บทที่ 6
หลินฟางโจวตกใจรีบร้อนไปเปิดประตู ก่อนจะเห็นว่าคนที่ยืนอยู่ด้านนอกนั้นคือหวังต้าเตา
วันนี้นางถูกพานเหรินเฟิ่งทำให้อับอายมาแล้วรอบหนึ่ง ตอนนี้เมื่อเจอกับคนในที่ว่าการอีกนางก็รู้สึกหวาดกลัวอยู่เล็กน้อยจึงเอ่ยถามออกไป “หัวหน้ามือปราบหวังยินดีเรื่องอะไรกัน ท่านอย่าหยอกล้อข้าเล่นเชียวนะ”
หวังต้าเตาตบบ่าหลินฟางโจวด้วยความดีใจ ฝ่ามือราวกับพลั่วเหล็กของเขานั้นออกแรงมากไปหน่อย เขาตบบ่านางหนักๆ ไปสามครั้งก่อนจะพูดพร้อมกับยิ้ม “นายอำเภอให้ข้ามาบอกเจ้าว่าพรุ่งนี้ให้ไปพบเขา”
“เหตุใดนายอำเภอจึงเรียกหาข้า หรือเพราะเรื่องเมื่อตอนกลางวัน นี่ถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดีอะไรเล่า”
“วางใจเถอะ นายอำเภอไม่ได้จะต่อว่าเจ้าหรอก พรุ่งนี้เจ้าเจอนายอำเภอก็จะรู้เหตุผลเอง ตอนนี้ข้าไม่สะดวกที่จะบอกเจ้า”
หลินฟางโจวครุ่นคิดวุ่นวายอยู่ในหัว “ท่านยังไม่บอกข้าว่าเป็นเรื่องอะไรก็จะมาแสดงความยินดีกับข้าแล้วหรือ”
“ย่อมเป็นเรื่องดีอยู่แล้ว”
คืนนี้หลินฟางโจวเอาแต่คิดถึงเรื่องที่จะไปพบพานเหรินเฟิ่งในวันพรุ่งนี้ ยามนอนก็นอนแทบไม่หลับ
เช้าวันถัดมา ก่อนเสี่ยวหยวนเป่าไปเรียนเขาก็เคาะประตูห้องของนางเบาๆ เพื่อปลุกให้นางตื่น
หลินฟางโจวพูด “เจ้าก็ไปกินอาหารเช้าที่ร้านป้าอ้วนนั่นแหละ บอกนางว่าหากข้ามีเวลาว่างจะไปจ่ายเงิน”
เสี่ยวหยวนเป่าพูด “วันนี้ท่านไม่ต้องไปซ่อมแซมกำแพงเมืองแล้ว”
“หากไม่ไปที่นั่น เจ้าจะให้ข้ากินลมตะวันตกเฉียงเหนือแทนข้าวหรือ!”
“ข้าคิดวิธีได้แล้ว สรุปคือท่านไม่ต้องไปที่นั่นอีก”
“เจ้าเด็กนี่รู้จักใส่ใจคนอื่นแล้วหรือนี่ ที่ข้าช่วยชีวิตเจ้าไว้นับว่าไม่สูญเปล่าแล้ว”
เสี่ยวหยวนเป่าเหมือนจะถูกนางพูดจนเกิดอาการเขินอายขึ้นมา หลังจากสะพายถุงเครื่องเขียนขึ้นหลังแล้วก็มุ่งหน้าเดินออกไป
หลังจากหลินฟางโจวลุกจากที่นอนก็มุ่งตรงไปยังที่ว่าการทันที ภายในโถงรับแขกนางดื่มชาไปด้วยและรอการมาถึงของพานเหรินเฟิ่งไปด้วย นอกจากสาวใช้จะยกชามาให้นางแล้ว ยังยกพวกขนมและผลไม้มาให้ด้วย หลินฟางโจวเองก็ไม่นึกเกรงใจ นางกินเสียจนอิ่มแปล้ ท่าทางตลกเสียจนสาวใช้ต้องยกมือขึ้นมาปิดปากเพื่อลอบหัวเราะ
หลินฟางโจวเอ่ยถาม “พี่สาวท่านนี้ ท่านหัวเราะอะไรหรือ”
“ใครเป็นพี่สาวของเจ้ากัน” สาวใช้พูดจบก็วางจานรองชาแล้วหันหลังเดินไป
หลินฟางโจวลูบจมูก นางรู้สึกฉงนเล็กน้อย
เมื่อพานเหรินเฟิ่งเดินเข้ามา หลินฟางโจวก็รีบลุกขึ้นคำนับเขา
“หลินฟางโจว เจ้ามาเร็วจริง”
หลินฟางโจวยิ้มประจบ “ใต้เท้าเรียกหา ข้าน้อยไม่กล้าเมินเฉยหรอกขอรับ”
พานเหรินเฟิ่งนั่งลงตรงกลาง พอเห็นผลไม้บนโต๊ะของหลินฟางโจวกระจัดกระจายเช่นนี้ เขาก็มองนางด้วยสายตาที่ดูแคลนอย่างมาก
หลินฟางโจวถามพานเหรินเฟิ่ง “ใต้เท้า วันนี้เรียกข้าน้อยมามีเรื่องอะไรหรือขอรับ”
“หลินฟางโจว วันนี้เจ้ายังคิดจะไปหลอกกินหลอกดื่มที่จุดซ่อมแซมกำแพงเมืองอีกหรือ”
“ใต้เท้าพูดจาน่าขันแล้ว เรื่องที่ใต้เท้าซ่อมแซมกำแพงเมืองถือเป็นคุณความดีที่ยิ่งใหญ่ ข้าน้อยย่อมรู้จักดีชั่วแยกแยะความสำคัญได้ ไม่กล้าไปหลอกกินหลอกดื่มอีก อีกทั้งเมื่อวานข้าน้อยก็ทำงานมาทั้งวันโดยไม่เกียจคร้านแม้แต่น้อย หากไม่เชื่อใต้เท้าโปรดดูนี่” หลินฟางโจวม้วนปลายแขนเสื้อขึ้น “ท่านดูสิ แขนข้าน้อยล้วนถูกชนจนช้ำไปหมดแล้ว เข่าก็เช่นเดียวกัน”
“นั่นยืนยันได้เพียงแค่ ‘เจ้าโง่’ ”
หลินฟางโจวแอบกลอกตามองบนอยู่เงียบๆ
พานเหรินเฟิ่งยังคงพูดต่อไป “ข้าเห็นรูปร่างเจ้าผอมบางเช่นนี้ ต่อให้ทำงานไม่หยุดก็ช่วยอะไรไม่ได้มากหรอก สิ้นเปลืองอาหารไปเปล่าๆ วันนี้เจ้าก็ไม่ต้องไปวุ่นวายที่นั่นแล้ว”
“ใต้เท้า…” หลินฟางโจวแทบจะร้องไห้อยู่รอมร่อ “ข้าน้อยต้องหาเลี้ยงครอบครัวจริงๆ นะใต้เท้า…”
พานเหรินเฟิ่งโบกมือเบาๆ ขัดหลินฟางโจวที่กำลังพูดพร้อมกับเอ่ยขึ้นมา “ข้าเข้าใจชัดเจนแล้ว เจ้ารับเลี้ยงน้องชายจากสกุลเดียวกันซึ่งไม่เคยพบหน้ามาก่อน ทั้งยังยอมส่งเขาไปเล่าเรียน การกระทำนี้ก็เห็นได้ว่าตัวเจ้าไม่ถือว่าเกินเยียวยาไปเสียทั้งหมด เจ้ามีจิตใจดี ข้าจึงมีทางออกอีกทางหนึ่งให้เจ้า ที่ว่าการนี้ยังขาดคนงานชั่วคราวคนหนึ่ง เพียงแค่ทำหน้าที่ส่งจดหมายวิ่งไปทำธุระ คอยส่งเรื่องจากในและนอก เหมาะกับลิงผอมไร้เรี่ยวแรงเช่นเจ้าพอดี เจ้ายินดี…”
“ยินดีๆ ข้าน้อยยินดีทำขอรับ!” หลินฟางโจวยิ้มกว้าง “ขอบคุณความช่วยเหลือของใต้เท้ามากเลย! ใต้เท้า ท่านถือเป็นบิดาคนที่สองของข้าน้อยโดยแท้!”
พานเหรินเฟิ่งยิ้มหยัน “หากข้ามีบุตรชายเช่นเจ้า คงโมโหจนลงโลงไปเสียตั้งนานแล้ว”
“แหะๆๆๆ ใต้เท้า…” หลินฟางโจวยิ้มแห้ง
รอยยิ้มของหลินฟางโจวค่อนข้างขัดตา พานเหรินเฟิ่งเห็นแล้วไม่ชอบเป็นอย่างยิ่ง เขาพลันเอ่ยอย่างเย็นชา “เจ้ายังต้องการอะไรอีก”
“ใต้เท้า ที่บ้านข้าน้อยขาดข้าวสารขาดฟืนแล้ว เด็กเรียนหนังสือไม่อาจอดข้าวได้ ท่านดูสิ จะเป็นไปได้หรือไม่หากข้าน้อยขอเบิกค่าแรงล่วงหน้ามาใช้สักหน่อย”
“เรื่องพวกนี้ไสหัวไปถามนายทะเบียนเถอะ คิดว่าข้าเป็นบิดาเจ้าจริงๆ หรือไร!”
พานเหรินเฟิ่งไม่อาจทนการตอแยของอีกฝ่ายได้อีกต่อไปแล้ว
หลินฟางโจวได้ยินเช่นนั้นดวงตาพลันเปล่งประกาย นางรีบกล่าวลาแล้ววิ่งไปหานายทะเบียน
ระหว่างทางหลินฟางโจวก็เจอกับหวังต้าเตาเข้าพอดี หวังต้าเตาประสานมือคำนับนาง “ต้าหลาง ยินดีด้วย!”
หลินฟางโจวยิ้มกว้างพร้อมกับเอ่ยตอบ “ขอบคุณหัวหน้ามือปราบหวัง รอข้าได้รับค่าแรงแล้ว ข้าจะเลี้ยงสุราท่าน!”
“ต้าหลาง เจ้าตั้งใจทำงานให้ดีเถอะ งานนี้ใต้เท้าช่วยเหลือเจ้าเป็นพิเศษ ค่าแรงเพียงพอที่จะเลี้ยงดูเจ้ากับน้องชายเจ้าแล้ว ทำงานก็ไม่เหนื่อย เจ้าทำงานในที่ว่าการนี้ไปสักหลายปีหน่อย รอจนมีตำแหน่งว่างที่พอเพิ่มชื่อคนเข้าไปได้ เจ้าก็สามารถเพิ่มชื่อเข้าไปได้แล้ว หลังจากนั้นยังสามารถส่งต่อหน้าที่นี้ให้กับบุตรชายได้ด้วย”
“นี่ใต้เท้าเป็นคนพูดเองหรือ”
“ใต้เท้าหมายความตามนี้แหละ เพียงแต่เจ้าอย่าได้ไปเล่นการพนันอีกเล่า”
หลินฟางโจวเอ่ยรับคำ “เข้าใจแล้วๆ ขอบคุณหัวหน้ามือปราบหวังมากที่เอ่ยเตือน”
คนได้พบเจอเรื่องน่ายินดีก็จิตใจเบิกบาน หลินฟางโจวทั้งหางานได้ทั้งเบิกค่าแรงได้ วันนี้นางเพิ่งพบว่าที่แท้การมีงานที่มั่นคงทำเป็นสิ่งสำคัญและล้ำค่าถึงเพียงนี้ เนื่องจากนับจากนี้นางไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลว่าท้องของตนเองและเสี่ยวหยวนเป่าจะต้องหิวอีกหรือไม่ ยามนี้นางจึงอารมณ์ดีเสียจนแทบจะบินได้แล้ว มีความสุขยิ่งกว่าชนะได้เงินหกสิบกว่าตำลึงในลานพนันเสียอีก
หลินฟางโจวเดินไปตามถนน ยามที่เห็นใครต่อใครนางก็จะคอยส่งยิ้มกว้างไปให้ โดยไม่คำนึงถึงว่าจะเป็นการส่งสายตายั่วยวนให้กับสาวน้อยสาวใหญ่ที่ยังไม่ได้แต่งงานหรือไม่ กระทั่งทำให้พวกนางหน้าแดงรีบเดินหนีไปด้วยความขัดเขินแล้ว นางก็ยังไม่รู้สึกตัวเลย
อาหารเย็นหลินฟางโจวซื้อหมั่นโถวไส้ผักจี้ไช่* และเนื้อหมักซีอิ๊วกลับมา ทั้งยังต้มข้าวหม้อเล็กอีกหนึ่งหม้อ แล้วนั่งรอให้เสี่ยวหยวนเป่ากลับมา
ตอนที่เสี่ยวหยวนเป่ากลับมาถึงบ้านเขามีใบหน้าแดงก่ำ เหงื่อก็ออกด้วย หลินฟางโจวจึงเอ่ยถาม “เจ้าเป็นอะไรหรือไม่”
“เปล่า ข้าแค่วิ่งกลับมา”
“รีบร้อนอะไรนักหนา เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเย็นนี้มีเนื้อให้กิน” พอหลินฟางโจวเปิดฝาชามออก กลิ่นหอมฉุยของเนื้อวัวตุ๋นก็ลอยมาให้เสี่ยวหยวนเป่าได้กลิ่น
เสี่ยวหยวนเป่ามองอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วเงยหน้าถามหลินฟางโจว “วันนี้ท่านไม่ได้ไปที่กำแพงเมืองมากระมัง”
“ไม่ได้ไป ข้ามีงานอื่นให้ทำแล้ว” หลินฟางโจวจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ในที่ว่าการให้เสี่ยวหยวนเป่าฟัง
เสี่ยวหยวนเป่าฟังแล้วก็พยักหน้าพร้อมกับเอ่ยชม “นายอำเภอคนนี้ถือว่าเป็นขุนนางที่ดีคนหนึ่ง”
หลินฟางโจวเห็นเขาเอามือไพล่หลังทำท่าทางเกินอายุเช่นนั้นก็นึกอยากตีเขา จึงเขกศีรษะเขาไปครั้งหนึ่งพลางเอ่ย “แสร้งทำท่าทางเป็นผู้ใหญ่อะไรกัน เจ้าคิดว่าตนเองเป็นฮ่องเต้อยู่หรือ”
เสี่ยวหยวนเป่าไม่ได้หงุดหงิดแต่อย่างใด เขาล้วงห่อกระดาษไขห่อหนึ่งออกมาจากถุงเครื่องเขียนแล้ววางลงบนมือของหลินฟางโจว “ให้ท่าน กินตอนที่ยังร้อนอยู่สิ”
หลินฟางโจวเปิดห่อกระดาษไขด้วยความสงสัย แล้วพูดขึ้นมาด้วยความตกใจ “เอ๊ะ? หวั่งโหยวเจวี้ยน?!”
การทำหวั่งโหยวเจวี้ยนนั้นไม่ยุ่งยากเลย ทว่าที่ยากก็คือมีวัตถุดิบที่ซับซ้อน จะต้องลอกพังผืดไขมันบนไส้หมูออกมา ข้างในห่อด้วยเนื้อแกะสุกคลุกกับเครื่องเทศให้เรียบร้อย ข้างนอกชุบด้วยไข่ไก่ที่ตีไว้ แล้วนำลงไปทอดในน้ำมันร้อนๆ จนกรอบกลายเป็นสีเหลืองทอง กรอบนอกนุ่มใน ทั้งหอมทั้งอร่อย รสชาตินั้น…กินหนึ่งคำดียิ่งกว่าได้เป็นเทพเซียน!
หลินฟางโจวหยิบหวั่งโหยวเจวี้ยนลูกหนึ่งใส่เข้าปากแล้วเคี้ยวอย่างช้าๆ พลางหลับตาลง นางลิ้มรสชาติความสุขของคนชั้นสูงอย่างพิถีพิถัน กินด้วยความเคลิบเคลิ้มเป็นอย่างมาก เสี่ยวหยวนเป่าเห็นสีหน้าของหลินฟางโจวแล้วก็รู้สึกขบขันเล็กน้อย เขาทนไม่ไหวจนถึงกับหลุดหัวเราะออกมา
หลินฟางโจวลืมตาขึ้นพลางเอ่ยถาม “เจ้าสิ่งนี้แพงยิ่งนัก เจ้าเอาเงินจากไหนไปซื้อมา”
“ข้าไม่ได้ซื้อ”
“แล้วผู้ใดซื้อ”
“ซื่อหลางจากสกุลหูเป็นผู้ซื้อมา”
สกุลหูเป็นตระกูลคหบดี ตอนหูซื่อหลางอยู่ที่บ้านนั้น อาจารย์ที่เคยมาสอนถึงบ้านล้วนถูกเขาทำให้โมโหจนลาออกไปกันหมด บิดาของเขาจึงจำต้องส่งเขาไปที่สำนักศึกษา
ความดื้อรั้นของหูซื่อหลางเป็นที่โด่งดังอย่างยิ่ง เรื่องนี้แม้แต่หลินฟางโจวก็เคยได้ยินมา นางจึงถามเสี่ยวหยวนเป่าด้วยความสงสัย “ทำไมหูซื่อหลางต้องซื้อหวั่งโหยวเจวี้ยนให้เจ้า เด็กนั่นร้ายกาจมาก เจ้าอย่าอยู่ใกล้กับเขานักเลย”
“ข้าช่วยเขาทำการบ้าน เขาเลยซื้อของให้ข้า นี่ถือเป็นการแลกเปลี่ยน”
หลินฟางโจวพลันรู้สึกขบขัน ความฉลาดของเจ้าช่างมีมากนัก คิดอยู่พักหนึ่งนางก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง “เจ้าทำการบ้านให้เขา เขาก็เลยซื้อของกินให้เจ้า?”
“ใช่แล้ว”
“เด็กโง่!” หลินฟางโจวตบโต๊ะ “ไม่เอาของที่กินได้สิ!”
“เช่นนั้นจะเอาอะไร”
“เงิน! เจ้ารับเงินดีกว่า ตั้งค่าตอบแทนให้ชัดเจนด้วย!”
“อืม” เสี่ยวหยวนเป่าราวกับตกอยู่ในห้วงความคิด
หลินฟางโจวลูบศีรษะน้อยๆ ของเขา “ตอนนี้ไม่ต้องคิดมากแล้ว ครั้งหน้าค่อยว่ากันใหม่ เด็กดี ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าไปเรียนเช่นนี้ไม่เสียเปล่าแน่ มา ลองชิมดูเถอะ” นางพูดพร้อมกับยื่นหวั่งโหยวเจวี้ยนลูกหนึ่งให้เขา
เสี่ยวหยวนเป่าส่ายหน้าพลางเอ่ย “ข้าเคยกินแล้ว ทั้งหมดนี้ให้ท่าน”
“โอ้อวดให้น้อยหน่อยเถอะ” นางพูดพร้อมกับยัดหวั่งโหยวเจวี้ยนเหลืองอร่ามลูกนั้นใส่ปากเขาทันที
วันต่อมาเสี่ยวหยวนเป่าก็เอาก้อนทองก้อนหนึ่งกลับมา ก้อนทองก้อนนั้นเป็นรูปดอกเหมย น่ารักเรียบง่าย ก้อนเล็กๆ เช่นนี้เกรงว่าจะหนักครึ่งตำลึง ได้ หลินฟางโจวจ้องจนตาโตแล้ว นางถามเสี่ยวหยวนเป่าเสียงเบา “นี่เจ้าเก็บมาได้หรือว่าขโมยมา”
“หูซื่อหลางให้มา”
“ทำไมเขาต้องให้ก้อนทองกับเจ้า”
“ข้าช่วยเขาทำการบ้าน”
หลินฟางโจวพูดไม่ออกอยู่นาน ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็ยังรู้สึกว่าตนเองไม่เข้าใจอยู่ดี “เจ้าช่วยเขาทำการบ้าน เขาก็เลยให้ก้อนทองกับเจ้า?”
“ในถุงเงินเขามีแค่ก้อนทอง”
“ดังนั้นก็เลยให้ก้อนทองกับเจ้า?”
“อืม”
หลินฟางโจวพูดกับตนเอง พลันเกิดความรู้สึกยินดีที่อธิบายไม่ได้ขึ้นมา “ที่แท้ก็ไม่ใช่แค่เด็กบ้านข้าที่โง่นี่”
นางเล่นกับก้อนทองเล็กๆ พร้อมพูดขึ้นมา “ข้าเก็บไว้ก่อนแล้วกัน ถ้าเขากลับมาขอคืนจากเจ้า เจ้าค่อยคืนให้เขา!”
เสี่ยวหยวนเป่าคัดค้าน “การบ้านก็ทำให้ไปแล้ว การแลกเปลี่ยนถือว่าเสร็จสิ้น ของสิ่งนี้ก็ไม่ควรส่งคืน”
หลินฟางโจวพลันนึกเสียใจขึ้นมาทันทีที่ตอนนั้นนางไม่ตั้งใจเรียนหนังสือให้ดี หากนางตั้งใจเรียนแล้ว นางต้องได้รู้จักคนโง่เขลาเช่นนี้อีกมากแน่
กิจการทำการบ้านแทนของเสี่ยวหยวนเป่ายิ่งทำก็ยิ่งใหญ่โตขึ้น หลินฟางโจวพบว่าเสี่ยวหยวนเป่ารับของตอบแทนจากการทำการบ้านให้ได้เรื่อยเปื่อยมาก ทองก็รับ เงินก็รับ อีแปะก็รับ ถึงขั้นมีอยู่ครั้งหนึ่งเขารับไข่ไก่สองฟองกลับมา บอกว่าเป็นเพราะอีกฝ่ายไม่มีเงินชั่วคราวจึงใช้ไข่ไก่สองฟองนี้มาติดค้างไว้ก่อน รอมีเงินแล้วค่อยมาแลกไข่ไก่กลับไป
หลินฟางโจวไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ลึกๆ ก็รู้สึกว่าเรื่องไม่ดีที่นางเคยทำนั้นได้ย้อนกลับมาลงที่ตัวเสี่ยวหยวนเป่าแล้ว แต่ก่อนนางมักจะทำตัวไร้สาระ ตอนที่นางไม่มีเงินจ่ายค่าอาหารก็มักจะลงบัญชีเอาไว้
วิธีทำการบ้านของเสี่ยวหยวนเป่าก็ยิ่งหลากหลายขึ้นเช่นเดียวกัน ตอนเริ่มแรกเพียงแค่ช่วยสหายในห้องคัดตัวอักษร ต่อมาก็กลายเป็นรับเขียนโคลงคู่หรือแต่งกลอนง่ายๆ แทน ถึงขั้นแอบทำภาษามือช่วยสหายในห้องตอบคำถามอาจารย์ในห้องเรียน…โชคดียิ่งนักที่เขาคิดวิธีหาเงินเช่นนี้ออกมาได้
เพียงแค่เรื่องทำการบ้านแทนนี้เสี่ยวหยวนเป่าก็สามารถหาเงินกลับมาได้ไม่น้อยเลยจริงๆ หลินฟางโจวนำเงินเหล่านั้นมาเก็บรวมไว้ในที่เดียวกัน หลังจากนั้นนางก็พบว่าในระยะเวลาอันรวดเร็ว เพียงแค่หนึ่งเดือนเสี่ยวหยวนเป่าก็สามารถหาเงินได้เท่ากับค่าแรงของนางหนึ่งปีแล้ว
นอกจากเสี่ยวหยวนเป่า จิ่ววั่นก็มักจะหารายได้มาให้กับครอบครัว กระต่ายที่จิ่ววั่นคาบกลับมานั้น ส่วนเนื้อจะถูกนางกับเสี่ยวหยวนเป่านำมาทำกิน ซึ่งช่วยประหยัดเงินค่าอาหารไปได้มาก ขณะที่หนังกระต่ายก็สามารถเอาไปตากแล้วเก็บเอาไว้ได้ พอถึงฤดูหนาวก็นำไปขายได้เงิน
ยอดเยี่ยม! หลินฟางโจวพลันรู้สึกภาคภูมิใจ ทั้งเด็กทั้งนกเค้าแมวล้วนแต่ยอดเยี่ยมทั้งสิ้น
เงินที่เสี่ยวหยวนเป่าหามาได้นั้น ไม่ว่าเป็นทอง เงิน หรืออีแปะล้วนมีถึงหนึ่งกำมือใหญ่แล้ว หลินฟางโจวพูดกับเสี่ยวหยวนเป่าด้วยความลิงโลด “เจ้าเป็นต้นเงินต้นทองต้นน้อยๆ ของข้าจริงๆ”
เสี่ยวหยวนเป่าเองก็มีความสุขมากเช่นกัน “พอให้ท่านเอาไปใช้เล่นที่ลานพนันได้นานหรือไม่”
ประโยคนี้ทำให้หลินฟางโจวรู้สึกประหลาดใจ นางจึงเอ่ยถาม “เจ้าอยากให้ข้าไปเล่นพนัน?”
“อืม” เสี่ยวหยวนเป่าพยักหน้ายืนยัน
“เพราะอะไรเล่า”
“เพราะท่านชอบเล่นพนัน”
หลินฟางโจวอดใจไม่ถามไม่ได้ “เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะแพ้พนันจนเสียเงินไปทั้งหมดหรือ”
“ทองพันตำลึงยากจะซื้อรอยยิ้ม แต่จ่ายเงินซื้อความสุขก็นับว่าคุ้มค่า” เสี่ยวหยวนเป่าพูดพร้อมกับรีบเสริม “ขอแค่แพ้พนันในครั้งนี้ท่านจะไม่ร้องไห้อีก”
หลินฟางโจวเกิดความรู้สึกทอดถอนใจ ทั้งยังซาบซึ้งใจเล็กๆ “เจ้าเป็นคนแรกที่ขอให้ข้าไปเล่นพนัน”
ปกติยามที่มีคนมาขอร้องให้นางเลิกเล่นพนัน นางก็มักจะไม่ฟัง เอาแต่ไปลานพนันอยู่ตลอดโดยไม่อาจเลิกได้เสียที ทว่าตอนนี้พอจู่ๆ มีคนมาขอร้องให้นางไปเล่นพนันเช่นนี้ นางกลับไม่คิดอยากเล่นพนันอีกแล้วเสียอย่างนั้น
หลินฟางโจวนำเงินและทองกองนั้นกลับไปที่เดิมพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มกว้าง “ต้องเก็บไว้ให้เจ้าใช้เป็นสินสอดเพื่อสู่ขอภรรยาสิ”
ประโยคเดียวนี้กลับทำให้ใบหน้าเด็กน้อยแดงก่ำ
วันถัดมา พอเสี่ยวหยวนเป่ากลับมาถึงบ้านก็ถามหลินฟางโจวด้วยคำถามแปลกๆ “ชายบำเรอคืออะไรหรือ”
หลินฟางโจวได้ยินคำนั้นจู่ๆ ก็โมโหขึ้นมาพร้อมกับซักถาม “คำพูดหยาบคายเช่นนี้ใครเป็นคนสอนเจ้าหรือ!”
เสี่ยวหยวนเป่ารู้ดีว่าแม้บางครั้งหลินฟางโจวจะโมโหง่ายไปบ้างแต่ก็น้อยครั้งนักที่อีกฝ่ายจะโมโหขึ้นมาจริงๆ ครั้งนี้ที่นางดูโกรธเกรี้ยวเช่นนี้จึงทำให้เขารู้สึกแปลกใจไม่น้อย เขาวางชามข้าวลงพลางมองนางอย่างระมัดระวังโดยที่ไม่กล้าพูดอะไร
เมื่อเห็นเสี่ยวหยวนเป่าไม่พูดอะไรนางก็ยิ่งหงุดหงิด “ช่วงนี้เจ้าไปขลุกอยู่กับพวกคนไม่น่าไว้ใจมาใช่หรือไม่ บอกข้ามาตามตรงเถอะ!”
“ไม่ใช่นะ” เขารีบปฏิเสธทันที
“ไม่ใช่? แล้วคำพูดหยาบคายเช่นนี้ใครเป็นคนสอนเจ้าพูดกัน เจ้าพูดออกมาเดี๋ยวนี้ ข้าจะไปเล่นงานมัน!”
“ไม่มีใครสอนข้าหรอก…ข้าไปได้ยินมาเอง”
“เจ้าไปได้ยินใครพูด” หลินฟางโจวไม่ปล่อยให้ความสงสัยนี้คั่งค้างในใจนานแน่
“คนที่อยู่ห้องอี่ ข้าไม่รู้จัก แล้วก็ไม่เคยพูดคุยด้วย”
นอกจากสำนักศึกษาจะมีเด็กเริ่มเรียนแล้ว เด็กคนอื่นๆ ก็จะถูกแบ่งออกเป็นสามห้องโดยจัดแบ่งตามความรู้ของผู้เรียน จากสูงไปต่ำตามลำดับคือ จย่า อี่ ปิ่ง หากความรู้มากพอก็สามารถเลื่อนชั้นได้ ซึ่งผู้เรียนเหล่านี้ล้วนแต่โตกว่าเสี่ยวหยวนเป่าทั้งสิ้น หากจะพูดจาหยาบคายเช่นนี้ก็มีความเป็นไปได้อยู่
หลินฟางโจวได้ยินเสี่ยวหยวนเป่าพูดก็พรูลมหายใจออกมา ก่อนจะถลึงตาใส่เขาพร้อมกับเอ่ย “หลังจากนี้ถ้าได้ยินคำหยาบพวกนั้นก็ให้รีบหลบเลี่ยง เข้าใจหรือไม่ หากมีคนกล้าพูดกับเจ้าเช่นนี้ก็ให้เตะของสงวนเขาไปโดยไม่ต้องรีรอเลย เข้าใจหรือไม่”
“อืม” เสี่ยวหยวนเป่าพยักหน้า กระนั้นเขาก็ยังคงคลางแคลงใจอยู่ดี ในสมองราวกับยังอยากรู้อยู่ แม้จะอดทนอดกลั้นไว้แล้ว แต่ในที่สุดก็ทนไม่ไหว เขายังคงเอ่ยถามออกไป “แล้ว…ท่านกำลังบำเรอนายอำเภอหรือไม่”
หลินฟางโจวโกรธจัด “ข้าบำเรอบิดาเจ้าน่ะสิ!”
เสี่ยวหยวนเป่าเบี่ยงกายหลบเล็กน้อยพลางพูดคนเดียวด้วยเสียงอันเบา “ท่านไม่กล้าบำเรอท่านพ่อข้าหรอก”
“เจ้าพูดอะไรนะ”
“ไม่ได้พูดอะไร…”
หลายวันมานี้ยามที่หลินฟางโจวทำงานอยู่นั้นนางดูไม่มีชีวิตชีวาเลยสักนิด หลายครั้งที่เหมือนจะพูดแต่ก็ไม่พูด กระทั่งวังเถี่ยติงที่ทำงานกับนางทนดูต่อไปไม่ไหวจึงเอ่ยถาม “ต้าหลาง หลายวันมานี้ข้าเห็นเจ้าเงียบเหมือนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไรนัก หรือว่าแพ้พนันจนหมดตัวอีกแล้ว?”
วังเถี่ยติงรูปร่างผอมแห้ง แม้นิสัยใจคอของเขาจะไม่แย่ แต่การพูดจากลับไม่ค่อยน่าฟังสักเท่าไรนัก คนอื่นๆ จึงเรียกขานเขาว่า ‘เถี่ยติง’
หลินฟางโจวได้ยินวังเถี่ยติงถามเช่นนั้นก็ส่ายหน้าพลางเอ่ยตอบ “หลายวันมานี้ข้าไม่ได้ไปที่ลานพนันแล้ว”
“เป็นเพราะอยากไปลานพนันแต่ไม่มีเงินใช่หรือไม่ คันไม้คันมือจนเป็นกังวล เพราะเหตุนี้จึงไม่ร่าเริง?”
“ไม่ใช่”
เขายิ้มมีเลศนัย “หรือ…เจ้าทำผิดเรื่องรักๆ ใคร่ๆ กับคนสกุลไหนเข้า”
หลินฟางโจวมีเรื่องในใจ ที่จริงนางก็อยากหาใครสักคนมาเพื่อเล่าปัญหาให้ฟัง แต่นางก็รู้สึกอับอายเกินกว่าจะบอกกล่าวกับคนอื่น เรื่องที่มีคนนินทาลับหลังว่านางกับนายอำเภอฝักใฝ่เพศเดียวกันเช่นนี้…ช่างน่าอายเกินกว่าจะพูดถึงจริงๆ
อีกทั้งคนที่นินทาเช่นนี้ยังเป็นคนร่วมสำนักศึกษาของน้องชายนาง…ถือเป็นสหายร่วมชั้นเรียนด้วย
นางกวาดตามองไปรอบๆ เห็นบริเวณนี้ไม่มีคนอยู่ นางจึงพูดกับวังเถี่ยติงเสียงเบา “ข้าขอถามเจ้าสักคำถามเถอะ เจ้าเองก็ตอบข้ามาตามตรงนะ”
“ถามมา”
“พวกเจ้า…เอ่อ…ต่างก็คิดว่า…คิดว่าข้าชมชอบบุรุษใช่หรือไม่”
วังเถี่ยติงฟังแล้วก็หัวเราะเสียงดัง แต่กลัวว่าจะทำคนอื่นตกใจเขาจึงรีบใช้มือปิดปากเอาไว้
หลินฟางโจวเอ่ยอย่างไม่พอใจ “เป็นเช่นนี้จริงๆ พวกเจ้าล้วนแต่คิดเช่นนี้กัน!”
หลังจากหยุดหัวเราะแล้ววังเถี่ยติงก็เอ่ยขึ้นมา “ยิ่งกว่านั้นอีกนะ ทุกคนที่พูดลับหลังต่างบอกว่าเจ้าเป็นพวกครึ่งชายครึ่งหญิงด้วย”
‘ครึ่งชายครึ่งหญิง’ เป็นคำที่เอาไว้ใช้ด่าทอผู้อื่น หากใครได้ยินเข้าเกรงว่าจะมีการทะเลาะจนได้เลือด ทว่าหลินฟางโจวถือเป็นสตรีผู้หนึ่ง อีกทั้งนางก็ไม่ได้มีเนื้อแท้เป็นบุรุษแต่อย่างใด แค่ภายนอกเท่านั้นที่นางแต่งกายเป็นบุรุษ เพียงแต่ในยามที่เห็นวังเถี่ยติงพูดด้วยสีหน้ามีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นก็ทำให้นางรู้สึกไม่สบอารมณ์เล็กน้อย นางจึงเอ่ยถาม “เพราะเหตุใดจึงพูดว่าข้าเป็นครึ่งชายครึ่งหญิง”
วังเถี่ยติงเอ่ยถามกลับมาแทน “ข้าขอถามเจ้าหน่อย เหตุใดยามปกติเจ้าจึงมักจะพันผ้าพันคอ ทำไมต้องปกปิดลำคอเอาไว้ด้วย กระทั่งช่วงซานฝู* ที่ร้อนจนเหงื่อออกเจ้าก็ยังไม่ยอมถอดผ้าพันคอออกเลย”
“เรื่องนี้น่ะหรือ” หลินฟางโจวชี้มาที่คอของตนเอง “ที่คอข้ามีแผลเป็นอยู่รอยหนึ่ง ตอนเด็กข้าเคยปีนต้นไม้แล้วถูกกิ่งไม้แทงจนได้รับบาดเจ็บเข้า มันเป็นแผลเป็นที่น่าเกลียดเกินไป ข้าจึงพันผ้าพันคอเอาไว้เช่นนี้มาโดยตลอด พอพันจนชินแล้วก็ไม่รู้สึกร้อนเลยแม้แต่น้อย”
“จริงหรือ” วังเถี่ยติงยังสงสัยอยู่บ้าง
“จริงสิ ไม่อย่างนั้นเจ้านึกว่าเป็นอะไร”
“ข้านึกว่าเป็นเพราะเจ้าเติบโตแล้วแต่ยังไม่มีลูกกระเดือก กลัวว่าจะถูกผู้อื่นล้อเลียนจึงได้ใช้ผ้าพันคอมาปิดเอาไว้”
“นี่มันคำพูดจากผู้ใดกัน ไม่เชื่อเจ้าก็ดูสิ แผลเป็นของข้าอยู่ตรงนี้แหละ อยู่มาหลายปีแล้วด้วย” หลินฟางโจวพูดไปด้วย มือก็ถอดผ้าพันคอออกไปด้วย เผยให้วังเถี่ยติงเห็นแผลเป็นบนลำคอ
วังเถี่ยติงเห็นว่ามีแผลเป็นรอยนั้นจริงก็เดาะลิ้นพลางส่ายหน้าพูด “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”
หลินฟางโจวพันผ้าพันคอเรียบร้อยแล้วก็ถามวังเถี่ยติง “ไม่มีลูกกระเดือกก็เป็นครึ่งชายครึ่งหญิงแล้วหรือ”
วังเถี่ยติงส่ายหน้าพร้อมกับเอ่ย “ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ข้ามีลูกพี่ลูกน้องอยู่คนหนึ่ง ลูกกระเดือกของเขาเห็นได้ไม่ค่อยชัด ทว่าหลังจากที่เขาแต่งงานไปหนึ่งปีก็มีลูกชายจ้ำม่ำคนหนึ่ง ตอนนี้ลูกก็สามคนเข้าไปแล้ว”
หลินฟางโจวรู้สึกว่าวังเถี่ยติงหัวอ่อนไม่ทันคน เขาไม่มีความคิดเป็นของตนเองและยังคล้อยตามผู้อื่นได้ง่ายถึงเพียงนี้ นางส่ายหน้าและพูดต่อคำพูดของเขา “ที่จริงข้าก็ไม่ค่อยต่างกันนักหรอก แม้ลูกกระเดือกข้าจะไม่ใหญ่เหมือนกับคนอื่น ทว่ายามอยู่บนเตียงข้าก็สามารถทำให้สาวน้อยร้องครวญครางถึงบิดามารดาได้ เห็นได้ชัดว่าการจะสรุปว่าคนผู้หนึ่งเป็นครึ่งชายครึ่งหญิงจากการมีลูกกระเดือกเล็กใหญ่เช่นนี้…ช่างไม่น่าเชื่อถือเอาเสียเลย”
วังเถี่ยติงเริ่มสนใจ “เจ้ายังไม่ได้แต่งงานเลยด้วยซ้ำ จะไปทำให้สาวน้อยที่ไหนร้องครวญครางถึงบิดามารดาได้เล่า”
หลินฟางโจวยิ้มอย่างมีเลศนัย “สตรีสูงส่งน่ะ…ไม่อาจบอกชื่อกับเจ้าได้ อาจเป็นการทำลายชื่อเสียงคนอื่น”
“ฮ่าๆๆๆ” วังเถี่ยติงหัวเราะไม่หยุด
หลินฟางโจวจึงแต่งเรื่องคุยกับวังเถี่ยติงอยู่ครู่หนึ่ง ทั้งสองฝ่ายต่างก็โอ้อวดเรื่องพละกำลังของตนเองกับสตรีที่ปล่อยกาย…
จริงๆ แล้วหลินฟางโจวรู้สึกเบื่อหน่ายยิ่งนัก หลังจากพูดคุยได้ครู่ใหญ่ ในที่สุดก็ทำให้วังเถี่ยติงเชื่อว่านางหาใช่ครึ่งชายครึ่งหญิงและไม่ใช่คนที่ชมชอบเพศเดียวกัน
ตอนบ่ายพอเลิกงานหลินฟางโจวก็เดินไปพลางคิดไปพลาง นับจากนี้นางไม่เพียงต้องขยันเข้าร่วมพูดคุยเรื่องชายหญิงพวกนั้น ทั้งยังต้องพูดโอ้อวดและพูดเรื่อยเปื่อยให้มากเข้าไว้ ยามที่นางเดินไปตามถนนก็ต้องส่งสายตาหยาดเยิ้มให้กับสตรี หลังจากนี้นางต้องสร้าง ‘หลินฟางโจวจอมลามก’ ขึ้นมาอีกคนหนึ่ง อย่าให้คนคิดว่านางเป็นชายบำเรอได้เป็นอันขาด มิเช่นนั้นหากโชคไม่ดีมีคนรักร่วมเพศที่ไม่รู้จักอายเข้ามาในชีวิตสักคน นางคงได้มีเรื่องยุ่งยากเพิ่มมากขึ้นเป็นแน่
ขณะที่คิดเรื่อยเปื่อยอยู่นั้นหลินฟางโจวก็บังเอิญพบกับหวังต้าเตา เขากำลังรีบร้อนพาคนหลายคนเดินออกไป ข้างกายมีอีกคนหนึ่งติดตามอยู่ ดูจากรูปร่างและการแต่งตัวแล้วน่าจะเป็นอาจารย์ที่สำนักศึกษา หลินฟางโจวเกิดความสงสัยเล็กน้อยจึงเอ่ยถาม “หัวหน้ามือปราบหวัง ท่านรีบร้อนเช่นนี้ไปทำไมกัน”
“ที่สำนักศึกษาเกิดเรื่องแล้ว” หวังต้าเตาเห็นเป็นคนในที่ว่าการ เขาจึงไม่คิดปิดบังอะไร ทั้งยังตอบกลับมา “วิวาทกันกลุ่มใหญ่ มีเลือดออกด้วย มีคนหนึ่งถูกหามออกไปแล้ว เป็นตายยังไม่แน่ชัด”
“คนเรียนหนังสือก็ทะเลาะกันด้วยหรือ” หลินฟางโจวหมดคำจะพูด นางเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “ทั้งยังหามออกไปแล้วด้วย น่ากลัวจริงเชียว!”
“ลูกพี่ลูกน้องของเจ้าก็เรียนอยู่ที่สำนักศึกษามิใช่หรือ เจ้าจะไปดูกับพวกข้าด้วยหรือไม่”
หลินฟางโจวส่ายศีรษะพร้อมกับยิ้มเอ่ย “ข้าไม่ไปหรอก เสี่ยวหยวนเป่าของข้าเชื่อฟังข้ามาก ข้ากลับบ้านไปทำอาหารรอเขากลับมาดีกว่า”
“อืม เช่นนั้นข้าพาพี่น้องพวกนี้ไปดูก่อนแล้วกัน” หวังต้าเตาพูดแล้วบอกลานาง เขาเดินไปด้วยพูดกับอาจารย์ที่อยู่ข้างกายไปด้วย หลินฟางโจวได้ยินเขาถามอาจารย์ว่า “มีกี่คน”
“เจ็ดแปดคน มีผู้ใหญ่แล้วก็มีเด็ก”
“คนที่นำการวิวาทนี้เป็นผู้ใด”
“หลินฟางซื”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 11 ธ.ค. 62
Comments
comments
No tags for this post.