บทที่ 7
อวิ๋นจ้าวรู้ดีว่าสำหรับลู่อู๋เซิงแล้ว ไม่มีทางที่การทรยศของซ่งโหย่วเฉิงจะไม่สร้างระลอกคลื่นในใจเขา แต่หากลู่อู๋เซิงแสดงออกมาให้เห็นว่าเขาเก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ เกรงว่าซ่งโหย่วเฉิงคงจะยิ่งเบิกบานใจเสียมากกว่า
สุดท้ายลู่อู๋เซิงถึงได้บอกไปว่า ‘เจ้าไม่คู่ควร’
ประโยคนี้เองที่ทำให้อวิ๋นจ้าวรู้สึกว่าลู่อู๋เซิงจัดการกับซ่งโหย่วเฉิงได้เด็ดขาดเสียยิ่งกว่าแผนการของนางมากมายนัก
คนที่นางชอบดูเหมือนจะเป็นจิ้งจอกตัวหนึ่ง ทั้งยังเป็นจิ้งจอกที่หล่อเหลาสง่างามเกินใคร
ยามนี้ซ่งโหย่วเฉิงไม่มีเรี่ยวแรงจะไปโมโหเดือดดาลแล้ว เขากลับยิ่งรู้สึกว่าตนเองถูกตราหน้าว่าเป็นคนถ่อยไร้ยางอาย ไม่ใช่สิ ก็เขานี่แหละที่เป็นคนถ่อยไร้ยางอาย
เดิมทีเขาก็เทียบกับลู่อู๋เซิงที่เป็นถึงบุตรชายท่านแม่ทัพใหญ่ไม่ได้อยู่แล้ว ทั้งไม่มีอะไรให้ไปเทียบได้เลย ดังนั้นอวิ๋นจ้าวถึงได้ไม่ชอบเขา
ที่สุดแล้วก็เป็นเพราะสวรรค์เมตตาส่งให้ลู่อู๋เซิงมาเกิดในครรภ์ของฮูหยินท่านแม่ทัพ ขณะที่เขาก็เป็นได้แค่บุตรชายของพ่อค้า
เขาไม่มีอะไรเทียบได้เลย ไม่มี…
ลู่อู๋เซิงไม่อยากเห็นท่าทางที่ไร้วิญญาณของซ่งโหย่วเฉิงอีก ในเมื่อความจริงเปิดเผยกระจ่างชัดแล้ว เขาก็ไม่อยากอยู่ที่นี่กับซ่งโหย่วเฉิงอีกสักชั่วขณะเดียว
อวิ๋นจ้าวเห็นลู่อู๋เซิงมีท่าทีจะจากไปแล้ว นางก็ลุกขึ้นเดินตามเขาออกไปด้วย พอใกล้จะถึงประตู นางจึงหันกลับมาบอกว่า “ซ่งโหย่วเฉิง ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปสกุลอวิ๋นจะเลิกทำการค้ากับสกุลซ่งของเจ้า พวกเราจะไม่ซื้อโถเครื่องเคลือบและถ้วยจานชามจากพวกเจ้าอีก ปลาจากตลาดปลาก็ด้วย พวกเราไม่ต้องการอีกแล้ว”
ยามนี้ซ่งโหย่วเฉิงถึงได้สติกลับคืนมา เขาเบิกตากว้างเอ่ยว่า “อวิ๋นจ้าว เจ้าจะบีบคั้นสกุลซ่งให้ถึงตายเลยหรือ”
อวิ๋นจ้าวย่นหัวคิ้วเล็กน้อย “ข้าจะบีบคั้นพวกเจ้าถึงตายได้อย่างไร นี่เป็นกรรมที่เจ้าก่อขึ้นเอง หรือมีแต่เจ้าที่ลอบแทงข้างหลังผู้อื่นได้ แต่ไม่ยอมให้ข้าชักดาบแทงเจ้าซึ่งหน้า? อีกอย่างแต่ละสกุลที่ทำการค้าก็มีการไปมาหาสู่กันอยู่แล้ว ร้านนี้ไม่ได้ก็ยังมีอีกร้านหนึ่ง อย่างไรเจ้าก็ยังหาลูกค้ารายอื่นได้มิใช่หรือ ข้าไม่ได้บอกให้ท่านพ่อร่วมมือกับท่านลุงท่านอาคนอื่นตัดทางรอดสกุลซ่งเสียหน่อย นับว่ามีเมตตาช่วยเหลืออย่างที่สุดแล้ว”
จู่ๆ ซ่งโหย่วเฉิงก็หัวเราะเสียงดังแล้วกล่าวว่า “พวกเราสกุลซ่งยังมีการค้าอะไรให้ทำอีกเล่า ยามนี้ก็เหลือแค่ทำการค้ากับสกุลอวิ๋นของเจ้าแล้ว! วันนี้เจ้าเลิกทำการค้ากับเรา นี่ยังไม่นับว่าเป็นการบีบคั้นสกุลซ่งจนถึงที่ตายอีกหรือ”
อวิ๋นจ้าวขมวดคิ้วอีกครั้ง “หมายความว่าอย่างไร”
แม้ซ่งโหย่วเฉิงจะไม่อยากเอ่ยถึงเท่าไรนัก แต่ก็กลัวว่าอวิ๋นจ้าวจะตัดสินใจทำอย่างที่พูดจริงๆ เขาจึงยอมเล่าว่า “ท่านพ่อข้าติดการพนัน ยามนี้ในบ้านไม่มีเงินทองเหลืออยู่แล้ว โฉนดบ้านและโฉนดที่นาก็ไม่เหลือ มีเพียงกิจการสองอย่างนี้ประคองไว้เท่านั้น”
อวิ๋นจ้าวรู้สึกประหลาดใจอยู่หลายส่วน
ซ่งโหย่วเฉิงเห็นทางรอดของตนเองจากสีหน้าของนาง เขาจึงเอ่ยว่า “ข้าขอร้องเถอะ เห็นแก่ความสัมพันธ์ของพวกเราในอดีตที่ผ่านมา อย่าได้ตัดทางรอดของข้าเลย”
สาเหตุที่อวิ๋นจ้าวประหลาดใจหาใช่เพราะสกุลซ่งเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น แต่เป็นเพราะนางเคยสงสัยว่า คนร้ายบนวัดวั่นซานใช่ซ่งโหย่วเฉิงว่าจ้างมาหรือไม่ ทว่ายามนี้นางมั่นใจแล้วว่าไม่ใช่ เพราะสกุลซ่งขาดแคลนเงินทอง กระทั่งโฉนดที่ดินที่พอมีค่าอยู่ก็ไม่เหลือแล้ว
มือสังหารพวกนั้นต้องใช้ค่าจ้างไม่น้อย หากไม่มีเงินก้อนใหญ่จะว่าจ้างมาได้อย่างไร นอกจากนี้คนผู้นั้นยังต้องมีความกล้ามากพอที่จะสังหารบุตรชายท่านแม่ทัพใหญ่ เกรงว่าคนธรรมดาคงไม่มีความกล้าถึงเพียงนั้นแน่
เพื่อเรื่องเงินแล้วซ่งโหย่วเฉิงถึงขนาดยอมลดตัวลงมาขอร้องนาง นี่ก็หมายความว่าเขาไม่ใช่ผู้บงการเหตุลอบสังหารลู่อู๋เซิง เช่นนั้นจะเป็นผู้ใดได้เล่า
ซ่งโหย่วเฉิงมองอวิ๋นจ้าวที่ไม่รู้ว่ากำลังไตร่ตรองเรื่องใดอยู่ เขาได้แต่อดทนรอนางเอ่ยตอบ ขอเพียงยังประคับประคองกิจการเอาไว้ได้ เขาก็ยังเป็นคุณชายคนหนึ่งอยู่ สามารถปกปิดด้านที่เลวร้ายทั้งหมดของสกุลซ่งไว้ได้อย่างมิดชิด และยืนหยัดอย่างสง่างามต่อหน้าสหายร่วมสำนักต่อไป
ยามนี้เขาไม่สนใจลู่อู๋เซิงเลยแม้แต่น้อย ไม่สนใจแล้วว่าลู่อู๋เซิงกับอวิ๋นจ้าวจะเป็นเช่นไร
จะแต่งงานกันก็ดี เลิกรากันก็ช่าง เขาไม่ไยดีอีกแล้ว
เขาแค่อยากจะเป็นคุณชายต่อไป
“เจ้าไม่เอ่ยถึงความสัมพันธ์ในอดีตยังพอทน พอเอ่ยถึงขึ้นมา ข้าก็รู้สึก…” น้ำเสียงของอวิ๋นจ้าวเย็นชายิ่ง “คลื่นไส้”
กล่าวจบนางก็ดึงตัวลู่อู๋เซิงเดินออกไป เงาร่างเฉียบขาดไม่ลังเล ไม่เหลือโอกาสต่อรองใดให้ซ่งโหย่วเฉิงเลยสักนิดเดียว
ซ่งโหย่วเฉิงชะงักค้าง แต่ก็ได้สติในชั่วพริบตา เขากู่ร้องคำหนึ่งก่อนจะพุ่งเข้าไปหาอวิ๋นจ้าว ทว่ายังไม่ทันได้เข้าใกล้ ลู่อู๋เซิงก็เบี่ยงตัวกลับมาฉับพลัน ฝ่ามือตบเข้าที่หัวไหล่ของเขา เพียงแค่กระบวนท่านี้ก็ผลักซ่งโหย่วเฉิงล้มลงกระแทกกับพื้นได้อย่างแรงแล้ว
ลู่อู๋เซิงพลิกฝ่ามือไปปิดประตู ข้างในนั้นมีเสียงด่าทอของซ่งโหย่วเฉิงลอยมา เขาก้มหน้ามองก็เห็นอวิ๋นจ้าวกำลังมองมาที่ตนเองอยู่ จึงขมวดคิ้วถามว่า “มีอะไรเปื้อนหน้าข้าหรือ”
อวิ๋นจ้าวถอนหายใจ “ฝีมือร้ายกาจแบบนี้จะไม่ให้ข้าชอบท่านได้อย่างไร”
คำพูดประเภทนี้จะให้ฟังอีกกี่ครั้งลู่อู๋เซิงก็ไม่เบื่อหน่าย เดิมทีเขายังไม่สบายใจเท่าไรนักกับการตัดสัมพันธ์กับสหายสนิท ตอนนี้ความไม่สบายใจเหล่านั้นได้จางหายไปหมดเพราะแววตารักใคร่ชื่นชมของนาง เขายิ้มน้อยๆ แล้วตอบว่า “อืม”
อวิ๋นจ้าวคิดไม่ถึงว่าลู่อู๋เซิงจะไม่ขัดเขินอีก น่าเสียดายเหลือเกิน จากนี้คงอดเห็นท่าทางตอนเขาหน้าแดงใจเต้นตึกตักแล้ว
นางรู้สึกเสียดายไปพลางเดินลงมาข้างล่างพร้อมกับเขา คนทั้งสองมองดูท้องฟ้า ต่างมีเรื่องให้คิดทบทวน
…ทางการคงจะส่งคนขึ้นเขาไปจับคนพวกนั้นแล้ว อวิ๋นจ้าวคิด
…ถึงเวลาต้องขึ้นเขาตามนัดแล้ว ลู่อู๋เซิงคิด
อวิ๋นจ้าวไม่แน่ใจว่าทางการจะจับกุมคนสำเร็จหรือไม่ กระนั้นนางได้ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ยอมเสี่ยงให้เกิดเรื่องขึ้นอีก ขณะกำลังคิดหาข้ออ้างเพื่อจะรั้งตัวลู่อู๋เซิงไว้ นางก็ได้ยินเขาเอ่ยว่า “ข้าจะส่งเจ้ากลับไปเอง”
นางอ้าปากเตรียมพูดแล้ว แต่กลับถูกคำพูดของเขาอุดปากเอาไว้
ลู่อู๋เซิงเห็นนางมีเรื่องจะพูดจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ข้ายังต้องไปวัดวั่นซานสักครั้ง รอข้ากลับมาแล้วค่อยไปหาเจ้า”
อวิ๋นจ้าวแสร้งทำเป็นขุ่นเคือง “อ้อ วัดวั่นซานสำคัญกว่าข้าอีกหรือ”
ลู่อู๋เซิงหัวเราะคำหนึ่ง “สมเป็นสาวน้อยจอมเกเรจริงๆ”
“ท่านก็ไม่ต้องไปแล้ว ไปล่องทะเลสาบเป็นเพื่อนข้าเถอะ ดอกล่าเหมย* ริมทะเลสาบกำลังบานสะพรั่งเชียวล่ะ พวกเราไปดูกันเถอะ ท่านก็รู้ว่าข้าชอบดอกล่าเหมย”
“เอาไว้พรุ่งนี้ข้าจะไปกับเจ้านะ”
อวิ๋นจ้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ก่อนเงยหน้าจ้องเขาเขม็ง หากไม่รู้มาก่อนว่าเขาไปไหว้พระที่วัดวั่นซานจริงๆ นางคงนึกว่าเขาจะไปพบหน้าสาวงามคนใดเป็นแน่ ถึงได้ดูรีบร้อนเพียงนี้ ทั้งยังมองเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่านาง
ลู่อู๋เซิงเห็นนางไม่พอใจก็เลยถามว่า “เจ้ายังกลัวว่าข้าจะขึ้นเขาไปพบสาวน้อยคนใดอีกใช่หรือไม่”
อวิ๋นจ้าวเลิกคิ้ว “กลัวสิ กลัวอยู่แล้ว”
ลู่อู๋เซิงมองตานางแล้วเอ่ยว่า “สาวน้อยที่ข้าอยากพบอยู่ตรงหน้านี้แล้ว ไม่จำเป็นต้องขึ้นไปหาถึงบนเขาหรอก”
อวิ๋นจ้าวอารมณ์ดีขึ้นมาทันใด นางเอาสองมือไพล่หลัง “รอให้ข้าปักปิ่นก็ไม่ใช่สาวน้อยแล้ว”
ลู่อู๋เซิงก็คิดไปถึงวันที่นางปักปิ่นเช่นเดียวกัน หลายวันก่อนยังรู้สึกว่าเขาต้องแอบมองนางอยู่ไกลๆ อยู่เลย มาวันนี้เมื่อทุกอย่างกลับมาเป็นปกติแล้ว เขายังสัมผัสเพิ่มได้ว่า…แววตาของอวิ๋นจ้าวยามที่มองเขานั้นคล้ายจะลึกซึ้งและวาววับยิ่งกว่าเดิม
เหมือนนาง…อยากจะกินเขาอย่างไรอย่างนั้น
อวิ๋นจ้าวไม่รู้จะหาข้ออ้างใดมาห้ามไม่ให้เขาขึ้นเขาได้อีก ขณะเดียวกันก็ไม่อยากโมโหใส่เขา คิดอยู่ครู่หนึ่งนางจึงเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปกับท่านด้วย”
ลู่อู๋เซิงจึงถามว่า “เจ้ารังเกียจการเดินขึ้นเขาที่สุดมิใช่หรือ”
อวิ๋นจ้าวกลอกตาไปมา “ฮึ! ใครใช้ให้ข้าเดินขึ้นเขากับคนที่ข้าชอบเล่า เอาไว้ข้าเหนื่อยจนเดินไม่ไหวแล้ว ก็จะมีคนแบกข้าขึ้นหลังเอง”
ลู่อู๋เซิงหลุดหัวเราะ “ไม่แบก ข้าไม่ยอมแบกเจ้าแน่”
เดิมทีอวิ๋นจ้าวแค่เพียงพูดเล่นเท่านั้นจึงไม่คิดถือสา ขอเพียงเขายอมให้นางตามขึ้นเขาไปด้วย นางย่อมมีหนทางทำให้ลู่อู๋เซิงต้องหันหลังกลับกลางคันอยู่แล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจปล่อยให้เขาขึ้นเขาไปได้ พอคิดถึงเรื่อง ‘คราวก่อน’ นางก็รู้สึกหวาดกลัวจนหนาวสะท้าน
อวิ๋นจ้าวอยู่ใกล้กับลู่อู๋เซิงมาก อารมณ์ที่แสดงผ่านสีหน้าจึงตกอยู่ในสายตาของเขาทั้งหมด นางมีแววตาหวาดกลัว แต่ก็ยังไม่รู้ว่ากำลังหวาดกลัวเรื่องใด
แต่เห็นนางอยากขึ้นเขาเช่นนี้ก็ดีแล้ว พอเข้าไปในวัด จิตใจนางอาจสงบลงจนไม่เผยแววตาหวาดกลัวเช่นนั้นอีก
เนื่องจากเป็นหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรี ทำให้ไม่สะดวกที่จะนั่งรถม้าคันเดียวกัน อีกทั้งลู่อู๋เซิงเห็นว่าใกล้จะเลยเวลานัดหมายแล้ว เขาจึงตัดสินใจเดินไปตามเส้นทางลัด เส้นทางนี้ไม่นับว่าเล็กหรือคับแคบเลย สามคนสามารถเดินเคียงกันได้สะดวก แต่รถม้าคันใหญ่จะไม่สามารถผ่านไปได้ ฉะนั้นการเดินทางลัดนี้จึงไม่มีรถม้าสัญจรผ่าน บรรยากาศเงียบสงบอย่างเห็นได้ชัด
อวิ๋นจ้าวไม่ได้พูดคุยกับเขาเช่นนี้นานแล้ว เสียงสนทนาดังเจื้อยแจ้วไปตลอดทาง นางยังรู้สึกด้วยซ้ำไปว่าตนเองกำลังแย่งชื่อสี่เชวี่ยมาใช้อยู่ เมื่อลอบสังเกตคนข้างกาย ก็ไม่เห็นเขาจะสีหน้าหงุดหงิดรำคาญแต่อย่างใด มีเพียงความยินดีเฉกเช่นที่ผ่านมา ทำให้จิตใจนางผ่อนคลายไม่น้อย มีแต่รู้สึกชอบเขามากขึ้นสามส่วน
“อีกครึ่งเค่อก็จะถึงเชิงเขาวัดวั่นซานแล้ว”
ทันทีที่เสียงเตือนนี้ดังขึ้น ก็ราวกับดึงอวิ๋นจ้าวออกจากภวังค์ความคิด นางเงยหน้ามองไปก็เห็นแนวเทือกเขาที่ตั้งของวัดวั่นซานแล้ว นางผ่อนฝีเท้าช้าลง เหลียวมองรอบด้านเพื่อจะหาโอกาสอันเหมาะสม ก่อนจะล้มหน้าคะมำลงพื้นไปอย่างสมจริงสมจัง
เนื่องจากกลัวว่าตนเองจะเผยพิรุธออกมา การล้มคะมำคราวนี้จึงแลดูครึ่งจริงครึ่งเท็จ แต่ก็เจ็บกระทั่งร้องเสียงดังขึ้นมา
ลู่อู๋เซิงไม่รู้ว่านางล้มลงไปได้อย่างไร เมื่อครู่จู่ๆ ก็รู้สึกว่ามีลมวูบผ่านไปจนเขาตั้งตัวไม่ทัน ตอนนี้จึงรีบนั่งยองลงประคองนางเอาไว้ กวาดตามองสำรวจบาดแผล “นอกจากคางแล้ว ยังเจ็บตรงที่ใดอีกบ้าง”
“อะไรนะ! ข้ามีแผลที่คางหรือ” อวิ๋นจ้าวตกใจอย่างมาก นางทำท่าจะยื่นมือไปลูบที่แผลก็ถูกเขาห้ามเอาไว้เสียก่อน
เดิมทีอวิ๋นจ้าวคิดแค่อยากจะล้มลงไปโดยไม่มีบาดแผลนี่
นางกล่าวอย่างเศร้าใจว่า “เสียโฉมแล้ว”
ลู่อู๋เซิงหลุดหัวเราะออกมา “แค่บาดเจ็บเพียงเล็กน้อย ไม่ถึงขั้นนั้นหรอก”
“น่าเกลียดหรือไม่”
“ไม่น่าเกลียด”
“ถ้าเกิดมีรอยแผลเป็นจะทำเช่นไรดี ท่านแม่บอกว่าข้าโตแล้ว มีแผลเป็นจะหายยากยิ่งนัก”
ลู่อู๋เซิงไม่ได้มองใบหน้าอวิ๋นจ้าว เขามัวแต่ตั้งใจเป่าเม็ดทรายเปื้อนเลือดบนฝ่ามือของนาง เอ่ยตอบว่า “อืม”
อวิ๋นจ้าวถลึงตาใส่ “อืม?! หมายความว่าอะไร”
ลู่อู๋เซิงยังคงช่วยนางเป่าเม็ดทรายอยู่เช่นเดิม พอจัดการมือข้างหนึ่งเรียบร้อยแล้วก็ยกมืออีกข้างของนางขึ้นมาดู เนื่องจากมือขวาใช้ยันพื้นก่อนที่จะล้มลงพื้น บาดแผลจึงหนักกว่ามือซ้ายอยู่บ้าง หลังจากเป่าเม็ดทรายออกไปหมดแล้ว ลู่อู๋เซิงจึงหยิบยาที่พกติดตัวออกมา บอกกับนางว่า “ผงยานี้จะทำให้เจ้าเจ็บแผล เจ้าอดทนสักหน่อยนะ”
พอกล่าวจบก็โรยผงยาลงบนบาดแผล อวิ๋นจ้าวที่รอเขาตอบกลับรู้สึกเจ็บจนดวงตามีประกายดาววิบวับ แผลบ้างช้ำเขียวบ้างช้ำม่วง “โอ๊ย! โอ๊ย! เจ็บชะมัด!”
ถึงบาดแผลจะใส่ยาได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังไม่ได้ล้างให้สะอาด ลู่อู๋เซิงจึงยังไม่พันแผลให้นาง เขาถามขึ้นว่า “ยังเจ็บตรงไหนอีกบ้าง”
“ไม่แล้ว” อวิ๋นจ้าวนึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ รีบกลับคำอย่างกะทันหัน “ยังมีนะ ข้าข้อเท้าแพลง”
เป็นอย่างที่คิดไว้ ลู่อู๋เซิงรีบตรวจดูข้อเท้าของนางทันที
อย่างไรเขาก็เกิดมาในจวนแม่ทัพ เพียงแค่เอามือคลำข้อเท้าก็ตอบได้ว่า “ไม่ได้แพลงหรอก เจ้าลองลุกขึ้นเดินดูสิ”
อวิ๋นจ้าวย่อมรู้ดีว่าข้อเท้าตนเองไม่ได้แพลง แต่นางมีหรือจะล่วงรู้ว่าต่อให้ตนจะสวมถุงเท้าไว้เช่นนี้ เพียงแค่ลู่อู๋เซิงคลำก็จะรู้แล้ว มิฉะนั้นนางคงแสร้งร้องโวยวายด้วยความเจ็บปวดแล้ว ทว่าตอนนี้ย่อมสายไป กระนั้นนางก็ยังต้องฝืนทำหน้าหนาต่อไป “ข้อเท้าแพลงจริงๆ นะ”
ลู่อู๋เซิงยิ้มพลางเอ่ยปลอบโยน “ไม่หรอก อวิ๋นอวิ๋น เจ้าอย่าหลอกให้ตนเองตกใจสิ ลุกขึ้นมาเดินดูก่อน”
อวิ๋นจ้าวพูดยืนยันด้วยความหงุดหงิด “นี่เป็นเท้าข้านะ มันแพลงจริงๆ ทั้งยังเจ็บมากด้วย เจ็บจะตายอยู่แล้ว”
ลู่อู๋เซิงมองนางอย่างจนใจ สาวน้อยเอาแต่ใจขึ้นมาอีกแล้ว เกรงว่าคงจะเกลี้ยกล่อมไม่สำเร็จ เขามองดูท่าทางโกรธเคืองของนาง แต่เพิ่งจะประสานสายตากัน นางก็พยายามหลบเลี่ยง
เขาขบคิดในใจ หรือว่า… ลู่อู๋เซิงยิ้มออกมา
อวิ๋นจ้าวยังแสร้งทำเป็นโกรธ “ท่านยิ้มอะไร”
“ข้าแบกเจ้ากลับไปเอง”
อวิ๋นจ้าวหูผึ่ง “ท่านต้องไปที่วัดวั่นซานไม่ใช่หรือ ท่านไปเถอะ ข้าจะรออยู่ตรงนี้ นั่งบนพื้นรอท่านนี่แหละ”
ประโยคก่อนหน้ายังฟังพอดูมีเหตุมีผล แต่ประโยคหลังกลับประกาศชัดเจนว่า ‘ท่านไปสิ ท่านไปเลย ถ้ากล้าทิ้งให้ข้านั่งรอบนพื้นเช่นนี้ทั้งวันก็ไปเลย’ ลู่อู๋เซิงลูบศีรษะนางแล้วเอ่ยว่า “อวิ๋นอวิ๋น เจ้ากำลังโกรธที่ข้าบอกว่าจะไม่ยอมแบกเจ้า ก็เลยจงใจหาทางให้ข้าแบกใช่หรือไม่”
“แน่นอนว่าไม่ใช่”
“ข้าเข้าใจ แต่วันนี้ข้ามีนัดกับผู้อื่น จำเป็นต้องไปวัดวั่นซาน” ลู่อู๋เซิงลูบผมของนางต่อไป พร้อมกล่าวคำหวาน “ไม่ว่าเมื่อไรข้าก็แบกเจ้าได้ทั้งนั้น ฉะนั้นไม่ต้องแสร้งว่าข้อเท้าแพลงหรอก ดูสิ มือเจ้าเป็นแผลหมดแล้ว”
อวิ๋นจ้าวนิ่งฟังคำหวานที่เขาแทบจะไม่เคยเอ่ยออกมา นางร้อนใจจนอยากร้องไห้ นี่! ลู่อู๋เซิง นางไม่ใช่คนไร้เหตุผลหรอกนะ แล้วก็ไม่ได้คิดมากที่เมื่อครู่เขาบอกว่าจะไม่ยอมแบกนางด้วย
“ข้าจะพาเจ้าไปทำแผลให้เรียบร้อยก่อน หลังจากนั้นค่อยไปวัดวั่นซาน มา ข้าแบกเจ้าเอง”
อวิ๋นจ้าวที่ขโมยไก่ไม่ได้ซ้ำยังเสียข้าวสาร* จวนเจียนจะเป็นลมไปอยู่แล้ว
นี่! เชื่อนางสิ! นางแค่ไม่อยากให้เขาขึ้นเขาไปเท่านั้น!
หากไม่ใช่เพราะอวิ๋นจ้าวอยากขัดขวางไม่ให้ลู่อู๋เซิงไปวัดวั่นซานล่ะก็ อวิ๋นจ้าวก็ไม่อยากให้เขาคาดเดาไปว่านางกำลังหงุดหงิดที่เขาไม่ยอมแบกขึ้นหลัง ถึงได้ทำตัวเอาแต่ใจเช่นนี้
ขณะที่หมอบฟุบอยู่บนแผ่นหลังของเขา ความคิดของนางพลันสับสนวุ่นวาย หากบอกไปตามตรงว่าบนเขามีพวกคนชั่วจะทำร้ายเขา เขาจะเชื่อนางหรือไม่เล่า
นางเองยังเคยคิดจะบอกเขาเรื่องที่นางมาจากสิบปีข้างหน้าเลย แต่กลัวว่าเขาจะมองนางเป็นคนเสียสติไปเสียก่อน
เรื่องนี้กระทั่งนางก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลย ไม่ต้องไปกล่าวถึงผู้อื่นเลยสักนิด
บางทีนางยังรู้สึกว่าตนเองกำลังฝันไป ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องจริงเสียด้วยซ้ำ
ระหว่างที่ขบคิด อวิ๋นจ้าวก็หยิกแก้มของตนเองด้วยความเคยชิน เจ็บ…มันเป็นความจริง
อวิ๋นจ้าวลอบถอนหายใจเบาๆ แต่จู่ๆ ร่างของตนเองก็เกือบจะลื่นไถลตกลงมาจากแผ่นหลังของลู่อู๋เซิง นางจึงพยายามปีนกลับขึ้นไปข้างบน แต่พอปีนกลับไปที่เดิมแล้วก็สัมผัสได้ว่าร่างกายของเขาแข็งเกร็ง นางถึงนึกขึ้นมาได้ว่าร่างกายตอนอายุสิบสี่แม้ไม่อาจเทียบกับสิบปีข้างหน้าได้ กระนั้นพวกทรวงอกก็นูนเด่นขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นชุดที่ทั้งสองคนสวมใส่ก็หนาถึงเพียงนี้ ลู่อู๋เซิงคงไม่รู้สึกถึงอะไรมากนักกระมัง
อวิ๋นจ้าวหมอบอยู่บนแผ่นหลังเขาอย่างสงบเสงี่ยมโดยไม่กล้าขยับตัวส่งเดชอีก ด้วยเกรงว่าจะทำให้เขาอึดอัด
เดิมทีบุรุษก็มักจะมีความคิดวาบหวามกับสตรีที่พึงใจเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ไม่ต่างอะไรกับนางยามที่มองลู่อู๋เซิงแล้วคิดเรื่องเหลวไหลหน้าไม่อายพรรค์นั้น
อ๊ะ ไม่สิ ยิ่งคิดยิ่งถลำลึกไปทุกทีแล้ว
ลู่อู๋เซิงเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า ขณะที่คนบนหลังกลับไม่ยอมพูดจามาตลอดทาง ด้วยกลัวนางจะคิดว่ามีความสำคัญเทียบคนที่รอเขาอยู่บนเขาไม่ได้ แล้วจะโกรธเคืองขึ้นมาอีก
แรกเริ่มตอนที่เขาเริ่มใกล้ชิดกับอวิ๋นจ้าว หมัวมัวที่จวนเคยบอกเอาไว้ว่า ‘คุณหนูอวิ๋นอายุน้อยกว่าท่านหลายปี วันหน้าหากท่านแต่งกับนาง ก็เท่ากับแต่งภรรยาตัวน้อยเข้าบ้าน เกรงว่าคุณหนูอวิ๋นจะเป็นคนบอบบางอ่อนแอ’
อวิ๋นจ้าว ‘บอบบางอ่อนแอ’ เช่นนั้นจริงๆ แต่ดูเหมือนนางจะทำตัวบอบบางกับเขาเพียงคนเดียว เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่นแล้ว นางนับว่าเป็นจอมอันธพาลเสียมากกว่า
“ลู่อู๋เซิง วันนี้ท่านไม่ขึ้นเขาได้หรือไม่” เสียงของอวิ๋นจ้าวแผ่วเบายิ่ง เจือแววอ้อนวอนอยู่เล็กน้อย “พรุ่งนี้ท่านค่อยไปเถอะ ข้าจะขึ้นเขาไปเป็นเพื่อนท่านเอง”
ลู่อู๋เซิงชอบให้นางกระซิบพูดกับตนเอง หากเป็นในยามปกติ เวลาที่อวิ๋นจ้าวพูดจา นางจะพูดให้ผู้อื่นรวมถึงเขารับฟัง ทว่าน้ำเสียงกระซิบกระซาบเช่นนี้ นางจะพูดกับเขาเพียงผู้เดียว ไม่เคยนำไปพูดกับผู้อื่น
“อวิ๋นอวิ๋น ข้ามีนัดกับผู้อื่นบนเขา จำเป็นต้องไปตามนัดหมาย ต่อให้ตอนนี้จะสายมากแล้ว ข้าก็ยังต้องไปเพื่อขอโทษ และพบหน้ากันสักหน่อย”
อวิ๋นจ้าวเกิดความหวาดระแวงขึ้นมา “ท่านมีนัดกับใคร”
“ใต้เท้าลิ่น”
“รองเสนาบดีกรมพิธีการ ใต้เท้าลิ่นผู้นั้นน่ะหรือ” อวิ๋นจ้าวเกิดในครอบครัวพ่อค้าซึ่งทำการค้าอยู่ในเมืองหลวง นางย่อมจดจำชื่อของคนเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี “เขานัดพบท่านไปทำอะไร ร้านน้ำชาร้านสุราก็มี เหตุใดต้องขึ้นไปพบกันบนเขา”
ลู่อู๋เซิงฟังน้ำเสียงของนางแล้วรู้สึกคล้ายกำลังสอบสวนเขาอยู่ จึงอธิบายว่า “พวกเรามักจะนัดพบกันที่วัดเพื่อคุยเรื่องธรรมะ การบำเพ็ญเพียร ไม่ก็ความรู้แขนงต่างๆ”
พอได้ยินว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นัดพบกันบนเขา อวิ๋นจ้าวจึงค่อยวางใจลงได้
ลู่อู๋เซิงถามขึ้นว่า “เจ้ามีความเห็นอย่างไรต่อใต้เท้าลิ่นหรือ”
“ไม่มีหรอก ข้าเพียงแค่ประหลาดใจ” อวิ๋นจ้าวลองคำนวณเวลา จากตรงจุดนี้หากนางใช้เส้นทางที่ใกล้ที่สุดไปยังจวนว่าการเจ้าเมือง ก็จะสืบข่าวได้ว่าพวกเขาจับกลุ่มคนร้ายที่อยู่บนเขาได้แล้วหรือยัง หากมีข่าวว่าจับได้แล้วนางก็จะสบายใจ หากยังไม่มี นางก็จะรีบไปขวางลู่อู๋เซิงเอาไว้อีกครั้ง
นางไม่อยากกลายเป็นคนไร้เหตุผลในสายตาเขาเลยสักนิด
“พอเข้าเมืองแล้ว ท่านก็พาข้าไปส่งที่ร้านยา แล้วไปพบใต้เท้าลิ่นเถอะ”
ลู่อู๋เซิงราวกับเข้าใจเรื่องบางอย่างกระจ่างแล้ว นางกลัวเขาจะแอบไปพบสตรีอื่นจริงเสียด้วย มิฉะนั้นเพราะอะไรพอได้ยินว่าเป็นใต้เท้าลิ่น ถึงเปลี่ยนใจยอมให้เขาไปพบเล่า
หรือว่าเขาแบกนางแล้วไม่สบายตัว? นางจึงอยากลงกลางทาง?
เป็นอย่างแรกยังดี เพราะเหตุผลอย่างหลังทำให้ลู่อู๋เซิงรู้สึกไม่สบายใจ
พอมาถึงร้านยา ระหว่างที่รอท่านหมอใส่ยาให้นาง ลู่อู๋เซิงก็ไปหาคนรับจ้างมาคนหนึ่ง สั่งให้ไปคฤหาสน์สกุลอวิ๋นตามสี่เชวี่ยมาที่นี่
สี่เชวี่ยที่ตามหาอวิ๋นจ้าวมาครึ่งค่อนวัน ทันทีที่ได้ยินว่าคุณหนูของนางได้รับบาดเจ็บอยู่ในร้านยา วิญญาณก็แทบจะหลุดออกจากร่าง รีบวิ่งมาหาด้วยความร้อนใจ วิ่งมาจนหน้าผากมีเหงื่อผุดพราย ยังไม่ทันปรี่เข้าไปในร้านยา นางก็เห็นคนผู้หนึ่งยืนอยู่หน้าประตู รู้สึกยากจะเชื่ออยู่บ้าง “คุณชายลู่?”
ลู่อู๋เซิงพยักหน้ารับ “คุณหนูบ้านเจ้าอยู่ข้างใน ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย หมอกำลังใส่ยาให้นาง”
สี่เชวี่ยตกใจจนถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เบิกตากว้างแล้วถามว่า “หรือคุณหนูของข้าไปหาเรื่องท่าน ไปฉีกหน้าท่านเข้า พวกท่านเลยลงไม้ลงมือกันขึ้นมา”
“…”
“จะต้องเป็นเช่นนี้แน่! คุณหนูของพวกเราก็ไร้เหตุผลเช่นนี้อยู่แล้ว”
ลู่อู๋เซิงหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ “อย่าคิดมากไปนัก ข้ากับอวิ๋นอวิ๋นคืนดีกันแล้ว รีบเข้าไปเถอะ”
สี่เชวี่ยยิ่งรู้สึกตกตะลึง “จริงหรือเจ้าคะ”
“อืม”
ขณะที่สี่เชวี่ยเดินตรงเข้าไปข้างในก็ยังตกใจไม่หาย พอเข้าในร้านยาแล้วก็ยังเกาศีรษะด้วยความงุนงง เหตุใดถึงมาคืนดีกันได้ ไม่น่าเชื่อเลย นางหยุดฝีเท้าโดยพลัน หันกลับไปเอ่ยว่า “คุณชายลู่เจ้าคะ”
ลู่อู๋เซิงหันกลับมา “หืม?”
สี่เชวี่ยเผยสีหน้ายิ้มแย้ม “ไม่มีอะไรหรอกเจ้าค่ะ แค่รู้สึกดีใจที่พวกท่านคืนดีกัน หลายวันมานี้คุณหนูของพวกเราชอบนอนละเมอตอนกลางคืนอยู่เรื่อย”
ลู่อู๋เซิงถามด้วยความสงสัย “นางพูดว่าอะไรหรือ”
สี่เชวี่ยมีท่าทางขลาดกลัวอยู่บ้าง แต่ก็ยังตอบไปตามตรง “ล้วนเป็นคำด่าทอท่านทั้งสิ้น”
ลู่อู๋เซิงเหมือนจะสำลักขึ้นมากะทันหัน
สี่เชวี่ยยกมือขึ้นป้องปากกระซิบบอกอีกว่า “ด่าไปร้องไห้ไปด้วยนะเจ้าคะ”
ชะงักไปเล็กน้อย ลู่อู๋เซิงก็มีท่าทางที่ใคร่ครวญ ก่อนจะพยักหน้ารับรู้ “อืม ดูแลคุณหนูของเจ้าให้ดี”
สี่เชวี่ยส่งเสียงรับคำ ยังอยากจะบอกกล่าวอะไรอีกสักสองประโยค ก็ได้ยินเสียงอวิ๋นจ้าวร้องดังออกมาจากข้างใน ฟังจากน้ำเสียงแล้วช่างดูน่าเวทนายิ่งนัก สี่เชวี่ยจึงรีบเดินเข้าไป
“หากให้ฮูหยินรู้เรื่องเข้า จะต้องต่อว่าคุณหนูแน่นอน ไม่เคยเห็นคุณหนูใหญ่บ้านใดเลินเล่อเช่นนี้มาก่อนเลย” สี่เชวี่ยเดินไปบ่นไป
ลู่อู๋เซิงกลับจับความนัยบางอย่างได้
เขายืนสองมือไพล่หลังอยู่หน้าร้าน ไม่ได้ชะโงกหน้าเข้าไปมอง นางด่าเขา…แต่กลับด่าไปร้องไห้ไป? ลู่อู๋เซิงรู้สึกปวดใจไม่น้อย ขณะเดียวกันก็รู้สึกยินดีที่ได้รู้ว่านางมีอาการเช่นนี้
ผ่านไปครู่หนึ่งอวิ๋นจ้าวก็เดินออกมา พอเห็นลู่อู๋เซิงยังอยู่นางจึงถามด้วยความแปลกใจ “ท่านไม่ได้ไปวัดวั่นซานหรอกหรือ”
“ข้าจะส่งเจ้ากลับไปก่อน”
อวิ๋นจ้าวรู้สึกอุ่นวาบในใจ นางนึกว่าเขาเรียกสี่เชวี่ยมาเพราะอยากจะทิ้งนางให้สี่เชวี่ยดูแลเสียอีก ที่จริงยังจะไปส่งนางถึงที่บ้านด้วย พอทบทวนอย่างละเอียดแล้ว คงเป็นเพราะหลังจากเดินเข้าเมืองมา รอบข้างมีผู้คนมากมาย ไม่เหมือนกับตอนที่อยู่นอกเมืองเมื่อครู่ ยามนี้เขาจึงไม่สามารถแบกนางเดินได้อีก อีกทั้งตอนนี้ยังไม่อาจนั่งรถม้าร่วมกัน เขาถึงได้เรียกสี่เชวี่ยมากระมัง
ลู่อู๋เซิงเห็นนางเผยรอยยิ้มยินดี ก็รู้ว่าสภาพจิตใจของนางไม่เลวทีเดียว ยามที่เขามองนางก็ยิ่งรู้สึกว่านางมีใบหน้าอิ่มเอิบเปี่ยมสุข
สี่เชวี่ยเห็นคนทั้งสองยืนสบตากันอยู่ตรงหน้าประตู แววตาต่างเต็มไปด้วยความรักใคร่ผูกพันลึกซึ้งเช่นนี้ นางเห็นแล้วก็หลุดขำพรืดออกมา
อวิ๋นจ้าวได้สติกลับคืนมาทันใด นางกระแอมไอแห้งๆ แล้วสั่งว่า “กลับบ้านๆ สี่เชวี่ย เจ้าไปเรียกรถม้ามาสักคัน”
“ตอนข้าออกจากบ้านมาก็เรียกคนบังคับรถม้าเอาไว้แล้ว ทว่าถนนสายนี้คึกคักจอแจเสียเหลือเกิน อีกประเดี๋ยวก็คงถึงแล้วเจ้าค่ะ”
ตอนที่ลู่อู๋เซิงเห็นสี่เชวี่ยมาถึงที่นี่อย่างร้อนรน เขายังนึกว่าสี่เชวี่ยมาเพียงคนเดียวเสียอีก ไม่คิดว่าระหว่างที่รีบเร่งมานั้นจะยังเรียกคนบังคับรถม้าเอาไว้ด้วย มิน่าเล่าอวิ๋นจ้าวถึงเลือกสี่เชวี่ยที่แก่กว่านางเพียงไม่กี่เดือนมาเป็นสาวใช้ประจำตัว
ครู่เดียวก็มีคนบังคับรถม้ามาดังคาด ก่อนอวิ๋นจ้าวจะขึ้นรถม้าก็หันมาบอกลู่อู๋เซิงว่า “ท่านไปพบใต้เท้าลิ่นเถอะ นี่เป็นรถม้าบ้านข้าเอง ท่านไม่ต้องไปส่งก็ได้”
สี่เชวี่ยจึงรีบบอกว่า “ใช่แล้ว ข้าดูแลคุณหนูอย่างดีแน่ คุณชายลู่ไปจัดการธุระของท่านเถอะ”
ลู่อู๋เซิงเห็นอวิ๋นจ้าวกล่าวอย่างจริงจังเช่นนี้ ด้วยรู้ดีว่านางมีนิสัยตรงไปตรงมา หากอยากให้ไปส่งก็คือไปส่ง หากไม่อยากให้ไปส่งก็คือไม่ต้องไปส่ง ทำอะไรผิดความตั้งใจของนางไปก็จะทำให้โกรธเคืองยิ่งกว่าเดิม ขณะที่เขากำลังจะพยักหน้าก็ได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกเขาดังขึ้นท่ามกลางฝูงชนจอแจ
เสียงนี้อวิ๋นจ้าวก็ได้ยินเช่นกัน นางจึงยื่นศีรษะออกมามอง “เป็นอาฉางเด็กรับใช้ของท่านกระมัง”
นางยังจำได้ว่า ‘วันนั้น’ ที่ไปที่จวนสกุลลู่ บ่าวไพร่ทั้งห้องโถงต่างไม่ต้อนรับนาง มีเพียงอาฉางที่ไม่กล่าวตำหนินาง เขาเพียงแค่นั่งคุกเข่าอย่างเงียบงันอยู่ในมุมหนึ่ง มองโลงศพด้วยจิตใจที่เหม่อลอย
อาฉางวิ่งผ่านฝูงชนมาอย่างรีบร้อน พอเห็นลู่อู๋เซิงก็หอบหายใจพลางกล่าวว่า “คุณชาย ใต้เท้าลิ่นเพิ่งให้คนมาแจ้งว่าวันนี้มีธุระ ลงจากเขากลับบ้านไปแล้ว คราวหน้าค่อยนัดพบกันอีกครั้ง สรุปท่านไปที่ใดมากันแน่ เหตุใดถึงไม่ไปพบตามเวลา ทำเช่นนี้ไม่เหมือนท่านเลยสักนิด ข้าตามหาท่านไปทั่ว ร้อนใจจะแย่อยู่แล้ว”
อาฉางเป็นคนพูดมาก เขาแทบอยากจะพูดเรื่องราวทั้งหมดในรวดเดียวจบ
ลู่อู๋เซิงมองข้ามคำพูดครึ่งหลังไปโดยไม่คิดมาก รับฟังเฉพาะแค่คำพูดครึ่งแรกแล้วเอ่ยว่า “ได้ ข้ารู้แล้ว” ก่อนจะหันกลับไปบอกอวิ๋นจ้าวที่ยังไม่ขึ้นรถม้าว่า “ตอนนี้เจ้าก็รู้แล้วว่าคนที่ข้าจะไปพบเป็นใต้เท้าลิ่นจริงๆ”
อวิ๋นจ้าวอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ข้าไม่ได้คิดว่าท่านไปพบสตรีอื่นจริงเสียหน่อย”
อาฉางได้ยินเสียงคุ้นหู พอเงยหน้าขึ้นมาเห็นอวิ๋นจ้าวก็ตกตะลึงไปทันที “คุณหนูอวิ๋น? ท่าน…ท่านกับคุณชาย…”
เขาเข้าใจทันทีว่าเหตุใดคุณชายของตนจึงไม่ไปตามนัดหมาย ที่แท้ก็มาพบกับคุณหนูอวิ๋นนี่เอง
เฮ่อ ช่างเป็นนางปีศาจที่มีเสน่ห์ยั่วยวนจริงๆ หากนายท่านรู้ว่าคุณชายลุ่มหลงสตรีจนยอมผิดนัดผู้อื่นเช่นนี้ มั่นใจได้ว่าต้องตีคุณชายจนขาหักแน่
อาฉางเงียบงันโดยไม่เอ่ยวาจาอีก ทั้งไม่คิดจะป่าวประกาศออกไปด้วย ตั้งใจว่าจะเก็บงำเรื่องนี้ลงท้องตนเองไป ชาตินี้ไม่เอ่ยถึง ไม่มีวันให้นายท่านรู้
อวิ๋นจ้าวเห็นลู่อู๋เซิงไม่ต้องไปวัดวั่นซานแล้วย่อมรู้สึกดีใจเป็นธรรมดา ทว่านางยังต้องไปที่จวนว่าการเจ้าเมืองดูสักครั้ง สอบถามว่าคนร้ายพวกนั้นมีที่มาอย่างไรกันแน่ รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งมิใช่หรือ
บทที่ 8
หลังจากแยกกับลู่อู๋เซิงแล้ว รอจนรถม้าเคลื่อนเข้าไปใกล้หัวมุมถนนหนึ่ง อวิ๋นจ้าวก็สั่งให้คนบังคับรถม้าหยุดรถทันที สี่เชวี่ยยังไม่ทันตั้งตัวก็เห็นคุณหนูกระโดดลงจากรถม้าไปอย่างรวดเร็ว นางรีบตะเกียกตะกายโผล่ร่างออกมานอกรถม้า ถามอย่างร้อนใจว่า “คุณหนู ท่านจะไปที่ใดเจ้าคะ”
อวิ๋นจ้าวโบกมือไล่ “ข้าจะไปหาคุณหนูเฮ่อ พวกเจ้ากลับไปก่อนเถอะ”
พอกล่าวจบนางก็เดินเข้าไปในฝูงชน พริบตาเดียวก็หายลับไม่เห็นเงา เหลือแค่เพียงสี่เชวี่ยที่เอามือกุมหน้าอกอยู่บนรถม้า
ปรนนิบัติรับใช้เจ้านายเช่นนี้ ต้องมีเรื่องให้กลุ้มใจอยู่ตลอดเลย!
อวิ๋นจ้าวบาดเจ็บแค่ที่มือ ฉะนั้นยามที่วิ่งจึงยังคล่องแคล่วว่องไว นอกจากนางจะมีนิสัยร่าเริงแล้ว ความทรงจำก็ยังดีเยี่ยม ถนนทุกเส้นในเมืองหลวงนี้นางล้วนจดจำอยู่ในใจได้อย่างชัดเจน รู้ดีว่าถนนสายใดจะไปถึงจวนว่าการเจ้าเมืองได้รวดเร็วที่สุด
แต่ไรมานางก็ได้ใช้เงินซื้อตัวคนในนั้นเอาไว้ แม้จะเป็นเพียงมือปราบเล็กๆ คนหนึ่ง แต่ก็สามารถสืบเรื่องราวได้ไม่น้อยเลย คราวนี้นางจึงบอกให้เขาไปแจ้งความ ในเมื่อคนในเป็นผู้แจ้งความเอง เชื่อว่าอีกไม่นานที่จวนว่าการเจ้าเมืองก็น่าจะมีความเคลื่อนไหว
ชั่วขณะที่อวิ๋นจ้าวเดินทะลุผ่านเส้นทางที่ไร้ผู้คน จิตใจนางก็สงบเยือกเย็นลงตามไปด้วย นางค่อยๆ ขบคิดอย่างละเอียดมากขึ้น
แต่ยิ่งนางขบคิดมากเท่าไร ฝีเท้าก็ยิ่งช้าลงเท่านั้น
ทันใดนั้นนางก็คิดขึ้นมาได้ว่า จาก ‘หนก่อน’ ที่ย้อนเวลามา อย่างน้อยใต้เท้าลิ่นจะต้องสนทนากับลู่อู๋เซิงถึงยามอู่* ไม่มีทางเดินทางกลับไปก่อนเช่นนี้
บางทีที่ใต้เท้าลิ่นเดินทางกลับไปก่อน อาจเป็นเพราะทางการจับตัวคนร้ายจนไปรบกวนเขาเข้าจนต้องกลับก่อนเวลา หรือไม่ก็เป็นเพราะว่า…
นางสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่ง จิตใจอึดอัดกระวนกระวายขึ้นมากะทันหัน หรือเขาจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนร้ายพวกนั้น?
หากเป็นประการแรกก็ดีอยู่หรอก แต่หากเป็นประการหลัง เกรงว่าเรื่องราวคงจะยุ่งยากกว่าเดิมแล้ว
อวิ๋นจ้าวชะงักฝีเท้าขณะกำลังเดินอยู่ในเส้นทางลัดอันเงียบสงบ นางหยุดยืนครุ่นคิดเรื่องราวมากมาย ปกติแล้วใต้เท้าลิ่นก็มักจะพูดคุยความรู้ต่างๆ กับลู่อู๋เซิงอยู่แล้ว หากต้องการทำร้ายเขาจริง ดูเหมือนจะหาเหตุผลที่ต้องฆ่าเขาในวันนี้ไม่ได้
นอกจากนี้คนที่สามารถหายอดฝีมือวรยุทธ์สูงส่งมาได้มากมาย สามารถลงมือกับลู่อู๋เซิงที่ใดก็ได้ ทว่ากลับเลือกสถานที่ที่เขาก็ปรากฏตัวอยู่ด้วยเสียได้ ดูไม่เหมือนวิธีการทำงานของใต้เท้าลิ่นเสียเลย
แม้ใต้เท้าลิ่นจะเป็นเพียงรองเสนาบดี ทว่ายามที่เขาจัดการเรื่องราวต่างๆ ก็ล้วนแต่กระทำอย่างสุขุมรอบคอบ ซึ่งเขาก็พอมีชื่อเสียงอยู่ในเมืองหลวงบ้างเช่นกัน
แล้วจะยอมปล่อยลู่อู๋เซิงมาตายอยู่ในบริเวณใกล้เคียง ให้ตนเองต้องตกเป็นผู้ต้องสงสัยกระนั้นหรือ อย่างไรบิดาของลู่อู๋เซิงก็เป็นถึงท่านแม่ทัพใหญ่ในรัชสมัยปัจจุบัน หากเกิดเรื่องกับบุตรชายของเขาจริง เขาจะยอมจบเรื่องราวโดยง่ายหรือ
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อก่อนลู่อู๋เซิงก็พบปะกับใต้เท้าลิ่นมาก่อน ก็ล้วนปลอดภัยไร้เรื่องราวมิใช่หรือ เหตุใดตอนนี้เขาถึงจะวางแผนลอบทำร้ายได้เล่า
อวิ๋นจ้าวส่ายหน้าปฏิเสธ นางคงจะคิดมากไปเอง
เพียงแต่พอคิดเช่นนี้แล้ว ชีวิตของลู่อู๋เซิงก็นับว่ามีอันตรายรอบด้านจริงๆ
อวิ๋นจ้าวก็รู้สึกใจหาย ไม่ทราบเพราะเหตุใดจู่ๆ นางก็มีความคิดที่น่าหวาดกลัวผุดขึ้นมา หรือที่ลู่อู๋เซิงพลัดตกหน้าผาในอีกสิบปีข้างหน้า จะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ?
ความคิดที่พรั่งพรูออกมาโดยฉับพลันนี้กระแทกหัวใจนางอย่างโหดร้าย เพราะเรื่องนี้ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว
นางหัวเราะเย้ยหยันตนเอง จะใช่หรือไม่ก็ล้วนไม่ใช่เรื่องสำคัญ ตอนนี้นางกลับมาแล้ว มีโอกาสได้เปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของลู่อู๋เซิง
นางจะต้องช่วยเขาให้ได้ ไม่ว่าจะยากเย็นเพียงใดก็ตาม เพราะว่านางชอบเขา
อวิ๋นจ้าวสูดลมหายใจเข้าลึกยาว ก่อนจะค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกมา ซึ่งพอจะบรรเทาความรู้สึกตื่นตระหนกของตนเองไปได้บ้าง ก่อนจะมุ่งหน้าไปทางจวนว่าการเจ้าเมืองอีกครั้ง
ใกล้ถึงยามอู่แล้ว ประตูบานใหญ่หน้าจวนว่าการยังคงเปิดกว้าง ทว่าด้านในกลับไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา เห็นได้ชัดว่าไม่มีการเปิดศาลไต่สวนคดีแต่อย่างใด นางยืนรออยู่ในตรอกครู่หนึ่งก็เห็นมือปราบวั่นเดินออกมาจากประตู นางจึงป้องปากเลียนเสียงร้องนกกาเหว่าสองสามครั้ง
มือปราบวั่นที่เดินออกมาพร้อมทุกคนชะลอฝีเท้าช้าลงไปสองก้าว เพียงครู่เดียวก็ถูกมองผ่านเลยไป จนกระทั่งเขาแอบหลบมาถึงส่วนลึกของหัวมุมถนนที่อวิ๋นจ้าวซ่อนตัวอยู่
มือปราบวั่นอายุราวสิบเจ็ดสิบแปดปี แววตาของเขาดูไม่เหมือนชายหนุ่มทั่วไป ผิวพรรณเป็นสีเข้มดุจทองแดง ยามที่เขาสวมชุดมือปราบและมีดาบเล่มใหญ่ห้อยอยู่ข้างเอวเช่นนี้ ยิ่งทำให้เขาดูมีอายุมากกว่าความเป็นจริงพอสมควร
หลังจากวั่นเสี่ยวเซิงรู้จักกับอวิ๋นจ้าวโดยบังเอิญแล้ว เขาก็มักจะเปิดเผยข่าวในจวนว่าการให้นางรู้ล่วงหน้า เพื่อที่จะหารายได้เล็กๆ น้อยๆ เพราะอย่างไรนางก็ไม่เคยถามถึงความลับสำคัญในจวนมาก่อน ข่าวประเภทที่จะช้าหรือเร็วก็ต้องถูกเปิดเผยสู่ภายนอกจึงถูกเขานำมาแลกเปลี่ยนเป็นเงินส่วนนี้ นับว่าเป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย
อวิ๋นจ้าวเห็นหน้าเขาก็ขมวดคิ้ว “วั่นเสี่ยวเซิง เห็นพวกเจ้าเอ้อระเหยเช่นนี้ นี่คงไม่ได้ขึ้นเขาไปจับคนร้ายกระมัง”
วั่นเสี่ยวเซิงเหลือบมองซ้ายขวาแล้วก็ถอนสายตากลับมา ก่อนจะเอนร่างไปข้างหลังพิงกำแพงไปครึ่งหนึ่ง “คุณหนูใหญ่ ท่านรู้หรือไม่ว่าการแจ้งความเท็จทำลายชื่อเสียงเพียงใด”
อวิ๋นจ้าวสะดุ้งตกใจ “แจ้งความเท็จอะไรกัน”
วั่นเสี่ยวเซิงปรายตามองนางแวบหนึ่ง “ท่านบอกว่าบนเขามีพวกโจรร้ายอยู่ ทั้งที่ข้าไม่เชื่อ ทว่าท่านกลับยืนยันอย่างหนักแน่นว่ามี ข้าจึงกล้ำกลืนความลำบากใจแล้วไปรายงานให้ใต้เท้าทราบเรื่อง สุดท้ายพวกเราก็ยกขบวนกันไปดักซุ่มอยู่เป็นนาน อย่าพูดถึงโจรเลย กระทั่งลูกสมุนสักคนก็ไม่เห็น”
“เป็นไปไม่ได้!”
วั่นเสี่ยวเซิงแค่นเสียงขึ้นจมูก “ทำไมจะเป็นไปไม่ได้เล่า ข้ากลับแปลกใจยิ่งนัก คุณหนูใหญ่ฐานะมั่งคั่งเช่นท่านไปเอาข่าวมาจากไหนว่าบนเขามีโจรร้ายอยู่ ทั้งยังมาบอกข่าวแต่เช้า หรือท่านเดินขึ้นเขามาก่อนแล้วรอบหนึ่ง? ท่านไม่ใช่คนขยันถึงเพียงนั้นกระมัง”
อวิ๋นจ้าวถลึงตาใส่ “ข้าเป็นคนขยันมากนะ”
“สี่เชวี่ยบอกว่าท่านเป็นคนขี้เกียจยิ่งนัก”
“กลับไปข้าจะต้องด่านางสักรอบหนึ่ง พูดจาเหลวไหลอะไร”
วั่นเสี่ยวเซิงไม่ล้อเลียนอวิ๋นจ้าวแล้ว เขามีท่าทีที่จริงจังมากขึ้น “ด่านางไปทำไม จะว่าไปแล้ว ท่านไปได้ข่าวนี้มาจากที่ใดกันแน่”
“เรื่องนี้ไม่ต้องให้เจ้ามาวุ่นวายหรอก” อวิ๋นจ้าวก้มหน้าครุ่นคิด หากเป็นเช่นนี้จริง กล่าวได้ว่าคนร้ายมีความระแวดระวังสูงมาก มิฉะนั้นคงไม่สังเกตเห็นจนต้องล่าถอยกลับไปก่อน นางเงยหน้าถามว่า “ขณะที่พวกเจ้าขึ้นลงเขา ไม่มีใครพบเห็นใช่หรือไม่”
“ใต้เท้าของพวกเราทำอะไรรอบคอบเสมอ พวกเราแอบไปตามเส้นทางลัด ย่อมไม่มีใครพบเห็นแน่” วั่นเสี่ยวเซิงเห็นคิ้วเรียวดั่งใบหลิวของนางขมวดแน่นก็เกิดความสนใจใคร่รู้ขึ้นมา “เกิดเรื่องอะไรขึ้น ถึงทำให้ท่านมั่นใจว่าบนเขาจะต้องมีโจรร้ายอยู่”
อวิ๋นจ้าวไม่ได้ยินคำถามของเขา เพราะคำพูดก่อนหน้านี้ทำให้นางแน่ใจได้เรื่องหนึ่ง…ใต้เท้าลิ่นไม่ได้ยกเลิกนัดกับลู่อู๋เซิงเพราะสังเกตเห็นคนร้ายหรือการซุ่มจับคนร้ายของเจ้าหน้าที่ แต่เป็นเพราะมีเหตุผลอื่น
หรือคนร้ายจะเป็นพวกเดียวกับใต้เท้าลิ่นจริง เขาก็เลยแอบมารายงานว่ามีคนมาซุ่มจับกุม งานคราวนี้ล้มเหลว ถึงได้พากันล่าถอยกลับไป?
หรือนางจะคิดมากเกินไป ทั้งหมดนี้เป็นแค่เรื่องบังเอิญ?
วั่นเสี่ยวเซิงเห็นอวิ๋นจ้าวเอาแต่ขบคิดอยู่กับตนเองก็อดรนทนไม่ได้ ต้องใช้ด้ามดาบสะกิดแขนนาง “นี่ คุณหนูใหญ่สกุลอวิ๋น ท่านพูดอะไรหน่อยสิ”
อวิ๋นจ้าวกลอกตาใส่เขา “เรื่องยังจัดการไม่สำเร็จ เจ้าจะให้ข้าพูดอะไรอีก”
“จะพูดเช่นนี้ก็ไม่ได้ ข้ายอมแลกชื่อเสียงที่สั่งสมมานานกว่าสามปี เพื่อไปแจ้งความกับใต้เท้าเชียวนะ”
“ชิ!” อวิ๋นจ้าวถลึงตาใส่ “อย่าพูดเสียงดังขนาดนี้สิ เรื่องแจ้งความนอกจากเจ้ากับใต้เท้าแล้ว อย่าให้ผู้ใดรู้อีก”
แม้วั่นเสี่ยวเซิงจะมีนิสัยเป็นอันธพาลอยู่บ้าง แต่ก็ยังรู้จักแยกแยะ จึงเอ่ยว่า “คราวนี้ถึงจะกลับมามือเปล่า แต่ใต้เท้าก็ไม่ได้ตำหนิข้าหรอก เพราะแม้จะไม่เจอโจรผู้ร้าย แต่ก็ยังมีร่องรอยให้เห็นอยู่ในป่าไผ่นั่น ซึ่งใต้เท้าไปเห็นมากับตาแล้ว”
อวิ๋นจ้าวรีบถามว่า “พวกเจ้าเจออะไรหรือ”
“เดิมทีป่าไผ่ก็ไม่ได้มีคนกวาดทำความสะอาด ย่อมมีใบไผ่กองทับถมอยู่เต็มไปหมด ตามหลักแล้วหากไม่มีคนเดินไป ใบไผ่ก็ควรอยู่ดีไม่มีอะไรเสียหาย แต่พวกเรากลับเจอว่าในส่วนลึกของป่าไผ่มีใบไผ่ถูกเหยียบลึกจมดินอยู่หลายจุด จากลักษณะและร่องรอยที่ปรากฏ เหมือนจะมีคนจำนวนมากยืนอยู่ตรงนั้น อีกทั้งไม่ได้อยู่แค่เพียงช่วงเวลาสั้นๆ ด้วย”
อวิ๋นจ้าวใจเต้นโครมครามขึ้นมา เพราะนางรู้ดีว่าเป็นกลุ่มคนที่ดักซุ่มทำร้ายนางกับลู่อู๋เซิงใน ‘วันนั้น’ คาดว่านั่นคงเป็นจุดที่พวกเขาเร้นกายอยู่ นางแสร้งถามว่า “แล้วเป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเป็นร่องรอยของคนที่แอบมาพูดคุยกัน”
วั่นเสี่ยวเซิงหลุดหัวเราะออกมาคำหนึ่ง “ล้อเล่นหรือ ใครจะเข้าไปพูดคุยในสถานที่วังเวงเช่นป่าไผ่เล่า หากจะมีก็แค่คู่รักสักคู่หนึ่ง แต่ไม่มีทางหลงเหลือรอยเท้ามากมายปานนี้แน่ ท่านคิดว่าพวกเขาจะกอดกันชมจันทร์หรือ”
อวิ๋นจ้าวเม้มปากไม่ตอบคำ หูตาที่นางเลือกไว้ไม่ใช่แค่พวกรับเงินไปเพียงอย่างเดียว สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือต้องมีไหวพริบ ไม่ใช่พวกไม่ได้ความ
วั่นเสี่ยวเซิงกอดกระชับเสื้อผ้าตนเอง แล้วกล่าวต่อไปว่า “ฉะนั้นใต้เท้าจึงรู้ว่าข้าไม่ได้พูดโกหก แต่การซุ่มจับคนร้ายล้มเหลวครั้งนี้ คาดว่าคงมีอยู่สองสาเหตุ ข้อแรกคนร้ายสังเกตเห็นว่ามีคนคิดจะเป็นตั๊กแตนจ้องจับจักจั่น* อีกข้อหนึ่งก็คือในจวนว่าการมีหูตาของพวกเขาอยู่ด้วย”
พอกล่าวจบเขาก็เห็นอวิ๋นจ้าวนวดคลึงศีรษะ เขาจึงส่งเสียงจิ๊พลางเอ่ยว่า “ท่านหาคนสืบความได้ แต่ไม่อนุญาตให้ผู้อื่นหาคนไว้บ้างหรือ”
อวิ๋นจ้าวไม่คิดว่าเรื่องราวจะซับซ้อนวุ่นวาย นางคิดจนปวดศีรษะไปหมด หากเป็นเช่นนี้จริง คนที่คิดสังหารลู่อู๋เซิงคงไม่ใช่คนธรรมดาแล้ว
สามารถเชิญยอดฝีมือกลุ่มใหญ่มาได้…ต้องมีเงิน
สามารถวางหูตาในจวนว่าการได้…ต้องมีเงินและมีอำนาจ
สามารถสังหารบุตรชายแม่ทัพใหญ่โดยไม่หวั่นเกรง…ต้องมีอำนาจและมีความกล้า
นางคิดว่าต่อให้ตนเองย้อนกลับมาอีกสักร้อยรอบ นางก็ไม่มีทางสู้คนที่บงการเรื่องราวนี้ได้เลย
หากตอนนี้นางไปเล่าความจริงกับลู่อู๋เซิงตามตรงว่า ‘ข้าย้อนกลับมาในอดีตเมื่อสิบปีก่อน แล้วยังเห็นเจ้าโดนสังหารกับตาตนเอง’ เขาจะเชื่อหรือไม่
วั่นเสี่ยวเซิงสังเกตสีหน้าของนางยามนี้ก็ยิ่งรู้สึกว่าน่าสนใจ ดวงตาหรี่ลงจนเกือบเป็นเส้นตรงยามมองนาง คุณหนูอวิ๋นแสดงสีหน้ากลัดกลุ้มเช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะพบเห็นได้ง่ายนัก เขาคิดแล้วก็เอาด้ามดาบสะกิดแขนนางอีกครั้ง “แม่ข้ายังรอกินข้าวอยู่ ข้ากลับบ้านก่อนล่ะ หากยังไม่กลับไปอีกอาหารคงได้เย็นชืดพอดี”
อวิ๋นจ้าวพยักหน้า “จวนว่าการยังมีข่าวอะไรอีก อย่าลืมบอกข้าด้วย”
“แน่นอน” วั่นเสี่ยวเซิงยืดตัวบิดขี้เกียจ แล้วกำชับว่า “อย่าลืมให้สี่เชวี่ยเอาเงินงวดนี้มาให้ข้าด้วย”
“ได้ๆ” อวิ๋นจ้าวเกาศีรษะอีกครั้ง เรื่องนี้ซับซ้อนยากจะแยกแยะได้กระจ่าง เห็นทีคงต้องหาโอกาสคุยกับลู่อู๋เซิงจริงๆ หากเขามองเห็นนางเป็นตัวประหลาด นางก็จะย้อนกลับมาอีกครั้ง เพื่อลบล้างความทรงจำ ‘หนก่อน’ ที่เขามองนางเป็นตัวประหลาดไปเสีย
เพียงแต่เดินทางไปๆ มาๆ เช่นนี้ คงไม่ถูกสวรรค์รังเกียจเข้ากระมัง
อวิ๋นจ้าวจมอยู่กับความกลัดกลุ้ม
หากไม่ถึงขั้นอับจนหนทาง นางคงไม่คิดหยั่งเชิงความอดทนของสวรรค์เช่นนี้ สามารถย้อนกลับมาได้อีกครั้ง นางก็ซาบซึ้งใจมากแล้ว
อวิ๋นจ้าวทอดสายตามองไปยังจวนว่าการ ไม่รู้ว่าเรื่องที่นางแจ้งให้ไปซุ่มจับคนร้ายคราวนี้เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นหรือไม่
ในใจนางราวกับมีน้ำหนักนับพันชั่งกดทับอยู่ หวั่นใจว่าหากเดินผิดเพียงก้าว ความพยายามที่ทุ่มเทมาจะต้องสูญเปล่าไปทั้งหมด
อวิ๋นจ้าวยกมือกุมใบหน้า ใช้ฝ่ามือที่เย็นเยียบช่วยให้จิตใจสงบลง นางให้กำลังใจตนเองอยู่เงียบๆ เรื่องราวยังไม่เลวร้ายถึงขั้นนั้น สุดท้ายจะต้องจับคนร้ายได้แน่ ลู่อู๋เซิงต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างปลอดภัย
นางหันหลังกลับแล้วเดินออกมาจากเส้นทางลัด ตั้งใจจะกลับบ้านไปกินข้าว วั่นเสี่ยวเซิงกล่าวถูกต้อง ถ้ายังไม่รีบกลับไป อาหารคงได้เย็นชืดหมดแน่
จากหน้าประตูจวนว่าการเดินมาถึงถนนอีกสาย บางทีวันนี้อาจเป็นวันที่ทุกคนออกมาเดินจ่ายตลาด คนบนท้องถนนจึงมีมากกว่าที่เคย ผู้คนสัญจรไปมาอย่างแออัดเบียดเสียด หลังจากที่อวิ๋นจ้าวถูกเบียดอยู่หลายครั้ง ความเจ็บปวดที่มือก็ทำให้นางนึกได้ว่าตนเองบาดเจ็บอยู่ พอยกมือขึ้นมาดูจึงเห็นเลือดไหลซึมออกจากผ้าพันแผล
นางปกป้องมือของตนเองอย่างระมัดระวัง ตั้งใจว่าพรุ่งนี้ก่อนจะไปพบลู่อู๋เซิง นางต้องเปลี่ยนผ้าพันแผลให้เรียบร้อยเสียก่อน มิฉะนั้นหากเขามาเห็นเข้าจะต้องปวดใจมากแน่
“หลีกไป! หลีกไป!”
ทันใดนั้นก็มีเสียงเอะอะลอยมาจากที่ไกลๆ คล้ายว่ามีคนกำลังพุ่งตรงมาทางนี้ ผู้คนพากันร้องตกใจแล้วรีบกระโดดหลบเข้าสองข้างทาง ไม่นานอวิ๋นจ้าวก็เห็นว่ามีคนรีบร้อนวิ่งมา วิ่งไปก็เหลือบมองด้านหลังไปด้วย อวิ๋นจ้าวชะโงกศีรษะดู มองไปทางด้านหลังของคนผู้นั้น คนที่วิ่งไล่ตามมาอย่างไม่ลดละถึงกับเป็นสตรีรูปร่างอรชรผู้หนึ่ง
ดวงหน้าของนางอ่อนเยาว์ ดูแล้วน่าจะอายุประมาณสิบห้าสิบหกปี กำลังยกกระโปรงขึ้นแล้ววิ่งไล่ตามคนข้างหน้าโดยไม่สนใจสายตาคนรอบข้างแม้แต่น้อย คิ้วเรียวสีดำสนิทขมวดน้อยๆ ท่าทางทั้งไม่ตื่นตระหนกและไม่หวาดกลัว มองดูแล้วกลับมีสง่าราศีเปี่ยมด้วยชีวิตชีวา อวิ๋นจ้าวเหลือบมองแวบหนึ่งก็รู้แล้วว่าคนที่วิ่งนำหน้ามาคงโชคร้ายแน่
ระยะห่างเกือบจะเหลือเพียงสิบก้าว บุรุษผู้นั้นใกล้จะชนอวิ๋นจ้าวที่ยังไม่หลบให้พ้นทาง เดิมทีอวิ๋นจ้าวก็ไม่คิดมากอะไร ทว่าจู่ๆ เขากลับตะโกนด้วยสีหน้าดุร้ายถมึงทึงว่า “หญิงหน้าเหม็น ไสหัวไป!”
คิ้วของอวิ๋นจ้าวเลิกขึ้นสูงทันใด ปรายตามองถุงเงินสีชมพูอ่อนที่เขากำไว้ในมือ เห็นชัดเจนว่ามิใช่ของเจ้าตัว นางเบี่ยงตัวหลบเล็กน้อยเพื่อหลีกทางให้ บุรุษผู้นั้นเผยสีหน้ายินดี แต่เมื่อเขาจะวิ่งผ่านไปนั้น ฝ่าเท้ากลับโดนอะไรไม่รู้เกี่ยวพันไว้ ร่างกายจึงพุ่งไปราวลูกธนูหลุดออกจากสาย ล้มกระแทกพื้นไปอย่างหนักหน่วง
เดิมทีสตรีนางนั้นก็วิ่งเร็วนัก พริบตาเดียวก็วิ่งมาถึงเบื้องหน้าอวิ๋นจ้าว ก้าวเท้าออกไปข้างหนึ่ง เหยียบศีรษะบุรุษที่ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดเอาไว้ ก่อนจะก้มลงไปคว้าถุงเงินกลับมา ออกแรงเหยียบที่หลังอีกครั้งหนึ่งจึงค่อยชักเท้ากลับ แล้วเดินไปทางอวิ๋นจ้าว
ทว่าสาวน้อยที่ยื่นเท้าไปขัดขาหัวขโมยเมื่อครู่นั้น ยามนี้กลับนั่งยองอยู่กับพื้น หัวไหล่สองข้างสั่นเทา นางจึงนั่งยองถามว่า “เจ้าเป็นอะไร”
อวิ๋นจ้าวกุมข้อเท้าข้างที่เกือบโดนบุรุษผู้นั้นเตะหักเอาไว้ เงยหน้าขึ้นในสภาพเนื้อตัวสั่นเทา เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังอย่างยิ่งว่า “เจ้าช่วยจ่ายค่ายาให้ข้าได้หรือไม่”
“…”
หากสวรรค์ให้โอกาสอวิ๋นจ้าวเลือกใหม่ ว่าตอนนั้นจะยื่นขาออกไปหรือไม่ยื่นขา นางจะต้องเลือกอย่างหลังแน่
บุรุษผู้นั้นมีรูปร่างสูงใหญ่บึกบึน ทั้งยังวิ่งมาอย่างรวดเร็ว แรงปะทะจึงหนักหน่วงยิ่งนัก หวิดจะเตะข้อเท้าอวิ๋นจ้าวจนหัก แม้ยามนี้ข้อเท้าจะไม่ได้หัก แต่ก็บวมฉึ่งมิต่างกับหัวไชเท้า นางเจ็บเจียนตายอยู่แล้ว
สี่เชวี่ยเปลี่ยนยาสมุนไพรให้นางสองครั้งแล้ว เมื่อครู่นี้เพิ่งจะทาลงไป ยังไม่ทันได้ออกแรงกดเสียด้วยซ้ำ ก็ได้ยินเสียงนางร้องคร่ำครวญ สี่เชวี่ยทั้งหงุดหงิดทั้งร้อนใจ “ท่านเป็นเจ้านายที่หาเรื่องตลอดเวลาเลยนะเจ้าคะ”
“ห้ามพูดต่อนะ ข้าเป็นได้ดุด่าคนแน่”
สี่เชวี่ยถอนหายใจ “ท่านยังมีอารมณ์มาดุด่าข้าอีก? รออีกประเดี๋ยวนายท่านก็คงมาดุด่าท่านแล้ว”
อวิ๋นจ้าวนอนฟุบอยู่บนเตียง ดวงตาไร้ประกาย สี่เชวี่ยทายาเสร็จเรียบร้อยก็เอ่ยว่า “เอาล่ะ ให้ท่านดีใจสักหน่อย”
อวิ๋นจ้าวหันหน้าไปมอง ก็มีจดหมายฉบับหนึ่งถูกส่งมาตรงหน้า นางยื่นมือออกไปรับไว้ เมื่อเห็นลายมือที่คุ้นเคยบนนั้น ความเจ็บปวดที่เท้าพลันหายไปกว่าครึ่ง นางรีบลุกขึ้นนั่งฉีกซองจดหมายอย่างว่องไว
สี่เชวี่ยยิ้มแย้ม คุณหนูช่างมีชีวิตชีวายิ่งนัก คุณชายลู่ผู้นั้นมีอาคมหรือไร สามารถช่วยคนขจัดโรคภัยไข้เจ็บได้ด้วย
อวิ๋นจ้าวคลี่จดหมายอ่านสองรอบ เนื้อความมีเพียงไม่กี่ตัวอักษร ยังคงเป็นการนัดพบที่เรียบง่ายเช่นในวันวาน แต่ความหมายที่แฝงอยู่นั้น มีเพียงนางที่เข้าใจ
สี่เชวี่ยชะโงกหน้ามอง “คุณชายลู่ว่าอะไรหรือเจ้าคะ”
“นัดหมายข้าไปล่องทะเลสาบวันพรุ่งนี้”
“เช่นนั้นข้าจะตอบปฏิเสธแทนท่านเอง”
“ประเดี๋ยวก่อน” อวิ๋นจ้าวดึงตัวสี่เชวี่ยไว้ “เหตุใดต้องปฏิเสธ ข้าจะไป”
สี่เชวี่ยจ้องหน้านาง “ขาท่านเป็นเช่นนี้จะไปอย่างไรเจ้าคะ”
“ต่อให้ต้องคลานข้าก็จะไป” อวิ๋นจ้าวแตะข้อเท้าที่ยังบวมอย่างแผ่วเบา เจ็บยิ่งนัก ทว่านี่เป็นวันดีที่นางกับลู่อู๋เซิงจะได้พบกันอีกครั้ง นางไม่ไปไม่ได้หรอก
สี่เชวี่ยรู้ดีว่าไม่อาจห้ามปรามคุณหนูของตน จึงได้แต่กล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า “แม่นางผู้นั้นก็จริงๆ เลยเชียว คุณหนูช่วยนางจับหัวขโมยทั้งที ทว่านางกลับไม่มาเยี่ยมเยียนสักนิด”
อวิ๋นจ้าวเอนกายลงไปอีกครั้ง เตรียมจะนอนพักผ่อน พรุ่งนี้มีนัดหมายต้องไปล่องทะเลสาบกับลู่อู๋เซิง นางต้องใช้โอกาสที่ไม่มีคนอื่นอยู่ด้วยนี้ลองถามเขาเรื่องไข่มุกราตรี อย่างไรไข่มุกราตรีเม็ดนั้นลู่อู๋เซิงก็เป็นคนมอบให้นาง ไม่แน่เขาอาจเคยสังเกตเห็นอิทธิฤทธิ์ที่แฝงอยู่
ยามนี้พอได้ยินคำบ่นของสี่เชวี่ย นางก็ยิ้มเอ่ยว่า “นางส่งข้าไปร้านยา จ่ายค่ายาให้ข้าแล้วไม่ใช่หรือ”
“แค่นี้ก็พอแล้ว?”
อวิ๋นจ้าวทบทวนอย่างละเอียดจึงนึกขึ้นได้ว่า “ยังกล่าวขอบคุณด้วย”
สี่เชวี่ยหายใจฮึดฮัดพลางถามย้ำ “แค่นี้ก็พอแล้วหรือเจ้าคะ”
อวิ๋นจ้าวเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ข้าอยากช่วยนางเอง นางไม่ได้ขอให้ข้าช่วยเสียหน่อย นางขอบคุณสักคำก็ดีแล้ว เท่านี้ข้าก็พอใจ หากเจอพวกไร้เหตุผลสักหน่อย ไม่แน่อาจจะหาว่าข้ายุ่งไม่เข้าเรื่อง ทำให้หัวขโมยหกล้มจนถุงเงินของนางสกปรกก็ได้”
สี่เชวี่ยไม่อยากจะเข้าใจความคิดคุณหนูของตนเองแล้ว นางอดนวดคลึงหน้าผากแรงๆ ไม่ได้ น่าโมโหจริงเชียว “เอาล่ะ ข้าไม่พูดกับท่านแล้ว ข้ายังต้องเอาเงินไปให้พี่เสี่ยวเซิงอีก ท่านนี่นะ ไม่รู้เขาไปสืบข่าวอะไรมา ถึงต้องให้เงินเขามากมายขนาดนั้น นี่มันมากกว่าค่าแรงเดือนหนึ่งของข้าอีกนะ”
นางบ่นพึมพำกับตนเอง แต่ก็ยอมนำเงินที่อวิ๋นจ้าวให้มาไปพบวั่นเสี่ยวเซิงตามที่สั่ง ปกติเวลาวั่นเสี่ยวเซิงทำงานอะไรตามที่อวิ๋นจ้าวสั่ง คืนนั้นก็จะไปรออยู่ที่ทางเข้าตรอกคฤหาสน์สกุลอวิ๋น ส่วนนางแค่นำเงินไปให้ก็พอ
ต้องรีบไปหน่อยแล้ว อากาศหนาวเหน็บเช่นนี้ อย่าทำให้มือปราบผู้นั้นเป็นอะไรไปเลย หากหนาวจนไม่สบายแล้วมาขอค่ายากับนางจะทำเช่นไร
พอคิดได้สี่เชวี่ยก็เร่งฝีเท้าเร็วกว่าเดิม เดินไปพลางกุมถุงเงินเสียงดังกรุ๊งกริ๊งในมือไว้แน่น เฮ้อ น่าปวดใจนัก มากกว่าค่าแรงข้าเดือนหนึ่งอีก
อวิ๋นจ้าวนอนอยู่บนเตียง นำจดหมายวางไว้ใต้หมอน มีเรื่องในใจมากมายจนไม่อาจข่มตาหลับได้ชั่วขณะ
ทะเลสาบเชียนชิงมีพื้นที่กว้างกว่าสามสิบลี้ เป็นทะเลสาบนอกเมืองหลวงที่อยู่กลางหุบเขา มีทิวทัศน์น่ารื่นรมย์มากที่สุด ในอดีตฮ่องเต้พระองค์ก่อนก็เคยเสด็จมาล่องทะเลสาบแห่งนี้ ตรัสถึงน้ำในทะเลสาบว่ามีสีเขียวมรกตใสกระจ่าง แต่จนใจที่สองฟากฝั่งมีเพียงทิวทัศน์อันดาษดื่น ไร้อารมณ์สุนทรีย์จะชื่นชม ทำให้ขุนนางที่เข้าเฝ้าต้องเสียขวัญ หลังจากน้อมส่งเสด็จกลับไปแล้ว ก็รีบสั่งการให้ปลูกต้นไม้ดอกไม้ริมสองฝั่งทะเลสาบ พริบตาเดียวผ่านไปสามสิบปี จึงมีทิวทัศน์เช่นทุกวันนี้
ช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิพื้นที่ลาดทั้งสองฝั่งจะมีดอกท้อเรียงราย ส่วนช่วงฤดูใบไม้ร่วงครึ่งค่อนเขาจะมีใบเฟิง* สีแดงย้อมไปทั่ว พอถึงฤดูหนาวก็จะมีดอกล่าเหมยบานสะพรั่งประชันโฉมบนยอดเขา มองจากที่ไกลลิบดูเหมือนหิมะขาวเปล่งประกายแวววาว
อวิ๋นจ้าวชอบดอกล่าเหมยเป็นที่สุด ฉะนั้นลู่อู๋เซิงถึงได้นัดหมายให้นางไปที่ทะเลสาบเชียนชิง วันนี้นางพิถีพิถันกับการแต่งตัวยิ่งนัก เดิมทีก็อยู่ในวัยแรกแย้มงดงาม แต้มริมฝีปากแดงแล้ว ไม่ต้องทาแป้งชาด ใบหน้าก็ดูนุ่มจนแทบจะคั้นน้ำได้ ยิ่งไปกว่านั้นการแต่งหน้าอ่อนๆ ยังทำให้นางยิ่งงดงามดั่งมวลบุปผาบานสะพรั่ง
เมื่อแรกที่ลู่อู๋เซิงเห็นนางก็ถึงกับเหม่อลอยไปครู่หนึ่ง รู้จักกันมานานสิบปี กลับไม่เคยเห็นนางตั้งอกตั้งใจแต่งตัวเช่นนี้มาก่อน อย่างมากที่สุดก็เพียงแต้มริมฝีปากแดงเหมือนกับสตรีอื่นที่เติมดอกไม้กลางหน้าผาก
ผ่านไปหนึ่งคืนเท้าของอวิ๋นจ้าวก็ทุเลาลงมากแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกเจ็บอยู่บ้าง นางขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะยกชายกระโปรงก้าวลงเรือ เห็นเขาจ้องมาอย่างไม่ละสายตา นางจึงเม้มปากยิ้ม กลบเกลื่อนความเจ็บปวดของตนเอง “ทำไมหรือ รู้สึกว่าข้างามเกินไปแล้วใช่หรือไม่”
ลู่อู๋เซิงยังไม่มีท่าทีจะตอบรับ กลับเป็นสี่เชวี่ยที่หลุดหัวเราะออกมา
อาฉางทนดูไม่ได้อีกต่อไป “ดูคุณหนูบ้านเจ้าสิ”
สี่เชวี่ยก็รู้สึกเขินอายไม่น้อย แต่พอได้ยินอาฉางกล่าวเช่นนี้ นางก็ออกหน้าปกป้องเจ้านายทันที “คุณหนูบ้านข้าทำไมรึ”
อาฉางโบกไม้โบกมือ “ได้ๆ คุณหนูบ้านเจ้าดีที่สุดแล้ว”
ลู่อู๋เซิงก็ยิ้มขำ บอกกับสี่เชวี่ยและอาฉางที่อยู่บนฝั่งว่า “พวกเจ้าไปที่หอสุราเชียนชิงและสั่งอาหารไว้ก่อนเถอะ พวกเราไปวนเรือรอบหนึ่งก็กลับมา”
กล่าวจบลู่อู๋เซิงก็เก็บเชือกที่ผูกเรือ แล้วพายเรือไปที่กลางทะเลสาบ ทิ้งให้อาฉางและสี่เชวี่ยยืนมองอยู่บนฝั่ง จนกระทั่งพวกเขาห่างไปไกลแล้ว อาฉางถึงได้เอ่ยว่า “ความจริงคุณชายบ้านข้ากับคุณหนูบ้านเจ้าก็เหมาะสมกันมากนะ ช่างเป็นคู่ที่งดงามเหลือเกิน”
สี่เชวี่ยพยักหน้าเห็นด้วย “แน่นอน”
แต่ไม่ว่าพวกเขาจะชื่นชมอย่างไร คนที่ห่างไปไกลแล้วก็ไม่ได้ยิน
ผิวน้ำในทะเลสาบสงบราบเรียบ เมื่อสายลมหนาวพัดผ่านมาก็เกิดเป็นริ้วระลอกคลื่นบนน้ำสีเขียวมรกต อวิ๋นจ้าวหย่อนปลายนิ้วสัมผัสดูก็รู้สึกเหมือนนิ้วจะถูกแช่แข็ง รีบหดมือกลับมากุมเตาอุ่นในอกทันที “เย็นจริง”
ลู่อู๋เซิงเอ่ยขึ้นว่า “อวิ๋นอวิ๋น ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า”
“พูดอะไรหรือ”
“เรื่องแต่งงาน”
อวิ๋นจ้าวกะพริบตาปริบๆ ไม่กล้าส่งเสียงอีก นางกลับมานิสัยย่อมเปลี่ยนไปบ้าง ทว่าลู่อู๋เซิงก็เปลี่ยนด้วยหรือ
ผ่านไปครู่หนึ่งลู่อู๋เซิงก็ยิ้มออกมา “อย่าคิดมากไป ข้าผิดเองที่ไม่ได้พูดให้ชัดเจน ข้าพูดถึงสี่เชวี่ย”
อวิ๋นจ้าวหน้าแดง “ข้าไม่ได้คิดมากเสียหน่อย ข้าก็คิดถึงสี่เชวี่ยเช่นกัน”
ลู่อู๋เซิงไม่ได้เปิดโปงนาง เขากลัวว่าหากทำเช่นนั้นแล้ว นางคงโมโหจนถึงขั้นคว่ำเรือได้แน่ “คราวก่อนเจ้าบอกข้าไม่ใช่หรือว่าคนในครอบครัวสี่เชวี่ยบีบให้นางแต่งงาน แต่ถูกเจ้าขัดขวางเอาไว้ ไม่กี่วันมานี้ครอบครัวอาฉางก็เร่งให้เขาหาสะใภ้สักคนเช่นกัน หากพวกเขายินดี ข้าก็พอเป็นคนกลางให้ได้ พวกเขาเป็นสาวใช้และเด็กรับใช้ของพวกเรา ทั้งสองฝ่ายย่อมรู้จักและเข้าใจกันดี เจ้ากับข้าจะได้วางใจ”
อวิ๋นจ้าวเข้าใจกระจ่าง “ก็จริงอยู่ ไว้ข้าจะกลับไปถามสี่เชวี่ยว่ายินดีหรือไม่ ท่านเองก็กลับไปถามอาฉาง หากเป็นไปได้ พวกเราก็เป็นคนตัดสินใจเรื่องการแต่งงานให้พวกเขาเสียเลย”
เรือลอยมาถึงกลางทะเลสาบ สองฟากฝั่งบนยอดเขามีดอกล่าเหมยบานสะพรั่ง ราวกับแต่งแต้มด้วยหิมะขาว มองเห็นได้เลือนราง ทว่ากลิ่นหอมกลับโชยมาชัดเจนยิ่ง ลู่อู๋เซิงเห็นนางมองดูอย่างตื่นตาตื่นใจ เมื่อเห็นนางละสายตากลับมา เขาจึงเอ่ยว่า “ก่อนวันสิ้นปีท่านพ่อข้าคงกลับมาถึง อวิ๋นอวิ๋น เรื่องแต่งงานของพวกเราก็พูดคุยให้เรียบร้อยเถอะ”
อวิ๋นจ้าวที่ความคิดล่องลอยไปไกลรีบหันขวับกลับมาทันที เพราะนางนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ลู่อู๋เซิง ข้ามีเรื่องจะบอกท่าน อาจจะฟังดูเหลวไหล แต่นี่เป็นเรื่องจริงแน่นอน”
ลู่อู๋เซิงเห็นอวิ๋นจ้าวมีสีหน้าเหม่อลอยก็รู้ว่านางคงไม่ได้ยิน เขาอยากจะดึงตัวนางมานั่งตรงหน้าคุยกันให้รู้เรื่องยิ่งนัก “เจ้าว่ามาสิ”
“ระยะนี้ท่านออกไปที่ใดก็ต้องระวังตัวด้วย ทางที่ดีมีองครักษ์ติดตามให้มากหน่อย อย่าเอาแต่ออกไปข้างนอก อยู่ในบ้านบ้างก็ดี”
ลู่อู๋เซิงมองนางอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะแสร้งทำท่าเข้าใจขึ้นมากะทันหัน “อวิ๋นอวิ๋น เมื่อคืนนี้เจ้านับนิ้วดูดวงชะตา ทำนายได้ว่าระยะนี้การเดินทางของข้าไม่ราบรื่นใช่หรือไม่”
อวิ๋นจ้าวแทบอยากจะกระโดดขึ้นมาทุบตีเขาสักรอบหนึ่ง นางคว้ามือของเขาเอาไว้แล้วเอ่ยว่า “ข้าพูดเรื่องจริงนะ ท่านเชื่อข้าสิ อย่าออกไปไหนบ่อยนัก มีองครักษ์ติดตามให้มากหน่อย”
เมื่อคืนนางคิดทบทวนอย่างละเอียด ลู่อู๋เซิงเป็นคนที่ไม่เชื่อเรื่องภูตผีวิญญาณ เกรงว่าคงจะไม่เชื่อเรื่องพวกนี้แน่ ถึงตอนนั้นนอกจากเขาไม่เชื่อแล้ว ยังจะรู้สึกว่านางป่วยด้วย ซึ่งนางคงระวังภัยร้ายรอบตัวเขาได้ยากขึ้น ฉะนั้นนางจึงตัดสินใจว่าจะยังไม่บอกเขา
ลู่อู๋เซิงรู้สึกว่าน้อยครั้งที่จะเห็นอวิ๋นจ้าวดูจริงจังเช่นนี้ เขาจึงออกปากรับคำแล้วเอ่ยว่า “เจ้าไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว”
อวิ๋นจ้าวรู้ว่าเขาสังเกตเห็นนางแตกต่างจากเมื่อก่อน แต่นางทำได้เพียงแสร้งไม่รู้เรื่องราว เอามือกุมใบหน้าแล้วกล่าวว่า “รู้สึกว่าข้างดงามขึ้นมากจริงๆ ใช่หรือไม่”
ลู่อู๋เซิงถูกนางหยอกเย้าอีกครั้งก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจ ทว่าอวิ๋นจ้าวยังคงเป็นอวิ๋นจ้าวอยู่แน่นอน ไม่ได้ถูกคนสลับเปลี่ยนตัว จะมีก็แค่บางสิ่งที่ไม่เหมือนเดิม
วันนี้มีคนมาล่องทะเลสาบไม่น้อย มีเรือลำเล็กลอยผ่านไปอย่างอ้อยอิ่ง ทั้งยังมีเรือลำใหญ่หรูหราพร้อมด้วยเสียงดนตรีและการแสดงร้องรำ คอยสร้างความสำราญให้แก่เหล่าบัณฑิตได้ชื่นชม บ้างก็มีคนตกปลาจอดเรืออยู่ริมสองฝั่งของทะเลสาบ เรือลำที่อวิ๋นจ้าวนั่งอยู่ลอยไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า วันนี้ไม่มีทางล่องทะเลสาบได้ครบสามสิบลี้เป็นแน่
อวิ๋นจ้าวตั้งใจจะกลับไปกินอาหารกลางวันแล้ว ทว่าหัวเรือยังไม่ทันเลี้ยวกลับก็ได้ยินเสียงกังวานใสของสตรีลอยมา
“นี่ เจ้าชอบกินปลาหรือไม่”
ลู่อู๋เซิงหันไปมองทางนั้นก่อน มองไปไม่ไกลก็เห็นเรือลำเล็กจอดอยู่ริมฝั่ง บนเรือมีคนอยู่สามคน สองบุรุษหนึ่งสตรี คนหนึ่งเป็นคนพายเรือ คนหนึ่งเป็นบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ และยังมีสาวน้อยคนหนึ่ง กำลังหันมาทางนี้กวักมือเรียกอวิ๋นจ้าว
“ข้าว่านางกำลังถามเจ้านะ”
อวิ๋นจ้าวมองไปทางนั้นแล้วส่ายหน้า “ข้าไม่รู้จัก” นางเอียงศีรษะครุ่นคิด “ไม่สิ ข้ารู้จัก เมื่อวานข้าช่วยนางจับขโมย”
ลู่อู๋เซิงหัวเราะแล้วถามว่า “ผ่านไปพบความไม่เป็นธรรมเข้า ก็เลยเป็นจอมยุทธ์หญิงเสียแล้ว?”
อวิ๋นจ้าวถามอย่างลำพองใจ “ยิ่งชอบข้ามากขึ้นแล้วใช่หรือไม่”
คราวนี้ลู่อู๋เซิงไม่หลบเลี่ยงอีก ตอบอย่างตรงไปตรงมา “ใช่ๆๆ ยิ่งชอบมากขึ้นแล้ว”
อวิ๋นจ้าวหลุดเสียงหัวเราะปานระฆังเงิน ลู่อู๋เซิงเห็นเช่นนี้ก็ยิ่งยินดี หางตาเหลือบเห็นเรือลำนั้นลอยเข้ามาใกล้ ถึงได้เห็นโฉมหน้าของสตรีนางนั้นชัดเจน เขาอดนิ่งงันไปไม่ได้ “สาวน้อยนางนั้น…”
อวิ๋นจ้าวเห็นเขามองอยู่หลายครั้งจึงเอ่ยว่า “ข้ารู้ว่านางงดงามมาก แต่ท่านจะมองนางเช่นนี้ไม่ได้ ข้าเป็นได้คว่ำไหน้ำส้ม* แน่”
ลู่อู๋เซิงยังไม่ถอนสายตากลับมา กลับเอานิ้วลูบปลายจมูกของอวิ๋นจ้าว “นั่นคือบุตรสาวของใต้เท้าซือ”
“ซือ? ซือคนไหนกัน”
“ในราชสำนักมีใต้เท้าคนไหนสกุลซือบ้างเล่า”
ทันใดนั้นอวิ๋นจ้าวก็นึกขึ้นมาได้ ในสมองราวกับมีเสียงดอกไม้ไฟดังเปรี๊ยะปร๊ะอย่างฉับพลัน
สกุลซือเป็นสกุลที่พบเห็นได้น้อยมาก และที่เป็นขุนนางในราชสำนักก็มีอยู่แค่คนเดียว นั่นก็คือใต้เท้าซือผู้เป็นเสนาบดีกรมโยธา ซึ่งควบตำแหน่งผู้อันเชิญราชโองการแห่งสำนักราชบัณฑิต ใต้เท้าซือเป็นคนเถรตรงไม่เห็นแก่ใคร ทำสิ่งใดล้วนเฉียบขาด มีชื่อเสียงดีงามในราชสำนัก
ทว่าอวิ๋นจ้าวที่มาจากสิบปีข้างหน้ายังรู้อีกเรื่องหนึ่งด้วย ภายหลังที่ใต้เท้าซือรับตำแหน่งที่ปรึกษาราชกิจ มีผลงานโดดเด่นเป็นที่ประจักษ์ ปีถัดไปก็…รับตำแหน่งอัครเสนาบดี
หรือก็คือ…สตรีที่นางช่วยไว้โดยไม่ตั้งใจเมื่อวานนั้น เป็นบุตรสาวของว่าที่อัครเสนาบดี!
ขณะที่นางกำลังสับสนมึนงง เรือเล็กลำนั้นก็ลอยเข้ามาใกล้ ในสมองอวิ๋นจ้าวหมุนวนไปมานับร้อยนับพันครั้ง ด้วยนิสัยเช่นพ่อค้าทำให้นางตัดสินใจเรื่องหนึ่งได้ว่า…นางจะเป็นสหายกับบุตรสาวของว่าที่อัครเสนาบดี
เรือทั้งสองกระทบกันเบาๆ ผิวทะเลสาบกระเพื่อมกลายเป็นระลอกคลื่น ซือหลิงหลงก้มลงยกถังไม้ข้างกายขึ้นมา ส่งไปให้อวิ๋นจ้าว “ปลาน่ะ เพิ่งตกได้เมื่อครู่นี้เอง”
อวิ๋นจ้าวก็ไม่ปฏิเสธ นางยื่นมือไปรับไว้แล้วเอ่ยว่า “พวกเราสั่งอาหารที่หอสุราเชียนชิงไว้โต๊ะหนึ่ง หากเจ้าสะดวกก็มากินด้วยกันเถอะ”
“พวกเรา?” ซือหลิงหลงมีท่าทีใคร่ครวญเล็กน้อย ตอนนี้ถึงได้เหลือบมองข้างกายอวิ๋นจ้าว มองเห็นใบหน้าคนผู้นั้นชัดเจนแล้ว นางก็กล่าวด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “คุณชายลู่?”
ลู่อู๋เซิงประสานมือทักทายนาง “แม่นางซือ”
อวิ๋นจ้าวมองหน้าคนทั้งสอง “พวกเจ้ารู้จักกันหรือ”
เมื่อครู่นางคิดแค่ว่าลู่อู๋เซิงอาจเคยพบหน้าซือหลิงหลงในงานเลี้ยงของราชสำนัก นางจึงได้ยอมรับอย่างง่ายดาย แต่ไม่คิดว่าพวกเขาจะสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน ไม่ทราบเพราะเหตุใดจู่ๆ นางก็เกิดความอิจฉาขึ้นมาจางๆ
อย่างไรซือหลิงหลงก็มีทั้งชาติตระกูลและรูปโฉมงดงาม ไม่ว่ามองมุมไหนก็ล้วนดูเหมาะสมคู่ควรกับลู่อู๋เซิง เขาเป็นถึงบุตรชายแม่ทัพ พอมายืนเคียงคู่กับบุตรสาวพ่อค้าเช่นนาง คนที่บอกว่าไม่เหมาะสมต้องมีไม่น้อยกว่าสิบคนแน่
แม้กล่าวว่าปีนั้นเมื่อสกุลลู่ตกต่ำ สกุลอวิ๋นได้มอบเงินช่วยเหลือแม่ทัพลู่โดยไม่หวังผลตอบแทน จนเขาสอบเคอจวี่* ฝ่ายบู๊อย่างราบรื่น ทำให้แม่ทัพลู่มีโอกาสไต่เต้าจากขุนนางเล็กๆ จนเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ ทว่านั่นก็เป็นเรื่องในอดีต วันนี้ฐานะสกุลอวิ๋นไม่คู่ควรกับสกุลลู่อย่างแท้จริง
ซือหลิงหลงกล่าวว่า “ทุกปียามที่วังหลวงมีงานเลี้ยงก็จะเชิญขุนนางมาเข้าร่วมด้วย พวกเราก็เลยได้พบหน้ากัน อีกทั้งยามที่ใต้เท้าท่านไหนจัดงานมงคล พวกเราก็ยังได้พบกันแทบทุกครั้ง” พอกล่าวจบนางก็ยิ้มบางๆ “กินอาหารคงช้าไปแล้ว ไว้คราวหน้าเถิด คราวหน้าข้ากับเจ้าไปกันตามลำพัง”
อวิ๋นจ้าวเห็นแววตาของซือหลิงหลงกวาดมองร่างตนเองอยู่ตลอด ก็รู้ว่านางคงมองเห็นความนัยอื่นในแววตาของตนเอง ในเมื่อเป็นสตรีเช่นเดียวกัน อวิ๋นจ้าวจึงไม่แปลกใจที่นางจะคาดเดาได้ กล่าวได้ว่านางเฉลียวฉลาด หรือเป็นเพราะซือหลิงหลงก็มีคนที่ชอบอยู่แล้ว ฉะนั้นถึงได้มีความรู้สึกกับเรื่องพวกนี้ได้ชัดเจนเป็นพิเศษ
อวิ๋นจ้าวตั้งใจจะสานสัมพันธ์กับซือหลิงหลงอยู่แล้วจึงตอบว่า “เช่นนั้นพรุ่งนี้ก็แล้วกัน”
ซือหลิงหลงเงยหน้ามองท้องฟ้า บุรุษข้างกายก็เงยหน้ามองก้อนเมฆบนฟ้าเช่นกัน แล้วก้มหน้าบอกว่า “พรุ่งนี้ท้องฟ้าแจ่มใส”
ตอนนี้เองซือหลิงหลงจึงตอบว่า “พวกเราเจอกันพรุ่งนี้”
พวกนางสองคนสรุปเวลานัดหมายกันแล้วต่างก็แยกย้ายกันกลับไป เรือที่อวิ๋นจ้าวนั่งใกล้จะถึงฝั่ง ลู่อู๋เซิงก็ถามขึ้นว่า “ในอดีตเจ้ามองว่าพวกกลุ่มขุนนางยุ่งยากวุ่นวาย ดังนั้นนอกจากคนที่ต้องไปมาหาสู่กันด้วยเรื่องการค้าแล้ว เจ้าจะไม่เข้าไปสานสัมพันธ์กับขุนนางอื่น แต่คราวนี้เจ้ากลับตั้งใจจะเป็นสหายกับแม่นางซือ”
อวิ๋นจ้าวไม่อยากปิดบังเป้าหมายของตนเองต่อหน้าเขา “ใช่ ข้าเดิมพันกับท่านดีหรือไม่ ต่อไปใต้เท้าซือจะได้เป็นอัครเสนาบดี”
ลู่อู๋เซิงหัวเราะ “วิญญาณผู้หยั่งรู้อนาคตประทับร่างแล้วหรือ” เขากล่าวจบแล้วถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ อวิ๋นจ้าวรู้ทันแผนการยุยงของซ่งโหย่วเฉิงได้อย่างไร
เขารู้สึกอยู่ตลอดว่าสตรีตรงหน้านี้ไม่เหมือนกับคนเดิม
อวิ๋นจ้าวรู้ว่าลู่อู๋เซิงกำลังสับสน กระนั้นนางก็ยังเก็บเรื่องหนึ่งเอาไว้ในใจโดยไม่เอ่ยออกมา นั่นคือเมื่อมีโอกาสได้เป็นสหายกับซือหลิงหลงแล้ว ในวันหน้าก็อาจจะได้รับความช่วยเหลือจากใต้เท้าซือ ซึ่งเป็นประโยชน์กับลู่อู๋เซิง
อาหารชั้นเลิศในหอสุราเชียนชิงยังคงรสชาติดีเยี่ยมเหมือนเช่นเคย อวิ๋นจ้าวกินอย่างสำราญใจยิ่ง เพราะหลังจากยามอู่ ลู่อู๋เซิงต้องไปพบอาจารย์ วันพรุ่งนี้ก็ยังต้องไปที่จวนว่าการเจ้าเมืองอีก อวิ๋นจ้าวจึงไม่ตอแยเขาอีกต่อไปเมื่อมาถึงปากตรอกคฤหาสน์สกุลอวิ๋น นางก็ถามถึงแผนการเดินทางของเขาช่วงสองสามวันนี้ ได้ยินว่าเป็นการทำงานราชการทั้งสิ้น นางถึงได้วางใจลง ต่อให้คนร้ายกลุ่มนั้นมีฝีมือมากแค่ไหน ก็คงไม่อาจบุกเข้าไปสังหารคนที่อยู่ในราชสำนักได้
นางกลับถึงบ้านก็เขียนจดหมายฉบับหนึ่งให้สี่เชวี่ยไปส่งวั่นเสี่ยวเซิง บอกให้เขาช่วยสืบเรื่องของซือหลิงหลง ว่านางชื่นชอบอะไรบ้าง ขณะที่สี่เชวี่ยนำจดหมายออกไปนั้น ก็รู้สึกว่าเงินลอยหายไปอีกกองหนึ่ง จึงเจ็บปวดใจอยู่เป็นนาน
พอถึงช่วงค่ำวั่นเสี่ยวเซิงก็มาส่งจดหมายด้วยตนเอง สี่เชวี่ยยืนอยู่ที่ปากตรอกฝั่งหนึ่ง ยื่นถุงเงินให้เขา กล่าวอย่างปวดใจว่า “ข้าก็นับว่าเป็นคนรอบรู้เรื่องราวในเมืองหลวง คุณหนูมีอะไรเหตุใดถึงไม่ใช้ให้ข้าไปทำเล่า ปุ๋ยดีไม่ตกไปอยู่ที่นาของผู้อื่น* สิ”
วั่นเสี่ยวเซิงถูกยั่วเย้าให้ขบขันอยู่เป็นนานสองนาน เขาเก็บถุงเงินก่อนจะเอ่ยว่า “เสี่ยวสี่เชวี่ย ข้าก็ถือเป็นคนกันเองนะ ไม่เรียกว่าตกไปอยู่ที่นาของผู้อื่นหรอก”
“ท่านไม่ใช่สักหน่อย”
วั่นเสี่ยวเซิงดีดหน้าผากนางทีหนึ่ง “รีบกลับไปเถอะ อย่าปล่อยให้ร่างกายหนาวสั่น”
สี่เชวี่ยลูบหน้าผากป้อยๆ “ข้าไม่หนาวหรอก ท่านต่างหาก” นางลองจับชุดของเขา “นุ่นที่บุข้างในไม่เหลือแล้ว ท่านคงหนาวแทบแย่เลย ได้เงินจากคุณหนูของข้าไปก็มากมาย ขนาดเสื้อผ้ายังตัดใจซื้อไม่ได้อีกหรือ”
วั่นเสี่ยวเซิงกระชับเสื้อแน่นเข้า ปลายจมูกสัมผัสอากาศหนาวจนแดงก่ำ เขาเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ต้องเก็บเงินไว้แต่งภรรยา เอาล่ะ ข้าไปก่อนนะ”
สี่เชวี่ยหันไปแลบลิ้นใส่เขา มือถือจดหมายวิ่งกลับไปสกุลอวิ๋นอย่างรวดเร็ว
วั่นเสี่ยวเซิงเหลียวหลังไปมอง นางช่างเหมือนกับนกสี่เชวี่ยที่กำลังโผบินยิ่งนัก
(ติดตามต่อในเล่ม)
Comments
comments
No tags for this post.