X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน โปรดยิ้มตอบข้าด้วยไมตรี บทที่ 4

หน้าที่แล้ว1 of 16

บทที่ 4

ตอนที่หลินฟางโจวกลับถึงบ้านแล้ว หัวใจนางก็ยังเต้นเร็วอยู่บ้าง นางตรวจดูบ้านโดยละเอียดหนึ่งรอบก็พบว่าภายในบ้านถูกค้นจริงๆ เสียด้วย

เสี่ยวหยวนเป่าน่าจะมีปัญหาทางสมอง ทุกวันหลังจากที่เขาตื่นมาจะต้องพับผ้าห่มให้เรียบร้อย เขาไม่มีทางพับผ้าห่มแบบทั่วๆ ไป ปกติก็มักจะพับเป็นรูปทรงประหลาดซึ่งคนอื่นเลียนแบบได้ยากยิ่ง

ตอนนี้รูปร่างของผ้าห่มผิดไปจาก ‘รูปแบบ’ ที่นางเคยเห็นในทุกวัน พิสูจน์ได้ว่ามีคนเข้ามาค้นบ้านของนางจริง

เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายพยายามเข้ามาค้นอย่างระมัดระวังยิ่ง นอกจากผ้าห่มที่นางจับสังเกตได้แล้ว ส่วนอื่นภายในบ้านเขาก็พยายามทำให้เป็นเหมือนเดิมทุกประการ

หลินฟางโจวลงกลอนประตู จากนั้นย้ายหม้อที่วางอยู่บนเตาในห้องครัวและก้มร่างไปเคลื่อนแผ่นหินที่ปิดอยู่ออก ก่อนจะเรียกให้เสี่ยวหยวนเป่าปีนขึ้นมาจากก้นหลุมเตา

เสี่ยวหยวนเป่าทั้งตัวเปื้อนฝุ่นและเศษขี้เถ้า ใบหน้าสกปรกมอมแมม ตอนที่ร่างเขาโผล่พ้นเตาออกมา ประโยคแรกที่พูดก็คือ “เมื่อครู่มีคนเข้ามา”

“ข้ารู้แล้ว พวกเขาน่าจะไม่กลับมาอีกแล้ว” ยามที่นางกำลังพูดก็มีคนเคาะหน้าต่าง ใบหน้าของหลินฟางโจวพลันขาวซีด นางรีบร้อนดันตัวเสี่ยวหยวนเป่ากลับลงไปในโพรงพร้อมกับเปล่งเสียงดังเอ่ยถาม “ใครน่ะ!”

“ข้าเอง” เป็นคนขายเนื้อแซ่เฉิน

หลินฟางโจวผ่อนลมหายใจก่อนจะเปิดประตู “มีอะไรหรือ”

คนขายเนื้อแซ่เฉินพูดด้วยท่าทางลึกลับ “บ้านของข้าถูกค้น แต่เงินกลับไม่หายไปเลย”

“ชู่!” หลินฟางโจวพูดกระซิบ “บ้านข้าก็ถูกค้นเหมือนกัน ตกใจแทบแย่แล้ว”

“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่”

“ข้าเองก็อยากรู้ แต่พวกเราอย่าได้ถามหาความจริงอีกเลย พี่เฉินไม่ได้ยินที่พวกนั้นพูดหรือ” หลินฟางโจวพูดจบก็ยกมือขึ้นทำท่าปาดไปที่ลำคอ “ยังอยากมีชีวิตอยู่หรือไม่!”

สีหน้าคนขายเนื้อแซ่เฉินเปลี่ยนไปทันที “ข้ากลับแล้วนะ”

“กลับดีๆ ข้าไม่ไปส่งนะ”

หลินฟางโจวกลับเข้าไปในบ้าน นางโน้มร่างไปดึงเสี่ยวหยวนเป่าขึ้นมาพร้อมกับบ่น “เจ้ามีเบื้องหลังอย่างไรกันแน่เนี่ย”

“เบื้องหลังของข้าเป็นคนใหญ่คนโต…”

“ข้าขอให้เจ้าหุบปาก!”

เสี่ยวหยวนเป่าเห็นหลินฟางโจวตกใจจนใบหน้าซีดเผือด จู่ๆ เขาก็ยิ้มออกมา

แต่ไรมาเสี่ยวหยวนเป่าก็มักจะปั้นหน้านิ่งอยู่เสมอ นี่จึงเป็นครั้งแรกที่หลินฟางโจวเห็นเขายิ้ม เด็กน้อยค่อยๆ ยกมุมปากขึ้น ยิ้มอย่างสุขุมและงดงามราวกับหิมะที่ละลายในฤดูใบไม้ผลิอย่างไรอย่างนั้น ทั้งสะอาดบริสุทธิ์ ทั้งอบอุ่นอ่อนโยนและชุ่มฉ่ำหัวใจยิ่งนัก

หลินฟางโจวผลักศีรษะเขาเล็กน้อย “ยิ้มอะไรน่ะ”

“ขอบคุณท่านมาก หลินฟางโจว” แม้แต่คำเรียกก็ให้เกียรติกว่าแต่ก่อนมากนัก

“ชื่อทางการอย่าง ‘หลินฟางโจว’ เจ้าก็เรียกออกมาด้วยหรือ”

“เช่นนั้นจะให้ข้าเรียกท่านว่าอะไร”

“เรียกว่า ‘พ่อ’ ”

“…” เขามีใบหน้าเหยเก อย่างไรก็เรียกพ่อไม่ออก

“ข้าช่วยชีวิตเจ้าหนึ่งชีวิต ให้เจ้าเรียกว่าพ่อสักนิดแค่นี้เจ้าก็ไม่พอใจแล้วหรือ”

“ข้าเรียกท่านว่า ‘พี่’ แล้วกัน พี่ฟางโจว” เห็นหลินฟางโจวกำลังจะอ้าปากพูด เสี่ยวหยวนเป่าจึงรีบเอ่ยถาม “พี่ฟางโจว เมื่อครู่ท่านไปเจออะไรมาหรือ เล่าให้ข้าฟังหน่อยสิ”

หลินฟางโจวถูกเบนความสนใจไปแล้ว นางเล่าว่าตนเองฉลาดหัวไวและกล้าหาญอย่างไรบ้างให้เขาฟังจนน้ำลายกระเซ็น แม้เรื่องราวจะฟังดูเกินจริงไปบ้าง แต่เสี่ยวหยวนเป่าก็ยังสามารถจินตนาการได้ถึงเหตุการณ์นั้นซึ่งตื่นเต้นเร้าใจมากเพียงใด

หลังจากฟังนางเล่าจนจบ เสี่ยวหยวนเป่าก็พูดขึ้นมา “ท่านฉลาดมากเลย”

“แน่นอน! กลยุทธ์จักจั่นทองลอกคราบ นี้ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถนึกขึ้นมาได้”

“นอกจากนี้ที่ยากยิ่งกว่าก็คือหลังจากเจอหยกแล้วท่านไม่ได้ซ่อนตัวแต่กลับเสนอตัวแย่งทำตัวเด่น คนเหล่านั้นต่างโหดเหี้ยมอำมหิต ดูไม่น่าไว้วางใจ จัดการเรื่องใดล้วนไม่เคยให้มีช่องโหว่ ในเรื่องนี้ท่านถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยแต่แรก ย่อมถือเป็นหนึ่งในพยาน หากไม่ยอมเปิดเผยความจริง พวกเขาต้องเกิดความเคลือบแคลงใจยิ่งกว่า คงจะดีกว่าหากเริ่มดึงสายตาพวกเขามาไว้ที่ตนเองก่อน จะได้ทำลายความสงสัยที่พวกเขามีต่อท่าน นี่มันเรียกว่ายอมตายเพื่อเกิดใหม่ แผนการนี้ดูเหมือนสุ่มเสี่ยงอยู่บ้าง แต่หากทำได้สำเร็จก็จะปลอดภัยอย่างที่สุดแล้ว”

หลินฟางโจวลูบคาง “ได้ยินเจ้าพูดออกมาเช่นนี้ ที่จริงตอนนั้นข้าก็ไม่ได้คิดอะไรมากหรอก คนขาเป๋แซ่เว่ยก็ตายแล้ว ข้าไม่อยากให้ภรรยาคนขายเนื้อแซ่เฉินต้องมาต้านแรงลมแทนข้าอีก แน่นอนว่าสามารถหลอกใช้ความเคลือบแคลงของพวกเขาได้ พวกเขาต้องคิดว่าไม่มีใครเดินเข้าไปติดกับดักอย่างโง่เขลาหรอก…ข้าก็เลยจงใจเดินเข้าไปให้พวกเขาคาดไม่ถึง”

“ท่านเป็นคนที่ฉลาดมากจริงๆ”

“ฮ่าๆๆๆ เจ้าชมข้าเช่นนี้ ข้าก็เริ่มรู้สึกเขินบ้างแล้ว ที่จริงข้า…”

ไม่รอให้หลินฟางโจวพูดจบเสี่ยวหยวนเป่าก็เอ่ยแทรกขึ้นมา “เพียงแต่ความรู้และประสบการณ์ของท่านยังน้อยไปบ้าง”

หลินฟางโจวเบิกบานใจอยู่แค่ชั่วขณะ ยังไม่ทันได้เพลิดเพลินอย่างเต็มที่ก็ถูกเขาสะกิดให้ต้องตื่นอีกครั้ง นางเอ่ยด้วยความโมโห “ใครขาดความรู้และประสบการณ์กัน! เจ้ามันเด็กน่าเกลียด รู้จักฉลาดพูดบ้างหรือไม่”

เสี่ยวหยวนเป่าอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนรีบแก้คำพูด “ท่านไม่ใช่คนที่ขาดความรู้หรือขาดประสบการณ์เลย ท่านใจกว้าง มีสายตากว้างไกล…”

หลินฟางโจวไม่ได้รู้สึกดีขึ้นมาสักนิด นางกลอกตา “หุบปากของเจ้าไปเลย!”

เสี่ยวหยวนเป่าจึงหุบปาก

หลินฟางโจวรู้สึกว่าภายในบ้านอึดอัดเล็กน้อย แปลกพิลึกจริงเชียว เมื่อครู่ยังพูดคุยกันออกรสอยู่เลยมิใช่หรือ…นางลูบจมูกพลางเอ่ยถามเขา “นี่ ข้าช่วยชีวิตเจ้าได้หนึ่งชีวิต เจ้าคิดจะเอาอะไรมาตอบแทนข้าบ้าง”

เสี่ยวหยวนเป่าเอ่ยถาม “ท่านอยากได้อะไร”

“ข้าอยากได้ทองหมื่นตำลึง แต่เจ้าก็คงไม่มี” หลินฟางโจวผายมือ “เอาอย่างนี้ ข้าช่วยชีวิตเจ้า นับจากนี้ชีวิตเจ้าก็เป็นของข้าแล้ว”

เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนพยักหน้า “ตกลง”

“ข้าให้เจ้าทำอะไร เจ้าก็ต้องทำเช่นนั้น”

“ได้”

หลังจากนี้อีกหลายปี ทุกครั้งที่หลินฟางโจวนึกถึงบทสนทนาในวันนี้และเวลานี้ขึ้นมา นางก็ทำได้เพียงใช้ประโยคหนึ่งมาสรุปชีวิตตนเองว่า…ขุดหลุมฝังตัวเอง

 

ตามร่างกายของเสี่ยวหยวนเป่าเลอะไปด้วยขี้เถ้าที่อยู่ก้นเตาจนเขามีสภาพมิต่างจากปลากระจังแล้ว หลินฟางโจวไปตักน้ำที่บ่อน้ำมาหนึ่งถังเพื่อให้เขาใช้อาบน้ำ น้ำในบ่อนั้นเย็นเล็กน้อย และนางก็ขี้เกียจต้มด้วย นี่จึงเป็นครั้งแรกในชีวิตของเสี่ยวหยวนเป่าที่อาบน้ำด้วยน้ำเย็น…ความรู้สึกของเขานั้นไม่ดีอย่างมาก

ตอนที่เขาอาบน้ำหลินฟางโจวก็นั่งอยู่ตรงประตูบ้าน ในมือนางถือกรงนกและหยอกเล่นกับนกเค้าแมวอยู่ เลือดของมันหยุดไหลแล้ว ยามนี้มันดูมีเรี่ยวแรงขึ้นมาบ้าง แต่ช่างน่าเสียดายที่เสียงร้องของมันไม่ไพเราะ หน้าตาหรือก็ดูไม่ได้ ด้วยเหตุนี้นอกจากเห็นมันกินหนูแล้ว นางก็คิดไม่ออกว่าเจ้าสิ่งนี้ยังมีประโยชน์อะไรอีก

หวังต้าเตาแบกดาบใหญ่ของเขาเดินมาพร้อมกับพูด “ต้าหลาง! ใช้เวลาว่างได้ดีเสียจริง”

“หัวหน้ามือปราบหวัง ท่านเคยกินนกเค้าแมวหรือเปล่า อร่อยหรือไม่”

หวังต้าเตารีบส่ายหน้า “ไม่เคยกินเลย!”

“อยากลองชิมบ้างหรือไม่”

“ไม่อยาก…”

หลินฟางโจววางกรงนกลงกับพื้นแล้วมองหวังต้าเตาซึ่งดูไม่เหมือนกับคนที่เดินผ่านมา นางจึงเอ่ยถาม “ท่านมาหาข้าเช่นนี้มีเรื่องอะไรหรือ ใต้เท้าให้ท่านนำเงินรางวัลมามอบให้ใช่หรือไม่”

“ไม่ใช่ ใต้เท้าส่งข้ามาเชิญเจ้า ให้เจ้าไปกินอาหารเย็นที่หอวั่งเยวี่ย เขาจะเลี้ยงอาหาร”

“อ้อ ท่านเชิญใครไปแล้วบ้าง”

“เชิญพี่น้องที่ร่วมแรงปราบเสือทั้งหมด”

หลินฟางโจวเข้าใจแล้ว พานเหรินเฟิ่งคงตั้งใจจะจัดงานเลี้ยงฉลองชัยชนะ เป็นไปได้มากที่อาหารในงานเลี้ยงจะไม่มีทางแย่ นางดีใจยิ่งนัก “รบกวนหัวหน้ามือปราบหวังแล้ว ข้าทราบแล้ว ตอนเย็นจะไปแน่นอน”

หลังจากที่หวังต้าเตาบอกลาหลินฟางโจวแล้วก็ไปเชิญคนอื่นอีก

 

หลินฟางโจวลงบัญชีหมั่นโถวห้าลูกไว้ที่เพิงขายหมั่นโถว คนขายหาบเร่หยิบหมั่นโถวไปพลางพูดไปพลาง “ต้าหลางฉลาดมากเลย ยอดวีรบุรุษ! นำหมั่นโถวเล็กๆ น้อยๆ กลับไปกินที่บ้านเถอะ ไม่ต้องลงบัญชีอะไรหรอก!”

ตลอดชีวิตของหลินฟางโจว นี่เป็นครั้งแรกที่ถูกชมว่า ‘ยอดวีรบุรุษ’ นางแทบจะลอยได้แล้ว จึงพูดพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง “ท่านพูดว่าข้าเป็นวีรบุรุษเช่นนี้ ข้ายังจะกินหมั่นโถวของท่านโดยไม่จ่ายได้หรือ วันนี้เงินขาดมือ รอข้าสบายแล้วต้องคืนท่านแน่”

“ไม่ต้องรีบๆ ตอนต้าหลางมีเงินแล้วค่อยว่ากัน หากไม่พอก็กลับมากินหมั่นโถวได้อีกนะ”

 

ตอนหลินฟางโจวถือหมั่นโถวกลับไปถึงบ้าน เสี่ยวหยวนเป่าก็อาบน้ำเสร็จแล้ว เขาสวมชุดเก่าขาดเมื่อนานมาแล้วของหลินฟางโจว

ขณะที่หลินฟางโจวเดินเข้าประตูมาก็เห็นเขาจามติดกันอยู่หลายครั้ง นางนำหมั่นโถวไปวางไว้บนโต๊ะ “กินสิ เป็นของเจ้าหมดเลย”

เสี่ยวหยวนเป่าถาม “ทำไมท่านไม่กินเล่า”

“เย็นนี้นายอำเภอจะจัดงานเลี้ยงฉลองชัยชนะ ท้องข้าต้องมีพื้นที่ว่างให้มากหน่อย ถือโอกาสนี้กินเนื้อแกะของเขาสักแปดจิน สิบจินเลย จะพลาดอาหารมื้อนี้ไม่ได้!”

เสี่ยวหยวนเป่าเพิ่งเคยได้ยินเรื่องการเลี้ยงฉลองเช่นนี้เป็นครั้งแรก เขาส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจพลางหยิบหมั่นโถวขึ้นมากิน

หลินฟางโจวลูบคางพลางมองท่าทางบนโต๊ะอาหารของเสี่ยวหยวนเป่าที่ได้รับการอบรมมาอย่างดี นางจึงพูดขึ้นว่า “ข้าต้องหาตัวตนใหม่ให้เจ้าแล้ว”

“หืม? หากเปลี่ยนตัวตนใหม่ก็ต้องตั้งชื่อจริง ข้าว่ายุ่งยาก” เสี่ยวหยวนเป่าใคร่ครวญครู่หนึ่งก็เอ่ยต่อว่า “มิเช่นนั้นก็ให้ข้าเป็นญาติห่างๆ ของท่านที่ลี้ภัยมา ใช้แซ่หลินเช่นเดียวกัน”

“เช่นนั้นเจ้าชื่อหลินหยวนเป่า”

“ไม่เหมาะ คนที่เอาชื่อเช่นนี้มาเป็นชื่อทางการ นอกจากคนป่าคนเขาหยาบคายแล้วก็ไม่มีใครเขาเอามาตั้งกันหรอก อีกอย่างข้าก็ดูไม่เหมือนคนป่าคนเขาด้วย”

หลินฟางโจวกลอกตามองบน “เจ้าบอกชื่อที่เจ้าต้องการตรงๆ ก็พอ”

เสี่ยวหยวนเป่าก้มหน้าครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยออกมา “ข้าเป็นญาติห่างๆ ของท่านและใช้แซ่หลิน ควรจะเป็นสกุลเดียวกัน รุ่นเดียวกับท่าน ตัวอักษรชื่อก็ต้องมีตัวอักษร ‘ฟาง’ หนึ่งตัว หลินฟางโจว หลินฟางโจว…” เสี่ยวหยวนเป่าพูดถึงตรงนี้จู่ๆ ก็ถามขึ้นมา “ใครเป็นคนตั้งชื่อนี้ให้ท่านหรือ”

“ข้าไม่รู้ ทำไมหรือ”

“ฟางโจว มาจาก ‘เก้าเพลง บทลำน้ำเซียงจวิน’ กล่าวว่า ‘เก็บต้นตู้รั่วริมหาดอันเลื่องชื่อ’ คนที่ตั้งชื่อนี้ให้ท่านเป็นคนที่รู้หนังสือคนหนึ่ง”

“ข้าก็เป็นคนรู้หนังสือเหมือนกันนะ” หลินฟางโจวตอบกลับอย่างรวดเร็ว

เสี่ยวหยวนเป่ามองนางราวกับเห็นสัตว์ประหลาด

หลินฟางโจวพูดด้วยความโมโห “เจ้าไม่ยอมรับ? นี่เจ้าลืมไปแล้วหรือ ข้าเขียนตัวอักษรเป็นนะ!”

“อ้อ” เสี่ยวหยวนเป่าอดพูดอยู่ในใจไม่ได้ว่าตัวอักษรเหล่านั้นอัปลักษณ์ที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา ไม่มีใครเทียบได้เลย

เสี่ยวหยวนเป่าเอ่ยต่อ “ข้าก็จะตั้งชื่อจาก ‘เก้าเพลง’ บ้าง ‘เก้าเพลง บทภูตภูเขา’ กล่าวว่า ‘เด็ดบุปผาหอมให้เจ้าแทนความคิดถึง’ ข้าตั้งชื่อว่าหลินฟางซือ เป็นอย่างไร”

“เด็ด…อะไรนะ นี่…ชื่ออะไรนะ”

“เด็ดบุปผาหอมให้เจ้าแทนความคิดถึง”

“หมายความว่าอะไร”

“เด็ดดอกไม้หอมมอบให้คนที่ข้าคิดถึง”

หลินฟางโจวหัวเราะออกมา “ฮ่าๆ เจ้าอายุยังน้อย ขนก็ยังไม่ยาวเลย เจ้าคิดถึงใครกัน เจ้ายังมียางอายอยู่บ้างหรือไม่ ฮ่าๆๆ”

เสี่ยวหยวนเป่าอึ้งไปชั่วขณะ ต่อมาจึงรู้สึกอับอายอยู่บ้าง ใบหน้าเขาแดงก่ำพร้อมกับหลบหน้า ปากก็พูดอธิบายไป “บทกลอนใช้ถ้อยคำแทนความคิด อาศัยสิ่งของมาเปรียบเปรย ไม่ใช่ความหมายตามตัวอักษรเช่นนั้นเสียหน่อย”

หลินฟางโจวยังคงพูดจาไร้สาระ “เด็กดี เจ้าต้องเชื่อฟังนะ รอเจ้าโตขึ้นก็สามารถขอภรรยาได้แล้ว พอเจ้าโตขึ้นแล้วต้องเป็นหนุ่มรูปงามคนหนึ่ง รูปร่างหน้าตาและสติปัญญาดี จะต้องขอสาวงามแต่งงานได้แน่”

เสี่ยวหยวนเป่าหน้าแดง ทำได้เพียงซ่อนใบหน้าและกินหมั่นโถวโดยไม่สนใจหลินฟางโจวอีก

ช่วงหัวค่ำหลินฟางโจวออกไปร่วมงานเลี้ยง เสี่ยวหยวนเป่าอยู่ภายในบ้านคนเดียว เขารู้สึกเบื่อหน่ายอยู่บ้างและเวียนศีรษะเล็กน้อย คงเป็นเพราะหลายวันนี้เขาไม่ได้ออกไปข้างนอก เอาแต่อุดอู้อยู่ภายในบ้านเท่านั้น

เขาเห็นนกเค้าแมวตัวนั้นนิ่งเงียบ ดูเหมือนมันจะหิวแล้ว เขาจึงบิหมั่นโถวที่กินเหลือเป็นชิ้นเล็กโยนเข้าไปในหม้อ เวลาผ่านไปไม่นานก็มีหนูขึ้นมาบนหม้อจริงๆ เจ้าหนูนั่นกระโดดลงไปในหม้อเพื่อจะกินหมั่นโถว

เสี่ยวหยวนเป่าเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับหนูมาไม่น้อย ในความเข้าใจของเขานั้นหนูล้วนซุกซน แต่ประสบการณ์หลายวันนี้ทำให้เขาพบว่าที่แท้หนูก็ถือเป็นสัตว์ที่ทั้งโง่ทั้งเซ่อชนิดหนึ่ง

เขาไม่อยากแตะต้องหนู ด้วยเหตุนี้จึงเปิดประตูกรงนกและเอานกเค้าแมวเข้าไปอยู่ในหม้อด้วย หลังจากนั้นก็ปิดฝาไว้ให้เรียบร้อย

เสร็จแล้ว! ข้าทั้งให้อาหารนกเค้าแมว ทั้งไม่ต้องเห็นภาพคาวเลือดอันน่าสะอิดสะเอียนนั้นด้วย เขานึกอย่างพึงพอใจยิ่งนัก

หลังจากทำเรื่องเหล่านี้เสร็จแล้วเสี่ยวหยวนเป่าก็ยังรู้สึกเวียนศีรษะและแขนขาไม่มีแรง เขาเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก มองออกไปนอกหน้าต่างก็เห็นแสงแดดค่อยๆ สลัวลง ท้องฟ้าเกือบจะมืดสนิทแล้ว ดังนั้นเขาจึงยกผ้าห่มขึ้นมาคลุมและนอนหลับไป

 

หลินฟางโจวกินดื่มอย่างสำราญใจอยู่ที่หอวั่งเยวี่ย

พานเหรินเฟิ่งวางเงินรางวัลลงบนโต๊ะ เดิมทีตามประกาศเขียนว่าจะมอบรางวัลให้ห้าสิบตำลึง ทว่าเมื่อมาถึงมือของหลินฟางโจวกลับมีเพียงสิบตำลึงเท่านั้น นางรู้สึกไม่ค่อยสบอารมณ์จึงเอ่ยถาม “ใต้เท้า เหตุใดข้าน้อยจึงได้เพียงสิบตำลึง”

พานเหรินเฟิ่งอธิบาย “เงินรางวัลมีทั้งหมดห้าสิบตำลึง เป็นเจ้าที่ออกความคิดไม่ผิดแน่ แต่ยังมีคนรักบ้านเมืองอีกยี่สิบคนที่ไปเสี่ยงชีวิตบนภูเขาด้วย พวกเขาควรจะได้รับผลประโยชน์บ้าง ข้าจึงตัดสินใจว่าจะแบ่งเงินรางวัลออกเป็นสองส่วน เจ้าคนเดียวได้รับไปสิบตำลึง ส่วนคนอื่นที่เหลือคนละสองตำลึง เจ้ามีอะไรจะคัดค้าน”

เป็นเช่นนี้ก็มีเหตุผล แม้หลินฟางโจวจะยากจน แต่นางก็ไม่ใช่คนขี้เหนียว ได้ฟังพานเหรินเฟิ่งชี้แจงเช่นนี้นางก็พูดขึ้นว่า “ใต้เท้าฉลาดยิ่งนัก ควรเป็นไปตามนี้แหละ”

งานเลี้ยงกลางคืนพรั่งพร้อมยิ่งนัก มีทั้งหมูย่าง หยางเกิง ลูกชิ้น เนื้อปลาเส้น ปูยัดไส้ และอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งยังมีขนมหลากหลาย ขนมบางอย่างหลินฟางโจวก็ไม่เคยกินมาก่อน ถือว่าแปลกใหม่สำหรับนางมาก นางถึงกับเก็บขนมหลายชิ้นแอบซ่อนไว้ในแขนเสื้อ วางแผนไว้ว่าจะนำกลับไปให้เสี่ยวหยวนเป่าลองชิมดู

มีหลายคนเข้ามาดื่มอวยพรให้แก่หลินฟางโจว กระทั่งนางดื่มจนมึนเมา

พานเหรินเฟิ่งมีความสุขมาก เขาเรียกให้สตรีที่งามที่สุดในหอวั่งเยวี่ยมาขับร้องเพลงพื้นบ้าน โดยขอเพลง ‘ส่งเทพเวินเสิน’ เป็นพิเศษ ซึ่งเพลงนี้จะร้องเพียงแค่ช่วงปีใหม่ เวลาปกติทั่วไปไม่ค่อยได้ยินนัก

ทุกคนต่างนึกว่า ‘เทพเวินเสิน’ ในที่นี้หมายถึงเสือตัวนั้น พวกเขาจึงคิดว่าเหมาะสมมาก

มีเพียงหลินฟางโจวเท่านั้นที่รู้ว่า ‘เทพเวินเสิน’ ตัวจริงคือใคร

งานเลี้ยงดำเนินมาจนถึงกลางดึก หลินฟางโจวดื่มจนเมามาย นางเดินโซซัดโซเซกลับบ้าน ตอนที่เข้าประตูบ้านนางก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวแปลกๆ ดังมาจากในห้องครัว นางจึงเดินไปตรวจดูที่นั่น ที่แท้เสียงนั้นก็ดังมาจากเตาทำอาหาร

“ผีหรือ”

หากเป็นยามปกตินางคงตกใจจนเหงื่อแตกพลั่กไปนานแล้ว ทว่าตอนนี้ด้วยความเมามาย ตัวนางที่รู้สึกเหมือนลอยล่องกลายเป็นเทพเซียนไปแล้วย่อมดูถูก ‘ผี’ เหล่านี้เป็นธรรมดา

ในหม้อมีสิ่งที่ทำเสียงปึงปังๆ ด้วยกำลังชนฝาหม้ออยู่

นางเปิดฝาหม้อขึ้น สิ่งดำๆ อย่างหนึ่งพลันพุ่งพรวดตรงออกมาแล้วก็บินจากไป

“หรือเป็นผีบินได้”

หลินฟางโจวเดินกลับไปที่ห้องนอน เห็นเสี่ยวหยวนเป่านอนหลับอยู่ภายในความมืดมิด นางเลิกผ้าห่มของเขาขึ้นพร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้มกว้าง “ดูสิ ดูนี่สิ ข้าเอาอะไรกลับมาให้เจ้าบ้าง”

นางพูดไปพลางควักขนมทั้งหมดออกมา ทว่าเสี่ยวหยวนเป่ายังคงนิ่งไม่ขยับ

หลินฟางโจววางขนมทั้งหมดไว้บนโต๊ะ “พรุ่งนี้ตอนเช้าค่อยกินแล้วกัน!” นางพูดพร้อมกับล้มตัวลงนอนบนเตียง

เมื่อนอนอยู่ข้างกายเสี่ยวหยวนเป่า นางก็รู้สึกว่าตัวเขากำลังสั่นเทา นางสะกิดเขาด้วยความประหลาดใจ “เป็นอะไรไป”

เขาพูดเพ้อเลื่อนลอยออกมาอย่างไม่ได้สติ “หนาว…”

หลินฟางโจวจึงดึงตัวเขามาโอบไว้ในอ้อมกอด “เช่นนี้คงไม่หนาวแล้วกระมัง”

 

ตอนเสี่ยวหยวนเป่าตื่น แวบแรกที่เขาเห็นก็คือบานหน้าต่างผุพังในห้องนอน ดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าแล้ว บานหน้าต่างนั้นถูกแสงแดดส่องจนสว่างเป็นสีขาวทั้งบาน เขาหรี่ตาลง รู้สึกว่าร่างกายแข็งทื่อ อยากจะดันร่างลุกขึ้นเขาก็พบว่าร่างของตนเองอยู่ในอ้อมกอด…ใครสักคน

หลินฟางโจวราวกับเห็นเขาเป็นหมอนข้างไปแล้ว ขาข้างหนึ่งก่ายมาทับช่วงเอวเขาไว้ แขนรัดรอบร่างเขา คางกดอยู่บนไหล่ของเขา ทั้งยังส่งเสียงกรนออกมาเบาๆ

เสี่ยวหยวนเป่าตกตะลึงเล็กน้อย

แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีคนนอนกอดเขาเช่นนี้ ตั้งแต่เกิดมาเขาก็นอนคนเดียว มีบางครั้งที่แม่นมจะอุ้มเขาพร้อมกับเดินด้วย แต่เขารู้ว่าตอนที่พวกนางอุ้มเขาอยู่นั้นในใจกลับหวาดกลัว พวกนางล้วนไม่กล้าใกล้ชิดกับเขามากเกินไป ทั้งไม่กล้าไม่ใส่ใจมากเกินไป คอยรักษาระยะห่างกับเขาด้วยความระมัดระวัง เป็นระยะห่างที่ทำให้ในใจพวกนางรู้สึกปลอดภัย

ข้างนอกหน้าต่างมีเสียงเร่ขายหูปิ่งดังมาอีกแล้ว

หลินฟางโจวได้ยินเสียงตะโกนขายหูปิ่งทุกวัน แม้ทุกวันนางจะไม่สามารถซื้อได้ แต่เสียงตะโกนนี้กลับสามารถปลุกนางให้ตื่นได้เสมอ เดิมทีนางยังคงเมาค้างมาจากเมื่อคืน นอนหลับไม่เต็มอิ่มนัก ยามนี้ถูกเสียงดังรบกวนจนตื่นแล้ว นางจึงพูดด้วยความฉุนเฉียว “หนวกหูจะตายแล้ว!”

เสี่ยวหยวนเป่าปัดแขนและขาของหลินฟางโจวออก ก่อนจะลุกขึ้นมานั่งด้วยความเหนื่อยล้า แต่เพียงชั่วครู่เขาก็ล้มลงไปอีกครั้ง

ร่างของเสี่ยวหยวนเป่าล้มลงไปในอ้อมอกของหลินฟางโจว ซึ่งทำให้นางตื่นขึ้นมาเต็มตาแล้ว

หลินฟางโจวถามด้วยความโมโห “เจ้าทำอะไร!”

“ข้ามึนศีรษะเล็กน้อย”

หลินฟางโจวรู้สึกแปลกๆ จึงประคองร่างของเสี่ยวหยวนเป่าขึ้นมานั่งแล้วพินิจดูใบหน้า เมื่อเห็นสีหน้าซีดเซียวของเขา ใต้ตาบวมช้ำ ท่าทางดูอ่อนเพลีย นางก็นึกสงสัยอย่างมาก “เจ้าเป็นอะไรไป เมื่อวานยังเห็นดีๆ อยู่เลย”

“น่าจะเพราะเมื่อวานอาบน้ำด้วยน้ำเย็น ข้าจึงเป็นไข้” ตอนที่เริ่มพูดเขาก็รู้สึกว่าลำคอแห้งผากแล้ว

“ข้าล้วนใช้น้ำเย็นอาบทุกครั้ง แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเป็นไข้” หลินฟางโจวเอ่ยวาจาสบประมาทอยู่บ้าง “ร่างกายของเจ้าทำมาจากกระดาษหรือไร”

เสี่ยวหยวนเป่าเอ่ยอย่างนับถือนางอยู่บ้าง “ร่างกายของท่านก็ทำมาจากเหล็กจริงๆ”

“พอแล้วๆ ไม่ต้องมาทำเป็นประจบ ข้าจะไปหาหมอหวง ให้เขาจัดยามาให้เจ้ากิน”

หลินฟางโจวลุกขึ้นจากเตียง ตอนที่กำลังจะออกไปนางก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “นี่ เมื่อคืนเจ้าได้ยินเสียงอะไรเคลื่อนไหวบ้างหรือไม่”

“อะไรเคลื่อนไหวหรือ”

“เหมือนกับ…ผีเลย”

“เรื่องภูตผีไม่น่าเชื่อหรอก”

“เหมือนข้าจะเห็นผีจริงๆ นะ ทั้งยังบินได้ด้วย!”

หลินฟางโจวหวาดกลัว เสี่ยวหยวนเป่าจึงรีบเอ่ยปลอบใจ “ไม่เป็นไร ต่อให้มีผีจริงๆ ท่านก็ไม่ได้ทำเรื่องไม่ดีเสียหน่อย พวกเขาคงไม่มารบกวนท่านหรอก”

“ข้าเคยทำเรื่องไม่ดี ทำเยอะมากด้วย!”

เสี่ยวหยวนเป่าพูดไม่ออก เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง “ท่านช่วยชีวิตข้าไว้ก็ลดบาปไปได้สิบเจ็ดปี”

“ข้ายังเคยทำให้คนตายด้วยนะ คนขาเป๋แซ่เว่ยต้องตายเพราะข้า!”

“เป็นข้าที่ทำให้คนขาเป๋แซ่เว่ยตายต่างหาก ข้า…ทำให้คนหลายคนต้องตาย”

หลินฟางโจวเห็นเขาพูดเรื่องเหล่านี้แล้วมีสีหน้าเศร้าสร้อยก็รู้สึกเสียใจแทนเขา นางจึงโบกมือเล็กน้อยพลางพูดด้วยเสียงแหบ “เอาเถอะๆ เป็นไข้เล็กน้อยก็คิดฟุ้งซ่านเสียแล้ว!”

“เป็นท่านต่างหากที่คิดเพ้อเจ้อ…”

“เจ้าหุบปากไปเลยนะ!”

เมื่อเขาหุบปากแล้วนางจึงออกไปเอายา

หลินฟางโจวออกไปข้างนอกได้สักพัก จู่ๆ เสี่ยวหยวนเป่าก็ได้ยินเสียงเคาะหน้าต่างตึงๆๆ เขาระแวดระวังตัวในทันที รีบลุกขึ้นจากเตียงเตรียมจะเข้าไปหลบในโพรงใต้เตาทำอาหารในห้องครัว

“เสี่ยวหยวนเป่า ข้าเอง”

แม้อีกฝ่ายจะจงใจพูดเสียงเบา แต่เสี่ยวหยวนเป่ายังคงฟังออกได้ในทันทีว่านั่นคือเสียงของหลินฟางโจว เขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย จึงเดินเข้าไปใกล้บานหน้าต่างพลางเอ่ยเรียกนาง “พี่ฟางโจว?”

“ข้าเอง”

“ทำไมท่านไม่เข้ามาพูดข้างในเล่า”

“ข้าไม่กล้า ข้างในมีผีบินได้ ข้าเคยเห็นกับตามาแล้วแน่นอน”

“เช่นนั้นท่านจะทำอะไร”

“เสี่ยวหยวนเป่า ข้ายังไม่ได้ยามา เจ้าอดทนไว้ก่อนนะ เมื่อครู่ข้าเห็นคนแปลกหน้าเพ่นพ่านตรงประตูเมือง ข้าถามคนเฝ้าประตู คนเฝ้าประตูบอกว่าพวกเขามาถึงตั้งแต่เมื่อวาน ดังนั้นเจ้าก็ออกมาได้แล้ว”

เสี่ยวหยวนเป่าดีใจอย่างมาก

หลินฟางโจวพูดต่อ “แต่เจ้าอย่าเพิ่งรีบไปเลย สวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อน ให้เสื้อผ้าสกปรกนิดหน่อย หลังจากนั้นเจ้าก็แอบออกไปทางประตูด้านหลัง พยายามหลบคนให้มากที่สุด หลังจากออกไปแล้วก็เดินไปตามถนน ไปทางตะวันตก ไปยังเพิงขายของที่มีป้าอ้วนคนหนึ่งเป็นเจ้าของ ที่นั่นเปิดค่อนข้างเช้า ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นั่น เจ้าก็ทำตามที่พวกเราคุยกันไว้เมื่อวาน จำได้หมดแล้วใช่หรือไม่”

“อืม”

 

ที่เพิงขายของตอนเช้ามีคนมาก พ่อลูกคนขายเนื้อแซ่เฉินก็อยู่ หลายวันนี้คนขายเนื้อแซ่เฉินไม่ได้ชำแหละหมูชำแหละแกะเพราะเขาวุ่นอยู่กับการชำแหละเสือแค่ตัวเดียว วันนี้เมื่อไม่ต้องขายเนื้อเขาจึงว่างมาก

เฉินเสี่ยวซานนั่งอยู่ข้างบิดา เขากินเสียจนปากมันวาว เมื่อเห็นหลินฟางโจวก็ลืม ‘ความโกรธที่ถูกแย่งไป๋ถังเกา’ ไปเรียบร้อยแล้ว เขาจึงเอ่ยเรียกนาง “พี่หลิน นั่งตรงนี้”

คนขายเนื้อแซ่เฉินได้ยินเช่นนี้ก็ใช้ฝ่ามือโบกไปที่ศีรษะของบุตรชายครั้งหนึ่งพลางเอ่ยด้วยความโมโห “เขาเรียกข้าว่าพี่ เจ้าเรียกเขาว่าพี่ นี่มันลำดับอาวุโสอะไรกัน!”

คนที่อยู่รอบๆ หัวเราะออกมาด้วยความตลกขบขัน

หลังจากที่หลินฟางโจวนั่งลงก็เอ่ยถาม “ทำไมวันนี้พี่สะใภ้ไม่ทำอาหารให้พวกท่านเล่า”

“เมื่อวานนาง…เอ่อ…ไม่ค่อยสบาย เช้าวันนี้ยังไม่ตื่นเลย อีกสักพักข้าก็ต้องนำอาหารกลับไปให้นาง”

หลินฟางโจวรู้ว่าเพราะอะไรภรรยาคนขายเนื้อจึง ‘ไม่สบาย’ เป็นไปได้อย่างมากที่อีกฝ่ายจะตกใจมากจากเรื่องที่ถูกกักตัวในที่ว่าการ นางจึงได้เอ่ย “ข้าว่าคงไม่ใช่โรคร้ายแรงอะไร พักผ่อนสักหน่อยก็ดีขึ้นแล้ว ท่านก็อย่าเป็นกังวลเลย”

“อืม”

หลินฟางโจวสั่งปาท่องโก๋สองตัว โจ๊กหนึ่งชาม และบอกกับป้าอ้วนคนนั้นว่า “ข้าไม่มีเศษเหรียญ อีกสักครู่จะไปที่ร้านแลกเงิน แล้วค่อยมาจ่ายให้ท่าน”

ป้าอ้วนเอาแต่ยิ้มกว้าง “รีบอะไรกันเล่า ต้าหลางกินให้อิ่มเสียก่อนเถอะ!”

คนขายเนื้อแซ่เฉินเอ่ย “ไม่ต้องยุ่งยากถึงเพียงนั้นหรอก ค่าอาหารของน้องหลินก็คิดรวมกับบัญชีข้าเลย”

หลินฟางโจวเอ่ย “เช่นนั้นก็ไม่เกรงใจแล้ว”

“ต่อจากนี้เจ้าถือเป็นพี่น้องคนสนิทของข้า เจ้าก็อย่าได้เห็นข้าเป็นคนอื่นเลย อีกอย่าง ปริมาณอาหารที่เจ้ากินก็เท่ากับตั๊กแตนเท่านั้น จะต้องใช้เงินเพิ่มอีกสักเท่าใดกันเชียว”

“เช่นนั้นก็ต้องขอบคุณพี่เฉินมากๆ เลย”

“ข้าบอกแล้วว่าอย่าเห็นข้าเป็นคนอื่น!”

“ได้ๆ ได้เลย”

ยามที่หลินฟางโจวกินอาหารเช้าไปด้วย พูดคุยหัวเราะกับคนรอบข้างไปด้วยนั้น จู่ๆ ก็มีขอทานตัวน้อยคนหนึ่งเดินอยู่ไม่ไกล

ขอทานตัวน้อยคนนั้นสวมเสื้อผ้าเก่าขาดราวกับถูกหนูพันตัวแทะไปทั้งร่าง ในมือถือชามสกปรกที่ไม่มีฝาปิด สีหน้าซีดเซียว แววตาดูไร้ชีวิตชีวายิ่ง เด็กน้อยคนนั้นไม่พูดไม่จา เพียงแค่ถือชามยื่นไปรอให้คนอื่นให้ทาน

หลินฟางโจวชี้ไปที่ขอทานตัวน้อยคนนั้นพลางพูดกับคนขายเนื้อแซ่เฉิน “ท่านดูสิ ขอทานคนนั้นคงเพิ่งขอทานมาได้ไม่นาน”

“เจ้าแน่ใจได้อย่างไร”

“คนที่ขอทานมานานแล้ว เพื่อของกินใส่ปากเขาจะต้องตะโกนวุ่นวาย ทำให้บรรพบุรุษเขารับรู้แน่ ผู้อื่นจะได้ยอมมอบของให้ ทว่าขอทานคนนั้นกลับเหมือนเป็นคนใบ้ ทั้งยามที่มาขอทาน สีหน้าของเขาก็ยังดูหวั่นเกรงอยู่เลย”

“น้องหลินฉลาดจริง” คนขายเนื้อแซ่เฉินเอ่ยชม

ขอทานตัวน้อยมองมายังพวกเขาที่กำลังมองตนเองอยู่ จากนั้นก็เดินมุ่งตรงมาทางโต๊ะของหลินฟางโจวทางด้านนี้ ทั้งยังมองปาท่องโก๋ในจานของนางอย่างเหม่อลอย

หลินฟางโจวเอ่ยขึ้น “ช่างเถอะ เมื่อวานข้ารวยแล้ว วันนี้ก็จะทำความดีสักหน่อย เจ้าของร้าน เอาโจ๊กมาให้เขาชามหนึ่ง”

“ได้เลย! เอาปาท่องโก๋ด้วยหรือไม่”

หลินฟางโจวครุ่นคิด เสี่ยวหยวนเป่าเป็นไข้อยู่ ให้กินของมันเลี่ยนคงไม่ดี ด้วยเหตุนี้นางจึงพูดออกไป “กินปาท่องโก๋อะไรเล่า ของหนึ่งชิ้นสองอีแปะ เขาก็จะกินคู่? เอาชุยปิ่งสักชิ้นให้เขาแล้วกัน”

‘ขอทานน้อย’ ก้มหน้าพลางเอ่ยขอบคุณอย่างจริงจัง ตอนที่เงยหน้าขึ้นมาก็เห็นหลินฟางโจวกำลังขยิบตามาทางเขาพอดี

เขากลั้นยิ้ม รอจนป้าอ้วนยกชุยปิ่งและโจ๊กมาวางตรงหน้าแล้วเขาก็เงยหน้าขึ้นมองพลางถามนางเสียงเบา “ข้านั่งกินตรงนี้ได้หรือไม่”

“นั่งสิๆ เด็กคนนี้เป็นเด็กดีเสียจริง ยังมาถามข้าอีก กลัวว่าข้าจะรังเกียจที่เจ้ามอมแมมสินะ เจ้านั่งเถอะ ไม่เป็นไร ประเดี๋ยวข้าค่อยเช็ด”

ขอทานน้อยนั่งลงแล้วกินอาหาร เขากินช้าๆ โดยไม่เร่งรีบ

คนขายเนื้อแซ่เฉินมองเขาอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถาม “เด็กน้อย ข้ามองท่าทางการพูดจาของเจ้าแล้วล้วนไม่เหมือนกับขอทานเลย เจ้ามีความลับอะไรหรือไม่”

คนที่อยู่รอบๆ ล้วนเกิดความสงสัยเช่นเดียวกัน ต่างก็หูผึ่งเพื่อฟังความลับของเขา ทว่าพวกเขากลับได้ยินขอทานน้อยเอ่ยตอบเพียงว่า “เดิมทีข้าเป็นคนเติงโจว ฐานะครอบครัวไม่อาจพูดได้ว่าร่ำรวย แต่ก็ถือว่าพอมีกินมีใช้ ข้าจึงเคยได้เล่าเรียนหนังสืออยู่หลายปี แต่เพราะท่านพ่อต้องคดี ถูกทรมานอยู่ในคุกจนทนไม่ไหวจากไปก่อนแล้ว ส่วนท่านแม่ข้าก็ฆ่าตัวตายด้วยการแขวนคอ เพียงชั่วข้ามคืนข้าก็กลายเป็นคนขาดพ่อไร้แม่ ข้าจนตรอกยิ่งนัก จึงทำได้เพียงแค่ขอทานเพื่อประทังชีวิต เดินไปพลางขอข้าวไปพลาง เดินมาได้สองเดือนแล้ว จึงมาถึงสถานที่พรั่งพร้อมและมั่งคั่งแห่งนี้ ข้าเคยได้ยินว่าคนหย่งโจวใจดี วันนี้ได้เห็นกับตาก็เป็นตามนั้นจริงๆ ข้าจำไม่ได้แล้วว่าครั้งล่าสุดที่กินอิ่มคือเมื่อใด”

ป้าอ้วนฟังแล้วก็เช็ดน้ำตา คนรอบๆ ต่างก็ทอดถอนใจ

คนขายเนื้อแซ่เฉินกล่าว “เจ้ามาจากเติงโจวหรือ น้องหลินของข้าผู้นี้เดิมทีก็เป็นคนเติงโจว”

ขอทานน้อยเอ่ย “พี่ชายผู้นี้ก็แซ่หลินหรือ บังเอิญเสียจริง ข้าเองก็แซ่หลิน ข้าชื่อหลินฟางซือ ชื่อเล่นของข้าคือหยวนเป่า”

“หลินฟางซือ หลินฟางโจว…” คนขายเนื้อแซ่เฉินพูดสองชื่อนี้ซ้ำไปรอบหนึ่ง รู้สึกว่ามีเรื่องแปลกจึงเอ่ยขึ้นมา “พวกเจ้าต่างก็แซ่หลินและยังต่อด้วยอักษรฟาง จะเป็นไปได้หรือไม่ที่เป็นคนจากสกุลเดียวกัน”

หลินฟางโจวเกาท้ายทอยแล้วเอ่ยตอบ “ตอนที่ข้าออกมาจากเติงโจวเพิ่งอายุสองขวบ ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าใครสกุลเดียวกันบ้าง”

“ยังจำลำดับญาติได้หรือไม่”

“จำได้เพียงเล็กน้อย”

เสี่ยวหยวนเป่าพูด “ท่านพ่อแซ่หลินนามซิ่นชิง ท่านปู่แซ่หลินนามเยวี่ยถาน ท่านทวดแซ่หลินนามหมิงเฉา…”

จู่ๆ หลินฟางโจวก็พูดชื่อออกมา “หลินหมิงเฉา!”

คนขายเนื้อแซ่เฉินกลับมามีท่าทีกระตือรือร้น “มีอะไรหรือ”

“ในลำดับญาติข้ามีชื่อนี้จริงๆ” หลินฟางโจวเอ่ย

ปัง! คนขายเนื้อแซ่เฉินตื่นเต้นเสียจนตบโต๊ะ “ฮ่าๆๆ ช่างบังเอิญจริง! เขาเป็นคนในตระกูลเจ้าจริงเสียด้วย พวกเจ้าสองพี่น้องช่างมีวาสนาต่อกัน เหตุใดถึงพอเหมาะพอเจาะเสียจริง ไม่ช้าไปไม่เร็วไป จะต้องได้พบเจอเช่นนี้ ฮ่าๆๆ ข้าดีใจมากเลยจริงๆ!”

หลินฟางโจวที่ราวกับขี่หลังเสือแล้วลงจากหลังเสือยากจึงรีบชี้แจง “ก็แค่ญาติห่างๆ น่ะ”

คนขายเนื้อแซ่เฉินพูดต่อ “ญาติห่างๆ ก็คือญาติ! มา เด็กน้อย ข้าจะบอกเจ้าให้นะ น้องหลินของข้าผู้นี้ใจอ่อนที่สุด เจ้าลองขอร้องเขาสิ ขอร้องให้เขารับเลี้ยงเจ้า ย่อมดีกว่าไปเร่ร่อนขอทานแน่ ไม่รู้ว่าวันไหนเจ้าจะต้องหิวตายอยู่ตามทางรกร้างจนกลายเป็นอาหารของสุนัขเร่ร่อน!”

เสี่ยวหยวนเป่ารีบคุกเข่าโขกศีรษะให้แก่หลินฟางโจว “พี่ฟางโจว อย่างไรก็ช่วยชีวิตข้าด้วยเถอะ!”

ป้าอ้วนซับน้ำตาพลางเดินมาพูด “ต้าหลาง เช่นนั้นเจ้าก็รับเลี้ยงเขาไปสิ ช่างเป็นเด็กที่น่าสงสารยิ่งนัก ทั้งยังฉลาดด้วย หากเจ้ารับเขาไว้ ค่าอาหารมื้อนี้ข้าจะไม่คิดเงินเจ้าเลย”

ลูกค้ารอบๆ ก็ค่อยๆ พากันเอ่ยขอร้องหลินฟางโจวไปด้วย

ด้วยการผลักดันของพวกเขา หลินฟางโจวจึง ‘รับเลี้ยง’ ขอทานที่ชื่อเสี่ยวหยวนเป่าผู้นี้ไว้

นางพาเสี่ยวหยวนเป่าออกมา เมื่อเดินไปถึงที่ปลอดคน ทั้งสองก็ยิ้มให้กัน

หลินฟางโจวพูดขึ้นมาในที่สุด “เจ้าแสดงได้ไม่เลวเลย”

เสี่ยวหยวนเป่าอมยิ้มพูด “ท่านก็เช่นกัน”

 

ตอนที่กลับมาถึงบ้านหลินฟางโจวเอาแต่ยืนอยู่ตรงประตู นางทำท่าทางลังเลไม่ยอมเดินเข้าไปเสียที

เสี่ยวหยวนเป่าทนไม่ไหวจึงเอ่ยถามขึ้น “มีอะไรหรือ”

“มีผี” หลินฟางโจวตอบเสียงสั่น

“เหตุใดท่านถึงได้แน่ใจว่ามีผีเช่นนี้”

“ข้าเห็นกับตาตัวเองเลย”

“ที่ไหน”

“อยู่ที่…” หลินฟางโจวทบทวนความจำของตนเองอยู่ครู่หนึ่ง “อยู่ในหม้อ บินออกมาจากหม้อในห้องครัว!”

“…” เสี่ยวหยวนเป่าไม่ได้พูดอะไร เขายืนพิงผนังพร้อมกับหัวเราะออกมา แสงแดดยามเช้าอันอ่อนโยนส่องลงมายังรูปหน้างดงาม ฟันสีขาว และดวงตายิ้มของเขา ทั้งที่เขายังดูป่วยอยู่ แต่แววตาไม่ได้เลื่อนลอยเช่นก่อนหน้านี้อีกแล้ว ยามนี้เขากลับเปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวาและความสดใส

เสี่ยวหยวนเป่ายังคงหัวเราะ เขามองมาที่นางพลางเอ่ย “นั่นไม่ใช่ผี เป็นนกเค้าแมวน่ะ”

พูดแล้วเขาก็อธิบายเรื่องราวไปหนึ่งรอบ

หลินฟางโจวได้ฟังแล้วก็โมโหจนกระทืบเท้า มือทั้งสองข้างของนางกำรอบคอเขาพลางยกเข้าไปในบ้าน เดินไปด้วยพูดด้วยความเดือดดาลไปด้วย “เจ้ามันเด็กน่าเกลียด ยังกล้ามาล้อข้าเล่น วันนี้ข้าจะให้เจ้ากินนกเค้าแมวไม่ก็ตุ๋นหนูกิน!”

“นกเค้าแมวบินหนีไปแล้ว”

“ข้าไม่กลัว ยังมีหนูอีก”

“ข้ากินหนูเสร็จแล้วก็นอนอยู่ข้างท่านนะ”

“…”

“ตอนกลางคืนยามที่ท่านนอนก็จะฝันเห็นหนูนอนอยู่ข้างตัวด้วย” น้ำเสียงของเสี่ยวหยวนเป่าแสร้งจริงจัง

“ข้าไม่ควรรับเจ้ามาเลี้ยงเลย! ไสหัวกลับไปขอทานเถอะ!”

“ช้าไปแล้วกระมัง”

หลินฟางโจวให้เสี่ยวหยวนเป่าไปนอนพักที่เตียงก่อน ส่วนนางออกไปข้างนอกเพื่อให้หมอหวงจัดยาให้

หมอหวงอารมณ์ค่อนข้างดี เพราะพานเหรินเฟิ่งนำทุกส่วนของเสือตัวนั้นออกมาขาย บอกว่าเงินที่ขายได้จะนำไปซ่อมแซมกำแพงเมือง แต่หมอหวงซื้อกระดูกเสือไม่ไหว พออยากจะซื้อกระเพาะเสือ หมออีกคนก็อยากซื้อกระเพาะเสือ ทั้งยังให้ราคาพอๆ กับเขา เป็นเพราะพานเหรินเฟิ่งสงสารที่เขาเป็นใบ้ ดังนั้นจึงตัดสินใจขายกระเพาะเสือให้แก่เขา

ตอนที่หลินฟางโจวมาถึงก็เห็นเขากำลังนำกระเพาะเสือที่ล้างสะอาดแล้วมาตัดเป็นชิ้นๆ จากนั้นก็วางตากภายใต้แสงแดด

หลินฟางโจวเอ่ยปาก “หมอหวง เอายามาชุดหนึ่ง”

หมอหวงถามว่านางเป็นอะไรด้วยการยกไม้ยกมือ

“ข้าไม่เป็นไร เด็กน้อยที่บ้านข้าอาบน้ำเย็นแล้วเป็นไข้”

หมอหวงเข้าใจแล้ว หลังล้างมือเสร็จก็จัดยาให้กับหลินฟางโจว

หลินฟางโจวมองไปรอบๆ แล้วเอ่ยถามหมอหวงเสียงเบา “เรื่องที่บ้านข้ามีเด็กน้อยอยู่คนหนึ่ง…ท่านไม่เคยบอกกับผู้อื่นใช่หรือไม่”

หมอหวงมองค้อนนาง หลังจากนั้นก็ชี้ไปที่ปากของตนเอง ความหมายคือ ข้าเป็นใบ้ ข้าจะพูดกับใครได้

หลินฟางโจวพยักหน้า “อืม หลังจากนี้ก็อย่าไปพูดกับใครว่าท่านเคยเจอเขามาก่อนแล้วกัน ข้าก็ไม่อยากพูดให้ท่านตกใจหรอกนะ แต่หากเรื่องนี้รั่วไหลออกไปเพียงเล็กน้อย ไม่ต้องพูดถึงท่านหรอก ชีวิตลูกเมียท่านต่างก็ต้องเจอภัยตามไปด้วย พวกเราไม่มีใครสักคนที่จะหนีพ้น”

เมื่อหมอหวงได้ยินแล้วสีหน้าก็พลันเปลี่ยน หลังจากจัดยาให้กับหลินฟางโจวเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่ยอมรับเงินของนาง

หลินฟางโจวเอ่ยด้วยความโมโห “ข้าบอกเรื่องนั้นกับท่านไม่ใช่เพื่อมารีดไถท่านนะ”

หลังจากนั้นหลินฟางโจวก็ไม่รอให้หมอหวงได้ปฏิเสธ นางตัดสินใจโยนเงินแล้วเดินออกมาเลย

 

เพื่อจะต้มยาให้เสี่ยวหยวนเป่า หลินฟางโจวจึงผ่าฟืนอยู่ด้านนอก ทว่านางใช้เวลานานแล้วไฟก็ยังไม่ติด ฝีมือนางในยามนี้ตกไปเล็กน้อย ทำได้เพียงให้ควันหนาล่องลอยราวกับปีศาจกำลังบำเพ็ญเพียรอย่างไรอย่างนั้น

เสี่ยวหยวนเป่าไม่อาจทนนอนอยู่ในบ้านได้อีกต่อไป เขาวิ่งออกมานั่งลงข้างๆ หลินฟางโจวและมองการต้มยาอันน่ากลัวนั้น เขาลังเลอยู่เล็กน้อยก่อนเอ่ย “ข้าคิดว่าข้าดีขึ้นบ้างแล้ว ไม่จำเป็นต้องกินยาหรอก”

หลินฟางโจวมือข้างหนึ่งถือพัดใบลานผุพังพลางพัดไปด้วย ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็ยื่นไปแตะที่หน้าผากเสี่ยวหยวนเป่า เมื่อแตะหน้าผากเขาก็พบว่ายังร้อนอยู่ นางจึงเอ่ย “ข้าเสียเงินไปแล้ว ต่อให้เป็นสารหนูเจ้าก็ต้องกลืนมันลงไปเพื่อข้า”

“อืม”

ขณะที่นั่งอยู่ข้างนอกหลินฟางโจวก็มองบ้านตนเอง ผนังที่ทรุดโทรม หลังคาที่มีรูรั่ว ใยแมงมุมห้อยตามขอบหน้าต่าง ผ้าม่านขาดๆ…นางจึงพูดกับเสี่ยวหยวนเป่าว่า “รอให้ถึงพรุ่งนี้ข้าจะไปหาคนมาซ่อมแซมบ้านหลังนี้สักหน่อย หลังจากนั้นค่อยสร้างห้องเพิ่มอีกห้องหนึ่ง เช่นนั้นก็จะไม่ต้องนอนเบียดกันสองคนบนเตียงหลังเดียวแล้ว”

เสี่ยวหยวนเป่ารีบพูด “ข้าไม่รังเกียจที่ท่านนอนกรนและละเมอเลย”

หลินฟางโจวกลอกตามองบนก่อนเอ่ย “ข้า! รังเกียจ! เจ้า!”

แม้เสี่ยวหยวนเป่าจะไม่นอนกรนและไม่ละเมอ แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเด็กชายคนหนึ่ง หากหลินฟางโจวที่เป็น ‘สตรี’ นอนอยู่ข้างกายเขาตลอด อาจถูกเขารู้เข้าสักวันหนึ่งก็เป็นได้ นางมักเป็นกังวลว่าความลับของตนเองจะถูกเปิดเผย หลังจากนั้นอาจถูกไล่ให้ไปปลูกแตงโมที่ดินแดนตะวันตก

ตอนที่กังวลใจอยู่นั้นก็มีชายหนุ่มสวมหมวกฟางคนหนึ่งยกหาบเร่เดินผ่านมา เขาเดินไปด้วยตะโกนไปด้วย “แตงโม! แตงโมขอรับ!…เนื้อฉ่ำน้ำ หวานเหมือนน้ำผึ้ง แตงโมลูกใหญ่เพาะปลูกที่ดินแดนตะวันตกเชียวนะ ต้าหลาง เจ้าจะซื้อแตงโมสักลูกไปกินแก้กระหายหน่อยหรือไม่”

“ไม่ซื้อ!”

“ไม่ซื้อก็ไม่ซื้อสิ ต้าหลางจะโมโหอะไรเสียมากมาย” ชายหนุ่มสวมหมวกฟางรู้สึกน้อยใจอยู่บ้าง

เสี่ยวหยวนเป่าถามหลินฟางโจวเบาๆ “เป็นแตงโมที่มาจากดินแดนตะวันตกจริงหรือ”

หลินฟางโจวเอ่ยอย่างสบประมาทเล็กน้อย “หากเป็นแตงโมจากดินแดนตะวันตกจริงๆ ขนส่งมาถึงที่นี่จะไม่เน่าเสียไปก่อนหรือ เกรงว่าแตงโมนั่นคงกินไม่ได้ไปนานแล้ว”

“อาจไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้ เพราะแตงโมสามารถใช้น้ำแข็งแช่เอาไว้ได้ ม้าเร็วก็ช่วยเพิ่มความเร็วในการขนส่ง ข้าจำได้ว่าองุ่นจากดินแดนตะวันตกก็ล้วนขนส่งมาเช่นนี้ทั้งสิ้น”

หลินฟางโจวมองเขาด้วยสายตาแทบไม่อยากเชื่อเป็นอย่างยิ่ง “เจ้าเป็นไข้จนสมองมีปัญหาไปแล้วกระมัง น้ำแข็ง? ม้าเร็ว? พวกนี้ต้องใช้เงินสักเท่าไรกัน รอจนแตงโมนั่นขนส่งมาถึงที่นี่จริง แล้วจะหาบเร่ขายแค่หนึ่งจินหนึ่งอีแปะได้หรือ คาดว่าหนึ่งจินหนึ่งตำลึงต่อลูกยังไม่พอเลย ข้าสิถึงจะกินแตงโมเช่นนั้นได้ ครอบครัวคนทั่วไปกินหนึ่งคำ ปากคงมีตุ่มใสขึ้นกันหมดแล้ว!”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” เสี่ยวหยวนเป่าโดนนางพูดใส่เช่นนี้กลับไม่มีอาการหัวเสียแต่อย่างใด เขาพยักหน้าพลางเอ่ย “ชีวิตคนล้วนต้องเรียนรู้”

ท่าทางของเขาเหมือนกับพวกคุณชายที่โอ้อวดความรู้ตามสำนักศึกษายิ่งนัก เห็นแล้วหลินฟางโจวยังต้องส่ายหน้า

เสี่ยวหยวนเป่าถามอีกครั้ง “หนึ่งตำลึงเท่ากับกี่อีแปะหรือ”

หลินฟางโจวคิดว่าที่ตนเองคิดว่าเสี่ยวหยวนเป่าโอ้อวดความรู้คงจะยกย่องเขาเกินจริงไปสักหน่อย เขาเหมือนกับพวกคนโง่ยิ่งกว่า

เมื่อยาต้มเสร็จแล้ว สีก็ดำเข้มไปทั้งชาม เห็นแล้วน่าคลื่นเหียนไม่น้อย หลินฟางโจวบังคับให้เสี่ยวหยวนเป่าดื่มลงไป

รอกระทั่งเขาดื่มหมดแล้วนางจึงเอ่ยถาม “ดื่มยาแล้วรู้สึกไม่ดีบ้างหรือไม่”

“ข้าไม่เคยดื่มยาที่ขมเช่นนี้มาก่อนเลย”

“เช่นนั้นหลังจากนี้ก็อย่าป่วยอีก”

“อืม”

หลินฟางโจวนำขนมที่เอากลับบ้านมาเมื่อคืนออกมาจากในบ้าน นางประคองไว้ในมือทั้งสองข้างก่อนจะยื่นให้เสี่ยวหยวนเป่า “ขนมพวกนี้มีรสหวานทั้งหมด สามารถล้างความขมของยาได้”

ผิวนอกเป็นแป้งเนื้อขาว ข้างในเป็นไส้หลากหลายชนิด ใช้แม่พิมพ์ทำออกมาแล้วทาด้วยสี รูปร่างมีทั้งเสือ กระต่าย และยังมีสาวงามตัวน้อย ทว่าเสือไม่มีหาง กระต่ายก็ไม่มีหูแล้ว มีเพียงแค่สาวงามตัวน้อยที่อยู่ในสภาพครบถ้วน

ดังนั้นเสี่ยวหยวนเป่าจึงเลือกสาวงามมากิน

หลินฟางโจวพูดกลั้วหัวเราะ “อายุยังน้อยก็เจาะจงเลือกสาวงามแล้ว ถ้าโตไปต้องเป็นพวกบ้ากามแน่”

เสี่ยวหยวนเป่าได้ยินหลินฟางโจวพูดเช่นนั้นก็หน้าแดง และไม่รู้ว่าควรจะโต้แย้งกลับไปอย่างไร

ขณะเดียวกันเฉินเสี่ยวซานก็กอดห่อผ้าห่อหนึ่งเดินเข้ามา เขาเดินพร้อมกับตะโกนเรียกหลินฟางโจวไปพลาง “พี่หลิน!”

“เจ้าอย่าเรียกข้าว่าพี่หลินเลย หากยังเรียกอีก พ่อเจ้าคงถือมีดหั่นเนื้อตรงไปหาเจ้าแน่”

เฉินเสี่ยวซานทำได้เพียงเรียกนางว่า “อาหลิน”

หลินฟางโจวพยักหน้ารับแล้วชี้ไปที่เสี่ยวหยวนเป่าซึ่งอยู่ข้างกายพร้อมกับพูด “ข้าคืออาหลินของเจ้า แล้วจากนี้เขาก็คืออาหลินคนเล็กของเจ้า”

“เขาดูเด็กกว่าข้าด้วยซ้ำ!”

“แต่ลำดับญาติโตกว่าเจ้าแล้วกัน”

เฉินเสี่ยวซานจำต้องฝืนใจเรียกคราหนึ่ง เสี่ยวหยวนเป่านั่งตัวตรงวางมาดเป็นผู้ใหญ่กว่า เขาพยักหน้ารับอย่างเคร่งขรึม หลังจากนั้นเขาก็นำขนมที่อยู่ในมือของหลินฟางโจวมาแบ่งเป็นชิ้นแล้วยื่นให้เฉินเสี่ยวซาน

หลินฟางโจวรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

เสี่ยวหยวนเป่าอธิบาย “คนที่อายุมากกว่าต้องให้ของขวัญสำหรับการพบกันครั้งแรกแก่คนที่อ่อนเยาว์กว่า”

เฉินเสี่ยวซานได้รับขนมแล้วก็ดีใจอย่างมาก เขาเอาห่อผ้าสอดไปที่อ้อมแขนของหลินฟางโจวแล้วพูด “ท่านแม่ข้าได้ยินว่าท่านรับเด็กกลับมาเลี้ยงคนหนึ่ง เขาอายุรุ่นราวคราวเดียวกับข้า ท่านแม่จึงเลือกเสื้อผ้าของข้ามาหลายชุด ให้ข้านำมามอบให้ นางให้ข้าบอกกับท่านว่าไม่ต้องเกรงใจ”

“พี่สะใภ้ช่างมีความตั้งใจจริง” หลินฟางโจวรู้สึกซาบซึ้งใจ “ท่านแม่เจ้าสุขภาพดีขึ้นแล้วหรือ”

“ดีขึ้นมากแล้ว”

“อืม พรุ่งนี้ข้าจะไปหาท่านพ่อกับท่านแม่เจ้า”

หลังจากเฉินเสี่ยวซานกลับไปแล้ว เสี่ยวหยวนเป่าก็พูดกับหลินฟางโจว “ข้าคิดว่าสุขภาพข้าก็ดีขึ้นแล้ว”

“ไม่ต้องรีบๆ ยังมียาที่ยังกินไม่หมด ข้าจ่ายเงินซื้อมาแล้ว”

“ไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น ข้าหมายถึงตอนนี้สุขภาพข้าดีกว่าแต่ก่อนตอนที่ข้ายังอยู่บ้านแล้ว เมื่อก่อนตอนที่ข้าป่วย แต่ไหนแต่ไรมาก็ล้วนกินอะไรไม่ลงทั้งสิ้น”

แล้วตอนนี้เล่า ตอนนี้กำลังกินขนมสาวงามตัวน้อยอยู่ กินอย่างเอร็ดอร่อยมากด้วย

หลินฟางโจวลอบสงสัยอยู่ลึกๆ คงเป็นเพราะสาวงามตัวน้อยนี้งดงาม เจ้าเด็กน่าเกลียดนี่เลยกินได้อร่อย

หึๆ ข้าเป็นคนใจกว้าง เช่นนั้นก็จะไม่เปิดโปงเขาแล้วกัน

 

ตอนบ่ายหลินฟางโจวอยากต้มน้ำร้อนไว้อาบน้ำ หม้อใบนั้นยังคงเลอะคราบเลือดอยู่ ทั้งยังมีหางหนูอีกหนึ่งเส้น นางขัดล้างหม้อไปสามรอบแล้วแต่ก็ยังได้กลิ่นจางๆ ของนกเค้าแมวและหนูอยู่ดี หากยังต้มน้ำอาบด้วยหม้อใบนี้ นางกลัวจริงๆ ว่าจะมีขนหนูลอยขึ้นมา

สุดท้ายนางก็ไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงไปที่บ้านช่างตีเหล็กแล้วซื้อหม้อมาอีกหนึ่งใบ ก่อนจะแบกกลับบ้านด้วยแรงทั้งหมดที่มี

ตอนที่กลับถึงบ้านก็เหน็ดเหนื่อยจนแทบจะกระอักเลือดแล้ว หลินฟางโจวพูดกับเสี่ยวหยวนเป่า “มารดามันสิ ชาติที่แล้วข้าต้องติดค้างอะไรเจ้าเอาไว้แน่ ชาตินี้เจ้าจึงมาทวงหนี้ข้าเช่นนี้”

นางรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดไปตักน้ำที่บ่อน้ำต่อ ตักน้ำเสร็จแล้วก็กลับมาต้มน้ำ ทั้งสองคนสลับกันอาบน้ำร้อนตามลำดับ จากนั้นจึงนั่งหันหน้าเข้าหากันและเช็ดผมอยู่มุมหนึ่ง เสี่ยวหยวนเป่ายังคงมีท่าทางเงอะงะ หลินฟางโจวเช็ดผมตนเองเสร็จเรียบร้อยแล้วยังต้องหันมาเช็ดให้เขาด้วย

เสี่ยวหยวนเป่าเพียงนั่งอยู่บนเตียง เขายอมให้นางเช็ดผมไปอย่างว่านอนสอนง่าย

หลินฟางโจวเช็ดผมพร้อมกับพูดไปด้วย “หลังจากนี้ให้เจ้าทำอะไรดีล่ะ เจ้าอายุเพียงเท่านี้ไม่อาจทำงานหนักได้ ทำได้เพียงแค่เข้าสำนักศึกษา ข้าไม่เพียงต้องเลี้ยงเจ้า ยังต้องส่งเสียเจ้าเรียนด้วยหรือ สิ้นเปลืองเป็นที่สุดเลย!”

“ท่านไม่อยากให้ข้าไปเรียน ข้าก็จะไม่ไปเรียน”

“ไม่ไปเรียนแล้วจะทำอะไรเล่า ไหล่ของเจ้าคงแบกของไม่ได้ มือก็คงยกของไม่ไหว”

“ท่านจะให้ข้าทำอะไร ข้าก็จะทำเช่นนั้น”

“ช่างเถอะๆ ตอนนี้พวกเรามีเงินแล้ว เจ้าก็ไปเรียนเถอะ รอจนใช้เงินหมดแล้วเจ้าก็ค่อยลาออกมา”

“อืม” เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง จู่ๆ เสี่ยวหยวนเป่าก็ถามขึ้นมา “ข้าไม่มีทะเบียนเรือนก็สามารถเข้าเรียนได้หรือ”

“มารดามันสิ เหตุใดจึงลืมเรื่องนี้ไปได้นะ…พรุ่งนี้ข้าจะไปลองถามดู ลองดูว่าจะสามารถให้เจ้าเข้ามาอยู่ในทะเบียนเรือนก่อนได้หรือไม่”

ตอนกลางคืนไข้ของเสี่ยวหยวนเป่าลดลงบ้างแล้ว หลินฟางโจวที่เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันจึงนอนหลับไปอย่างรวดเร็ว ทั้งยังหลับลึกเสียยิ่งกว่าเขา เด็กชายนอนอยู่ข้างกายนาง เขาอาศัยแสงจันทร์ที่ส่องลอดเข้ามามองใบหน้ายามหลับลึกของนาง

ในค่ำคืนอันเงียบสงบที่มีแสงจันทร์สลัวเล็กน้อย เขาเห็นเพียงใบหน้าเลือนรางนั้นและได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของนาง

อาจเป็นเพราะอาบน้ำมาแล้ว ร่างกายจึงสดชื่นและปลอดโปร่งมากขึ้น เสี่ยวหยวนเป่ากุมมือของนางเอาไว้และพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ชีวิตนี้เป็นข้าที่ติดค้างท่าน”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 8 ธ.ค. 62

หน้าที่แล้ว1 of 16

Comments

comments

No tags for this post.
sangdow Marcom: