บทที่ 1
เพ้อรัก
ข่าวเรื่องพิชญ์มีคู่หมั้นรบกวนจิตใจพัฒน์นรีได้ไม่นาน เพราะเย็นวันเดียวกันนั้นเธอยุ่งกับการขนของจำนวนมหาศาลเข้าคอนโดมิเนียมแห่งใหม่อันเป็นสมบัติชิ้นแรกจากน้ำพักน้ำแรงของมนุษย์เงินเดือนเช่นเธอ
หลังจากเก็บเงินได้จำนวนหนึ่งบวกกับเงินขวัญถุงก้อนใหญ่จากพ่อ พัฒน์นรีก็สามารถดาวน์ห้องชุดขนาดหกสิบสองตารางเมตรได้ พร้อมกับระยะเวลาผ่อนยาวนานสามสิบปี
ไม่อยากเชื่อ…
มนุษย์เงินเดือนจืดชืดเช่นเธอจะต้องทำงานไปทั้งชีวิตเพื่อผ่อนอสังหาริมทรัพย์ชิ้นนี้เพียงชิ้นเดียว อนาถใจยิ่งนัก เพราะแค่คิดถึงชีวิตหลังจากนี้อีกสามสิบปีเธอก็เหมือนหัวใจจะวายตายไปล่วงหน้า กว่าเธอจะได้เสวยสุขกับเงินจริงๆ ก็แก่หงำเหงือกจนเคี้ยวข้าวไม่ไหว
หลังจากนี้คงต้องขยันทำโอทีให้มากขึ้น อย่างน้อยเธอจะได้เหลือเงินไปสำเริงสำราญกับอย่างอื่นบ้าง
เหนื่อยชะมัด…
เธอปล่อยลมหายใจออกมาอย่างปลงตก ก่อนรวบรวมสารพัดถุงที่กองอยู่บนพื้นไว้ด้วยสองมือแล้วเบี่ยงตัวไปกดลิฟต์ ระหว่างรอลิฟต์เลื่อนลงมาเธอต้องยืนกำหนดลมหายใจอย่างยากลำบากเพราะความเหน็ดเหนื่อยเหมือนร่างจะแหลกเป็นจุณ ข้าวของที่ขนมาจากที่พักเดิมมีจำนวนมหาศาลจนเธอเกือบถอดใจทิ้งไปแล้ว แต่ด้วยความงกทำให้มีแรงฮึดในเฮือกสุดท้ายและขนมันขึ้นไปเก็บได้ทั้งหมด โชคดีที่ไม่ต้องแบกของชิ้นใหญ่ๆ เองเพราะเธอใช้บริการย้ายของจากบริษัทเอกชน ไม่เช่นนั้นคงเป็นลมตายไปก่อนแน่ๆ
‘เจ๊บอกแล้วไงว่าให้หาแฟนสักคน เป็นผู้หญิงตัวคนเดียวก็ลำบากแบบนี้แหละ’ นลินรัตน์บอกกับเธอหลังจากขอโทษขอโพยที่ไม่สามารถมาช่วยขนย้ายของในวันนี้ได้เหมือนกับแวววารี เหมยลี่ และอินทิราที่ต่างติดธุระอย่างพร้อมเพรียงกัน
ทำอย่างไรได้ การหาแฟนสักคนไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนเดินหาร้านขายลูกชิ้น ผู้ชายในบริษัทก็ล้วนมีเจ้าของกันหมดตามธรรมดาของโลกซึ่งมีจำนวนประชากรหญิงมากกว่า และถึงแม้ว่าผู้ชายเหล่านั้นจะโสดจริงๆ แล้วใครกันล่ะที่เธอจะชอบมากพอที่จะเป็นแฟนในอนาคตได้
รองประธานพิชญ์
คำตอบคือรองฯ พิชญ์คนเดียวเท่านั้น
โอ๊ย! จะบ้าตาย ถ้าสเป็กจะสูงเบอร์นั้น เธอก็เตรียมหาคานเหมาะๆ ไว้เกาะดีกว่า
เพียงแค่คิด มโนภาพในหัวก็ปรากฏเป็นร่างสูงชนิดที่เธอต้องแหงนมองคอตั้งบ่า ไหล่กว้างผึ่งผาย ลำคอยาวได้รูป สีหน้าเรียบเฉยติดเคร่งขรึมและดวงตาคมกริบ
…ทำภาพเขาถึงได้ชัดเจนมากขนาดนี้นะ
ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นเอามาก เพราะไม่ว่าเห็นอะไรก็กลายเป็นหน้าเขาไปเสียหมด กระทั่งวินาทีนี้…
“มีอะไรให้ช่วยมั้ยครับ”
อยู่ๆ คนในความคิดก็พูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ พัฒน์นรีกะพริบตาปริบๆ เมื่อสำนึกได้ว่าภาพลวงตาที่เธอเข้าใจว่าเป็นรองประธานพิชญ์…คือรองประธานพิชญ์ จริงๆ!
อุ – แม่ – เจ้า
ของในมือเธอร่วงกราวลงกับพื้น พัฒน์นรีสบสายตาเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลเข้มพอดิบพอดี ในแววตาเธอเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ขณะที่แววตาของเขาเต็มไปด้วยความฉงนกับปฏิกิริยาอันแปลกประหลาดของเธอ
พัฒน์นรีมั่นใจว่าเขาจำเธอไม่ได้ ซึ่งเธอภาวนาให้เขาจำไม่ได้
หญิงสาวรีบก้มหน้าหลบสายตา ย่อตัวลงเก็บของที่กองระเนระนาด ขณะที่ขาเธอสั่นจนแทบจะล้มลงไปกองกับข้าวของนั่นอยู่รอมร่อ นับเป็นการเผชิญหน้ากันแบบจังๆ ครั้งแรก ที่ผ่านมาเธอได้แต่มองพิชญ์ผ่านช่องว่างระหว่างผู้คนที่ยืนล้อมรอบตัวเขาในระยะไกลไม่ต่ำกว่าสิบเมตร แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นเธอก็ไม่ได้ปรารถนาจะมาพบเขาในสถานการณ์แบบนี้เลย
มันไม่โอเคเอามากๆ
“คุณโอเคมั้ย”
เสียงทุ้มดังขึ้น พัฒน์นรีรับรู้ว่าเขาย่อตัวลงมาช่วยเธอเก็บของ แต่ความประหม่ารุนแรงทำให้เธอรวบเอาข้าวของทั้งหมดมาไว้ในวงแขนตัวเองก่อนที่เขาจะหยิบชิ้นใดชิ้นหนึ่งขึ้นมาถือได้ทัน
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันโอเค”
ร่างบางลุกพรวดขึ้นแล้วขยับถอยออกจากคนที่กำลังยืดตัวลุกขึ้น เธอเหลือบตามองเขาแวบเดียวก็รีบหลบสายตาวูบก่อนจะเบี่ยงตัวเดินเร็วๆ เข้าไปในลิฟต์
ในวินาทีที่ประตูกำลังจะปิดลง พัฒน์นรีได้เห็นว่าเขายังมองมาที่เธอด้วยแววตายากจะคาดเดา แน่ล่ะ เขาต้องสงสัยพฤติกรรมลนลานมีพิรุธของเธอแน่ๆ ก็ใครจะไม่สติแตกได้ไหว นั่นมันพิชญ์ บริพัตรเมธานนท์ตัวเป็นๆ เชียวนะ
เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง
จริงสิ คอนโดฯ นี้เป็นหนึ่งในโครงการนับร้อยของมารีรินทร์กรุ๊ป เธอเองก็ได้รับสวัสดิการบริษัทถึงซื้อได้ในราคาที่ถูกกว่าราคาขายตั้งสองแสน เขาเป็นผู้บริหารจะมาเดินเพ่นพ่านดูกิจการของตัวเองบ้างคงไม่แปลกอะไร
แต่ที่แปลกก็คงจะเป็นชุดที่เขาสวมนั่นแหละที่ดูสบายๆ จนผิดหูผิดตา เจ้านายเธอมักจะสวมสูทสีเข้มดูเนี้ยบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ครั้งนี้จึงนับว่าเป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นเขาในแบบที่ดูเรียบง่ายในชุดเสื้อยืดแขนสั้นสีครามเข้ากับกางเกงขาเดฟสีน้ำเงินเข้ม ซ้ำผมที่เคยถูกเซ็ตเรียบเป็นทรงอย่างดีทุกครั้งก็ร่วงลงมาปรกที่หน้าผาก ดูผิดไปจากพิชญ์คนที่เธอพบทุกวัน วันละห้าวินาทีตอนที่เขาเดินผ่านหน้าห้องแผนก
…แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ดูหล่อมากอยู่ดี
พัฒน์นรีปล่อยลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ มองเงาตัวเองที่สะท้อนจากกระจกในลิฟต์ ใบหน้าโซมเหงื่อ ผมเผ้ารวบเก็บแบบง่ายๆ สวมเสื้อยืดตัวโคร่งกับกางเกงขาสั้น
สภาพเธอกับสภาพของพิชญ์หลังเลิกงานช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว นี่อย่างไรเล่าเธอถึงไม่อยากให้เขาจำเธอได้ ถึงแม้ว่าเธอไม่ได้มีความหมายอะไรกับเขา เป็นแค่พนักงานคนหนึ่งที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไร แต่อย่างน้อยก็ไม่อยากให้เขาจำเธอได้ด้วยภาพอะไรที่เป็นแบบนี้เลย
กว่าจะเรียกขวัญที่กระเจิงหายไปให้กลับมาได้ก็เมื่อมีสายเรียกเข้าดังขึ้นในอีกยี่สิบนาทีต่อมา
“ว่าไงลี่”
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าอีกฝ่ายโทรมาด้วยความรู้สึกผิดที่ไม่สามารถมาช่วยเธอขนของได้ในวันนี้เพราะติดธุระสำคัญกับที่บ้าน เป็นวันเกิดของหลานชายคนที่สอง
พัฒน์นรีเห็นด้วยที่เพื่อนจะไปร่วมงานฉลองกับทางครอบครัว เพราะถ้าเป็นเธอ เธอก็ต้องเลือกทางนั้นเช่นกัน
“เก็บของเสร็จหรือยัง เป็นไงบ้าง”
พัฒน์นรียิ้มให้กับน้ำเสียงเป็นกังวลของเพื่อน เหมยลี่เป็นสาวร่างเล็ก ผมสั้นประบ่า ใบหน้าสวยพอประมาณ มีเค้าความหมวยที่แสดงเชื้อชาติของต้นตระกูลอย่างชัดเจน แต่อันที่จริงแค่ชื่อก็ชัดแล้วว่าเป็นลูกหลานตระกูลมีแซ่ จิตใจดี ยิ้มง่าย หัวเราะเก่ง ถ้าเทียบกับเพื่อนฝูงในที่ทำงาน เหมยลี่เป็นคนที่เธอสนิทมากที่สุด
“เรียบร้อย แต่ยังไม่ได้จัดอะไรเลย แกไม่ต้องเป็นห่วง เพราะพวกของชิ้นใหญ่ๆ ฉันจ้างบริษัทขนเสร็จสรรพ ส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าพรุ่งนี้สายๆ ร้านจะมาส่งพร้อมยกขึ้นมาให้เหมือนกัน สบายมาก”
“เหรอ เออ ฉันขอโทษนะที่ไม่ได้ไปช่วยเลย”
“แกขอโทษฉันล้านครั้งแล้วนะ จะขอโทษอีกเหรอ”
“โธ่! ก็แกเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวในเมืองใหญ่ ฉันก็ต้องเป็นห่วงสิ”
นี่ก็เป็นการตอกย้ำครั้งที่ล้านด้วยเช่นกัน จากที่พัฒน์นรีไม่ได้เป็นเดือดเป็นร้อนเรื่องความโสดของตัวเอง พอคนรอบข้างย้ำมากๆ เข้า เธอก็เริ่มจะเดือดร้อนนิดๆ แล้วเหมือนกัน
ว่ากันตามตรง ในแก๊งเพื่อนที่ทำงานของเธอต่างก็มีคู่กันแล้วทุกคน ห้าสาวอันประกอบด้วยหญิงวัยสามสิบแปดอย่างแวววารี สาวปากจัดผู้มีสามีและลูกวัยเก้าขวบหนึ่งคน นลินรัตน์เป็นสาววัยยี่สิบเก้าและมีแฟนที่คบกันมาเกือบสิบปีแล้ว อินทิราเพื่อนวัยเดียวกับเธอก็คบกับแฟนมาตั้งแต่เรียนปีสอง และเหมยลี่เองเพิ่งดูใจกับหนุ่มฝ่ายวิศวกร คงจะมีแค่พัฒน์นรีที่โสดสนิท แถมทุกคนยังเข้าใจผิดว่าเธอมาตรฐานสูงอีกด้วย เพราะหนุ่มๆ ที่คนอื่นๆ แอบปันใจให้แบบไม่หวังพัฒนาความสัมพันธ์นั้นล้วนแต่เป็นผู้ชายซึ่งอยู่ในระดับที่จับต้องได้ แต่พัฒน์นรีกลับชอบคนระดับรองประธานบริษัทพ่วงด้วยตำแหน่งทายาทผู้สืบทอด
แต่สาบานเลยว่าเธอไม่ได้คิดอะไรจริงๆ แค่เป็นแรงบันดาลใจในการทำงานเท่านั้น
พูดแล้วก็คิดถึงหน้าหล่อๆ ของท่านรองฯ อีกแล้ว
“นี่! เลิกพูดเรื่องอื่นก่อน อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับเรื่องที่ฉันเจอวันนี้หรอก แกรู้มั้ยว่าวันนี้ฉันเจอใคร”
“อย่าบอกนะว่าย้ายไปวันแรกก็มีผู้ชายข้างห้องมาตีสนิท”
“ไม่ใช่! แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้ชายเหมือนกัน ผู้ชายตัวเป็นๆ ผู้ชายที่หล่อเริดที่สุดในโลกใบนี้ และเขาก็ไม่ได้มาตีสนิทฉันด้วย”
“แหม! แกพูดมาขนาดนี้ฉันรู้สึกเหมือนว่าจะเดาออกยังไงไม่รู้แฮะ” ปลายสายมีน้ำเสียงติดหมั่นไส้ ก่อนจะเงียบไปพักหนึ่งเหมือนกำลังครุ่นคิดบางอย่าง พัฒน์นรีไม่มีทางรู้เลยว่าทันทีที่เหมยลี่รู้แน่แก่ใจว่าคนที่เธอเจอคือใคร ดวงตาของคนในสายก็แทบจะถลนออกมาจากเบ้า ถามกลับไปด้วยเสียงอันดัง “นี่! แกเจอท่านรองฯ เหรอ”
พัฒน์นรีต้องขยับโทรศัพท์ออกจากหู กระนั้นก็ยังได้ยินเสียงลอยมาแว่วๆ
“เขาไปทำอะไรที่นั่นอ่ะ อย่าบอกนะว่าเขาพักที่นั่น”
“บ้าเหรอ เขาจะมาพักคอนโดฯ นี่ทำไม คับแคบจะตายชัก ท่านรองอาจจะมาดูงานเฉยๆ ก็ได้” พัฒน์นรีไม่คิดว่าพิชญ์จะพักที่นี่ เท่าที่รู้มาตระกูลเจ้านายเธอมีคฤหาสน์หลังงามราคาหลายสิบล้าน เขาจะเลือกพักคอนโดมิเนียมขนาดห้องไม่กี่ตารางเมตรทำไม
“แกจำไม่ได้เหรอ ตอนประชุมกับ ผอ. ฝ่ายวิศวกรรม เขานำเสนอคอนโดฯ ที่แกอยู่ว่าเป็นทางเลือกใหม่สำหรับเศรษฐีเมืองไทย บนตึกหกสิบเจ็ดชั้นมีเพนต์เฮ้าส์อยู่สามห้อง หรูเริดระดับไฮเอ็นด์ ติดท็อปไฟว์คอนโดมิเนียมหรูเมืองไทยเลยนะ”
พอเหมยลี่พูดแบบนั้นพัฒน์นรีก็นิ่งคิดตาม ไม่รู้ว่าควรดีใจหรือเสียใจหากว่าพิชญ์พักอยู่ที่นี่จริงๆ เพราะนั่นเท่ากับว่าเป็นการเพิ่มโอกาสให้เธอได้พบเขามากขึ้น แต่ขณะเดียวกันมันอาจทำให้เธอยิ่งเพ้อหนักมากขึ้นด้วยเช่นกัน
ลำพังแค่เจอที่ทำงานเธอก็แทบละลายหายไปกับอากาศเพราะความหล่อทรมานใจ กลับจากที่ทำงานยังต้องมาเจอกันอีก หัวใจเธอจะทำงานหนักมากเกินไปหรือเปล่า
แต่จากการแต่งกายของเขาก็ชวนให้เข้าใจว่าสิ่งที่เหมยลี่คิดนั้นมีความเป็นไปได้ เขาแต่งตัวเหมือนคนอยู่บ้านมากกว่ามาทำงาน เพราะเธอไม่เคยเห็นเจ้านายหลุดมาดรองประธานสุดเนี้ยบเลยสักครั้ง มีหลายครั้งด้วยที่เธอแอบคิดว่าเขาสวมชุดสูททุกที่ทุกเวลาแม้กระทั่งเวลานอนหรือเปล่า ขนาดงานกีฬาสัมพันธ์เขายังสวมชุดสูทมาเปิดงานด้วยซ้ำไป
มากไปกว่านั้น ปกติเขามีลูกน้องตามเป็นพรวน แต่นี่กลับปรากฏตัวคนเดียว
“แกคิดว่าเขาพักที่นี่จริงๆ เหรอ” คำถามนั้นทำให้เกิดความเงียบขึ้นหลายวินาที ก่อนคำตอบเดียวกันจะปรากฏขึ้นในหัวของคนทั้งคู่อย่างไม่ต้องนัดแนะ เมื่อมั่นใจถึงความเป็นไปได้ หัวใจของพัฒน์นรีก็พองโตจนคับอก เธอต้องระงับอาการตื่นเต้นด้วยการล้มตัวลงบนที่นอนแล้วคว้าหมอนมาอุดปากตัวเองไม่ให้เสียงกรีดร้องด้วยความยินดีเล็ดลอดออกไปหลอกหลอนชาวบ้าน
รู้สึกเหมือนเป็นติ่งดาราเกาหลีที่ฟลุกเข้ามาเป็นเมดในบ้านเขาอย่างไรไม่ทราบ
เสียงปลายสายเงียบไปแล้ว พัฒน์นรีไม่ได้สนใจบทสนทนาหลังจากนั้นว่าเพื่อนพูดอะไรเพราะมัวแต่จินตนาการไปไหนต่อไหน ตอนนี้ความรู้สึกเสียดายเงินค่าดาวน์คอนโดฯ หายไปแล้ว ขอแค่เดินสวนกันวันละครั้งเธอจะยอมนอนตายบนดอกเบี้ยที่พักอาศัยไปอีกสามสิบปีโดยไม่บ่นสักคำเลย
(ตอนต่อไปพบกันวันที่ 19 มีนาคม)
Comments
comments