บทที่ 5
การตามหาตัวตนที่แท้จริงของ Satan กลายเป็นความลับที่ต้องทำกันอย่างรัดกุม ฉากหน้าคนของ NIC พยายามทำตัวให้เป็นปกติ แต่ความจริงแล้วกำลังเคลื่อนไหวอย่างระวังตัวทุกฝีก้าว เพราะคำพูดของหัวหน้าหน่วยอย่างหัสยุทธนั่นเองที่ทำให้ทุกคนต้องตื่นตัวอย่างเต็มที่ หัสยุทธได้ตั้งข้อสังเกตว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้นเกี่ยวข้องกับตำรวจในหลายหน่วยงาน ดังนั้นก็มีความเป็นไปได้อย่างมากว่า Satan เป็นเครือข่ายและมีพวกพ้องมาก ขณะนี้ในความคิดของพวกเขา Satan อาจจะเป็นได้ทั้งนายตำรวจเก่าที่ลาออกจากราชการไปนานแล้ว แต่ยังมีอิทธิพลในสถาบันตำรวจอยู่ หรืออาจเป็นคนในสถาบันเองที่ยอมเป็นหุ่นเชิดของมันก็เป็นได้ ความเป็นไปได้ในตอนนี้ Satan ไม่ใช่ฝ่ายเดียวที่ถูกจับตามองจาก NIC แต่ NIC ก็อาจจะถูกจับจ้องอยู่ด้วยเหมือนกัน หากเคลื่อนไหวโฉ่งฉ่างหรือเปิดเผยมากเกินไป พวกเขาอาจจะโดนโจมตีกลับเหมือนคราวที่หัสยุทธโดนปั่นหัว
ภายในห้องทำงานของหน่วยวุฒิภาศกำลังยืนกอดอกพิงโต๊ะกระจกอยู่ สายตาของเขาจ้องมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ของปารุสก์ที่ขณะนี้มันกำลังรันข้อมูลบางอย่างอยู่อย่างขะมักเขม้น
“ทำไมพี่รู้สึกเหมือน…เรากำลังทำบ้าอะไรอยู่วะ นี่มันเป็นงานจริงๆ รึเปล่า เรากำลังต่อสู้หรือเอาตัวรอดจากอะไร แล้วทำไมเราต้องมีศัตรูด้วย ทั้งที่พวกเราก็เป็นตำรวจเหมือนกัน มีอุดมการณ์อย่างเดียวกัน”
ปลายนิ้วที่กำลังรัวบนคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์นั้นหยุดชะงักทันทีที่ได้ยินคำบ่นของรุ่นพี่ที่นับถือจบ ปารุสก์ถอยเก้าอี้ออกจากตำแหน่งของตัวเองนิดแล้วหันมามองวุฒิภาศ
“พี่ไม่เชื่อหัวหน้าของเราเหรอ”
“ไม่ใช่ไม่เชื่อ แต่…มันฟังดูไม่มีเหตุผลเอาซะเลย” เขาส่ายหน้า
“ตอนนี้ผมกำลังจัดการข้อมูลที่ NIC มีอยู่ใหม่ทั้งหมดตามคำสั่งของหัวหน้า”
วุฒิภาศสนใจสิ่งที่รุ่นน้องบอกทันที เขาเลิกกอดอกแล้วลากเก้าอี้อีกตัวมานั่งคุยกับปารุสก์ใกล้ๆ เหมือนกลัวว่าใครจะได้ยิน ทั้งที่ในห้องก็มีพวกเขาแค่สองคนเท่านั้น
“เป็นความลับรึเปล่า”
“ก็ไม่ได้ลับอะไร มันก็เป็นสิ่งที่คนในหน่วยของเราเรียกขึ้นมาดูได้อยู่แล้ว แต่หัวหน้าอยากจะให้มีการจัดลำดับ จัดจำพวกกลุ่มงานใหม่ แต่แกก็ไม่ได้บอกเหตุผลนะว่าให้ผมทำไปทำไม แค่ให้ทำไว้เท่านั้นเอง”
“แต่ข้อมูลที่ NIC เก็บส่วนใหญ่จะเป็นรายละเอียดของอาชญากรหรือลักษณะของคดีไม่ใช่เหรอ แล้วมันจะเกี่ยวข้องกับงานส่วนกลางตรงไหน ในเมื่อหน่วยของเราทำงานเป็นอิสระจากกองอื่นๆ อยู่แล้ว”
“ผมก็ไม่ได้หมายถึงข้อมูลแบบนั้น…” เขารับเสียงอ่อย
“อะไรวะรุสก์”
วุฒิภาศขมวดคิ้วสงสัย แล้วในจังหวะนั้นเองอาสดาก็ผลักบานประตูห้องทำงานของหน่วยเข้ามาพอดี คนมาใหม่ตะโกนสั่งเสียงดังจนทำให้ความสนใจทั้งหมดพุ่งไปที่เขาแทน
“หัวหน้าขอข้อมูลการปฏิบัติงานของหน่วยเราตั้งแต่ก่อตั้งหน่วย แบ่งเป็นจำนวนครั้งที่ปฏิบัติงาน ตายกี่คน รอดกี่คน งบประมาณที่ใช้ สรุปเป็นกระดาษแผ่นเดียว มีเวลาให้สี่สิบนาที”
“เฮ้ย เรื่องอะไร ทำไมเร่งอย่างนี้ แล้วนายมาจากไหนเนี่ย ทำไมหัวหน้าไม่โทรมาสั่งเอง ทำไมสั่งมากับนาย”
ระหว่างที่วุฒิภาศหันไปยิงคำถามใส่อาสดาอยู่นั้น ปารุสก์ก็หมุนเก้าอี้ของเขาเข้าไปอยู่ในตำแหน่งเดิมเรียบร้อยแล้ว และตอนนี้เขาก็เริ่มทำงานของตัวเองบนหน้าจออีกครั้ง
“ผมเจอหัวหน้าตรงหน้าตึกก่อนที่เขาจะขึ้นไปประชุม แล้วก็เดินคุยกันมาเรื่อยๆ จนได้คำสั่งนี่แหละ”
อาสดาเดินเข้ามาหยุดยืนใกล้วุฒิภาศแล้วคนทั้งคู่ก็จ้องมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ของปารุสก์ด้วยกัน หลังจากนิ่งไปไม่กี่อึดใจอาสดาก็ถามขึ้น
“พี่รู้สึกเหมือนมันมีอะไรเดือดอยู่ข้างใต้มั้ย”
“อะไร…หมายถึงอะไร”
“บางอย่าง…ผมก็ไม่รู้โว้ย แต่มันต้องมีอะไรแหละ”
“อื้ม…” วุฒิภาศยอมรับ
“เขาจะยุบหน่วยเรามั้ง”
คนที่ตอบคำถามนั้นให้กลับเป็นปารุสก์ และมันทำให้คนฟังถึงกับสะดุ้ง
“เฮ้ย…” อาสดาร้องเสียงหลง “ถึงเราจะคิดว่า Satan มันเป็นศัตรูกับเรา แต่มันจะมีอำนาจมากขนาดนั้นเลยเหรอ ถ้ามันมีอำนาจขนาดนั้นจริง มันล่อเราออกไปฆ่าไม่ง่ายกว่าเหรอ หน่วยพิเศษแบบ NIC ไม่ใช่จะตั้งหรือยุบได้ง่ายๆ นะ”
“ผมก็พูดไปตามข้อมูลที่หัวหน้าของเราขอมา สิ่งที่ผมกำลังสรุป มันมีไว้เพื่อประเมินประสิทธิภาพการทำงานของพวกเราชัดๆ”
“เออ รุสก์มันก็พูดจามีเหตุผล” วุฒิภาศเห็นด้วย
“พวกเรามาถึงจุดนี้ได้ยังไงพี่” อาสดาถามเสียงแผ่ว “หน้าที่การงานของพวกเรามันควรเป็นความภาคภูมิใจ ไม่ใช่ความหวาดระแวงแบบนี้สิ”
“อย่าเพิ่งตีโพยตีพายไปน่า อย่างน้อยหัวเรือใหญ่ของเราก็ยังมีความยุติธรรมอยู่ ไม่อย่างนั้นคงไม่จัดการคดีของท่านกัมปนาทอย่างนั้นหรอก ถ้าเราไม่ได้ทำอะไรผิด เราก็ควรจะเชื่อมั่นว่าระบบจะคุ้มครองเรา”
แม้จะพูดออกไปอย่างนั้น แต่วุฒิภาศเองก็ยังลอบถอนหายใจ…
บรรยากาศการประชุมนายตำรวจระดับหัวหน้าหน่วยถูกจัดขึ้นทุกเดือนตามปกติ แต่ครั้งนี้สำหรับหัสยุทธแล้วมันไม่ปกติ เพราะเขาต้องระมัดระวังตัวและช่างสังเกตเพิ่มมากขึ้น ความแคลงใจหลายอย่างรวมตัวกันอยู่ภายในใจแล้วปรากฏออกมาทางสีหน้าที่เคร่งขรึมผิดปกติจนทำให้โอบเกียรติต้องหันมาถามในตอนที่ตัวแทนของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติยังไม่เข้านั่งประจำที่ของตน
“เป็นอะไรวะ หน้ายังกับคนถูกแฟนบอกเลิก”
หัสยุทธหันไปสบตาอย่างเอาเรื่อง “แกก็หน้าเหมือนคนกินแห้ว”
“เฮ้ย รู้ได้ยังไง อย่าบอกนะว่าหลานนอกไส้แกฟ้อง”
“อะไร…แกไปทำอะไรก้อย”
“ไม่ได้ทำ ฉันจะไปทำอะไรเขาเล่า เขาสิทำฉันอกหัก”
“สม…เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เล่าซิ”
โอบเกียรติส่ายหน้า “ไม่ใช่ตอนนี้ ว่าแต่แกเถอะมีอะไรรึเปล่า”
เขาถามซ้ำแต่หัสยุทธก็ไม่ตอบเช่นกัน นายตำรวจหนุ่มใหญ่แค่ส่ายหน้าแล้วหันกลับไปกวาดสายตามองเพื่อนร่วมโต๊ะประชุมราวสิบคนอีกครั้ง ไม่มีใครเลยที่น่าสงสัยพอว่าจะเกี่ยวข้องกับ Satan ทุกคนในที่นี้ต่างก็เป็นรุ่นพี่ รุ่นน้อง และเพื่อนร่วมงาน หัสยุทธไม่เคยมีศัตรูที่ไหนอย่างน้อยก็เท่าที่เขารู้ แต่ทำไมตอนนี้เขากลับถูกเพ่งเล็งจากใครบางคนในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แม้นรบดีจะไม่ได้อยู่ในห้องประชุมด้วย แต่ก็ยังไม่สามารถไว้วางใจได้ว่าชีวิตของเขากับคนรอบข้างจะปลอดภัย เรื่องหลายเรื่องที่เคยเกิดขึ้นทำให้อดคิดไม่ได้ว่านรบดีใช้เส้นสายในสถาบันตำรวจแห่งชาติได้ดีกว่าเขาเสียอีก
หากจำแนกนายตำรวจระดับหัวหน้าหน่วยงาน โอบเกียรติเป็นคนที่เขาไว้ใจได้มากที่สุด แม้จะมีความสัมพันธ์ต่อกันแบบทั้งรักทั้งเกลียด แต่ก็มั่นใจได้ว่าคนคนนี้ไม่หักหลังเขาแน่ เพราะสิ่งที่เขามีอยู่นั้นไม่สามารถเทียบเคียงหรือทำให้โอบเกียรติอิจฉาริษยาเขาจนเกิดเป็นปมแห่งความเจ็บแค้นในใจได้ อาจจะยกเว้นเรื่องบุษบงกชไว้เรื่องหนึ่ง แต่ก็ดูเหมือนเพื่อนร่วมงานคนนี้ทำใจกับเรื่องนี้ได้มากแล้ว
ระหว่างที่ผู้เข้าร่วมประชุมยังจับคู่คุยกันอยู่นั้น เจ้าหน้าที่หน้าห้องก็เดินเข้ามาพร้อมด้วยซองเอกสารสีน้ำตาลในมือ เขาตรงมายังตำแหน่งที่หัสยุทธนั่งอยู่ การเคลื่อนไหวนั้นดึงสายตาของผู้เข้าร่วมประชุมคนอื่นให้หยุดพูดคุยแล้วหันมามองหัสยุทธกับโอบเกียรติเป็นตาเดียว
“เจ้าหน้าที่ในหน่วย NIC ฝากมาให้ครับผม บอกว่าเป็นเอกสารด่วน”
“ขอบใจ”
หัสยุทธวางท่าคล้ายกับว่าสิ่งที่อยู่ในซองเอกสารนั้นเป็นความลับที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน นายตำรวจหนุ่มใหญ่ค่อยๆ เปิดซองท่ามกลางสายตาหลายคู่ที่ทั้งลอบมองและจ้องอย่างจริงจัง ด้วยความอยากรู้อยากเห็นโอบเกียรติก็เอนตัวมาชำเลืองมองเหมือนกัน แต่หัสยุทธดึงสิ่งที่อยู่ในมือให้พ้นสายตาพร้อมทำหน้าดุ
“อะไรวะ”
“งานของฉัน แกจะยุ่งทำไม”
“ขี้หวง”
จังหวะนั้นโทรศัพท์มือถือของโอบเกียรติก็ส่งสัญญาณว่ามีข้อความเข้า หัสยุทธมองด้วยสายตาเอาเรื่อง
“เออๆ ลืมปิดเสียง ปิดแล้ว”
คนถูกเขม่นดึงมือถือขึ้นจากกระเป๋ากางเกง เห็นชื่อคนที่ส่งข้อความมาหาแล้วอดเปิดดูก่อนปิดเครื่องไม่ได้ หัสยุทธเหลือบมองเพื่อนสนิทด้วยหางตาอีกครั้ง ชักสงสัยว่าทำไมโอบเกียรติยังใช้โทรศัพท์มือถืออยู่ทั้งที่การประชุมกำลังจะเริ่ม สีหน้าของโอบเกียรติดูเป็นกังวล
“มีอะไรรึเปล่า”
คนถูกถามไม่ตอบแต่ยื่นหน้าจอโทรศัพท์ของตนให้หัสยุทธอ่าน มันเป็นข้อความสั้นๆ จากบิดาของโอบเกียรติเอง ในนั้นเกริกไกรถามบุตรชายของตนว่า ‘ช่วงนี้พบอาบ้างมั้ย เขาขาดการติดต่อมาสามวันแล้ว’ ยังไม่ทันที่นายตำรวจทั้งสองจะพูดคุยอะไรกันต่อ เจ้าหน้าที่หน้าห้องประชุมคนเดิมก็เปิดประตูเข้ามาอีกครั้งเพื่อที่จะแจ้งให้ทุกคนทราบว่าตัวแทนของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่จะมานั่งเป็นประธานการประชุมในวันนี้นั้นมาถึงแล้ว ทุกคนยืนขึ้นพร้อมกัน หัสยุทธค่อยๆ วางซองเอกสารลงบนโต๊ะ เขาก็ลอบมองเช่นกันว่าใครในห้องประชุมแห่งนี้ที่มีปฏิกิริยาต่อสิ่งที่เขาครอบครองอยู่
วันนี้ภายในบ้านหลังใหญ่ของขจรกลายเป็นที่ประชุมชั่วคราวสำหรับสมาชิกพรรคการเมืองเก่าแก่พรรคหนึ่งของประเทศ โดยเจ้าของบ้านได้เชื้อเชิญสมาชิกพรรคบางส่วนซึ่งเคารพนับถือกันตั้งแต่สมัยตนเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมาพูดคุยกันถึงความหวัง ความฝัน และอุดมการณ์ที่จะสร้างมันขึ้นมาร่วมกันผ่านการทำงานในระบบพรรคการเมือง ส่วนใหญ่บุคคลเหล่านี้เป็นนักการเมืองท้องถิ่น นักธุรกิจ และข้าราชการ แม้ตัวขจรเองจะไม่ได้เสนอตัวเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าเขาใช้อำนาจและการบังคับบัญชาผ่านปราบอรินทร์ บุตรชายซึ่งคอยเป็นคนทำงานเบื้องหน้าแทนพ่อ ขจรใช้เงินส่วนตัวไปเป็นจำนวนมากเพื่องานการเมืองของบุตรชาย ดังนั้นเขาย่อมหวังผลการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ทุกคนที่เข้าร่วมประชุมวันนี้จึงรับฟังชายผู้อยู่เบื้องหลังอย่างตั้งใจ…
“หลังจากงานเลี้ยงเพื่อระดมทุนของพรรคสิ้นสุดลง คณะกรรมการบริหารพรรคจะเห็นว่าท่อน้ำเลี้ยงใหญ่มาจากฝั่งของเรา ดังนั้นเราต้องใช้โอกาสนี้เพื่อต่อรองตำแหน่งสำคัญๆ ในพรรค รวมถึงการวางคนของเราเข้าไปชิงที่นั่งผู้สมัคร ส.ส. ในแต่ละเขตด้วย”
“รูปแบบของงานจะเป็นการประมูลของมีค่าใช่ไหมครับท่าน”
“ใช่ ผมบริจาคเครื่องเพชร แจกันโบราณ กับภาพวาดสีน้ำมันของศิลปินชาวฝรั่งเศสไป หวังว่าจะได้เงินมากพอ”
“ถ้าให้ประมาณตัวเลขคร่าวๆ คงได้ไม่ต่ำกว่าสิบล้านแน่ มันจะกลายเป็นเงินก้อนใหญ่เพื่อใช้สนับสนุนการทำงานของพรรค เพราะฉะนั้นเรื่องที่ท่านหวังไว้ก็คงจะเป็นไปได้ไม่ยากครับ” คนช่างประจบรีบบอก
“ยังไงก็ต้องฝากทุกคนให้ผนึกกำลังกันไว้ให้ดี ช่วยเป็นกองหนุนให้ปราบอรินทร์ด้วย”
“แน่นอนครับท่าน เราก็ไม่เห็นใครที่จะเหมาะสมมากไปกว่าคุณปราบแล้วครับ อีกไม่กี่ปีคงได้ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคอย่างแน่นอน”
“จุ๊ๆๆ” แม้จะจุปากห้าม แต่สายตากลับแสดงออกถึงความยินดีในคำเยินยอนั้น “อย่าเพิ่งด่วนใจร้อนกันไป ปราบเพิ่งเริ่มงานทางการเมือง ค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่า”
“แหม มีคุณพ่อเป็นที่ปรึกษาดีๆ อย่างนี้ ยังไงตำแหน่งนั้นก็ไม่ไกลเกินเอื้อมครับ”
ทุกคนหัวเราะกันอย่างชื่นมื่น บุตรชายของขจรยิ้มน้อยๆ ให้ทุกคนรอบโต๊ะด้วยใบหน้าอิ่มเอม ทุกอย่างถูกปูทางให้เขาไว้หมดแล้วตั้งแต่เขายังศึกษาอยู่ เขาแค่เดินตามทางที่พ่อบอก แค่นี้ก็จะไม่มีอุปสรรคใดๆ มาขวางกั้นอนาคตที่สดใสได้ ปราบอรินทร์เป็นหนุ่มนักเรียนนอกที่บิดาวางแผนการศึกษาให้เขาตั้งแต่ต้นเพื่อลงเล่นการเมืองโดยเฉพาะ เขาเรียนกระท่อนกระแท่นแต่ก็สามารถจบมหาวิทยาลัยเอกชนมาได้ เมื่อกลับมาถึงเมืองไทยไม่มีใครสนใจถามผลการเรียนของเขา เพราะสื่อต่างๆ ในหน้าสังคมได้ให้สมญานามเขาไปแล้วว่า ‘นักการเมืองหนุ่มหน้าหยก’ ทุกคนจึงพุ่งความสนใจไปที่หน้าตา ชาติตระกูล ทรัพย์สินเงินทอง และโอกาสทางการศึกษาที่ดีกว่าคนอื่นแทน
“ผมขอขอบคุณทุกท่านที่เสียสละเวลามาพูดคุยกันในวันนี้ แล้วเจอกันอีกครั้งในงานเลี้ยงนะครับ”
“ขอบคุณมากครับ”
ทุกคนต่างลุกขึ้นยืนแล้วยกมือไหว้ผู้เป็นเจ้าของบ้านที่ขยับรถวีลแชร์ไฟฟ้าก่อนหน้า จากนั้นขจรก็หันไปทางผู้ช่วยร่างใหญ่ของเขา ชายคนนั้นพยักหน้ารับแม้เพียงสบสายตากัน ผู้ช่วยหันหลังออกไปแล้วกลับเข้ามาในห้องประชุมชั่วคราวอีกครั้งพร้อมด้วยชั้นวางของที่มีล้อหมุน ซึ่งบนนั้นมีถุงหูหิ้วสีขาววางอยู่เท่าจำนวนคนในห้องประชุม ขจรหันมายิ้มให้ทุกคนก่อนบอก
“นี่เป็นของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จากผมนะ รับไปไม่ต้องคิดอะไรมาก”
ทุกคนยิ้มกว้างแล้วยกมือไหว้ขจรอีกครั้ง จากนั้นปราบอรินทร์ก็เข็นรถให้บิดาของเขาออกจากห้องไป ปล่อยให้ผู้ช่วยของพ่อเป็นคนมอบของขวัญให้แขกทุกคนเอง ดูเหมือนภายในถุงนั้นจะเป็นของกำนัลที่มีมูลค่ามากพอดู เพราะเมื่อทุกคนได้รับมาแล้วต่างก็ร้องอู้หูด้วยกันทั้งนั้น
เมื่อขจรลงทุนไปมากเท่าไรเขาย่อมหวังผลประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น คนที่ยอมรับของกำนัลจากเขาในวันนี้ก็ต้องเป็นแขนขาให้เขาตลอดไปจนกว่าเขาจะเป็นฝ่ายปล่อยคนเหล่านี้ไป การให้ในครั้งนี้ก็เป็นอามิสสินจ้าง สำหรับขจรมันเป็นการวางกับดักไว้รอให้ผู้โชคร้ายเดินเข้ามาในบ่วงแร้วด้วยตัวเอง
การใช้ชีวิตสันโดษเหมาะสำหรับคนอย่างนรบดี ทั้งเรื่องงานและการใช้ชีวิตส่วนตัวเขาแทบจะไม่ใช้ตัวตนที่แท้จริงติดต่อกับใครเลย อดีตนายตำรวจมักสั่งสินค้าอุปโภคและบริโภคผ่านช่องทางออนไลน์ ลูกน้องที่มีอยู่ส่วนใหญ่เป็นพนักงานบริษัทที่ไม่เคยรู้ประวัติส่วนตัวของเขามาก่อน ทุกคนรู้เพียงว่าตอนนี้เขาเป็นเจ้าของบริษัทนำเข้าและส่งออกอุปกรณ์เทคโนโลยีและคอมพิวเตอร์เท่านั้น
นรบดีได้ดัดแปลงโกดังเก่าในย่านคลองเตยให้เป็นอาคารขนาดย่อม โดยได้รวมชีวิตส่วนตัวและการทำงานไว้ในสถานที่เดียวกัน เขาออกแบบสถานที่เป็นสไตล์ลอฟต์ (Loft) โดยเป็นอาคารที่ได้ผสมผสานปูนเปลือยเข้ากับโครงเหล็กหนา เพดานสูง และห้องพักส่วนตัวที่แยกตัวออกมาด้านข้างของอาคารสำนักงานนั้นก็ถูกตกแต่งในสไตล์เดียวกันด้วย
ชายวัยกลางคนที่มีรอยแผลเป็นตรงหัวคิ้วกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนบนโซฟาเบดและดูแผนผังอะไรบางอย่างในมือ เขาใช้นิ้วไล้ลงบนแผ่นกระดาษช้าๆ เหมือนกำลังใช้จินตนาการไปยังสถานที่จริง นรบดีชอบวางแผนการทำงานตามลำพัง เขามีทีมก็จริงแต่ทีมมีหน้าที่รับฟังคำสั่งจากเขาเท่านั้น ทุกคนจะเป็นเพียงมือเท้าให้กับเขา ส่วนสมองมีเขาคนเดียวที่จัดการทุกอย่างได้ถูกใจศิวากร
บริษัทที่นรบดีมีชื่อเป็นเจ้าของอยู่นั้นไม่ได้ตั้งขึ้นมาลอยๆ แต่มันดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้องตามกฎหมายจริง และในไม่ช้าบริษัทก็จะจัดงานใหญ่เพื่อโปรโมตสินค้าและธุรกิจของตนให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างขึ้น พวกเขามีแผนธุรกิจที่จะขยายไปที่กลุ่มวัยรุ่น โดยเฉพาะพวกที่ชอบเล่นเกมออนไลน์ นรบดีจึงกำลังเตรียมการเรื่องนี้อยู่ เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นในตอนที่กำลังจดบันทึกลงไปในแผนผังว่าควรจะตั้งซุ้มสินค้าอะไรไว้ตรงจุดไหนบ้าง เขาเหลือบมองมือถือที่วางอยู่ข้างตัว เมื่อเห็นว่าเป็นใครที่เรียกสายเข้ามาเขาก็ตัดสินใจรับ แม้ไม่กระตือรือร้นแต่ก็พอจะแบ่งเวลาให้ได้
“ฮัลโหล”
“มีข่าวมารายงานนิดหน่อย”
“เรื่องอะไร…”
“เมื่อเช้าในห้องประชุม ทีม NIC ส่งรายงานบางอย่างเข้ามาให้หัวหน้าของพวกเขา”
“รายงานอะไร”
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่เห็นเจ้าหัสดูมันอย่างสนใจ นายว่าจะเกี่ยวกับพวกเราไหม”
“แล้วนายคิดว่าเป็นเรื่องอะไรล่ะ”
“ก็เกี่ยวกับเครือข่าย เอ่อ ของเรา”
นรบดีแสยะยิ้ม “ฉันไม่มีเครือข่ายนะ ถ้านายมีก็อย่าใช้คำว่า ‘ของเรา’ เพราะฉันไม่เกี่ยว”
“อย่าทำอย่างนี้น่า ฉันหาข้อมูลให้นายก็หลายเรื่อง”
“ใช่ แต่นายทำเพื่อตัวเอง ไม่เห็นจะเกี่ยวกับฉัน”
เสียงหายใจฟึดฟัดอย่างขัดใจดังเข้ามาในสาย คนทางนั้นไม่พอใจคำตอบของนรบดีแน่ แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการแสดงออกทางน้ำเสียง
“ถ้านายไม่รู้ว่าเอกสารนั้นเป็นอะไรแล้วนายจะกังวลทำไม”
“ก็มันทำท่าว่าสำคัญ นายไม่กลัวรึไง NIC มันมีข้อมูลเยอะจะตายไป ถ้าพวกมันสืบได้ว่าพวกเราเล่นงานท่านกัมปนาท มันต้องจัดการเราแน่”
“จัดการยังไง”
“นี่นายอย่าพูดจาเห็นแก่ตัวแบบนั้นสิ มันไม่สวยนะ นายลาออกไปแล้วแต่ฉันยังอยู่นะโว้ย ถ้าฉันโดนบีบให้ออกจากตำรวจ ฉันก็ซวยน่ะสิ”
“ฟุ้งซ่าน…มันจะไม่มีใครรู้จักเรา ถ้านายไม่ปอดแหกไปยอมรับกับคนอื่นซะก่อน”
“ใครจะโง่ไปยอมรับวะ”
“ฉลาดบ้างก็ดี”
“ไอ้นี่…”
“อย่าเพิ่งโมโห เล่าต่อซิว่ามันได้เอกสารมาแล้วมันทำอะไรต่อ”
“ก็ไม่เห็นจะทำอะไร มันก็หันไปซุบซิบกับไอ้โอบ แล้วตอนประชุมก็รายงานเรื่องการปฏิบัติงานของ NIC ตามปกติ”
“อื้ม…นายบอกเองว่าไม่มีอะไร งั้นก็ไม่ต้องกังวล แค่นี้ใช่ไหม”
“เอ่อ ใช่”
“ขอบใจที่โทรมาบอก พยายามทำตัวให้ปกติ แค่นี้ก็จะไม่มีใครรู้จักหรือสงสัยนายแล้ว เข้าใจไหมพันฤทธิ์”
“เออ”
นรบดีวางหูก่อนพันฤทธิ์ เขาค่อนข้างเบื่อคนที่อ่อนไหวเกินไป นี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาไม่ชอบทำงานร่วมกับใคร การคอยรับอารมณ์ของเพื่อนร่วมทีมไม่ใช่เรื่องสนุก แต่ในกรณีนี้คนในสำนักงานตำรวจแห่งชาติยังจำเป็นสำหรับเขาอยู่ อย่างน้อยคนพวกนี้จะคอยเป็นหูเป็นตาให้กับเขา หัสยุทธเองเป็นหมากที่ควบคุมและคาดเดาได้ยาก ในความเป็นจริงเขาก็เริ่มกังวลเกี่ยวกับอดีตเพื่อนร่วมรุ่นคนนี้อยู่เหมือนกัน
หลังจากการประชุมสิ้นสุดลงโอบเกียรติก็เดินตามหัสยุทธมายังห้องทำงานของหน่วย NIC ด้วย พวกเขากำลังวิเคราะห์เรื่องที่กัมปนาทหายตัวไปอยู่
“…อาแกมีเรื่องผู้หญิงไหมวะ”
“ไม่มีสิแปลก ยิ่งไม่มีเป็นตัวเป็นตนยิ่งสนุกกับการใช้ชีวิตแล้วก็มีผู้หญิงไปทั่ว”
“งั้นก็อาจจะอยู่กับใครสักคน”
“แต่ถ้าเห็นเป็นเบอร์โทรของพ่อฉันติดต่อไป เขาก็น่าจะรับสายนะ” จู่ๆ โอบเกียรติก็หยุดเดินทั้งที่อีกไม่กี่เมตรก็จะถึงประตูห้องทำงานของ NIC อยู่แล้ว “แกว่าจะเกี่ยวกับคดีนั้นรึเปล่า”
หัสยุทธหยุดเดินตามแล้วหันไปมองเขา “ยังไง หนีหน้าไปเพราะอับอายงั้นเหรอ”
“ไม่รู้สิ”
“ไม่เห็นจะต้องกังวลอะไรในเมื่อบทลงโทษต่างๆ ก็รู้กันอยู่แล้ว อาของแกไม่อุทธรณ์ด้วยซ้ำ”
“เออ ก็จริง”
ทั้งสองนายตำรวจเดินต่อ หัสยุทธเป็นคนผลักบานประตูเข้าไปก่อน คนที่อยู่ในนั้นต่างก็จับจ้องมาทางเขาทันที ทุกคนทำอย่างนั้นพร้อมกันจนโอบเกียรติเดินตามเข้ามาเห็นเข้าก็นึกขำ
“ลูกๆ แกรอพ่อกลับบ้านพร้อมเพรียงกันดีนะ เสียดายไม่มีขนมติดไม้ติดมือมาฝาก”
หัสยุทธไม่สนใจมุกของโอบเกียรติ เขาเดินไปที่โต๊ะประชุมกระจกกลางห้องแล้วกวักมือเรียกให้ทุกคนมาพร้อมหน้ากันตรงนั้นด้วย โอบเกียรติก็พลอยทำตัวเป็นส่วนหนึ่งของทีม เมื่อทุกคนนั่งล้อมวงเรียบร้อยแล้ว หัสยุทธก็สรุปการประชุมให้ฟัง
“ยังไม่ถูกยุบ”
“เย่…” สามสหายไชโยโห่ร้องขึ้นพร้อมกัน
“อ๋อ ที่พวกนายรอหัวหน้ากลับมาเนี่ยเพราะกลัวถูกยุบหน่วยหรอกเหรอ” โอบเกียรติหัวเราะร่วน
อาสดาถอนใจ “ไม่ตลกนะสารวัตร เกิด NIC ถูกยุบขึ้นมาจริงๆ พวกเราตายแน่”
“ไม่ตายหรอก นายก็ไปอยู่กับฉัน เจ้าวุฒิย้ายกลับไปสังกัดทีมสืบสวนอื่น ส่วนเจ้ารุสก์ไปอยู่กับหน่วยสื่อสารก็ได้มั้ง ใช้เวลาปรับตัวหน่อยแต่เดี๋ยวก็ชิน”
ปารุสก์เริ่มสนุกกับความคิดนี้ด้วย “แล้วเจ้านายของผมล่ะครับ”
“เอ้า ก็ไปเป็นลูกน้องฉันสิ จะไปยากอะไร”
“เฮ้ย ให้เกียรติรุ่นพี่ด้วย ถ้าฉันต้องย้าย ฉันก็จะไปเป็นเจ้านายแก…ไอ้โอบ”
โอบเกียรติทำเสียงชิชะอย่างไม่เห็นด้วย แต่ก็ยอมเงียบเมื่อเห็นว่าเจ้าของห้องจะเริ่มทำการประชุมกันแล้ว หัสยุทธวางซองเอกสารที่ถือกลับมาจากห้องประชุมลงบนโต๊ะแล้วยิงคำถามไปที่ปารุสก์เป็นคนแรก
“เรื่องที่ให้ทำไปถึงไหนแล้ว”
ปารุสก์ทำหน้าเลิ่กลั่ก เขาไม่คิดว่าจะถูกทวงงานต่อหน้าทุกคน โดยเฉพาะมีโอบเกียรติซึ่งถือว่าเป็นคนนอกทีมอยู่ด้วย แต่ดูเหมือนหัสยุทธจะรับรู้ความรู้สึกไม่มั่นใจนั้นด้วย
“รายงานมาเถอะ เพราะถึงยังไงไอ้โอบมันก็ไม่รู้เรื่องหรอก”
“นี่แกช่วยพูดเหมือนฉันอยู่ตรงนี้ด้วยได้ไหม” โอบเกียรติร้องขอความสุภาพ
หัสยุทธไม่สนใจเขา แต่กลับพยักหน้าให้ปารุสก์ทำสิ่งที่เขาต้องการต่อ “เอาข้อมูลแบบวิเคราะห์แล้วนะ”
ดังนั้นปารุสก์จึงหันกลับไปที่คอมพิวเตอร์ของตัวเองเพื่อดึงข้อมูลซึ่งนำเสนอเป็นกราฟิกขึ้นไปบนจอขนาดใหญ่ของหน่วย บนนั้นมีข้อความในกล่องสี่เหลี่ยมและถูกโยงใยด้วยเส้นสายกับลูกศรอีกมากมาย หัสยุทธเป็นคนเดียวที่เข้าใจข้อความทั้งหลายที่ปารุสก์ต้องการสื่อได้แทบจะในทันที เพราะเขาก็วาดผังคร่าวๆ ไว้ในหัวแล้วเช่นกัน เมื่อไม่มีใครถามอะไร ปารุสก์ก็เริ่มต้นการรายงาน…
“จากที่หัวหน้าเคยแนะนำให้ผมหาข้อมูล ผมดึงคำสั่งสำคัญๆ ที่เกี่ยวข้องกับการโอนย้าย แต่งตั้ง ปลด รวมถึงการให้ออกจากราชการมาพิจารณา โดยอ้างอิงจากตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นหลัก ช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดน่าจะเป็นช่วงนี้ครับ”
ปารุสก์ใช้ปากกาเลเซอร์ยิงไปตรงปีที่เขาวงกลมไว้ในแผนภูมิ
“ช่วงปีนั้นมันคุ้นๆ” โอบเกียรติรำพึง
“ช่วงปีที่แกกับฉันได้ทุน ท่านขจรบอกฉันเองว่ามันเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมากมายในช่วงนั้น”
“ท่านขจร? ทำไมจู่ๆ พูดถึงท่านขจร”
“ฉันเพิ่งไปพบท่านมาเมื่อไม่นานมานี้”
โอบเกียรติขมวดคิ้ว “แกไปหา ผบ.ตร. คนเก่าทำไมวะ”
“เรื่อง Satan นั่นแหละ”
“แล้วเกี่ยวอะไรกับท่านขจร”
“เอาน่า ฟังเจ้ารุสก์ก่อน” หัสยุทธพยักหน้าให้ลูกน้องรายงานต่อ
“ครับ…ผมจับประเด็นเรื่องอำนาจ กลุ่มก้อน เส้นสาย รวมถึงการใช้งบประมาณผ่านคำสั่งพิเศษต่างๆ ในแต่ละยุคสมัยการดำรงตำแหน่งของ ผบ.ตร. ตามที่หัวหน้าแนะนำ ผมสามารถจำแนกออกมาเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ตามนี้ครับ”
“ศิวากร-ขจร-พุฒิสรรค์” วุฒิภาศอ่านชื่ออดีต ผบ.ตร. ที่เห็นในแต่ละกล่องนั้น “ท่านศิวากรนี่เกษียณไปนานมากแล้วนะครับ หลังจากเกษียณยังไปนั่งเป็นประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจกับธนาคารอีกหลายแห่งด้วย แต่ปัจจุบันก็ยังมีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือท่านอยู่มาก”
“ในยุคของท่านมีคนใกล้ชิดมากมายที่ได้เป็นใหญ่เป็นโตในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อท่านหมดอำนาจไปคนพวกนั้นก็แทบจะหายไปด้วย เห็นได้ชัดมากในตอนที่ท่านขจรขึ้นดำรงตำแหน่ง คนที่เคยทำงานใกล้ชิดท่านศิวากรถูกย้ายไปอยู่ต่างจังหวัดแทบทั้งนั้นเลยครับ”
“อืม” หัสยุทธพยักหน้า “การขึ้นเป็นผู้นำต้องมีบริวารอยู่ข้างตัว ถ้าคนไหนเขาไม่ไว้ใจก็จำเป็นต้องเอาออกไปให้ห่างที่สุด นายเก่งมากที่จับประเด็นเรื่องนี้ได้รุสก์”
“ขอบคุณครับ” ปารุสก์ยิ้มเขิน “แล้วความสัมพันธ์ของบุคคลในแต่ละกลุ่มยังถูกเชื่อมโยงด้วยโครงการต่างๆ มากมายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติครับ นั่นหมายถึงเม็ดเงินก้อนโตที่ถูกเบิกจ่ายไปเพื่อโครงการเหล่านั้นด้วย บางโครงการตัวเลขสูงมากจนผมตกใจ…”
“แต่ละปีมีการตั้งงบประมาณไว้เป็นพันล้าน ถ้าคนขออนุมัติกับคนเซ็นอนุมัติเป็นพวกเดียวกัน การใช้จ่ายงบประมาณก็จะทำได้ง่ายขึ้น” หัสยุทธถอนใจ “ทีนี้ลองเอาเรื่องของท่านกัมปนาทแทรกเข้ามาในประเด็นที่เรากำลังคุยกันอยู่ซิ พวกนายเห็นอะไรบ้าง”
วุฒิภาศ อาสดา ปารุสก์ยังมีสีหน้าครุ่นคิดอย่างคนที่กำลังใช้สมองอย่างหนัก แต่กับโอบเกียรติกลับมีแต่แววตาใส เขาไม่เข้าใจว่าพวก NIC กำลังทำอะไรอยู่
“อาฉันทำไม”
“ใช่! ถ้าท่านกัมปนาทเจริญรุ่งเรืองในยุคนี้ สามารถเข้านอกออกในทุกหน่วยงาน แล้วยังมีอำนาจสั่งการคนไปทั่วอีก งั้นก็แสดงว่าท่านเป็นคนของ ผบ.ตร. คนนี้” อาสดาสรุป
“ท่านพุฒิสรรค์…แม้จะมีบทลงโทษกับความผิดที่ได้ทำลงไป แต่ก็ไม่ถึงกับเอาท่านกัมปนาทออกจากราชการ ที่เจ้าอาสพูดมาก็มีเหตุผล” วุฒิภาศเห็นด้วย
“ยังมีอีกเรื่องครับ แต่ผมไม่ค่อยแน่ใจว่าจะบอกดีไหม มันไม่ค่อยจะชัวร์ ถ้ารอให้มีการแต่งตั้ง ผบ.ตร. คนต่อไปก่อน บางทีมันอาจจะช่วยตอบข้อสงสัยของผมได้”
“ว่ามารุสก์ อย่ารำพันคนเดียว” หัสยุทธกระตุ้นเตือนคนที่เอาแต่พึมพำ
“เอ่อ ผมว่าคนในกลุ่มต่างๆ เหล่านี้สลับกันขึ้นครองตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติครับ”
“สลับกันแบบสม่ำเสมอไหม”
“นั่นแหละครับที่ผมบอกว่าไม่มั่นใจ คือถ้านับตั้งแต่ช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กลุ่มพวกเขาทั้งหมดก็ได้ขึ้นเป็น ผบ.ตร. กันครบแล้ว หากเรารู้ว่าคนต่อไปเป็นคนของใคร ผมก็อาจจะสรุปเรื่องนี้ได้ง่ายขึ้น”
“แล้วไง ไม่เข้าใจ” โอบเกียรติยอมรับ
“ทฤษฎีสมคบคิด ผลประโยชน์ทับซ้อน คอร์รัปชันเชิงนโยบาย การเมืองในหน่วยงานตำรวจ แกเติบโตมากับเรื่องพวกนี้นะไอ้โอบ”
“คืออะไร คือการที่ฉันเกิดมาเป็นลูกตำรวจงั้นเหรอ”
“ไม่ใช่ ฉันหมายถึงสถาบันตำรวจที่แกรู้จักตั้งแต่สมัยรุ่นปู่ รุ่นพ่อ จนถึงรุ่นของแกนี่แหละ เรื่องพวกนี้มันเกิดขึ้นนานจนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว สถาบันของเรานอกจากจะแบ่งเป็นชั้นแล้วยังถูกหั่นเป็นกลุ่มก้อนด้วย คนที่อยากเติบโตไวก็ต้องเลือกอยู่ให้ถูกที่ถูกทาง”
“มันก็เรื่องปกติมั้ยวะ”
“ถ้าแกเป็นส่วนหนึ่งของระบบพวกนั้นมันก็คงเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าแกเป็นคนนอกล่ะ ถ้าแกไม่ได้อยู่ข้างใครเลย มันจะยุติธรรมไหมหากทรัพยากรขององค์กรจะตกไปเป็นของคนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ทั้งที่งบประมาณของสถาบันตำรวจควรจะได้รับการบริหารและจัดการเพื่อผลประโยชน์สูงสุดเพื่อประชาชนและประเทศชาติ ไม่ใช่เพื่อพวกพ้องของตัวเอง”
โอบเกียรตินิ่ง ชีวิตของเขาสุขสบายเกินไปจนไม่มีโอกาสคิดถึงความยากลำบากของคนอื่น แม้ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องผิดแต่มันก็น่าละอายถ้าจะปฏิเสธว่าสิ่งที่หัสยุทธพูดถึงนั้นไม่เป็นความจริง เขาสลดลงไปเล็กน้อยแต่ก็ยังคงมีคำถามต่อ
“แล้วแกแบ่งกลุ่มเพื่ออะไร”
“จับตัวคนที่คิดจะจัดการฉัน ต้องหาตัวมันให้เจอก่อนที่มันจะลงมือทำอะไรอีก”
โอบเกียรติขยับเก้าอี้เข้าใกล้หัสยุทธ “นี่จริงจังหรือพูดเล่น”
หัสยุทธกอดอก “มันรู้จักหมอบุษแล้ว มันตามฉันจากกิจวัตรประจำวันที่ฉันทำ เพราะฉะนั้นถ้าฉันไม่ปลอดภัย หมอบุษก็จะไม่ปลอดภัยด้วย เรื่องมันเริ่มมาจากคดีของอาแก ไอ้คนที่ทำมันเล่นใหญ่แต่เลือกจะทำลายเราเพราะความแค้นส่วนตัวเล็กๆ มันเลยกลายเป็นจุดเริ่มต้นให้เราสงสัยในตัวมัน ตอนนี้ฉันสงสัยไอ้นรบดี แต่ฉันยังไม่รู้ว่ามันทำงานให้ใคร พอรุสก์ดึงข้อมูลทุกอย่างขึ้นมาให้เราเห็นอย่างนี้มันก็ดูง่ายขึ้น เพราะถ้าอาแกเป็นคนของท่านพุฒิสรรค์ ไอ้นรบดีที่ต้องการจัดการอาแกก็ต้องทำงานให้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่ไม่ใช่คนของกลุ่มนี้” นายตำรวจหัวหน้าหน่วย NIC ชี้ไปที่ชื่อพุฒิสรรค์
“งั้นก็เหลือท่านศิวากรกับท่านขจรสิ”
“อื้ม…”
แต่หัสยุทธก็ไม่ยอมพูดอะไรต่อ เขายังไม่สามารถฟันธงได้ว่านรบดีทำงานให้กับใครแล้วทำเพื่ออะไร
“แล้วที่อาฉันหายตัวไปมันจะเกี่ยวกับไอ้หมอนี่ด้วยไหมวะ”
คราวนี้ทุกคนในหน่วย NIC ต่างหันกลับไปมองโอบเกียรติเป็นตาเดียว
“ไม่รู้ ตอนนี้รู้แค่ว่าข้อมูลที่เจ้ารุสก์สรุปมาให้เราดู หากหลุดออกไปจากห้องนี้คงมีอีกหลายคนที่อยากจะกำจัด NIC” หัสยุทธพูดเสียงเย็น “คงไม่มีใครอยากถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกทุจริต คอร์รัปชัน เล่นพรรคเล่นพวก โดยเฉพาะคนที่เคยนั่งหรือยังนั่งในตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติอยู่”
ปารุสก์เสียวสันหลังวูบ “ผมจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับครับ”
“แกก็ด้วยนะไอ้โอบ ลงเรือลำเดียวกันแล้ว”
“นี่แกตั้งใจให้ฉันรู้เรื่องนี้ด้วยใช่ไหม”
หัสยุทธหันมาสบตากับโอบเกียรติแล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เผื่อฉันตาย”
“ไม่ตลกไอ้หัส แกกำลังจะแต่งงานนะ จะพูดเรื่องตายขึ้นมาทำไม”
หัสยุทธประสานมือที่ท้ายทอยแล้วเหยียดขาด้วยท่าทีแสนสบาย ซึ่งดูขัดกับเรื่องที่กำลังจะพูด
“ตอนนี้มันอาจจะดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนลาวาใต้ภูเขาไฟนั่นแหละ แต่ความจริงเรากำลังอยู่ในระบบที่เน่าเฟะ หากมีใครสักคนกำข้อมูลพร้อมที่จะเปิดโปงเรื่องพวกนี้ขึ้นมา อย่างเช่นถ้า Satan ได้มันไป แกว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น”
“คงไล่ฆ่ากันตายไปข้าง”
“ก็นั่นแหละ ถ้า Satan มันขยับตัวทำเรื่องอะไรขึ้นมาอีก อย่างเรื่องที่เคยเกิดขึ้นกับอาแก มันอาจจะเป็นชนวนให้กลุ่มอื่นต้องลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อปกปิดเรื่องทุจริต คอร์รัปชัน และเครือข่ายของกลุ่มให้ปลอดภัย Satan มันกล้าแหย่คนของ ผบ.ตร. แสดงว่ามันต้องมีแบ็กอัพที่ดีมากๆ แน่ แต่เราก็ยังบอกไม่ได้ว่าฝ่ายไหนจะได้ประโยชน์จากสิ่งที่มันทำ ก็เลยสรุปไม่ได้ว่ามันเป็นคนของใคร”
“แล้วทำไมไอ้ Satan หรือไอ้นรบดีอะไรเนี่ย มันต้องแค้นเราขนาดนั้นวะ เรื่องขี้ปะติ๋ว ถ้ามันอยากได้ทุนฉันจะส่งมันไปเรียนตอนนี้ก็ได้ เอามั้ย ตามล่ามันให้เจอแล้วเราตกลงกับมันอย่างลูกผู้ชาย”
หัสยุทธหัวเราะหึ “ไอ้บ้า มันไม่ได้แค้นแค่เราหรอก มันกำลังเยาะหยันระบบการทำงานของสถาบันตำรวจอยู่ต่างหาก มันเป็นเหยื่อของระบบพวกพ้อง เส้นสายเหมือนกัน สิ่งที่มันทำคือการแก้แค้นในแบบของมัน รอให้ฉันมั่นใจกว่านี้สักนิด ฉันอาจจะไปเยี่ยมมันจริงๆ ก็ได้ แต่ตอนนี้ยังไม่อยากให้มันไหวตัว”
“ยุ่งยากฉิบเป๋ง…แล้วที่แกไปหาท่านขจรล่ะ เพราะอะไร”
“ฉันอยากรู้ว่าเขาก่อตั้ง NIC ขึ้นมาทำไม แต่เท่าที่ได้คุยกันฉันยังไม่เห็นสิ่งผิดปกติ ไม่มีอะไรพอจะบอกได้ว่า Satan เชื่อมโยงกับเขา ท่านขจรก็ดูเป็นคนแก่ธรรมดาคนนึงที่ไม่ได้ต้องการจะยิ่งใหญ่หรือหาผลประโยชน์จากงานตำรวจอีก แถมยังนั่งรถวีลแชร์แล้วด้วย ดูไม่มีพิษสงอะไรเลย ถ้าหากเขาพูดสักนิดว่าต้องการอะไรจาก NIC บางทีฉันอาจจะสรุปเรื่องนี้ได้ง่ายขึ้น”
ณ ตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่าเรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร NIC จะได้ประโยชน์อะไรจากข้อมูลที่มีอยู่ หรือต้องเสียอะไรไปหากมีใครสักคนในแผนภูมิเหล่านั้นรู้ว่าพวกเขารู้ ทุกอย่างดูคลุมเครือแต่ก็ละเว้นการใส่ใจไปไม่ได้
(ติดตอนต่อไปได้ในเล่ม…)
Comments
comments
No tags for this post.