บทที่ 5
ลู่อู๋เซิงตายแล้ว ส่วนอวิ๋นจ้าวก็ได้รับความช่วยเหลือ แม้จะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ก็มีพระในวัดกับชาวบ้านที่มาไหว้พระได้ยินเสียงเร่งเข้ามาช่วยไว้ได้ในที่สุด
ฮูหยินผู้เฒ่าตกใจไม่น้อย ทว่าตอนที่นางได้ยินข่าวยังไม่มีอาการอะไร จนกระทั่งเห็นหลานสาวปลอดภัยดีแล้วจึงเป็นลมหมดสติไป คงเป็นเพราะจิตใจสงบลงแล้ว นางถึงได้หมดสติไปอย่างวางใจ
เวลานี้อวิ๋นจ้าวนั่งอยู่กลางห้องกรรมฐาน สี่เชวี่ยกับหมัวมัวช่วยกันใส่ยาให้นาง สี่เชวี่ยใส่ยาไปตัวสั่นไป มีหลายครั้งที่นางเทยาทะลักเข้ากลางบาดแผลตรงๆ หมัวมัวเห็นแล้วตกใจ เอ่ยตำหนิว่า “ระวังหน่อย เจ้าอย่ามือสั่นสิ”
“หมัวมัวท่านก็สั่นเหมือนกันนั่นแหละ”
หมัวมัวถึงได้พบว่าที่แท้นางก็ตกใจมากเช่นกัน จึงพยายามทำจิตใจให้สงบนิ่ง แล้วเอ่ยว่า “น่าตกใจจริงเชียว บนเขาลูกนี้มีโจรภูเขาด้วย”
“นั่นน่ะสิ…” สี่เชวี่ยอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ทันใดนั้นก็นึกถึงคุณชายลู่ที่ตายไปขึ้นมาได้ จึงรีบส่งสายตาบอกหมัวมัวว่าไม่ต้องเอ่ยต่อแล้ว
หมัวมัวก็เข้าใจดี แอบมองคุณหนูของตนอีกครั้ง เห็นนางนั่งเหม่อลอยไม่พูดไม่จา ทั้งที่บาดแผลสาหัสขนาดนี้ ยามที่ใส่ยาก็น่าจะร้องออกมาสักคำ ทว่านางกลับไม่ขมวดคิ้วเสียด้วยซ้ำ ราวกับว่าร่างกายนี้ไร้จิตวิญญาณไปเสียแล้ว หมัวมัวเริ่มเป็นกังวลจึงเอ่ยเรียก “คุณหนู? คุณหนูเจ้าคะ?”
อวิ๋นจ้าวไม่ได้ยินเสียงเรียกขานใดๆ ในสมองของนางมีเพียงภาพเลือดเจิ่งนอง เป็นเลือดของลู่อู๋เซิง เป็นเลือดของเขาทั้งนั้น
คนพวกนั้นเป็นใครกัน เพราะอะไรถึงต้องโผล่มาสังหารลู่อู๋เซิงด้วย
แต่ถ้าหากดูจากเหตุการณ์ตอนสิบปีก่อนของนาง ลู่อู๋เซิงไม่มีทางตายที่วัดแห่งนี้แน่
หรือเป็นเพราะนางทำอะไรผิดพลาดอีกแล้ว?
หากเป็นเรื่องราวเดิม นางไม่มีทางมาที่วัด กระนั้นลู่อู๋เซิงก็ยังขึ้นเขามา และกลับลงเขาไปได้อย่างปลอดภัย ฉะนั้นสาเหตุคงจะมาจากนางจริงๆ เพราะนางดึงตัวลู่อู๋เซิงเข้าไปในป่าไผ่ที่เงียบสงัดไร้ผู้คน ทำให้พวกโจรหาโอกาสลงมือได้
แต่ลู่อู๋เซิงบอกว่าคนพวกนั้นไม่ใช่โจรภูเขา ถ้าอย่างนั้นพวกเขาเป็นใครกัน
หากบอกว่าพวกเขาดักซุ่มในป่านั้นอยู่ก่อนแล้ว ก็หมายความว่าพวกเขาไม่ได้มาเพื่อสังหารนาง แต่มาเพื่อสังหารลู่อู๋เซิง?
แล้วเพราะอะไรพวกเขาถึงต้องสังหารลู่อู๋เซิง
อวิ๋นจ้าวยิ่งขบคิดในสมองก็ยิ่งสับสน ความสับสนคละเคล้ากับความเจ็บปวด ที่สุดแล้วนางทำผิดพลาดตรงที่ใดกันแน่ สวรรค์ถึงได้ทรมานนางเช่นนี้ ให้นางเห็นคนที่ห่วงใยตายไปครั้งแล้วครั้งเล่า
“คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ?” สี่เชวี่ยจะใส่ยาที่มือของนาง แต่กลับเห็นนางกำบางสิ่งเอาไว้แน่นไม่ยอมคลายมือ เลือดจากบาดแผลมีหรือจะหยุดลงได้ กลายเป็นยิ่งทะลักออกมาอาบย้อมผ้าห่ม สี่เชวี่ยรู้สึกร้อนใจนัก จึงตะโกนเรียกเสียงดัง “คุณหนู!”
อวิ๋นจ้าวหลุดจากภวังค์โดยพลัน นางเช็ดหยาดน้ำตาที่จวนเจียนจะไหลรินทิ้งไป นางจะต้องช่วยลู่อู๋เซิง! ไม่ว่าจะต้องย้อนกลับมาอีกกี่ครั้ง กินโจ๊กล่าปาน่าคลื่นไส้นั่นอีกกี่หน นางจะต้องกลับมาใช้ชีวิตในช่วงเวลาสิบปีนี้ให้ผ่านไปอย่างสบายใจที่สุด ถ้าหากโชคชะตาบิดเบี้ยว นางก็จะทำลายมันดูสักตั้ง ฝืนจนกว่าทุกอย่างจะผ่านไปอย่างราบรื่น!
จู่ๆ อวิ๋นจ้าวก็ลุกยืนพรวด หมัวมัวกับสี่เชวี่ยสะดุ้งขึ้นมาพร้อมกัน ยังไม่ทันหอบหายใจก็เห็นคุณหนูวิ่งออกไปข้างนอก พวกนางต่างตกตะลึง “คุณหนูเจ้าคะ! ท่านบาดเจ็บขนาดนี้ยังจะไปที่ใดอีก”
อวิ๋นจ้าวไม่สนใจฟัง นางรู้ดีว่าไข่มุกราตรีสามารถพานางกลับไปได้ในชั่วพริบตา แต่เป็นเพราะไม่อยากให้บ่าวทั้งสองต้องเสียขวัญ ต่อให้ภายหลังพวกนางจะจดจำเรื่องราวในเวลานี้ไม่ได้ แต่ถ้าตกใจตายขึ้นมาจะทำเช่นไร
เห็นแก่ความผูกพันระหว่างนายบ่าว นางจะกลับไปพร้อมลมหนาวข้างนอกนั่นก็แล้วกัน
อวิ๋นจ้าวเห็นแก่ความผูกพันนี้ แล้วหมัวมัวที่เฝ้ามองนางเติบโตมาตั้งแต่เล็ก รวมถึงสาวใช้ที่อยู่ข้างกายมาตลอดจะไม่มีความคิดเช่นเดียวกันหรือ พอเห็นว่าเรียกแล้วคุณหนูของตนยังไม่ยอมฟัง จึงเข้าไปกอดนางเอาไว้ไม่ยอมให้ไปไหน อวิ๋นจ้าวจึงก้าวเดินไปอย่างยากลำบาก
นางขมวดคิ้วเล็กน้อย คิดจะสลัดตัวให้หลุดพ้น แต่สองคนนี้กอดเอาไว้แน่นหนาเหลือเกิน อีกทั้งยังร้องไห้อ้อนวอน เมื่อเห็นว่าคนข้างนอกจะเดินเข้ามา นางจนปัญญาแล้วจริงๆ จึงคลายฝ่ามือออก เผยให้เห็นไข่มุกราตรีอาบย้อมเลือดสีแดงสด
“ส่งข้ากลับไป ส่งข้ากลับไป ขอร้องล่ะ ข้าต้องช่วยชีวิตลู่อู๋เซิง”
“คุณหนูท่านท่องอะไรอยู่เจ้าคะ” น้ำเสียงสี่เชวี่ยเจือแววสะอื้น ไม่ใช่เสียงกังวานใสเฉกเช่นยามปกติ
อวิ๋นจ้าวได้ยินแล้วจิตใจพลันหนักอึ้ง ลืมตาเหลียวมองกลับมาก็พบว่านางยังอยู่ที่เดิม นางชะงักงัน เริ่มรู้สึกว้าวุ่นร้อนรน ดวงตาจับจ้องเขม็งไปที่ไข่มุกราตรี หัวคิ้วขมวดแน่นเป็นปม “ขอร้องช่วยส่งข้ากลับไปวันที่แปดเดือนสิบสอง ให้โอกาสข้าอีกสักครั้ง”
“คุณหนู…” สี่เชวี่ยร้องไห้พลางเอ่ยว่า “คุณหนูท่านอย่าทำให้พวกเราตกใจสิเจ้าคะ”
ทว่าไข่มุกราตรีกลับไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ ไม่มีแสงเจิดจ้าเช่นวันที่นางเคยย้อนกลับไปเลย คราบเลือดที่อาบย้อมเมื่อพบกับอากาศอันหนาวเหน็บก็เริ่มแข็งตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้ไข่มุกราตรีหม่นหมองไร้ประกาย
อวิ๋นจ้าวเบิกตากว้าง “ส่งข้ากลับไปสิ! ให้โอกาสข้าอีกครั้งก็ยังดี ขอโอกาสให้ข้าอีกครั้ง!”
เดิมทีน้ำตาแห้งเหือดไปแล้ว ก็กลับมาเอ่อล้นขอบตา น้ำเสียงสั่นเครือเอ่ยวิงวอน “ขอร้องท่านแล้ว ข้าต้องกลับไปช่วยเขา ข้าต้องกลับไปช่วยเขา”
ไม่ว่านางจะขอร้อง หรือจะตะโกนอย่างไร ไข่มุกราตรีเม็ดนั้นก็ยังนิ่งเงียบไร้ความเคลื่อนไหว หมัวมัวกับสี่เชวี่ยที่มองอยู่ยิ่งใจหาย แทบจะคุกเข่าลงขอร้อง “คุณหนู”
อวิ๋นจ้าวกำมือแน่นแล้วสะบัดอย่างแรง น้ำตาไหลพรั่งพรูดั่งเม็ดไข่มุก “เจ้ารีบพาข้าไป พาข้าไปสิ! ลู่อู๋เซิงจะทำเช่นไรเล่า เขาตายแล้ว เขาตายแล้วนะ! เจ้าช่วยสำแดงอิทธิฤทธิ์ช่วยข้าด้วยเถอะ!”
แม้นางร้องตะโกนออกมาจนสุดเสียง แต่ไข่มุกราตรีก็ยังนิ่งสนิทอยู่ในกำมือ ในที่สุดนางก็อดกลั้นไม่อยู่ น้ำตาไหลทะลักออกมาราวทำนบพัง เหมือนว่ามีน้ำหนักนับพันชั่งมากดทับ ทำให้ขาสองข้างของนางไร้เรี่ยวแรง จนทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้น มือกำไข่มุกร้องไห้อย่างเจ็บปวด “เพราะอะไรถึงไม่พาข้ากลับไป…ลู่อู๋เซิง ลู่อู๋เซิง…”
หมัวมัวหน้าเปลี่ยนสี กลัวว่าคุณหนูของตนจะเสียสติไป นางหันไปส่งสายตาบอกสี่เชวี่ย ให้รีบไปเชิญท่านหมอมาดูอาการ
สี่เชวี่ยจิตใจร้อนรนกระวนกระวาย รีบเดินโซเซออกไปข้างนอก จนเกือบจะล้มลงอยู่หลายครั้ง คุณหนูของนางเคยร้องไห้หนักขนาดนี้เมื่อใดกัน เห็นทีการตายของคุณชายลู่จะส่งผลกระทบกับจิตใจของนางมากจริงๆ
แต่คุณชายลู่ไม่มีวันกลับมาแล้ว คุณหนูของนางไม่มีทางได้พบเขาอีก
นางสูดจมูกฟึดฟัด เดินไปพลางร้องไห้ไปพลาง ไปตามท่านหมอด้วยความปวดใจที่ยากบรรยาย
เรื่องที่ไปเชิญท่านหมอมานี้ก็ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าที่เพิ่งฟื้นต้องตกใจ พอนางได้ยินว่าหลานสาวเสียใจจนขาดสติ ก็รีบไปดูอาการด้วยความร้อนใจ พอจะย่างเท้าเข้าประตูก็เห็นสี่เชวี่ยยืนอยู่หน้าห้อง นางถามเสียงแผ่วเบาว่า “หลานสาวข้าเล่า”
สี่เชวี่ยมองเข้าไปในห้องด้วยแววตากล้ำกลืน ฮูหยินผู้เฒ่ามองตามนางไปก็เห็นหลานสาวสุดที่รักนั่งคุกเข่าอยู่ในห้อง ศีรษะก้มต่ำแทบจะจมลงไปกับหน้าอก ในมือไม่รู้ว่ากำอะไรอยู่ คล้ายกำลังสวดภาวนาอ้อนวอน
หัวใจของฮูหยินผู้เฒ่าสั่นสะท้าน ก้าวออกไปข้างหน้าสองสามก้าว ก่อนจะนั่งยอง คว้าไหล่หลานสาวพลางเอ่ยเรียก “อวิ๋นเอ๋อร์”
เสียงของท่านย่าราวกับลอยมาจากเส้นขอบฟ้า ช่างไกลโพ้นและว่างเปล่า ทำให้อวิ๋นจ้าวเลอะเลือนสับสน นางค่อยๆ เงยหน้ามองท่านย่าก่อนจะเอ่ยว่า “ท่านย่า ลู่อู๋เซิง…ตายแล้ว”
น้ำเสียงของอวิ๋นจ้าวแหบแห้ง
ดวงตาฮูหยินผู้เฒ่าพลันเปียกชื้น ดึงหลานสาวเข้ามากอด ถอนหายใจก่อนเอ่ยว่า “ย่ารู้ แต่เขาสละชีวิตเพื่อช่วยเจ้า เจ้ากลับทำร้ายตนเองเช่นนี้ เขาจะจากไปอย่างสบายใจได้หรือ”
ร่างของอวิ๋นจ้าวสั่นไหว ฮูหยินผู้เฒ่านึกว่านางจะยอมให้ใส่ยาแต่โดยดี แต่นางกลับมีสีหน้าแปลกพิกลยิ่ง บอกไม่ถูกว่าเป็นสีหน้าแบบใดกัน
ฮูหยินผู้เฒ่าปลอบใจคนเช่นนี้ย่อมไม่ผิด เพียงแต่นางไม่รู้ว่าอวิ๋นจ้าวย้อนเวลากลับมา ลู่อู๋เซิงต้องตายเพราะการกลับมาของนาง ฉะนั้นคำปลอบโยนทั่วไปนี้จึงทำให้นางยิ่งเสียใจและรู้สึกผิดมากขึ้น
เดิมทีอวิ๋นจ้าวคิดว่าตนเองชิงความได้เปรียบไว้มากมาย มาวันนี้นางถึงได้รู้ว่าคิดผิดไปเสียแล้ว
ทั้งยังผิดพลาดร้ายแรงเกินกว่าที่คิด
บุตรชายคนเดียวของท่านแม่ทัพใหญ่สกุลลู่ถูกลอบสังหารสร้างความตื่นตระหนกไปทั่วทั้งราชสำนัก ฝ่าบาททรงมีราชโองการลงมาด้วยพระองค์เอง สั่งการให้กรมทหารจับกุมคนร้ายให้ได้ ทว่าคนร้ายเหล่านั้นกลับเหมือนลอยหายไปในอากาศ อย่าว่าแต่เงาร่างเลย กระทั่งร่องรอยสักนิดก็หาไม่พบ
อวิ๋นจ้าวก็สั่งให้คนออกตามหาเช่นกัน ทว่าแม้แต่คนที่ราชสำนักยังหาไม่พบ สกุลนางที่เป็นเพียงคหบดีจะหาพบได้อย่างไรกัน
ชั่วพริบตาก็ถึงวันที่ลู่อู๋เซิงจากไปครบเจ็ดวัน แม่ทัพลู่ยังอยู่ระหว่างเดินทางกลับมา คาดว่าจะกลับมาเฝ้าศพบุตรชายได้ทันก่อนยามจื่อ
หน้าประตูจวนสกุลลู่แขวนโคมอักษรเตี้ยนเอาไว้สองดวง สำหรับอวิ๋นจ้าวแล้ว ภาพนี้ช่างคุ้นเคยและบาดตา
นางเดินวนเวียนไปมาในตรอกเล็กหน้าจวนหลายวันแล้ว อยากจะเข้าไปพบเขา แต่ก็ไม่กล้าเข้าไป
ทุกวันสี่เชวี่ยจะพาสาวใช้ตัวน้อยสองคนมาเฝ้าคุณหนูของตนไว้ ประเดี๋ยวเอาเตาอุ่นใส่มือนาง ประเดี๋ยวคลุมเสื้อคลุมกันลมให้ ประเดี๋ยวเอาอะไรให้กิน นี่ก็เพิ่งจะไปเปลี่ยนเตาอุ่นกลับมา มองจากที่ไกลๆ ยามค่ำคืนที่หิมะโปรยปรายดูเลือนราง เงาร่างนั้นยิ่งอ้างว้างโดดเดี่ยว สี่เชวี่ยอดถอนหายใจออกมาไม่ได้ สาวใช้ตัวน้อยคนหนึ่งจึงเอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “คุณหนูเสียสติไปแล้วหรือ”
สี่เชวี่ยถลึงตาใส่ จิ้มหน้าผากของนางอย่างแรง “ห้ามพูดจาเช่นนี้”
สาวใช้ตัวน้อยลูบหน้าผากแล้วกล่าวต่อ “แต่คนในคฤหาสน์พูดเช่นนี้กันทั้งนั้น พี่สี่เชวี่ย ถ้าหากคุณหนูเสียสติไปแล้วจะไล่พวกเราไปหรือไม่ ข้าไม่อยากไปเลย ถึงคุณหนูจะโมโหร้ายแต่ก็ไม่เคยทุบตีคน”
คำพูดนี้ทำให้แม้แต่สี่เชวี่ยก็รู้สึกหดหู่ใจไปด้วย นางเกาศีรษะแกรกๆ “ไม่รู้ ข้าไม่รู้ คุณหนูจะต้องดีขึ้นแน่”
“จะต้องดีขึ้น! จะต้องดีขึ้นแน่!”
สาวใช้ตัวน้อยทั้งสองพากันส่งเสียงรับคำ สี่เชวี่ยถึงเริ่มรู้สึกว่าตนเองฮึกเหิมขึ้นมาเล็กน้อย นางยืดตัวตรง ตั้งใจว่าอีกครู่หนึ่งจะพาตัวคุณหนูกลับไป นายท่านสั่งกำชับไว้ รอให้ครบเจ็ดวันที่เซ่นไหว้คุณชายลู่แล้ว จะปล่อยให้คุณหนูมาก่อเรื่องวุ่นวายอีกไม่ได้ จะต้องพาคุณหนูกลับบ้านทันที
“พี่สี่เชวี่ย คุณหนูหายไปแล้ว!”
สี่เชวี่ยรีบหันขวับกลับไปมอง ภายใต้หิมะโปรยไม่เห็นเงาร่างอันอ้างว้างนั้นอีกแล้ว นางตกใจยิ่ง พอได้คิดใคร่ครวญดูก็ยิ่งตื่นตระหนก “คุณหนูคงไม่ปีนกำแพงเข้าไปในห้องเซ่นไหว้ ไปหาคุณชายลู่หรอกนะ”
สถานที่เซ่นไหว้จัดอยู่กลางห้องโถงใหญ่ของจวนสกุลลู่ แต่เดิมก็เป็นจวนหลังใหญ่ที่ฮ่องเต้ทรงพระราชทาน ฉะนั้นจึงมีอาณาบริเวณกว้างขวางกว่าคฤหาสน์ทั่วไป โดยเฉพาะห้องโถงใหญ่ของจวน ซึ่งยามนี้ประดับผ้าแพรสีขาวเต็มไปหมด บนพื้นมีเงินกระดาษกระจัดกระจาย ในกระถางธูปจุดธูปปักเอาไว้ กลุ่มควันสีขาวลอยอบอวลอยู่รอบโลงศพ ยิ่งทำให้อวิ๋นจ้าวตระหนักได้ว่านี่ไม่ใช่ความฝัน
นางไม่ได้มีนิสัยสงบเสงี่ยมที่ชอบเก็บงำความรู้สึกเฉกเช่นสตรีทั่วไป เรื่องปีนกำแพงขึ้นต้นไม้สำหรับนางนั้นถือเป็นเรื่องธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้นแผนที่จวนแม่ทัพนางยังจดจำใส่ใจได้เป็นอย่างดี โดยจะมีกิ่งต้นสาลี่ในเรือนหลังยื่นออกมานอกกำแพง กระโดดเพียงนิดก็สามารถปีนกิ่งไม้พลิกข้ามกำแพงได้ นับว่าเข้ามาขโมยของได้ง่ายดายยิ่งนัก
นางเคยเอ่ยเรื่องนี้กับลู่อู๋เซิงมาก่อน แต่เขากลับไม่ได้สั่งให้บ่าวไพร่ตัดแต่งกิ่ง นางถามว่าเพราะเหตุใด เขาก็เคาะศีรษะนาง ค้อมตัวลงสบตาแล้วตอบอย่างขบขันว่า ‘นอกจากเจ้าแล้ว ใครจะบังอาจปีนกำแพงจวนแม่ทัพ’
อวิ๋นจ้าวนั่งยองหลบอยู่ในมุมมืดตรงระเบียงทางเดิน มองดูโลงไม้ตั้งตระหง่านอยู่ไกลๆ ด้วยจิตใจเหม่อลอย
บ่าวรับใช้สกุลลู่ประมาณเจ็ดแปดคนเฝ้าอยู่ในห้องโถง แม้จะล่วงเข้าสู่ยามค่ำคืนแล้วก็ยังมีคนเดินเข้าออกอย่างต่อเนื่อง สลับผลัดเปลี่ยนกันเฝ้าโลงศพไว้ อวิ๋นจ้าวอยากหาโอกาสเข้าไปดูหน้าลู่อู๋เซิง แต่ก็ยังทำไม่สำเร็จ วันนั้นที่นางส่งร่างเขากลับมา บ่าวไพร่ที่จวนนี้ดูไม่เป็นมิตรกับนางเท่าไรนัก คงเป็นเพราะพวกเขารู้ดีว่าช่วงหลายวันก่อนหน้านี้ คุณชายของพวกเขาต้องรู้สึกแย่เพียงใดกับเรื่องของนาง
นางหลบซ่อนตัวจากพวกบ่าวไพร่ที่เดินเข้าออกอย่างระมัดระวัง ไม่แน่นางอาจจะมีโอกาสแอบเข้าไปดูหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้าย แต่จู่ๆ ก็มีคนตะคอกเสียงดัง
“ใครอยู่ตรงนั้น!”
ทันทีที่เสียงนี้ดังขึ้น บ่าวไพร่ที่เฝ้าโลงศพต่างลุกพรวดมองไปทางตำแหน่งที่อวิ๋นจ้าวซ่อนตัวอยู่ อวิ๋นจ้าวนิ่งงัน ทว่าสุดท้ายนางก็ลุกขึ้นยืน ไม่ทำตัวลับๆ ล่อๆ อีก ใบหน้าของหน้าเพิ่งจะปรากฏให้เห็น คนทั้งหลายก็กระซิบกระซาบกันด้วยความตกใจ ไม่นานก็เงียบสงบลง พวกเขาจ้องนางเขม็งอย่างไม่ละสายตา
“ข้า…” อวิ๋นจ้าวเงียบไป แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบเยือกเย็นว่า “ข้าอยากเห็นหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้าย”
รอให้แม่ทัพลู่กลับมา ร่างของลู่อู๋เซิงก็จะถูกเคลื่อนย้ายไปฝังแล้ว นับจากนี้นางก็ได้แต่ไปหาเขาที่หน้าหลุมศพ มองดูแผ่นป้ายศิลาอันเย็นเยียบ ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าอย่างไรนางก็อยากจะเห็นหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้าย
บ่าวรับใช้แต่ละคนมองหน้ากันไปมา จากความนิ่งเงียบแปรเปลี่ยนเป็นความเดือดดาล จากความเดือดดาลกลายเป็นการตำหนิอย่างดุดัน “ตอนคุณชายยังอยู่ท่านกลับทำร้ายเขาไปแบบนั้น มาวันนี้ยังเสแสร้งวิ่งมาถึงห้องเซ่นไหว้ทำไม! ท่านเป็นอะไรกับคุณชาย!”
อวิ๋นจ้าวไม่โกรธเคือง ทุกถ้อยคำล้วนบาดหู นางรู้สึกว่าตนเองทำเรื่องแย่ๆ เอาไว้มาก ยามนี้ถึงได้รู้ตัวว่าย่ำแย่ถึงขีดสุดจริงๆ นางทั้งหงุดหงิด สำนึกเสียใจ หมดเรี่ยวแรง จนปัญญาจะโต้แย้งกลับไปสักประโยค
อาฉางเด็กรับใช้ของลู่อู๋เซิงรังเกียจอวิ๋นจ้าวเสียเต็มประดา แต่พอเห็นนางโดนตำหนิเช่นนี้แล้ว ตนเองกลับอ้าปากไม่ออก ยิ่งรู้สึกเสียใจมากกว่าเดิม น้ำเสียงสะอึกสะอื้นกล่าวว่า “พวกเจ้าว่านางเช่นนี้ คุณชายจะต้องเสียใจมากแน่”
เสียงของเขาไร้น้ำหนักเกินไปจึงไม่มีผู้ใดได้ยิน ทว่าตอนนี้กลับมีเสียงตะโกนดังขึ้น
“หยุดพูดได้แล้ว!” น้ำเสียงก้องกังวานหนักแน่นดุจระฆังใบใหญ่ ทุกคนจึงสงบปากได้ทันที
พ่อบ้านของจวนสกุลลู่ได้ยินเสียงจึงเร่งรุดมาดู พอเดินเข้าห้องมาก็กวาดตามองบรรดาบ่าวไพร่ เอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “ใครใช้ให้พวกเจ้าบังอาจตำหนิคุณหนูอวิ๋นให้ห้องโถงนี้ รบกวนความสงบของคุณชาย พวกเจ้ารีบออกไปให้หมดเลย!”
บ่าวรับใช้ที่ใจกล้ายังอยากจะตำหนิอีกสองสามประโยค แต่พอสบตากับพ่อบ้านลู่แล้วก็ตกใจเสียขวัญ จำต้องเดินออกจากห้องไป
พ่อบ้านลู่เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเรียกอาฉางให้เปิดโลงที่ยังไม่ทันตอกตะปูปิดฝา แล้วหันมาค้อมกายให้อวิ๋นจ้าว “เชิญขอรับ”
พอกล่าวจบก็พาอาฉางเดินออกไป โดยไม่กล่าวอะไรมากกว่านี้แม้แต่คำเดียว
อวิ๋นจ้าวรู้สึกซาบซึ้งใจในตัวเขามาก นางรีบเดินไปที่ข้างโลงศพ ชั่วขณะที่ยื่นศีรษะก้มมอง พลันรู้สึกว่าร่างกายแข็งเกร็งจนไม่อาจขยับ ปะปนด้วยความรู้สึกผิดและหวาดกลัว
ลู่อู๋เซิงนอนอยู่ในโลงไม้ที่ปูด้วยผ้าแพร เสื้อผ้าของเขาครบสมบูรณ์ดี อยู่ในอาการสงบคล้ายคนกำลังนอนหลับ ใบหน้าของเขายังมีรอยแผล คงเป็นรอยแผลที่ไม่มีวันหายอีกแล้ว เนื่องจากอากาศหนาวเหน็บ ร่างกายของเขาจึงไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย มีเพียงแค่สีหน้าที่ดูไม่ดีเท่าใดนัก
อวิ๋นจ้าวมองดูเขาอยู่เฉยๆ โดยไม่กล้าเอ่ยเรียก นางกลัวว่าหากเรียกไปแล้วจะไม่มีเสียงเขาตอบกลับมา นางยื่นมืออันสั่นเทาออกมา ใช้ปลายนิ้วนุ่มนิ่มปัดแก้มเขาแผ่วเบา สัมผัสที่ปลายนิ้วเย็นเฉียบปานน้ำแข็ง นี่ไม่ใช่ความเย็นอย่างที่ร่างกายคนเป็นควรจะมีเลย
“ลู่อู๋เซิง ท่านหนาวหรือไม่” นางหยิบเตาอุ่นในอกออกมาวางข้างมือเขาอย่างระมัดระวัง แล้วกระซิบบอกว่า “ในนี้จะต้องหนาวมากแน่ ท่านอุ่นมือหน่อยเถิดนะ”
จนกระทั่งเรียกชื่อเขาแล้ว อวิ๋นจ้าวถึงได้สติกลับมา นางรีบเอามือปิดปากด้วยความตกใจ ถอยหลังไปอย่างร้อนรน ไม่รู้จะทำอย่างไรดี เนิ่นนานกว่าจะสงบจิตใจลงได้ ถึงค่อยเดินกลับมา
ลู่อู๋เซิงตายแล้ว ตายแล้วจริงๆ เดิมทีเขายังมีชีวิตอยู่ได้อย่างน้อยอีกสิบปี กลับต้องมาจบชีวิตลงทั้งอย่างนี้
“ลู่อู๋เซิง…”
อวิ๋นจ้าวทรุดตัวลงกับพื้น หัวเข่ากระแทกพื้นเย็นเฉียบอย่างแรง ความรู้สึกปวดแปลบลามไปทั่วร่าง นางคว้าขอบโลงไม้เอาไว้ไม่ปล่อย ออกแรงจนหลังมือขาวสะอาดเห็นเส้นเลือดขึ้นชัดเจน
นางหลับตาเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ให้ข้ากลับไปเถอะ อีกสักครั้งก็ยังดี”
ค่ำคืนที่มีหิมะตกเป็นช่วงเวลาที่อากาศหนาวเย็นที่สุดในฤดูนี้ มีเสียงหิมะร่วงลงมาให้ได้ยิน แล้วก็เสียงที่เหมือนกับตัวไหมกัดกินใบหม่อนดังซาซา… ซาซา…
ใบไม้ผลิยังไม่ทันมาเยือนก็ได้ยินเสียงตัวไหมกินใบหม่อนแล้ว?
จู่ๆ ลมหนาวพัดโกรกเข้ามากะทันหัน หนาวจนอวิ๋นจ้าวเนื้อตัวสั่นสะท้าน นางรีบลืมตาขึ้น ภาพเบื้องหน้ามีเพียงความมืดมิด มองไม่เห็นลู่อู๋เซิงและไม่เห็นโลงไม้ในห้องโถงอีก นางลุกขึ้นนั่งด้วยความตื่นตระหนก ผ้าห่มนุ่มนิ่มเลื่อนหลุดจากร่างไปอย่างเงียบเชียบ ด้านนอกไม่มีเสียงตัวไหมกินอาหาร กลับเงียบสงัดอย่างมากเสียด้วยซ้ำไป
อวิ๋นจ้าวตกตะลึง เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ นางยื่นมือออกไปคว้าผ้าห่มผืนนั้น แล้วลูบคลำไปรอบกาย
เป็นเตียง เป็นผ้าห่ม เป็นหมอนของนาง!
ระหว่างที่อวิ๋นจ้าวยังตกตะลึง ด้านนอกก็มีเสียงกังวานใสของสี่เชวี่ยดังขึ้น “คุณหนู? คุณหนูเจ้าคะ?”
ในอกของอวิ๋นจ้าวหัวใจเต้นรัวอย่างหนักหน่วง นางเลิกผ้าห่มแล้ววิ่งถลาไปที่ประตูห้อง ทันทีที่เปิดประตูออก ก็เห็นว่าคนที่อยู่ข้างนอกเป็นสี่เชวี่ยจริงดังคาด นางจึงคว้าไหล่ของสี่เชวี่ยเอาไว้ น้ำเสียงสั่นไหวเอ่ยถามว่า “ตอนนี้เป็นยามใดแล้ว”
สี่เชวี่ยมีสีหน้าประหลาดใจ นึกว่าคุณหนูของนางโดนผีเข้าสิง “ตอนนี้เพิ่งผ่านยามจื่อไป วันนี้เป็นวันที่แปดเดือนสิบสองแล้วเจ้าค่ะ”
อวิ๋นจ้าวคลายมือออกทันที ตะลึงงันอยู่ครู่หนึ่งก็หัวเราะออกมา
สี่เชวี่ยมองดูจนหน้าเปลี่ยนสี “คุณหนู ท่านเป็นอะไรไป ข้าจะไปเรียกท่านหมอเฉิง ไม่สิ ท่านหมอเฉิงออกไปข้างนอก ข้าจะไป…”
“สี่เชวี่ย อย่าเอะอะไป” หัวใจของอวิ๋นจ้าวยังเต้นโครมครามไม่เลิก นางกลับมาแล้ว นางกลับมาในวันที่แปดเดือนสิบสองสมควรตายนั่นแล้ว นางยิ้มด้วยความดีใจอย่างอดไม่อยู่ “ข้าจะไปนอนต่ออีกสักหน่อย ไม่ต้องเรียกข้านะ”
สี่เชวี่ยพยักหน้ารับอย่างเป็นห่วง ไม่ใช่ว่าคุณหนูกำลังคิดถึงคุณชายลู่ที่ไม่ยอมมาหาอีกหรอกนะ นางเกาศีรษะแกรกๆ หางตาก็เหลือบไปเห็นว่าอวิ๋นจ้าวไม่ได้สวมรองเท้า คิ้วเรียวดั่งกิ่งหลิวขมวดขึ้น “คุณหนู ท่านสะเพร่าเลินเล่อเช่นนี้อยู่เรื่อย ประเดี๋ยวฮูหยินก็ดุท่านอีกหรอก ดูสิเจ้าคะ แม้แต่รองเท้าก็ไม่ได้สวมหรือนี่!”
พอได้ยินคำพูดเช่นนี้ซ้ำสอง อวิ๋นจ้าวก็ตระหนักได้มากขึ้น ยอมตามสี่เชวี่ยกลับไปที่เตียง
ตอนสี่เชวี่ยใช้ผ้าแห้งเช็ดเท้าให้อวิ๋นจ้าว นางก็เห็นคุณหนูยังยิ้มไม่เลิก จนนางเริ่มใจคอไม่ดีแล้ว
เห็นทีคนที่นางควรไปเชิญจะไม่ใช่หมอ แต่เป็นนักพรตต่างหาก
อวิ๋นจ้าวเช็ดเท้าจนสะอาดแล้วก็มุดกลับเข้าไปในผ้าห่มอันอบอุ่น เห็นสี่เชวี่ยกำลังจะออกไปก็ถามขึ้นว่า “สี่เชวี่ย ทางสกุลลู่มีข่าวอะไรบ้างหรือไม่”
สี่เชวี่ยรู้สึกแปลกใจ “จะมีข่าวอะไรได้เจ้าคะ คุณหนูอยากถามว่าทางนั้นได้ส่งจดหมายมาให้อีกหรือเปล่าใช่หรือไม่เจ้าคะ แต่คุณหนู จดหมายเหลวไหลอย่างนั้น ท่านไม่ต้องคิดรับเป็นฉบับที่สองแล้ว แค่ฉบับเดียวก็ยั่วโมโหคนได้เกินพอ!”
สี่เชวี่ยไม่รู้ที่มาที่ไป อวิ๋นจ้าวจึงไม่คิดกล่าวโทษ ที่สี่เชวี่ยกล้าแสดงความรังเกียจลู่อู๋เซิงถึงเพียงนี้ ไม่ใช่เพราะเมื่อก่อนนางด่าทอเขาอย่างร้ายกาจกว่านี้หรอกหรือ ในเมื่อยามนี้สกุลลู่ยังไม่มีข่าวอะไร ก็หมายความว่าลู่อู๋เซิงยังมีชีวิตอยู่ เหตุการณ์ทุกอย่างหมุนย้อนกลับมาที่เดิมในวันที่แปดเดือนสิบสอง นางเอนกายนอนอย่างโล่งใจ พลางกล่าวเสริมว่า “บอกพ่อครัวด้วยว่าต้มเมล็ดซิ่งให้นิ่มหน่อยนะ”
แม้สี่เชวี่ยจะไม่เข้าใจ แต่ก็ยังกล่าวรับคำแล้วออกจากห้องไป
ประตูห้องปิดลงเบาๆ อวิ๋นจ้าวมีหรือจะหลับตาลงได้ ถึงนางจะกลับมาแล้ว แต่ก็ยังมีบางเรื่องที่ไม่อาจวางใจลงได้
นางคิดทบทวนเรื่องราว ‘หลายวันมานี้’ ในสมองอย่างละเอียดรอบหนึ่ง พบว่าทุกห่วงโซ่เชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ทำผิดพลาดไปเรื่องหนึ่งล้วนเสี่ยงเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นอย่างยิ่ง
ครั้งแรกที่กลับมา เมล็ดซิ่งต้มไม่นิ่ม ท่านย่าปวดฟัน นางไปเชิญหมอหลวงมาตรวจจนล่วงเกินติ้งเป่ยโหวโดยไม่เจตนา ส่งผลให้ท่านย่าต้องจากโลกนี้ไป
ครั้งที่สองพอกลับมา เมล็ดซิ่งต้มนิ่มแล้ว ท่านย่าแข็งแรงดี แต่เพราะร่างกายแข็งแรงดีก็เลยเรียกนางให้ไปไหว้พระที่วัดด้วยกัน และสาเหตุนี้เองที่ทำให้นางมีโอกาสรั้งตัวลู่อู๋เซิงเอาไว้ และพาเดินเข้าไปในป่าไผ่ด้วยกัน จนเจอกลุ่มคนร้ายดักซุ่ม ลู่อู๋เซิงจึงต้องตายจากไป
ตอนนี้กลับมาครั้งที่สาม…
อวิ๋นจ้าวพลิกตัวกอดผ้าห่มไว้ ขมวดคิ้วครุ่นคิดอย่างรอบคอบ
ไม่อาจเชิญหมอหลวงจนไปล่วงเกินติ้งเป่ยโหว ไม่อาจให้ลู่อู๋เซิงเข้าป่าไผ่ เลี่ยงไม่ให้เจอคนซุ่มทำร้าย
ทว่ากลุ่มชายชุดดำช่างน่ากลัวเหลือเกิน นางอยากรู้ฐานะของพวกเขา มิฉะนั้นนางคงไม่รู้ว่าคนพวกนั้นจะทำให้เส้นทางเดิมในช่วงสิบปีนี้ต้องยุ่งเหยิงวันใดอีก อาจเดือดร้อนถึงลู่อู๋เซิง ทำให้เขาต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่คับขัน
ถ้าหากความทรงจำของนางดีพอ จนจำได้ว่าที่แท้ช่วงนี้ในแต่ละวันเคยทำอะไรไปบ้าง นางจะต้องใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบเช่นนี้ไปให้ครบสิบปีแน่ จากนั้นหนึ่งวันก่อนที่ลู่อู๋เซิงจะตายในสิบปีข้างหน้า ก็ไปขวางเอาไว้ไม่ให้เขาไปจุดที่ต้องจบชีวิตลง ช่วงชีวิตที่เหลือจะได้อยู่ต่อไปอย่างไร้กังวล
แต่นางที่มาจากสิบปีข้างหน้า ไม่สามารถจดจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกวันได้อย่างแจ่มชัด ฉะนั้นจึงทำได้เพียงต้องระมัดระวังรอบคอบ รับมือได้อย่างทันท่วงที
ไข่มุกราตรีจะพานางกลับมาได้อีกกี่ครั้งก็ยังไม่รู้ นอกจากนี้ประเดี๋ยวมันก็สำแดงอิทธิฤทธิ์ ประเดี๋ยวก็ไม่ได้ดั่งใจ ทำให้นางรู้สึกกระวนกระวาย และไม่อาจก้าวผิดได้เลยสักก้าวเดียว
ค่ำคืนวันที่แปดเดือนสิบสองทั้งยาวนานและน่าอึดอัด อวิ๋นจ้าวยังคงกลัวดวงอาทิตย์ยามเช้าโผล่พ้นขอบฟ้า ในใจเกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรง แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
หวังว่าทุกอย่างจะผ่านไปโดยราบรื่น
นางพลิกตัวอีกครั้ง ผ้าห่มนุ่มนิ่มแสนอบอุ่นทำให้นางคลายความวิตกกังวลลงได้
ทันใดนั้นชั่วขณะที่นางจะนอนหลับฝัน ก็นึกเรื่องสำคัญมากได้เรื่องหนึ่ง
นางควรกระชากหน้าเจ้าคนสารเลวช่างยุอย่างซ่งโหย่วเฉิงเช่นไรดี
บทที่ 6
กลิ่นหอมของโจ๊กล่าปาฟุ้งกระจายไปทั่วคฤหาสน์สกุลอวิ๋นตั้งแต่เช้าตรู่ กระทั่งอวิ๋นจ้าวที่กำลังล้างหน้าก็ยังได้กลิ่นไปด้วย นางสูดลมหายใจเข้าลึกยาว จากนั้นจึงจุ่มหน้าลงไปในอ่างที่มีน้ำเย็นจัด พ่นลมหายใจออกมากลายเป็นฟองอากาศบุ๋งๆ สาวใช้ที่ยืนปรนนิบัติอยู่ด้านข้างเห็นแล้วรู้สึกหนาวยะเยือกแทน
อวิ๋นจ้าวกลับไม่สนใจ วันนี้มีเรื่องต้องทำมากมาย นางจะเลินเล่อไม่ได้ เจอน้ำเย็นสักหน่อยจะได้สดชื่นขึ้น
สี่เชวี่ยส่งผ้าซับหน้าให้นาง กล่าวด้วยน้ำเสียงกังวลว่า “คุณหนู เมื่อคืนข้าไปถามซ่งหมัวมัวแล้ว นางรู้จักนักพรตที่ฝีมือใช้ได้อยู่คนหนึ่ง”
“นักพรต? นักพรตอะไรกัน” อวิ๋นจ้าวเช็ดหยดน้ำบนใบหน้า หลุดออกจากภวังค์แล้วหันไปมองสี่เชวี่ย “เจ้านึกว่าข้าโดนผีเข้า?”
สี่เชวี่ยโดนจ้องจนขลาดกลัวขึ้นมา “ไม่ ข้าไม่กล้าเช่นนั้น ก็แค่กลัวเจ้าค่ะ”
อวิ๋นจ้าวหลุดขำพรืดออกมา “ข้าไม่ได้ตำหนิเจ้า ข้าชอบเจ้ามากต่างหาก”
คำพูดนี้ออกมาจากใจจริง สี่เชวี่ยที่ไม่รู้สาเหตุแน่ชัดตกใจจนทำถาดไม้ร่วงลงพื้น นางสมควรไปเชิญนักพรตมาสักคนถึงจะถูก
อวิ๋นจ้าวอารมณ์ดีเป็นพิเศษเช่นนี้ พวกบ่าวรับใช้ต่างก็มองออก ผู้อาวุโสในสกุลอวิ๋นก็มองออกเช่นกัน เพราะตั้งแต่วันที่หนึ่งเป็นต้นมา อวิ๋นจ้าวก็เหมือนมีเมฆฝนดำครึ้มปกคลุมร่าง กระทั่งคนในครอบครัวยังไม่กล้าเอ่ยอะไรแม้แต่ประโยคเดียว มาวันนี้เห็นนางอารมณ์ดีขึ้นมาก อวิ๋นฮูหยินคิดเรื่องอื่นไม่ออก เอ่ยถามนางเบาๆ ว่า “คืนดีกับคุณชายลู่แล้วกระมัง”
“ยังเจ้าค่ะ” อวิ๋นจ้าวกล่าวเสริมอีกประโยค “แต่ก็ใกล้แล้ว”
บรรดาผู้อาวุโสพากันถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก อวิ๋นจ้าวเห็นพวกเขาเป็นเช่นนี้ก็รู้สึกสะท้อนใจ จึงเอ่ยว่า “ทำให้ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ต้องเป็นห่วงแล้ว”
เพราะอะไรที่ผ่านมานางถึงไม่เคยสังเกตเห็นว่าคนในครอบครัวก็เศร้าไปกับนางด้วย เอาแต่อมทุกข์อยู่คนเดียว นึกว่าตนเองเป็นคนที่เศร้าเสียใจที่สุดในใต้หล้า ทั้งที่ความจริงไม่แน่ว่าบิดามารดาอาจจะเศร้าเสียยิ่งกว่านางด้วยซ้ำไป นางช่างใจร้ายยิ่งนัก
เมื่อกินอาหารเช้าเสร็จ ฮูหยินผู้เฒ่าก็เอ่ยขึ้นว่า “อวิ๋นเอ๋อร์ วันนี้อากาศดูแจ่มใสไม่เลว อีกสักพักเจ้าไปไหว้พระที่วัดวั่นซานเป็นเพื่อนย่าเถอะ”
อวิ๋นจ้าวไหนเลยจะยอมไป และนางก็ไม่ยอมให้ท่านย่าต้องไปด้วย เพราะบนเขานั้นมีคนร้ายกำลังดักซุ่มอยู่ หากเกิดเรื่องผิดพลาดจนทำให้ท่านย่าต้องมีอันตรายจะทำเช่นไร นางกลอกตาครุ่นคิดแล้วตอบว่า “ท่านย่า ท่านเคยบอกว่ากลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์จะเข้มข้นที่สุดหากไปวัดในตอนเช้ามิใช่หรือ กว่าพวกเราจะเตรียมตัวพร้อม ปีนขึ้นบันไดร้อยแปดสิบกว่าขั้น ไปถึงก็คงสายมากแล้ว ไม่สู้วันพรุ่งนี้ตื่นเช้าสักหน่อย ข้าจะไปกับท่านด้วย”
ฮูหยินผู้เฒ่าประหลาดใจอย่างมาก หลานสาวนางยอมตื่นเช้าขึ้นเขาแล้วหรือ จิตใจปลาบปลื้มยินดี กระนั้นก็ยังกล่าวว่า “หายากที่อวิ๋นเอ๋อร์จะสนใจ แต่วันพรุ่งนี้ย่ามีนัดดื่มน้ำชากับท่านย่าวั่น คราวหน้าก็แล้วกัน”
อวิ๋นจ้าวยิ้มแย้มพลางเอ่ยรับคำ นางทำได้แค่หาทางขัดขวางไม่ให้ท่านย่าไปไหว้พระในวันนี้เท่านั้น พอคิดว่าสามารถหลีกเลี่ยงอันตรายไม่ให้เกิดขึ้นได้แล้ว หัวใจนางก็สงบมั่นคงขึ้นบ้าง
นางลองคำนวณเวลาดูแล้ว ก่อนหน้านี้ลู่อู๋เซิงจะออกจากบ้านในยามซื่อ* เช่นนั้นก็นับว่ายามนี้ยังเช้าอยู่ นางยังมีเวลาจัดการเรื่องอื่นได้ เช่น…เรื่องของซ่งโหย่วเฉิง
ซ่งโหย่วเฉิงก็เหมือนกับนาง ถือกำเนิดในตระกูลพ่อค้า มีฐานะมั่งคั่งร่ำรวย กิจการหลักของบ้านก็คือเครื่องกระเบื้องเคลือบและตลาดปลา มีการทำการค้าร่วมกับสกุลอวิ๋น เพราะซ่งโหย่วเฉิงมีความสัมพันธ์สนิทสนมกับนาง หลายปีมานี้สกุลอวิ๋นจึงช่วยดูแลการค้าของสกุลซ่งไปไม่น้อย เช่น โถกระเบื้องเคลือบใส่ใบชาหลังอบแห้งซึ่งเอาไว้ใช้ในไร่ชา ถ้วยจานชามที่ใช้ในหอสุราของสกุลอวิ๋น รวมถึงปลาสดใหม่ทุกวันที่ใช้ทำอาหารในหอสุราก็ล้วนมาจากกิจการของสกุลซ่ง
อวิ๋นจ้าวเป็นคนเปิดเผยใจกว้าง นางดีต่อลู่อู๋เซิงและดีต่อสหายของเขาด้วย แต่นางไม่คิดเลยว่าจะกลายเป็นสหายกับหมาป่าตาขาว** พอคิดถึงเรื่องนี้อวิ๋นจ้าวก็ได้แต่กัดฟันกรอด
หลังจากมารดาไปเดินชมดอกไม้กับท่านย่าแล้ว นางก็เดินตามบิดาออกนอกบ้านไปพร้อมกัน นายท่านอวิ๋นเห็นบุตรสาวตามมาด้วย จึงถามยิ้มๆ ว่า “อวิ๋นเอ๋อร์จะออกไปข้างนอกเหมือนกันหรือ”
“เจ้าค่ะ แต่ข้ามีเรื่องหนึ่งที่อยากจะพูดกับท่านพ่อ”
“เรื่องใดกัน”
“เกี่ยวกับเรื่องการค้า”
นายท่านอวิ๋นเผยสีหน้าประหลาดใจ กวาดตามองนางอยู่หลายรอบ “อวิ๋นเอ๋อร์เริ่มสนใจเรื่องการค้าตั้งแต่เมื่อใดกัน” เขากล่าวต่อด้วยความยินดี “เมื่อคืนแม่เจ้ายังพูดกับพ่อว่า สกุลอวิ๋นมีเจ้าเป็นทายาทเพียงคนเดียว กิจการของเราในวันหน้าก็มีเจ้าเป็นผู้สืบทอด แต่วันๆ เจ้าเอาแต่เที่ยวเล่น ไม่สนใจเรื่องในบ้าน เดิมที…”
อวิ๋นจ้าวฟังแล้วก็หน้าแดง พอเห็นบิดาหยุดชะงัก หัวใจก็คันยุบยิบจนทนไม่ไหว นางถามขึ้นว่า “เดิมทีอะไรหรือ”
นายท่านอวิ๋นยิ้มบางๆ “เดิมทียังคิดว่ารอให้คุณชายสกุลลู่มาเป็นเขยของพวกเรา ก็จะมีคนควบคุมเจ้าแล้ว หรือต่อให้คุมไม่อยู่ กิจการของครอบครัวก็ยังมีคนคอยดูแล เพราะฉะนั้นพอเจ้ากับอู๋เซิงทะเลาะผิดใจกัน พวกเราก็กลัดกลุ้มไม่น้อย วันนี้เห็นเจ้ามีชีวิตชีวาเหมือนเดิม พ่อก็วางใจแล้ว”
ว่ากันว่าไม่มีบิดามารดาที่ไหนที่ไม่รักบุตรสาว อวิ๋นจ้าวที่ไม่เคยรู้ว่าพวกท่านเป็นห่วงถึงเพียงก็นี้รู้สึกแสบจมูกนิดๆ นางหัวเราะแล้วกล่าวว่า “พวกเราไม่มีทางเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่ ท่านพ่อ ข้าจะคว้าลู่อู๋เซิงมาเป็นเขยของท่านให้จงได้ ท่านไม่ต้องร้อนใจไป”
นายท่านอวิ๋นฟังแล้วก็ตกตะลึง เขารู้ดีว่าบุตรสาวเป็นคนใจกล้า แต่ไม่คิดว่าจะกล้ามากขนาดนี้ เขาอดหัวเราะเสียงดังกังวานไม่ได้ สมแล้วที่นางเป็นบุตรสาวของสกุลอวิ๋น เขาเอ่ยเตือนว่า “ตรงไปตรงมาก็ดี แต่คำพูดนี้อย่าให้คนอื่นได้ยินเข้าเล่า โดยเฉพาะคุณชายลู่ พ่อกลัวว่าเขาจะตกใจหนีไปก่อน”
“เขาไม่หนีไปหรอก” อวิ๋นจ้าวพึมพำออกมา ใบหน้ายิ่งแดงก่ำดั่งพุทราสุก นางฝืนข่มกลั้นเอาไว้ ได้แต่หันไปหัวเราะอีกทางหนึ่ง แล้วกล่าวต่อ “ท่านพ่อ ความจริงที่ข้ากับลู่อู๋เซิงทะเลาะตัดขาดกัน ใช่ว่าจะไม่มีสาเหตุ”
นายท่านอวิ๋นเห็นนางทำท่าจะเล่าสาเหตุของเรื่องนี้ให้ฟัง เขาก็รู้สึกคาดไม่ถึงอยู่บ้าง แม้บุตรสาวจะเป็นคนตรงไปตรงมา แต่เมื่อเป็นเรื่องของตนเองแล้วกลับไม่เคยบอกใคร โดยเฉพาะเรื่องทุกข์ใจจะเก็บเอาไว้คนเดียว มีหรือจะมาคุยความในใจให้พวกเขาฟัง แต่วันนี้เพราะเรื่องของคุณชายลู่ นางกลับยอมเล่าออกมาแล้ว
นายท่านอวิ๋นดีใจ เพราะในที่สุดหม้อใบนี้ก็ตามหาฝาหม้อที่เข้าคู่กัน* ได้เสียที ไม่ใช่ประเดี๋ยวพอเดือดพล่านก็มีไอน้ำลอยออกมา ทำให้คนที่เห็นร้อนอกร้อนใจ
“อวิ๋นเอ๋อร์เล่ามาสิ พ่อรอฟังอยู่”
ดวงอาทิตย์เจิดจ้าสดใส แต่ว่าลมหนาวยังไม่หายไปไหน ยามเมื่ออยู่ใต้แสงแดด เพิ่งจะซึมซับไออุ่นไว้บนร่าง ก็จะถูกลมหนาวเย็นยะเยือกพัดหายไปหมดสิ้น
ลู่อู๋เซิงยืนอยู่หน้าประตูบ้าน ได้ยินเสียงอาฉางสบถด่าเบาๆ ว่า “นับวันดูจะเหลวไหลขึ้นทุกทีแล้ว” จากนั้นก็เห็นเขาวิ่งไปเร่งคนที่คอกม้า
ผ่านไปชั่วอึดใจ ลู่อู๋เซิงก็มองเห็นพื้นของตรอกฝั่งตรงข้ามสะท้อนเงาร่างใครคนหนึ่ง แขนเสื้อปลิวไสวตามแรงลม เนื่องจากแสงแดดที่ส่องลงมาลาดเอียง ทำให้เงาร่างนั้นดูคล้ายท่อนไม้อ้วนป้อมท่อนหนึ่ง
แต่ต่อให้เงาร่างนั้นจะอ้วนอย่างไร ในสายตาของเขาก็ยังเป็นเงาร่างที่งดงามอยู่ดี
เขาจดจ้องอยู่พักใหญ่ ใคร่ครวญอยู่ว่าหากเขาเดินตรงไปหานางตรงๆ เช่นนี้ นางจะรู้สึกอึดอัดใจหรือไม่ พอคิดๆ ดูแล้วก็ยังรู้สึกอยากพบนางอยู่ดี
เมื่อคิดดีแล้ว เขาก็ย่างเท้าเดินตรงไป
จนกระทั่งเหลือระยะห่างจากเงาร่างนั้นอีกแค่สี่ถึงห้าก้าว จู่ๆ ก็มีศีรษะโผล่ออกมาจากหลังกำแพงผมเปียสองข้างร่วงหล่นลงมาแนบอยู่ข้างใบหน้าซึ่งประณีตงดงามราวตุ๊กตากระเบื้องเคลือบแสนสวยตัวหนึ่ง
เขาชะงักฝีเท้าแล้วมองนางอย่างเงียบงัน
ชั่วขณะที่อวิ๋นจ้าวเห็นหน้าเขา หัวใจก็กระดอนขึ้นมาถึงคอหอย…ลู่อู๋เซิงที่ยังมีชีวิตอยู่ตรงหน้านางนี่เอง
แต่เพียงพริบตาเดียวนี้เอง ภาพลู่อู๋เซิงที่มีเลือดอาบท่วมร่าง ลู่อู๋เซิงที่รับมือศัตรูด้วยกำลังหนึ่งต่อยี่สิบ ยอมสู้จนตัวตายก็ไม่คิดทิ้งนางหนีไป วนเวียนอยู่ในสมองนางอย่างรวดเร็วราวกับโคมไฟหมุนติ้ว
“ลู่อู๋เซิง…” อวิ๋นจ้าวเรียกชื่อเขาคำหนึ่ง สมควรตายนัก นางอยากร้องไห้อีกแล้ว อวิ๋นจ้าวพบว่าหลังจากตนเองย้อนเวลากลับมาก็กลายเป็นคนขี้แยไปเสียแล้ว
ยิ่งเข้าใจเขาลึกซึ้งเท่าไร อวิ๋นจ้าวก็ยิ่งรู้สึกว่านางติดค้างเขามากขึ้นเท่านั้น
เหตุผลที่สวรรค์ยอมให้นางกลับมาก็เพื่อชดเชยความสูญเสียที่ไม่อาจหวนคืนระหว่างพวกเขาสองคน
ในช่วงสิบปีนั้น นางได้ยินเรื่องราวของลู่อู๋เซิงซึ่งอยู่ที่นอกด่านโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ ความสามารถของเขาเพียบพร้อมทั้งบุ๋นและบู๊ เชี่ยวชาญกลยุทธ์การศึก สังหารศัตรูสร้างผลงาน ทุกเรื่องราวได้รับการกล่าวขานจนกลายเป็นตำนาน
แม้จะจากกันไปเป็นสิบปี แต่นางกลับใส่ใจเรื่องราวของเขามาโดยตลอด ต่อให้เหินห่างกันนานถึงเพียงนั้น นางก็ไม่เคยลืมเขาได้เลย
ลู่อู๋เซิงเห็นดวงตานางแดงเรื่อราวกับจะหลั่งน้ำตาก็เดินขึ้นหน้ามาอีกสามก้าว กั้นนางไว้กับกำแพง
อวิ๋นจ้าวลูบจมูกตนเอง กะพริบตาปริบๆ แล้วเอ่ยว่า “ลู่อู๋เซิง”
“หืม?”
อวิ๋นจ้าวกะพริบตาปริบๆ แล้วช้อนสายตาขึ้นมองเขา “ข้าชอบท่าน”
“…” ลู่อู๋เซิงรู้สึกลมหายใจติดขัดเพราะนางเข้าแล้ว ใบหน้าคมคายขาวสะอาดถูกอาบย้อมเป็นสีแดงก่ำ
อวิ๋นจ้าวเห็นเขาทำอะไรไม่ถูกก็รู้สึกขบขันจนหัวเราะเสียงดัง โดยไม่รู้ตัวเลยว่าใบหน้านางก็เป็นสีแดงเข้มไปหมดแล้ว นางเขย่งเท้าแล้วกล่าวต่อ “ข้าจริงจังนะ”
ด้วยกลัวเขาจะตกใจจนหนีไป นางจึงคว้าแขนเสื้อเขาเอาไว้ ความขบขันในน้ำเสียงก็จางลงไปมาก “ลู่อู๋เซิง ข้าขอโทษ หากข้าไม่เอาแต่ใจถึงเพียงนั้น ก็คงไม่เกิดเรื่องขึ้นหรอก”
วันนี้เขายังมีชีวิตอยู่ แต่ความเจ็บปวดตอนที่คมอาวุธแทงทะลุหัวใจเขาเมื่อตอนนั้นยังคงเป็นความจริง ต่อให้เขาตรงหน้านี้จะไม่มีวันรับรู้ก็ตาม
อวิ๋นจ้าวก็ไม่อยากให้เขารู้
ความรู้สึกที่ลู่อู๋เซิงมีให้นาง ไม่ว่าจะย้อนกลับมากี่ครั้งก็ยังเหมือนเดิมเสมอ แต่นางกลับต่างออกไป หากกล่าวว่าทุกครั้งความรู้สึกที่นางมีต่อเขาจะเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆ ตอนนี้นางก็คงเพิ่มจากเดิมไปเป็นพันเป็นหมื่นส่วนแล้ว
ลู่อู๋เซิงถอนหายใจแผ่วเบา “อวิ๋นอวิ๋น ข้ามองเจ้าไม่ออกแล้ว”
“คงรู้สึกว่าที่ข้ามาขอโทษเช่นนี้คงน่าแปลกใจมากกระมัง คนที่เขียนจดหมายตัดสัมพันธ์ให้ท่าน วันนี้กลับมาบอกว่าชอบท่านเสียได้ ท่านคงรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ”
ลู่อู๋เซิงไม่ได้ปฏิเสธ อวิ๋นจ้าวไม่ประหลาดใจแต่อย่างใด
“ข้าไม่ได้เขียนจดหมายฉบับนั้น” อวิ๋นจ้าวมองเขาไม่วางตา มือยิ่งออกแรงกำแขนเสื้อของเขาแน่น บิดจนกระทั่งแขนเสื้อมีรอยยับ “ข้าไม่ได้เขียนจดหมายฉบับนั้น มีคนกำลังยุยงให้พวกเราผิดใจกัน”
ลู่อู๋เซิงนิ่งเงียบไป อวิ๋นจ้าวหยิบจดหมายที่ลงแรงหาอยู่นานมาจากข้างเอว วางลงในมือของเขา “ท่านลองอ่านดูสิ”
ในใจลู่อู๋เซิงเกิดความสับสน พอก้มหน้ามองเห็นลายมือในจดหมายแล้ว เขาก็มีสีหน้าตะลึงงันโดยพลัน “ข้าเขียนหรือ” เขาก้มหน้าครุ่นคิด“ข้าเคยเขียนจดหมายให้เจ้าตั้งแต่เมื่อใด”
อวิ๋นจ้าวสบตาเขา “ไม่ต้องคิดหรอก ท่านไม่เคยเขียน ไม่เคยเขียนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
บรรดาพี่น้องสหายสนิทของนาง มีใครบ้างที่ไม่เคยได้จดหมายจากชายคนรัก ในจดหมายพร่ำพรรณนาคำหวานไม่สิ้นสุด ทำให้นางรู้สึกอิจฉาอยู่มาก พี่น้องพวกนั้นเคยถามนางว่า คุณชายลู่ผู้มีความสามารถเพียบพร้อมทั้งบุ๋นและบู๊ อีกทั้งเคยมีจารึกชื่อบนทำเนียบทอง จดหมายรักที่เขาเขียนให้จะเป็นเช่นไรกัน พอนางบอกปัดไปว่าไม่เคยได้ พวกนางกลับไม่ยอมเชื่อ ทั้งยังกล่าวหาว่านางหวงไม่ยอมให้ดู
ถูกใส่ร้าย ถูกใส่ร้ายโดยแท้ ลู่อู๋เซิงเคยเขียนจดหมายให้นางที่ใดกันเล่า ฮึ! อวิ๋นจ้าวคิดแล้วก็รู้สึกปวดใจ
ลู่อู๋เซิงเห็นผนึกซองจดหมายขาดวิ่น ทว่ากระดาษกลับยังใหม่ ไม่ใช่จดหมายเก่าแก่นานปีอะไร คิดว่าหลังจากถูกนางพับแล้วพับอีก กว่าจะคลี่ออกมาอ่านได้ก็ไม่ง่ายเลย จึงเกิดความระแวงสงสัย แม้ลายมือหน้าซองเป็นลายมือของเขาแน่ แต่เขากลับจำไม่ได้ตนเองว่าเคยเขียนจดหมายฉบับนี้ไว้เมื่อใด จากความทรงจำของเขา เรื่องนี้ไม่น่าเป็นไปได้
เขายิ่งรู้สึกสงสัยมากยิ่งขึ้น พอหยิบกระดาษข้างในออกมา ก็พบว่ามีแค่สองแผ่น ทว่าเพียงแค่กวาดสายตาอ่านอย่างคร่าวๆ รวดเดียวทั้งสิบบรรทัด เขาก็ต้องตกตะลึงพรึงเพริด
เพราะเนื้อความในจดหมายมีแต่คำตำหนิอวิ๋นจ้าว วาจาเชือดเฉือนเย็นชา ทำลายเกียรติและศักดิ์ศรีของสตรีผู้หนึ่งไปจนหมดสิ้น
ที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือ ลายมือนั้นเป็นของเขาเอง!
กระดาษจดหมายบางๆ ในมือราวกับมีน้ำหนักนับพันชั่ง ทั้งยังคมกริบดุจใบมีด บาดมือลู่อู๋เซิงจนเจ็บไปหมด พอเขาอ่านจดหมายจบก็เอ่ยว่า “ใครกล้าว่าร้ายเจ้าถึงเพียงนี้”
อวิ๋นจ้าวชะงักไปชั่วครู่ “ท่านไม่โกรธที่มีคนปลอมแปลงลายมือท่านหรือ แต่กลับมา…”
แต่กลับมาห่วงเรื่องที่มีคนว่าร้ายนางก่อน
อวิ๋นจ้าวอดยกมือขึ้นปิดหน้าไม่ได้ ใบหน้าของนางร้อนผ่าวอีกครั้ง
“เป็นอะไรไป อวิ๋นอวิ๋น?”
“ช้าก่อน อย่าเพิ่งแตะตัวข้า ตอนนี้หัวใจข้าเต้นแรงมากจริงๆ ข้ายิ่งชอบท่านมากขึ้นทุกทีแล้ว ลู่อู๋เซิง”
ลู่อู๋เซิงกระแอมไอ นางทำตัวแปลกพิกลจริงๆ กระทั่งคำพูดก็ทำให้เขาใจเต้นโครมครามได้
อวิ๋นจ้าวมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง เผยให้เห็นดวงตาผ่านง่ามนิ้วมือ แต่ยังคงยกมือปิดหน้าเอาไว้เวลาที่มองเขา “ตอนนั้นพอข้าอ่านจดหมายฉบับนี้แล้ว แทบอยากจะวิ่งมาด่าว่าท่านต่อหน้า แต่เมื่อวานข้าถึงค่อยคิดได้ ท่านจะเขียนจดหมายแบบนี้ให้ข้าได้อย่างไรกัน”
“แน่นอนว่าไม่มีทาง อีกอย่าง…” จู่ๆ ลู่อู๋เซิงก็เงียบไป นัยน์ตาสั่นไหวอย่างรุนแรง “จะว่าไปแล้ว ข้าก็ได้รับจดหมายมาจากเจ้า เหมือนกับฉบับนี้”
อวิ๋นจ้าวเกือบจะพยักหน้าตอบแล้วว่า ‘ข้าก็รู้’ แต่สุดท้ายก็เก็บอาการเอาไว้ได้ “ลายมือในนั้นเหมือนกับข้าไม่มีผิดเพี้ยน ถ้อยคำที่ใช้ก็ไร้น้ำใจไมตรี ท่าทางเหมือนกับต่อให้ตายก็ไม่คิดพบหน้ากันอีก”
ลู่อู๋เซิงเข้าใจขึ้นมาในทันที “พวกเราถูกวางแผนคิดร้ายอย่างนั้นหรือ”
“อืม ท่านคิดออกหรือไม่ว่าใครเป็นคนทำ”
เรื่องที่เขาคิดออก ‘เมื่อคราวก่อน’ อวิ๋นจ้าวเชื่อว่าหนนี้เขาก็สามารถคิดออกได้เช่นกัน เป็นไปตามที่คาดเอาไว้ สีหน้าลู่อู๋เซิงดูย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิมแล้ว
“ข้านัดเจ้าคนสารเลวซ่งโหย่วเฉิงเอาไว้แล้ว ทั้งยังเลือกหอไป่เป่าที่พวกเราชอบไปที่สุด ท่านก็ไปด้วยเถอะนะ ลู่อู๋เซิง ท่านไม่ต้องเสียใจไปหรอก อย่างน้อยท่านก็ได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของคนถ่อยจอมเสแสร้งนั่น”
การสูญเสียสหายสนิทช่างน่าปวดใจยิ่งนัก และการเปิดโปงโฉมหน้าที่แท้จริงของสหายเช่นนี้ก็ทำให้ลู่อู๋เซิงรู้สึกปวดแปลบในใจ ก่อนที่เขาจะสงบนิ่งลงได้ในเวลาไม่นาน ปลงตกกับเรื่องนี้จนได้
“ข้าไม่เสียใจ อย่างน้อย…พวกเราก็ไม่ได้เข้าใจผิดไปชั่วชีวิต”
คำพูดประโยคนี้สำหรับอวิ๋นจ้าวที่เป็น ‘คนย้อนเวลามา’ ราวกับถูกหมัดหนักหน่วงกระแทกลงกลางใจ นางยื่นมือไปกอดเขาเอาไว้ เอ่ยตอบคำหนึ่งว่า “อื้อ!”
ลู่อู๋เซิงลูบไล้เส้นผมของนาง มีกลิ่นหอมรวยรินโชยมาปะทะจมูก ทำให้รู้สึกอบอุ่นใจ เขาเอ่ยว่า “ข้าจะไปหาซ่งโหย่วเฉิง”
“ข้าเองก็จะไปหาเขาอยู่แล้ว แต่ก่อนไปข้าต้องไปที่แห่งหนึ่งก่อน ท่านรอก่อนนะ ข้าไปไม่นานประเดี๋ยวก็กลับมา”
พอกล่าวจบนางก็ก้าวขาเตรียมจะวิ่ง ลู่อู๋เซิงรู้สึกแปลกใจจึงคว้าตัวนางเอาไว้ “เจ้าจะไปที่ใด”
นางชอบทำอะไรคาดเดาไม่ได้อยู่เสมอ ลู่อู๋เซิงไม่ค่อยสบายใจสักเท่าไรนัก
อวิ๋นจ้าวยังไม่ลืมว่าบนเขาวัดวั่นซานมีคนร้ายซ่อนตัวอยู่ ไม่ว่าที่นั่นจะเป็นกลลวงหรือแผนชั่วอะไร นางก็ควรไปแจ้งความกับทางการก่อน ในเมื่อคิดจะจับกุมคนพวกนั้นแบบไม่ให้ทันตั้งตัว แน่นอนว่านางจะออกหน้าเองไม่ได้ จะต้องหาคนไปแจ้งความแทน ซึ่งนางไม่อาจให้ลู่อู๋เซิงรู้ได้ว่านางจะไปทำอะไร
เอาไว้ให้จับกุมตัวคนได้แล้ว นางค่อยหาโอกาสพาลู่อู๋เซิงไปดูหน้าคนพวกนั้น เพื่อยืนยันว่าพวกเขาเป็นใครกันแน่
ทว่ายามนี้ลู่อู๋เซิงกลับคว้ามือนางไว้โดยไม่ยอมปล่อย
อวิ๋นจ้าวยิ้มจนตาหยีเป็นเส้นโค้ง ขยับเข้าใกล้เขาแล้วเอ่ยกระเซ้าว่า “ทำไมหรือ ตัดใจจากข้าไม่ได้หรือไร”
ลู่อู๋เซิงนิ่งงันไป
มือของนางข้างที่ลู่อู๋เซิงเกาะกุมไว้พลันลื่นไหลออกจากฝ่ามือเขาไปราวกับผ้าแพร เหลือเพียงรอยยิ้มสดใสของนาง “ลู่อู๋เซิง รอข้านะ ประเดี๋ยวข้าก็กลับมาแล้ว คราวนี้ข้าจะไม่ให้ท่านรอนานแน่ เชื่อข้าสิ”
ลู่อู๋เซิงแอบถอนหายใจ เป็นสาวน้อยที่ทำให้จิตใจคนสับสนวุ่นวายได้เสมอจริงเชียว
รอก็ได้ นางให้เขารอ เขาก็ยินดีจะรอ หนึ่งปีหรือว่าสิบปีก็ได้ทั้งนั้น
แต่ว่า…
เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า ใกล้จะถึงเวลาที่นัดหมายไว้กับใต้เท้าลิ่นแล้ว คาดว่าพอไปจัดการปัญหากับนางจนเสร็จเรียบร้อย เขาก็คงเหลือเวลาไปพบใต้เท้าลิ่นน้อยเต็มที
ฝีมือการทำอาหารของพ่อครัวหอไป่เป่าล้ำเลิศเหนือใคร อาหารแต่ละชนิดล้วนเป็นอาหารเลิศรส ฉะนั้นร้านอาหารซึ่งเดิมทีไม่ได้ชื่อหอไป่เป่า* ก็ยังต้องเปลี่ยนมาใช้ชื่อนี้แทนเสียเลย กิจการรุ่งเรืองจนกลายเป็นร้านเก่าแก่เลื่องชื่อ
สกุลอวิ๋นก็มีหอสุราอยู่เช่นกัน ทว่าอยู่ห่างจากที่นี่ไปอีกไกลมาก นายท่านอวิ๋นและหลงจู๊ของหอไป่เป่าเป็นสหายเก่ากัน ฉะนั้นทุกครั้งที่นางมาที่นี่ หลงจู๊ก็จะหยอกล้อนางว่าแอบมาขโมยวิชาอีกแล้ว
วันนี้อวิ๋นจ้าวจองห้องส่วนตัวในมุมเงียบสงบไว้ล่วงหน้า ขณะที่ผู้อื่นยังต่อแถวรออยู่ข้างนอก นางกลับสามารถเดินผ่านเข้ามาด้านในราวกับปลาแหวกว่าย แล้วขึ้นไปที่ห้องอาหารส่วนตัวที่อยู่บนชั้นสาม
ซ่งโหย่วเฉิงมารออวิ๋นจ้าวอยู่นานแล้ว เนื่องจากนางเป็นฝ่ายนัดหมายด้วยตนเอง พอเห็นนางเดินเข้ามาในห้อง เขาก็เริ่มชงชาทันที เอ่ยยิ้มๆ ว่า “รีบนั่งลงเร็วเข้า ข้าสั่งอาหารเอาไว้แล้ว แล้วก็มีขนมด้วย เจ้าจะต้องชอบแน่”
เพียงซ่งโหย่วเฉิงมองปราดเดียวก็รู้ว่าอวิ๋นจ้าวบรรจงแต่งตัวมา เขารู้สึกยินดียิ่ง
‘คราวก่อน’ ที่หอไป่เป่า ตอนที่อวิ๋นจ้าวเพิ่งรู้ความรู้สึกของซ่งโหย่วเฉิง นางยังรู้สึกผิดต่อน้ำใจที่เขามีให้กับนางอยู่บ้าง ทว่าภายหลังนางก็นึกขึ้นได้ว่าหลังจากลู่อู๋เซิงติดตามท่านแม่ทัพลู่ไปเมืองชายแดนแล้ว สุดท้ายซ่งโหย่วเฉิงก็แต่งงานไปกับสตรีอื่น นางถึงไม่รู้สึกผิดต่อน้ำใจของเขามากเพียงนั้นแล้ว
ตอนนี้เมื่อความจริงปรากฏขึ้นชัดเจน นางจึงมีแต่ความเคียดแค้นชิงชัง นิสัยดื้อรั้นของนางเป็นต้นเหตุที่ทำให้นางต้องแยกจากลู่อู๋เซิงนานถึงสิบปี ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะซ่งโหย่วเฉิงวางแผนยุแยงอยู่เบื้องหลังด้วย
ชาร้อนจนได้ที่แล้ว ซ่งโหย่วเฉิงจึงรินชาให้นางถ้วยหนึ่งก่อน รอนางดื่มคำหนึ่งแล้วบอกว่ารสดี เขาก็เผยสีหน้ายิ้มแย้มแล้วรินให้นางอีกถ้วยหนึ่ง
ทว่าชาถ้วยนี้อวิ๋นจ้าวดื่มไปได้เพียงครึ่งหนึ่งก็วางถ้วยลง “ยังต้องรินชาอีกถ้วย”
แม้ซ่งโหย่วเฉิงจะรู้สึกหงุดหงิดเพียงใด สีหน้าเขาก็ไม่แสดงอารมณ์ออกมา หลังจากนั้นเขาก็คิดได้ว่ายอมให้พี่สาวน้องสาวของนางมาด้วยก็ได้ อย่างน้อยเขาก็ยังพอรับได้อยู่บ้าง
“มีพี่น้องของเจ้ามาเพิ่มหรือ” ซ่งโหย่วเฉิงเพิ่งจะถามจบ ที่ด้านนอกก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“ข้าเอง” เสียงที่ดังเข้ามาในห้อง ทำให้ซ่งโหย่วเฉิงตกใจอย่างยิ่ง
เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดจู่ๆ ลู่อู๋เซิงถึงมาที่นี่ได้
ทันทีที่อวิ๋นจ้าวได้ยิน สีหน้านางก็ดีใจอย่างเห็นได้ชัด ทั้งยังลุกไปเปิดประตูให้ด้วยตนเอง
ลู่อู๋เซิงกับนาง คนหนึ่งมาก่อนคนหนึ่งมาหลัง ที่เป็นเช่นนี้ก็เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ซ่งโหย่วเฉิงเกิดความสงสัย และไม่ทำให้เขาต้องอึดอัดจนทนไม่ได้ไปเสียก่อน กระนั้นอวิ๋นจ้าวก็ยังชอบใจอย่างที่สุด ยิ่งเห็นซ่งโหย่วเฉิงหงุดหงิดใจมากเท่าไร นางกลับยิ่งเบิกบานใจ ยิ่งเขาเป็นทุกข์เพียงใด นางก็ยิ่งยินดีปรีดามากขึ้นเท่านั้น
ใครใช้ให้เขาเป็นคนถ่อยเช่นนี้เล่า
ซ่งโหย่วเฉิงอยากจะยิ้มแย้มต้อนรับลู่อู๋เซิงเช่นกัน ทว่าแรงโจมตีจากการเผชิญหน้าอย่างไม่ทันตั้งตัวนี้หนักหน่วงเกินไป ยิ้มออกไปไม่รู้ว่าน่าเกลียดแค่ไหน
อวิ๋นจ้าวแสร้งมองไม่เห็นอาการของซ่งโหย่วเฉิง ดึงแขนลู่อู๋เซิงให้นั่งลง นำน้ำชาที่ซ่งโหย่วเฉิงรินให้นางวางลงตรงหน้าเขา พลางส่งยิ้มอ่อนหวาน “น้ำชาถ้วยที่สองยังไม่ได้ริน ข้ารู้ว่าท่านคงกระหายน้ำไม่น้อย ดื่มถ้วยนี้ของข้าก่อนเถอะ แม้ข้าจะดื่มไปแล้ว แต่ก็รู้ว่าท่านไม่ถือสา”
ลู่อู๋เซิงรู้ว่าอวิ๋นจ้าวจงใจยั่วโทสะซ่งโหย่วเฉิง ซึ่งเรื่องที่ซ่งโหย่วเฉิงวางแผนแยกพวกเขาออกจากกันนั้นก็น่าโมโหจริงๆ หากเป็นยามปกติเขาคงไม่อยากให้มีคำครหาใดๆ เกิดขึ้น ทว่าตอนนี้พอเห็นถ้วยชาที่อวิ๋นจ้าวส่งมาแล้ว เขาก็ยื่นมือออกไปรับมาแล้วยกดื่ม
ซ่งโหย่วเฉิงยิ้มไม่ออกไปชั่วขณะ กระทั่งรอยยิ้มเสแสร้งก็เค้นไม่ออกอีกแล้ว
อวิ๋นจ้าวมองดูด้วยความชอบใจ กระทั่งลู่อู๋เซิงยังคิดว่าทำเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ต่อให้จะเป็นแค่การเล่นละครตบตา กระนั้นก็สาแก่ใจเขาดีเหลือเกิน ทั้งที่แต่ก่อนยามที่เขาเห็นสตรีนางอื่นทำตัวเอาแต่ใจนั้น รู้สึกว่าพวกนางช่างดื้อรั้นเป็นเด็กๆ แต่พอเห็นอวิ๋นจ้าวทำอย่างเดียวกันนี้ เขากลับรู้สึกว่านางเฉลียวฉลาดซุกซน
“เห็นพวกเจ้าคืนดีกันเช่นนี้ ข้าก็วางใจแล้ว” ซ่งโหย่วเฉิงเอ่ยขึ้น “ข้าจะไปบอกเสี่ยวเอ้อร์ให้มาเพิ่มถ้วย”
“ไม่ต้อง ข้ากับพี่ลู่ใช้ถ้วยเดียวกันก็ได้ จะได้ไม่ต้องไปขอเพิ่ม” แววตาอวิ๋นจ้าวมีนัยแอบแฝง “เพราะอีกประเดี๋ยวห้องนี้ก็จะเหลือแค่คนสองคน จะขอถ้วยมาเพิ่มทำไมกัน”
ซ่งโหย่วเฉิงเริ่มสัมผัสได้ถึงสถานการณ์ที่ผิดปกติ พวกเขาคืนดีกันเช่นนี้ เกรงว่าคงเปิดใจพูดคุยกันจนกระจ่างแล้ว หากเป็นเช่นนั้นสถานะของเขาก็จะยิ่งสุ่มเสี่ยงและอยู่ในภาวะที่น่าอึดอัด เขาลอบสังเกตสีหน้าคนทั้งสอง ก็ยิ่งแน่ใจความคิดของตนเอง
“พี่ซ่ง ว่ากันว่าเห็นลายมือดุจเห็นตัวคน ท่านมีลายมือที่งดงาม เป็นคนสุภาพนอบน้อม อาจารย์ยังชื่นชมอยู่บ่อยครั้ง ขนาดท่านพ่อยังบอกให้ข้าดูท่านเป็นแบบอย่าง ให้ข้าขยันฝึกเขียนพู่กัน จนถึงวันนี้ข้าถึงได้เข้าใจ ตัวท่านหาใช่แค่มีลายมืองดงาม ท่านแทบจะเป็นดั่งพระโพธิสัตว์กวนอิมพันมือในวิหาร มือหนึ่งข้างก็คือหนึ่งลายมือ ทำให้เท็จจริงปะปน ถึงขั้นพระโพธิสัตว์ยังยากจะแยกแยะได้ว่าลายมือนั้นเขียนมาจากมือข้างไหนของพระองค์ หรือไม่ก็มาจาก…มือของท่าน”
ซ่งโหย่วเฉิงตกตะลึงไปทันใด คำพูดของอวิ๋นจ้าวอาจดูสับสนคลุมเครือ หากเป็นคนนอกอาจฟังไม่ออกและไม่เข้าใจ ทว่าซ่งโหย่วเฉิงมีหรือจะไม่รู้ถึงความนัยนั้น ใบหน้าของเขาซีดขาว ริมฝีปากไร้สีเลือด ร่างกายยังรู้สึกหนาวยะเยือก ต่อให้ในห้องนี้จะมีไฟลุกโชนอยู่ แต่เขากลับไม่รับรู้ถึงไออุ่นเลยสักนิดเดียว
เขารู้สึกหนาว หนาวเข้าไปถึงก้นบึ้งหัวใจ
ซ่งโหย่วเฉิงนั่งนิ่งอยู่เช่นนั้น คนที่นั่งตรงข้ามกันคือสหายสนิทร่วมสำนัก และเป็นคนที่เขามีใจริษยามาตั้งแต่เด็ก แต่ต่อให้เขาจะริษยาเพียงไร อีกฝ่ายก็เป็นถึงบุตรชายท่านแม่ทัพใหญ่ เขารู้แก่ใจดีว่าตนเองมิอาจเทียบได้ จึงเอาอย่างคนรุ่นก่อนที่กล้ำกลืนความอดสูเข้ามาเป็นสหายสนิทของลู่อู๋เซิง เพื่อเสาะหาโอกาสทางการค้าให้กับกิจการสกุลซ่งที่ใกล้ล่มจมเต็มที จนกระทั่งอวิ๋นจ้าวปรากฏตัวขึ้น ซึ่งเรื่องของนางก็ทำให้เขาไม่อยากกล้ำกลืนความอดสูที่ด้อยกว่าลู่อู๋เซิงอีกต่อไป
ซ่งโหย่วเฉิงรู้สึกสนใจคุณหนูสกุลอวิ๋นตั้งแต่แรก เพราะว่านางมีนิสัยที่แตกต่างไปจากสตรีบ้านอื่นโดยสิ้นเชิง ต่อมาจึงพบว่าลู่อู๋เซิงเองก็ชอบนาง และเขาก็พบว่านางเองก็ชอบลู่อู๋เซิงด้วย
ความริษยา ความแค้นเคือง ค่อยๆ กองสุมอยู่ในใจเขาจนก่อเกิดเป็นหอสูง ในที่สุดวันหนึ่งมันก็ล้มครืนลงมา
เขาคิดว่าต่อให้ตนเองจะไม่อาจได้อวิ๋นจ้าวมาครอบครอง แต่อย่างน้อยก็ไม่อยากเห็นลู่อู๋เซิงเป็นสามีของนาง นางจะแต่งให้กับผู้ใดก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่แต่งให้ลู่อู๋เซิง! ในฐานะบุตรชายท่านแม่ทัพใหญ่ผู้มีทุกสิ่งอย่างเพียบพร้อมแล้ว หากต้องขาดสตรีไปสักนางหนึ่งจะเป็นอะไรไปเล่า เขาไม่ยอมปล่อยให้ลู่อู๋เซิงมีชีวิตที่สมบูรณ์พร้อมเช่นนั้นแน่
นึกไม่ถึงว่าแผนการที่เขาอุตส่าห์เตรียมไว้อย่างดี กลับมาถูกเปิดโปงรวดเร็วถึงเพียงนี้ ทั้งยังทำให้เขาต้องมาอับอายต่อหน้าด้วย
สีหน้าของซ่งโหย่วเฉิงไม่เพียงแค่ซีดขาว หากยังมีขี้เถ้าปกคลุมเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง ราวกับใบหน้าของคนตายที่ไม่เหลือพลังชีวิตเลยสักเศษเสี้ยว
“ไมตรีของสหายร่วมสำนักระหว่างท่านกับถือว่าข้าสิ้นสุดแค่เพียงเท่านี้ จดหมายตัดสัมพันธ์ที่ท่านปลอมลายมือข้าเขียนส่งให้อวิ๋นจ้าว จดหมายฉบับนั้นข้าขอคืนให้ เนื้อความที่ในจดหมายว่าไว้ก็เหมือนสิ่งที่ข้าบอกกับท่านในวันนี้ ความนัยของจดหมายมีแค่ประโยคเดียว ‘ตัดขาดสิ้นสัมพันธ์ในชาตินี้’ ”
ซ่งโหย่วเฉิงนิ่งเงียบอยู่นาน ในที่สุดก็เงยหน้ามองลู่อู๋เซิง เห็นสีหน้าอีกฝ่ายเฉยชาไม่ใส่ใจ ไฟโทสะที่สุมในอกพลันระเบิดออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เขาแทบจะกระโดดลุกพรวดขึ้นมา “ทำไมเจ้าถึงไม่เสียใจ?! สหายแทงเจ้าดาบหนึ่ง เหตุใดเจ้าถึงไม่รู้สึกอะไร ไม่ใช่ว่าเจ้าให้ความสำคัญกับสัมพันธ์แน่นแฟ้นของพวกเราหรอกหรือ เจ้าเคยบอกไม่ใช่หรือว่าข้าเป็นสหายที่สนิทที่สุด แล้วเพราะอะไรข้าทำกับเจ้าถึงเพียงนี้แล้ว ยุยงให้เจ้ากับนางผิดใจกัน กลับไม่เห็นเจ้าโกรธเคืองเลยสักนิด”
ลู่อู๋เซิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เจ้าไม่คู่ควร”
ซ่งโหย่วเฉิงตกตะลึง ความหยิ่งในศักดิ์ศรีถูกทำลายลงในชั่วพริบตา เขาโซเซอยู่ก้าวหนึ่ง ก่อนจะล้มลงบนม้านั่ง เป็นเช่นคนไร้วิญญาณ ไม่อาจขยับเขยื้อนไปชั่วขณะ
(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 17 ก.ย. 62)
Comments
comments
No tags for this post.