกจากโรงพยาบาล คุณแม่ก็ไล่สารินไปนอนรวมกับคนงานชายที่ร้านอาหาร ถ้าไม่มีลุงการันคอยปกป้อง สารินก็คงถูกพวกคนงานย่ำยีไปแล้ว แต่เสียดายที่ลุงการันบุญน้อย ต้องตายอย่างอนาถ ถูกคุณพ่อฆ่าตายเพราะคุณพ่อขโมยเงินที่ร้านอาหารแต่ลุงการันจับได้เลยมีปากเสียงจนลุงการันถูกแทง ทว่าคุณแม่กลับบังคับให้สารินยอมสารภาพแทน เวลาอยู่ต่อหน้าศาลหรือคุณตำรวจสารินก็ต้องบอกว่าสารินป้องกันตัวเองเพราะลุงการันจะข่มขืน”

สารินยกมือขึ้นปาดน้ำตา เรียกความเห็นใจจากบรรดาญาติของมุกตาร์จนส่งเสียงฮือฮากันยกใหญ่ เพราะการถูกทำร้ายแบบนี้มากเกินกว่ามนุษย์คนหนึ่งจะทำกันได้ลง

“โธ่! น่าสงสารเหลือเกินลูก”

“อย่าไปเชื่อมันนะคะคุณป้า”

“เท่าที่ป้ารู้มา ป้าก็เห็นแต่มุกตาร์นั่นแหละที่รังแกเด็กคนนี้ ถ้าหนูไม่มีที่ไปจริงๆ ไปอยู่บ้านป้าไหม”

“สารินไม่กล้ารบกวนค่ะ สารินอยากอยู่รับใช้พี่มุกตาร์ ตอบแทนบุญคุณที่คุณแม่ชุบเลี้ยงสารินค่ะ”

มุกตาร์เหลืออด ชี้หน้าด่ากราดบรรดาญาติจอมสาระแน “แล้วพวกมึงรออะไร ไสหัวไปได้แล้ว บ้านนี้ไม่ต้อนรับ ที่มาก็หวังสมบัติกูทั้งนั้น!”

บรรดาญาติๆ ต่างถูกจี้ใจดำจึงพากันหน้าดำหน้าแดง สะบัดหน้าพรืดเป็นทิวแถว

“ส่วนมึง…อีสาริน…ไสหัวออกไปจากบ้านนี้ กูไม่รับอสรพิษอย่างมึงเข้าบ้านหรอก!”

สารินเห็นว่าแขกเหรื่อเริ่มทยอยออกจากบ้าน หมดประโยชน์ที่จะแสดงละครอีกจึงหายเข้าไปในห้องเก็บของ คว้ากระเป๋าสะพายไหล่ซอมซ่อใบหนึ่งออกมาจากห้อง ตรงไปยังโถงรับแขกเพื่อมุ่งออกจากบ้าน แต่กลับถูกมุกตาร์เข้ามาดักไว้

“มึงซ่อนอะไรไว้ในกระเป๋า เอาออกมาให้หมด”

“ของใช้ของสารินเองจ้ะพี่มุกตาร์”

“มึงมาที่นี่แต่ตัวก็ไสหัวออกไปแต่ตัว กูบอกมึงแล้วว่าอย่าหวังจะขโมยของบ้านนี้ออกไปได้แม้แต่ชิ้นเดียว!”

“ไม่มีอะไรจริงๆ จ้ะพี่มุกตาร์” สารินแสร้งทำทีกอดกระเป๋าไว้แนบอก ยิ่งทำให้มุกตาร์และบรรดาญาติที่ยังหลงเหลืออยู่หน้าประตูต่างเดินกลับมาเมียงมองอย่างใคร่รู้

“เห็นไหมว่ามันขโมยของ มันถึงไม่ยอมให้ค้นกระเป๋า”

“ไม่มีอะไรจริงๆ จ้ะพี่มุกตาร์ สารินไม่ได้ขโมยอะไรไปเลยนะจ๊ะ เชื่อสารินเถอะ”

ทว่ายิ่งสารินบ่ายเบี่ยงก็ยิ่งทำให้คำพูดของมุกตาร์น่าเชื่อถือ มุกตาร์เห็นเป็นทีของตนจึงกระชากกระเป๋ามาจากสาริน แต่ด้วยความที่กระเป๋าไม่มีซิป สิ่งที่อยู่ในนั้นจึงร่วงลงมากระจายอยู่บนพื้น

“นี่มันเศษบ้าอะไรของแก”

สารินทรุดฮวบ ใช้มือรวบผงเหล่านั้นเข้ามาประคองไว้ในฝ่ามืออย่างหวงแหน

“ฉันถามไม่ได้ยินรึไง นี่มันอะไร!”

“ถะ…เถ้ากระดูกของคุณแม่ค่ะ” คำตอบของสารินทำให้บรรดาญาติๆ ส่งเสียงฮือฮา จากที่เคยเข้าใจผิดในตอนแรกกลับเหลือเพียงความสงสารจับจิตจับใจ

“แกจะเอาเถ้ากระดูกแม่ไปทำไม จะเอาไปทำพิธีแช่งชักหักกระดูกใช่ไหมนังงูพิษ!”

“เปล่านะคะ สารินรู้ว่าพี่มุกตาร์เกลียดสาริน หากสารินขอเถ้ากระดูกคุณแม่ตรงๆ พี่มุกตาร์ก็คงไม่ให้ สารินจึงแอบเก็บเถ้ากระดูกของคุณแม่ไว้บูชา แต่เมื่อสารินต้องไปจากบ้านนี้ สารินไม่มีของมีค่าติดตัวเลย นอกจากเถ้ากระดูกของคุณแม่ สารินจึงแอบใส่ไว้ในกระเป๋าใบนี้”

นอกจากไม่ได้ทำอะไรผิดแล้ว สารินยังกลายเป็นลูกเลี้ยงยอดกตัญญูในสายตาคนภายนอก ตรงข้ามกับลูกสาวแท้ๆ ที่ขยันก่อแต่เรื่องงามหน้า

“กูไม่ให้! อีตอแหล! มึงไม่ต้องทำเป็นกตัญญู กูรู้เช่นเห็นชาติมึงดีอีงูพิษ”

สารินไม่โต้ตอบ เพียงแต่ลุกขึ้นประคองเถ้ากระดูกในฝ่ามือไว้อย่างหวงแหน ทำเอามุกตาร์เดือดเป็นฟืนเป็นไฟถึงกับกระชากแขนจนเถ้ากระดูกนั้นร่วงลงบนพื้นอีกครั้ง

“จะไปก็ไปแต่ตัว แม้แต่เถ้ากระดูกแม่กูก็อย่าหวังจะได้”

“ทำเกินไปแล้วนะมุกตาร์” เสียงเข้มของญาติอาวุโสในตระกูลดังขึ้นหลังจากเฝ้ามองการทะเลาะเบาะแว้งนี้มานาน

“ไม่เกินไปหรอกค่ะ คุณตาไม่รู้หรอกว่านังนี่มันร้ายแค่ไหน พี่ซันเจย์เกือบเสียคนก็เพราะนังคนนี้”

“เสียคนอะไรกัน ซันเจย์เรียนจบได้งานในกรมใหญ่โต เอาที่ไหนมาพูด ใส่ร้ายกันชัดๆ ตาได้ยินแต่เรานี่แหละคอยก่อเรื่องไม่เว้นวัน นี่ก็เพิ่งหนีงานแต่งงานไปกับเด็กในร้าน ถ้าตระกูลเรามีอะไรจะต้องอับอายก็เห็นจะเป็นเรานี่แหละ…มุกตาร์”

“ถ้าหนูไม่ดีนักก็ตัดหนูออกจากตระกูลไปเลย ไม่ได้อยากอยู่สักหน่อย มีแต่คนแก่โง่เง่าทั้งนั้น”

ท่าทีแข็งกร้าวไร้ความเคารพยำเกรงของมุกตาร์ทำให้ผู้อาวุโสของตระกูลถึงกับควันออกหู

“นับจากนี้แกไม่ใช่คนในตระกูลอีก ถ้าวันหลังเดือดร้อนอย่าหวังว่าจะได้รับความช่วยเหลือใดๆ ทั้งสิ้น”

เมื่อผู้อาวุโสสุดของตระกูลออกปาก มีหรือคนอื่นๆ จะกล้าหือ ได้แต่เดินตามออกไปอย่างว่าง่าย เหลือเพียงมุกตาร์ที่ยืนตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ

“สะใจรึยัง ไม่มีใครอยู่แล้ว เผยธาตุแท้ออกมาได้แล้วล่ะสิ”

สารินตวัดสายตากลับไปทางมุกตาร์อย่างเยียบเย็น

“มองทำไม กูพูดผิดคำรึไง”

“ไม่ผิดหรอกค่ะ สารินจงใจแสดงละครให้เกิดเรื่องวันนี้ขึ้น ต่อไปพี่มุกตาร์จะไม่เหลือใครให้พึ่งพาสักคน ระวังตัวไว้บ้างก็ดีนะคะ”

“มึงไม่ต้องมาขู่กูหรอก กูไม่เห็นจะง้อ ไล่ออกจากตระกูลก็ไล่ไปสิวะ ใครอยากอยู่กับพวกคนแก่หิวเงิน ดีเสียอีก พวกมันจะได้ไม่โผล่มาขอเงินกู”

“คิดเช่นนั้นก็ดีค่ะ” สารินตอบเรียบๆ เตรียมก้าวออกจากบ้านหลังนี้เป็นการถาวร

“มึงฆ่าพ่อแม่กูใช่ไหม”

สารินชะงักฝีเท้าเล็กน้อย

“กฎหมายอาจทำอะไรมึงไม่ได้ แต่เงินของกูจะกำจัดมึงให้พ้นไปจากโลกนี้ มึงคอยดู”

สารินหันกลับมายิ้มยียวน “ถ้าคิดว่าแน่ก็ลองดูสิคะพี่มุกตาร์”

“อี…อีสาริน…มึงท้ากูเหรอ!”

“คนอย่างสาริน ถ้าไม่กล้า ไม่ท้าใครเล่นๆ หรอกค่ะ”

“หรือว่ามึงคิดจะหนีไปหาพี่ซันเจย์ คิดเหรอว่าเขาจะคุ้มกะลาหัวมึงได้” ซันเจย์น่ะเหรอ สารินเลิกหวังในตัวผู้ชายคนนี้มาหลายปีแล้ว “หรือมึงคิดว่ามึงมีลูกกับพี่ซันเจย์ แล้วคนบ้านนั้นจะเลี้ยงดูมึง”

‘ลูก!’

สารินคิดถึง ‘เขา’ จับหัวใจ ป่านนี้ลูกคงอายุสามขวบแล้ว เธอตั้งท้องก่อนติดคุก พอคลอดก็ยกให้ซันเจย์ช่วยเลี้ยงดู ได้แต่หวังว่าอดีตคนรักจะดูแลลูกให้ดี อย่างน้อยก็เลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกัน

“ถ้าลูกมึงรู้ว่ามีแม่ขี้คุก ลูกมึงจะรับได้รึเปล่านะ” มุกตาร์กรีดหัวเราะเสียงแหลม

“ถึงยังไงพี่ซันเจย์ก็คงดูแลปาวันได้”

“ดูแลงั้นเหรอ มึงคิดว่าพี่ซันเจย์จะทำลายอนาคตตัวเอง บอกใครว่าตัวเองมีลูกเหรอ มึงนี่โง่เง่าสิ้นดี”

สารินยืนนิ่งงัน ก้อนสะอื้นแล่นขึ้นมาจุกที่ลำคอระหง ความจริงตอกย้ำว่าเธอยังคงโง่งมไม่เปลี่ยนสักนิด

“พ่อแม่ของพี่ซันเจย์บอกว่าไอ้เด็กนั่นเป็นแค่เด็กเก็บมาเลี้ยงเลยดูแลตามมีตามเกิด แต่ก็อย่างว่าแหละนะ มีแม่ขี้คุก พ่อแม่ที่ไหนจะยอมให้หลานทำลายอนาคตลูกชายตัวเอง”

ถ้อยคำนั้นไม่ต่างจากน้ำเย็นจัดที่สาดโครมใส่ร่างของสารินจนเย็นเยียบไปหมด สารินไม่ได้ยินว่ามุกตาร์ด่าว่าอะไรตนอีก เธอได้แต่ฝืนขึงไหล่ตรง ลากตนเองออกจากบ้านหลังนั้นอย่างไม่รู้อนาคต รู้เพียงอย่างเดียวว่าเธอต้องไปรับลูกกลับมา ชดเชยให้หลายปีอันแสนว้าเหว่ของแก

สารินไม่เคยรู้จักความรักของพ่อแม่ ไม่เคยฟังนิทานก่อนนอน ไม่เคยสัมผัสอ้อมกอดของพ่อแม่ ไม่รู้ว่าเคยมีสักครั้งไหมที่พวกเขาจะหวนคิดถึงเธอบ้าง เคยมีสักครั้งไหมที่ระลึกว่ายังมีลูกสาวคนนี้อยู่อีกคน!

 

(ติดตามต่อได้ในเล่ม)

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

Jamsai Editor: