X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน เบื่อนักโจ๊กล่าปา ข้าไม่ย้อนเวลาอีกได้ไหม บทที่ 3-บทที่ 4

หน้าที่แล้ว1 of 13

บทที่ 3

 เมื่อนายท่านอวิ๋นถูกปล่อยตัวออกจากคุก เพิ่งจะย่างเท้าเข้าประตูบ้านก็ได้ยินว่ามารดาผูกคอตายไปแล้ว เขารู้สึกเจ็บปวดเสียใจจนหมดสติไป ท่านหมอเฉิงต้องกดคลึงจุดเหรินจง* ให้อยู่หลายครั้ง เขาถึงจะฟื้นขึ้นมา พอได้สติก็ร้องไห้โฮ หลังจากทราบสาเหตุแล้วยิ่งโศกเศร้าเกินบรรยาย คิดว่าตนเองทำให้มารดาต้องตาย ความผิดยากจะให้อภัยโดยแท้

อวิ๋นจ้าวคุกเข่าอยู่ข้างศพท่านย่าตลอดเวลา ใครเข้าไปประคองก็ไม่ยอมลุกขึ้น อวิ๋นฮูหยินนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างบุตรสาว ไม่รู้สาเหตุมาจากอะไร นางออกไปข้างนอกแค่เพียงครึ่งวัน ในบ้านก็เกิดเหตุพลิกผันใหญ่โตเช่นนี้แล้ว

สกุลอวิ๋นในอดีตมีแต่เสียงหัวเราะพูดคุยไม่ขาด ยามนี้กลับมีเงามืดเข้ามาปกคลุม ได้ยินแต่เสียงร้องไห้ ไม่เห็นรอยยิ้มของใครเลย

อวิ๋นจ้าวร้องไห้ไม่ออกแล้ว ด้วยนางร้องไห้จนดวงตาสองข้างแดงก่ำ ได้แต่มองตรงไปที่ร่างของท่านย่า

ท่านย่ามีศรัทธาในองค์พระโพธิสัตว์เสมอมา เป็นคนใจบุญที่มีชื่อเสียงเลื่องลือทั้งใกล้ไกล ทุกครั้งที่มีชาวบ้านผู้ประสบภัยเข้ามาในเมืองหลวง นางจะต้องสั่งให้พ่อบ้านเปิดยุ้งฉาง นำข้าวออกไปแจกจ่ายอย่างทั่วถึง แม้ทรัพย์สินที่คฤหาสน์ในเมืองหลวงของสกุลอวิ๋นจะไม่นับว่ามากมายมหาศาล แต่ทุกครั้งที่มีการทำบุญสร้างกุศลก็จะเห็นเงาร่างคนสกุลอวิ๋นเสมอ เป็นเพราะทุกคนมีจิตใจเมตตาตามท่านย่าไปด้วย

ฉะนั้นอวิ๋นจ้าวจึงไม่เข้าใจ เพราะเหตุใดนางกลับมาได้ แต่ท่านย่ากลับต้องมาจบชีวิตลงเช่นนี้

นางร้องไห้จนไม่เหลือน้ำตาแล้ว กระทั่งตอนนี้ดวงตาบวมแดงดั่งลูกเหอเถา* ได้แต่นั่งคุกเข่าอยู่เฉยๆ ขณะที่ในสมองก็มีเพียงความสับสนอื้ออึง

ในคฤหาสน์หลังใหญ่ของสกุลอวิ๋นมีแต่เสียงร้องไห้ เมฆมืดครึ้มปกคลุมทั่วบริเวณ ความเศร้าหมองทุกข์ระทมอวลอยู่ภายใน แม้แต่ลู่อู๋เซิงที่ยืนอยู่ข้างนอกก็ยังสัมผัสได้

เด็กรับใช้เห็นเขายืนอยู่ข้างประตูใหญ่มานานแล้ว ทั้งไม่ยอมเดินเข้าไป และไม่เดินจากไปไหน หิมะใต้ฝ่าเท้ากองทับถมสูงมาครึ่งน่องแล้ว จึงอดเอ่ยขึ้นมาไม่ได้ว่า “คุณชาย พวกเรากลับกันเถอะ ท่านอยู่ตรงนี้ คุณหนูอวิ๋นก็ไม่ทราบหรอกขอรับ”

ลู่อู๋เซิงไม่ตอบอะไรแม้แต่คำเดียว คิ้วกระตุกเพียงเล็กน้อย สีหน้าเคร่งขรึมเย็นชา เด็กรับใช้จึงไม่กล้าเอ่ยอะไรอีก

เขาอยากเข้าไปข้างใน แต่จะเข้าไปด้วยฐานะอะไรเล่า ก่อนที่เขาจะคิดต่อไปว่า บางทีอวิ๋นอวิ๋นอาจจะออกมาเดินเล่น เช่นนั้นรอให้นางออกมาก็จะเห็นหน้าเขาอยู่ตรงนี้ อย่างน้อยคงช่วยปลอบใจนางได้บ้าง

เฮ่อแต่จะปลอบใจอะไรได้ เหมือนเขาจะให้ความสำคัญกับตัวเองมากเกินไปแล้ว

กระนั้นเขาก็ยังไม่ยอมจากไปไหน

อวิ๋นจ้าวไม่รู้ว่าลู่อู๋เซิงอยู่ข้างนอก หรือต่อให้รู้นางก็ไม่มีอารมณ์จะออกไปพบหน้าอยู่ดี

 

ล่วงเข้าสู่ยามค่ำคืน อวิ๋นฮูหยินฝืนทำจิตใจให้สดชื่น ลุกขึ้นมาสั่งการบ่าวไพร่ให้จัดเตรียมสำรับอาหาร ทว่าพวกเขาทั้งครอบครัวกลับกินไม่ลงเท่าไร อวิ๋นจ้าวกินข้าวคำหนึ่งก็นิ่งงันไม่ยอมกลืนลงไป รู้สึกลำคอแห้งผากและเจ็บแปลบ อวิ๋นฮูหยินเห็นนางกลืนข้าวอย่างทรมานก็แอบถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “อวิ๋นเอ๋อร์ เจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้เช้ายังต้อง…”

พรุ่งนี้เช้ายังต้องจัดการเรื่องงานศพของฮูหยินผู้เฒ่าต่อ

อวิ๋นฮูหยินกลืนคำพูดที่เหลือลงท้อง แต่อวิ๋นจ้าวฟังออกว่ามารดาจะบอกอะไร เดิมทีนางก็มองตำแหน่งที่เคยเป็นของท่านย่าซึ่งตอนนี้ว่างเปล่าอยู่เช่นกัน หยาดน้ำตาจวนเจียนจะไหลริน นางพยักหน้ารับก่อนจะลุกขึ้นเดินกลับห้อง

เมื่อเดินผ่านลานบ้านที่เงียบเหงาวังเวง ลมหนาวพัดผ่านระเบียงทางเดินที่ไร้กำแพงบดบัง ความเย็นยะเยือกแทรกซึมสู่ใจจนไม่เหลือความอบอุ่น

แต่ละย่างก้าวที่อวิ๋นจ้าวเดินไป เงาหลังก็สะท้อนความหม่นหมองอ้างว้าง บ่าวรับใช้ที่ติดตามอยู่ข้างหลังมองแล้วก็ทุกข์ใจกันถ้วนหน้า สี่เชวี่ยยิ่งรู้สึกละอายใจ หากไม่ใช่เพราะนางเฮ่อ

อวิ๋นจ้าวเดินเข้ามาในห้อง นางนอนลงบนเตียงโดยลืมว่าต้องบ้วนปากล้างหน้า บ่าวรับใช้เห็นเช่นนั้นก็เติมถ่านในเตาผิงให้ร้อนแล้วถอยออกไป

ผ่านไปพักใหญ่เริ่มรู้สึกไม่สบายตัว อวิ๋นจ้าวจึงตื่นขึ้นมา เมื่อครู่นางผล็อยหลับไปแล้ว เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงอยู่บ้าง นางลุกขึ้นมาเงียบๆ เตรียมจะถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกเพราะมันหนาอึดอัดเกินไป เหมือนกับนำผ้าห่มมาสวมทับร่างไว้อย่างไรอย่างนั้น

พอได้ยินความเคลื่อนไหวในห้อง ระหว่างที่นางลุกขึ้นมานั้น ข้างนอกก็มีเสียงบ่าวรับใช้ดังขึ้น “คุณหนู”

“มีเรื่องอะไร” น้ำเสียงของนางแหบพร่า

อวิ๋นจ้าวลงจากเตียงไปรินน้ำชา เพิ่งจะดื่มไปได้คำหนึ่งก็ได้ยินบ่าวรับใช้กดเสียงลงต่ำกล่าวอย่างระมัดระวังว่า “คุณชายลู่มายืนเฝ้าอยู่นอกประตูใหญ่นานแล้ว พวกเราไปเชิญเขาเข้ามา เขากลับบอกว่าไม่ต้อง ทั้งยังสั่งให้พวกเราไม่ต้องบอกท่านด้วยเจ้าค่ะ”

ตอนนี้พอได้ยินชื่อของลู่อู๋เซิง อวิ๋นจ้าวกลับนึกถึงเหตุการณ์วันที่เขาตายจากไปขึ้นมาทันที

วันนั้นนางกำลังตรวจเทียบบัญชีกับหลงจู๊ทั้งหลายก็ได้ยินข่าวร้ายนี้อย่างกะทันหัน นางไม่มีท่าทีสะทกสะท้านแต่อย่างใด กระทั่งตรวจเทียบบัญชีเสร็จแล้วก็เดินออกจากห้อง นางเดินไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกว่าพวงแก้มสองข้างเย็นเฉียบ ยกมือขึ้นลูบดูก็พบว่ามีแต่รอยน้ำตา

ที่แท้นางยังชอบลู่อู๋เซิงอยู่มาก แม้ไม่พบหน้ากันมานานสิบปี นางก็ยังชอบเขาอยู่

พอคิดถึงท่านย่า คิดถึงลู่อู๋เซิงแล้ว น้ำตาที่แห้งเหือดไปเมื่อตอนกลางวันก็ไหลพรั่งพรูออกมา นางก้มหน้าเช็ดน้ำตาและก้าวออกไปข้างนอก

นางอยากเห็นหน้าเขา

ช่วงค่ำลมหนาวพัดกระโชกมาจากทุกทิศทาง หอบเอาความอบอุ่นที่หลงเหลืออยู่ใต้ท้องฟ้าอันมืดมิดให้สลายหายไป ลู่อู๋เซิงยืนอยู่ข้างนอกมานานจนเริ่มรู้สึกถึงความเย็นยะเยือกได้จากทั่วร่างจรดฝ่าเท้า ในคฤหาสน์สกุลอวิ๋นบรรยากาศวังเวงลงกว่าเดิม เขาปัดหิมะที่ร่วงลงไหล่ คิดจะกลับไปก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่

ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังออกมาจากในคฤหาสน์ที่เงียบเหงา เขาเงี่ยหูฟังด้วยความตั้งใจ เสียงฝีเท้านี้ไม่มีการลงน้ำหนัก ทั้งรวดเร็วฉับไว และคุ้นหูเขายิ่งนัก เสียงดังก้องสะท้อนอยู่ในหู ทุกย่างก้าวประทับลงในก้นบึ้งของหัวใจ

พอประตูบานใหญ่เปิดกว้าง เขาก็ส่งเสียงเรียก “อวิ๋นอวิ๋น”

อวิ๋นจ้าวยืนนิ่ง ไม่ยอมเดินลงบันไดมา นางคิดว่าจากเหตุการณ์ที่พลิกผันมาจนถึงวันนี้ อย่างไรเขาก็ต้องตายจากไปสักวัน เพราะฉะนั้นทุกก้าวที่เดินเข้าไปใกล้เขา ก็มิต่างจากมีดที่ปักลงกลางใจเล่มหนึ่ง

ในเมื่อต้องจากลากันอยู่แล้วยังจะอยู่เคียงข้างไปไย

ลู่อู๋เซิงเห็นนางยืนนิ่งไม่เอ่ยวาจา กำลังจะก้าวขึ้นบันไดไปหา ก็เห็นดวงตาสองข้างของนางจ้องเขม็ง ก่อนเปล่งเสียงเกือบจะเป็นตะโกนออกมาว่า “อย่าเข้ามานะ!”

เขาจึงหยุดชะงักด้วยความสับสน ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดนางถึงรังเกียจเขาขึ้นมาอีก

อวิ๋นจ้าวคิดว่านางคงจะบ้าไปแล้วที่ออกมาพบเขา! จึงหันขวับแล้ววิ่งกลับเข้าไปในบ้าน

นับจากวันนี้ไปจงลืมเขาให้หมดสิ้น ไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับเขาอีก เช่นนี้แล้ววันหน้าก็คงไม่ต้องเศร้าเสียใจ

แต่ยิ่งวิ่งเร็วเท่าไร นางก็ยิ่งรู้สึกละอายแก่ใจมากเท่านั้น แสงโคมไฟสลัวเลือนราง ฝีเท้าเร่งรีบร้อนรน นางเดินโซซัดโซเซ จนใต้ฝ่าเท้าเกิดลื่นไถล ทำให้ล้มลงไปกับพื้นทั้งตัว จมอยู่ในกองหิมะ นางพยายามเอามือประคองร่างให้ลุกขึ้น แต่จู่ๆ ก็รู้สึกเจ็บปวดที่หัวใจ ทั้งความเจ็บปวดนั้นยังรุนแรงมากกว่าปกติ

คล้ายนางจะนึกอะไรได้บางอย่าง จึงเอามือคว้าเชือกสีแดงที่คล้องคอเอาไว้ แล้วยกขึ้นมาช้าๆ ไข่มุกราตรีจึงเผยให้เห็นรูปโฉมที่แท้จริง มันส่องประกายสว่างใสดุจหิมะ

ไข่มุกราตรีเม็ดนี้มีขนาดไม่ใหญ่นัก อีกทั้งไม่นับว่าเป็นของล้ำค่าอะไร ตอนนั้นเห็นเขาถือเล่นในมือ นางเห็นเข้าก็ชอบใจ ลู่อู๋เซิงที่หันหลังอยู่มองไม่เห็น แต่ท่านลุงลู่มาเห็นเข้าจึงเอ่ยปากบอก เขาก็รีบส่งให้นางทันที แม้เขาจะชอบมากแค่ไหนก็ไม่แสดงท่าทีที่ตัดใจไม่ลงออกมาเลย

นางรู้สึกราวกับว่าได้รับสมบัติล้ำค่ามาชิ้นหนึ่ง พอหาช่างฝีมือนำไข่มุกร้อยเชือกสีแดงได้แล้ว นางก็นำมาคล้องคอตลอดโดยไม่เคยถอดวาง แม้แต่ตอนที่นางโกรธเขาที่สุด หรือกระทั่งในอีกสิบปีข้างหน้า

นางอยากจะโยนไข่มุกทิ้งไป แต่ยามนี้มันส่องประกายสุกสว่างดั่งโคมไฟ ค่อยๆ เปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นขาว จนกระทั่งเจิดจ้าบาดตา นางมองด้วยความตกตะลึง ลืมความเจ็บปวดที่หัวเข่าไปชั่วขณะ

ดูเหมือนนางเคยเห็นแสงสีขาวเช่นนี้จากที่ใดมาก่อน

ใช่แล้ว…คืนนั้นที่นางย้อนกลับมาในอดีตนี้ คืนที่ลู่อู๋เซิงเพิ่งตายจากไป นางกำไข่มุกราตรีเอาไว้แน่น แล้วนอนซุกตัวอยู่ในผ้าห่ม มองดูมันจนผล็อยหลับไป

จากนั้น…นางก็ย้อนกลับมาสิบปีก่อน

นางใจเต้นโครมคราม ระหว่างที่นางกำลังจะไขปริศนาได้นั้น จู่ๆ ไข่มุกราตรีก็สาดประกายแสงแผ่ออกไปนับหมื่นจั้ง ทำให้กลางคืนส่องสว่างดุจกลางวัน

“ตุ้บ…”

 

“คุณหนู? คุณหนู? ท่านตื่นแล้วหรือเจ้าคะ จะให้ข้าเติมถ่านสักหน่อยหรือไม่”

เสียงของสี่เชวี่ยช่างเหมือนนกสี่เชวี่ย* เสียจริง ร้องเจื้อยแจ้วไม่หยุดปาก เสียงลอยมาเข้าหูของนางตลอดเวลา ฟังแล้วรู้สึกคันยุบยิบ

เมื่ออวิ๋นจ้าวพลิกตัวก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่น ยื่นมือออกไปลูบดูก็พบผ้าห่มนุ่มนิ่มสบายตัว นางส่งเสียงงึมงำคำหนึ่ง แต่ทันใดนั้นกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง จึงรีบลุกพรวดขึ้นมานั่ง ผ้าห่มที่คลุมร่างลื่นหลุดลงพื้นไปอย่างเงียบงัน

นางเหลียวซ้ายแลขวาด้วยความประหลาดใจ นี่เป็นเตียงนอนของนางชัดๆ พอเงยหน้ามองออกไป แม้แสงจันทร์จะเบาบาง แต่ก็พอมองออกว่าห้องนี้คือห้องของนาง

หรือเมื่อครู่นี้นางจะฝันไป?

นางไม่ได้ย้อนกลับไปเมื่อสิบปีก่อนกระมัง

อวิ๋นจ้าวรู้สึกยินดีปรีดา เช่นนั้นหมายความว่าท่านย่ายังไม่ตาย! นางรีบก้มลงมองหารองเท้าของตนเอง แทบอยากจะวิ่งไปหาท่านย่าที่ห้องเสียเดี๋ยวนี้ คุยให้ฟังว่านางเพิ่งจะฝันแปลกประหลาดแค่ไหน

นิ้วมือสัมผัสถึงบางสิ่งได้ รองเท้าอยู่ตรงนี้นี่เอง นางหยิบขึ้นมาเตรียมจะสวมใส่ ฉับพลันนิ้วมือก็แข็งค้างในชั่วพริบตา

นอกหน้าต่างแสงจันทร์เบาบาง แต่ดวงดาวกลับพร่างพราวสว่างไสว ตอนนี้นางขยับตัวลุกจากเตียง มองสำรวจข้าวของในห้องอย่างละเอียด รองเท้าในมือเล็กเหลือเกิน

“ตุ้บ…”

รองเท้าหลุดร่วงจากมือหล่นลงพื้น มีเสียงเคาะประตูห้องหนักๆ ดังขึ้นสองครั้ง อวิ๋นจ้าวยกมือที่สั่นเทาลูบใบหน้าตนเอง ผิวพรรณเนียนนุ่มชุ่มชื้น ไม่ใช่นางในวัยผู้ใหญ่เลยสักนิด

ที่แท้เมื่อครู่คือความฝัน

อวิ๋นจ้าวจิตใจสลดหดหู่ลง นางนั่งนิ่งอยู่ตรงขอบเตียง เหม่อมองรองเท้ากลิ้งไปบนพื้น แล้วถอนสายตากลับมา ก้มมองเท้าที่ทั้งเนียนละเอียดและขาวสะอาด นี่เป็นเท้าของเด็กสาวแรกรุ่น

นางเอนหลังนอนลงไป สภาพจิตใจราวกับจมดิ่งสู่ยมโลก รู้สึกหมดสิ้นเรี่ยวแรง

“คุณหนู คุณหนู” อาจเป็นเพราะเนิ่นนานก็ยังไม่มีเสียงตอบกลับ คนนอกประตูห้องจึงพึมพำว่า “คงจะนอนละเมออีกเป็นแน่”

เสียงที่เอ่ยออกมาฟังดูแผ่วเบา แต่อวิ๋นจ้าวกลับได้ยินชัดเจนทุกถ้อยคำ นางค่อยๆ ลืมตาขึ้น เมื่อตอนกลางวันสี่เชวี่ยร้องไห้จนกลายเป็นมนุษย์น้ำตา น่าจะร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไปหมดแล้ว ทว่าเมื่อครู่กลับกังวานใสเป็นปกติ

นางขยับลุกขึ้นนั่งช้าๆ กระทั่งรองเท้าก็ไม่ยอมสวม จู่ๆ นางก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าชั่วอึดใจเดียวก็ถลามาถึงหน้าประตูแล้ว พอกระชากประตูเปิดออกก็ทำให้บ่าวไพร่ที่เฝ้าอยู่ข้างนอกสะดุ้งตกใจ

สี่เชวี่ยติดตามอยู่ข้างกายอวิ๋นจ้าวมาตั้งแต่เล็ก จึงขาดความสำรวมระวังระหว่างนายบ่าวไปหลายส่วน ตอนนี้นางอดต่อว่าไม่ได้ “คุณหนู ท่านสะเพร่าเลินเล่อเช่นนี้อยู่เรื่อย ประเดี๋ยวฮูหยินก็ดุท่านอีกหรอก ดูสิเจ้าคะ แม้แต่รองเท้าก็ไม่ได้สวมหรือนี่!”

สี่เชวี่ยหน้าเปลี่ยนสีโดยพลัน ทั้งผลักทั้งเกลี้ยกล่อมให้คุณหนูกลับเข้าห้อง ทั้งยังรีบหาผ้ามาห่อเท้าให้

อวิ๋นจ้าวมองสี่เชวี่ยที่ยังไม่ได้สวมชุดไว้ทุกข์ เหลือบมองระเบียงทางเดินข้างนอกก็ไม่เห็นว่ามีผ้าแพรสีขาวห้อยประดับ นางนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ คว้าไหล่สี่เชวี่ยไว้แล้วเอ่ยถามว่า “ข้าอายุเท่าไร”

สี่เชวี่ยหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เห็นคุณหนูมีท่าทีจริงจังจึงตอบว่า “ท่านอายุสิบสี่แล้วเจ้าค่ะ! เหลืออีกเดือนเดียวก็จะปักปิ่น สามารถเกล้ามวยผมสวยๆ ได้แล้ว”

อวิ๋นจ้าวรู้สึกเหมือนลิ้นจุกปาก “แล้ว…แล้ววันนี้วันที่เท่าไร เดือนอะไร”

สี่เชวี่ยคิดว่านางควรไปเชิญท่านหมอเฉิงมาตรวจอาการคุณหนูสักหน่อยแล้ว ไม่สิ ท่านหมอเฉิงมีธุระออกไปข้างนอก ตอนนี้เขาไม่อยู่ในคฤหาสน์ พอได้สติกลับมาก็ตอบว่า “ตอนนี้ผ่านยามจื่อ* ไปแล้ว วันนี้ก็เป็นวันที่แปดเดือนสิบสองแล้วเจ้าค่ะ”

พอกล่าวจบก็เห็นคุณหนูของตนมีสีหน้าตะลึงงันราวกับคนไร้วิญญาณก็ไม่ปาน จึงเริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดแปลกไป เตรียมลุกขึ้นจะไปแจ้งฮูหยิน ไม่คิดว่าจะได้ยินอวิ๋นจ้าวหัวเราะเสียงดังกังวาน เป็นเสียงหัวเราะที่ดังออกมาเต็มปอด สี่เชวี่ยไม่เคยได้ยินนางหัวเราะเช่นนี้จึงตกใจจนทำอะไรไม่ถูก

“คุณหนู ท่านอย่าทำให้ข้าตกใจสิเจ้าคะ”

อวิ๋นจ้าวกลับระงับความยินดีครั้งใหญ่นี้เอาไว้ไม่อยู่ เพราะนางเข้าใจกระจ่างเรื่องหนึ่ง

นางย้อนกลับมาสิบปีก่อนอีกครั้งแล้ว! วันที่แปดเดือนสิบสองเมื่อสิบปีก่อน!

ตอนนี้ท่านย่ายังไม่ตาย พวกเขายังไม่ล่วงเกินติ้งเป่ยโหว ทุกสิ่งทุกอย่างย้อนกลับไปอยู่ที่จุดเดิมของมัน

ที่แท้เรื่องราวที่ผ่านมานั้นนางไม่ได้ฝันไป แต่นางย้อนเวลากลับมาเมื่อสิบปีก่อนจริงๆ ทั้งยังย้อนกลับมาครั้งที่สองแล้ว

เช่นนั้นตัวนางในตอนนี้ก็ราวกับมีดวงวิญญาณผู้หยั่งรู้ประทับร่าง รู้เรื่องราวที่คนอีกมากมายล้วนไม่รู้

สี่เชวี่ยเนื้อตัวสั่นระริกขณะมองคุณหนูของนางหัวเราะไม่ยอมหยุด คิดอย่างจริงจังว่าคนที่นางต้องไปหามิใช่หมอเทวดา แต่เป็นนักพรต!

“สี่เชวี่ย เจ้าไปที่ห้องครัวหน่อย”

สี่เชวี่ยตั้งสติได้ “หา อ้อๆ คุณหนูหิวแล้วสินะเจ้าคะ”

“ไม่ใช่” อวิ๋นจ้าวตบไหล่ของสี่เชวี่ย ดวงตาสองข้างโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม นัยน์ตาสดใสมีแสงดาวพร่างพราวจนยากจะอำพราง “เจ้าไปบอกพ่อครัวด้วย ให้เขาเคี่ยวโจ๊กให้เละกว่าเดิม โดยเฉพาะ…เมล็ดซิ่ง”

 

โจ๊กล่าปาเมื่อเคี่ยวนานกว่าเดิม รสชาติยิ่งหอมหวาน พอตักเข้าปากแล้วก็ละลาย ฮูหยินผู้เฒ่ากินไปถึงสองชาม เอ่ยชื่นชมไม่ขาดปาก “อายุมากแล้ว ฟันไม่ค่อยจะดี โจ๊กวันนี้เคี่ยวเละกำลังดี ดีมากจริงๆ”

อวิ๋นฮูหยินยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ได้ยินว่าอวิ๋นเอ๋อร์สั่งกำชับห้องครัวเป็นพิเศษ ให้เคี่ยวโจ๊กให้เละกว่าเดิมเจ้าค่ะ”

นายท่านอวิ๋นขมวดคิ้ว “น่าแปลกนัก เหตุใดเจ้าถึงไปยุ่งเรื่องในครัวได้”

อวิ๋นจ้าวตื่นเต้นยินดีจนหลับตาไม่ลงทั้งคืน จนถึงตอนนี้ก็ยังมีสีหน้าสดชื่นแจ่มใส นางอดยิ้มอย่างมีเลศนัยไม่ได้ “กลัวว่าพ่อครัวจะต้มโจ๊กไม่เละพอ จนกินแล้วปวดฟันน่ะสิเจ้าคะ”

นายท่านอวิ๋นเหลือบมองนางแวบหนึ่ง ไม่เข้าใจว่าเหตุใดบุตรสาวจึงมีท่าทีลับลมคมในเช่นนี้

อวิ๋นจ้าวจิตใจเบิกบานอย่างที่สุด กินโจ๊กรวดเดียวถึงสามชามติดกัน พอลุกขึ้นถึงได้รู้สึกว่าอิ่มจนแน่นท้อง นางเตรียมลุกขึ้นออกไปเดินเล่นข้างนอก และจะได้ไปหาลู่อู๋เซิงด้วย

ในเมื่อทุกอย่างย้อนกลับคืนมาได้ ก็ไม่มีอะไรต้องหวาดกลัวแล้ว

“อวิ๋นเอ๋อร์” ฮูหยินผู้เฒ่าเรียกนางไว้แล้วกล่าวว่า “วันนี้อากาศดีไม่น้อยเลย อีกประเดี๋ยวเจ้าไปไหว้พระที่วัดวั่นซานเป็นเพื่อนย่าเถอะ”

อวิ๋นจ้าวชะงักไปเล็กน้อย เมื่อคืนนางพยายามทบทวนเรื่องทั้งหมดในวันที่แปดเดือนสิบสองที่นางเคยผ่านมาเมื่อตอนอายุสิบสี่ เลี่ยงไม่ให้พอย้อนกลับมาแล้วทำอะไรพังอีก แต่เวลาก็ผ่านมานานแล้ว นางจึงจดจำเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดไม่ได้

นางจำได้แค่ว่านับจากวันที่ตนเองปรากฏตัวขึ้นจากการย้อนเวลาเมื่อครั้งก่อน ท่านย่าของนางก็ต้องปวดฟันเพราะเมล็ดซิ่ง

แต่…แต่ตอนนี้ท่านย่าปลอดภัยดี ทั้งยังจะเปลี่ยนไปไหว้พระอีก คงไม่น่าเกิดเรื่องอะไรหรอกกระมัง

อวิ๋นจ้าวโบกไม้โบกมือปฏิเสธอยู่ในใจ ยังจะมีเรื่องอะไรได้ ก็แค่ไหว้พระมิใช่หรือ นางจึงตอบรับด้วยความยินดี และบอกว่าอีกครึ่งชั่วยามจะกลับมา นางถึงได้ออกจากบ้านไปหาลู่อู๋เซิง

หากให้ไปพบเขาเมื่อ ‘หลายวันก่อน’ อวิ๋นจ้าวคงจะยังรู้สึกอึดอัดลังเลใจอยู่บ้าง ทว่าวันนี้นางไม่รู้สึกอะไรแล้ว นางกลัวแค่ว่าการไปปรากฏตัวต่อหน้าเขาอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ จะทำให้เขาคิดว่านางโดนปีศาจเข้าสิงร่างหรือไม่ เพราะนอกจากจะไม่โกรธเขาแล้ว นางยังอยากจะขอคืนดีอีกด้วย

พอใกล้จะถึงจวนสกุลลู่ ฝ่ามือของอวิ๋นจ้าวก็มีเม็ดเหงื่อไหลซึมออกมา นางลองนับนิ้วคำนวณเวลาดูแล้ว เขาคงใกล้ออกจากบ้านเต็มที อีกครู่หนึ่งนางจะกระโดดไปหยุดอยู่ตรงหน้ารถม้า โดยไม่สนว่าเขาจะตกตะลึงแค่ไหน นางจะต้องลากเขาลงจากรถให้ได้ เพื่อแสดงความจริงใจให้เขาเห็น

ระหว่างที่เดินครุ่นคิดอยู่นั้น นางกำลังเดินจากถนนใหญ่เข้าตรอกแห่งหนึ่ง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงคนเรียก

“แม่นางอวิ๋น”

อวิ๋นจ้าวเหลียวมองตามเสียง ชายหนุ่มอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปียืนห่างออกไปครึ่งจั้ง ใบหน้าแสดงความรู้สึกเหลือเชื่ออย่างชัดเจน ราวกับว่าการปรากฏตัวของนางน่าประหลาดใจเป็นที่สุด

แน่นอนนางรู้ว่าเขาประหลาดใจเรื่องอะไร

“คุณชายซ่ง”

ซ่งโหย่วเฉิงเดินมาข้างหน้าอีกหลายก้าว เอ่ยถามว่า “เหตุใดเจ้าถึงมาที่นี่ได้เล่า หรือว่า…เจ้าอยากจะไปหาพี่ลู่?”

“ใช่ ข้าจะไปหาเขา”

น้ำเสียงของนางสงบเยือกเย็น ยิ่งทำให้ซ่งโหย่วเฉิงรู้สึกผิดแปลก เขาสังเกตท่าทางของนางอยู่หลายรอบ “ไม่กี่วันก่อนเจ้ายังบอกเขาว่าต้องการตัดขาดเยื่อใยไมตรีกับเขาอยู่เลย เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเขากอดสตรีนางอื่น”

อวิ๋นจ้าวไม่ได้ลืม แม้ยามนั้นนางจะโกรธลู่อู๋เซิงจนไม่อยากจะเห็นหน้าเขาอีก แต่ไม่ใช่เพราะวันนั้นเห็นเขาโอบกอดสตรีท่าทางฉอเลาะนางหนึ่งเดินมาด้วยกัน ตอนนั้นนางยังคิดว่าเขาจะต้องมีเหตุผลอะไรแน่ พอจะไปสอบถามเขา เขากลับไม่อยู่บ้าน นางจึงส่งจดหมายไปนัดพบฉบับหนึ่ง ทว่าเขากลับตอบจดหมายมาว่าไม่อยากพบ โดยไม่มีคำอธิบายอะไรเลยแม้แต่น้อย

แต่พอนางใคร่ครวญจากเหตุการณ์เมื่อ ‘ไม่กี่วันก่อน’ ลู่อู๋เซิงหาใช่คนแล้งน้ำใจ ระหว่างนางและเขาจะต้องมีเรื่องที่เข้าใจผิดกันแน่ นางจึงยินดีจะฟังเขาอธิบาย วันนี้ถึงได้มาพบเขาที่บ้าน

ไม่คิดว่าเพิ่งจะมาถึงที่นี่ก็ได้พบซ่งโหย่วเฉิง สหายสนิทร่วมสำนักของลู่อู๋เซิงโดยบังเอิญ ซึ่งเขาเป็นคนส่งจดหมาย และนำจดหมายตอบกลับมาให้นางในวันนั้นเอง

ซ่งโหย่วเฉิงกล่าวว่า “วันนี้พี่ลู่ไม่อยู่ ข้าเพิ่งไปที่จวนสกุลลู่มา เขาจะออกไปข้างนอกพอดี”

อวิ๋นจ้าวนิ่งเงียบไป เงยหน้ามองเขา หากเป็นเมื่อก่อนนางจะต้องเชื่อเขาแน่นอน แต่เมื่อนางนับนิ้วคำนวณเวลาดูแล้ว เทียบกับคราวก่อนที่นางกลับมา ยามนี้ยังเร็วกว่าเดิมถึงหนึ่งเค่อ เวลานั้นต่างหากที่ลู่อู๋เซิงจะออกจากบ้าน ฉะนั้น…เพราะเหตุใดซ่งโหย่วเฉิงถึงต้องหลอกนางด้วย

“เพิ่งจะออกไปสินะ เช่นนั้นวันอื่นข้าค่อยมาใหม่” อวิ๋นจ้าวเดินไปได้สองสามก้าวก็หยุดฝีเท้าแล้วหันกลับมา “แต่คุณชายซ่งไม่ใช่เพิ่งเดินมาจากทางตะวันออกเฉียงใต้หรือ ดูเหมือนกำลังไปที่จวนสกุลลู่เช่นกันใช่หรือไม่”

ซ่งโหย่วเฉิงหัวเราะเบาๆ “เดิมทีเดินจากไปแล้ว แต่เห็นเจ้าเดินมาทางนี้ ข้าก็เลยตามมาด้วย จริงสิ วันนี้อากาศแจ่มใสนัก ได้ยินว่าหอไป่เป่าเพิ่มรายชื่ออาหารชนิดใหม่ ไม่สู้ไปลิ้มลองดูสักหน่อย ข้าไม่ลืมหรอกนะว่า การลิ้มลองชาและอาหารเลิศรสเป็นหนึ่งในความชอบของเจ้า”

อวิ๋นจ้าวรู้สึกประหลาดใจอย่างมากที่ซ่งโหย่วเฉิงพยายาม ‘ขัดขวาง’ ไม่ให้นางกับลู่อู๋เซิงพบหน้ากันถึงเพียงนี้ จึงตัดสินใจไม่ไปหาลู่อู๋เซิงแล้ว วันเวลายังอีกยาวไกล นางไม่จำเป็นต้องรีบร้อน

นางกับซ่งโหย่วเฉิงเพิ่งจะเดินจากไป ประตูใหญ่จวนสกุลลู่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดก่อนจะแง้มเปิด มีชายหนุ่มอายุสิบเจ็ดสิบแปดปี ใบหน้าหล่อเหลาคมคายผู้หนึ่งเดินออกมา

เด็กรับใช้คนหนึ่งวิ่งตามออกมาจากข้างใน เหลียวซ้ายแลขวาแล้วหันกลับไปกล่าวว่า “คุณชาย รถม้ายังไม่มาเลยขอรับ ข้าจะไปเร่งที่คอกม้าให้เอง นับวันดูจะเหลวไหลขึ้นทุกทีแล้ว”

ลู่อู๋เซิงยืนนิ่งเอาสองมือไพล่หลัง สายตาจ้องมองไปที่ตรอกฝั่งตรงข้าม

ปรากฏว่ายังไม่เห็นเงาของนางอย่างที่คาดไว้ สาวน้อยที่ชอบมาเกาะกำแพงอยู่ตรงนั้นประจำ

ดวงอาทิตย์สว่างเจิดจ้า สายลมหนาวโชยพัดมาเบาๆ ทำให้เงาร่างที่ทอดยาวบนพื้นสั่นไหว ราวกับเผยให้เห็นได้ถึงความเศร้าโศกอยู่หลายส่วน

“คุณชาย รถม้ามาแล้ว”

ลู่อู๋เซิงหลุดจากภวังค์ พยักหน้ารับรู้ “ไปวัดวั่นซาน พบใต้เท้าลิ่น”

วันที่แปดเดือนสิบสองนี้ แม้แต่ของหวานในหอไป่เป่าก็ยังเป็นขนมที่ทำจากธัญญาหารจำพวกถั่วหลากชนิด อวิ๋นจ้าวชิมไปสองชิ้น รสชาติสมกับเป็นร้านเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงมานับร้อยปี อาหารและขนมที่คิดค้นขึ้นมาใหม่ไม่เคยทำให้ผู้คนต้องผิดหวัง

“ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าชอบกินขนมพวกนี้ กินให้มากหน่อยล่ะ” ซ่งโหย่วเฉิงยกตะเกียบคีบขนมอบให้นางอีกชิ้น แล้วกล่าวว่า “ข้าก็ไปลิ้มลองอาหารร้านโน้นร้านนี้อยู่บ่อยๆ เพื่อดูว่ามีอาหารแปลกใหม่บ้างหรือไม่”

“มิน่าเล่าท่านถึงไปหาข้ากับลู่อู๋เซิงอยู่บ่อยๆ” อวิ๋นจ้าวกัดขนมอบเต็มคำ รสชาติหวานละมุนกระจายทั่วปาก รอเขารินน้ำชาให้แล้ว นางก็รู้สึกสะดุดใจกับอะไรบางอย่าง

ประโยคนี้ของซ่งโหย่วเฉิงฟังแล้วผิดปกติยิ่งนัก

นางช้อนตาขึ้นมองเขา เห็นว่าบุรุษตรงหน้ามีแววตากระตือรือร้น แฝงด้วยความเร่าร้อนอย่างบอกไม่ถูก มองเสียจนโคมไฟในสมองนางส่งเสียง ‘ฟู่’ ฉับพลันก็สว่างวาบ ขนมอบที่ค้างอยู่ในลำคอกลืนยากขึ้นมาทันที เหตุใดนางถึงได้โง่งมเช่นนี้ ซ่งโหย่วเฉิงผู้นี้ชอบนางอยู่แน่นอน!

เขาเป็นสหายร่วมสำนักของลู่อู๋เซิง นับว่ารู้จักกับนางมานานกว่าแปดปีแล้ว เวลาออกไปท่องเที่ยวกัน ฤดูร้อนเขาก็จะมีร่มมาเผื่อ ฤดูหนาวเขามีเตาอุ่นเล็กๆ มาให้ ที่ใดมีอาหารเลิศรสก็จะรีบมาบอกนางอยู่เสมอ ออกเดินทางไปเรียนหนังสือต่างเมืองก็มักจะนำของเล่นท้องถิ่นที่น่าสนใจมาฝาก

นางนับถือเขาเสมือนเป็นพี่ชายมาโดยตลอด และคิดว่าในสายตาเขา นางก็คือน้องสาวหรือไม่ก็เป็นสหายสนิทผู้หนึ่ง แต่มาวันนี้นางไม่ใช่สาวน้อยอีกแล้ว แววตาประเภทนี้เพียงแวบเดียวนางก็มองได้ทะลุปรุโปร่ง

พอคิดว่ารับน้ำใจจากเขาโดยไม่รู้ตัวมานานหลายปี ความรู้สึกในใจอวิ๋นจ้าวจึงผสมปนเปกันไปหมด ขนมอบค้างอยู่ที่ลำคอ ทำอย่างไรก็กลืนไม่ลงแล้วจริงๆ

ซ่งโหย่วเฉิงเห็นสีหน้านางไม่ค่อยดี จึงกระซิบถามว่า “เป็นอะไรไป แม่นางอวิ๋น”

“ไม่มีอะไร” อวิ๋นจ้าวรู้แก่ใจดีว่าไม่อาจมีความเกี่ยวข้องใดๆ กับเขา นางอยากแต่งงานกับลู่อู๋เซิง เช่นนั้นก็ไม่ควรสนิทกับสหายของเขาจนเกินพอดี มิฉะนั้นจะไม่เหลวไหลไปกันใหญ่หรือ นางจิบน้ำชาคำหนึ่งพอให้คล่องคอก่อนจะกล่าวว่า “ข้ายังต้องไปไหว้พระที่วัดกับท่านย่าอีก ต้องขอตัวก่อนแล้ว”

ซ่งโหย่วเฉิงรีบเอ่ยว่า “แต่เจ้ายังไม่ได้ชิมอาหารเลิศรสเลย”

“ไม่กินแล้ว” อวิ๋นจ้าวกำลังจะจากไป หางตาก็เหลือบไปเห็นเขามีสีหน้าเศร้าหมอง คล้ายอยากจะเอ่ยแต่ก็ไม่ยอมเอ่ยออกมา จึงคิดว่าจากไปทั้งแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับจงใจหลบเลี่ยงเขา เหมือนตัดบัวแล้วยังเหลือใย ไม่สู้ดาบเดียวขาดสะบั้น อย่าให้เขามีความคิดฟุ้งซ่านต่อไปอีกจะดีกว่า

ซ่งโหย่วเฉิงเห็นนางยอมนั่งต่อก็รู้สึกดีใจ จิตใจที่ว้าวุ่นถูกนางฉุดรั้งขึ้นลงได้อย่างง่ายดาย รูปโฉมไม่จัดว่าหล่อเหลาโดดเด่นยามนี้กลับมีดวงตาเปล่งประกายระยิบระยับ อวิ๋นจ้าวมองหน้าเขาและตัดสินใจอย่างเด็ดขาด “คุณชายซ่ง ความจริงข้าไม่อยากไปวัดกับท่านย่าหรอก แต่ข้าอยากไปหาลู่อู๋เซิงมากกว่า”

ซ่งโหย่วเฉิงชะงักงัน “ข้านึกว่าแม่นางอวิ๋นจะแตกต่างจากสตรีบ้านอื่นเสียอีก เจ้าเคยบอกเอาไว้ว่าเจ้าไม่ชอบบุรุษที่มีสามภรรยาสี่อนุ ต้องการคนที่เป็นอย่างท่านพ่อของเจ้า แต่ไม่คิดเลย ทั้งที่พี่ลู่แอบมีความสัมพันธ์กับสตรีอื่นแล้ว เจ้าก็ยังไม่ถือสา ยังคิดจะกลับไปหาเขา?”

“เรื่องนี้จะต้องมีความเข้าใจผิดเป็นแน่” อวิ๋นจ้าวตอบ “ข้าถึงอยากไปถามเขาตรงๆ ให้รู้เรื่อง”

ซ่งโหย่วเฉิงแสดงสีหน้ารังเกียจทันที “แต่เขาตอบจดหมายเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ บอกว่าไม่ชอบให้เจ้าเข้ามาพัวพันวุ่นวาย ต้องการจะตัดสัมพันธ์ หากวันนี้เจ้ายังไปหาเขาอีก คิดจะย่ำยีศักดิ์ศรีของตัวเองไปถึงไหนกัน”

อวิ๋นจ้าวรู้สึกตกใจอยู่บ้าง นางพอรู้ว่าซ่งโหย่วเฉิงมีนิสัยอย่างไร เขาเป็นคนขี้อาย ไม่เคยพูดจาหยาบคาย ทว่าวันนี้เขาแตกต่างจากซ่งโหย่วเฉิงที่นางรู้จักโดยสิ้นเชิง นางเข้าใจอีกเรื่องแล้ว นี่คงเป็นความอิจฉาและหึงหวงกระมัง

“มีบางเรื่องที่ข้าไม่สะดวกจะพูดกับท่าน แต่ว่าข้าเชื่อใจเขา ทั้งหมดนี้จะต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดแน่” อวิ๋นจ้าวเห็นว่าเวลาไม่คอยท่า นางต้องไปไหว้พระที่วัดวั่นซานกับท่านย่าแล้ว จึงลุกขึ้นขอตัวกลับ ก่อนจะเดินจากมาก็เห็นสีหน้าซ่งโหย่วเฉิงทั้งบึ้งตึงและจนใจ นางเองก็รู้สึกผิด ต้องโทษที่ไม่เคยสังเกตว่าเขาชอบนางมาก่อน จึงไม่ได้ตัดความคิดฟุ้งซ่านของเขาตั้งแต่เนิ่นๆ

ใครใช้ให้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ในสายตาของนางมีแต่ลู่อู๋เซิงคนเดียว จนมองไม่เห็นความดีของคนอื่นกันเล่า

เมื่อเดินออกมาจากหอไป่เป่า เห็นว่าใกล้ได้เวลาไปวัดกับท่านย่าแล้ว นางคงไปหาเขาไม่ทัน ยิ่งนางไม่รู้ว่าเขาออกจากบ้านไปที่ใดด้วย อย่างไรก็กลับบ้านไปก่อน ไปวัดวั่นซานกับท่านย่าดีกว่า รอให้ไหว้พระเสร็จแล้ว ค่อยมาหาเขาอีกครั้ง

บทที่ 4

 วัดวั่นซานตั้งอยู่บนเขาสูงอยู่ห่างจากเมืองหลวงออกไปสี่ลี้ ภูเขาลูกนี้สูงร่วมร้อยจั้ง วัดตั้งอยู่ตรงกึ่งกลาง มีหมอกสีขาวปกคลุมตลอดทั้งปี ประดุจมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยคุ้มครอง และเนื่องจากที่นี่ทุกคำอธิษฐานล้วนเป็นจริงสมดังหวัง ฉะนั้นควันธูปบนกระถางสามขาจึงไม่เคยจางหาย ควันจากธูปเปรียบได้กับหมอกสีขาวที่โอบล้อมภูเขาเลยทีเดียว

อวิ๋นจ้าวไม่ชอบเดินขึ้นเขา นางมักจะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยยิ่ง เมื่อก่อนเคยเดินขึ้นเขามาครั้งหนึ่ง พอเดินไปจนถึงยอดสูง ทอดสายตามองแนวเทือกเขา ได้ชมอาทิตย์ยามเช้าแล้ว ในใจกลับไร้ความรู้สึกใด รับรู้เพียงแค่ว่าแขนขาสี่ข้างล้วนอ่อนล้า พอคิดถึงเส้นทางลงเขาก็หมดอารมณ์จะชื่นชม มีแต่ความหงุดหงิดรำคาญใจ

หลังจากนั้นมานางก็ไม่ไปปีนเขาสูงอีก ไม่ขัดเกลา หรือบ่มเพาะคุณธรรมอะไรทั้งสิ้น

พอเดินมาได้แค่ครึ่งทาง นางก็ร้องบอกว่าเหนื่อยแล้ว นึกเสียใจนักที่มาที่นี่ ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ายังคงสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ด้วยคิดว่าการมาไหว้พระต้องมีความตั้งใจจริงจึงไม่ได้สั่งให้หยุด พอเห็นว่าหลานสาวทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ก็เอ่ยว่า “เจ้าเดินช้าหน่อยเถอะ ไม่ทำให้เสียเรื่องหรอกนะ”

อวิ๋นจ้าวอยากจะกลิ้งลงเขากลับบ้านไปให้สิ้นเรื่องสิ้นราว แต่เมื่อท่านย่ากล่าวเช่นนี้ นางก็ฝืนผงกศีรษะรับปาก ได้แต่พาสี่เชวี่ยแยกตัวออกมา มองตาปริบๆ ดูพวกท่านย่าเดินล่วงหน้าไปก่อน ส่วนนางก็เดินไปอย่างเชื่องช้าราวกับวัวตัวหนึ่ง

เดินไปได้อีกสิบกว่าขั้น ระหว่างที่อวิ๋นจ้าวกำลังหายใจหอบก็นึกขึ้นได้เรื่องหนึ่งจึงกล่าวว่า “สี่เชวี่ย ต่อไปนี้หากข้าไม่ได้สั่งอะไร เจ้าก็ห้ามเอาเรื่องของข้าไปบอกใคร ต่อให้เป็นท่านย่า ท่านพ่อท่านแม่ก็ไม่ได้ ได้ยินหรือไม่”

สี่เชวี่ยไม่เข้าใจว่าเหตุใดคุณหนูของตนถึงเอ่ยขึ้นมาเช่นนี้ ก่อนที่นางจะตกใจจนยกมือมาปิดปากไว้ “คุณหนู ข้าจะไม่บอกเรื่องของท่านกับใคร และไม่กล้าบอกด้วย เป็นเพราะว่าใครปากพล่อยบอกว่าข้านำเรื่องของท่านไปพูดหรือ”

อวิ๋นจ้าวปรายตามองสี่เชวี่ย หากไม่ใช่เพราะนางปากไวใน ‘หนก่อน’ ท่านย่าของนางก็คงไม่ต้องผูกคอตาย กระทั่งบีบให้นางต้องย้อนกลับมาอยู่ในวันล่าปาซ้ำอีกรอบเช่นนี้ แม้ว่าสี่เชวี่ยจะไม่ได้เจตนา แต่เพื่อเลี่ยงไม่ให้วันหน้าเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก นางต้องเตือนเอาไว้สักหน่อย

นางไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้ย้อนกลับไปอีกสักกี่ครั้ง แต่ในเมื่อเห็นว่าคอกแพะเสียหายจึงรีบซ่อมแซม*อย่างทันท่วงที จะได้ไม่เกิดเรื่องขึ้นมาได้อีก

“ไม่มีใครปากพล่อยหรอก เจ้าจำเอาไว้ก็พอแล้ว”

แม้ในใจสี่เชวี่ยจะมีข้อสงสัย แต่ก็ยังรับปากอย่างแข็งขัน

อวิ๋นจ้าวสั่งกำชับเรื่องนี้แล้วค่อยรู้สึกว่าจิตใจที่ว้าวุ่นมาหลายวันเริ่มสงบลงได้สักที นางยกชายกระโปรงก้าวเดินต่อไป เพียงแค่ผ่อนฝีเท้าช้าลงเท่านั้น

“คุณหนู” สี่เชวี่ยเงยหน้ามองขึ้นไปข้างบน “นั่นคุณชายลู่ใช่หรือไม่เจ้าคะ เช่นนั้นพวกเราก็เดินช้าลงอีกหน่อย จะได้ไม่ต้องพบหน้ากัน”

สี่เชวี่ยเอาใจใส่คิดแทนคุณหนูของตน แต่ไม่คาดคิดว่าพออวิ๋นจ้าวเห็นลู่อู๋เซิง ดวงตาสองข้างจะเปล่งประกายวาววับ เดิมทีความเร็วในการเดินที่มิต่างจากหนอนคืบคลาน จู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นรวดเร็วดุจนกโผทะยาน ก้าวพรวดขึ้นบันไดไปสองขั้นในคราวเดียว สี่เชวี่ยเห็นเข้าก็แทบจะเป็นลม เร่งติดตามไปด้วยความเขินอายและร้อนใจ “คุณหนู! คุณหนู! ช้าลงหน่อยเจ้าค่ะ! ก้าวช้าๆ หน่อย!”

อวิ๋นจ้าวมีหรือจะได้ยิน นางวิ่งหน้าตั้งขึ้นไปข้างบนแล้ว

จังหวะฝีเท้าของลู่อู๋เซิงไม่ได้เร็วนัก เขาเพิ่งจะเอ่ยทักทายฮูหยินผู้เฒ่า ด้วยรู้ดีว่าอวิ๋นจ้าวไม่ชอบเดินขึ้นเขา จึงไม่คิดว่านางจะตามมาด้วย ทว่าตอนนี้กลับมีเสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยลอยมาให้ได้ยิน หัวใจพลันสั่นไหว หันกลับไปมองจึงเห็นนางจับชายกระโปรงเดินปรี่ตรงมา การเคลื่อนไหวรวดเร็วราวกับขี่เมฆเหาะมาอย่างไรอย่างนั้น

ไม่พบหน้ากันหลายวัน นางดูสดชื่นแจ่มใสเหมือนเช่นวันวาน เขาอดลูบใบหน้าตนเองไม่ได้ ก่อนจะพบว่าผอมลงเล็กน้อย

สาวน้อยใจร้ายผู้นี้ ไมตรีที่มีต่อกันเนิ่นนานกว่าสิบปี เพียงแค่บอกว่าตัดก็ตัดได้ บอกว่าวางก็วางได้ แล้วอีกประเดี๋ยวก็ดูร่าเริงขึ้นมา กระทั่งความเศร้าเสียใจยังไม่หลงเหลืออยู่เลย

เขาไม่ขยับเขยื้อนไปที่ใด ยืนขวางอยู่กลางทางมองดูนาง หากนางเดินขึ้นมาโดยไม่มองทางเป็นต้องชนเขาแน่ อย่างน้อยเขาจะได้มีข้ออ้างคุยกับนางสักสองสามประโยค ทว่าขอแค่เปิดปาก เกรงว่านางคงต่อว่าเขาก่อนแล้ว คงบอกว่าเขาผอมแห้งเกินไป กระดูกปูดโปนชนนางจนเจ็บไปหมด

นางไม่ใช่คนเอาแต่ใจไร้เหตุผลเช่นนี้หรอกหรือ

ขั้นบันไดทอดตัวยาวเหยียด ผู้คนแน่นขนัดอยู่ทั้งสองข้างทาง ต่างเดินสวนกันไปมา สตรีที่สวมเสื้อคลุมกันลมสีแดงนางนั้นวิ่งฝ่าผู้คนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เสียงฝีเท้าดังชัดเจนเป็นพิเศษ เวลานี้ลู่อู๋เซิงเข้าใจแล้วว่าอะไรคือ ‘ท่ามกลางคนนับพันนับหมื่นมีเจ้าเพียงหนึ่งเดียวในใจ’ มีคนมากมายขนาดนั้นแล้วแท้ๆ ทว่าเขายังคงได้ยินเสียงฝีเท้านางได้ในทันที

เหลืออีกห้าก้าวนางก็จะเดินมาชนเขาแล้ว ลู่อู๋เซิงก็ยังไม่ขยับไปที่ใด จนกระทั่งขาดอีกแค่เพียงก้าวเดียวจู่ๆ นางก็หยุดฝีเท้า มีแต่กระแสลมวูบผ่าน ลู่อู๋เซิงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ขณะกำลังจะหลีกทางให้ นางก็เงยหน้าขึ้นอย่างฉับพลัน “ลู่อู๋เซิง”

เขาชะงักไป มองนางที่หน้าผากมีหยาดเหงื่อไหลซึม เกือบจะยกมือเช็ดให้อยู่แล้ว เขาพยักหน้า “อืม”

หลังจากใกล้ชิดกันอีกครั้งเมื่อ ‘ไม่กี่วันก่อน’ อวิ๋นจ้าวก็ไม่มีท่าทีอึดอัดใจแล้ว น้ำเสียงจริงจังเอ่ยว่า “ข้ามีเรื่องจะพูดกับท่าน”

ลู่อู๋เซิงรู้สึกแปลกใจอย่างที่สุด ไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางจึงเปลี่ยนนิสัยไปอย่างกะทันหัน “เจ้าว่ามาสิ”

“ข้า…”

“อวิ๋นเอ๋อร์” เมื่อครู่นี้ฮูหยินผู้เฒ่าพบลู่อู๋เซิง ยังหวาดหวั่นเหมือนหัวใจแขวนอยู่บนเส้นด้าย กลัวว่าหลานสาวจะเห็นหน้าเขา พอหันหน้ากลับมามอง เห็นตอนนี้ทั้งสองคนพบหน้ากันตรงๆ จิตใจยิ่งตึงเครียด กลัวว่าหลานสาวจะอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก นางจึงรีบหันขวับกลับมา

นางเดินอย่างรีบร้อน กระทั่งหวุดหวิดจะล้มลง อวิ๋นจ้าวจึงตรงเข้าประคองฮูหยินผู้เฒ่าด้วยความตกใจ พลางหันไปถลึงตาใส่พวกบ่าวไพร่ที่ยืนอึ้งอยู่ “ทำไมไม่ประคองท่านย่าไว้ หากท่านย่าล้มไปจะทำอย่างไร”

พวกบ่าวพากันเข้ามาประคอง ฮูหยินผู้เฒ่ากลับโบกมือปฏิเสธ “นิสัยขี้โมโหของเจ้านี่ต้องเปลี่ยนเสียหน่อยแล้ว”

“ไม่เปลี่ยนหรอกเจ้าค่ะ มีส่วนใดต้องเปลี่ยนกัน” อวิ๋นจ้าวพึมพำคำหนึ่ง แล้วก็หันไปมองลู่อู๋เซิงโดยไม่เอ่ยอะไรสักคำ จนกระทั่งขณะที่จะเดินผ่านไป ถึงขยับเข้าไปใกล้พลางกระซิบบอกว่า “ไปวัดแล้วค่อยคุยกัน”

เส้นผมยาวสลวยของสาวน้อยหลุดร่วงปลิวไสวตามแรงลม ปัดผ่านลำคอขาวหมดจดของชายหนุ่ม ยั่วเย้าจนเขารู้สึกคันคอยุบยิบ เขาเหลียวหน้ามองตามไปช้าๆ กลิ่นหอมรวยรินเฉพาะตัวของนางยังเจือจางอยู่ในสายลมหนาว มองเห็นเพียงเงาร่างอรชร

เด็กรับใช้เห็นเขามีสีหน้าตะลึงงัน ในใจแอบคิดแทนนายว่าช่างไม่คุ้มค่าเสียเลย “คุณหนูอวิ๋นเห็นคุณชายเป็นอะไร ชมชอบก็เข้าหา รังเกียจก็ละทิ้ง ก่อนหน้านี้เพิ่งส่งจดหมายตัดสัมพันธ์มาให้ท่านเองแท้ๆ ตอนนี้ยังจะมาพูดจากระซิบกระซาบกับท่านอีก…”

“อาฉาง”

น้ำเสียงเย็นเยียบดุจน้ำแข็งหิมะโปรย ทำให้ใบหน้าอาฉางพลันแข็งค้าง เขากลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เงยหน้ามองคุณชายของตนก็เห็นว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าเรียบนิ่งเฉยชา แข้งขาจึงอ่อนปวกเปียกอย่างห้ามไม่อยู่ เขายกมือชิงตบหน้าตนเองหนึ่งฉาด

“วันนี้เจ้าไม่ต้องติดตามข้าแล้ว ยืนรับลมภูเขาอยู่ตรงนี้ไปแล้วกัน”

อาฉางรู้สึกขมขื่นเกินบรรยาย ได้แต่ยืนมองดูคุณชายเดินจากไปอย่างสงบเสงี่ยม สายลมหนาวเหน็บสะท้านกาย เขากอดเสื้อคลุมตัวใหญ่แน่นพลางครุ่นคิดว่า คุณหนูอวิ๋นสมกับเป็นนางปีศาจอย่างแท้จริง สามารถคว้าหัวใจคุณชายไปได้โดยสมบูรณ์แล้ว

วัดวั่นซานแห่งนี้อยู่ลึกเข้าไป ป่าไผ่ที่โอบล้อมโดยรอบเสียดสีดังสวบสาบท่ามกลางลมหนาวที่พัดเข้ามา พอลมกระโชกแรงขึ้นใบไม้ที่แห้งเหี่ยวก็ปลิวว่อนไปในอากาศ

ฮูหยินผู้เฒ่าเดินเข้าวัดมาแล้วก็มุ่งหน้าไปกราบพระ รอให้บ่าวไพร่วางเบาะสานทรงกลมเรียบร้อย ถึงพบว่ายามนี้ข้างกายตนเองว่างเปล่า หลานสาวสุดที่รักของนางหายไปแล้ว พอหันไปถามหมัวมัว* นางก็ยิ้มเจื่อนตอบว่า “คุณหนูบอกว่ารู้สึกปวดท้อง ประเดี๋ยวก็กลับมาเจ้าค่ะ”

“คงไม่ใช่ว่า…” ฮูหยินผู้เฒ่าหาใช่คนโง่เขลา คาดเดาได้ว่านางคงไปหาลู่อู๋เซิงเสียแล้ว เมื่อครู่เห็นมีท่าทางผิดแปลกไป ตอนนี้นางถึงเข้าใจเรื่องราว

เด็กสาวสมัยนี้หนอ

ฮูหยินผู้เฒ่าส่ายหน้าแล้วยิ้มน้อยๆ สีหน้าแลดูผ่อนคลายไม่น้อย

 

อวิ๋นจ้าวไปหาลู่อู๋เซิงจริงๆ

นางยืนกอดเตาอุ่นอยู่ตรงก้อนหินข้างประตูทางเข้าวัด อาศัยหินก้อนใหญ่กำบังลมภูเขาที่พัดมา กระแสลมแรงมากทีเดียว เพียงแค่นางยื่นหน้าออกไป เส้นผมสีดำขลับก็ปลิวยุ่งเหยิงไปหมด นางจึงไม่กล้าโผล่หน้าแอบมองแล้ว กลัวว่าตนเองจะมีสภาพที่น่าเกลียดเข้าเสียก่อน

รออยู่นานครึ่งเค่อ นางจ้องมองผู้คนที่เดินขึ้นลงเขาอย่างต่อเนื่อง เบิกตากว้างพยายามมองหาเขาแล้ว แต่เขาก็ยังไม่เห็นมาสักที

ยังไม่มาอีก ยังไม่มาอีกหรือ อวิ๋นจ้าวกระทืบเท้าอย่างขัดใจ ชักช้าจริงเชียว

เวลาผ่านไปอีกพักใหญ่ ลู่อู๋เซิงที่จงใจผ่อนฝีเท้าให้ช้าลงเพราะไม่อยากให้อวิ๋นจ้าวรู้สึกอึดอัดก็ย่างเท้ามาถึงทางเข้าประตูวัดในที่สุด ขณะกำลังจะเดินแฉลบผ่านหินก้อนใหญ่ไป เขาก็รับรู้ได้ว่ามีกระแสลมแรงพัดมา เขารีบหันขวับ แต่ก็รวดเร็วเกินไปจนอวิ๋นจ้าวตั้งตัวไม่ทัน สะดุ้งตกใจอย่างมาก

นางขมวดคิ้วแล้วยกมือทุบเขาไปหนึ่งหมัด ต่อว่าอย่างขุ่นเคือง “ข้ารอท่านอยู่ตั้งนาน จนจะหนาวตายอยู่แล้ว ยังมาทำให้ข้าตกใจอีก”

หมัดนี้ของนางแผ่วเบายิ่ง ไม่เจ็บไม่คันเลยสักนิด ทว่าหมัดที่กระหน่ำทุบตีไม่ยอมหยุดนี้กลับทุบลงกลางใจของลู่อู๋เซิงอย่างหนักหน่วง เขาจัดกลุ่มผมม้าที่แตกกระจายเป็นส่วนๆ ของอวิ๋นจ้าวให้กลับเข้าทรงอย่างเบามือ

อวิ๋นจ้าวไม่ได้ปัดมือเขาออก นางเพียงก้มหน้าลง ปล่อยให้เขาจัดการกับผมม้าที่ยุ่งเหยิงพวกนั้น เมื่อก่อนนางยังคิดว่ารอให้ถึงวัยปักปิ่น นางจะหวีผมที่ปรกหน้าผากเข้ากับผมเปียไปให้หมด เท่านี้ก็ไม่ต้องกลัวลมพัดแล้ว แต่ตอนนี้นางไม่อยากทำเช่นนั้นแล้ว เพราะจะได้มีคนช่วยจัดทรงผมให้นาง

ด้านหลังก้อนหินไม่มีลม ลู่อู๋เซิงจึงจัดผมให้อวิ๋นจ้าวเข้าที่ได้ดังเดิม ไม่มีผมปอยใดแตกแถวออกมาอีก นางช้อนตามองเขาแล้วเอ่ยว่า “ข้ามีเรื่องจะพูดกับท่าน”

ลู่อู๋เซิงมองคนที่เดินผ่านไปมา ก่อนทำท่าทางบอกให้นางเดินไปทางป่าไผ่

บริเวณป่าไผ่มีผู้คนอยู่บางตา กระนั้นก็ยังได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจากภายนอก ลู่อู๋เซิงไม่ได้เดินเข้าไปข้างในต่อ ทำให้อวิ๋นจ้าวรู้สึกสบายใจขึ้นมา บุรุษที่นางชอบไม่ใช่คนฉวยโอกาสทำเรื่องเลวร้ายพรรค์นั้น ทว่านางมีเรื่องที่อยากจะพูดมากมาย ย่อมกลัวจะมีคนเข้ามาขัดจังหวะนาง คิดทบทวนดูแล้ว นางก็คว้าแขนเสื้อของเขาแล้วเดินลึกเข้าไปข้างใน

ในส่วนลึกของป่าไผ่ มีเพียงเสียงนกโผบินผ่านไปมา

ลู่อู๋เซิงปล่อยให้นางพาเดินไป ในสายตาของเขามองเห็นภาพเงาหลังของนางอย่างแจ่มชัด

กระทั่งแทบไม่ได้ยินเสียงจากภายนอกแล้ว อวิ๋นจ้าวถึงหยุดฝีเท้าลง นางสบตามองเขาอย่างจริงจัง ลู่อู๋เซิงเองก็ยืนนิ่งอยู่เช่นเดิม มองนางในดวงใจอยู่เงียบๆ

“ลู่อู๋เซิง ข้าอยากจะถามท่านให้ชัดเจนสองเรื่อง” อวิ๋นจ้าวเสียเวลาไปมากถึงสิบปีแล้ว นางไม่อยากปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปอีกแม้แต่นิดเดียว นางจึงถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “เมื่อเดือนก่อนท่านจูงมือสตรีนางหนึ่งเข้าร้านวั่นเป่าไจเพื่อเลือกซื้อเครื่องประดับใช่หรือไม่”

ลู่อู๋เซิงอึ้งไปเล็กน้อย “เพราะเรื่องนี้เจ้าก็เลยเข้าใจข้าผิด โกรธข้าจนไม่ยอมฟังคำอธิบายน่ะหรือ”

อวิ๋นจ้าวโมโหจนแทบจะกระทืบเท้า “ข้าไม่ฟังคำอธิบายท่านที่ไหนกัน เป็นท่านที่ไม่ยอมแม้แต่จะพบข้าต่างหาก! ทั้งยังส่งจดหมายตัดสัมพันธ์มาให้ข้าด้วย!”

นางเกือบจะตะโกนด่าทอเขาอยู่แล้ว ในใจโกรธเคืองจนเก็บไม่อยู่ แต่พอถึงเวลาซักถามต่อหน้าเช่นนี้ก็ยังรู้สึกเจ็บปวดใจยิ่งนัก

ลู่อู๋เซิงเห็นนางขอบตาแดงเรื่อ จึงอธิบายอย่างช้าๆ ว่า “ตอนนั้นข้าอยากพบเจ้าเช่นกัน แล้วก็ไม่เคยส่งจดหมายตัดสัมพันธ์ นอกจากจะไม่ได้พบเจ้าแล้ว ข้ายังรับจดหมายตัดสัมพันธ์ที่เจ้าส่งมาให้ฉบับหนึ่งด้วย”

ลมหนาวโชยพัดมา หัวใจของคนทั้งสองคล้ายถูกน้ำแข็งผนึกไว้ ดวงตาสองคู่สบประสาน ชั่วขณะนี้ไม่ต้องมีคำอธิบายใด เพียงแค่ไม่กี่ประโยค ทุกอย่างก็กระจ่างชัด

พวกเขาทั้งสองถูกคนยุแยงให้แตกหักกันนี่เอง!

อวิ๋นจ้าวมีสีหน้าสับสน ทั้งยังมีท่าทีไม่เชื่อถืออยู่บ้าง “ข้าไม่ได้เขียนจดหมายตัดสัมพันธ์ให้ท่าน แต่ท่านเขียนให้ข้าชัดๆ ลายมือในจดหมายเป็นของท่าน ข้าไม่มีทางจำลายมือท่านผิดแน่”

“ตอนที่ข้าได้รับจดหมายของเจ้า ก็เคยสงสัยว่าของจริงหรือของปลอม แต่เจ้ายืนกรานไม่ยอมพบหน้า อีกทั้งลายมือนั้นก็เป็นของเจ้าจริงๆ”

อวิ๋นจ้าวตกตะลึง สมองปั่นป่วนวุ่นวาย ทันใดนั้นก็สังเกตเห็นบุรุษตรงหน้าขยับเข้ามาใกล้อีกก้าวหนึ่ง นางเงยหน้าขึ้นมอง คิดจะขยับถอยหลังโดยไม่รู้ตัว แต่กลับถูกเขาคว้ามือเอาไว้

เพราะยืนตากลมภูเขาอยู่นาน และไม่มีเตาอุ่นร้อนถือไว้ มือที่ยื่นมาเกาะกุมจึงเย็นเฉียบ อวิ๋นจ้าวไม่ได้สะบัดทิ้ง เพราะมือของนางอุ่นมาก จึงอยากถ่ายเทไออุ่นเผื่อไปถึงเขาบ้าง

“อวิ๋นอวิ๋น เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ ตอนนั้นใครเป็นผู้เสนอตัวเป็นคนกลางคอยประสาน ใครเป็นคนพูดเรื่องพวกนั้นด้วยตัวเอง และใครที่คอยส่งจดหมายให้พวกเรา”

อวิ๋นจ้าวหลุดปากออกมาว่า “ซ่งโหย่วเฉิง”

ลู่อู๋เซิงพยักหน้ารับอย่างจริงจัง เขาก็ไม่อยากสงสัยสหายร่วมสำนักเท่าไรนัก แต่ความจริงมากองอยู่ตรงหน้า เขาไม่เชื่อไม่ได้จริงๆ

ทันใดนั้นนางก็นึกถึงสิ่งที่ซ่งโหย่วเฉิงบอกกับนางตอนอยู่ในหอสุรา นำเบาะแสแต่ละเรื่องมาเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ไม่มีช่องโหว่เลยแม้แต่น้อย

ตอนแรกซ่งโหย่วเฉิงนัดนางไปที่ร้านหนังสือเปิดใหม่ บอกว่าร้านนี้มีหนังสือที่นางตามหามานานแล้ว แต่เมื่อไปถึงกลับเห็นลู่อู๋เซิงกับสตรีนางหนึ่งเดินเข้าร้านเครื่องประดับข้างเคียง นางหงุดหงิดอารมณ์เสียอยากจะเดินปรี่เข้าไปถามให้รู้เรื่อง ทว่าซ่งโหย่วเฉิงกลับรั้งนางเอาไว้ บอกว่านางเดินเข้าไปถามโดยตรงจะทำให้ชื่อเสียงมัวหมอง นางก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสมเช่นกัน ตั้งใจว่ารอให้ลู่อู๋เซิงกลับบ้านแล้ว ค่อยนัดเขาออกมาอีกครั้ง

ไหนเลยจะคิดว่าซ่งโหย่วเฉิงที่เป็นคนนัดให้ กลับมาบอกนางว่าลู่อู๋เซิงไม่อยากพบหน้า นางโมโหอย่างมาก ทว่าในใจก็ยังคิดถึงเขาอยู่ตลอด ถึงขั้นวิ่งไปดักรอเขาที่หน้าประตูจวน แต่เขากลับไม่ออกมาพบ ตอนนั้นนางยังคิดว่าจะต้องมีเรื่องเข้าใจผิดกันแน่ แล้วอยู่ดีๆ ก็ได้รับจดหมายตัดสัมพันธ์จากเขา ถ้อยคำในจดหมายเย็นชาจนทำให้รู้สึกตกตะลึง

วันนี้ได้ถามต่อหน้าจนกระจ่างแล้ว อวิ๋นจ้าวจึงเข้าใจว่าเป็นซ่งโหย่วเฉิงที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง หรือก็คือลู่อู๋เซิงไม่ได้เขียนจดหมายฉบับนั้นมาให้นาง

น้ำแข็งในใจนางยังละลายไม่หมดสิ้น มีอีกเรื่องที่นางวางไม่ลง “ต่อให้เรื่องทั้งหมดเป็นฝีมือของซ่งโหย่วเฉิง แต่ท่านจูงมือสตรีนางนั้นเข้าร้านเครื่องประดับ ข้าเห็นมากับตาตนเอง เรื่องนี้เขาคงบงการท่านไม่ได้กระมัง”

ลู่อู๋เซิงส่ายหน้า “นางคือญาติผู้น้องของข้า อีกอย่างข้าไม่ได้จูงมือนางเสียหน่อย แต่ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดบาดแผลให้ต่างหาก และที่เดินเข้าร้านนั้นก็เพราะหลงจู๊ของร้านเป็นสหายสนิทของท่านพ่อข้า ละแวกใกล้เคียงไม่มีร้านยา จึงต้องเข้าไปหายารักษาบาดแผลให้นางก่อน”

สีหน้าอวิ๋นจ้าวมีความประหลาดใจฉายชัด ทั้งยังรู้สึกไม่เชื่อถืออยู่บ้าง พอลู่อู๋เซิงนึกถึงสาเหตุของความเข้าใจผิดแล้ว แววตาก็หม่นแสงลง “วันนั้นนางเดินทางมาจากต่างเมืองเพื่อมาเยี่ยมถึงที่บ้าน ข้าก็เลยต้องออกไปรับ ไม่คิดว่าจู่ๆ จะมีชายขี้เมาคนหนึ่งพุ่งเข้ามาทำร้ายนางจนบาดเจ็บ ตอนนั้นเห็นชายขี้เมาวิ่งหนีคล่องปร๋อ ข้ายังแปลกใจว่าดื่มจนเมามาย แต่ไฉนกลับวิ่งหนีรวดเร็วยิ่ง วันนี้มาคิดดูแล้วคงมีคนเตรียมการเอาไว้ก่อน และตอนที่ญาติผู้น้องส่งจดหมายมานั้น ซ่งโหย่วเฉิงก็บังเอิญเป็นแขกที่บ้านข้าพอดี”

“ไม่คิดเลยว่าจะมีเรื่องเช่นนี้ด้วย” อวิ๋นจ้าวจมอยู่ในความคิด ตอนนั้นนางโมโหลู่อู๋เซิงจึงหลบเลี่ยงไม่พบหน้าเขา ทุกครั้งที่เขามาหาก็จะให้บ่าวไพร่ตอบปฏิเสธไป

จนกระทั่งครึ่งปีนับจากนั้น แม่ทัพลู่ต้องยกทัพเดินทางไกล ลู่อู๋เซิงก็ติดตามกองทัพใหญ่จากไปด้วย คอยรักษาการณ์อยู่ชายแดนกว่าสิบปีเต็ม ภายหลังสิบปีต่อมากลับถึงเมืองหลวง คนทั้งสองเพิ่งจะพบหน้าก็มีอันต้องแยกจากกันคนละภพเสียแล้ว

พอคิดถึง ‘อดีต’ ตลอดสิบปีนั้น ขอบตาอวิ๋นจ้าวก็มีหยาดน้ำใสๆ เอ่อคลอ

หากนางให้โอกาสลู่อู๋เซิงสักครั้ง ยอมฟังคำอธิบายจากปากของเขา เรื่องราวก็คงไม่เปลี่ยนเป็นเช่นนี้

อวิ๋นจ้าวรู้สึกเสียใจกับความผิดพลาด และชิงชังตนเองเหลือเกิน ราวกับว่านางสังหารลู่อู๋เซิงกับมือ หากนางกับเขาได้แต่งงานกัน เขาก็คงต้องไม่ตาย

ลู่อู๋เซิงนึกว่านางจะกระทืบเท้าด่าทอซ่งโหย่วเฉิงไม่หยุด จากนั้นก็ปรี่ลงจากเขาไปสั่งสอนเขาสักยกเสียแล้ว ทว่านางกลับมีสีหน้าเศร้าสลดและเงียบงัน พอเขาจะเอ่ยถามก็เห็นร่างของนางโน้มเข้ามาหา ยื่นมือมากอดเขาเอาไว้แน่น

ร่างอบอุ่นนุ่มนิ่มโผเข้าหาพร้อมสายลมหอบหนึ่ง ทำให้ลู่อู๋เซิงทำอะไรไม่ถูกจริงๆ

“ขอโทษนะ” อวิ๋นจ้าวน้ำเสียงสะอึกสะอื้น ตั้งแต่เล็ก บิดามารดาก็บอกว่านางนิสัยดื้อรั้นเกินไป ต่อไปจะต้องเสียเปรียบคนอื่น นางกลับไม่เคยจดจำใส่ใจ ยังคิดว่าเป็นนิสัยที่ทำให้เสียเปรียบคนตรงไหนกัน บิดามารดาคงมองผิดไปแล้ว

แต่นางไม่เคยรู้เลยสักนิด ที่แท้นางเสียเปรียบผู้อื่นไปตั้งแต่สิบปีก่อนแล้ว ยังหลงใช้ชีวิตอย่างสบายใจและเต็มภาคภูมิ

“ลู่อู๋เซิง…ขอโทษนะ”

อวิ๋นจ้าวรู้สึกว่าดวงตาตนเองแสบร้อน เพียงกะพริบตาเบาๆ ครั้งหนึ่ง น้ำตาก็ไหลรินออกมา

น้ำเสียงแผ่วเบาไร้เรี่ยวแรง เต็มไปด้วยความสำนึกเสียใจ ลู่อู๋เซิงตะลึงงันก่อนจะยื่นมือมาโอบกอดนาง “อวิ๋นอวิ๋น ต่อไปพวกเราจะไม่สงสัยกันและกันอีก ต่อให้เกิดเรื่องใหญ่โตสักแค่ไหน พวกเราก็ต้องมาเจอกันสักครั้ง อธิบายกันต่อหน้าอย่างชัดเจน”

“จะไม่มีเรื่องเข้าใจผิดเช่นนี้อีกแล้ว” อวิ๋นจ้าวเงยหน้าขึ้นมาจากอ้อมอกเขา ดวงตาเป็นสีแดงระเรื่อ

คนที่เข้าไปช่วยนางถึงจวนโหวโดยไม่กลัวเกรงอันตราย คนที่รอนางเป็นสิบปี นางไม่มีทางสงสัยเขาเพราะเรื่องน่าขบขันเช่นนั้นอีกแน่ ที่โดนยุแยงให้แตกหักเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะผู้อื่นรู้จักนิสัยของนางเป็นอย่างดี กระทั่งมองเห็นช่องโหว่ให้ใช้ประโยชน์ได้หรอกหรือ

ซ่งโหย่วเฉิง

อวิ๋นจ้าวกัดฟันกรอด รอให้นางลงเขาไปก่อนเถอะ จะต้องสะสางบัญชีนี้กับเขาแน่ จะต้องฉีกกระชากร่างเขาให้ได้เลยคอยดู!

“อวิ๋นอวิ๋น เอาไว้ลงเขาแล้ว พวกเราไปหาซ่งโหย่วเฉิงกัน”

“ข้าก็คิดเช่นนี้พอดี” อวิ๋นจ้าวเช็ดรอยน้ำตา เอาศีรษะซุกเข้าไปในแผงอกกว้างแข็งแกร่งของเขา

ลู่อู๋เซิงกอดนางไว้ เขาเองก็นิ่งเงียบไร้วาจาใด มีเพียงเสียงใบไผ่กระทบเสียดสีกันลอยเข้าหู กลางอ้อมกอดนี้คือนางในดวงใจ ความเงียบสงบและความอิ่มเอมใจนี้ ตอนที่มีจารึกชื่อบนทำเนียบทองก็ยังเทียบไม่ได้เลย

ทันใดนั้นท่ามกลางความเงียบสงัดของป่าไผ่ จู่ๆ ก็มีสุ้มเสียงผิดแปลกดังแทรกขึ้นมา ลู่อู๋เซิงมีท่าทีชะงักงัน เขามองสำรวจทุกซอกมุมเท่าที่สายตาจะกวาดมองถึง สีหน้ายิ่งเคร่งขรึมขึ้นทุกขณะ

ร่างกายลู่อู๋เซิงแข็งค้างขึ้นมาเล็กน้อย แม้แต่อวิ๋นจ้าวก็สัมผัสได้ เขาจึงคลายมือออกแล้วถามว่า “เกิดอะไรขึ้น”

ลู่อู๋เซิงอยากให้นางออกไปก่อน ทว่ากลับมีคนพุ่งมาจากทุกทิศทุกทาง ไม่มีช่องว่างเลยสักนิดเดียว ด้วยเหตุผลนี้เอง เขาจึงรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล หากเป็นเพียงคนที่เดินผ่านทางมา เดิมทีก็ไม่จำเป็นต้องกรูกันเข้ามาและระมัดระวังถึงขนาดนี้ คล้ายกับว่าไม่อยากให้พวกเขารู้ตัว ทว่าเขากลับจับสังเกตได้แล้ว มือขวาเคลื่อนไปข้างเอวคว้ากริชออกมา ดึงร่างอวิ๋นจ้าวมาไว้ข้างหลัง กดเสียงลงต่ำเอ่ยว่า “หาโอกาสได้เมื่อใด รีบหนีไปทันที”

อวิ๋นจ้าวลำคอแห้งผากขึ้นมาโดยพลัน บรรยากาศเช่นนี้มีเค้าลางไม่ดีเอาเสียเลย

ดูเหมือนคนกลุ่มนั้นก็รับรู้แล้วเช่นกันว่าคนทางนี้อยู่ในสภาวะที่ตื่นตัวเต็มที่ ความเคลื่อนไหวจึงเปิดเผยกว่าเดิมหลายส่วน เรียกได้ว่าทั่วทั้งสี่ทิศมีเสียงใบไผ่โดนเหยียบย่ำดังสวบสาบพร้อมกัน พวกเขาล้วนมุ่งหน้าตรงมาทางนี้อย่างว่องไว เผยโฉมหน้าดุร้ายออกมาจากป่าไผ่ที่ลึกและเงียบสงัด

คนสวมชุดสีดำสนิทแนบตัว ในมือถือกระบี่ยาวปรากฏตัวขึ้นทีละคน พริบตาเดียวก็มีถึงยี่สิบกว่าคน โอบล้อมคนทั้งสองเอาไว้ตรงกลาง

เดิมทีอวิ๋นจ้าวนึกว่าพวกเขาจะเป็นยอดฝีมือจากสำนักใดสำนักหนึ่ง ทว่าหลังนางกวาดสายตามองอาวุธหลากหลายแบบและความยาวไม่เท่ากันในมือพวกเขาแล้วก็เกิดความสงสัยขึ้นมาในใจ ปกติแล้วแต่ละสำนักจะมีจุดเด่นและลักษณะของอาวุธที่ใช้เป็นแบบเดียวกัน แต่คนกลุ่มนี้กลับใช้อาวุธไม่เหมือนกันเลย เห็นได้ชัดว่ามาจากคนละสำนัก และนี่ก็เป็นบนเขาสูง เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้มากว่าคงเป็น…โจรภูเขา!

“ข้าจะให้เงินพวกเจ้า แต่อย่าทำร้ายพวกเราเลยนะ”

ด้วยเห็นว่าครั้งนี้คงได้แตกหักกันไปข้างหนึ่งเป็นแน่ อวิ๋นจ้าวจึงรีบนำถุงเงินออกมาทันที วันนี้นางไม่ได้พกเงินติดตัวมามากนัก แต่ก็ยังอยากฝืนลองทำในสิ่งที่ไม่น่าจะสำเร็จ โยนถุงเงินไปที่เท้าของพวกเขา คนผู้นั้นเพียงก้มมองดูเล็กน้อย กลิ่นอายดุร้ายที่แผ่ออกมาจางหายไป อวิ๋นจ้าวเฝ้ามองด้วยความหวาดหวั่น เขารังเกียจว่าน้อยเกินไปอย่างที่คิดไว้จริงๆ

นางยังคิดหาทางเจรจาต่อรองกับพวกเขาต่อ แต่คนพวกนั้นไม่มีความอดทนอีกแล้ว ต่างจับอาวุธพุ่งตรงมาที่นางและลู่อู๋เซิง

อวิ๋นจ้าวไม่เคยเห็นอาวุธมากมายขนาดนี้ จึงตกตะลึงทำอะไรไม่ถูก กระทั่งกระบี่ยาวเกือบแตะปลายจมูกอยู่แล้ว พลันได้ยินเสียงชิ้ง ก่อนจะโดนกริชเล่มหนึ่งมาปัดออกไป

ลู่อู๋เซิงคอยปกป้องนางอยู่ตรงกลาง สกัดกั้นคมดาบคมกระบี่ที่พุ่งเข้ามาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย แววตาของนางเต็มไปด้วยแสงเงาวูบไหวของอาวุธและร่างของลู่อู๋เซิง ยามนี้หน้าผากของอวิ๋นจ้าวมีเหงื่อเย็นๆ ไหลซึมออกมา

ฝ่ายตรงข้ามมีคนมากกว่า นางเห็นลู่อู๋เซิงอ่อนล้ามากขึ้นทุกที มือของเขารวมถึงเสื้อผ้าที่สวมใส่มีรอยถูกกรีดขาดนับสิบรอย ทว่านางกลับไม่บาดเจ็บเลยแม้แต่ปลายเส้นผม

ในที่สุดอวิ๋นจ้าวก็สัมผัสได้ว่าเทพแห่งความตายมารออยู่เบื้องหน้า อยากจะร้องเรียกให้คนที่อยู่ในวัดมาช่วย ทว่าเพียงแค่นางขยับ คนร้ายก็จับสังเกตได้ในทันที นอกจากนางจะได้รับบาดเจ็บที่แขนแล้ว ยังทำให้ลู่อู๋เซิงเสียสมาธิโดนกระบี่แทงเข้าหนึ่งแผล อวิ๋นจ้าวหวาดผวาจนไม่กล้าขยับตัวส่งเดชอีก ได้แต่ร้องตะโกนให้คนมาช่วย

แต่บริเวณนี้อยู่ห่างไกลจากวัดมากนัก ยังจะมีใครที่ไหนได้ยิน นางตะโกนจนกระทั่งลำคอเจ็บแปลบแล้วก็ยังไม่เห็นคนมา กระทั่งนางนึกว่าผ่านไปนานมากแล้ว แต่ความจริงกลับผ่านไปเพียงครู่หนึ่งเท่านั้น

“สวบ…”

เสียงกระบี่กวัดแกว่งทำลายความเงียบสงบของป่าไผ่ คละเคล้าไปกับเสียงกรีดเนื้อตัดกระดูกดังสะท้อนก้องป่า เลือดสาดกระเซ็นใส่พวงแก้มของอวิ๋นจ้าว นางกรีดร้อง “ลู่อู๋เซิง!”

นางกระโจนออกไปโดยไม่คิด ไม่รู้ว่าเอาเรี่ยวแรงหรือความว่องไวมาจากไหน สามารถคว้ากระบี่ที่ร่วงลงพื้นได้ในชั่วพริบตา ยกขึ้นกวัดแกว่งจนบีบให้โจรภูเขาถอยออกไปได้ครึ่งจั้ง พอนางหันกลับมาก็เห็นลู่อู๋เซิงเอามือกุมหัวใจเอาไว้ แต่ต่อให้นิ้วทั้งห้าจะกดแน่นเพียงใดก็ไม่อาจห้ามเลือดที่ไหลทะลักออกมาตามรอยแผลได้เลย

ดวงตาของนางแดงก่ำ สองมือจับกระบี่เตรียมพุ่งออกไป ลู่อู๋เซิงกลับคว้ามือข้างหนึ่งเอาไว้ “อวิ๋นอวิ๋น”

หากพุ่งเข้าใส่กลุ่มคนชุดดำเช่นนี้ จะต้องจบชีวิตในทันทีแน่นอน อวิ๋นจ้าวเข้าใจ ลู่อู๋เซิงยิ่งเข้าใจมากกว่า แม้ปกป้องให้นางปลอดภัยได้อีกแค่เพียงครู่เดียว เขาก็ต้องปกป้องนางเอาไว้

อวิ๋นจ้าวหันมองพวกเขาที่เดินเข้ามาใกล้ทุกขณะ นางที่เป็นคนโอหังถือดีมาทั้งชีวิตคุกเข่าลงกับพื้น วิงวอนด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ข้าขอร้อง พวกเจ้าปล่อยพวกเราไปเถอะ ข้ามีเงินให้พวกเจ้าอีกมาก ถ้าฆ่าพวกเราแล้ว พวกเจ้าจะไม่ได้อะไรเลย พวกเจ้าไม่ใช่โจรภูเขาหรือ โจรภูเขาไม่ใช่ต้องการทรัพย์สินเงินทองหรือ ข้าสามารถ…”

“พวกมันไม่ใช่โจรภูเขา” ลู่อู๋เซิงคว้าไหล่ของนางไว้แน่น ฝืนฉุดร่างนางลุกขึ้นมา ไม่ยอมเห็นคนที่หยิ่งทะนงเช่นนางต้องมาคุกเข่าขอร้องใคร

อวิ๋นจ้าวนิ่งอึ้งไป ชั่วพริบตานั้นหางตาก็เหลือบไปเห็นกระบี่อันคมกริบแทงทะลุหัวไหล่ของลู่อู๋เซิงอย่างเลือดเย็น เสียงกระบี่แทงผ่านเนื้อดังชัดเจนราวกับอยู่ข้างหู ทันใดนั้นเหมือนนางจะสติหลุดลอย หยาดน้ำตาไหลพรั่งพรูเป็นสาย นางใช้มือคว้าปลายกระบี่แหลมคมเล่มนั้น อาศัยกำลังที่มีดึงกระบี่ออกไป

เสื้อผ้าของลู่อู๋เซิงชุ่มโชกไปด้วยเลือด มือของอวิ๋นจ้าวเองก็มีแต่เลือดเต็มไปหมด ทว่านางกลับไม่รู้สึกเจ็บเลยแม้แต่น้อย เบื้องหน้ามีคมดาบคมกระบี่นับไม่ถ้วนจ้วงแทงเข้ามา ภาพชัดเจนเต็มสองตาอวิ๋นจ้าว ตอนนี้นางมีแต่ความตกตะลึงและสิ้นหวัง แต่จู่ๆ ก็มีคนมาบังคมอาวุธเย็นเยียบพวกนั้นให้นาง เสียงกรีดเนื้อตัดกระดูกดังก้องอีกครั้ง

เลือดค่อยๆ ไหลทะลักออกมา เปรอะเปื้อนสองมือและทั่วร่างของนาง นางควบคุมตนเองไม่ได้อีกแล้ว โอบกอดบุรุษที่รับทุกคมกระบี่แทนนางไว้แน่น ร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด “ลู่อู๋เซิง! ลู่อู๋เซิง!”

ลู่อู๋เซิงยังเหลือลมหายใจเบาบาง เขาลืมตาเล็กน้อยมองอวิ๋นจ้าวที่กำลังร้องไห้เสียใจ ในดวงตามีแต่ความเสียใจและเสียดายยิ่ง

“อวิ๋นอวิ๋น…”

สวบ…

วาจาที่เอื้อนเอ่ยยังไม่ทันจบก็มีอีกกระบี่หนึ่งพุ่งเข้ามาปลิดลมหายใจสุดท้ายของลู่อู๋เซิง ต่อหน้าต่อตาอวิ๋นจ้าว

“ลู่อู๋เซิง!”

 

(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 10 ก.ย. 62)

หน้าที่แล้ว1 of 13

Comments

comments

No tags for this post.
sangdow Marcom: