X
    Categories: LOVEทดลองอ่านเสน่ห์ร้าย ชุด สุดท้ายก็เธอ

ทดลองอ่าน เสน่ห์ร้าย ตอนที่ 4

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 4

ชีวิตพลิกผันครั้งใหญ่

“ฉันอยากจะกรี๊ดให้สลบ แล้วตื่นมากรี๊ดใหม่แล้วสลบไปอีกสักห้ารอบ อยู่ๆ แกก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเลขาฯ รองประธานบริษัท ไม่ผิดจากที่ดวงรายปักษ์ทำนายไว้เลย คนเกิดราศรีกรกฎจะดวงดีแบบก้าวกระโดด ชีวิตจะพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ” นลินรัตน์ออกอาการช็อกแล้วช็อกอีก

ขณะที่เหมยลี่มีสีหน้าเหลือเชื่อไม่ต่างกัน ดีที่แวววารีกับอินทิราซึ่งทราบเรื่องจนตกใจไปหลายรอบไม่ว่างมาด้วย ไม่เช่นนั้นคงต้องมีการถกกันยาวนานจนร้านปิดแน่ๆ

พัฒน์นรีเองก็ยังทำใจให้ปกติไม่ได้ เธอห่อตัวเองจนลีบเล็กเพราะไม่อยากเชื่อเหมือนกันว่าสิ่งที่นลินรัตน์พูดจะเกิดขึ้นกับเธอจริงๆ ชีวิตอันแสนราบเรียบคือความปรารถนาของเธอยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด แต่นับจากนี้ไปไม่รู้อีกกี่เดือนมันจะไม่เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว

“ทำหงอย” เหมยลี่กลอกตาเป็นครึ่งวงกลม “รู้หรอกนะว่าแกน่ะดีใจจนเนื้อเต้น”

“ดีใจอะไรกันล่ะ ฉันชอบเขาก็จริงนะ แต่ว่าอยู่ใกล้ๆ ไม่ได้ ใกล้ทีไรเหมือนอากาศรอบตัวมันน้อยลงยังไงไม่รู้ ฉันหายใจไม่ถนัด ไม่เป็นตัวของตัวเอง ครื้นเครงก็ไม่ได้ โอ๊ย! ฉันต้องตายแน่ๆ” พัฒน์นรีซบหน้าลงกับโต๊ะไม้ของร้านกาแฟเจ้าประจำ

ขณะที่นลินรัตน์และเหมยลี่หันมามองหน้ากันอย่างไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไรดี ที่พัฒน์นรีพูดมานั้นจริงทุกประการ ใครๆ ต่างก็ทราบดีว่าพิชญ์เป็นมนุษย์เพอร์เฟ็กต์ นอกจากความหล่อปานเทพบุตรในตำนานกรีกแล้ว สมองของเขาก็ดีมากๆ เหมือนบรรจุไปด้วยไมโครซอฟต์อัจฉริยะของคอมพิวเตอร์ ดวงตาคมกริบ วาจาคมคาย และร่างกายอันประกอบไปด้วยของแบรนด์เนมราคาแพงระยับอันบ่งบอกถึงฐานะมหาเศรษฐีของเขา แค่ที่กล่าวมานี้ก็เห็นได้ชัดว่าต่อให้ไม่ได้ปลื้มเขาเป็นพิเศษก็คงประสบภาวะหายใจไม่ออกเหมือนกันทุกคนหากต้องอยู่ใกล้ๆ

“แล้วใครใช้ให้แกไปแสดงแสนยานุภาพขนาดนั้นเล่า เขียนแผนธุรกิจแบบสดๆ โดยไม่ต้องวางแผนล่วงหน้าจนเขาอึ้งกันไปทั้งห้องประชุม” เหมยลี่ถามอย่างไม่เข้าใจ “หากว่าแกนั่งบื้อใบ้เหมือนคนอื่น เขาก็ไม่เลือกแกแล้ว”

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรมาสะกิดต่อม พอเห็นสายตาผิดหวังของเขา ฉันก็รู้สึกผิดขึ้นมา เหมือนฉันทำร้ายลูกชายสุดที่รักของตัวเอง ฉันก็เลยทำไปทั้งหมดนั่นแหละ ไม่คิดด้วยซ้ำว่าเขาจะเลือกฉันน่ะ”

สองเพื่อนซี้ต่างวัยมองหน้ากันอย่างหนักใจแทน แต่ถึงขนาดนี้แล้วคงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการเตรียมใจเป็นเลขาฯ ที่เพอร์เฟ็กต์ของผู้ชายเพอร์เฟ็กต์อย่างพิชญ์

“แล้วนี่เริ่มงานเมื่อไหร่”

คำถามของเหมยลี่ทำให้พัฒน์นรีอยากจะร้องไห้ออกมา

“พรุ่งนี้”

พัฒน์นรีวางกระเป๋าถือลงบนโต๊ะทำงานใหม่ของตัวเอง มองป้ายที่ติดอยู่หน้าประตูห้องทำงานของพิชญ์ด้วยความรู้สึกโหวงในอก

นี่มันเรื่องจริงหรือเธอกำลังฝันอยู่กันแน่ ถ้าเป็นฝันจริงๆ ล่ะก็ งานนี้เธอหลับลึกเกินไปแล้ว

“อรุณสวัสดิ์ครับ คุณเลขาฯ คนใหม่ มาแต่เช้าเลยนะครับ”

ชายร่างหนาในแบบฝรั่งตัวโตอยู่ในชุดสูทสีดำสนิทยืนยิ้มแป้นอยู่เคียงข้างกับชายรูปร่างเล็กกว่า ใบหน้าบ่งบอกว่าเป็นคนชาติเดียวกับเธอ

“ผมแม็คนะครับ เผื่อคุณจำไม่ได้ แล้วนี่ก็อลัน”

“สวัสดีค่ะคุณแม็ค คุณอลัน” พัฒน์นรียกมือไหว้พวกเขาพร้อมส่งยิ้มกระจ่างให้

การทักทายจบลงแค่นั้น เพราะอีกฝ่ายไม่พูดอะไรเอาแต่ยิ้มจนพัฒน์นรีเกิดอาการประหม่า

“คุณยิ้มอะไรเหรอคะ แหม! ยิ้มเสียจนฉันรู้สึกไม่มั่นใจเลย”

แม็คหัวเราะที่หญิงสาวตรงหน้าพูดออกมาตรงๆ เขาเลยคิดว่าจะตอบกลับไปตรงๆ บ้าง

“กลุ่มพวกเราไม่ค่อยมีผู้หญิงเข้ามาน่ะครับ ในความทรงจำเรียกว่าไม่มีเลยดีกว่า พอมีคุณเข้ามาทำให้รู้สึกสดชื่นจนบอกไม่ถูก”

“กลุ่มเหรอคะ”

“ใช่แล้ว การทำงานให้เจ้านายอย่างท่านรองฯ ต้องบุกป่าฝ่าดงและทรหดยิ่งกว่าเข้าค่ายลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่ ฉะนั้นแล้วเราจะต้องร่วมมือกันให้มาก ตอนนี้คุณเป็นแก๊งเดียวกับเราแล้วนะครับ เป็นสาวสวยคนแรกของแก๊งเราเลย” อลันยื่นมือมาให้

พัฒน์นรีเอื้อมมือไปสัมผัสมือเขาอย่างเสียไม่ได้ ตกตะลึงเล็กๆ ในการได้รับเกียรติครั้งนี้

“ก็เพราะว่าพวกแกหัวงูแบบนี้ไง ฉันถึงไม่เคยคิดมีลูกจ้างเป็นผู้หญิง”

เสียงที่ดังขึ้นไม่ไกลทำให้ชาวแก๊งต้องผงะออกจากกัน เธอเห็นว่าแม็คกับอลันถอยไปยืนเรียงหน้ากระดาน ยืดอกยืนตรงทำหน้าตาขึงขังอย่างเป็นงานเป็นการ แต่ถึงจะทำสีหน้าขนาดนั้น พิชญ์ก็ยังดูขึงขังกว่าร้อยเท่า

“สวัสดีค่ะท่านรองฯ” พัฒน์นรียกมือไหว้อย่างอ่อนน้อม งามยิ่งกว่าประกวดมารยาทไทย เธอเลี่ยงการมองหน้าเขาด้วยการมองกระดุมเสื้อเม็ดที่สองของเขาแทน นั่นทำให้เห็นว่าเจ้าของเม็ดกระดุมนั้นเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอแล้วตอนนี้

ใจเธอเต้นรัวจนกลัวเหลือเกินว่าพิชญ์จะได้ยินเสียงของมัน

“คุณเลขาฯ เดี๋ยวเชิญเข้าไปพบผมหน่อยนะ พร้อมอาหารเช้า”

พัฒน์นรีเป่าลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อพิชญ์ผละเข้าห้องไปแล้ว เธอได้ยินเสียงหัวเราะของสองหนุ่มจึงหันไปมอง สีหน้าและแววตาของทั้งคู่ทำให้หญิงสาวเผลอหัวเราะออกมา เพราะแม้ว่าจะเพิ่งได้คุยกันจริงๆ จังๆ เป็นครั้งแรก แต่ดูเหมือนว่าเธอจะมีเคมีตรงกับคนทั้งสองและน่าจะเข้ากันได้ดี

“คุณสองคนเป็นไหมคะ เผลอกลั้นใจทุกทีเวลาที่ท่านรองฯ เดินเข้ามา”

“ใช่แล้วครับ พวกเราเป็นแบบนั้น” แม็คตอบ

“งั้นแสดงว่าฉันก็ปกติสินะคะ” หญิงสาวยิ้มอย่างโล่งอก นำมาซึ่งความขบขันของแม็คและอลันอีกระลอก

พัฒน์นรีย่นจมูก แก๊งใหม่ของเธอนี่ดูอบอุ่นดีแฮะ อย่างน้อยก็ทำให้เธออุ่นใจมากกว่าที่หวั่นเกรงในตอนแรก

“ว่าแต่ว่า มื้อเช้าของท่านรองฯ อยู่ไหนเหรอคะ”

 

‘กาแฟดำไม่ใส่น้ำตาล ขนมปังกรอบสามแผ่น’

พัฒน์นรีท่องข้อมูลสั้นๆ ที่ได้รับจากลูกน้องคนสนิทของพิชญ์ คนไม่น้อยที่ดื่มกาแฟดำรสชาติขมปี๋แบบนี้ แต่หญิงสาวก็ไม่เข้าใจว่ามันอร่อยตรงไหน อีกอย่างคนที่ทำงานใช้สมองอย่างพิชญ์ อาหารเช้าแค่นี้จะเพียงพอต่อการทำงานได้หรือ ขนาดเธอตัวเล็กกว่าเขาตั้งมาก มื้อเช้ายังต้องทานอาหารหนักๆ ให้สมองแล่น

อย่างไรก็ตามนี่เป็นข้อมูลที่เธอต้องจดจำใส่สมองเอาไว้ระหว่างที่ได้รับหน้าที่เป็นเลขานุการของเขา

เธอประคองถาดกาแฟไว้ด้วยมือเดียวแล้วใช้มืออีกข้างเคาะประตูก่อนจะเปิดเข้าไปทันที ทั้งๆ ที่คิดว่าจะไม่ประหม่า แต่พอเปิดประตูเข้าไปภาพที่เห็นก็ทำเอาเธอหายใจสะดุด

พิชญ์สง่างามอย่างที่พัฒน์นรีไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนเป็นมาก่อน สาบานได้ว่าเธอไม่ได้พูดเว่อร์ไปแม้แต่นิดเดียว ร่างหนาสมส่วมในชุดสูทแบบพอดีตัว ใบหน้าหล่อเหลากับท่าทางจริงจังยามเมื่อจับจ้องข้อมูลบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ทำให้หัวใจของพัฒน์นรีแทบจะหยุดเต้นไปเลย

แต่เดี๋ยวนะ! หัวใจจะหยุดเต้นตอนนี้ไม่ได้ เพราะเมื่อคืนเธอเพิ่งปลอบขวัญตัวเองว่าการได้เป็นเลขาฯ ของรองประธานบริษัทคือโอกาสในการก้าวหน้า เพราะนอกจากจะได้ทำงานที่ท้าทายมากขึ้น เงินเดือนก็เยอะพอจะผ่อนคอนโดฯ ได้สบายๆ แถมยังเหลือเอาไว้ช็อปแหลกแบบไม่ต้องห่วงว่าจะใช้เดือนชนเดือน

จะมาตายเพราะหัวใจล้มเหลวตั้งแต่ทำงานวันแรกไม่ได้

สติมา สติต้องมา ที่เห็นนั่นเป็นเพียงแค่กายหยาบ สังขารร่วงโรยตามกาลเวลา แค่กายหยาบ แค่กายหยาบ

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

เสียงทุ้มดังขึ้นทำเอาคนกำลังกำหนดลมหายใจสะดุ้งจนเกือบทำของในมือร่วง โชคดีที่ยังมีสติ พัฒน์นรีจึงสามารถประคองถาดกาแฟเอาไว้ได้ หญิงสาวเดินช้าๆ ไปหยุดอยู่ตรงหน้าเขาพร้อมกับวางมันลงบนโต๊ะ

“กาแฟดำกับขนมปังกรอบค่ะ”

พิชญ์พยักหน้าแล้วเอื้อมมือมาจับถ้วยกาแฟยกขึ้นดื่ม พัฒน์นรีแอบลุ้นว่ารสชาติจะถูกปากเขาหรือไม่ แม้ว่าจะชงด้วยเครื่องชงกาแฟราคาหลายหมื่น แต่เธอก็ยังอดรู้สึกเป็นกังวลไม่ได้อยู่ดี

ชายหนุ่มยกกาแฟขึ้นจิบโดยไม่พูดอะไร จนเมื่อเห็นว่าเลขาฯ คนใหม่ยังยืนมองอยู่ไม่ไปไหนจึงเหลือบตาขึ้นมอง

พัฒน์นรีฉีกยิ้มกว้าง อาการเกร็งก่อนหน้าลดลงไปกว่าครึ่ง

พิชญ์ย่นคิ้วเมื่อเห็นรอยยิ้มยินดีของเลขาฯ คนใหม่ มันทำให้เขากระตุกยิ้มอย่างไม่เข้าใจ

“ดีใจอะไร”

“ก็ดีใจที่ฉันชงกาแฟถูกปากท่านรองฯ น่ะสิคะ โล่งใจด้วยค่ะ” เพราะความดีใจทำให้พัฒน์นรีเพิ่งมาสังเกตเห็นว่าพิชญ์กำลังยิ้ม

รอยยิ้มเล็กๆ ของเขาทำให้หัวใจเธอแทบหยุดเต้นอีกครั้ง เธอลืมคำปลอบขวัญตัวเองก่อนหน้านี้ไปหมดสิ้น

เอาเถอะ หัวใจจะวายตายก็ยอมแล้ว

“คุณทำดีมากนะ แต่ขอเถอะ อย่าทำหน้าเหมือนถูกแช่แข็งตลอดเวลาได้หรือเปล่า ผมเห็นคุณทำหน้าแบบนั้นทุกทีที่เผชิญหน้ากับผม”

“เอ่อ…”

ตรงเกินไปแล้ว นี่ฉันแสดงออกชัดขนาดที่เขาพูดออกมาแบบนี้เชียวเหรอ

“เอาเป็นว่าผมอยากให้คุณผ่อนคลายกว่านี้นะ ผมเข้าใจว่าคุณอาจจะตื่นเต้น ด้วยอะไรก็แล้วแต่จากตัวผมที่ทำให้คุณรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง”

พัฒน์นรีรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าจนได้สติ เธอต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะฉีกยิ้มกว้างกว่าเมื่อครู่

“ขออภัยนะคะ ฉันจะปรับปรุงตัวค่ะ”

“อืม…ดี วันนี้เป็นการทำงานวันแรกของคุณ ผมคงไม่เร่งอะไรมาก วันนี้ผมทราบตารางงานของตัวเองแล้ว บันทึกเตือนความจำไว้ที่มือถือ แต่รบกวนคุณช่วยจัดการตารางวันพรุ่งนี้ให้ผมทีนะ”

“เรื่องนั้นฉันจัดการเรียบร้อยตั้งแต่เมื่อวานแล้วค่ะ วันนี้พร้อมดูแลตารางให้ท่านรองฯ ได้ทันทีเลย”

มือที่กำลังจะยกกาแฟขึ้นดื่มชะงัก ดวงตาเรียวรีมองคนตรงหน้าอย่างทึ่งๆ

“จริงเหรอ”

“ค่ะ เมื่อวานฉันใช้เวลาก่อนเลิกงานอ่านบันทึกตารางนัดหมายของท่านรองฯ จนจำได้ว่าทั้งสัปดาห์นี้ท่านรองฯ มีภารกิจอะไรบ้าง เช้าวันนี้จนถึงเที่ยงไม่มีนัดหมายค่ะ บ่ายโมงครึ่งนัดคุยกับตัวแทนแฟรนไชส์บาร์บีคิวจากญี่ปุ่น จากนั้นบ่ายสามโมงประชุมกับฝ่ายประชาสัมพันธ์เรื่องการจัดคอนเสิร์ตของศิลปินเกาหลีวงไนน์ตี้ไนน์ สี่โมงเย็นหัวหน้าแผนกการเงินขอเข้าพบ ตารางของท่านวันนี้สิ้นสุดแค่นี้ค่ะ” พัฒน์นรียิ้ม แต่แววตาบ่งบอกถึงกระแสความไม่พอใจเรื่องที่พิชญ์พูดอ้อมๆ แต่ตรงเผงว่าเธอตื่นเต้นกับรูปร่างหน้าตาของเขาจนไม่เป็นตัวของตัวเอง

ถ้าเป็นสุภาพบุรุษก็ควรจะรู้ว่าพูดแบบนี้ผู้หญิงเขาจะเสียหน้ามากแค่ไหน

พิชญ์ยังอึ้งกับท่าทางคล่องแคล่วเหมือนคนละคนกับหญิงสาวเมื่อครู่ เมื่อวานเธอก็ทำให้เขาทึ่งไปรอบหนึ่งแล้ว ดูเหมือนว่าเลขาฯ คนใหม่นี้มีอะไรให้เขาต้องแปลกใจอยู่เรื่อยเลย

ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไรอีกนอกจากขอบคุณเบาๆ หญิงสาวพยักหน้าแล้วขอตัวออกจากห้องไปทันที แต่ทว่าขณะที่กำลังก้าวเท้า เธอก็หมุนตัวกลับมาบอกกับเจ้านายด้วยรอยยิ้มดังเดิม

“ฉันจะพยายามทำตัวให้ชินกับรูปลักษณ์อันน่าจับจ้องของท่านค่ะ”

 

หลังจากพยายามสะกดจิตตัวเองให้สนใจแค่เรื่องงาน พัฒน์นรีก็สามารถเรียนรู้สิ่งที่เลขาฯ ของรองประธานมารีรินทร์กรุ๊ปต้องทำได้มากขึ้นจากเอกสารที่ถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบของวริษฐ์

ถึงแม้ว่าพัฒน์นรีจะมีจิตใจอ่อนไหวง่ายยามเมื่อได้เห็นหน้าพิชญ์ แต่ข้อดีหนึ่งข้อของเธอคือเมื่อถึงเวลาต้องทำงาน เธอจะวางเป้าหมายไว้ที่ปลายทางแล้วตั้งหน้าตั้งตาเดินไปให้ถึงโดยไม่ว่อกแว่กเด็ดขาด เป็นเหตุให้เวลาเดินมาถึงเที่ยงตรงโดยที่หญิงสาวไม่รู้ตัวเลยจนกระทั่งแม็คเดินผ่านมาพอดี

“คุณเลขาฯ ครับ”

พัฒน์นรีเงยหน้าขึ้นมาจากเอกสาร พร้อมกับส่งยิ้มให้เพื่อนร่วมหมู่ลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่ของเธอ

“ว่าไงคะ”

“ผมคิดอยู่แล้วว่าคุณต้องวุ่นจนลืมว่าตอนนี้เที่ยงแล้ว”

“อ้อ! ใช่แล้วค่ะ” เธอบอกขณะที่ยกนาฬิกาขึ้นดู “แต่ว่าฉันมีอาหารกลางวันแล้ว เลยคิดว่าจะอ่านรายงานอีกสักพักแล้วค่อยทานข้าวน่ะค่ะ”

“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ” แม็คบอกยิ้มๆ แล้วทำเสียงให้เบาลง “โดยปกติวริษฐ์จะเดินเข้าไปสอบถามท่านรองฯ ว่ามื้อกลางวันท่านจะรับประทานอะไรน่ะครับ”

สีหน้าระบายยิ้มของพัฒน์นรีเปลี่ยนเป็นตกใจ เธอลุกพรวดจากเก้าอี้แล้วมองผ่านม่านบังสายตาที่ถูกแง้มไว้เข้าไปในห้องทำงานของพิชญ์ เห็นว่ารองประธานหนุ่มยังนั่งอ่านเอกสารในแฟ้มรายงาน

“ตายแล้ว ฉันลืมคิดเรื่องนี้ไปเลยน่ะค่ะ ขอบคุณมากนะคะที่อุตส่าห์มาเตือน”

“รีบเข้าไปเถอะครับ”

พัฒน์นรีปรี่ไปเคาะประตูห้องแล้วเปิดเข้าไปด้วยท่าทีอันรีบร้อน

“ท่านรองฯ คะ ฉันขอโทษที่ไม่ได้สอบถามเรื่องมื้อกลางวันของท่าน”

พิชญ์ไม่ได้สนใจน้ำเสียงร้อนรนนั้น เขายังใช้สมาธิอ่านข้อความจนจบย่อหน้าก่อนถึงค่อยเงยหน้ามองเลขาฯ สาว

“ไม่เป็นไร ผมขอกาแฟแก้วนึงก็พอ”

พัฒน์นรีนิ่วหน้าเมื่อได้ยินคำสั่งของพิชญ์ เขาบอกแค่นั้นก็ก้มลงอ่านเอกสารต่อพร้อมกับใช้ปากกาวงข้อความในกระดาษโดยไม่สนใจเธออีก

คนเป็นลูกจ้างทำอะไรไม่ได้นอกจากรับคำง่ายๆ แล้วเดินออกจากห้องมาด้วยความไม่เข้าใจ

วันๆ กินอะไรเป็นชิ้นเป็นอันบ้างเนี่ย

สิบห้านาทีหลังจากนั้น พัฒน์นรีก็กลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับกาแฟดำและอาหารที่แบ่งจากมื้อกลางวันของเธอ

“อาหารกลางวันมาแล้วค่ะ”

พัฒน์นรีวางถาดอาหารลงตรงหน้าเจ้านายหนุ่ม น่าแปลกที่ความประหม่าอันมากล้นก่อนหน้าที่เธอจะกลายเป็นเลขาฯ ของเขาลดลงไปโดยไม่ทราบสาเหตุ อย่างน้อยมันก็ลดลงมากจนเธอกล้าวางอาหารลงตรงหน้าเขาทั้งที่เขาไม่ได้สั่ง

“อะไร”

พิชญ์ได้กลิ่นอาหารจึงเงยหน้าขึ้นมา ปรากฏว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้มีเพียงแค่กาแฟดำอย่างที่สั่ง แต่เป็นสำรับอาหารที่มีข้าวและผัดผักหน้าตาดีกับต้มจืดหมึกยัดไส้ร้อนๆ จนควันลอยฉุย

“อาหารกลางวันค่ะ”

“แต่ผมไม่ได้สั่ง”

“ขอโทษนะคะ แต่ว่าเมื่อเช้าท่านก็ดื่มกาแฟดำแก้วเดียว กลางวันจะทานแค่นี้อีก แบบนี้อาจจะทำให้สารเคมีในสมองทำงานเสียสมดุลนะคะ”

พิชญ์ละมือจากเอกสารตรงหน้าแล้วเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้ มองหน้าเลขาฯ คนใหม่คล้ายประเมินโดยไม่รู้ว่าสายตาแบบนั้นทำให้อีกฝ่ายร้อนวูบวาบไปทั้งตัว ก้ำกึ่งระหว่างหวั่นไหวกับหวั่นเกรง

ตายแน่เลยว่ะ เราไปแส่เรื่องของเขาเกินไปหรือเปล่าวะนี่

แต่หลังจากลุ้นอยู่หลายอึดใจว่าจะถูกตะเพิดออกจากการเป็นเลขาฯ ตั้งแต่วันแรกหรือไม่ พิชญ์กลับไม่พูดอะไรนอกจากเลื่อนถาดอาหารเข้ามาใกล้ แล้วตักกินเงียบๆ

พัฒน์นรีผ่อนลมหายใจลง ใบหน้ากระจ่างใสมีรอยยิ้มบางๆ หญิงสาวคว้าขวดน้ำมาเปิดแล้วเทใส่แก้วให้เขา

พิชญ์มองอย่างจับสังเกต “ท่าทางคุณคล่องแคล่วไม่เหมือนเลขาฯ ที่ทำงานแค่วันแรก”

“ขอบคุณนะคะ” พัฒน์นรียิ้มกว้างขึ้นอีก ยอมรับตามตรงว่าโดยปกติเธอไม่ค่อยหลงระเริงกับคำชมสักเท่าไหร่ แต่ครั้งนี้เธอห้ามตัวเองไม่ให้ปลื้มจนยิ้มกว้างขนาดนี้ไม่ได้จริงๆ “ฉันจำมาน่ะค่ะ”

“จำมา? จากไหน” พิชญ์ถามอย่างไม่ใคร่รู้จริงจัง แต่คำตอบของเธอทำให้เขาต้องหยุดฟังอย่างตั้งใจ

“What’s Wrong with Secretary Kim”

“…อะไร” พิชญ์ครุ่นคิดถึงสิ่งที่หญิงสาวตรงหน้ากล่าวถึง “หรือว่าชื่อหนังสือ”

“เปล่าค่ะ ซีรี่ส์เกาหลี”

คำตอบของพัฒน์นรีทำให้พิชญ์อึ้งไป และสีหน้าของเขาก็ทำให้เลขาฯ มือใหม่อยากย้อนเวลากลับไปอุดปากตัวเองนัก จำเป็นต้องพูดทุกเรื่องไหม แทนที่จะบอกว่าตนใส่ใจเนื้องาน อ่านตำราเลขานุการมืออาชีพหรืออ่านทริกจากแหล่งข้อมูลต่างๆ กลับตอบว่าดูซีรี่ส์มาเนี่ยนะ

“เอ่อ…คือว่า…”

“ช่างเถอะ ปกติผมไม่ค่อยเสพความบันเทิงประเภทนี้สักเท่าไหร่ แต่แน่ใจว่าพวกละครหลังข่าวมีความจริงอยู่ไม่ถึงครึ่ง ถ้าหากว่าคุณจะจำมาใช้ ผมก็ต้องขอเตือนว่าละครกับชีวิตจริง…มันต่างกัน”

ไม่อยากเชื่อว่าใบหน้าหล่อเหลาของเขาจะแปรผกผันกับคำพูด แต่ละคำนี่บาดลึกคมคายไม่เหมือนสีหน้าที่ดูนุ่มนวลน่าจูบเลย

จำเป็นต้องจริงจังไปเสียทุกเรื่องมั้ยคะพ่อคู้ณ!

แม้ว่าจะมีใบหน้าหล่อเหลาปานเทพบุตร แต่สีหน้าเคร่งขรึมแบบนั้นก็ไม่น่ามองสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะยามเมื่อชายหนุ่มกำลังเคร่งเครียดกับงาน ดังนั้นสายวันนี้ผู้มาเยือนแบบไม่ได้นัดหมายจึงมองหน้าเขาด้วยความรู้สึกสยองอย่างบอกไม่ถูก

“ทำไมวันนี้ฉันรู้สึกถึงรังสีหิมะขั้วโลกแผ่มาจากตัวแกวะ เย็นชาฉิบ!”

คิ้วเข้มของพิชญ์ขมวดแน่นขึ้นอีก เขามองอีกฝ่ายด้วยแววตาที่ชัดเจนถึงความเบื่อหน่าย โดยปกติแล้วหากว่าเขาไม่ปรารถนาจะเสวนากับใคร เพียงแค่ดีดนิ้วคนผู้นั้นก็จะหายไปทันทีประหนึ่งว่าเขาสวมถุงมือของธานอส

แต่กับหมอนี่ไม่ได้ เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นพี่ชายสายเลือดเดียวกัน

พฤกษ์เลิกคิ้วเข้มขึ้น เค้าโครงหน้าที่คล้ายกันของสองหนุ่มทำให้ใครเห็นก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นพี่น้องกัน แม้ว่าพฤกษ์จะมีผิวที่ขาวจัดกว่าและตัวบางกว่าเล็กน้อยก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่คนทั้งคู่ไม่เหมือนกันเลยและค่อนข้างจะขัดกันอีกด้วยนั่นก็คือนิสัยใจคอ

“แล้วคนว่างงานอย่างนายมีธุระอะไรกับคนมีงานมีการทำอย่างฉันเหรอ”

“โอ้โห พูดซะจนฉันรู้สึกผิดเลยนะ นี่ฉันพี่ชายแกนะ แล้วฉันก็ไม่ได้ว่างงาน แต่แค่ว่างเฉยๆ โว้ย”

“เกิดก่อนแค่ปีเดียว ไม่นับเป็นพี่หรอก”

“แล้วแต่เลย ถึงยังไงฉันก็รักแกมากอยู่ดี น้องชายที่รัก” พฤกษ์เอื้อมมือมาตบบ่าของน้องชายจนร่างในชุดสูทเรียบกริบถึงกันหัวสั่นหัวคลอน

“มีเรื่องอะไรรีบพูดมาดีกว่า”

พฤกษ์ปล่อยมือแล้วปัดรอยยับย่นของเสื้อสูทน้องชายเพื่อหวังให้มันเรียบดังเดิม ก่อนค่อยๆ ยืดตัวตรง อาการล้อเล่นหายไปเหลือแต่แววตาจริงจัง

“เย็นนี้ไปกินเหล้ากัน”

“ไม่ ฉันต้องทำงาน” พิชญ์ปฏิเสธแบบไม่คิด

“อะไรวะ ปฏิเสธแบบไม่ต้องคิดเลยเหรอ คิดก่อนก็ได้นะ อย่างน้อยฉันจะได้ไม่รู้สึกว่าแกไม่อยากไปกับฉันมากกว่าไม่ว่าง”

คิ้วเข้มของพิชญ์ย่นเข้าหากัน พี่ชายของเขาเป็นนักเรียนหัวกะทิ จบคณะแพทยศาสตร์จากมหาวิทยาลัยที่มีคะแนนสอบเข้าสูงเป็นอันดับหนึ่งด้วยเกียรตินิยม และตอนนี้ก็เป็นหมอผ่าตัดที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่ง เรียกได้ว่าเป็นลูกชายคนโตที่เก่งที่สุดในบ้าน แต่ปากกลับสวนทางกับมันสมอง คือสมองพัฒนาขึ้นแต่ปากพัฒนาลง การที่ต้องไปไหนกับพฤกษ์ประหนึ่งถูกเปิดเพลงไร้รสนิยมกรอกหู เท่านั้นไม่พอศัลยแพทย์ผู้นี้ก็ยังขยันแกว่งปากหาเท้าเป็นว่าเล่น ครั้งล่าสุดก็มีเรื่องที่ผับจนหวิดดับกันทั้งพี่ทั้งน้อง นับจากนั้นมาพิชญ์ตั้งมั่นว่าต่อให้ต้องตายก็ไม่มีวันไปตายกับพี่ชายเด็ดขาด

“ถ้านายไม่อยากเสียใจก็อย่าถามต่อจะดีกว่านะ”

“ไอ้สอง”

“…”

“แม่ง! ใจร้ายจังวะ”

พอเห็นว่าพี่ชายเครียดจริงๆ พิชญ์จึงได้แต่ถอนหายใจออกมา “มีเรื่องเครียดอีกหรือไง”

“วันนี้ฉันช่วยคนไข้ไว้ไม่ได้ว่ะ”

อย่างที่บอกว่าพฤกษ์เป็นศัลยแพทย์มีฝีมือ เขารักษาคนไข้มานักต่อนักด้วยความทุ่มเทบวกกับมันสมองที่สวรรค์มอบให้ และใครๆ ต่างก็รู้ว่าการยื้อชีวิตคนไข้ไว้ไม่ได้คือเรื่องเครียดเรื่องเดียวในโลกสำหรับคนอย่างพฤกษ์ ดังนั้นมันจึงถือเป็นเรื่องใหญ่

“งั้นรอสักชั่วโมงได้มั้ย ฉันมีเอกสารที่ต้องเซ็น”

“ขอบใจว่ะ” พฤกษ์พูดพลางหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดรอเพื่อฆ่าเวลา แต่เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ “ฉันว่าจะถามแกอยู่พอดี นั่นเลขาฯ คนใหม่เหรอ”

พิชญ์มองตามสายตาของพี่ชายผ่านช่องกระจกของห้องทำงานที่เผยให้เห็นคนที่นั่งอ่านเอกสารอย่างตั้งใจอยู่ด้านนอก

“อืม”

“ไม่คิดว่าจะเป็นผู้หญิง”

“คนนี้ผ่านการคัดเลือก” เขาตอบสั้นๆ แค่นั้น คนใกล้ชิดต่างรู้ดีว่าเขาเคยมีเลขาฯ เป็นผู้หญิง แต่เพราะพวกหล่อนมักสร้างปัญหาให้ภายหลัง ไม่ว่าจะกี่คนก็มักจะแสวงหาโอกาสเลื่อนตำแหน่งจากลูกจ้างมาเป็นเมียเขาให้ได้ พิชญ์เป็นคนที่แยกเรื่องงานออกจากเรื่องส่วนตัวอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นผู้หญิงที่ทำงานให้เขากับผู้หญิงที่ให้ความสุขส่วนตัวจึงไม่ควรเป็นคนเดียวกัน

“ไม่กลัวเกิดเรื่องเหมือนเมื่อก่อนหรือไง คนล่าสุดนั่น ฉันคิดว่าแกจะเข็ดไปจนตาย”

พฤกษ์นึกถึงเหตุการณ์เมื่อหกปีก่อน เลขาฯ สาวใหญ่ของพิชญ์กุเรื่องขึ้นมาว่าถูกพิชญ์ล่วงละเมิดจนเกิดกระแสข่าวลือสะพัดไปทั่วทั้งบริษัท กว่าความจริงจะเปิดเผยพิชญ์ก็ตกเป็นจำเลยของสังคมไปแล้ว

“ไม่หรอกมั้ง ผู้หญิงคงไม่น่ากลัวแบบนั้นทุกคน”

แม้จะพูดแบบนั้น แต่แววตาแน่วแน่ของพิชญ์ก็ไหวระริกด้วยความหวั่นใจเหมือนกัน คิดแล้วท้องไส้ก็ปั่นป่วนจนแทบจะขย้อนอาหารออกมา ปฏิเสธไม่ได้ว่าปรัญดา สาวใหญ่วัยสามสิบกลางๆ เป็นคนที่ทำให้เขาไม่อยากทำงานใกล้ชิดกับผู้หญิงอีกเลย

“มันก็จริงอยู่ว่าผู้หญิงไม่ได้เหมือนกันทุกคน แต่แกก็คือแก ไม่รู้หรือไงว่าแกเป็นผู้ชายแบบที่ผู้หญิงทั้งประเทศฝันถึง หล่อมาก รวยมาก และเป็นสุภาพบุรุษมาก ฉันจะสอนแกในฐานะพี่ชายนะ ความหล่อกับความรวยเป็นสิ่งที่พระเจ้ามอบให้เรา เราอาจจะปฏิเสธมันไม่ได้ แต่เราทำตัวเองให้เลวได้ อย่างน้อยมันก็ทำให้ผู้หญิงไม่เผลอใจให้เรามากเกินไป”

พิชญ์เผลอปล่อยลมหายใจออกมาอย่างที่ไม่ค่อยได้ทำบ่อยนัก เพราะเขาควบคุมอารมณ์ตัวเองได้เสมอ แต่การตั้งใจฟังคนที่ขึ้นชื่อว่าพี่ชายพูดเรื่องที่คิดว่าจะมีสาระแล้วปรากฏว่าออกมาในรูปนี้ มันทำให้เขารู้สึก…

“เสียดายเวลา”

“ปากคอแกนี่ร้ายขึ้นทุกวันเลยนะ เดี๋ยวฟ้องแม่เลย” พฤกษ์มองน้องชายอย่างเคืองๆ แต่นั่นแหละ พิชญ์ก็คือพิชญ์ ทุกคนในบ้านไม่มีใครอยากต่อกรด้วยเพราะตอนนี้ถือว่าเขาเป็นเสาหลักของตระกูล ไม่ใช่เสาธรรมดา แต่เป็นเสาเอกของสะพานโกลเด้นเกต ถ้าพังลงมาเมื่อไหร่ไม่ใช่แค่คนในครอบครัวที่ล้ม แต่หมายถึงคนอีกนับร้อยนับพันชีวิตที่อาจจะต้องเดือดร้อนไปด้วย

ดังนั้นบ้านมหาเศรษฐีที่ปกติไร้กฎก็ยังมีกฎอยู่ข้อหนึ่งที่ห้ามละเมิดเด็ดขาด นั่นก็คือ…อย่าทำให้พิชญ์ระคายใจแม้แต่รูขุมขน

 

(ตอนต่อไปพบกันวันที่ 25 มีนาคม)

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

Jamsai Editor: