X
    Categories: everYทดลองอ่านพันสารท

ทดลองอ่าน พันสารท เล่มที่ 1 บทที่ 3 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 3

 

ตอนนี้ต่อให้ดวงตาของเสิ่นเฉียวเห็นแสงได้ แต่ก็มิอาจเห็นสิ่งของชัดเจน มองดูนานเกินไปดวงตายังคงเจ็บปวด ฉะนั้นเวลาส่วนใหญ่เขาจึงถือโอกาสหลับตา หากไม่จำเป็นก็จะไม่ใช้งาน

ยามนี้เขามองเห็นรางๆ ว่าเงาร่างสี่สายเดินเข้ามา นั่งลงบนโต๊ะยาวอีกตัวหนึ่ง สองคนในนั้นสวมชุดกระโปรง คล้ายเป็นสตรี

เสิ่นเฉียวมีแผนการในใจ เขารู้ว่าการเดินทางครั้งนี้พรรคลิ่วเหอต้องคุ้มกันส่งสิ่งของค่อนข้างสำคัญอย่างแน่นอน ดังนั้นคนทั้งสี่จะไม่มากินข้าวพร้อมกัน ยังต้องเหลือสองคนไว้เฝ้ารักษาในห้อง ส่วนสตรีอีกสองคนคืออาคันตุกะหญิงที่ยืมห้องของหลวงจีนน้อย

เขาเองก็ไม่มากเรื่อง หลังกินข้าวต้มเสร็จก็ถือโอกาสไปหยิบไม้เท้าไม้ไผ่ด้านข้าง

ไม้เท้าไม้ไผ่เอนไปด้านข้าง ตกลงบนพื้นเสียงดัง

เสิ่นเฉียวขมวดคิ้วเล็กน้อย มือของเขายังมิได้แตะถูกไม้เท้าไม้ไผ่ มันย่อมมิอาจตกพื้นโดยไร้สาเหตุ

“เป็นข้าชนเข้าโดยไม่ระวัง คุณชายอย่าได้ว่ากล่าว” สตรีกล่าวเสียงนุ่มนวล ก้มตัวเก็บไม้เท้าไม้ไผ่ขึ้น ยื่นให้เสิ่นเฉียว

“ไม่เป็นไร” เสิ่นเฉียวรับไม้เท้าไม้ไผ่มา พยักหน้าไปทางอีกฝ่าย หมายจะลุกขึ้นเดินไปด้านนอก

ฝ่ายตรงข้ามกล่าวอีก “พบพานคือมีวาสนา มิทราบคุณชายมีชื่อแซ่สูงส่งใด”

“ข้าแซ่เสิ่น”

สตรีกล่าวขึ้นบ้าง “คุณชายเสิ่นจะเข้าเมืองหรือ”

เสิ่นเฉียวรับคำ “ถูกต้อง”

สตรีกล่าว “ในเมืองมีโรงเตี๊ยมกับจุดพักม้ามาก ไยคุณชายไม่รอหาที่พักแรมหลังเข้าเมือง แต่กลับเลือกอยู่ในวัดเล็กๆ ที่เก่าแก่ผุพังนี้”

นี่เห็นได้ชัดว่ากำลังหยั่งเชิงเสิ่นเฉียว หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นต้องถามกลับว่า ‘พวกท่านเองก็อยู่ที่นี่มิใช่หรือ มีสิทธิ์อะไรยุ่งกับผู้อื่น’ แต่เสิ่นเฉียวนิสัยดี ยังคงตอบว่า “เงินในตัวพวกเราไม่พอ เข้าเมืองพักแรมมีค่าใช้จ่ายมากกว่า ฉะนั้นรอเข้าเมืองพรุ่งนี้เช้า จะได้ไม่ต้องอยู่ค้างในเมือง”

สุ้มเสียงของเขาไพเราะยิ่ง บนร่างย่อมมีความรู้สึกดีที่ชวนให้เกิดความสนิทสนมในใจ แม้จะสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบ แต่ก็ยากที่จะทำให้ผู้คนมองข้าม และยิ่งยากจะเห็นเขาเป็นคนประเภทเดียวกับเฉินกง

ดังนั้นคนที่บุคลิกขัดกันอย่างสิ้นเชิงอยู่ด้วยกัน เดินทางร่วมกัน จึงชวนให้เกิดความสงสัยในใจ เอ่ยปากหยั่งเชิงอย่างเลี่ยงมิได้

มิหนำซ้ำพวกเขายังเป็นคนทั่วไปที่ไร้ซึ่งวรยุทธ์

คำตอบของเขาสมเหตุสมผล อวิ๋นฝูอีเองก็หาช่องโหว่มิได้ จึงกล่าวเสียงอ่อนโยน “เป็นข้าล่วงเกินแล้ว โปรดอย่าได้ว่ากล่าว ข้าแซ่อวิ๋น เรียกว่าอวิ๋นฝูอี”

เสิ่นเฉียวผงกศีรษะรับ “แม่นางอวิ๋นค่อยๆ ทาน ข้าขอตัวก่อน”

อวิ๋นฝูอีกล่าว “คุณชายค่อยๆ เดิน”

แล้วเสิ่นเฉียวก็ถือไม้เท้าไม้ไผ่ค่อยๆ คลำทางเดินไปยังปากประตู

มองดูเงาหลังของเขา อวิ๋นฝูอีขมวดคิ้วเล็กน้อย มิได้กล่าวคำ

หูอวี่ที่นั่งอยู่ด้านข้างกล่าวขึ้น “รองประมุข สองคนนี้ปรากฏตัวอยู่ที่นี่ เกรงว่ามิได้บังเอิญ เด็กน้อยคนนั้นช่างเถอะ แต่คนแซ่เสิ่นผู้นี้ดูเหมือนตาบอด แต่ตาบอดจะเดินเพ่นพ่านไปทั่วได้อย่างไร ไม่แน่ว่าอาจมาเพราะสิ่งของที่พวกเรานำมา”

หูเหยียนพี่ชายฝาแฝดของเขามองดูเขาแวบหนึ่ง “เจ้ามองออก รองประมุขจะมองไม่ออกหรือ”

อวิ๋นฝูอีกล่าว “เมื่อครู่ข้าได้หยั่งเชิงเขาแล้ว เขาไม่มีกำลังภายใน และไม่เคยได้ยินชื่อของข้า คงมิได้เสแสร้ง สรุปแล้วคืนนี้ระวังสักหน่อยแล้วกัน เดิมข้าคิดว่าในเมืองมากคนมากความ ไม่เข้าเมืองคงปลอดภัยกว่า บัดนี้ดูเหมือนวิธีนี้ไม่จำเป็นต้องใช้แล้ว”

หูอวี่กล่าว “ในสัมภาระนี้ใส่สมบัติล้ำค่าอะไรไว้กันแน่ ตั้งแต่พวกเราเดินทางมา ก็มีคนมาปล้นสองกลุ่มแล้ว กลุ่มหลังพละกำลังแข็งแกร่งกว่ากลุ่มแรก จากที่นี่ถึงเจี้ยนคังยังต้องลงใต้เดินทางอีกระยะหนึ่ง กลัวแต่จะเกิดเหตุสุดวิสัยกลางทาง ถึงเวลาเสียสิ่งของเรื่องเล็ก เสียชื่อของพรรคลิ่วเหอเรื่องใหญ่”

พวกเขากลุ่มนี้ แม้จำนวนคนไม่มากแต่เรียกได้ว่าเป็นศิษย์เด่นล้ำของพรรคลิ่วเหอ ลองคิดดูว่าแม้กระทั่งอวิ๋นฝูอีรองประมุขผู้นี้ลงมือด้วยตัวเอง ไม่ว่าความสามารถจะเป็นอย่างไรก็คงไม่อ่อนด้อยสักเท่าไร

แต่ถึงแม้เป็นเช่นนี้ กลุ่มคนเหล่านี้ก็ยังคงมิกล้าชะล่าใจ

อวิ๋นฝูอีส่ายหน้ากล่าว “ประมุขสั่งการเด็ดขาด ไม่ว่าอย่างไรต้องส่งถึงเจี้ยนคัง ก่อนหน้าประมุขฝากข้อความไว้ว่าเขาจะรุดหน้าไปรอรวมตัวกับพวกเราที่เมืองลั่วโจว ถึงเวลาค่อยลงใต้ด้วยกัน”

เมื่อได้ยินว่าประมุขอยู่เบื้องหน้าไม่ไกลนี้เอง หูเหยียนหูอวี่ (พูดจาเหลวไหล) ล้วนกระปรี้กระเปร่า ซ้ำยังพูดคุยว่าในหีบสองใบนั้นบรรจุอะไรกันแน่ ถึงควรค่าให้ในพรรคจริงจังเช่นนี้

คนพรรคลิ่วเหอกระจายตัวทั่วแผ่นดิน การค้าขายที่รับหลายปีนี้ไม่รู้มีทั้งหมดเท่าใด สิ่งของที่พวกเขาคุ้มกันนั้นเป็นสมบัติในราชวังก็เคยมี แต่ก็ไม่เคยเห็นเบื้องบนจะให้ความสำคัญเช่นนี้มาก่อน

รองประมุขลงมาคุ้มกันส่งด้วยตัวเอง ประมุขมารับด้วยตัวเอง นี่ยังคงเป็นครั้งแรก

หูเหยียนหูอวี่สังกัดสำนักหลงเหมิน และเป็นยอดฝีมือที่หาได้ยากในยุทธภพ แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังเยาว์ คนที่ปล้นสะดมทั้งสองกลุ่ม มิเพียงไม่ได้บั่นทอนความปรารถนาต่อสู้ของพวกเขา กลับทำให้พวกเขากระหายใคร่อยากยิ่งขึ้น

ไม่เหมือนกับพวกเขา อวิ๋นฝูอีกลับลอบกังวล “ไม่ว่าอย่างไร ก่อนพบประมุข พวกเราต้องเพิ่มความระมัดระวังจึงจะถูก”

 

ตกกลางคืน ชานเมืองเงียบกว่าในเมือง เงียบจนน่าสะพรึงอยู่บ้าง

วัดเล็กยามวิกาลไม่มีความบันเทิงอะไร กลุ่มคนจึงนอนหลับนานแล้ว

ผู้ที่นอนห้องเดียวกับพวกเสิ่นเฉียว นอกจากหูเหยียนหูอวี่สองพี่น้องแล้ว ยังมีหัวหน้าสาขาพรรคลิ่วเหออีกสองคน วรยุทธ์ล้วนเหนือกว่าหูเหยียนหูอวี่ การจัดวางคนเช่นนี้ในยุทธภพถือเป็นเรื่องใหญ่อย่างมาก แม้เฉินกงไม่รู้เรื่องในยุทธภพ แต่เขาเองรู้ว่าคนกลุ่มนี้ร้ายกาจยิ่งนัก

เพื่อเข้าร่วมพรรคลิ่วเหอ เขาใช้ฝีมือกับแผนการมากมายคิดกระชับสัมพันธ์กับคนเหล่านี้ น่าเศร้าที่ความร้อนรนปะทะความเย็นชา ผู้อื่นไม่แยแสเขา แต่กลับสนิทสนมกับเสิ่นเฉียวมากกว่าตนหลายส่วน

หลายครั้งเข้า เฉินกงเองก็ท้อแท้ เขานอนอยู่บนเตียง ประเดี๋ยวรู้สึกโมโห ประเดี๋ยวก็รู้สึกว่าตนเองจริงใจไม่พอ รอพรุ่งนี้ไปบอกผู้อื่นว่าตนเพียงต้องการเข้าพรรคลิ่วเหอเป็นคนปัดกวาดเช็ดถู ไม่แน่ว่าฝ่ายตรงข้ามอาจยอมรับ

ในหัวสมองคิดฟุ้งซ่าน คนย่อมนอนไม่หลับ พลิกตัวหลายครั้งเฉินกงจึงพลันสังเกตว่ากลุ่มคนพรรคลิ่วเหอที่ด้านข้างมีความเคลื่อนไหว

การเคลื่อนไหวของพวกเขาทั้งเบาและรวดเร็วมาก สวมเสื้อใส่รองเท้า พริบตาเดียวก็ไม่เห็นเงาคนแล้ว เฉินกงประหลาดใจ อยากลุกขึ้นไปลองดู ด้านข้างกลับพลันมีมือข้างหนึ่งยื่นออกมาจับเขาเอาไว้

เฉินกงตกใจจนสะดุ้ง ตอบสนองทันที ผู้ที่จับเขาไว้ก็คือเสิ่นเฉียว

“อย่าออกไป อยู่ที่นี่” เสิ่นเฉียวกล่าวเสียงแผ่วเบา

เฉินกงกล่าว “ข้าจะแง้มประตูดูสักหน่อย ไม่เป็นไรหรอก”

เพิ่งขาดคำ ด้านนอกก็ถ่ายทอดเสียงตะโกนกับเสียงต่อสู้มา

เฉินกงทั้งเคร่งเครียดและตื่นเต้นทันที รู้สึกว่ายุทธภพในทัศนะตนเองใกล้ขึ้นอีกก้าวแล้ว

ใครจะไปรู้ว่ามือเพิ่งเปิดประตูออก เขาก็รู้สึกปลายนิ้วชา ประตูทั้งบานเปิดโครมออก กระแสลมพัดมาจากด้านนอกเสมือนลมมรสุม

เฉินกงหลบไม่ทัน ร้องอุทานหนึ่งเสียง คนเซไปด้านหลัง บั้นเอวชนขอบเตียง เปลี่ยนเป็นแผดร้องทันที

แต่นี่มิใช่จุดสิ้นสุด ต่อมาลำคอของเขาก็ถูกคนผู้หนึ่งบีบเอาไว้แนบแน่น!

ฝ่ายตรงข้ามยกแขนขึ้นเบาๆ เฉินกงก็ ‘ลอย’ ตามมาอย่างควบคุมมิได้ ภาพที่เห็นผ่านตาก็เปลี่ยนแปลง จากในห้องเปลี่ยนเป็นนอกห้อง

เฉินกงเบิกตาโพลงอย่างตื่นตระหนก แต่เขาตะโกนไม่ออกเลย รอจนยืนนิ่งด้วยความยากลำบากจึงได้ยินว่ามีคนหัวเราะพลางกล่าว “เจ้าสาม เจ้าโง่หรือ เด็กน้อยผู้นี้แค่มองก็รู้ว่าไม่เป็นวรยุทธ์ มิใช่คนของพรรคลิ่วเหอ เจ้าจับไปจะมีประโยชน์อะไร”

“อะไรนะ เขามิใช่คนพรรคลิ่วเหอ?! มารดามัน มิน่าเหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าลงมือได้อย่างง่ายดายเพียงนี้ ที่แท้จับเศษสวะ!”

อีกฝ่ายด่าทอเสียงดัง พลางออกแรงที่มือ เฉินกงเจ็บจนน้ำตาไหลออกมา

จบแล้ว ข้าจะถูกฆ่าแล้ว!

เขาตระหนักได้ถึงจุดนี้ เสียใจอย่างยิ่งที่เมื่อครู่มิฟังคำพูดของเสิ่นเฉียว ไม่หลบอยู่ในห้องแต่โดยดี กลับจะมาดูความสนุก

ยุทธภพยังคงห่างจากเขายิ่งนัก เป็นตายกลับใกล้กับเขายิ่งนัก

ในชั่วขณะสั้นๆ ลำคอของเฉินกงก็ถ่ายทอดความเจ็บปวดมา นั่นคือเค้าลางที่คอหอยกำลังจะถูกบีบแหลก

ทว่าครู่หนึ่งให้หลัง คนผู้นั้นที่คิดจะฆ่าเขาพลันร้องเอ๊ะ กลับชักมือเคลื่อนตัวออกไป ความเจ็บของเฉินกงคลายลงทันใด ทั้งร่างอ่อนระทวยคุกเข่าอยู่บนพื้นไอไม่หยุด

ขณะมู่หรงซวิ่นคิดจะสังหารเฉินกง ล่วงรู้อยู่แล้วว่าในห้องยังมีอีกคนหนึ่ง แต่เขาไม่เคยเห็นความสำคัญของคนต่ำต้อยสองคนนี้ กลับคิดไม่ถึงว่าขณะตนเองลงมือ คนผู้นั้นกลับยังกล้าลงมือลอบโจมตี

ไม้เท้าไม้ไผ่เบาหวิวไม่มีกำลังภายในแฝงไว้แม้แต่น้อย เดิมมู่หรงซวิ่นคิดว่าสามารถจับตัวได้โดยง่าย ใครจะไปรู้ว่าขณะมือเพิ่งแตะถูกขอบไม้เท้าไม้ไผ่ ไม้เท้านั้นกลับไถลออกอย่างพิสดาร ทั้งยังเคาะถูกจุดสำคัญด้านหลังของเขา

มู่หรงซวิ่นมิอาจไม่ปล่อยเฉินกงออก เขารีบเคลื่อนตัวหลบไปยังด้านข้าง

“เจ้าคือใคร!” เขาหรี่ตาสังเกตฝ่ายตรงข้าม

“พวกเราหาใช่กลุ่มคนพรรคลิ่วเหอไม่ และมิใช่ชาวยุทธ์ เพียงพักแรมอยู่ที่นี่พอดี ไม่เกี่ยวข้องกับบุญคุณความแค้นที่นี่ ขอให้ท่านโปรดเข้าใจ ปล่อยพวกเราไป” เสิ่นเฉียวกล่าว

ยามค่ำคืนแสงไฟไม่เพียงพอ เสิ่นเฉียวมองไม่เห็นมู่หรงซวิ่น ได้แต่ชี้ขาดทิศทางคร่าวๆ ของเขา ประสานมือไปตรงนั้น

มู่หรงซวิ่นกลับมองออกในแวบเดียว “เจ้าตาบอด!”

 

ยามค่ำคืนที่ลมก่อตัว เมฆถาโถมในวัดเล็กๆ อย่างวัดชูอวิ๋น

แม้อวิ๋นฝูอีคาดการณ์ไว้ก่อน แต่สถานการณ์ในคืนนี้ยังเหนือความคาดหมายของนางไปมาก

นางม้วนแขนเสื้อขึ้น ฟาดฝ่ามือออก คนกลับลอยไปด้านหลัง ท่วงท่าสง่างาม เปี่ยมด้วยกลิ่นอายเซียน คนรอบข้างดูไปเหมือนเต้นรำขึ้นมาอย่างปราดเปรียว คิดไม่ถึงอย่างแน่นอนว่าพลังที่สะสมอยู่ที่ฝ่ามือนี้มากเพียงใด

แขนเสื้อทั้งสองของอีกฝ่ายหนึ่งชูขึ้นแล้วกวาดออก สลายการโจมตีของอวิ๋นฝูอีได้อย่างง่ายดาย อวิ๋นฝูอีกลับมองเห็นชัดเจนว่าในแขนเสื้อทั้งสองนั้นมีมีดปีกจักจั่นที่บางเหมือนใบหลิ่วไถลออกมา ประกายมีดแวบผ่านแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอยทันที แต่กระแสลมฝ่ามืออันเร็วแรงของนางก็อันตรธานหายไปเช่นเดียวกัน

คู่ต่อสู้ผู้นี้น่ากลัวยิ่งนัก อวิ๋นฝูอีตระหนักได้

“สูงส่งงดงามไม่ทิ้งร่องรอย สมเป็นอันดับสองของพรรคลิ่วเหอ คนนอกล้วนกล่าวว่าอวิ๋นฝูอีเป็นสตรี น่ากลัวจะเป็นหุ่นเชิด คนที่กล่าวคำพูดนี้คงไม่มีโอกาสได้รับคำชี้แนะด้านความสามารถจากรองประมุขอวิ๋น!”

กระแสลมไร้สุ้มเสียงพัดไปยังอวิ๋นฝูอีพร้อมกับคำพูดประโยคนี้ อวิ๋นฝูอีสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ไม่มีความเยือกเย็นเหมือนขณะต่อสู้กับมู่หรงชิ่นอีก ฝ่ามือทั้งสองฉวัดเฉวียนวาดเป็นรูปร่างคล้ายดอกบัว พลังปราณก่อขึ้นในชั่วขณะ ผลักออกอย่างธรรมดาสามัญ

กระแสลมสองกลุ่มปะทะกัน อวิ๋นฝูอีจึงพบว่าพลังปราณของอีกฝ่ายเปลี่ยนแปลงมิอาจคาด ลักษณะเหมือนปลายเข็ม ไม่มีสิ่งใดแทงไม่เข้า ครั้นเล็งเห็นช่องโหว่ก็เสียบเข็มเข้าไป พอฝ่ามือของนางแตะสัมผัสก็รู้สึกถึงไอเย็นหลายหอบซึมจากผิวหนังเข้าสู่เลือดเนื้อ ตรงเข้าสู่ไขกระดูก

คิดจะชักมือก็ไม่ทันแล้ว เห็นได้ชัดว่าฝ่ายตรงข้ามมิได้ให้โอกาสนางตอบโต้ใดๆ ระลอกหนึ่งยังไม่สงบ อีกระลอกก็มาอีกแล้ว เหมือนกระแสน้ำของแม่น้ำฤดูใบไม้ผลิซ้อนกันเป็นชั้นๆ ซัดมา อวิ๋นฝูอีลอบตกเป็นรอง ไหนเลยยังต้องฝืนต้าน แม้ยอมสละช่องโหว่หน้าลำตัวก็ต้องถอยหลัง

ขณะเซถอยลงไปกองกับพื้น หน้าอกนางปวดตื้อบ้างแล้ว ลำคอได้รสหวานคาว นางมิได้บ้วนออกมาแต่กลับกลืนลงไป แล้วกล่าวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ท่านคือผู้ใด”

ฝ่ายตรงข้ามเห็นอวิ๋นฝูอีสีหน้าเหมือนปกติก็ส่งเสียงเอ๊ะอย่างเลี่ยงมิได้ แสดงความประหลาดใจและความชื่นชมเล็กน้อยออกมา “ทอดมองในแคว้นฉี มีน้อยคนแล้วที่รับฝ่ามือนี้ของข้าได้ เจ้ากลับมีความสามารถอยู่บ้าง”

“ท่านคือผู้ใด” อวิ๋นฝูอีถามอีกครั้ง

ฝ่ายตรงข้ามเอามือไพล่หลังอย่างเย่อหยิ่ง ยิ้มพลางกล่าว “ตอนนี้พวกเจ้าอยู่ในแคว้นฉี จะส่งสิ่งของแคว้นฉีออกชายแดนแคว้น เรื่องนี้ราชสำนักมิอาจก้าวก่ายหรือ เรื่องในวันนี้ หากพรรคลิ่วเหอยอมทิ้งของไว้ ข้าก็จะไม่ทำให้พวกเจ้าลำบากใจอีก พร้อมคุ้มครองพวกเจ้าออกจากแคว้นฉีอย่างปลอดภัย!”

ได้ยินเขากล่าวถึงราชสำนักฉี อวิ๋นฝูอีสะท้านใจ ไม่นานก็ตอบสนอง “เจ้าคือคนของราชสำนักฉี? เจ้าคือมู่หรงชิ่น?”

หลังราชวงศ์เยียนล่มสลาย สกุลมู่หรงร่อนเรพเนจรหลายยุคสมัย มู่หรงชิ่นเจ้าบ้านมู่หรงคนปัจจุบัน แม้อวดอ้างตนเองเป็นอนุชนราชนิกุลมู่หรง แต่กลับตกเป็นทาสราชวงศ์ฉีแล้ว รับใช้ฮ่องเต้ฉี เพียงเพราะมีชื่อเสียงยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งแคว้นฉี อยู่ภายนอกต่อหน้าเขามีคนรอบข้างเคารพยกย่องมากมายเพื่อที่จะประจบเขา

หากเปลี่ยนเป็นยามปกติ ต่อให้มู่หรงชิ่นมา อวิ๋นฝูอีก็ไม่กล้าที่จะสู้กับเขา แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมาเพื่อสิ่งที่ตนคุ้มกันมา หมายมั่นปั้นมือจะชิงไปให้จงได้ เช่นนี้ก็สื่อความหมายว่า…

“หลิวชิงหยากับซั่งกวนซิงเฉินเล่า!” นางสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ที่ถามคือหัวหน้าสาขาอีกสองคนที่เดินทางมาด้วยกัน

หูเหยียนได้ยินก็ตกใจ “หัวหน้าสาขาหลิวกับหัวหน้าสาขาซั่งกวนล้วนคุ้มกันสิ่งของอยู่ในห้อง คงไม่ถึงขั้น…”

อวิ๋นฝูอีกล่าวเสียงหนักๆ “คิดไม่ถึง เจ้าบ้านมู่หรงเป็นถึงยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งแคว้นฉี จะลอบโจมตีกลับต้องพาลูกน้องมาด้วย หากถ่ายทอดออกไปไม่พ้นทำให้ผู้คนขบขัน!”

มู่หรงชิ่นหัวเราะเยาะ “รองประมุขอวิ๋นออกศึกด้วยตัวเอง ข้าจะกล้ายกตนข่มท่านได้อย่างไร อีกทั้งคืนนี้ที่นี่มิได้มีเพียงพวกเรา…สารเลวจากที่ใดซุกซ่อนในที่ลับ ยังไม่ปรากฏตัวอีก!”

คำพูดนี้พอออกไป โดยรอบเงียบกริบ ไม่มีผู้ใดตอบเขา

อวิ๋นฝูอีขมวดคิ้ว นึกถึงเจ้าอาวาสวัดกับหลวงจีนน้อยสองรูปนั้นที่จนถึงตอนนี้ยังมิได้ปรากฏตัว และไม่รู้ว่าพวกเขาตกใจจนสลบไปแล้ว หรือว่ามีเหตุสุดวิสัยอื่น

กลับเป็นมู่หรงซวิ่นกับทั่วป๋าเหลียงเจ๋อที่ถูกส่งไปสืบค้นด้านโน้น จับเสิ่นเฉียวกับเฉินกง และหัวหน้าสาขาสองคนนั้นของพรรคลิ่วเหอกลับมา

“เจ้าบ้าน ในหีบนั้นล้วนเป็นขยะ ไม่มีสิ่งของที่พวกเราต้องการ!” ทั่วป๋าเหลียงเจ๋อกล่าว พลางโยนเฉินกงลงบนพื้นแรงๆ

เฉินกงร้องครวญครางอยู่ตลอดทางที่ถูกพาตัวมา อีกฝ่ายไม่ชอบให้เขาส่งเสียงจึงจี้จุดใบ้ของเขา ยามนี้เฉินกงแม้กระทั่งส่งเสียงร้องก็ร้องไม่ออก สีหน้าทุกข์ทรมานบิดเบี้ยว

พวกเขากระทำต่อเสิ่นเฉียวดีกว่าเล็กน้อย บางทีอาจเป็นเพราะสิ่งที่เขาเผยออกมาก่อนหน้าทำให้มู่หรงซวิ่นยำเกรงอยู่บ้าง แต่ยังคงยึดตรึงไหล่ของเสิ่นเฉียวเอาไว้แนบแน่น

ยามปกติหลิวชิงหยาและซั่งกวนซิงเฉินก็นับเป็นหัวหน้าสาขาพรรคลิ่วเหอที่บารมีแผ่ไพศาล ขณะนี้ถูกจี้จุดสำคัญทั่วร่าง สภาพจนมุม หน้าตาทรุดโทรม ทว่ายังคงฝืนกัดฟันไม่ยอมส่งเสียงใด

มู่หรงชิ่นมองดูพวกเขาแวบหนึ่ง “หากรองประมุขอวิ๋นยังสนใจชีวิตลูกน้องทั้งหลายของตน ก็มอบสิ่งของมา”

อวิ๋นฝูอีถอนหายใจ “เจ้าบ้านมู่หรงแค่ต้องการสินค้าที่พวกเราคุ้มกันมาในการเดินทางครั้งนี้กระมัง หีบสองใบที่อยู่ในห้องพวกหัวหน้าสาขาหลิว เจ้าพาคนไปหยิบเถอะ ฝีมือสู้มิได้ ข้าย่อมไม่มีอะไรจะกล่าว”

มู่หรงชิ่นแค่นหัวเราะอย่างเย็นชา “หีบสองใบนั้นของเจ้าเพียงแค่ตบตาคนเท่านั้น คิดว่าคนรอบข้างล้วนเป็นคนโง่หรือ สิ่งของที่ต้องคุ้มกันจริงๆ เกรงว่าถูกเจ้าพกติดตัวเอาไว้ ไม่ห่างแม้แต่ครู่เดียวกระมัง”

พอคำพูดนี้ออกไป กระทั่งพวกพรรคลิ่วเหอเองก็มองไปยังอวิ๋นฝูอีอย่างประหลาดใจ

อวิ๋นฝูอีสีหน้ามืดครึ้ม “เจ้าบ้านมู่หรงฟังข่าวลือมาจากที่ใดจึงคิดว่าเป็นจริง หีบสองใบนี้เป็นผู้อื่นไหว้วาน ขอให้พวกเราส่งกลับหนานเฉิน เจ้าของสิ่งที่ข้าคุ้มกันเจ้าเองก็รู้จักดี จะว่าไปยังเป็นพวกพ้องของเจ้าบ้านมู่หรง เซวียหรงพระอาจารย์รัชทายาทผู้ล่วงลับ หลังเขาป่วยตาย ครอบครัวสกุลเซวียวานพรรคลิ่วเหอส่งสิ่งของที่เหลือของเขากลับบ้านเกิดของพระอาจารย์น้อยเซวีย กาลก่อนประมุขของพวกเรากับพระอาจารย์น้อยเซวียมีไมตรีต่อกันหลายส่วน จึงสั่งให้ข้าคุ้มกันส่งด้วยตัวเอง ก็เพียงเท่านี้!”

มู่หรงชิ่นกล่าว “ในหีบสองใบนั้นล้วนใส่ของใช้เมื่อกาลก่อนของเซวียหรง ส่วนใหญ่เป็นหนังสือ แค่หนังสือสองหีบจัดการที่นั่นก็ได้ เหตุใดยังต้องเดินทางพันลี้ ส่งจากแคว้นฉีลงทางใต้”

อวิ๋นฝูอีกล่าว “เจ้าถามข้า ข้าไปถามใครได้อีก”

มู่หรงชิ่นกล่าวต่อ “ตั้งแต่พวกเจ้าเดินทางมา ถูกลอบทำร้ายจี้ปล้นซ้ำๆ หรือว่าคนเหล่านั้นต่างมาเพื่อหนังสือเก่าสองหีบของเซวียหรง”

“บางทีอาจมีคนคิดว่าพระอาจารย์น้อยเซวียเก็บสมบัตินับไม่ถ้วนขณะมีชีวิตอยู่ และคิดว่าสิ่งที่ใส่อยู่ในหีบสองใบนั้นล้วนเป็นเงินทองทรัพย์สมบัติกระมัง กลับคิดไม่ถึงว่าเขาจะโปร่งใส แม้กระทั่งทรัพย์สินที่เหลือก็มิได้ทิ้งไว้เท่าใดนัก”

มู่หรงชิ่นกล่าวเสียงเย็นชา “ในสิ่งของที่เหลือของเซวียหรง มีหนังสือ ‘เก็บทรัพย์ในสมุทร’ เล่มหนึ่ง ขอให้รองประมุขอวิ๋นมอบออกมา”

อวิ๋นฝูอีกล่าว “หนังสือล้วนอยู่ในหีบสองใบนั้น ด้านในมีก็คือมี ไม่มีก็คือไม่มี หีบล้วนรอให้จัดการแล้ว เจ้ายังให้ข้ามอบอะไรอีก”

มู่หรงชิ่นมองไปยังพรรคพวกทั้งสอง มู่หรงซวิ่นกล่าวขึ้นว่า “หลานหาทั่วแล้ว หาได้มีหนังสือที่เรียกว่าเก็บทรัพย์ในสมุทรไม่”

ในอากาศถ่ายทอดเสียงหัวเราะคิกคัก “เจ้าบ้านมู่หรงมีความอดทนเสียจริง หากอ้อมค้อมต่อไปเช่นนี้ เกรงว่ารองประมุขอวิ๋นคงแสร้งโง่จนถึงที่สุดเป็นแน่ มิสู้เจ้าบอกมาตามตรงจะดีกว่า หนังสือเก็บทรัพย์ในสมุทรเล่มนั้นเป็นเพียงปก สิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในคือเล่มจิตเพ้อพกของคัมภีร์สุริยัน ให้นางมอบชิ้นส่วนของคัมภีร์สุริยันออกมาโดยตรง!”

หรือว่าโดยรอบยังซ่อนคนอื่นไว้อีก!

หูเหยียนหูอวี่สองพี่น้องเผยสีหน้าประหลาดใจสงสัย รีบชะโงกมองรอบด้าน กลับมองเห็นแต่กิ่งไม้หนาทึบ ในวัดเงียบสงัด ไหนเลยจะมีเงาคนสักสาย

ทว่าขณะต่อมา พวกเขาก็มองเห็นหลังเสามีเงาร่างเงาหนึ่งเพิ่มขึ้นมา

บทสนทนาของคนเหล่านี้ เมื่อครู่เฉินกงกลั้นความเจ็บปวดตั้งใจฟังอยู่ครึ่งค่อนวัน พบว่าตนเองฟังไม่เข้าใจแม้แต่ประโยคเดียว ปณิธานที่จะเข้าร่วมพรรคลิ่วเหอแต่เดิมหายไปนานแล้ว เขาถูกลงโทษพักหนึ่ง เจ็บจนทั่วร่างผุดเหงื่อ ยามนี้ความเจ็บปวดบรรเทาเล็กน้อย จึงมีแรงเหลือเงยหน้าขึ้นไปมองดูเงาคนสายนั้น แต่พอมองไปก็ตกใจจนสะดุ้ง คิดในใจว่าไม่มองยังดีเสียกว่า

ภายใต้แสงจันทร์ปรากฏศีรษะโล้นเลี่ยน สวมจีวร เห็นได้ชัดว่าเป็นหลวงจีนน้อยรูปหนึ่งในวัดชูอวิ๋น

เพราะในวัดมีอาคันตุกะหญิง ฉะนั้นหลวงจีนน้อยทั้งสองจึงยกห้องให้อวิ๋นฝูอีอยู่ พวกเขาย้ายมานอนรวมกับพวกเฉินกง เมื่อครู่ขณะเฉินกงลุกขึ้นมาชมความสนุก โดยรอบมืดมิดไร้แสงไฟ เขารู้เพียงคนของพรรคลิ่วเหอออกไปแล้ว แต่ก็มิได้ดูอย่างละเอียดว่าหลวงจีนน้อยทั้งสองยังอยู่หรือไม่

แต่ตอนนี้ฟังไป สุ้มเสียงของหลวงจีนน้อยรูปนั้นแตกต่างกับก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัด เพราะกลับกลายเป็นเสียงสตรีอันอ่อนหวาน!

เฉินกงรู้สึกเพียงหัวสมองสับสนวุ่นวาย ไม่เข้าใจว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

แต่จุดสนใจของคนอื่นกลับไม่อยู่ที่หลวงจีนน้อยถูกคนลอบสับเปลี่ยน หรือว่ามิใช่หลวงจีนน้อยตัวจริงตั้งแต่แรก

สีหน้าของคนทั้งหมดล้วนเปลี่ยนแปลงขณะนางกล่าวคำว่า ‘คัมภีร์สุริยัน’ ออกมา

อวิ๋นฝูอีกล่าว “ท่านคือผู้ใดอีก หลบๆ ซ่อนๆ หรือว่าไม่อยากให้คนรู้”

‘หลวงจีนน้อย’ กล่าวเสียงอ่อนหวาน “เดิมทีผู้อื่นคิดแฝงเข้ามาอย่างลับๆ ล่อๆ ค่อยนำสิ่งของไปอย่างลับๆ ล่อๆ น่าเศร้าที่รองประมุขอวิ๋นไม่ให้โอกาสนี้แก่ข้า เจ้าบ้านมู่หรงยังสอดมือกลางคัน ทำให้ข้ามิอาจไม่ปรากฏตัว”

อวิ๋นฝูอีไม่กระจ่างถึงที่มาของอีกฝ่าย กำลังขมวดคิ้วสังเกต ฝ่ายตรงข้ามยิ้มพลางกล่าวอีก “รองประมุขอวิ๋นคิดว่าสงวนท่าทีรอบคอบ เงียบเชียบไร้สุ้มเสียง แต่คิดไม่ถึงว่าตั้งแต่พวกเจ้าออกจากเมืองหลวงก็ถูกคนนับไม่ถ้วนเพ่งเล็งแล้ว คนทั้งสองกลุ่มก่อนหน้าเป็นเพียงปลาเล็กปลาน้อย ไม่ควรค่าให้กล่าวถึง คืนนี้ต่างหากคือการรวมตัวของผู้เด่นล้ำ เกรงว่านอกจากพวกเรานิกายเหอฮวนกับเจ้าบ้านมู่หรง ยังมียอดฝีมือมิได้เผยหน้าอีกกระมัง ฤกษ์ยามเหมาะเจาะ ยากที่จะรวมตัวอยู่ที่เดียวกัน เหตุใดไม่เรียกคนอื่นออกมาให้หมด ทุกคนพูดคุยถึงไมตรี และพูดคุยถึงชิ้นส่วนของคัมภีร์สุริยันว่าจะแบ่งสรรอย่างไรกันแน่ ให้ผู้แข็งแกร่งได้ไปหรือว่าฉีกเป็นหลายส่วน ทุกคนต่างถือคนละส่วน”

น้ำเสียงแฝงความเยาะเย้ย ตลกขบขันอย่างยิ่ง ที่นั่นกลับไม่มีผู้ใดหัวเราะ

อวิ๋นฝูอีหนักใจ

มู่หรงชิ่นคนเดียว นางยังฝืนรับมือได้ แต่นิกายเหอฮวนกระทำการพิสดาร สถานการณ์จึงรับมือยากขึ้นอย่างยิ่ง อนึ่งฟังความหมายภายใต้คำพูดที่ฝ่ายตรงข้ามกล่าว คล้ายยังมีคนซุกซ่อนอยู่ในที่ลับมิได้ปรากฏตัว

มู่หรงชิ่นกล่าวเสียงหนักๆ “รองประมุขอวิ๋น เจ้าเองก็เห็นแล้ว คืนนี้ยอดฝีมือที่วัดชูอวิ๋นมีมากดุจเมฆ อาศัยเพียงเจ้าคนเดียวคงรับมือไม่ไหว หากเจ้ายอมมอบคัมภีร์สุริยันมา ข้าย่อมปล่อยเจ้าไปในนามของราชสำนัก อีกทั้งคุ้มครองพวกเจ้าออกจากชายแดนอย่างปลอดภัย”

“เจ้าบ้านมู่หรงแม้เป็นคนของราชสำนัก แต่ด้วยอำนาจในแคว้นฉีของนิกายเหอฮวนเรา เกรงว่าจะมีคุณสมบัติกล่าวคำพูดนี้มากกว่า” หลวงจีนน้อยที่รูปโฉมซื่อตรงธรรมดาเดินมาจากหลังเสา พลางกระหยิ่มยิ้มย่องกล่าว

และมิได้เห็นนางมีท่าทีใดๆ มู่หรงซวิ่นที่อยู่ด้านข้างจึงส่งเสียงอา รีบปล่อยเสิ่นเฉียวออก ถอยปราดไปด้านหลังหลายก้าว

มู่หรงชิ่นขยับกายเล็กน้อย แล้วจึงขวางอยู่เบื้องหน้ามู่หรงซวิ่นในชั่วขณะ แสงรำไรสองสายในแขนชุดคลุมลอยโฉบออก คนกระโจนตามไปหาหลวงจีนน้อย

ภายใต้แสงจันทร์ เฉินกงมองดูแขนชุดคลุมของสองคนนั้นฉวัดเฉวียนอย่างเหม่อลอย แสงเงาตัดสลับ บรรยายรายละเอียดการปะทะกันของความเป็นและความตายประดุจดอกท้อเบ่งบาน พลันตระหนักได้ว่าก่อนหน้าตนเดือดดาลเพราะพรรคลิ่วเหอไม่ยอมรับตนเอง เป็นความคิดที่น่าขันเสียนี่กระไร และความเข้าใจต่อยุทธภพที่ตนเองว่าก็ไร้เดียงสาเสียนี่กระไร

เขาอดหันไปมองดูเสิ่นเฉียวมิได้

ในมือเสิ่นเฉียวยังคงถือไม้เท้าไม้ไผ่อันนั้น ยืนอยู่อย่างนิ่งเงียบยิ่ง ครึ่งร่างซ่อนเร้นอยู่ในเงามืด แทบชวนให้ไม่สังเกตเห็นเขา

เสิ่นเฉียวผู้นี้ คล้ายธรรมดาเหลือเกิน แต่ก็คล้ายซ่อนปริศนาหลายชั้น ชวนให้คาดเดาไม่ได้

มู่หรงชิ่นกับหลวงจีนน้อยประมือกันทางโน้น อวิ๋นฝูอีมองดูกลุ่มคนทางนั้นแวบหนึ่ง ผุดความคิดเล็กน้อย ฝ่าเท้าก็ขยับตาม

ฝีเท้าของนางมิอาจเรียกว่าไม่เร็ว ก้าวเดียวคือสิบก้าวของคนทั่วไป ย่างก้าวแช่มช้อย ไม่ทิ้งร่องรอย

ทว่านางเพิ่งก้าวออกไปเพียงก้าวนั้น ด้านหลังก็มีแรงกดหนักอึ้งดั่งเขาไท่ซานตามติดอยู่เบื้องหลัง กดลงใส่ศีรษะ

มู่หรงชิ่นกับหลวงจีนน้อยที่กำลังประมือกันอย่างเต็มที่กลับลงมือใส่อวิ๋นฝูอีโดยพร้อมเพรียง!

หลวงจีนน้อยหัวเราะเสียงอ่อนหวาน ไม่ลืมสัพยอก “รองประมุขอวิ๋นเองก็ใจแคบเหลือเกิน ลูกน้องของเจ้ายังอยู่ที่นี่ เจ้าคิดจากไปโดยไม่เหลียวแล นี่คือพฤติการณ์ที่พึงมีของผู้นำหรือ หากถ่ายทอดออกไปภายหลังใครยังกล้าติดตามเจ้า”

อวิ๋นฝูอีรู้ดีว่าสิ่งของอยู่ที่ตน พวกหลิวชิงหยาไม่สำคัญอะไรและพวกมู่หรงชิ่นไม่แยแสเลย คงไม่มีอันตรายอะไรในฉับพลันทันใด จึงตัดสินใจไปก่อนเพียงลำพัง ยามนี้หลวงจีนน้อยมีเจตนาปลุกปั่น นางเองก็มิได้กล่าวสักคำ มู่หรงชิ่นคนเดียวทำให้นางแบ่งเวลาว่างมิได้ กอปรกับปีศาจสาวนิกายเหอฮวน ความกดดันเพิ่มเป็นเท่าตัวโดยแท้

ยึดถือคนทั้งสามนี้เป็นจุดศูนย์กลาง พลังปราณสามกลุ่มปะปนปะทะกัน คนรอบข้างเกรงว่าจะถูกลูกหลง มิอาจไม่ถอยหลบออกไป หลิวชิงหยากับซั่งกวนซิงเฉินมิได้โชคดีเพียงนั้น ทั้งคู่มิอาจขยับเขยื้อนและไม่รู้โชคร้ายถูกพลังปราณกลุ่มใดชนใส่ กระอักเลือดคำใหญ่ทันที หูเหยียนหูอวี่ตกใจหน้าถอดสี เข้าไปหมายลากคนออกมา แต่กลับพบว่าตนเองมิอาจเข้าใกล้วงรบของสามคนนั้นได้เลย

หลวงจีนน้อยกับมู่หรงชิ่นดูคล้ายร่วมมือกัน แต่ความจริงต่างก็ยำเกรงซึ่งกันและกัน ป้องกันอีกฝ่ายลอบทำร้ายตนเองจึงยังกักฝีมืออยู่บ้าง อวิ๋นฝูอีเดิมทีใช้หนึ่งต้านสอง สถานการณ์เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แต่เนื่องเพราะฝ่ายตรงข้ามทั้งสองคนต่างมีความกังวล นางหาสมดุลอันลึกล้ำจากในนั้น ค้ำยันไว้อย่างยากลำบาก

แต่สถานการณ์สมดุลที่อันตรายเช่นนี้ไม่นานก็ถูกทำลาย ไม่รู้เพราะเหตุใด มู่หรงชิ่นพลันเปลี่ยนความคิด มีดปีกจักจั่นผ่านหน้าอวิ๋นฝูอีและพุ่งไปทางหลวงจีนน้อย พอเห็นดังนั้นก็มิอาจไม่พุ่งกายหลบออก อีกทั้งคมมีดบางกลับตามติดเหมือนเงา ไม่ตายไม่เลิกรา

หากกล่าวถึงเรื่องพละกำลัง มู่หรงชิ่นสูงกว่า ‘หลวงจีนน้อย’ หนึ่งขุม เพียงแต่เมื่อครู่ทั้งสองฝ่ายมีเป้าหมายร่วมกัน ระยะห่างเช่นนี้จึงมิได้เปิดเผยออกมา ยามนี้สถานการณ์พลิกผัน คนที่หนักหนาสาหัสก็เปลี่ยนเป็นหลวงจีนน้อย ด้านหลังคือเสา เหนือศีรษะคือชายคา นางถอยจนมิอาจถอย หางตาเหลือบเห็นเฉินกงที่อยู่บนพื้นด้านข้าง จึงไปจับคนโดยไม่แม้แต่จะคิด หมายนำมาเป็นเกราะกำบัง

ฉากนี้ในสายตาของคนที่วรยุทธ์ต่ำทรามถึงขั้นไม่เป็นวรยุทธ์เกิดเพียงพริบตา ท่าทางของคนเหล่านี้ประหนึ่งแสงเงาวูบวาบ มองเห็นรายละเอียดไม่ชัดเจน

เฉินกงถึงขั้นมิทันสังเกตว่าหลวงจีนน้อยยื่นมือมาหาตนเอง ยังคงหันหน้ามองดูทางด้านอวิ๋นฝูอีและมู่หรงชิ่น

เสิ่นเฉียวพบแล้ว

ตอนนี้เขาไม่มีกำลังภายในสักนิด วรยุทธ์ที่ว่าก็จำได้เพียงเศษเสี้ยว ลืมนั่นลืมนี่อยู่เสมอ สุขภาพไม่ดี ไอเป็นเลือดเป็นระยะ ซ้ำยังตาบอด แต่เขามิอาจนิ่งดูดาย

ฉะนั้นเขาจึงเลือกยื่นมือช่วยเหลือ

ขณะเฉิงกงถูกผลักล้มแรงๆ ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

หลวงจีนน้อยเห็นคนที่หมายจะจับแต่เดิมถูกเปลี่ยนเป็นไม้เท้าไม้ไผ่อันหนึ่ง ก็ส่งเสียงร้องเอ๊ะอย่างเลี่ยงมิได้

ชั่วอึดใจเปลี่ยนแปลงมากหลาย ประกายมีดบรรลุถึงแล้ว หลวงจีนน้อยได้แต่ปล่อยไม้เท้าไม้ไผ่ออก ฝ่ามือขาวนุ่มหนีบนิ้วราวเด็ดบุปผา ฝืนรับคมบางนั้นเอาไว้

คมบางทะลุผ่านพลังปราณผ่าเข้าไป เสียบฝ่ามือของหลวงจีนน้อย หากมิใช่นางใช้เรี่ยวแรงหมดสิ้นจับเอาไว้แนบแน่น พลังมีดต้องไม่หยุดเพียงเท่านี้แน่

ฝ่ามือของหลวงจีนน้อยโลหิตไหลรินทันที

หากมิใช่ไม้เท้าไม้ไผ่อันนั้นทำเสียเรื่องกลางคัน ตอนนี้นางคงจับตัวตายตัวแทนได้นานแล้ว คงไม่ถึงขั้นได้รับบาดเจ็บ บนหน้านางปรากฏความโหดร้ายและจิตสังหาร ไม่สนใจอวิ๋นฝูอีกับมู่หรงชิ่นทางโน้นแล้ว นางงอนิ้วเป็นกรงเล็บ ตะปบใส่ศีรษะเสิ่นเฉียวทันที!

ที่มู่หรงชิ่นทิ้งอวิ๋นฝูอีไปคิดบัญชีหลวงจีนน้อย เป็นเพราะเขารู้ว่าคืนนี้อวิ๋นฝูอียากที่จะปลีกตัว ไม่ว่าใครรั้งนางอยู่ต่อล้วนไม่สำคัญ

ดังคาด เสียงชิ่ง หยกดังขึ้นท่ามกลางความมืดมัว สดใสกังวานไกล เมื่อคนรอบข้างได้ยินพลันหูตาสว่างเพราะมัน ทว่าเข้าสู่โสตของอวิ๋นฝูอีกลับเหมือนพันเข็มแทงเนื้อ หมื่นกระบี่ทะลุหัวใจ ทั่วร่างยากรับความผิดปกติได้ พลังปราณและกำลังภายในที่คิดจะโคจรก็หยุดชะงักเอาดื้อๆ

เป็นผู้ใดอีก!

อวิ๋นฝูอีหวาดผวาในใจ ไม่มีเวลาว่างอีก ทุ่มเทแรงทั้งหมดหมายตามไป แต่กลับพบว่าตนเองราวกับถูกตาข่ายล่องหนผืนหนึ่งสกัดเอาไว้ ขยับเขยื้อนมิได้แม้แต่ก้าวเดียว

นางคิดเอาเองว่าแม้วรยุทธ์ไม่อยู่ในสิบอันดับแห่งใต้หล้า แต่ก็ไม่ถึงขั้นย่ำแย่เช่นนี้ ยามนี้จึงรู้ว่าผิดมหันต์ คนผู้นี้ยังมิได้เผยหน้าก็ยับยั้งนางจนสิ้นท่าแล้ว

หรือว่าคืนนี้สิ่งของในตัวของตนเองถูกลิขิตให้รักษาไว้ไม่อยู่ คิดถึงตรงนี้ อวิ๋นฝูอีบังเกิดความสิ้นหวังเล็กน้อยอย่างเลี่ยงมิได้

อีกด้านหนึ่ง หลวงจีนน้อยคว้าไปยังเสิ่นเฉียว นิ้วทั้งห้าว่องไวปานฟ้าแลบ ไม่มีความลังเลหรือหยุดชะงักสักนิด

หากกล่าวถึงเรื่องสู้ตัวต่อตัว บางทีนางอาจยังมิสู้อวิ๋นฝูอีหรือมู่หรงชิ่น แต่รับมือเสิ่นเฉียวคนเดียวย่อมเหลือเฟือ สำเร็จได้โดยไม่เปลืองแรง

เมื่อครู่เสิ่นเฉียวสกัดหลวงจีนน้อยไม่ให้จับเฉินกงไว้ได้ กระบวนท่านั้นถึงแม้แยบยล แต่ก็อาศัยจังหวะที่เหนือความคาดหมาย

ในขณะที่หลวงจีนน้อยกำลังลงมือ เขาไม่มีแรงโต้ตอบเลย

พลังปราณยิ่งใหญ่ทรงอำนาจ มาพร้อมกับรังสีสังหารท่วมฟ้า ระหว่างคนทั้งสองยังคงห่างกันห้าหกก้าว เสิ่นเฉียวก็รู้สึกแล้วว่าหายใจไม่ออก กระดูกหน้าอกเจ็บปวดเป็นพักๆ เบื้องหน้ามืดสนิท ไม่อาจรับรู้ได้กระทั่งพื้นที่ยืนอยู่ ทั่วร่างอ่อนระทวย มีเพียงวงนั้นที่หน้าอกเหมือนถูกไฟลน อึดอัดจนต้องบ้วนโลหิตคำใหญ่ออกมาจึงโล่งสบาย

หลวงจีนน้อยเองก็มิได้เห็นเสิ่นเฉียวอยู่ในสายตาเลย สำหรับนางแล้ว คนผู้นี้ยุ่งเรื่องชาวบ้านแต่กลับไม่คำนึงถึงตัวเองก่อน สมควรตายโดยแท้จริง

ต่อหน้าคนผู้หนึ่งแม้หน้าตาน่ามองเช่นนี้ก็ไม่มีประโยชน์

เสิ่นเฉียวในสายตานางคือของตาย

ทว่าในขณะที่ปลายนิ้วของนางแตะถูกลำคอของฝ่ายตรงข้ามพอดี ก็กลับเกิดเหตุสุดวิสัยขึ้นอีกแล้ว

ครั้งนี้มิได้มาจากเสิ่นเฉียว

พลันมีมือข้างหนึ่งงอกออกมาจากอากาศท่ามกลางความมืดมิด จับไปยังข้อมือของหลวงจีนน้อย

ความเร็วไม่เร็ว ธรรมดาไม่ผิดแผก ไม่มีลูกไม้แต่อย่างใด

มือข้างนี้เรียวยาวขาวผ่อง เกลี้ยงเกลาไร้ร่องรอย มองออกว่าเป็นมือข้างหนึ่งของบุรุษ อีกทั้งต้องใช้ชีวิตท่ามกลางความมั่งคั่งทรงเกียรติแรมปี อยู่ในตำแหน่งสูงส่งเป็นแน่

หลวงจีนน้อยมิเพียงไม่มีความคิดชื่นชม แต่กลับหวาดผวาอย่างยิ่ง

เนื่องเพราะนางไม่รู้เลยว่ามือข้างนี้โผล่ออกมาจากที่ใด ได้แต่ยอมให้อีกฝ่ายจับกระดูกข้อมือเอาไว้ ไม่มีแรงตอบโต้แม้แต่น้อย!

“โอ๊ย!” กระดูกข้อมือถ่ายทอดความเจ็บปวดวูบหนึ่งมา นางอดร้องอุทานขึ้นมิได้

บุรุษคนใดได้ยินสุ้มเสียงนี้ ต่อให้ไม่เกิดความเอ็นดู อย่างน้อยท่าทางก็ต้องชะงักเล็กน้อย น่าเสียดายนางมีใบหน้าของหลวงจีนน้อยอันซื่อตรง ผลลัพธ์ไม่ค่อยเหมือนที่คิดไว้ ซ้ำยังพบเจอกับผู้ที่ใจแข็งเหมือนหิน ในขณะที่กระดูกข้อมือถูกบีบละเอียด คนเองก็ลอยขึ้นตาม แต่มิใช่นางเป็นฝ่ายหนีไปเอง กลับถูกเหวี่ยงออกไป

เรือนร่างอรชรกระแทกกับเสาโดยตรง แม้กระทั่งเสาก็คล้ายสั่นสะเทือน หลวงจีนน้อยจนมุมกลิ้งตกลงมา กระอักเลือดติดต่อกันหลายคำ

ข้อมือข้างหนึ่งของนางถูกบีบละเอียด มืออีกข้างหนึ่งก็ถูกคมบางปีกจักจั่นทะลุผ่านเมื่อครู่ โลหิตไหลเต็มสองมือ น่าเวทนาเท่าใดก็น่าเวทนาเท่านั้น

แต่นางคล้ายหาได้ใส่ใจสภาพน่าเวทนาเช่นนี้ไม่ กลับจ้องคนที่ลงมือทำร้ายตนเอาไว้เขม็ง น้ำเสียงไม่ชัดเจนเพราะเลือดเต็มปาก “เจ้าคือใคร…”

คนชุดเขียวจึงกล่าวขึ้น “ไม่ต้องมองข้าเช่นนี้ ต่อให้ซางอิ่งสิงกับหยวนซิ่วซิ่วร่วมมือกัน ก็มิอาจปากกล้าบอกว่าต้องชนะข้าแน่ นับประสาอะไรกับเจ้า”

ไป๋หรงสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อยก่อนกล่าว “เรียนถามท่านมีชื่อแซ่สูงส่งอันใด”

อีกด้านหนึ่งก็มีคนไขข้อสงสัยของนางแล้ว “ไม่ทราบประมุขเยี่ยนปรากฏตัวอยู่ที่นี่ด้วยเหตุใด”

ประมุขเยี่ยน…เยี่ยนอู๋ซือ?!

ไป๋หรงเบิกตาเล็กน้อย ไม่อยากจะเชื่อ

เป็นศิษย์ที่มีตำแหน่งสูงสุดในนิกายเหอฮวน นางได้ยินชื่อของเยี่ยนอู๋ซือบ่อยครั้ง สามนิกายพรรคมารแม้ถือกำเนิดมาด้วยกัน แต่ไม่กลมเกลียวกันนานแล้ว โดยเฉพาะในช่วงสิบปีนี้ที่เยี่ยนอู๋ซือเก็บตัวอย่างไร้ร่องรอย นิกายเหอฮวนฉวยโอกาสซ้ำเติมไม่น้อย หาเรื่องนิกายฮ่วนเยวี่ย บัดนี้เยี่ยนอู๋ซือปรากฏตัวในยุทธภพอีกครั้ง แผลที่ตนเองได้รับ…ก็ไม่นับว่าไม่ยุติธรรม

เยี่ยนอู๋ซือแค่นหัวเราะอย่างเย็นชาแล้วกล่าวว่า “เจ้าโล้นยังมาได้ เหตุใดข้ามิอาจอยู่ที่นี่”

หลวงจีนที่มือถือชิ่งหยกเดินออกมาจากความมืดมิดอย่างเชื่องช้าพร้อมกับสุ้มเสียงของเขา แต่มิใช่ ‘เจ้าโล้น’ เหมือนที่เยี่ยนอู๋ซือกล่าว ฝ่ายตรงข้ามหน้าตาราวหยก ดูเหมือนอายุเพียงสามสิบกว่าปี จีวรขาวโพลนไร้ฝุ่น ไม่มีความจำเป็นต้องกล่าวคำ ทั่วร่างก็เขียนเต็มไปด้วยคำว่า ‘ภิกษุบรรลุธรรม’ แล้ว

การปรากฏตัวครั้งนี้ของเขา รุ่นเยาว์อย่างพวกมู่หรงซวิ่นกับทั่วป๋าเหลียงเจ๋อไม่ตอบสนอง แต่มู่หลงชิ่นกับอวิ๋นฝูอีกลับสีหน้าแปรเปลี่ยน

มู่หรงชิ่นตะโกน “คิดไม่ถึงเสวี่ยถิงไต้ซือเป็นราชครูแห่งแคว้นโจว ประมุขเยี่ยนปรมาจารย์แห่งยุค ทั้งสองท่านเป็นยอดฝีมือละทางโลก แต่กลับลับๆ ล่อๆ แอบซ่อนในที่ลับ แฝงเข้ามาชิงชิ้นส่วนของคัมภีร์สุริยันในแคว้นฉีโดยพลการ คิดฉวยโอกาสเอาเปรียบ น่าขายหน้าหรือไม่”

หลวงจีนเสวี่ยถิงกล่าว “เจ้าบ้านมู่หรงไม่จำเป็นต้องตื่นเต้นเช่นนี้ หลังจิ้นกั๋วกงตาย ฝ่าบาทแคว้นโจวห้ามนับถือพุทธและเต๋า อาตมาจึงมิใช่ราชครูแห่งราชวงศ์โจวนานแล้ว ที่มาคืนนี้เพียงแค่รับการไหว้วานจากสหายเก่า หวังว่ารองประมุขอวิ๋นจะมอบสิ่งของให้อาตมา เพื่อนำกลับคืนเจ้าของเดิม นับว่าคืนความปรารถนาของเจ้าของเดิม”

ไป๋หรงบ้วนเลือดออกมาคำหนึ่ง หัวเราะเล็กน้อยก่อนกล่าว “ข้าไม่เคยเห็นหลวงจีนที่หนังหน้าหนาเพียงนี้มาก่อน เป็นตนเองเห็นสมบัติแล้วเกิดความปรารถนาชัดๆ กลับบอกว่าได้รับการไหว้วานจากสหายเก่าอะไร ใต้หล้าใครไม่รู้ว่าหลังเถาหงจิ่งตาย คัมภีร์สุริยันก็กลายเป็นสิ่งไร้เจ้าของ หรือว่าเถาหงจิ่งเข้าฝันขอให้เจ้ารวบรวมคัมภีร์สุริยันเผาไปให้เขา”

หลวงจีนเสวี่ยถิงไม่ยินดียินร้าย พนมมือทั้งสอง เหมือนไม่ได้ยินคำพูดของไป๋หรงเลย

มีคนเพิ่มมาสองคน มู่หรงชิ่นกับไป๋หรงมิกล้าลงมือกับอวิ๋นฝูอีอย่างง่ายดายอีก แต่อวิ๋นฝูอีกลับหาได้รู้สึกผ่อนคลายด้วยเหตุนี้ไม่ จิตใจกลับหนักอึ้งยิ่งกว่าเดิม

หลังจากฉีเฟิ่งเก๋อตาย วรยุทธ์ในใต้หล้าไม่มีใครเกินสิบอันดับ

แต่ในสิบคนนี้ หลวงจีนเสวี่ยถิงกับเยี่ยนอู๋ซือล้วนมีชื่อเสียง หลวงจีนเสวี่ยถิงสูงล้ำยากหยั่ง อีกทั้งอาจไต่เต้าสู่สามอันดับแรก เยี่ยนอู๋ซือสาบสูญหลายปี แต่ครั้นปรากฏตัวในยุทธภพอีกครั้ง ก็เอาชนะคุนเสียยอดฝีมือแห่งยุคคนใหม่แห่งทูเจวี๋ยที่เคยเอาชนะเจ้าสำนักเขาเสวียนตู

คนใดก็ตามในสองคนนี้ ล้วนมิใช่ผู้ที่อวิ๋นฝูอีจะรับมือได้ ใครจะไปรู้ว่ามาทีเดียวกลับมาทั้งสองคน

เมื่อนึกถึงการไหว้วานจากโต้วเยี่ยนซานผู้เป็นประมุข นางก็รู้สึกขมฝาดทั้งปาก

มิใช่นางไม่คิดพยายามสุดความสามารถ แต่สถานการณ์ในคืนนี้เหนือความคาดหมายโดยแท้จริง

แม้ระหว่างคนเหล่านี้จะไม่สมัครสมาน แต่พวกเขาล้วนมีเป้าหมายร่วมกัน นั่นก็คือชิ้นส่วนของคัมภีร์สุริยันในตัวนาง

คัมภีร์สุริยันที่เถาหงจิ่งเขียนมีทั้งหมดห้าเล่ม แบ่งเป็นใช้ห้าธาตุสอดคล้องกับอวัยวะภายใน ซ้ำยังแบ่งเป็นญาณสัมผัส ภูตพราย สัมภเวสี แก่นขุ่นมัว และจิตเพ้อพก ห้าส่วน ผสมผสานกับแนวคิดของหรู พุทธ และเต๋า ได้ชื่อว่าเป็นหนังสือประหลาดที่ไม่เคยมีมาก่อน ตอนนี้มีสามเล่มที่ทราบที่อยู่แล้ว กระจายไปตามวังแคว้นโจว เขาเสวียนตู และนิกายเทียนไถ อีกสองเล่มไม่รู้ร่องรอย

อาศัยชิ้นส่วนคัมภีร์ในมือตนเอง เขาเสวียนตูกับนิกายเทียนไถกุมอำนาจของเต๋าและพุทธ ประดุจมหานิกายแห่งวิชายุทธ์ในใต้หล้า ฉีเฟิ่งเก๋อกลายเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าเพราะโอกาส

แม้กล่าวว่าเสิ่นเฉียวศิษย์ของเขาไม่ค่อยพากเพียร ถูกคนโจมตีจนตกจากยอดเขา แต่นี่เป็นเพียงความไม่เชี่ยวชาญวิชาของเสิ่นเฉียวเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับคัมภีร์สุริยัน แม้ว่าได้ครอบครองเพียงเล่มเดียว แต่หากสำเร็จแก่นสาร แตกฉานความลี้ลับในนั้น ไม่แน่ว่าจะมิอาจมีความสามารถอันดับหนึ่งในใต้หล้าเหมือนฉีเฟิ่งเก๋อ

สามเล่มที่มีเบาะแสตอนนี้ถูกแต่ละสำนักเก็บซ่อนไว้อย่างดี คนอื่นคิดแย่งชิงมิใช่ง่ายดายเพียงนั้น อีกสองเล่มคือสิ่งไร้เจ้าของ ผู้มีความสามารถจึงได้มันไป ฉะนั้นขณะที่ข่าวคราวว่าชิ้นส่วนของคัมภีร์สุริยันที่อวิ๋นฝูอีพกติดตัวเผยแพร่ออกไปเงียบๆ พวกเขาจึงล่อผู้ปล้นชิงมาชุดแล้วชุดเล่า

คนพรรคลิ่วเหอไม่รู้ความจริง ยังคิดว่าในหีบสองใบนั้นซ่อนสมบัติล้ำค่าอะไรไว้เสียอีก ขณะได้ยินว่าอวิ๋นฝูอีพกชิ้นส่วนคัมภีร์สุริยันติดตัว ทั้งหมดพลันตกตะลึง จวบจนบัดนี้ยังมิได้ตอบสนองขึ้นมา

ท่ามกลางความนิ่งเงียบที่หลายฝ่ายคุมเชิง ต่างยำเกรงซึ่งกันและกัน กลับไม่มีผู้ใดยอมลงมือก่อน

มู่หรงชิ่นมีความคิดปล้นชิง แต่เขาเองก็รู้ว่า ขอเพียงเมื่อตนเองลงมือ หลวงจีนเสวี่ยถิงกับเยี่ยนอู๋ซือต้องขัดขวางเป็นแน่

อวิ๋นฝูอีอยู่กึ่งกลางวังวน ลอบร้อนรน อับจนหนทาง

นางรู้แก่ใจว่าต่อให้คืนนี้ข้ามผ่านปัญหาไปได้ พรุ่งนี้ข่าวถ่ายทอดออกไป คนที่มาชิงสมบัติรังแต่จะมากขึ้น แม้กระทั่งคนของนิกายปี้สยาแห่งเขาไท่ซานและอารามศึกษาหลินชวนก็จะถูกล่อมา ถึงเวลาพรรคลิ่วเหอไหนเลยจะยังมีช่วงเวลาสงบสุขได้

นางตัดสินใจแสวงหาเป้าหมายรองลงมา เลือกคนผู้หนึ่งที่ดูแล้วไว้ใจได้ที่สุด “ผู้มีความสามารถจึงจะได้มันไป คำพูดนี้กล่าวได้ถูกต้อง พรรคลิ่วเหอความสามารถไม่พอ ฝืนซ่อนสมบัติ เป็นเคราะห์มิใช่โชค ข้ายอมมอบชิ้นส่วนของคัมภีร์สุริยันเพื่อแสวงหาความสงบสุข เรียนถามไต้ซือ หากข้ามอบชิ้นส่วนคัมภีร์ให้ท่าน ท่านรับประกันความปลอดภัยของข้ากับลูกน้องทั้งหลายได้หรือไม่”

หลวงจีนเสวี่ยถิงท่องนามพระพุทธเจ้าก่อนกล่าว “รองประมุขอวิ๋นคำนึงถึงส่วนรวม อาตมาไหนเลยจะกล้าเพิกเฉย!”

อวิ๋นฝูอีชั่งใจหลายครั้ง สุดท้ายลอบกัดฟัน ล้วงกระบอกไม้ไผ่เล็กๆ กระบอกหนึ่งออกมาจากในอกเสื้อ หูเหยียนหูอวี่ชะโงกหน้าดูอย่างเลี่ยงไม่ได้ แม้แต่ไป๋หรงเองก็อดยืดตัวตรงมิได้ ยากที่จะจินตนาการว่าในกระบอกไม้ไผ่ธรรมดาที่เล็กกว่าข้อมือสตรีกระบอกนี้กลับซ่อนชิ้นส่วนของคัมภีร์สุริยันที่ผู้คนในใต้หล้าปรารถนาเอาไว้

สองมือไป๋หรงได้รับบาดเจ็บ ไร้แรงต่อสู้ ถือโอกาสพิงกับเฉลียงพลางชมดูความสนุก

มู่หรงชิ่นกลับแปรเป็นเงาสายหนึ่งแล้ว เป้าหมายคือกระบอกไม้ไผ่กระบอกนั้น

ไม่รอให้เขาเข้าใกล้อวิ๋นฝูอี กระแสลมฝ่ามือของหลวงจีนเสวี่ยถิงก็ลอยมาจากด้านหลังแล้ว เคียงคู่กับเสียงชิ่งหยกต่อเนื่องไม่ขาดสาย สุ้มเสียงซึมซาบสู่ใจคน ในโสตมู่หรงชิ่นกลับเหมือนความรู้สึกของอวิ๋นฝูอีเมื่อครู่ไม่ผิดเพี้ยน ฝีเท้าพลันเปลี่ยนเป็นหนักเกินพันชั่ง หน้าอกจุกแน่นใคร่อาเจียน

เขารู้แก่ใจว่าตนเองต้องได้รับผลกระทบจากชิ่งหยกเป็นแน่ ถือโอกาสปิดหูไม่ฟัง ท่าทางการลงมือมิได้หยุดลง ยังคงพุ่งไปยังกระบอกไม้ไผ่ในมือของอวิ๋นฝูอี

เยี่ยนอู๋ซือไม่รู้คิดอย่างไร สอดขาเข้ามาด้วยเช่นกัน เรือนร่างเคลื่อนไหวเล็กน้อย เงาไม่ทันขยับ คนก็บรรลุถึงด้านหลังมู่หรงชิ่นแล้ว

เขายื่นมือออก กลับมิได้ขัดขวางไม่ให้มู่หรงชิ่นชิงกระบอกไม้ไผ่ แต่สกัดหลวงจีนเสวี่ยถิงเอาไว้

พริบตา คนทั้งสองประมือกันไม่ต่ำกว่าหลายสิบกระบวนท่าแล้ว อย่าว่าแต่เฉินกงมองดูจนตาลายสับสน ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น แม้กระทั่งคลื่นลูกใหม่อย่างหูเหยียนหูอวี่ก็งงงวยไม่กระจ่าง

เฉินกงมองดูจนเวียนศีรษะ แต่ก็ไม่ละสายตา ขณะกำลังเคลิบเคลิ้ม เสิ่นเฉียวพลันจับไหล่ของเขาเอาไว้กล่าวเสียงแผ่วเบา “ลุกขึ้น ไป!”

ยามปกติเสิ่นเฉียวกล่าวคำพูดหนึ่งประโยค เฉินกงต้องโต้เถียงสามประโยค ครานี้ฟังคำสั่งโดยง่ายอย่างหาได้ยาก ไม่กล่าวอะไรทั้งสิ้น กัดฟันออกแรงลุกขึ้นมาหมายผละไป

แต่เพิ่งลุกขึ้นมา เฉินกงก็รู้สึกว่าด้านหลังถูกพลังชนิดหนึ่งยกขึ้น ทั้งร่างลอยขึ้นกลางอากาศ เขาอดมิได้ที่จะร้องตะโกนออกมา ตื่นตระหนกสุดขีด รอจนเยี่ยนอู๋ซือโยนเขาไว้บนหลังคา สองขาของเขาอ่อนระทวยคุกเข่าลง เกือบกลิ้งหลุนๆ ลงไป

นับตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นมา เฉินกงก็โชคร้ายถึงขีดสุดมาตลอด ในใจเขาบังเกิดความสิ้นหวัง มองไปยังด้านล่างอย่างสั่นเทา มองเห็นข้างกายเยี่ยนอู๋ซือมีคนเพิ่มมาอีกหนึ่งคน

เสิ่นเฉียวเองก็ถูกจับให้ยืนขึ้นมา

ในมือเสิ่นเฉียวยังถือกระบอกไม้ไผ่อยู่…เป็นสิ่งที่เยี่ยนอู๋ซือฝืนยัดให้เขา…เขาจะโยนก็มิได้ถือไว้ก็มิได้ สีหน้างุนงงและจนปัญญา “พวกเราเป็นเพียงคนต่ำต้อยพักแรมอยู่ที่นี่ ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องยุทธภพ จะยุติเรื่องราวต้องหาผู้เป็นหัวหน้า ประมุขเยี่ยนอย่าหยอกล้อพวกเราเช่นนี้ได้หรือไม่”

เยี่ยนอู๋ซือกระหยิ่มยิ้มย่องกล่าว “นี่เรียกว่าหยอกล้อได้อย่างไรเล่า นี่ข้ายกผลประโยชน์ให้พวกเจ้า ยามนี้สิ่งที่ผู้คนในใต้หล้าต้องการอยู่ในมือแล้ว หรือเจ้าไม่มีความยินดีสักนิด”

ใครก็คิดไม่ถึงว่าเยี่ยนอู๋ซือสอดมือเข้าไปยุ่งกับเหตุการณ์วุ่นวาย แต่กลับมอบกระบอกไม้ไผ่ให้คนต่ำต้อยที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อยสองคนนี้ ทันใดคนทั้งหมดในที่นั้นต่างจ้องมองเสิ่นเฉียว สายตาร้อนผ่าวจนน่ากลัวว่าจะเผาเขาจนเป็นรู

หลวงจีนเสวี่ยถิงขมวดคิ้วยามกล่าว “ประมุขเยี่ยน ไยต้องดึงผู้ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาพัวพัน”

เยี่ยนอู๋ซือโยนพู่หยกที่ผูกบนชุดคลุมเล่นอย่างใจลอย “พวกเจ้าอยากดูไหมว่าในนั้นเขียนอะไร สู้ต่อไปเช่นนี้ก็ไม่มีสิ้นสุด มิสู้ทุกคนมีส่วนจะดีกว่า หากให้ข้ามาอ่าน คนอื่นต้องไม่เชื่อแน่ หากให้พวกเจ้ามาอ่าน ข้าเองก็ไม่เชื่อ มิสู้มอบให้เขาอ่าน อ่านเท่าใด ฟังเท่าใด นั่นก็แล้วแต่บุญแต่กรรมของตัวเองแล้ว”

เยี่ยนอู๋ซือกระทำการไม่ถูกทำนองคลองธรรม ไม่ปฏิบัติตามกฎ คนมากมายได้ยินมานานแล้ว เมื่อได้ยินเขากล่าวคำพูดเช่นนี้ออกมา ไป๋หรงกลับลอบดีใจ

คืนนี้นิกายเหอฮวนมีนางมาเพียงคนเดียว มีพวกหลวงจีนเสวี่ยถิงกับเยี่ยนอู๋ซืออยู่ นางอย่าได้คิดครอบครองชิ้นส่วนของคัมภีร์สุริยันเลย ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงตอนนี้ที่ตนเองได้รับบาดเจ็บอีกด้วย

หากตามที่เยี่ยนอู๋ซือกล่าว ได้ยินเพียงเศษเสี้ยวคำพูด อย่าว่าแต่ตนเองได้รับประโยชน์เพียงใด อย่างน้อยกลับไปก็มีคำอธิบาย

เมื่อคิดเช่นนี้ นางจึงจ้องกระบอกไม้ไผ่ในมือของเสิ่นเฉียวเขม็ง ไม่ละสายตา

พวกมู่หรงชิ่นเองก็มีท่าทีเช่นเดียวกัน มีเพียงหลวงจีนเสวี่ยถิงหาได้เห็นด้วยไม่ จึงกล่าวว่า “ประมุขเยี่ยน คนผู้นี้หาใช่คนในยุทธภพ วันนี้เขาอ่านเนื้อหาในชิ้นส่วนคัมภีร์ออกมา วันหน้าข่าวคราวถ่ายทอดออกไป คนรอบข้างอยากได้คัมภีร์สุริยันแต่ก็ไม่ได้มา ต้องมีพวกชั่วร้ายต่ำช้าเลือกลงมือต่อเขา ท่านไม่ฆ่าผู้อื่น แต่ผู้อื่นกลับตายเพราะท่าน!”

เยี่ยนอู๋ซือกล่าวอย่างเกียจคร้าน “เจ้าโล้น เจ้ากล่าวคำพูดเหล่านี้อย่างเสแสร้งหรือไม่ แต่ก่อนขณะเป็นราชครู คัมภีร์สุริยันเล่มนั้นที่วังแคว้นโจว เจ้าคงได้อ่านแล้วเป็นแน่ เจ้าร่ำเรียนจากนิกายเทียนไถ ในปีนั้นขณะทรยศสำนัก ฮุ่ยเหวินอาจารย์เจ้ายังไม่ตาย ด้วยความสำคัญที่เขามีต่อเจ้า คัมภีร์สุริยันเล่มนั้นที่นิกายเทียนไถ ไม่แน่ว่าเจ้าเองก็ได้อ่านแล้ว หากรวมกับเล่มนี้อีก เท่ากับทั้งห้าเล่มเจ้าจำได้แล้วสามเล่ม ได้เปรียบแล้วยังทำไขสือ ที่กล่าวมาคือคนอย่างเจ้ากระมัง”

มู่หรงชิ่นกลับเห็นด้วยกับคำพูดของเยี่ยนอู๋ซือ เอ่ยปากถากถาง “ไต้ซือพฤติการณ์สูงส่ง ในเมื่อไม่อยากฟัง จากไปก็ได้แล้ว ไยต้องขัดขวางผู้อื่น ที่ไม่อยากให้สาธยายยืดยาวอาจเพราะตนเองมิอาจครอบครองผู้เดียว ฉะนั้นจึงไม่พอใจ?”

หลวงจีนเสวี่ยถิงถอนหายใจ ในที่สุดก็ไม่กล่าวคำอีก

เยี่ยนอู๋ซือใช้เพียงสองนิ้วจี้จุดสำคัญด้านหลังของเสิ่นเฉียว กล่าวกับเขา “อ่าน”

ในสายตาคนนอกคล้ายเยี่ยนอู๋ซือกำลังคุกคามเขา มีเพียงเสิ่นเฉียวที่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามคล้ายใช้วิชาลับบางอย่าง ทะลวงชีพจรที่อุดตันบางส่วนในตัว ในชั่วขณะพลังปราณอันอบอุ่นส่วนหนึ่งไหลเวียนทั่วร่างทันที การมองเห็นเบื้องหน้าค่อยๆ ชัดเจนไม่ต่างกับคนทั่วไปแล้ว

ผู้ใดก็ไม่มีทางคิดว่าชีวิตนี้ของเสิ่นเฉียวเป็นเยี่ยนอู๋ซือช่วยไว้ แต่ถึงแม้คนทั้งสองเคยมีความสัมพันธ์เช่นนี้ เสิ่นเฉียวเองก็ไม่คิดว่าเยี่ยนอู๋ซือจะให้ความสำคัญต่อตนเองเป็นอันขาด ในใจเขามีความคิดเลือนราง มีความรู้สึกหนาวเย็นต่อเยี่ยนอู๋ซือผู้นี้เพิ่มขึ้นอีกชั้นหนึ่ง

เสิ่นเฉียวหยิบกระบอกไม้ไผ่กระบอกนั้นขึ้นมาตามคำสั่ง ค่อยๆ หมุนเปิด ดึงคัมภีร์ซี่ไม้ไผ่ที่ถูกม้วนออกมาจากด้านใน

แผ่นไม้ไผ่เหลาจนเบาอย่างยิ่ง หลังคลี่กางออกกลับมีความยาวประมาณสามฉื่อ กว่า

ตัวอักษรด้านในเล็กยิ่งนัก แต่ยามนี้สายตาของเสิ่นเฉียวได้รับการฟื้นฟูชั่วคราว อาศัยแสงจันทร์มองเห็นได้พอสังเขป

คนทั้งหมดสายตาร้อนผ่าว ล้วนมองเขาเอาไว้

หากสายตาเหล่านี้แปรเป็นสสารได้ ทั้งร่างเสิ่นเฉียวคงถูกเผาเป็นรูพรุนแล้ว

เขาหรี่ตาพิจารณาประโยค ค่อยๆ อ่านออกมาทีละคำทีละประโยค “ม้ามซ่อนจิต หลังกำเนิดคือจิตเพ้อพก ก่อนกำเนิดคือจารีตธรรม…”

คนที่สิ้นไร้กำลังภายในผู้หนึ่ง ระดับเสียงย่อมเบาเป็นธรรมดา แต่การฟังของคนส่วนใหญ่ ณ ที่นั้นเหนือมนุษย์ ยังคงฟังเข้าใจอย่างชัดเจน

เนื้อหาในคัมภีร์ซี่ไม้ไผ่มีไม่มาก ต่อให้ความเร็วในการอ่านของเสิ่นเฉียวช้าเพียงใด อย่างมากไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็อ่านจบแล้ว

เขาคืนคัมภีร์ซี่ไม้ไผ่ให้เยี่ยนอู๋ซืออย่างปากคอแห้งผาก เยี่ยนอู๋ซือเคลื่อนมือออกจากกลางหลังของเขา เสิ่นเฉียวรู้สึกเพียงความอบอุ่นส่วนนั้นมลายหายไปในบัดดล เบื้องหน้าก็ค่อยๆ คืนสู่ความมืดมิดอีกครั้ง อีกทั้งบางทีเมื่อครู่อาจใช้สายตามากเกินไป สองตาเหมือนถูกไฟแผดเผา ความเจ็บปวดคล้ายตัวร้อน

เขาใช้มือป้องดวงตาเอาไว้อย่างเลี่ยงมิได้ มืออีกข้างหนึ่งอาศัยไม้เท้าไม้ไผ่ยันร่างเอาไว้ ก้มตัวเล็กน้อยพลางหอบหายใจ

เยี่ยนอู๋ซือมิได้สนใจเขา ยังคงหยิบคัมภีร์ซี่ไม้ไผ่มา สะบัดแขนชุดคลุม มิได้พูดพร่ำ เพียงสะบัดมือ คัมภีร์ซี่ไม้ไผ่ม้วนนั้นก็แปรเป็นผุยผงกระจายกลางอากาศทันที

คนทั้งหมดปากอ้าตาค้าง

มู่หรงซวิ่นเยาว์วัยเกรี้ยวกราด อดร้องตะโกนขึ้นมามิได้ “ชิ้นส่วนของคัมภีร์สุริยันคือสิ่งล้ำค่าเพียงใด เจ้ากลับทำลายทิ้ง!”

เยี่ยนอู๋ซือกล่าวอย่างเฉยชา “ไม่มีแล้วจึงเรียกว่าล้ำค่า เมื่อครู่เขาอ่านแล้ว จำได้มากจำได้น้อย นั่นเป็นเรื่องของเจ้า”

มู่หรงซวิ่นหอบหายใจถลึงตามองเขา กล่าวคำไม่ออกชั่วขณะ

เยี่ยนอู๋ซือตบมือ ปัดฝุ่นผงบนแขนเสื้อ แล้วหันกายผละไป ไม่มีความอาลัยอาวรณ์แม้แต่น้อย

คนที่สกัดเขาได้บนโลกมีไม่มาก หลวงจีนเสวี่ยถิงมิได้ขยับ คนอื่นได้แต่มองเงาร่างของเขาหายวับไปในความมืดมิดตาปริบๆ

ไป๋หรงไม่สนใจว่าบนร่างยังมีบาดแผล ตามติดอยู่เบื้องหลังจากไป แต่มิใช่เพื่อไล่ตามเยี่ยนอู๋ซือ แต่เพื่อรีบหาสถานที่สักแห่ง เขียนเนื้อหาที่ตนเองจำได้เมื่อครู่เอาไว้

มู่หรงซวิ่นและทั่วป๋าเหลียงเจ๋อมองไปยังมู่หรงชิ่น เจ้าบ้านสกุลมู่หรงขบคิดครู่หนึ่ง ตัดสินใจได้แล้วจึงเอ่ย “ไป!”

คนทั้งสามไม่มองดูพวกอวิ๋นฝูอีอีกแม้แต่แวบเดียว พากันหันกายจากไป

หลวงจีนเสวี่ยถิงถอนหายใจเบาๆ กล่าวกับอวิ๋นฝูอี “คืนนี้รองประมุขอวิ๋นเสียขวัญแล้ว โปรดทักทายประมุขโต้วแทนอาตมาด้วย”

แม้กล่าวว่าเขามีส่วนในการสกัดอวิ๋นฝูอีเอาไว้ แต่ยามนี้ชิ้นส่วนคัมภีร์ถูกทำลายแล้ว อวิ๋นฝูอีไม่มีความสนใจที่จะตัดพ้อต่อว่าแม้แต่น้อย เพียงกล่าวอย่างเฉยชาว่า “ไต้ซือเดินทางปลอดภัย”

รอหลวงจีนเสวี่ยถิงจากไป นางให้หูเหยียนหูอวี่พยุงหัวหน้าสาขาทั้งสองขึ้นมา ซ้ำยังกล่าวกับเสิ่นเฉียวและเฉินกง “ภัยพิบัติในคืนนี้ของพวกท่าน เป็นพรรคลิ่วเหอก่อขึ้นทั้งหมด เรื่องนี้ขออภัยอย่างยิ่ง ไม่ทราบต่อไปท่านทั้งสองคิดไปที่ใด หากสะดวก พวกเราสามารถแวะส่งพวกท่านได้”

หากเปลี่ยนเป็นก่อนหน้า เฉินกงต้องตอบรับด้วยความดีอกดีใจอย่างแน่นอน แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นคืนนี้ ทำให้เขาเปิดหูเปิดตาได้แล้วว่าอะไรเรียกว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมียอดคน ความตื่นเต้นของเขาลดลงอย่างมาก แต่ก็ไม่อยากละทิ้งโอกาสเข้ายุทธภพนี้ไป ได้แต่ครุ่นคิดว่าจะตอบอย่างไรดี

เสิ่นเฉียวที่อยู่ด้านข้างกลับกล่าวก่อนเขาหนึ่งก้าว “ขอบคุณเจตนาของท่าน เดิมพวกเราวางแผนลงใต้พึ่งพาญาติ คิดไม่ถึงว่าจะพบเจอเรื่องเช่นนี้ ตอนนี้ในใจกลัวยิ่งนัก คิดเพียงออกเดินทางเร็วขึ้น ถึงทางใต้ให้เร็วสักหน่อย พวกเรามิใช่ชาวยุทธภพ และไม่อยากพัวพันกับเรื่องยุทธภพ ขอแม่นางท่านนี้ให้อภัย”

อวิ๋นฝูอีขบคิดพลางกล่าว “เนื้อหาเหล่านั้นที่ท่านอ่านเมื่อครู่ ยังจำได้หรือไม่”

เสิ่นเฉียวส่ายหน้า “พวกเรายากจนข้นแค้นตั้งแต่เด็ก น้องชายไม่รู้หนังสือ ข้าเองก็รู้เพียงผิวเผิน ไม่เคยอ่านคัมภีร์อะไร กอปรกับดวงตาไม่ดี และไม่รู้ยอดฝีมือท่านนั้นใช้อิทธิฤทธิ์อะไร เมื่อครู่ใช้มือจี้กลางหลังข้า ทำให้ข้ามองเห็นตัวอักษรในคัมภีร์ซี่ไม้ไผ่ได้ รอข้าอ่านจบ พอมือของเขาออกไป ข้าก็มองเห็นอะไรไม่ชัดอีก ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงจำได้หรือไม่”

อวิ๋นฝูอีเห็นดวงตาเขาไม่มีจุดรวมศูนย์ บริเวณตาขาวปรากฏสีฟ้าเล็กน้อย เป็นลักษณะของดวงตามีโรคจริง รู้แก่ใจว่าที่เขากล่าวไม่เท็จ รู้สึกเสียใจอยู่บ้างอย่างเลี่ยงมิได้ จึงกล่าวโดยมิได้ฝืน “ช่างเถอะ พวกเราต้องเดินทางทั้งวันทั้งคืน ต้องไปก่อนก้าวหนึ่ง หากทั้งสองท่านมีเรื่องด่วนต้องการความช่วยเหลือ ไปที่สาขาย่อยพรรคลิ่วเหอ รายงานชื่อของข้าอวิ๋นฝูอี”

เสิ่นเฉียวกล่าวขอบคุณด้วยความซาบซึ้ง เฉินกงมองดูเขา กล่าวขอบคุณตามเช่นกัน

พวกอวิ๋นฝูอีหาได้อยู่ต่ออีกไม่ พวกเขาไม่สนใจกระทั่งหีบสองใบนั้น หูเหยียนหูอวี่พาหัวหน้าสาขาที่ได้รับบาดเจ็บทั้งสอง เดินทางทั้งวันทั้งคืนรุดไปในเมือง วัดอันยิ่งใหญ่เปลี่ยวร้างกว่าเดิมในบัดดล

มองดูเงาร่างของพวกเขาเลือนหายไปในระยะสายตา เฉินกงตบเสิ่นเฉียวเบาๆ สุ้มเสียงยังคงเบายิ่งนัก คล้ายกลัวถูกคนได้ยิน “นางเพิ่งให้พวกเราไปด้วยกัน เหตุใดเจ้าไม่ตอบรับ ไปด้วยกันกับพวกเขา มิใช่ปลอดภัยกว่าหรือ”

ดวงตาของเสิ่นเฉียวเจ็บปวดไม่สิ้นสุด แต่เขาได้ยินก็แย้มยิ้มแล้ว “เช่นนั้นตอนที่ข้ากล่าวเมื่อครู่ เหตุใดเจ้าไม่ห้ามข้า เสนอว่าจะติดตามไปด้วยกันกับพวกเขาโดยตรง”

เฉินกงลังเลเล็กน้อย กล่าวว่า “เทียบกับพวกเขา ย่อมเป็นเจ้าน่าเชื่อถือกว่า”

เสิ่นเฉียวถอนหายใจกล่าว “รองประมุขอวิ๋นท่านนั้นเชิญพวกเราร่วมเดินทาง คงเพียงกลัวเนื้อหาที่ตนเองฟังไม่ครบถ้วน หวังว่าพวกเราจะช่วยกันเขียนชิ้นส่วนคัมภีร์ออกมาเท่านั้น หลังเรื่องนี้ผ่านไปในคืนนี้ ไม่นานโลกภายนอกต้องรู้ข่าวแน่นอน คิดสารพัดวิธีเพื่อให้ได้สำเนาของชิ้นส่วนคัมภีร์ พวกเราร่วมเดินทางกับเขา ถึงเวลามีอันตรายอะไรเข้าจริง พวกเราก็จะถูกโยนออกมาเป็นคนแรก”

เฉินกงกระจ่างโดยพลัน อดมิได้ที่จะด่า “มิน่า ข้าว่าแล้วเหตุใดจู่ๆ สตรีผู้นั้นถึงใจดีเพียงนี้ ที่แท้มีอุบายเต็มทรวงอยู่ก่อน หากมิใช่เจ้าหยุดยั้งทันเวลา ข้าคงจะติดตามพวกเขาไปจริงๆ!”

เสิ่นเฉียวกล่าว “นี่เป็นเพียงการคาดเดาของข้าเท่านั้น ในเมื่อคัมภีร์สุริยันนั้นล้ำค่าเพียงนี้ พวกเขากลัวลืมเลือน ต้องหาสถานที่เขียนออกมาก่อน สำเนาของการเขียนเหล่านี้ต้องกลายเป็นสิ่งของที่ผู้คนหมายแย่งชิงอย่างแน่นอน พวกเรามิใช่ชาวยุทธภพ เดินทางร่วมกับพวกเขารังแต่จะติดร่างแหไปด้วย ไม่มีข้อดีแต่อย่างใด”

เฉินกงก้มหน้าหมดอาลัย “เจ้ากล่าวถูกต้อง แต่ก่อนข้าเคยเห็นความน่าเกรงขามของสาขาย่อยพรรคลิ่วเหอที่อำเภอฝู่หนิง จึงคิดอยากเข้าร่วมกับพวกเขา แต่หลังผ่านคืนนี้ ข้าไม่มีทางกอดความเพ้อฝันนี้อีกแล้ว ข้าไม่เป็นวรยุทธ์สักนิด เข้าไปคงได้แต่ทำงานบ้านตลอดชีวิตกระมัง!”

ยามนี้เหตุสุดวิสัยนั้นได้ผ่านพ้นไปครึ่งชั่วยามแล้ว เสิ่นเฉียวจึงรู้สึกว่าความเจ็บปวดที่ดวงตาทุเลาเล็กน้อย เพียงแต่พอลืมตาขึ้นก็มองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น ซ้ำยังกลับสู่สถานการณ์ที่ย่ำแย่ที่สุดในตอนแรกอีกครั้ง

เขาขบคิด เมื่อครู่มือนั้นของเยี่ยนอู๋ซืออาจใช้วิธีอะไรยกระดับดวงตาที่ต้องใช้เวลาหลายเดือนถึงขั้นหลายปีจึงหายเป็นปกติสู่สภาวะที่ดีที่สุดในชั่วขณะ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือแสงสว่างระยะสั้น บางทีอาจต้องใช้เวลานานยิ่งกว่าเพื่อฟื้นฟู

เสิ่นเฉียวแค่นยิ้มเล็กน้อยอย่างเลี่ยงมิได้

เขานับว่าเข้าใจความชืดช้าไร้น้ำใจของคนผู้นี้อย่างถ่องแท้แล้ว ตอนแรกฝ่ายตรงข้ามช่วยตนเอง เกรงว่าหาได้เกิดจากความใจดีอะไรไม่

แต่คืนนี้…เยี่ยนอู๋ซือปรากฏตัวอยู่ที่นี่ หรือว่าบังเอิญจริงๆ?

เฉินกงพลันดึงแขนเสื้อของเขา น้ำเสียงหวาดกลัวเล็กน้อยขณะกล่าว “เจ้าว่า เมื่อครู่หลวงจีนน้อยผู้นั้นถูกคนปลอมตัว เช่นนั้นเจ้าอาวาสกับหลวงจีนน้อยสองรูปนั้นในวัดแต่เดิมเล่า คงจะไม่…คงจะไม่ถูกปิดปากไปแล้วกระมัง”

เสิ่นเฉียวมิได้กล่าวคำ

บางทีความนิ่งเงียบของเขาอาจบ่งบอกความนัยบางอย่าง สีหน้าเฉินกงขาวซีด ไม่กล่าวคำแล้วเช่นกัน

เขาที่อวดอ้างตนเองว่าไม่เกรงฟ้าไม่กลัวดิน เข้าใจถึงความสำคัญของความแข็งแกร่งและพละกำลังอย่างลึกซึ้งเป็นครั้งแรก

อยู่ในสังคมเช่นนี้ หากไม่มีพละกำลังที่สอดคล้องกัน อาจกลายเป็นเครื่องสังเวย ตายโดยไม่รู้ตัวได้ทุกเมื่อ

 

เจ้าอาวาสชรากับหลวงจีนน้อยทั้งสองของวัดตายหมดแล้วดังคาด

ซากศพอยู่ในห้องของเจ้าอาวาสชรานั่นเอง ฆาตกรมิได้ปกปิดอำพราง ให้พวกเขานอนระเนระนาดอยู่ตรงนั้น ขณะเฉินกงมองเห็น ขาก็อ่อนระทวย ไม่มีเรี่ยวแรงช่วยพวกเขารวบรวมซากศพ วิ่งกลับไปอย่างล้มลุกคลุกคลาน กระทั่งมองเห็นเสิ่นเฉียวจึงสงบลงเล็กน้อย

แม้เสิ่นเฉียวตาบอด แต่ถึงแม้เขานั่งอยู่เงียบๆ ก็ให้พลังจำนวนหนึ่งแก่ผู้คนสุดบรรยาย

เฉินกงถามเขาด้วยริมฝีปากสั่นระริก “ถูกสตรีที่ปลอมตัวเป็นหลวงจีนน้อยผู้นั้นฆ่าใช่หรือไม่ นางร้ายกาจเพียงนั้น แค่ทำให้พวกเขามิอาจขยับมิอาจกล่าวคำก็ได้แล้ว ไยยังต้องฆ่าคน”

“บางทีนี่อาจเป็นรูปแบบการกระทำการของนาง” เสิ่นเฉียวนิ่งเงียบครู่หนึ่ง “บางคนกระทำการไม่ต้องการเหตุผล พวกเขาอวดอ้างตนเองว่าเหนือกว่าชีวิตของคนอื่น ดีเลวทั้งหมดอาศัยความชอบตัดสิน”

เฉินกงมองดูพื้นดินอย่างเหม่อลอย รอยเลือดแห้งกรังบนซากศพเจ้าอาวาสชรายังแกว่งไปแกว่งมาเบื้องหน้าเขา ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในคืนนี้สำหรับเขาแล้วล้มล้างสิ่งที่เห็นและได้ยินมาสิบกว่าปีในอดีตทั้งหมด เขายังตกอยู่ในอาการสั่นสะท้าน เนิ่นนานมิอาจได้สติกลับมา

ข้ามิอาจกลายเป็นคนที่ยอมให้คนอื่นเชือดเฉือนเข่นฆ่าอย่างเด็ดขาด ข้าต้องกลายเป็นคนที่เหนือกว่าคนอื่น เฉินกงอยากกล่าวเช่นนี้ พลางนึกถึงยอดฝีมือเหล่านั้นที่ได้เห็นในคืนนี้

เทียบระหว่างหลวงจีนเสวี่ยถิงที่สุขุมเยือกเย็น ไม่แปดเปื้อนทางโลก กับเยี่ยนอู๋ซือที่แปลกประหลาด กระทำการตามอำเภอใจ ย่อมเป็นเยี่ยนอู๋ซือที่ทำให้เขาเกิดความเลื่อมใสศรัทธามากกว่า

เสิ่นเฉียวไม่รู้สิ่งที่เขาคิดในใจ เพียงเห็นเขาตกใจขวัญเสีย จึงตบไหล่ของเขา กล่าวด้วยถ้อยคำอ่อนโยน “พบพานคือมีวาสนา เจ้าอาวาสชราให้พวกเรายืมวัดอาศัยก็นับว่ามีบุญคุณกับพวกเรา พรุ่งนี้เช้าสองเราฝังพวกเขาด้วยกันเถอะ”

เฉินกงถอนหายใจยาวๆ ก่อนกล่าว “ตกลง”

โปรดติดตามตอนต่อไป…

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: