X
    Categories: ทดลองอ่านทั่นฮวาในดวงใจมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ทั่นฮวาในดวงใจ บทที่สาม

หน้าที่แล้ว1 of 12

บทที่สาม

 ค่ำคืนดึกสงัด กลิ่นเหม็นลอยกระจายมาตามลม

จมูกเพี้ยนหรือไม่นะ กลิ่นเช่นนี้นางเคยได้กลิ่นจากร่างของคนคนเดียวเท่านั้น และช่างบังเอิญเหลือเกินที่ไม่กี่ชั่วยามก่อน คนคนนั้นคิดจะทำให้นางตายอย่างไร้ความละอาย

“เจ้า…ป่วยหนักหรือ” เด็กหนุ่มชุดดำถามเบาๆ

“ข้าเคยลองนึกภาพว่าตัวเองจะตายแบบไหน แต่ไม่คิดเลยว่าตัวเองจะหิวตาย” นางตอบอย่างอ่อนแรง ปวดท้องจนแทบทนไม่ไหว

“หิวตายได้สิดี จะได้ไม่ต้องแปดเปื้อนกระบี่ข้า!”

นางปรือตาขึ้นเล็กน้อย กลิ่นนั้นลอยมากระทบจมูกอีกแล้ว ทั้งที่เนี่ยชังหมิงไม่มีทางตามมาช่วยนางอย่างแน่นอน แต่เหตุใดถึงได้กลิ่นกายเขาตลอดเวลาเลยนะ นางหิวจนประสาทหลอนไปแล้วหรือ

นางทนหิวไม่เคยได้เลย หิวเมื่อไรเป็นต้องหัวไม่แล่น เวลานี้สมองของนางว่างเปล่า จะวางแผนเอาชีวิตรอดได้อย่างไรเล่า…ช่างยากเย็นเหลือเกิน

“ข้า…ไม่ไหวแล้ว…” นางล้มลงไปบนพื้นหินเย็นเฉียบ ถูกก้อนหินแข็งสากครูดผิวแก้ม แขนขาอ่อนปวกเปียกอยู่บนพื้น “จะฆ่าไก่ไยต้องใช้มีดฆ่าวัว ไหนๆ ข้าก็ต้องหิวตายอยู่แล้ว…เจ้ารีบหนีไปดีกว่า…”

เด็กหนุ่มชุดดำจ้องมองดวงหน้าอ่อนใสด้านข้างของนางตาไม่กะพริบ

“นึกหรือว่าข้าจะหลงกล พอข้าไป เจ้าก็คงแหกปากร้องให้คนช่วย แล้วสั่งปิดประตูเมืองให้ข้าหนีออกไปไม่ได้ล่ะสิ” เขาพูดพลางถีบเอวนางโดยแรง แล้วพลันรับรู้ได้ว่าร่างใต้ผ้าคลุมกันลมเล็กบางเพียงไร

“ข้ายังไม่ได้เห็นหน้าเจ้า จะชี้ตัวถูกที่ไหนกันเล่า ไม่อย่างนั้นเจ้าจับข้ามัดไว้ก็ได้ กว่าจะมีคนมาเจอ เจ้าก็หนีไปไกลแล้ว แบบนี้ดีกับพวกเราทั้งคู่ไม่ใช่หรือ”

“อย่าฝันไปหน่อยเลย! ข้าจะฆ่าชนชั้นสูงให้หมดแผ่นดิน ให้พวกมันได้ลิ้มรสความขมขื่นของข้าบ้าง!” ฝ่ายตรงข้ามพูดเบาๆ แล้วดึงผ้าคลุมหน้าลง

ถานอู่ฟูรีบเบนสายตาหนีตามสัญชาตญาณ ไม่กล้ามอง

“ข้าชื่ออินเจี้ย! คนพวกนั้นได้เห็นหน้าข้าก่อนตายทุกคน พวกมันจะได้รู้ว่าเหตุใดตัวเองถึงต้องตาย!” เขาบีบคางนางให้หันหน้ากลับมา แล้วนึกตกใจเงียบๆ กับความเนียนลื่นของผิว

ใต้แสงจันทร์หรุบหรู่ นัยน์ตาสีดำของถานอู่ฟูหรี่ลงมองเด็กหนุ่มตรงหน้า

ฝ่ายตรงข้ามงดงามอย่างหาตัวจับยาก ก่อนหน้านี้แค่เห็นนัยน์ตาหงส์ก็พอรู้แล้วว่าจะต้องหน้าตาดี แต่ไม่นึกว่าจะงามจนถึงกับ…น่าสะอิดสะเอียน

โครงหน้านุ่มละมุน มองเผินๆ ยากจะบอกว่าชายหรือหญิง ผิวค่อนข้างเข้ม แต่ก็ไม่บั่นทอนความงามของหน้าตาไปได้เลย…งามจนราวกับจงใจ! แม้จะรู้ว่าเป็นใบหน้าแท้จริง ไม่ได้ผ่านการปลอมแปลง กระนั้นนางก็ยังรู้สึกเหมือนเขาเลือกเครื่องหน้าที่งามที่สุดแต่ละส่วนมาประกอบเข้าด้วยกัน

หากนางเอ่ยขึ้นมาว่าอยากขอไปอาเจียนก่อน ไม่รู้ว่าจะได้หรือไม่นะ

“นี่ล่ะความบัดสีที่พวกเจ้าสร้างขึ้น!” เด็กหนุ่มพูดอย่างเคืองแค้น “หากไม่เพราะพวกเจ้านิยมเล่นอะไรพิเรนทร์พรรค์นั้น พวกเราจะเกิดมาได้อย่างไร”

อา…นางหิวจนคิดอะไรไม่ออกแล้ว แต่สวรรค์อุตส่าห์ยื่นโอกาสมาให้ทั้งที ไม่ใช้ก็เสียดายชื่ออู่ฟูแย่สิ

เหงื่อเย็นๆ ยังไหลริน ทว่าดวงตากะพริบอย่างไร้ชีวิตชีวาสองที แล้วเอ่ยเสียงอ่อนระโหย “น้องชาย ข้าเพิ่งอายุสิบแปด…มีลูกอายุขนาดเจ้าไม่ได้หรอก”

อินเจี้ยชะงัก ก่อนจะอุทาน “เจ้ารู้หรือว่าข้าพูดถึงอะไร”

“เจ้าอยากบอกว่าเจ้าเป็นผู้บริสุทธิ์ที่น่าสงสาร…ข้าเองก็เช่นกัน! เจ้าไม่รู้หรือว่าอันที่จริงรูปร่างหน้าตาข้าก็…ผิดแปลกจากชาวบ้าน”

ผิดแปลกอยู่บ้างจริงๆ ทั้งที่เป็นเด็กหนุ่ม หน้าตาอ่อนใสไม่พอ กระทั่งรูปร่างยังเล็กบางไม่ต่างจากสตรี อินเจี้ยมองนางด้วยความกังขา “เจ้าเป็นขุนนาง…”

“ใช่ ข้าเป็นขุนนาง เพราะข้าฉลาดกว่าเจ้า” นางยิ้มละไม “นึกหรือว่าฆ่าชนชั้นสูงให้หมดแผ่นดินแล้วจะเกิดประโยชน์ ในเมื่อคานบนไม่ตรง คานล่างก็เบี้ยว จักรพรรดิองค์ปัจจุบันไร้ทศพิธราชธรรม ต่อให้เจ้าฆ่าชนชั้นสูงทั้งหมด ค่านิยมยืมท้องให้กำเนิดลูกนี้ก็ยังจะดำเนินต่อไป ข้าเข้าเมืองหลวงมาสอบก็เพราะหวังว่าสักวันจะได้ปฏิรูปราชสำนักล้างขนบในสังคมเสียใหม่”

อินเจี้ยแค่นเสียงขึ้นจมูก “ข้าไม่มีอุดมการณ์สูงส่งขนาดนั้นหรอก!”

“ข้าเข้าใจ เพราะเจ้าเป็นชาวยุทธ์ เป็นได้แค่นักโทษหนีอาญาที่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ ไปทั้งชีวิตนั่นล่ะ”

“พูดอะไรของเจ้า”

“ข้าฉลาดพออย่างไรเล่า ถึงได้มาเป็นขุนนาง ใช้ตำแหน่งรังแกคนสนุกดีออกจะตาย เฮ้อ พวกเราเกิดมาเหมือนกัน แต่โชคชะตาแตกต่างกัน”

“ใครจะอยากเป็นคนประเภทเดียวกับพวกเจ้ากัน!” เขาแผดเสียงกราดเกรี้ยวพลางชักกระบี่ออกมา

ถานอู่ฟูไม่ตื่นตระหนก ไม่โมโห กลับถามยิ้มๆ “อยากให้พรรคพวกตัวเองตายหรือไร”

“เจ้าไม่ใช่พรรคพวกของข้า!”

“เช่นนั้นก็ฆ่าข้าเถิด ไหนๆ ข้าก็ไม่รู้ว่าพ่อตัวเองเป็นชนชั้นสูงตระกูลใด ส่วนแม่ก็ทอดทิ้งข้าไปนานแล้ว…ข้าตั้งใจอดทนเรียนหนังสือด้วยความขยันจนได้เป็นขุนนาง ต่อไปจะได้ช่วยเหลือราษฎร ไม่ให้มีเด็กเช่นข้าเกิดขึ้นมาอีก แต่ทุกคนก็ยังหัวเราะเยาะข้า รังแกข้าเหมือนเดิม ข้าอยู่บนโลกนี้ต่อไปจะมีประโยชน์อะไรเล่า รีบฆ่าข้าให้ตายเร็วๆ เถิด ข้าจะได้หมดทุกข์ ไปเกิดใหม่ในครอบครัวคนธรรมดา ใช้ชีวิตธรรมดาๆ…” นางพูดพลางน้ำตาคลอ

ทุกประโยคที่นางเอ่ยล้วนเป็นความทรงจำของเขา หากไม่ได้พานพบประสบการณ์แบบเดียวกันมีหรือจะรู้ เขากัดฟันกรอด พูดออกมาเบาๆ “ข้าแค้นนัก…”

“น้องชาย ข้าจะพาเจ้าเข้าวังหลวง…” นางบอกเสียงนุ่มนวล

“ให้ข้าเข้าไปเป็นขันทีหรือ” ด้วยความที่ยังเด็ก เอ่ยถึงวังหลวงก็นึกได้แค่จักรพรรดิ องค์หญิง แล้วก็เหล่าขันทีเท่านั้น

นางหัวเราะขัน “ใครจะให้เจ้าเป็นขันที ชาวยุทธ์ที่หน้าตางดงามอย่างเจ้า เป็นขันทีน่าเสียดายแย่ ไม่มีใครสมบูรณ์พร้อมไปหมดทุกอย่าง ข้าร่างกายอ่อนแอแต่เด็ก ฝึกยุทธ์ไม่ได้ ส่วนเจ้ามีวิชายุทธ์ยอดเยี่ยม เก็บไว้ใช้ฆ่าคนน่าเสียดายออก”

เด็กหนุ่มนิ่งไปเมื่อได้ยินดังนั้น ไม่มีใครเคยชมเขามาก่อน หน้าตาโดดเด่นเตะตาของเขาทำให้เก้าในสิบคนเดาชาติกำเนิดของเขาได้ ร่างกายของเขาก็โสมมเน่าเหม็นมานานแล้ว…

“น้องชาย เจ้าอายุเท่าไร”

“ข้า…สิบห้า” เขาตอบตามจริง

ถานอู่ฟูยื่นมือออกมาปาดคมกระบี่ หยดเลือดติดโลหะทันที เขายังไม่ทันได้ตั้งตัว นางก็คว้ามือเขาไปทำแบบเดียวกัน

“เจ้าคิดจะทำอะไร!”

“พวกเรามาสาบานเป็นพี่น้องกันเถิด! ข้าแก่กว่าเจ้าสามปี เจ้าเป็นน้อง ข้าเป็นพี่”

“ใครอยากเป็น…” พูดยังไม่ทันจบ นางก็จับปลายนิ้วที่ยังมีเลือดไหลรินของทั้งสองคนมาประกบกัน

“เปลี่ยนแปลงโชคชะตาสิ เจ้าไม่อยากหลุดพ้นจากชีวิตในตอนนี้หรือไร จะปล่อยให้ตัวเองถูกความแค้นบดบังดวงตาไปทั้งชีวิตหรือ ฆ่าคนก็ได้แค่ความสะใจ ผู้ชนะที่แท้จริงยืนหยัดอยู่จนท้ายที่สุดต่างหาก เจ้าไม่อยากพิสูจน์ให้คนอื่นเห็นหรือ ว่าเด็กชาติกำเนิดเช่นเจ้าสามารถไปไกลได้แค่ไหน”

“โชคชะตานึกจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนได้หรือ แค่พูดน่ะง่ายอยู่แล้ว!”

“ข้านึกจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนได้!” นางกล่าวยิ้มๆ “ข้าดวงแข็งกว่าคนอื่น ขอเพียงข้าบอกว่าเปลี่ยนได้ แม้แต่สวรรค์ก็ต้องยอมจำนน เจ้ามาอยู่กับข้าก็ต้องมีวันนั้นด้วยเช่นกัน!”

รอยยิ้มของนางเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น! เพียงได้เห็นยิ้มนี้ เขาก็เริ่มหวั่นไหว ใครบ้างจะไม่อยากถีบตัวไปสู่จุดที่สูงกว่า ทว่านับจากที่ลืมตาดูโลก เขาก็ถูกกำหนดมาให้หมกตัวอยู่ในน้ำครำไปทั้งชีวิต นาง…หากมีชาติกำเนิดแบบเขาจริง เหตุใดถึงมั่นใจในตัวเองได้ขนาดนี้

สายตาของเด็กหนุ่มเหลือบมองปลายนิ้วที่ประกบกันโดยไม่รู้ตัว

เขาคิดไปเองหรือไม่นะ ถึงได้รู้สึกว่าเลือดที่กำซาบเข้าสู่ปลายนิ้วร้อนผ่าว เลือดนั้นไหลรินเข้ามาในตัวเขาอย่างเชื่องช้าและนุ่มนวล ทำให้อวัยวะภายในสะบัดร้อนสะบัดหนาว จนเขาสะท้านเบาๆ ไปทั้งตัว…

 

ปวด…ปวดเหมือนจะตายให้ได้

ปวดกระเพาะ ปวดมือ ปวดกระทั่งใจ

กระเพาะบีบตัวปวดเกร็งเพราะความหิว นิ้วมือที่ถูกมัดยังมีคราบเลือด แค่ขยับนิดเดียว แผลก็ปวดระบม หัวใจ…ก็ปวดสุดแสนเช่นกัน ไม่ได้ปวดใจเพราะชะตากรรมของเขา แต่ปวดใจเพราะตัวเองใช้กระบี่ปาดนิ้วแล้วได้แผลใหญ่เกินไป

แต่ไหนแต่ไรนางแทบไม่เคยได้แผล นอกจากเลือดจะหยุดไหลยาก นางยังไม่ชอบมีแผลเป็น นี่คือนิสัยแปลกๆ ของนาง

หญิงสาวนั่งตัวเอียงอยู่บนพื้นอย่างเกียจคร้าน นัยน์ตาหรี่ปรือเหลือบมองสรรพสิ่งรอบตัว เมื่อครู่ตอนถูกจับมาไม่ทันได้มองให้ถนัด เพิ่งรู้ก็ตอนนี้ว่าตัวเองอยู่กลางเนินเขาจำลอง ถูกเงาของเขาหินบดบังเอาไว้ มองออกไปจากตำแหน่งที่นั่งอยู่เห็นเป็นอาคารกับสวนด้านหน้า

“ไม่ใช่บ้านคน…” ดึกออกอย่างนี้ยังมีเสียงกินดื่มลอยมาแว่วๆ นางเข้าใจทันที อุทานออกมาเบาๆ “โรงเตี๊ยมนี่เอง เด็กนี่ยังฉลาด ถึงได้มาซ่อนตัวในโรงเตี๊ยม คงตั้งใจจะฆ่าข้าทิ้งแล้วซ่อนศพไว้กลางเนินเขาจำลอง กว่าจะมีคนมาพบศพก็ผ่านไปหลายวันแล้ว ส่วนตัวเองก็ดึงผ้าคลุมหน้าทิ้ง เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดธรรมดาเดินออกไป เท่านี้ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใคร…” เกือบไปแล้วจริงๆ

เด็กหนุ่มเห็นนางหิวจนหน้ามืด เลยทิ้งนางไว้แล้วไปหาอาหารมาให้

ทิ้งนางไว้ก็เท่ากับว่าเขาเชื่อที่นางพูด ทว่าก็แค่ภายนอก โดยรวมเด็กนั่นก็ยังไม่ไว้ใจนางอยู่ดี เพียงแต่เกิดใจอ่อนขึ้นมา เลยหาข้ออ้างปล่อยนางไปเท่านั้น

หากนางเจ้าเล่ห์พอก็คงฉวยโอกาสนี้หนีไปให้ไกล ไม่เอาแต่นั่งรอให้เขากลับมาช่วยแบบนี้หรอก

“เด็กนั่นยังนับว่ามีคุณธรรมล่ะนะ ดีกว่าพี่ใหญ่ตั้งเยอะ แต่หากข้าหนีไป เขาก็ต้องวนเวียนอยู่ในคูน้ำครำเหมือนเดิม จนกว่าวันหนึ่งจะฆ่าคนไม่สำเร็จแล้วเป็นฝ่ายถูกฆ่าแทน” กว่าครึ่งของคนที่พอมีสมองอยู่บ้างมักชอบพูดกับตัวเอง “แต่ข้าไม่ได้เปิดโรงทานเสียหน่อยนี่นา เมื่อครู่ก็แค่แผนเอาตัวรอด รับเขาเป็นน้องมีแต่จะสร้างปัญหาให้ข้าเท่านั้น เกิดเป็นคนต้องใจดำเหมือนพี่ใหญ่นั่นล่ะถึงจะอยู่รอด” ระหว่างกำลังรำพึงอยู่นั้น นางก็เห็นเงาดำๆ ได้จากทางหางตา

คนชุดดำคนหนึ่งเดินเข้ามาในระยะสายตานาง

นางนึกว่าเป็นอินเจี้ย กำลังจะโผล่หน้าออกไปดูว่าเขาเอาของกินอะไรมาด้วยก็สังเกตเห็นจากรูปร่างเสียก่อนว่าไม่ใช่ จึงรีบหลบเข้าไปแอบอยู่ข้างหลังเขาจำลอง

กลิ่นเหม็นประหลาดลอยมาเข้าจมูกอีกครั้ง

นางผงะไปเล็กน้อย รีบปิดปากสนิท ปรับลมหายใจให้แผ่วลง แล้วมองลอดรอยแยกของหินออกไปอย่างระมัดระวัง

คนชุดดำคนนั้นย่องไปที่หน้าประตูโรงเตี๊ยมห้องหนึ่ง ก่อนจะเงี่ยหูฟังบทสนทนาข้างใน ใบหน้าด้านข้างถูกผ้าดำบดบังไว้ก็จริง แต่ดูจากรูปร่างก็รู้แล้วว่า…

เฮ้อ นางถอนหายใจเงียบๆ อุตส่าห์สอบได้จนเป็นขุนนาง เพิ่งเป็นได้แค่ไม่กี่วัน ชีวิตก็โลดโผนถึงเพียงนี้ ไม่เข้าใจเอาเสียเลยว่าเหตุใดพวกบัณฑิตถึงได้ชอบเป็นขุนนางกันนัก

ผ่านไปครู่หนึ่ง ท่าทางคนในห้องจะเดินออกมา คนชุดดำจึงกระโดดขึ้นไปบนหลังคา ประตูถูกผลักออกดังแอ๊ด จากนั้นนักพรตสี่ห้าคนก็ก้าวออกมาจากข้างใน

ปวดกระเพาะ ปวดมือ ปวดใจ ตอนนี้ยังปวดหัวเพิ่มอีกอย่าง!

หากนางออกไปตอนนี้ จะไม่ต้องเห็นความอำมหิตของคนชุดดำที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้าหรือไม่

ใครกันนะบอกว่าถ้ารอดตายจากเคราะห์หนักมาได้ ต่อไปจะโชคดี อะไรคือโชคดีกันเล่า ที่นี่มันโรงเตี๊ยมจุ้ยเซียนชัดๆ น่าโมโห!

“พวกเจ้าแยกย้ายกลับห้องไปนอนเถิด” หัวหน้านักพรตพูดขึ้น “พรุ่งนี้เข้าวังหลวง ใต้เท้าจางจะช่วยพูดรับรองให้ หากเป็นที่ถูกพระทัยขององค์จักรพรรดิ ต่อไปเมื่ออาจารย์ได้รับแต่งตั้ง พวกเจ้าก็จะได้ดิบได้ดีไปด้วย”

“อาจารย์…จักรพรรดิองค์นี้อยากเป็นอมตะ แต่พวกเรายังไม่เคยเห็นยาอายุวัฒนะของจริงเลยด้วยซ้ำ เกิดว่า…”

“หุบปาก!” หัวหน้านักพรตเอ็ดเบาๆ “เรื่องยานั้นข้าเตรียมทางออกเอาไว้แล้ว พรุ่งนี้ใครมันกล้าพูดส่งเดช อย่าหาว่าข้าไม่เตือนแล้วกัน…นั่นเสียงอะไร!”

คนชุดดำบนหลังคาชักมีดสั้นพร้อมกระโดดลงมา

“มีคนร้าย!”

ผู้จู่โจมเคลื่อนไหวว่องไว เพียงพริบตาก็ล้มนักพรตน้อยได้คนหนึ่ง

เหี้ยมเกรียมยิ่งนัก!

แม้ก่อนหน้านี้จะพอเดานิสัยได้บางส่วน แต่พอได้มาเห็นเขาฆ่าคนต่อหน้าต่อตา หัวใจก็ยังไหวสะท้านอย่างยากจะบรรยาย

“เจ้าเป็นใคร” นักพรตเซ่าละล่ำละลักพลางถอยกรูด พอเห็นมีดสั้นของฝ่ายตรงข้ามจ้วงเข้าใส่ก็รีบใช้แส้กันไว้ “ช่วยด้วย! ช่วยด้วยมีคนร้าย…” นักพรตตะโกน

ดวงตาคมกริบคู่นั้นจ้องเขม็งไปที่เป้าหมาย คมมีดจู่โจมอีกครั้ง ฟันเข้าที่เอวจนนักพรตร้องลั่นด้วยความเจ็บ

นักพรตจับลูกศิษย์สองคนมาผลักใส่ชายชุดดำ ส่วนตัวเองวิ่งหนีไปข้างนอก

คนชุดดำเห็นดังนั้นก็ผลักนักพรตน้อยออกจากตัวอย่างคล่องแคล่ว ทำท่าจะวิ่งตามออกไป แต่เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นเสียก่อน…

“จะ…เจ้าเป็นใคร เจ้าก็เป็นโจรเหมือนกันหรือ” นักพรตน้อยที่ถูกผลักกระเด็นมาตรงเนินเขาจำลองถามเสียงสั่นพลางชี้เข้ามาในซอกหิน

ตรงนั้นมีคนหรือ!

ชายชุดดำตระหนกอยู่ในใจ ก่อนจะพุ่งเข้ามาปลิดชีพนักพรตน้อยในดาบเดียว พอมองเข้าไปในเขาจำลองก็เห็นร่างของใครคนหนึ่งเบียดแนบไปกับโขดหิน แต่มองไม่ถนัดนัก

เขาเบี่ยงตัวให้แสงจันทร์ส่องเข้าไปด้านใน แล้วหรี่ตามองใบหน้าที่ซ่อนอยู่ใต้เงามืด ก่อนจะผงะ

จากนั้นจิตสังหารก็โชนวาบขึ้นในดวงตา มือใหญ่กระชับมีดสั้นเปื้อนเลือดให้แน่นขึ้นอีกครั้ง

“ข้า…ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น…” ถานอู่ฟูยิ้มแหยพลางยกมือกุมท้อง นึกโมโหความเคราะห์ร้ายแบบสุดกู่ของตัวเอง

เขาเดินมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง ดวงตาจ้องนางเขม็ง จิตสังหารไม่ได้เบาบางลงแม้แต่นิดเดียว

คราวนี้นางต้องตายแน่แล้ว เขาอำมหิตแค่ไหน นางประจักษ์อยู่ทนโท่! น่ากลัวว่าในสายตาเขา นอกจากคนในครอบครัวแล้ว คนอื่นล้วนเป็นเครื่องสังเวยเพื่อแผ่นดินทั้งสิ้น แน่นอนว่านางเป็นหนึ่งในนั้นด้วยเช่นกัน

อุตส่าห์นึกว่ารอดมาได้แล้วเชียว กลับต้องมาเสี่ยงตายอีกครั้ง ชะตาชีวิตนางช่างรันทด…รันทดเหลือจะกล่าว หากตกนรกไป นางจะต้องร้องอุทธรณ์กับพญายมอย่างแน่นอน!

“ท่านผู้สูงศักดิ์…ใส่ชุดดำ ใช้ผ้าคลุมหน้า ทั้งยังไม่ส่งเสียง ไม่มีใครดูออกหรอกว่าท่านเป็นใคร ยิ่งข้าไม่เคยเจอท่านยิ่งแล้วใหญ่ ช่วยปล่อยข้าไปได้หรือไม่”

ตัดหญ้าไม่ถอนรากถอนโคน ครั้นถึงฤดูใบไม้ผลิก็จะแตกยอดขึ้นมาได้ใหม่ นี่เป็นสัจธรรมที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง เขานึกว่านางตายไปแล้วเสียอีก ไม่นึกว่าจะยังมีชีวิตมาเห็นสิ่งที่เขาทำ ฉวยโอกาสฆ่านางไปเสียเถิด!

ชายชุดดำเงื้อมีดสั้นย่างสามขุมเข้ามาหา

เหงื่อไหลกลิ้งลงมาตามหน้าผาก นางเค้นสมองคิดอย่างไรก็คิดหาวิธีเอาตัวรอดไม่ออก เลือดสดๆ จากคมมีดหยดลงมาถูกเสื้อ นางพลันเอ่ยออกไปเบาๆ

“พี่ใหญ่ ท่านคิดว่าข้าจะเอาไปพูดจริงหรือ”

มีดสั้นที่เงื้อขึ้นสูงชะงักค้าง เขาหรี่ตาลงถามเสียงพร่า “เจ้าเดาออกได้อย่างไร”

“พี่ใหญ่ คืนนี้เป็นโอกาสดีที่จะฆ่าคน ข้าได้ยินที่ท่านกับใต้เท้าจางคุยกันแล้ว วันพรุ่งนักพรตกลุ่มนี้จะเข้าวังหลวง หากจะฆ่าก็ต้องฆ่าภายในคืนนี้ ปล่อยให้เข้าวังหลวงไปจะลงมือลำบาก ประจวบเหมาะกับที่เกิดเหตุคนชุดดำลักพาตัวข้าขึ้นใกล้ๆ โรงเตี๊ยมจุ้ยเซียนพอดี สามารถโยนความผิดให้เด็กพวกนั้นได้ หลังจากสังหารนักพรตพวกนี้ ท่านก็สืบคดีอย่างเปิดเผยในฐานะผู้บัญชาการมณฑลทหารห้าเขต จะมีใครสงสัยท่านได้อย่างไรเล่า”

เขาจ้องนางอยู่สักพักก็ดึงผ้าคลุมหน้าลง เป็นเนี่ยชังหมิงจริงๆ ชายหนุ่มยิ้มบาง “เจ้าฉลาดมาก คนฉลาดนี่ล่ะต้องตายเร็ว น่าเสียดายนะที่เจ้าต้องไปพบพญายมตั้งแต่ยังอายุน้อยๆ แค่นี้”

“พี่ใหญ่ ท่านจะฆ่าข้าจริงหรือ” นางใจเต้นแรงดุจสายฟ้า ทั้งหิว ทั้งกระหาย ทั้งเหนื่อยอ่อน แล้วยังต้องมารับมือกับบุรุษที่รับมือยากคนนี้อีก คาดการณ์ได้ล่วงหน้าเลยว่าหากครั้งนี้รอดตายไปได้ นางจะต้องป่วยหนัก

“เจ้าเองก็รู้จักคำว่าฆ่าคนปิดปากนี่”

“ท่านไม่สงสัยบ้างเลยหรือว่าเหตุใดข้าถึงมาอยู่ที่นี่”

เขาผงะ นึกระแวงขึ้นมาทันทีว่าอาจมีคนอื่นอยู่ด้วย แต่พอมองเสื้อผ้ากับผ้าคลุมมอมแมมของนาง เขาก็ยิ้ม “เจ้าคงใช้แผนหนีรอดมาได้ แล้วมาแอบอยู่ในนี้ล่ะสิ ยังไม่ทันได้กลับเข้าวังหลวง จะพาคนอื่นมาได้อย่างไรกัน”

โอ๊ย! อย่าฉลาดถึงเพียงนี้ได้หรือไม่…

นางบ่นอยู่ในใจ ทว่าแค่นยิ้มตามไปด้วย “พี่ใหญ่เก่งกาจยิ่งนัก มิน่าเล่า ขุนนางราชสำนักถึงอ่านนิสัยท่านไม่ออกเลยแม้แต่คนเดียว” ถ้าจะยิ้มก็ต้องยิ้มกันทั้งคู่ เสียชีพไม่ว่า แต่เสียหน้านั้นไม่ได้

เขายิ้มอย่างเมตตา “ปีหน้าข้าจะจุดธูปไหว้เจ้าแล้วกัน”

หญิงสาวถอนหายใจแล้วหลับตาลง

นางไม่รู้วรยุทธ์ หนีรอดเงื้อมมือเขาไปไม่ได้อยู่แล้ว มีดสั้นเงื้อขึ้นสูงอีกครั้ง นางผอมบางเพียงเท่านี้ ฆ่าให้ตายได้ในมีดเดียว เขาเป็นคนลงมือเองก็ไม่ต้องกลัวว่านางจะฟื้นขึ้นมาอีก

ทว่ายามที่ปลายมีดกำลังพุ่งตรงไปที่หัวใจ นางก็พลันโพล่งขึ้นว่า “พี่ใหญ่ เป็นแบบนี้ต่อไปจะดีหรือ จมกับภาระอยู่คนเดียว ไร้คนแบ่งเบา ท่านอยากทำเพื่อประโยชน์สุขของราษฎรมาโดยตลอด แต่เพราะจักรพรรดิเอาแต่เชื่อคนถ่อย ท่านจึงไม่อาจใช้ความสามารถที่มี ต้องสวมหน้ากากปะปนอยู่ในหมู่ขุนนางกังฉินเพื่อปวงประชา นิสัยที่แท้จริงของท่านยังไม่เปลี่ยนไป แต่เริ่มมีปีศาจสิงสู่อยู่ในใจแล้ว”

มีดสั้นหยุดลงด้านหน้าอกนาง

หญิงสาวลืมตาขึ้นมาเล็กน้อย ฝ่ามือเต็มไปด้วยเหงื่อ แทบทรุดลงไปกองกับพื้น

“พี่ใหญ่ ท่านคงเคยชินกับการฆ่าคนแล้วสินะ แม้แต่กับผู้บริสุทธิ์อย่างข้าก็ยังไม่นึกสงสารจากใจจริง เนื่องจากยืมมีดฆ่าคนมามากมาย ท่านลงมือฆ่าข้าได้ เพราะมโนธรรมของท่านเบาบางเหลือเกิน”

“ช่างรู้จักข้าดีจริงนะ”

นางจ้องตาเขาตรงๆ แล้วเอ่ยเสียงแหบแห้ง “หากจะถามว่าโลกนี้มีใครเข้าใจท่าน คนคนนั้นก็คือข้านี่ล่ะ”

เป็นคำพูดที่ฟังดูจอมปลอมเหลือเกิน รู้ทั้งรู้ว่าคนฉลาดเป็นกรดอย่างนางคงหลอกเขาอีกแล้ว กระนั้นหัวใจเขาก็ยังสะท้านเฮือก

โลกนี้มีใครเข้าใจเขาบ้าง!

หลายปีมานี้เขาเหมือนไต่อยู่บนเชือก รู้ดีว่าตัวเองต้องวางแผนอย่างระมัดระวังในทุกย่างก้าว ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน จุดจบมีแต่จะถูกคนอื่นทำร้ายถึงตายหรือไม่ก็ขายวิญญาณตัวเองเท่านั้น เขาเองก็รู้อยู่ลึกๆ ว่าแม้ตนจะยอมพลีชีพเพื่อราษฎรของแผ่นดินนี้ แต่ความเหี้ยมโหดอำมหิตก็เข้ายึดครองหัวใจลึกขึ้นทุกที

‘หน้ากากที่ท่านไม่ยอมถอดออกชั่วชีวิต คนอื่นไม่มีวันเข้าใจหรอกว่าท่านคิดอะไรอยู่ในหัว’

คำเตือนอันจริงจังของเนี่ยอู่ก้องขึ้นในหู แต่เวลานี้มีคนอ่านใจเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่งทั้งที่เขายังสวมหน้ากาก

ถานอู่ฟูมือเท้าอ่อนอย่างห้ามไม่อยู่ แม้จะรู้ว่าเป็นแบบนี้ดูไม่เอาอ่าวแค่ไหน ขณะมองเขาสู้กับความคิดตัวเองตาไม่กะพริบ

เสียงฝีเท้าของคนกลุ่มหนึ่งดังมาจากข้างนอก นางอุทานในใจว่าแย่ล่ะ แล้วก็เห็นเขากระชับด้ามมีดสั้นแน่นขึ้นทันทีจริงๆ

“พี่ใหญ่! ก้าวเดินตามลำพังคนเดียว ช้าเร็วก็ต้องล้มเอียงเข้าสักวัน แม้ข้าจะไม่ใช่คนเลิศล้ำ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นทั่นฮวา สามารถคอยประคองท่าน ช่วยเหลือท่านได้ทุกเมื่อ! ข้าเก่งอย่างไรท่านก็ได้เห็นแล้ว ข้าจะดูแลราชสำนักร่วมกับท่านไม่ได้เชียวหรือ” นางรีบพูดขึ้นอย่างร้อนรน

ฉลาดน่ะฉลาดอยู่ เสียอย่างเดียวตรงที่เป็นสตรี

“เก็บเจ้าไว้มีแต่จะกลายเป็นภัยในภายหลัง”

“จะเป็นภัยหรือเป็นโชค พี่ใหญ่ก็แค่คาดเดาเท่านั้น!”

“เจ้าเป็นคนนอก จะให้ข้าเชื่อใจเจ้าได้อย่างไร”

“หากเป็นคนครอบครัวเดียวกัน พี่ใหญ่ก็เชื่อใจข้าได้ใช่หรือไม่”

เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว เขาเห็นนางเหงื่อแตกเต็มหน้า ท่าทางเหมือนจะเป็นลมล้มพับไปได้ทุกเมื่อ ชีวิตคนทั้งคนต้องมาดับสิ้นลงด้วยมือเขา เห็นแล้วแข็งใจไม่ลงจริงๆ นั่นล่ะ

“เลือดในตัวเจ้ากับข้าไม่ใช่เลือดแบบเดียวกัน ชั่วชีวิตนี้ไม่มีทางเป็นครอบครัวเดียวกันได้ ยอมรับชะตากรรมเสียเถิด!”

คราวนี้ได้เสียเลือดไม่น้อยจริงๆ แล้ว ไม่ใช่แค่ปลายนิ้วเลือดออกก็รอดตัวอย่างเมื่อครู่ นางจ้องเขาเขม็งพลางถาม

“อะไรคือชั่วชีวิตนี้? ท่านก็เป็นมนุษย์ธรรมดาเหมือนอย่างข้า จะล่วงรู้อนาคตได้อย่างไร ข้าจะทำให้ท่านรู้ว่าโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอนหรอก อยู่ที่ว่าเราอยากหรือไม่อยากทำต่างหาก”

ทันใดนั้นนางก็ปาดข้อมือเข้ากับมีดสั้นของเขาโดยแรง เจ็บเสียจนหนังตากระตุก นางก่นด่าความโชคร้ายของตัวเองอยู่ในใจ พลางฉวยโอกาสที่อีกฝ่ายยังมัวแต่ตกตะลึง พุ่งตัวเข้าไปกัดข้อมือเขาจมเขี้ยว

เลือดสดๆ พุ่งออกมาทันที นางประกบรอยแผลตัวเองเข้ากับเขา ของเหลวสีแดงฉานไหลรินลงมาจากข้อมือของทั้งคู่

ดวงตาของนางเลื่อนลอย ขณะกัดฟันถาม “พี่ใหญ่ รับรู้ได้หรือไม่ว่าเลือดของข้าไหลเข้าไปในกายท่าน?”

ใบหน้าของเขารางเลือนขึ้นทุกที สิ่งสุดท้ายที่เห็นชัดคือความตะลึงงันของเขา

“เจ้า…”

“เหนือหัวคือแผ่นฟ้า ใต้เท้าคือผืนดิน ข้าถานอู่ฟูขอลั่นสัตย์เป็นพี่น้องร่วมสาบานกับเนี่ยชังหมิง ณ ที่นี้! ในกายท่านมีข้า ในกายข้ามีท่าน พี่น้องร่วมบิดามารดรแล้วอย่างไร แม้ข้ากับท่านจะไม่ได้เกิดจากพ่อแม่เดียวกัน แต่นับจากนี้เราสองคนจะร่วมเป็นร่วมตายกัน ท่านอยากขจัดภัยพาล ข้าก็จะช่วย ต่อให้ต้องเสียตำแหน่ง ต่อให้ต้องพลีชีพเพื่อท่าน ข้าก็ยินดี!”

“ตรงนี้…มีคนร้ายอยู่ตรงนี้…” กลุ่มคนวิ่งมาถึงประตูห้องพักด้านหลังแล้ว

ชายหนุ่มนิ่งเงียบ นางเองก็ไม่อยู่ในสภาพที่จะสังเกตสีหน้าเขาเพื่อพูดจาให้ถูกใจ ได้แต่เค้นเสียงออกมาเบาๆ เพื่อพูดต่อให้จบ

“โลกนี้นอกจากตัวท่านเองแล้ว ยังมีใครเข้าใจท่านอีก มีแต่ข้านี่ล่ะที่รู้ว่าท่านคิดอะไรอยู่…” พูดสั่นคลอนอารมณ์ พูดด้วยเหตุผล แม้แต่พูดข่มขู่ นางก็งัดมาลองทั้งหมด ส่วนจะได้ผลหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับดวงแล้ว

นางกำลังพนัน พนันว่าเขาจะเกิดใจอ่อนชั่ววูบ โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนอย่างเขาใจอ่อนเป็นหรือไม่ หมอกขาวเริ่มลอยล่องอยู่เบื้องหน้า ใบหูไม่ได้ยินเสียงใดอีกแล้ว ดวงตาของนางเหลือกขึ้น ขณะล้มพับไปทางเขา

อยากรักษาชีวิตก็ไม่ควรหมดสติ แต่นางเป็นพวกไร้วินัยมาแต่ไหนแต่ไร ไม่เคยฝึกฝนตนให้สติแข็งแกร่งกว่ากายเนื้อสักที มาตอนนี้เลยได้แต่พนันกับตัวเองเท่านั้น พนันว่าหลังจากหมดสติไปแล้ว เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกทีจะได้เห็นภูตผีในปรโลกหรือเห็นเขากันแน่

โอกาสที่จะได้เห็นอย่างแรก…คงมากหน่อยกระมัง… นางทอดถอนใจ

คนเราจะดวงดีได้ถึงสองครั้งในวันเดียวที่ไหนกันเล่า

น่ากลัวว่าคราวนี้นางต้องตายแน่แล้ว…

“ในชั่วชีวิตหนึ่ง คนเราต้องตัดสินใจเลือกอยู่หลายครั้ง”

“นายท่าน…ท่านพูดอะไรอยู่หรือ”

“เรียกท่านพ่อสิ อยากถูกข้าตีก้นหรือไร”

“ท่านพ่อ…”

“เสี่ยวจิ่น เจ้ามาอยู่กับข้านานแค่ไหนแล้ว”

“ข้าเจอนายท่าน…ท่านพ่อตอนอายุห้าขวบ ปีนี้แปดขวบแล้วเจ้าค่ะ”

“หือ? นับจากที่พ่อแท้ๆ ของเจ้าตายไป เจ้าก็อยู่กับข้าได้สามปีแล้วหรือนี่” เงียบไปครู่หนึ่งเขาก็ถามอีก “เสี่ยวจิ่น ลองเดาดูซิว่าตอนนี้ข้ากำลังคิดอะไรอยู่”

“หา?” แม้จะไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาถึงถามเช่นนี้อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่เด็กหญิงก็ยังตอบอย่างว่าง่าย “เสี่ยวจิ่นดูไม่ออกเจ้าค่ะ แต่เสี่ยวจิ่นรู้ว่าท่านพ่อเป็นคนดีมากๆ”

“นั่นสินะ เหตุใดข้าถึงถามเจ้าได้ เจ้าอายุน้อยเพียงเท่านี้ ดูคนไม่เป็นหรอก”

ท่ามกลางสติมึนงง ถานอู่ฟูคลี่ยิ้มบนเรียวปากเมื่อได้ยินบทสนทนานี้

“ท่านพ่อ…คุณชายกำลังยิ้มอยู่เจ้าค่ะ” เสี่ยวจิ่นเขย่งเท้าวางผ้าหมาดลงบนหน้าผากถานอู่ฟู

“ควรยิ้มอยู่หรอก เพราะไม่ได้เจอยมทูตหัววัวหน้าม้า* ในความฝัน”

“เช่นนั้นกำลังเห็นใครในความฝันเล่าเจ้าคะ” เด็กน้อยถามด้วยความกังขา

“ในฝันของคนผู้นี้มีเพียงข้าคนเดียวเท่านั้น”

“เหตุใดถึงได้มีท่านพ่อเพียงคนเดียวเล่า”

ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ แล้วลูบศีรษะเล็กพลางทอดถอนใจ

“เจ้าไม่เข้าใจหรอก คนที่เข้าใจมีเพียงนาง บางทีนางอาจจะพูดถูก นางเข้าใจข้า คนที่เข้าใจข้าดีเช่นนี้ ควรเก็บไว้ดีหรือไม่นะ” หางตาเหลือบไปเห็นเด็กหญิงอ้าปากหาว เขาจึงบอกยิ้มๆ “เจ้าไปนอนที่ห้องข้าก่อนไป”

“ไม่เอา ข้าเป็นผู้อารักขาของท่านพ่อ ก็ควรอยู่ข้างๆ ท่านตลอดเวลา”

“เจ้าไม่นอนตอนนี้ พรุ่งนี้ก็ต้องหลับ ตั้งใจจะอู้ไม่เรียนวิชายุทธ์วันพรุ่งนี้อย่างนั้นหรือ”

“เปล่าเจ้าค่ะ เสี่ยวจิ่นไม่กล้า…” นางนึกหงุดหงิดที่ตัวเองเด็กเกินไป ไม่อาจอารักขานายท่านได้ทั้งกลางวันกลางคืน “เสี่ยวจิ่นไปนอนแล้วก็ได้ ท่านพ่ออย่าไปไหนส่งเดชนะเจ้าคะ เกิดอะไรขึ้นก็ส่งเสียงตะโกนดังๆ ข้าจะรีบมาทันที”

เขาพยักหน้ายิ้มๆ มองตามเด็กน้อยที่เปิดประตูเดินออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนจะหันกลับมามองใบหน้าขาวซีดของถานอู่ฟูที่นอนอยู่บนเตียง

ลูกตาภายใต้เปลือกตาของนางขยับเล็กน้อย รอยยิ้มของเขาดูประหลาดขึ้นทันที ชายหนุ่มนั่งลงตรงข้างเตียง ใช้แขนทั้งสองข้างคร่อมนางเอาไว้ โน้มหน้าเข้าไปใกล้แล้วกระซิบ “หากเจ้ายังหลับต่อไปอีกก็แย่แล้ว จะให้ข้าไว้ใจคนที่พยายามตบตากันอีกครั้งได้อย่างไร น้องชาย?”

ลมหายใจของเขาเป่ารดใบหน้า ถานอู่ฟูรีบลืมตาขึ้นโดยไม่รอช้า เห็นดวงหน้าคมคายอยู่ใกล้แค่นิดเดียวก็ยิ้มอย่างอ่อนแรง “พี่ใหญ่ มีโอกาสได้เห็นท่านอีกครั้ง ข้าช่าง…สะสมบุญมาไม่น้อยจริงๆ”

“นึกว่าพอลืมตาขึ้นมาจะเจอยมทูตหัววัวหน้าม้าอย่างนั้นหรือ” เขาถามเสียงนุ่มนวล

นางทำหน้างงงวย ตาจ้องเขาไม่กะพริบ กลีบปากขาวซีด กระนั้นก็ยังคลี่ยิ้ม

“พี่ใหญ่เรียกข้าว่าน้อง ก็แสดงว่านับข้าเป็นพวกเดียวกันแล้วใช่หรือไม่ ประเสริฐแท้ ต่อไปน้องคนนี้ก็มีที่พึ่งแล้ว ใครยังจะกล้ารังแกข้าอีก” เกือบไปๆ คราวนี้รอดตายมาได้อย่างเฉียดฉิวจริงๆ

“เจ้าใช้แผนยอมเจ็บตัวได้ดีนี่” เขาโพล่งขึ้น

“พี่ใหญ่ใจแข็งดุจเหล็กกล้า แผนยอมเจ็บตัวนิดๆ หน่อยๆ เท่านี้จะสั่นคลอนท่านได้อย่างไร อีกอย่างนี่ไม่ใช่แผน แต่เป็นความจริงใจของข้า ข้าเองก็เป็นคนมีหลักการเช่นกัน จะมาเป็นครอบครัวเดียวกันกับข้า ถ้าข้าไม่ชอบขี้หน้าก็ไม่เอาด้วยหรอก!”

เขามองนางอยู่นาน สุดท้ายก็กระแอมเบาๆ แล้วลุกจากขอบเตียง

หญิงสาวสูดหายใจแผ่วๆ อยู่สองสามที ก่อนจะปาดเหงื่อบนหน้าผาก

“นิสัยอย่างเจ้าช่างน่ารังเกียจเสียจริง” ความชิงชังสะท้อนออกมาทางคำพูดอย่างโจ่งแจ้ง

“เฮ้อ มองคนเก่งก็มักจะโดนเกลียดแบบนี้ล่ะ ดังนั้นข้าถึงได้ขี้เกียจใช้สมองอย่างไรเล่า มีแต่พี่ใหญ่นี่ล่ะที่ทำให้ข้าเค้นสมองได้”

“หือ? เห็นเจ้าชอบพูดนักว่ามองข้าออก เช่นนั้นลองบอกหน่อยซิว่าตอนนี้ข้ากำลังคิดอะไรอยู่” เนี่ยชังหมิงเดินไปตรงหน้าโต๊ะ แล้วหันมาอมยิ้มมองอีกฝ่าย

นางพยายามยันตัวขึ้นมาอยู่หลายครั้ง กว่าจะลุกขึ้นมานั่งอย่างอิดโรยได้สำเร็จ ใต้ผ้าห่มคือเครื่องแบบขุนนางที่ยังไม่ได้ถอด ทว่าผมที่มัดไว้ถูกปล่อยลงมาพาดเป็นกระเซิงอยู่บนบ่า

พลันนึกสงสัยขึ้นมาแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าสภาพอย่างนี้จะบ่งบอกความเป็นหญิงให้เขาเห็นหรือไม่ แต่แล้วความคิดนั้นก็ถูกปัดทิ้งไปอย่างรวดเร็ว นางแข็งใจยิ้มตอบไปว่า

“พี่ใหญ่กำลังคิดว่า…โลกนี้มีเพียงคนตายเท่านั้นที่จะไม่พูด จุดอ่อนของท่านอยู่ในมือข้า ไม่มีอะไรรับรองได้ว่าข้าจะไม่แอบเอาไปบอกใคร ดังนั้นท่านจึงอยากรู้ความลับที่ข้าบอกคนอื่นไม่ได้เหมือนกันใช่หรือไม่”

เพิ่งรู้ก็ตอนนี้ว่าการถูกคนอื่นอ่านใจได้อย่างทะลุปรุโปร่งไม่ได้ทำให้รู้สึกดีเลยสักนิด…

เนี่ยชังหมิงยิ้มมองใบหน้าที่ยังมีเค้าความเป็นเด็กของนาง แม้จะบอกว่าหน้าตาอย่างนี้กึ่งชายกึ่งหญิง แต่ก็กระเดียดไปทางหญิงมากกว่าจริงๆ

“ข้ารออยู่” เขากำลังรอให้นางเปิดเผยว่าตัวเองเป็นหญิงเพื่อแสดงความจริงใจ

“ข้า…” ถานอู่ฟูเงียบไปครู่หนึ่ง

“ข้าอยากได้ความจริงใจ ไม่ได้อยากให้เจ้าแต่งเรื่องโกหก ถานอู่ฟู”

นัยน์ตาของนางหม่นลง ก่อนจะกลอกไปมาขณะจ้องมองเขา จากนั้นนางก็เอ่ยขึ้นเบาๆ

“หากข้าบอกว่า…ตำแหน่งของข้าเป็นของปลอม ท่านจะเชื่อหรือไม่”

เชื่อ เพราะกว่าจะมาสอบระดับเตี้ยนซื่อได้ต้องผ่านการสอบด่านแล้วด่านเล่า…

“พี่ใหญ่คงเดาได้ว่าข้าติดสินบนเจ้าหน้าที่ ใช่ ชื่อเดิมของข้าคือถานอู่ฟู ข้าปลอมแปลงชื่อถานเสวียนอวี้กับชื่อแซ่บรรพชนสามรุ่น สอบไล่มาเรื่อยๆ จนถึงระดับสูง ติดสินบนเจ้าหน้าที่ด้วยเงินก้อนโตให้ปลอมประวัติให้” เห็นเขาทำหน้าสงสัย นางก็พูดต่อยิ้มๆ “ท่านคงกำลังคิดล่ะสิ ว่าในเมื่อเจ้าหน้าที่พวกนั้นซื้อได้ด้วยเงิน ย่อมต้องเป็นพวกละโมบโลภมาก เมื่อข้าได้รับแต่งตั้งเป็นทั่นฮวา เหตุใดคนพวกนั้นถึงได้ยังไม่มาข่มขู่ข้าเสียที พี่ใหญ่ ข้าเคยบอกแล้วว่าตัวเองดวงดีจนน่าตกใจ ได้ยินว่าตอนที่ข้าได้รับแต่งตั้ง หนึ่งในเจ้าหน้าที่เห็นแก่เงินพวกนั้นตายไปด้วยโรคหัวใจขาดเลือด อีกหลายคนถูกวางยาพิษในอาหาร เมื่อตายกันหมดก็ไร้หลักฐานแล้ว ข้าไม่รู้ว่ามีคนอื่นติดสินบนพวกเขาแล้วเกิดมีปัญหาขึ้นมา เลยชิงฆ่าคนปิดปากหรือไม่ แต่ตอนนี้ความลับนี้ของข้ามีเพียงท่าน ข้า แล้วก็ฟ้าดินที่รู้ นี่ถือเป็นความจริงใจจากข้าได้หรือไม่”

คิดจะเอาเรื่องแค่นี้มาแลกกับความไว้ใจของเขาอย่างนั้นหรือ เขาจะเค้นให้นางพูดออกมาว่าตัวเองเป็นสตรีให้ได้ “ในเมื่อเจ้าเก่งพอที่จะสอบได้ตำแหน่งทั่นฮวา เหตุใดถึงต้องใช้ชื่อถานเสวียนอวี้เข้าสอบอีกเล่า”

“เพราะถานอู่ฟูไม่มีใจอยากสอบราชสำนัก ใช้ชื่อเสวียนอวี้ก็เพื่อทำฝันให้เป็นจริง”

“ไม่มีใจหรือเข้าสอบไม่ได้กันแน่” เขารุกเข้าไปอีกก้าว

นางผงะ พอจะขยับปากตอบ เสียงเคาะประตูเบาๆ ก็ดังขึ้นตรงหน้าห้อง

“ข้าหยวนเจ๋อเอง” ยังไม่ทันได้รับอนุญาต ต้วนหยวนเจ๋อก็ผลักประตูเข้ามาเรียบร้อยแล้ว “พี่ชังหมิง ข้าสั่งให้คนสาวไปตามเบาะแสแล้ว ใครก็ตามที่จะออกจากเมืองในเช้าวันพรุ่งนี้ต้องผ่านด่านตรวจ…” เนื่องจากสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแปลกๆ คนพูดจึงเหลือบตาขึ้น แล้วเพิ่งเห็นร่างที่อยู่บนเตียง

ต้วยหยวนเจ๋ออ้าปากค้าง ดวงตากวาดมองไปรอบห้อง เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครอื่นก็มองข้ามเนี่ยชังหมิงไปยังคนบนเตียงอีกครั้ง

“ที่แท้ท่านผู้นี้ก็คือ…ถานอู่ฟูที่เป็นทั่นฮวา?”

“ผู้น้อยคือถานอู่ฟูจริงๆ นั่นล่ะ” นางตอบยิ้มๆ

“อ้อ…เอ่อ…ถาน…ผู้น้อยคือผู้บัญชาการฝ่ายขวาทัพซ้ายต้วนหยวนเจ๋อ โปรดช่วยชี้แนะให้มากด้วย” ริมฝีปากของเขาคลี่ยิ้มปูเลี่ยนๆ

ถานอู่ฟูยกมือทั้งสองข้างขึ้นคำนับตอบ

ชะ…ช่างเป็นเด็กหนุ่มที่อ้อนแอ้นอะไรอย่างนี้!

ต้วนหยวนเจ๋อลอบเดาะลิ้น ใบหน้าของฝ่ายนั้นซีดเผือด ร่างที่อยู่ใต้เครื่องแบบขุนนางดูผอมบาง ตอนนี้ยังมีเค้าความเป็นเด็กให้เห็น น่ากลัวว่าในภายภาคหน้า…จะต้องเป็นที่หมายตาของพวกนิยมเพศเดียวกันในราชสำนักอย่างแน่นอน เขาชายตามองไปทางเนี่ยชังหมิง

“ตอนบ่ายเจ้าก็เจอเขาแล้วไม่ใช่หรือ” ชายหนุ่มอีกคนเข้าใจสายตาเขา จึงทำเสียงดุ

“ตอนบ่ายข้าแค่เห็นเจ้าอุ้มเขา ไม่ทันมองให้ชัดว่าเขาหน้าตาอย่างไร” เขาเถียงกลับ ก่อนจะพูดต่อหน้าเครียด “ข้าส่งตัวเซ่าหยวนเจี๋ยไปที่จวนใต้เท้าจางแล้ว ใต้เท้าเชิญพวกเราเข้าวังหลวงไปด้วยกันในเช้าวันพรุ่งนี้”

“แล้วมีปัญหาอะไรเล่า”

ต้วนหยวนเจ๋อฉุนกึกขึ้นมาเมื่อเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามยิ้มบางๆ ตามเคย จากนั้นก็โพล่งออกไปแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง “ไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอก! หากเซ่าหยวนเจี๋ยคนนั้นรู้วิชาอายุวัฒนะจริงก็ประเสริฐยิ่งนัก องค์จักรพรรดิจะได้อายุยืนยาวเป็นร้อยปี ต้าหมิงยืนยงไม่มีวันเสื่อมสลาย!” ว่าแล้วก็ซัดฝ่ามือใส่โต๊ะด้วยความโมโห แต่เหลือบเห็นถานอู่ฟูขมวดคิ้วได้จากทางหางตาเสียก่อน พอนึกได้ว่าเด็กคนนี้เป็นเพียงบัณฑิต ก็เปลี่ยนทิศทางซัดฝ่ามือเข้าใส่เสาแทน รอยฝ่ามือปรากฏขึ้นบนเสากลมทันตา เขาคำรามเบาๆ อย่างหงุดหงิด “ทำให้เจ้าตกใจเสียแล้วอู่ฟู”

“นั่นสิ ท้องข้าขวัญหนีหมดแล้ว” นางตอบหน้าตาย

“ท้อง?”

“ข้าหิว หิวมากๆ ด้วย” นางบอกตามตรง แล้วหันไปมองเนี่ยชังหมิงตาละห้อยอย่างน่าสงสาร “พี่ใหญ่ ข้าใช้ค่าเดินทางไปจนหมดแล้ว เบี้ยหวัดก็ยังไม่ได้ ในเมื่อพวกเราเป็นพี่น้องกัน ก็ไม่ควรเห็นเป็นคนอื่นคนไกล นับแต่นี้ข้าไม่ต้องจ่ายค่าเช่าห้อง ไม่ต้องควักเงินซื้อของกินเล่น ก็มีของมาให้กินให้ดื่มถึงปากแล้วใช่หรือไม่”

“พี่น้อง? พวกเจ้าเป็นพี่น้องร่วมสาบานกันหรือ” ต้วนหยวนเจ๋อที่โทสะลดลงกว่าครึ่งเอ่ยถามอย่างตกใจ

“มีสิ่งนี้เป็นเครื่องยืนยัน” เนี่ยชังหมิงยังไม่ทันได้ร้องห้าม นางก็พับแขนเสื้อขึ้นสองทบ อวดผ้าพันแผลเปื้อนเลือดบนข้อมือ

“เจ้าได้รับบาดเจ็บอะไรกับพี่ชังหมิงด้วย…อ๊ะ อ๋อ…” เหลือบไปเห็นผ้าพันแผลแบบเดียวกันบนข้อมือเนี่ยชังหมิงด้วยความตาไว ต้วนหยวนเจ๋ออ้าปากหวอ พูดอะไรไม่ออกอยู่นาน

หากบอกว่าเขาเป็นศูนย์รวมและแหล่งกระจายข่าว ข่าวทั้งหมดในมือเขาสามารถนำไปเขียนหนังสือได้หนึ่งเล่ม ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสิ่งที่ประสบพบเจอในวันนี้จะต้องเป็นข่าวใหญ่ที่สั่นสะเทือนที่สุดในหนังสือเล่มดังกล่าว

เท่าที่เขารู้ แม้เนี่ยชังหมิงจะอารมณ์เย็นเป็นเลิศ แต่ก็ไม่เคยเห็นไปสาบานเป็นพี่น้องกับขุนนางใหญ่ในราชสำนักเลยสักคน กระทั่งตัวเขาก็ยังต้องทึกทักว่าเป็น ‘สหายสนิท’ เอง เรื่องจะเป็นพี่น้องร่วมสาบานนั้นไม่ต้องพูดถึง…

เขาเหลือบมองดวงหน้าอ่อนใสของถานอู่ฟูแล้วโพล่งขึ้น “อย่าบอกนะว่า…อู่ฟูได้รับบาดเจ็บ พี่ชังหมิงเห็นแล้วทนมองไม่ได้ ก็เลย…”

“พูดจาส่งเดช!” เนี่ยชังหมิงเอ็ดยิ้มๆ ไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ “เจ้ามีงานสำคัญรอให้ทำอยู่ หากจับจอมโจรเมืองหลวงเย้ยกฎหมายพวกนั้นไม่ได้ ทั้งเจ้าและข้าจะรับโทษกันไม่ไหว”

ต้วนหยวนเจ๋อแค่นเสียงหึขึ้นจมูก แล้วมองไปทางถานอู่ฟูที่ทำหน้าเหลอหลาพลางพูดขึ้นว่า “เคราะห์ดีที่เจ้าไม่เป็นอะไร ไอ้จอมโจรเมืองหลวงพวกนั้นมันอำมหิตจริงๆ ถึงขนาดจะทำร้ายเจ้าที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ได้ หากไม่เพราะพี่ชังหมิงไปช่วยเจ้าไว้อย่างทันท่วงที มิต้องมีผู้บริสุทธิ์ถูกคร่าชีวิตไปอีกคนหรือ”

เท่าที่เก็บบทสนทนาของทั้งคู่มาปะติดปะต่อก็พอเดาได้ว่าเนี่ยชังหมิงอธิบายให้คนนอกฟังอย่างไร ที่แท้เขาก็ไม่ไว้ใจกระทั่งต้วนหยวนเจ๋อ เหลือเชื่อจริงๆ ที่บุรุษเช่นนี้ยอมไว้ชีวิตนาง

ทว่านี่ไม่ใช่เรื่องดี นางต้องคิดหาวิธีทำให้เขาไว้ใจให้ได้ ไม่เช่นนั้นวันดีคืนร้ายอาจถูกเขาเล่นงานถึงตายโดยไม่รู้ตัว

“อู่ฟู เจ้าเป็นอะไร” เนี่ยชังหมิงสบตานาง คล้ายกำลังสังเกตว่านางจะตอบกลับมาอย่างไร

หญิงสาวพูดยิ้มๆ ไม่แม้แต่จะกะพริบตา “พี่ใหญ่ ข้าตกใจมากจริงๆ โชคดีที่ได้ท่านมาช่วยไว้ ในเมื่อช่วยชีวิตข้าแล้ว ก็ช่วยท้องข้าไปพร้อมกันทีเถิด ขอเพียงหาของให้ข้ากิน ข้าจะไม่เอาใจออกห่างท่านไปชั่วชีวิต”

เขายิ้มละไม “ช่างมักน้อยเหลือเกินนะ” ยิ่งเป็นคนมักน้อยเท่าไรก็ยิ่งควบคุมยากเท่านั้น

“นั่นเพราะพี่ใหญ่ยังไม่รู้ว่าข้าเลือกกินแค่ไหนน่ะสิ คนที่เลี้ยงข้าไหวมีไม่มากหรอก”

ดังนั้นเจ้าจึงเลือกข้า? เขาถามด้วยสายตา

ถานอู่ฟูยิ้มกว้างขึ้น ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มแหยเอามือกุมท้องคู้ตัวงอ

“หิวเหลือเกิน…” อดข้าวตั้งแต่เที่ยงจนถึงตอนนี้ ทั้งยังผ่านความเป็นความตายมาอีก ยิ่งหมดแรงเข้าไปใหญ่

“หิวหรือ ได้ๆ ข้าจะสั่งให้คนไปทำมาให้เดี๋ยวนี้” สิ่งที่ต้วนหยวนเจ๋อทนมองไม่ไหวที่สุดก็คือเด็กผอมๆ ต้องทนหิวนี่ล่ะ

“ข้าไม่กินบะหมี่หยางชุน ที่ไม่ใส่เครื่อง ไม่กินหมั่นโถวจืดๆ ไม่เอาอาหารเย็นชืด ไม่กินข้าวที่ไม่มีกับ ขอบคุณมากต้วนเจวี๋ยเหยีย” นางกล่าว

ต้วนหยวนเจ๋อผงะไปครู่หนึ่ง ก่อนจะอุทาน “เลือกกินจริงๆ หากมีแต่ข้าวเปล่ากับบะหมี่เปล่าอย่างละชาม เจ้าไม่หิวตายหรือ”

นางยิ้มกว้างแล้วถอนหายใจ “เช่นนั้นก็ปล่อยให้ข้าหิวตายเถิด ใครให้ท่านพ่อท่านแม่มีลูกร่างกายอย่างข้าเล่า เห็นหรือไม่ ข้ามีจุดอ่อนมากมาย ขอเพียงจับข้าอดอาหารให้หิวติดๆ กันสามสี่มื้อ ข้าก็ไปเฝ้าพญายมเองแล้ว” พูดพลางมองไปทางเนี่ยชังหมิง คล้ายกำลังบอกว่าตนเปิดเผยจุดอ่อนให้เขาเห็นหมดแล้ว ขอให้เขาสบายใจได้

ทว่าชายหนุ่มยังคงยิ้มเหมือนเก่า ยิ้มเสียจนหน้าเป็นริ้วก็ยังไม่ให้คำตอบชัดเจนแก่นาง

 

(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 16 ส.ค. 62)

หน้าที่แล้ว1 of 12

Comments

comments

Jamsai Editor: