X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน โปรดยิ้มตอบข้าด้วยไมตรี บทที่ 7

หน้าที่แล้ว1 of 18

บทที่ 7

หลินฟางโจวได้ยินชื่อของเสี่ยวหยวนเป่าแล้วก็ตระหนกตกใจยิ่งนัก นางรีบร้อนหันหลังตามไปพร้อมกับเอ่ยถามอาจารย์คนนั้นทันที “ท่านพูดถึงใครนะ หลินฟางซือ?”

“ใช่ เขานั่นล่ะ! ทั้งที่ดูเป็นเด็กสุภาพเรียบร้อยคนหนึ่งแท้ๆ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะดื้อรั้นหัวแข็งเช่นนี้!” อาจารย์คนนั้นพูดถึงเขาพร้อมกับกัดฟันกรอด

“เป็นหลินฟางซือคนที่เรียนห้องเรียนชั้นต้นแน่หรือ”

“นอกจากเขาแล้วยังจะเป็นใครได้อีก”

หลินฟางโจวรู้สึกราวกับตนเองถูกคนเอาน้ำเย็นมาสาดหน้าขันหนึ่งในวันซานฝู นางตกใจเสียจนทั้งร่างหนาวเหน็บเข้ากระดูก ในสมองของนางปรากฏภาพเสี่ยวหยวนเป่าเลือดออกทั่วร่างและถูกหามออกไป นางทั้งร้อนใจ ทั้งโมโหและกลัวขึ้นมาในทันที ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “คะ…คนที่โดนหามออกไปเป็นผู้ใดกัน”

“อู่จ้าวหลิน”

ค่อยยังชั่วหน่อย ข้าไม่รู้จักคนผู้นี้…หลินฟางโจวผ่อนลมหายใจในทันที แล้วถามขึ้นมาอีก “แล้ว…ตอนนี้หลินฟางซือเป็นเช่นไรบ้าง”

อาจารย์พลันตื่นตัวขึ้นมาทันที เขามองนางอย่างเย็นชาพลางเอ่ยถาม “เจ้าเป็นอะไรกับหลินฟางซือเล่า”

“ข้าเป็นพี่ชายเขา”

อาจารย์ได้ยินก็เลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะจับแขนนางเอาไว้แน่นพร้อมกับเอ่ย “ข้ากำลังตามหาตัวเจ้าอยู่พอดีเลย ไป! ตามข้าไปดูหลินฟางซือเด็กบ้านเจ้าก่อเรื่องดีไว้เถอะ!”

หลินฟางโจวไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด นางตามพวกเขาไปที่สำนักศึกษาอย่างรวดเร็ว

 

กลุ่มที่ก่อเรื่องวิวาทถูกขังรวมไว้ในอีกห้องหนึ่ง มือปราบหลายคนถือโซ่พุ่งพรวดเข้ามาในห้อง ทว่ากลับเห็นแต่กลุ่มเด็กน้อยกำลังคุกเข่าเล่นดินกรวดอยู่ที่พื้น

กลุ่มเด็กน้อยเหล่านั้น…บนตัวของแต่ละคนล้วนเปื้อนเลือดทั้งสิ้น

อาจารย์คนที่เห็นว่าเกิดเรื่องก็ไปแจ้งเจ้าหน้าที่ทันที ในตอนนี้จึงไม่รู้แล้วว่าสถานการณ์ตรงหน้าเป็นเช่นไรกันแน่

หลินฟางโจวมองหาเสี่ยวหยวนเป่าจากกลุ่มคนได้ในแวบเดียว นางวิ่งเข้าไปดึงเขาลุกขึ้นมา เมื่อเห็นว่าบนหน้าและปกเสื้อของเขาล้วนแต่มีรอยคราบเลือด นางก็ตกใจเสียจนชาวาบไปทั้งร่าง มือกำชายแขนเสื้อเขาแน่นพลางเอ่ยถาม “เจ้าบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่”

เสี่ยวหยวนเป่ารีบเอ่ยตอบทันที “วางใจเถอะ นี่ไม่ใช่เลือดข้า”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นหัวใจของหลินฟางโจวก็ร่วงหล่น นางพลันกวาดตามองเด็กบนพื้นที่ร่างกายเลอะไปด้วยเลือด และมองเสี่ยวหยวนเป่าที่มีสภาพไม่ต่างกันทว่ากลับมีท่าทางไม่สะทกสะท้านอีกครั้ง ยิ่งมองนางก็ยิ่งโมโห ยิ่งมองก็ยิ่งโกรธเกรี้ยว เมื่อคิดอีกทียังมีเด็กอีกคนที่ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร สมองของนางกลายเป็นเดือดพล่าน จึงยกมือตบหน้าเขาไปครั้งหนึ่ง

เพียะ!

เสี่ยวหยวนเป่าถูกตบจนมึน ใบหน้าเขาหันไปอีกทางในทันที

หลินฟางโจวหลุดปากด่าออกมา “ข้าส่งเจ้ามาเพื่อให้เจ้าได้เล่าเรียนหนังสือ เจ้าก็ดีจริงเชียว สร้างเรื่องวุ่นวายให้ข้าไม่พอ ยังจะทะเลาะวิวาทกับคนอื่นด้วย สามวันไม่ตีเจ้า คงขึ้นหลังคารื้อกระเบื้อง เพียงแค่วันนี้ข้าก็คุมเจ้าไม่ได้แล้วหรือ! ขะ…ข้า…” พูดไปนางก็ม้วนแขนเสื้อขึ้นเตรียมจะลงมือกับเขาอีก

หวังต้าเตารีบก้าวเข้ามาขวางหลินฟางโจวไว้ “เอาล่ะ อย่าเพิ่งทะเลาะกันเลย ไปดูอาการบาดเจ็บของอู่จ้าวหลินคนนั้นว่าเป็นเช่นไรก่อนเถอะ”

ยามนั้นไม่รู้ว่าใครเป็นคนพูดขึ้นมาว่า “อาจารย์ใหญ่ซานมาแล้ว”

‘อาจารย์ใหญ่ซาน’ เป็นหัวหน้าอาจารย์ในสำนักศึกษา เขาเป็นผู้มีคุณธรรมและเป็นที่เคารพของทุกคน ตอนที่เขาเดินเข้ามา ผู้คนในห้องต่างก็ทำความเคารพอย่างมีมารยาท เมื่ออาจารย์ใหญ่ซานเห็นหวังต้าเตาก็พูดขึ้นมา “เด็กในสำนักศึกษาก่อเรื่อง ทำให้หัวหน้ามือปราบหวังต้องตกใจแล้ว ข้าที่เป็นอาจารย์ใหญ่รู้สึกละอายใจยิ่งนัก”

“อาจารย์ใหญ่พูดอะไรกัน นั่น…” หวังต้าเตาชี้ไปยังพวกเด็กที่คุกเข่าอยู่บนพื้น “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ตามหมอมาแล้วหรือยัง”

อาจารย์ใหญ่ซานส่ายหน้าอย่างจนปัญญา “พวกเขาไม่มีใครเป็นอะไรหรอก”

“แล้วเลือดพวกนั้น…”

อาจารย์ใหญ่ซานเรียกชื่อเสี่ยวหยวนเป่า “หลินฟางซือ เจ้ามาอธิบายให้หัวหน้ามือปราบหวังทราบทีเถิด สรุปว่าเกิดอะไรขึ้นกับเลือดพวกนี้กันแน่”

เสี่ยวหยวนเป่าที่เพิ่งถูกหลินฟางโจวตบหน้ามา ตอนนี้ใบหน้าของเขาปรากฏรอยแดงขึ้นเป็นรอยฝ่ามือจางๆ อย่างรวดเร็ว เมื่อได้ยินอาจารย์ใหญ่ซานเรียกชื่อ เขาก็ประสานมือคำนับพร้อมกับเอ่ยขอรับ จากนั้นก็พูดกับหวังต้าเตา “ข้าใช้เลือดหมูหนึ่งขวด เดิมทีคิดว่าตอนที่สู้กันจะสาดออกมาทำให้คู่ต่อสู้ตกใจกลัวเสียหน่อย ไหนเลยจะคาดว่าเขากลับขี้ขลาดตาขาวเป็นอย่างมาก ตกใจจนเป็นลมล้มพับไปก่อนแล้ว พวกเราเห็นว่าเขาเป็นลมไปจึงได้หยุดมือ”

อาจารย์ใหญ่ซานหัวเราะหึๆ อย่างไม่เร็วไม่ช้าก่อนเอ่ย “แต่เหตุใดข้ากลับได้ยินมาว่าตอนที่อาจารย์คนอื่นมาเจอพวกเจ้า เห็นพวกเจ้ากำลังล้อมต่อยตีอู่จ้าวหลินที่เป็นลมไปอย่างแรงเล่า ปีนี้อู่จ้าวหลินอายุยี่สิบปี พวกเจ้ากลัวว่าตนเองที่อายุน้อยจะสู้เขาไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงได้ใช้เลือดหมูมาทำให้เขาตกใจจนเป็นลมไปเสียก่อน รอให้เขาหมดสติไปแล้วค่อยเข้ามาสู้กันเป็นกลุ่มใช่หรือไม่ หลินฟางซือ เจ้าอายุยังน้อยแต่กลับวางแผนมาดีมาก” พูดมาถึงตรงนี้สีหน้าของเขาก็ค่อยๆ นิ่งเรียบขึ้นมา

แม้ใบหน้าครึ่งซีกของเสี่ยวหยวนเป่าจะบวมแดง ทว่าเขาก็ยังรักษาท่าทางใจเย็นเอาไว้ได้ขณะตอบกลับไป “อาจารย์เอ่ยชมเกินไปแล้ว ศิษย์ไม่กล้ารับไว้หรอกขอรับ ที่ใช้เลือดหมูก็แค่เพื่อหลอกล่อคู่ต่อสู้เท่านั้น ไหนเลยจะรู้ว่าเขากลับขี้ขลาดเช่นนี้…”

“เขาไม่ได้ขี้ขลาด” อาจารย์ใหญ่ซานพูดแทรกขึ้นมา “เขา…กลัวเลือด”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เองหรือ” เสี่ยวหยวนเป่าแสร้งทำสีหน้าครุ่นคิด

หลินฟางโจวรู้สึกทนดูต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว นางจึงตะโกนถามออกมา “เจ้าเด็กนี่! เหตุใดเจ้าต้องไปต่อยตีกับผู้อื่นด้วย เจ้าชี้แจงมาตามตรงเดี๋ยวนี้!”

คำถามนี้ถือเป็นสิ่งที่ทุกคนในที่นี้ต่างก็ให้ความสนใจ

เสี่ยวหยวนเป่าพลันเอ่ยตอบ “อู่จ้าวหลินมักจะพูดจาว่าร้ายอาจารย์ใหญ่อยู่บ่อยครั้ง ข้าโกรธจนทนไม่ไหว จึงอยากจะสั่งสอนเขาสักหน่อย”

“เขา…พูดจาว่าร้ายอาจารย์ใหญ่?” หลินฟางโจวเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่แน่ใจนัก

เสี่ยวหยวนเป่าพยักหน้ายืนยันก่อนจะยกตัวอย่างมาเล็กน้อยว่าเป็นวันไหน เดือนไหน เวลาเท่าใด ที่ไหน พูดอะไรเอาไว้ คนฟังมีผู้ใดบ้าง…เขาไล่ตัวอย่างไปไม่กี่อย่างในเวลาอันรวดเร็ว หนึ่งในนั้นรวมถึงคำพูดไม่ดีเกี่ยวกับอาจารย์ใหญ่ซานด้วย คนอื่นที่ได้ยินค่อนข้างจะทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง

อาจารย์ผู้หนึ่งจึงบอกให้เขาหยุดพูด

อาจารย์ใหญ่ซานสุขุมเยือกเย็นอย่างมาก แม้ได้ยินคำพูดไม่ดีเกี่ยวกับตนเอง ทว่าสีหน้าของเขายังคงไม่แสดงความเสียใจแต่อย่างใด กลับพูดเพียงแค่ว่า “หากเจ้าโกหก ข้าก็ช่วยเจ้าไม่ได้หรอกนะ”

“ศิษย์ไม่กล้าพูดโกหก หากอาจารย์ใหญ่ซานไม่เชื่อก็ไปถามด้วยตนเองได้เลย”

“ข้าจะต้องไปถามแน่นอน” อาจารย์ใหญ่ซานพูดแล้วหันไปบอกกับหวังต้าเตา “คำถามของข้าได้ถามหมดแล้ว หัวหน้ามือปราบหวังเชิญตามสบาย”

หวังต้าเตาเคยจับคนร้ายมามากมาย ทว่าวันนี้กลับเป็นครั้งแรกที่เขาเผชิญหน้ากับเด็กที่ทำความผิดจำนวนมากเช่นนี้ เขาไม่สบายใจยิ่งด้วยไม่รู้ว่าควรจะจับหรือไม่จับกันแน่

เสี่ยวหยวนเป่าเอ่ยขึ้นมา “ตั้งแต่ต้นจนจบ คนที่คิดแผนการและก่อเรื่องทั้งหมดก็คือข้าเพียงผู้เดียว”

หวังต้าเตายิ้มได้แล้ว “ดูไม่ออกเลยนะ เจ้าเด็กน้อยนี่ช่างรักความเป็นธรรมจริงๆ ได้ วันนี้ข้าจะพาเจ้ากลับไปยังที่ว่าการแค่คนเดียวก่อน ส่วนคนอื่นๆ กลับบ้านไปกินข้าวให้หมดเถอะ”

เมื่อสักครู่เด็กเหล่านั้นเห็นมือปราบแบกดาบกับอาจารย์ใหญ่ซานผู้น่าเกรงขามเข้ามาต่างก็ตกใจจนตัวสั่นเทากันหมดแล้ว ในตอนนี้เมื่อได้ยินว่าพวกตนถูกปล่อยให้กลับบ้านได้ต่างก็สลายตัวกันไปคนละทิศละทางทันที

มีแค่เฉินเสี่ยวซานที่ยังคงอยู่ที่เดิมโดยไม่ยอมไปไหน เขามองเสี่ยวหยวนเป่าด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยประกายน้ำพร้อมกับเอ่ย “ท่านอาเล็ก ท่านจะไม่ตายใช่หรือไม่”

“ไม่หรอก อีกไม่กี่วันข้าก็ได้กลับบ้านแล้ว”

เดิมทีหลินฟางโจวก็กำลังจิตใจสับสนว้าวุ่นอย่างมาก ยิ่งได้ยินเสี่ยวหยวนเป่าตอบคำถามไปเช่นนี้นางก็เกิดโมโหขึ้นมาจนอยากจะตีเขาอีก แต่พอเงื้อมือขึ้นก็เห็นใบหน้าครึ่งซีกที่บวมอยู่ของเขา สุดท้ายนางจึงได้แต่อดกลั้นเอาไว้

เสี่ยวหยวนเป่าจึงถูกหวังต้าเตาพาตัวไปเช่นนี้ และถูกคุมตัวอยู่ในที่ว่าการเป็นการชั่วคราว หลินฟางโจวนำของใช้บางส่วนและอาหารไปส่งให้ หวังต้าเตาพูดปลอบใจนาง “ต้าหลางไม่ต้องร้อนใจไป คดีนี้จะตัดสินเช่นไร ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือต้องดูอาการบาดเจ็บของอู่จ้าวหลินเพื่อพิจารณาด้วย เจ้าไปดูอู่จ้าวหลินหน่อยดีกว่า หากสามารถไกล่เกลี่ยกันได้ย่อมจะดีที่สุด”

 

หลินฟางโจวถือของไปเยี่ยมอู่จ้าวหลิน นางไม่เคยคิดมาก่อนว่ายังไม่ทันได้ก้าวข้ามประตูตนเองก็จะถูกคนไล่ออกมาเช่นนี้ ยามนี้นางจึงทำได้เพียงยืนอยู่ด้านนอกกำแพงและตั้งใจฟังความเคลื่อนไหวที่อยู่ข้างใน ภายในนั้นมีเสียงร้องไห้ดังวุ่นวายเป็นอย่างยิ่ง ทำราวกับกำลังจัดงานศพอย่างไรอย่างนั้น

หลินฟางโจวเกิดความกังวลขึ้นมาภายในใจ ด้วยกลัวว่าอู่จ้าวหลินผู้นี้จะถึงแก่ความตายจริงๆ แล้วเสี่ยวหยวนเป่าต้องชดใช้ด้วยชีวิตให้กับเขา

พอนึกถึงเสี่ยวหยวนเป่า นางก็แอบโมโหอยู่บ้าง โมโหที่เขาจงใจก่อเรื่องเช่นนี้ ขณะเดียวกันนางก็รู้สึกผิดที่ไปตบหน้าเขา ทั้งยังรู้สึกแปลกใจยิ่งนัก ยามปกติเขาเป็นเด็กดีเชื่อฟังมาแต่ไหนแต่ไร เหตุใดวันนี้เขาจึงดูเปลี่ยนไปมาก…กลายเป็นคนใจกล้าที่สู้จนสุดใจ

เมื่อคิดไปคิดมาก็ไม่อาจหาคำตอบได้ หลินฟางโจวจึงได้แต่ถือของขวัญกลับไปยังที่ว่าการ ไปขอความเมตตาจากนายอำเภอเถอะ บางทีเสี่ยวหยวนเป่าอาจจะมีทางรอดบ้าง!

 

เวลาเดียวกันนั้นหวังต้าเตาก็ได้พาเสี่ยวหยวนเป่าเข้าไปในห้องขัง หลังจากกวาดตามองไปทั่วไม่พบเห็นใครแล้วเขาจึงหันมาพูดกับเสี่ยวหยวนเป่าเสียงเบา “เจ้าเด็กคนนี้นี่นับว่าเป็นเด็กใจกล้าคนหนึ่ง”

เห็นเสี่ยวหยวนเป่าไม่พูดจา หวังต้าเตาจึงถามอีกครั้ง “เพราะอะไรที่ทำให้เจ้าไปต่อยตีกับอู่จ้าวหลิน”

“เพราะเขาพูดจาว่าร้ายอาจารย์ใหญ่”

“พูดความจริงมา”

เสี่ยวหยวนเป่าหลุบตาลง สีหน้าเขาราบเรียบขณะเอ่ยขึ้นมา “อู่จ้าวหลินแพร่ข่าวลือในสำนักศึกษา บอกว่านายอำเภอกับพี่ชายข้าเป็นพวกรักร่วมเพศอะไรนั่น บอกว่าเพราะเหตุผลนี้พี่ชายข้าจึงได้ทำงานในที่ว่าการ ท่านคิดว่า…” เขาเงยหน้าขึ้นมองหวังต้าเตา “คนเช่นนี้สมควรโดนตีหรือไม่เล่า”

แววตานิ่งเรียบของเสี่ยวหยวนเป่าไร้ซึ่งความกังวลและความร้อนรนใดๆ หวังต้าเตาถูกเด็กคนนี้จ้องจนนิ่งอึ้ง พอได้สติเขาก็รีบร้อนตอบรับ “ควรโดนตี สมควรโดนแล้ว!”

หวังต้าเตาคิดว่าคำพูดเหล่านี้ของเสี่ยวหยวนเป่าสำคัญมาก ความดีของพานเหรินเฟิ่งถูกคนอื่นพูดถึงจนบิดเบือนความจริงไปหมดแล้ว หวังต้าเตาพลันรู้สึกว่าได้รับความไม่เป็นธรรมแทนผู้เป็นนายไปด้วย หลังจากที่เขาขังเสี่ยวหยวนเป่าเสร็จเรียบร้อยก็ไปหาพานเหรินเฟิ่งเพื่อแจ้งเรื่องนี้ให้ทราบ

 

พานเหรินเฟิ่งเองก็แทบจะทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน เพราะหลินฟางโจวดื้อด้านไม่ยอมจากไป มาถึงก็ขอความเมตตาเรื่องของน้องชายนาง เมื่อเขาเห็นหวังต้าเตามาก็พูดขึ้น “เจ้ามาพอดีเลย น้องชายเขามีเรื่องอะไรกันแน่”

หวังต้าเตาเล่าอย่างไรก็ยังคงเข้าข้างเสี่ยวหยวนเป่าด้วยยังขุ่นเคืองแทนผู้เป็นนายของตนเอง เขาบอกเล่าตั้งแต่เรื่องที่เกิดขึ้นในสำนักศึกษาวันนี้ และเรื่องที่เสี่ยวหยวนเป่าตอบคำถามในห้องขังเกี่ยวกับสาเหตุที่แท้จริงออกมาอย่างหมดเปลือก

ตอนที่พานเหรินเฟิ่งฟังเรื่องในตอนแรกที่เกิดขึ้นในสำนักศึกษาก็ยังมีท่าทีที่ดีอยู่ ฟังถึงตอนที่เด็กชายใช้จุดอ่อนมาทำให้อีกฝ่ายเป็นลมและชนะไปด้วยโชคนั้น เขายังอดที่จะแอบชื่นชมแผนการไม่ได้ แต่เมื่อฟังถึงข่าวลือเกี่ยวกับตนเองและหลินฟางโจว…เขาก็แทบอยากจะอาเจียนเอาอาหารที่กินไปออกมาทันที พลางยกมือตบโต๊ะอย่างแรง “ตลกสิ้นดี! เหลวไหลที่สุด!”

หลินฟางโจวก็ดูเหมือนสติหลุดลอยมิต่างกัน ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้? เสี่ยวหยวนเป่าที่เป็นเด็กดีมาตลอดถึงกับไปมีเรื่องเพียงเพราะเจ็บแค้นใจแทนข้าสินะ

พานเหรินเฟิ่งเห็นท่าทางอึ้งงันของหลินฟางโจวก็กลัวว่าเจ้าหนุ่มนี่จะจุดประกายความคิดบางอย่างจากข่าวลือนี้ขึ้นมา เขาจึงกระแอมออกมาเบาๆ แล้วเอ่ยปราม “หลินฟางโจว เจ้าอย่าคิดอะไรเหลวไหลนะ!”

“หา? อ้อ ขอรับ ข้าน้อยไม่กล้าอยู่แล้ว”

หวังต้าเตาเอ่ยถาม “ใต้เท้า ตอนนี้จะทำอย่างไรดี”

“เจ้ามานี่ซิ” พานเหรินเฟิ่งเรียกหวังต้าเตาเข้ามาหา แล้วใช้เสียงเบาสั่งการไม่กี่ประโยค หวังต้าเตาฟังไปด้วยพยักหน้าไปด้วย

หลินฟางโจวรอให้พานเหรินเฟิ่งสั่งการจนจบแล้วจึงเอ่ยถาม “ใต้เท้า ข้าน้อยไปหาน้องชายได้หรือไม่”

“ไปเถอะ”

“ขอบคุณขอรับใต้เท้า! ใต้เท้า ท่านช่างใสดุจผืนน้ำที่สะอาด สว่างดุจคันฉ่อง…”

“เอาเถอะๆ รีบไสหัวไป อย่ามากวนข้าอีก!” พานเหรินเฟิ่งพบว่าตั้งแต่เขาได้เจอกับหลินฟางโจว ตัวตนของเขาที่ได้รับการอบรมมาอย่างดีก็มักจะรักษาเอาไว้ไม่ได้เสมอ

หลินฟางโจว ‘รีบไสหัว’ ออกมาทันที พอถึงห้องขังนางก็เห็นเสี่ยวหยวนเป่านั่งบนเก้าอี้ ในมือถือหมั่นโถวเอาไว้ด้วยท่าทางที่เหม่อลอย ไม่ยอมยกขึ้นมากินเลยสักนิด

ตอนที่นางผลักประตูเขาก็เงยหน้าขึ้นมามองนาง ตอนนี้ดวงอาทิตย์กำลังเคลื่อนลงแล้ว ภายในห้องจึงมืดสลัว แสงสว่างที่เหลืออยู่เลือนรางทางด้านหลังนางทำให้เขาไม่อาจมองเห็นสีหน้านางได้ชัด

รอจนนางเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าแล้ว เสี่ยวหยวนเป่าจึงเห็นว่าใบหน้านางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นค่อนข้างจืดเจื่อนและรู้สึกผิดอยู่บ้าง ทว่านั่นกลับทำให้เขาลอบผ่อนลมหายใจออกมาเงียบๆ ได้ในที่สุด

หลินฟางโจวเอ่ยถาม “ทำไมเจ้าไม่กิน”

เสี่ยวหยวนเป่ายื่นหมั่นโถวไปตรงหน้าหลินฟางโจว แต่นางกลับส่ายหน้าพูด “ข้ากินมาแล้ว”

เขาชักมือกลับมาแต่ก็ยังไม่กิน พลางหลุบตาลงมองหมั่นโถว นิ่งเงียบไม่พูดจา

หลินฟางโจวคิดว่าเขายังคงโกรธอยู่ นางมองแพขนตายาวและหนาของเขา ก่อนจะมองใบหน้าครึ่งซีกที่ยังไม่หายบวม ในใจก็โทษตนเองเป็นอย่างมาก จากนั้นนางก็สูดลมหายใจเข้าลึก ในที่สุดก็พูดออกไป “เรื่องนั้น…ต้องขอโทษด้วยนะ”

เสี่ยวหยวนเป่าเหลือบตาขึ้นมามองหลินฟางโจวในทันที นางเห็นดวงตาของเขาแดงเรื่อ

หลินฟางโจวทำใจกล้าพูดออกมา “ข้าไม่ควรตบเจ้า เจ้า…อย่าโกรธข้าเลยนะ”

เขากลับเบือนหน้าหนี ไม่มองกันเลยสักนิด

หลินฟางโจวสะกดกลั้นความโมโหเอาไว้พลางเอ่ย “อย่าโกรธเลยนะ รอให้เจ้าออกไปแล้วข้าจะตุ๋นปลาให้กิน หน้าหายเจ็บแล้วหรือยัง มา ข้าจะเป่าให้เจ้าเอง” นางพูดไปโดยไม่สนว่าเขาจะยินยอมหรือไม่ พอเดินเข้าไปใกล้แล้วนางก็ย่อกายจนใบหน้าอยู่ระดับเดียวกับเขา แล้วเป่าลมไปบนแก้มเขาเบาๆ

เสี่ยวหยวนเป่าโดนเป่าลมใส่ใบหน้าจนต้องกระถดหลังไปติดกับพนักเก้าอี้ ใบหน้าคอยหลบเลี่ยงอยู่หลายครั้ง ทว่าหลินฟางโจวกลับตามติดอย่างไม่ลดละ ยิ่งเป่าแรงลมก็ยิ่งมาก ลมหายใจนั้นพุ่งมาที่ลำคอเขา ทั้งเบาทั้งจั๊กจี้ ในที่สุดเสี่ยวหยวนเป่าก็ทนไม่ไหว เขาหลุดยิ้มออกมาพร้อมกับเผยฟันขาวที่เรียงเป็นระเบียบ

หลังจากนั้นเขาจึงดันใบหน้าของหลินฟางโจวออก “อย่าก่อกวนน่า”

หลินฟางโจวนั่งลงบนเก้าอี้อีกตัวพร้อมกับถามเสี่ยวหยวนเป่า “ที่เจ้าต่อยอู่จ้าวหลินเพราะเขาพูดข่าวลือเหลวไหลของข้ากับนายอำเภอ?”

“อืม”

“เจ้าอารมณ์ร้อนมากเหมือนกันนะนี่”

เมื่อหลินฟางโจวถาม เสี่ยวหยวนเป่าก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง ที่แท้วันนี้ที่เขาต่อยคนล้วนวางแผนล่วงหน้าไว้เรียบร้อยแล้ว ก่อนอื่นรวบรวมคำพูดว่าร้ายที่อู่จ้าวหลินเคยพูดเอาไว้ทั้งหมด ต่อมาก็คอยมองหาจุดอ่อนของอีกฝ่าย หลังจากนั้นก็เตรียมเลือดหมูไปทุกวัน เอาใส่ไว้ในอกเสื้อเพื่อรอโอกาสอยู่เงียบๆ รอกระทั่งช่วงเวลาที่อู่จ้าวหลินอยู่คนเดียว หลายๆ คนก็แห่มาล้อมเอาไว้ ก่อนจะสาดเลือดและวิวาท

ทั้งหมดเป็นไปตามแผนการของเขาทุกอย่าง ทว่าน่าเสียดายที่พวกเขาเพิ่งจะวิวาทกันได้ไม่นานก็มีคนมาพบเข้าและจับแยกในเวลาอันรวดเร็ว

ช่วงเวลาในตอนนั้นน่ากลัวเพียงใดหลินฟางโจวล้วนนึกภาพตามได้ทั้งหมด ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยเลือด ทั้งยังมีคนเป็นลมอยู่บนพื้นอีกคนหนึ่ง…คนที่เห็นด้วยตาตนเองย่อมนึกว่าเกิดการทะเลาะกันจนถึงแก่ชีวิตเป็นแน่

นางอดตัวสั่นเทาไม่ได้ “เจ้ามันใจกล้าเกินไปแล้ว ตอนนี้ไม่รู้ว่าอู่จ้าวหลินเป็นเช่นไรบ้าง หากบาดเจ็บไม่มากก็น่าจะพอไกล่เกลี่ยกันได้”

“ไม่ร้ายแรงมากนักหรอก พวกเราทั้งเรี่ยวแรงน้อยทั้งไม่ได้ลงมือรุนแรงอะไร”

เจ้าเด็กนี่ออกจะใจเย็นเกินไปแล้ว! หลินฟางโจวส่ายหน้าและเอ่ยถามอีกครั้ง “เจ้าได้ยินคำพูดเหลวไหลนี่จากเขามานานแล้ว แต่ที่อดทนมาได้นานเช่นนี้แล้วค่อยลงมือก็เพื่อรวบรวมคำพูดว่าร้ายของเขาที่กล่าวถึงคนอื่นน่ะหรือ”

เสี่ยวหยวนเป่าพยักหน้า ท่าทางยังคงนิ่งเฉย “จะได้มีเหตุผลเพียงพอในการลงมือ”

หลินฟางโจวรู้สึกแปลกใจอย่างมาก “เจ้าเป็นเด็กอยู่แท้ๆ เหตุใดจึงคิดแผนร้ายกาจเพียงนี้ออกมาได้ ไหนจะ ‘มีเหตุผลเพียงพอในการลงมือ’ อีก เรื่องพวกนี้เจ้าไปเรียนรู้มาจากที่ใดกัน”

“ย่อมเรียนรู้จากสำนักศึกษา ท่านนึกดูสิ ผู้ครองแคว้นตามบันทึกที่คิดทรยศหวังก่อกบฏ ยามที่ส่งกองทหารยังต้องถือธง ‘กำจัดขุนนางชั่วใกล้ชิดฮ่องเต้ให้หมดไป’ อยู่เลย หากข้าต่อยเขาเพราะเขาพูดว่าร้ายท่านเพียงคนเดียว เช่นนั้นก็เป็นแค่การแก้แค้นส่วนตัว หากต่อยเขาเพราะเขาพูดว่าร้ายอาจารย์ใหญ่ นั่นต่างหากจึงจะทำให้การต่อสู้นี้เกิดความเป็นธรรมขึ้น”

หลินฟางโจวกลอกตาพลางเอ่ย “เจ้านึกว่าคนอื่นจะเชื่อคำแก้ตัวนี้ของเจ้าจริงหรือ”

“เชื่อหรือไม่ล้วนไม่สำคัญ”

“ถ้าอย่างนั้นเพราะเหตุใดจึงพูดเรื่องของข้ากับนายอำเภอออกมาอีกเล่า เมื่อเป็นเช่นนี้คำว่าร้ายที่เจ้ารวบรวมมาก็มิใช่ทำให้เจ้าต้องมาอยู่ที่นี่อยู่ดีหรอกหรือ”

“คำว่าร้ายเหล่านั้นเป็นเพียงข้ออ้างผิวเผินที่เอาไว้ใช้ในสำนักศึกษาเท่านั้น ทางด้านนายอำเภอให้เขารู้เหตุผลที่แท้จริงจะดีกว่า”

หลินฟางโจวไม่โง่ นางรู้ว่าเพราะอะไรถึงต้องให้พานเหรินเฟิ่งรู้เหตุผลที่แท้จริง อีกทั้งนางก็รู้ดีว่าพานเหรินเฟิ่งไม่มีทางเปิดโปงคำพูดพวกนี้ออกไปแน่ นางเท้าคางพลางมองเสี่ยวหยวนเป่าอย่างละเอียด มองไปได้ครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นมา “เจ้าฉลาดมากจริงๆ เจ้าอายุแค่สิบขวบจริงหรือ”

เสี่ยวหยวนเป่าพลันถอนหายใจพร้อมกับพูดเสียงเบา “หากข้าไม่ฉลาดให้มากสักหน่อย ข้าก็คงไม่มีชีวิตมาจนถึงตอนนี้”

หลินฟางโจวรู้สึกเศร้าใจ นางเคาะโต๊ะ “คำถามสุดท้าย”

“อะไรหรือ”

“เลือดหมูวางไว้ครู่เดียวก็แข็งตัวเป็นก้อนแล้ว ข้าเคยเห็นมาเองกับตา เจ้าทำอย่างไรให้เลือดในขวดไม่แข็งตัว ทั้งยังสามารถสาดออกมาได้ทุกเมื่อ”

“เฉินเสี่ยวซานเป็นคนให้เลือดหมูกับข้า เขาบอกว่าใส่เกลือลงไปในเลือดหมู ขณะที่ใส่เกลือก็ให้คนไปด้วย รอจนกระทั่งเลือดหมูเย็นก็ไม่มีทางแข็งตัวแล้ว”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เด็กเดี๋ยวนี้ช่างร้ายกาจกันจริงๆ”

 

พานเหรินเฟิ่งได้ยินว่าในสำนักศึกษามีเรื่องวิวาทกระทั่งมีคนบาดเจ็บ เขาก็ใส่ใจอย่างมาก ในวันนั้นได้ส่งหมอคนหนึ่งไปเยี่ยมและถามไถ่อาการของอู่จ้าวหลิน วันถัดมาก็ส่งหมออีกคนหนึ่งไปเยี่ยมอีกครั้ง ทำให้ครอบครัวของอู่จ้าวหลินซาบซึ้งใจเสียจนเปรียบเปรยเขาเป็นพระโพธิสัตว์

ถัดมาอีกวันบิดาของอู่จ้าวหลินกับหลินฟางโจวก็มาคุกเข่าลงตรงหน้าพานเหรินเฟิ่งเพื่อไกล่เกลี่ย คนสกุลอู่เรียกร้องให้หลินฟางโจวชดเชยค่าหมอค่ายารวมทั้งสิ้นห้าร้อยตำลึง

พานเหรินเฟิ่งหันมาถามหลินฟางโจว “หลินฟางโจว เจ้ายินยอมที่จะชดเชยค่าหมอค่ายาเป็นเงินห้าร้อยตำลึงให้แก่พวกเขาหรือไม่”

หลินฟางโจวพูดด้วยสีหน้าขมขื่น “ใต้เท้า ข้าน้อยไม่มีเงินมากพอถึงเพียงนั้นจริงๆ”

“อืม” พานเหรินเฟิ่งพยักหน้าแล้วเอ่ยถามคนสกุลอู่ “บุตรชายของเจ้าเจ็บป่วยตรงไหนบ้าง เหตุใดถึงต้องการเงินรักษามากมายเพียงนั้น”

“จนถึงตอนนี้บุตรชายข้าน้อยก็ยังนอนอยู่บนเตียง ลุกไม่ขึ้น เขาเจ็บปวดไปทั้งตัว ค่ายาก่อนหน้าก็ใช้เงินไปหลายตำลึงแล้ว หลังจากนี้ยังไม่รู้ว่าต้องใช้เงินอีกมากเท่าไร ห้าร้อยตำลึงที่ว่ามายังแทบไม่พอเลยด้วยซ้ำ!”

“จริงหรือ” พานเหรินเฟิ่งยิ้มหยัน “ข้าส่งหมอสองคนไปตรวจอาการบุตรชายเจ้าสองวันติด ทั้งคู่ต่างก็ตอบเหมือนกันว่าอู่จ้าวหลินได้รับบาดเจ็บแค่ผิวหนังภายนอกเล็กน้อย ไม่ได้บาดเจ็บร้ายแรงไปถึงอวัยวะภายใน แล้วเหตุใดจึงลุกจากเตียงไม่ขึ้นเล่า” พูดจบเขาก็ตบลงไปบนโต๊ะอย่างแรง ทำให้คนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นตกใจตัวสั่นงันงก พานเหรินเฟิ่งพลันมีสีหน้าถมึงทึงและพูดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “เห็นได้ชัดว่าเจ้าตั้งจำนวนเงินนี้ขึ้นมาเอง ถือโอกาสรีดไถเสียเลย เจ้ายังกล้าพูดเท็จต่อหน้าข้า? คนสารเลวเช่นนี้ไม่โบยไม่ได้แล้ว ใครก็ได้เข้ามาลากไปโบยให้ข้าที!”

ซ้ายขวามีเสียงตะโกนรับ ขณะที่กำลังจะลากเขาออกไป คนผู้นั้นเห็นเหตุการณ์พลิกผันก็ตกใจในทันที รีบร้อนพูดว่า “ไม่กล้าแล้วๆ ข้าน้อยไม่กล้าแล้วขอรับ ใต้เท้าได้โปรดให้ทางรอดแก่ข้าน้อยด้วย”

พานเหรินเฟิ่งพลันยกมือขึ้น ทั้งซ้ายและขวาจึงได้ล่าถอยไป เขาถามอย่างไม่เร่งรีบ “เสียค่ายาไปเท่าไร”

“หะ…ห้าตำลึงขอรับ”

พานเหรินเฟิ่งเรียกชื่อขึ้นมา “หลินฟางโจว”

“ขอรับใต้เท้า”

“ข้าตัดสินให้เจ้าชดใช้เขาห้าตำลึงเป็นค่ายา เรื่องนี้เป็นอันเลิกแล้วต่อกัน เจ้ามีความเห็นว่าอย่างไร”

“ทั้งหมดตามแต่ใต้เท้าตัดสินขอรับ!” หลินฟางโจวน้อมรับโดยง่าย

บิดาของอู่จ้าวหลินก็ไม่กล้าพูดอะไรมากอีก สองครอบครัวจึงไกล่เกลี่ยกันได้เช่นนี้

 

หลังจากที่หลินฟางโจวอกสั่นขวัญผวาอยู่หลายวัน ในที่สุดนางก็รับเสี่ยวหยวนเป่ากลับบ้านได้เสียที ทั้งยังเอ่ยขอร้องไปอีกหลายคำว่าหลังจากนี้ไม่ว่าเขาพบเจอเรื่องอะไรก็อย่าได้ไปต่อยตีผู้อื่นอีก หลังจากนั้นนางก็ซื้อของขวัญเล็กน้อยเพื่อไปไกล่เกลี่ยกับอาจารย์ที่สำนักศึกษา หวังว่าพวกเขาจะเห็นใจไม่ไล่เสี่ยวหยวนเป่าออก

จากการวิวาทในครั้งนี้แม้คนจะได้รับบาดเจ็บไม่มาก ทว่าสถานการณ์โดยรวมกลับไม่เล็กเลย ทำให้ทั่วทั้งสำนักศึกษาแตกตื่นตกใจกันยิ่งนัก กระทั่งเรื่องราวไปถึงที่ว่าการ เรื่องที่จะจัดการกับผู้เรียนทั้งสองอย่างไรบ้างนั้น เหล่าอาจารย์ในสำนักศึกษาต่างก็พูดไม่เหมือนกัน บางคนพูดว่าให้ตัดชื่อทั้งสองคนออกไปเสีย บางคนก็ให้ตัดชื่อหลินฟางซือออก และก็มีบางคนที่คิดว่าอู่จ้าวหลินที่มีนิสัยเกินรับได้ก็ควรถูกไล่ออกเช่นเดียวกัน

อาจารย์ใหญ่ซานส่งคนไปซักถามพวกผู้เรียนเป็นการส่วนตัวรอบหนึ่ง มีผู้เรียนบางส่วนที่กลัวว่าตนเองจะมีปัญหาจึงไม่กล้าปิดบังแม้แต่น้อย ผลจึงปรากฏชัดเจนว่าอู่จ้าวหลินมีนิสัยนินทาผู้อื่นลับหลังจริง การ ‘พูดว่าร้าย’ จึงกลายเป็นความจริงและค่อนข้างร้ายแรงกับคนส่วนมาก

สุดท้ายก็หารืออยู่หลายวัน สำนักศึกษาจึงตัดสินใจทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก ทำให้เรื่องเล็กเลิกแล้วกันไป ทั้งสองคนต่างก็ถูกตำหนิ แต่ก็ยังอยู่ที่สำนักศึกษาต่อไปได้

อู่จ้าวหลินที่ถูกต่อยโดยไม่รู้ถึงสาเหตุย่อมจะคับแค้นใจมากเป็นธรรมดา

วันหนึ่งขณะที่เสี่ยวหยวนเป่ากำลังอ่านหนังสืออยู่ หูซื่อหลางก็วิ่งเข้ามาจากข้างนอก

“แย่แล้วๆ!” หูซื่อหลางวิ่งมาหยุดข้างๆ เสี่ยวหยวนเป่าแล้วพูดเบาๆ ที่ข้างหูเขา “อู่จ้าวหลินไปฟ้องอาจารย์ว่าเจ้าคัดตัวอักษรให้ข้า จะทำอย่างไรกันดีเล่า”

เสี่ยวหยวนเป่ายิ้มจางๆ เขาส่ายหน้าพลางยิ้มเยาะ “ข่าวลือเกินจริงเช่นนี้อาจารย์ไม่มีทางเชื่อแน่”

เห็นท่าทีเสแสร้งจนเหมือนจริงแล้วหูซื่อหลางก็อึ้งไป เขาคิดในใจ หรือว่าเรื่องก่อนหน้าล้วนเป็นภาพลวงตา

 

วันต่อมาหูซื่อหลางวิ่งไปหาข่าว ได้ความแล้วก็กลับมาบอกกับเสี่ยวหยวนเป่า “อาจารย์บอกว่า ‘ตัวอักษรที่หลินฟางซือเขียนไม่สวยที่สุดในชั้นเรียน แล้วจะไปคัดตัวอักษรให้คนอื่นได้อย่างไรกัน’ อาจารย์ยังบอกอีกว่าอู่จ้าวหลินจงใจหาเรื่อง เขาจึงโดนต่อว่าไปรอบหนึ่ง” พูดจบเขาก็หัวเราะออกมาราวกับได้ระบายความขุ่นเคืองที่เกือบถูกอู่จ้าวหลินเล่นงาน

เสี่ยวหยวนเป่าพยักหน้า นับแต่นั้นมาเขาก็ตัดรายชื่อกิจการ ‘คัดตัวอักษร’ ของตนเองออกไป

 

ผ่านไปอีกสองวันอู่จ้าวหลินก็แอบซุ่มโจมตีเสี่ยวหยวนเป่าระหว่างทางกลับบ้านก่อนจะลากตัวเขามา คนที่ถูกลากมาด้วยกันนั้นยังมีเฉินเสี่ยวซานด้วยอีกคน พอเฉินเสี่ยวซานเห็นรูปร่างสูงใหญ่ของอู่จ้าวหลินแล้วก็ตกใจจนดวงตาทั้งคู่คลอไปด้วยหยาดน้ำ

เสี่ยวหยวนเป่าเอามือไพล่หลังพลางมองอู่จ้าวหลินด้วยใบหน้าเรียบเฉย “เจ้าจะต่อยข้า?”

อู่จ้าวหลินเคยจินตนาการมานับครั้งไม่ถ้วนถึงภาพตนเองเงื้อหมัดเพื่อจะต่อยหลินฟางซือที่กลัวจนปัสสาวะราด ทั้งยังร้องไห้และร้องขอความเมตตา ทว่าคนตรงหน้านี้กลับนิ่งสงบดูแตกต่างจากเด็กคนอื่นๆ ทำให้คนที่เห็นรู้สึกโมโหขึ้นมา อู่จ้าวหลินพลันเอ่ยว่า “ทำไมข้าจะต่อยเจ้าไม่ได้เล่า”

“เจ้าต้องคิดมาดีแล้ว สำนักศึกษาเคยเตือนพวกเรามาแล้วหนหนึ่ง หากมีเรื่องอีกครั้งจะถูกไล่ออกทันที วันนี้เจ้าต่อยข้า พรุ่งนี้ก็คงถูกสำนักศึกษาไล่ออก สำนักศึกษาหอถิงอวิ๋นเป็นสำนักศึกษาที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในพื้นที่ร้อยกว่าหลี่นี้ หากเจ้าถูกสำนักศึกษาหอถิงอวิ๋นไล่ออก สำนักศึกษาอื่นก็คงไม่รับเจ้าเอาไว้ เช่นนั้นก็นับว่าเจ้าทำลายอนาคตของตัวเองแล้ว การเรียนที่ผ่านมาก็ไม่มีประโยชน์อะไร ตำแหน่งที่วาดหวังเอาไว้ก็เหลือเพียงความว่างเปล่า เจ้าคงเป็นได้เพียงคนทำบัญชีที่ร้านอาหารแล้ว”

“เจ้า!” อู่จ้าวหลินกำหมัดแน่น เขามองเสี่ยวหยวนเป่าพร้อมกับกัดฟันกรอด

เจ้าเด็กเหลือขอนี่ช่างน่าชังยิ่ง!

เสี่ยวหยวนเป่ายังคงพูดต่อไป “นอกเสียจากเจ้าจะฆ่าข้าให้ตาย ทำลายศพทำลายหลักฐานให้ดี แล้วเจ้ายังต้องมั่นใจว่าจะไม่ถูกผู้ใดล่วงรู้เข้า มิเช่นนั้นเจ้าคงถูกตัดหัว บ้านเจ้าก็จะขาดทายาทสืบสกุลไป อ้อ ไม่ขาดสิ เจ้ายังมีน้องชายอีกคนหนึ่งนี่ น้องชายเจ้าเป็นลูกที่เกิดจากอนุกับท่านพ่อของเจ้า หากเจ้าตายไป ลูกของอนุได้สืบสกุล ท่านแม่เจ้าที่เป็นภรรยาเอกจะอึดอัดใจสักเพียงใดนะ แต่เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงให้มากเกินไปหรอก ท่านแม่เจ้าไม่มีลูกชายแท้ๆ ไม่แน่ว่าอาจรับน้องชายเจ้าคนนี้เป็นลูกของตนเองก็ได้ มารดาเมตตาลูกชายกตัญญูก็ถือว่าดีมาก ดังนั้นเจ้าโปรดวางใจแล้วเล่นงานข้าเถอะ”

“หุบปาก ไม่ต้องพูดอีกแล้ว!” อู่จ้าวหลินโกรธอย่างถึงที่สุด เขากำหมัดแน่นอยากจะต่อยเสี่ยวหยวนเป่า ทว่าพอมองเห็นแววตาเย็นชาของอีกฝ่ายแล้ว สุดท้ายเขาก็ยังกลัวว่าเรื่องที่อีกฝ่ายพูดจะเป็นจริง จึงทำได้เพียงปั้นหน้าโหดและพูดด้วยความเข่นเขี้ยว “หลังจากนี้หากข้ามีโอกาสได้สั่งสอนเจ้าเมื่อใด! เจ้าก็เตรียมตัวรอข้าเลย!” พูดจบเขาก็หันหลังเดินจากไป

เฉินเสี่ยวซานเช็ดหยาดน้ำตาที่หางตาพลางมองแผ่นหลังของอู่จ้าวหลินอย่างเหม่อลอย “เขาไปแล้ว…แค่นี้?”

“แข็งนอกอ่อนใน” เสี่ยวหยวนเป่าใช้สี่คำมาสรุปความเป็นอู่จ้าวหลิน

เฉินเสี่ยวซานกะพริบตาปริบๆ “มันหมายความว่าอะไรหรือ”

เสี่ยวหยวนเป่าเดินไปพลางเล่าเรื่อง ‘ลาแห่งเฉียน’ ให้เฉินเสี่ยวซานฟังไปพลาง

นับแต่นั้นเฉินเสี่ยวซาน ไม่สิ ไม่ใช่แค่เฉินเสี่ยวซาน คนทั้งห้องเรียนชั้นต้นล้วนคล้อยตามเสี่ยวหยวนเป่า

 

พอพานเหรินเฟิ่งมีเวลาว่าง เขาก็นำเรื่องวิวาทในสำนักศึกษากลับมาคิดอีกรอบหนึ่ง เมื่อนึกถึงทุกการกระทำ ทุกแผนการ และทุกกลยุทธ์ของหลินฟางซือแล้ว เขาก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจ สิ่งที่เขาแปลกใจมากที่สุดก็คือตั้งแต่ต้นจนจบเด็กอายุสิบขวบคนนั้นไม่มีท่าทีตื่นตระหนกเลยสักนิด ท่าทางดั่ง ‘ภูเขาไท่ซานถล่มลงตรงหน้าก็มีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง’ นั้นราวกับท่าทางของเชื้อพระวงศ์อย่างไรอย่างนั้น

เขาลอบครุ่นคิดกับตนเอง คิดไม่ถึงว่าอำเภอเล็กๆ อย่างหย่งโจวจะมีคนเช่นนี้ปรากฏตัวขึ้นมาได้ นับจากนี้ไปต้องเกิดเรื่องดีเป็นแน่ สกุลหลินจะรุ่งโรจน์หรือสร้างเกียรติแก่วงศ์ตระกูลได้มากมายเพียงใดล้วนขึ้นอยู่กับเด็กชายผู้นั้นแล้ว

ไม่นึกว่าหลินฟางโจวซึ่งเป็นอันธพาลที่ตกต่ำระดับนั้นจะโชคดีได้ถึงเพียงนี้ ก่อนหน้านี้ไม่นานก็เพิ่งได้พบเจอกับนักพรตผู้ยิ่งใหญ่ ตอนนี้ยังเก็บเด็กฉลาดที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้มาได้อีกคนหนึ่ง…

นี่ล้วนเป็นโชคชะตา!

พานเหรินเฟิ่งรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย ในใจจึงไม่ค่อยสบอารมณ์อยู่บ้าง

เขาคิดไปไกลถึงวันหน้า หากหลินฟางซือตั้งใจเรียน บางทีในวันข้างหน้าเขากับหลินฟางซืออาจได้พบเจอกันในแวดวงขุนนางก็เป็นได้ เช่นนั้นมิสู้สร้างกรรมดีเสียแต่ตอนนี้เลย ด้วยเหตุนี้พานเหรินเฟิ่งจึงปฏิบัติต่อน้องชายสกุลหลินด้วยการดูแลเป็นพิเศษ วันปีใหม่และเทศกาลอื่นๆ ล้วนแต่มอบของให้ บางครั้งตอนที่พบเจอหลินฟางโจวหาเรื่องมาพูดคุยด้วย แม้ในใจจะยังนึกดูถูกหลินฟางโจวอยู่ แต่สุดท้ายเขาก็มีท่าทีที่อ่อนโยนขึ้นมาบ้าง…

 

วันนี้เป็นวันเทศกาลจงชิว* ผู้เรียนไม่ต้องไปเรียน ที่ว่าการก็ไม่ต้องไปทำงาน เสี่ยวหยวนเป่าตื่นเช้าจนชินเสียแล้ว เมื่อไม่มีอะไรให้ทำเขาจึงไปยกน้ำมาทีละครึ่งถังจนกระทั่งน้ำในโอ่งใบใหญ่เต็มปริ่ม จิ่ววั่นยืนอยู่บนต้นไม้พลางมองเขายกน้ำไปมา บางครั้งก็ส่งเสียงร้องออกมาครั้งหนึ่ง ตอนที่เห็นว่าดวงอาทิตย์ใกล้โผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมามันก็หลบไปนอนเสียแล้ว

ในที่สุดหลินฟางโจวก็ลุกขึ้นมาจากที่นอน นางพาเสี่ยวหยวนเป่าไปกินอาหารเช้า ก่อนจะเจอกับหวังต้าเตาที่แผงลอย

หวังต้าเตาพูดว่า “ต้าหลาง เสี่ยวหยวนเป่าสิบขวบแล้วจริงหรือ เขาดูตัวเล็กมากจริงๆ”

“จริงสิ ตอนที่เขาขอทานจะไปกินอิ่มได้อย่างไรเล่า เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่สูงเช่นนี้”

หวังต้าเตารู้สึกว่ามีเหตุผลอยู่มากจึงพยักหน้าแล้วพูดขึ้นมาอีก “เป็นเช่นนี้ไม่ดีหรอก เขาตัวเล็กเช่นนี้ หากถูกคนที่สำนักศึกษารังแกขึ้นมาจะทำเช่นไร”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ ที่ด้านข้างพลันมีคนผู้หนึ่งหัวเราะออกมา หวังต้าเตาปรายตามองเขาแวบหนึ่ง คนผู้นั้นรีบหยุดหัวเราะพลางก้มหน้าดื่มน้ำเต้าหู้อย่างเอาเป็นเอาตาย ขณะที่ในใจอยากจะพูดออกมาว่า เขามันราชาปีศาจน้อยลงมาจากสวรรค์โดยแท้ มีแต่เขาที่ไปรังแกผู้อื่น ทั้งสำนักศึกษาตั้งแต่เด็กไปจนถึงผู้ใหญ่ มีใครกล้ารังแกเขากันเล่า

หวังต้าเตาพูดกับหลินฟางโจวต่อไป “ข้าว่านะ ให้เขามาฝึกการต่อสู้กับข้าเถอะ นอกจากจะสร้างความแข็งแกร่งและความแข็งแรงให้กับร่างกายแล้ว ยังได้เรียนรู้ทักษะการต่อสู้ระยะประชิดด้วย เมื่อมีกลยุทธ์หลากหลายก็ช่วยทุ่นแรงด้วย”

หลินฟางโจวลังเลอยู่บ้าง “ก็ไม่เลวนะ แต่เขายังต้องเรียนหนังสืออยู่เลย จะเอาเวลาไหนไปฝึกการต่อสู้เล่า”

“ให้เขาตื่นเร็วขึ้นสักครึ่งชั่วยาม หลังจากเลิกเรียนก็ให้รีบกลับมาหน่อย ย่อมหาเวลามาได้อยู่แล้ว” หวังต้าเตาพูดไปก็นึกขึ้นมาได้อีกอย่างหนึ่ง “ตอนที่ไปเรียนกับเลิกเรียนหากไม่นั่งรถม้าก็ให้วิ่งไปกลับเลย นับว่าประหยัดเวลาไปไม่น้อย”

หลินฟางโจวไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ท่านนึกว่าน้องชายข้าเป็นสัตว์พาหนะหรือ เขาต้องเหนื่อยปางตายแน่!”

“ไม่ถึงกับปางตายหรอก เขาได้ออกกำลังกล้ามเนื้อและกระดูก ตอนเข้าเรียนก็จะรู้สึกกระฉับกระเฉง ไม่ง่วงนอน”

“นี่มันเหตุผลอะไรกัน”

หวังต้าเตาไม่สนใจหลินฟางโจวแม้แต่น้อย เขามองเพียงแค่เสี่ยวหยวนเป่าพร้อมกับเอ่ยถาม “เสี่ยวหยวนเป่า เจ้าจะมาฝึกการต่อสู้กับข้าหรือไม่”

เสี่ยวหยวนเป่ามองไปทางหลินฟางโจว “ท่านคิดเห็นว่าอย่างไร”

หลินฟางโจวเอ่ยตอบ “หากเจ้าอยากเรียนก็เรียน ไม่อยากเรียนก็ไม่ต้องเรียน”

หวังต้าเตาพยายามโน้มน้าวเสี่ยวหยวนเป่า “ภายหลังหากมีคนมารังแกพี่ชายเจ้า เจ้าก็สู้กลับไปได้ เจ้าดูพี่ชายเจ้าสิ แขนขาเล็กบอบบาง เขายังรอการปกป้องจากเจ้าที่เป็นน้องชายอยู่นะ!”

หลินฟางโจวทนฟังต่อไปไม่ไหว “นี่!”

เสี่ยวหยวนเป่าพยักหน้ารับในทันที “ได้ ข้าจะเรียน”

 

ในคืนวันไหว้พระจันทร์แถบหย่งโจวนั้น แทบทุกบ้านต่างก็มาปล่อยโคมน้ำในแม่น้ำ หลินฟางโจวซื้อโคมน้ำมาสองดวง พอตกกลางคืนก็ออกไปนอกเมืองพร้อมกับเสี่ยวหยวนเป่า ที่ริมแม่น้ำไม่ว่าจะบุรุษ สตรี คนชรา หรือเด็กต่างก็มารวมตัวกันมากมายแล้ว หลินฟางโจวกลัวว่าจะเดินพลัดหลงกับเสี่ยวหยวนเป่า มือหนึ่งจึงถือโคมน้ำ ส่วนอีกมือหนึ่งก็จูงมือเขาเอาไว้

มือของหลินฟางโจวทั้งเรียวทั้งนุ่ม เสี่ยวหยวนเป่าจับมือนางตอบพร้อมกับเคลื่อนตัวตามนางไปในกลุ่มคน

ดวงจันทร์ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้าราวกับจานสีเงิน เบื้องล่างมีโคมน้ำที่จุดไฟนับไม่ถ้วน ทำให้ริมแม่น้ำซึ่งเดิมทีเงียบเหงาส่องแสงสว่างจนอบอุ่น เริ่มแรกเสี่ยวหยวนเป่าถูกหลินฟางโจวจูงมือเดินไป หากเมื่อเดินไปได้สักพัก จู่ๆ เขาก็เดินมาอยู่ข้างหน้าและจูงมือนางแทน

กระทั่งเดินไปอีกสักพักหนึ่งเสี่ยวหยวนเป่าก็หยุดเดิน

หลินฟางโจวเอ่ยถาม “มีอะไรหรือ”

เสี่ยวหยวนเป่ายืนอยู่ตรงหน้าต้นไม้ต้นหนึ่งพร้อมกับพูด “เป็นที่ตรงนี้”

เขาเงยหน้าขึ้น นางเห็นเขากำลังยิ้มอยู่ ภายใต้แสงจันทร์กับแสงเทียนที่สาดส่องลงมา ดวงตาของเขาพลันเป็นประกายระยับราวกับดาวดวงเล็กๆ บนฟ้า แววตาบริสุทธิ์สดใส เขาอมยิ้ม มุมปากโค้งขึ้นน้อยๆ ก่อนจะพูดซ้ำอีกรอบหนึ่ง “เป็นที่ตรงนี้”

หลินฟางโจวรู้สึกงุนงงเล็กน้อย นางเอ่ย “ที่นี่ก็ที่นี่สิ”

หลังจากนั้นนางก็พาเขาไปปล่อยโคมน้ำในแม่น้ำ

โคมน้ำดวงเล็กรูปดอกบัวสองดวงลอยไปตามสายน้ำอย่างไม่เร่งรีบ ยิ่งลอยก็ยิ่งไกลออกไป ก่อนจะปะปนไปกับโคมน้ำมากมายและลอยไปตามสายน้ำ โคมน้ำดวงน้อยซึ่งลอยไปตามพื้นผิวแม่น้ำราวกับไหมทองผืนหนึ่งซึ่งฝังอัญมณีเอาไว้นับไม่ถ้วน

สุดท้ายหลินฟางโจวก็ไม่สามารถแยกออกว่าอัญมณีก้อนไหนเป็นของนางได้อีกแล้ว

นางลุกขึ้นยืน มองไปตามผืนน้ำพลางถามเขา “เสี่ยวหยวนเป่า เจ้าคิดถึงบ้านหรือไม่”

เสี่ยวหยวนเป่าส่ายหน้า “ไม่คิดถึง”

“เหลวไหล เจ้าไม่คิดถึงท่านแม่เจ้าบ้างหรือ”

“เพราะว่าข้าคลอดออกมายาก ท่านแม่จึงได้จากไปตั้งแต่คลอดข้าแล้ว ข้าไม่เคยได้พบหน้านางหรอก”

หลินฟางโจวรู้สึกว่าเสี่ยวหยวนเป่าช่างน่าสงสาร นางลูบศีรษะเขาพลางเอ่ยถาม “แล้วท่านพ่อเจ้าเล่า”

“ท่านพ่อข้าเชื่อคำทำนายของผู้อื่น คิดว่าชะตาข้ากับเขาข่มกัน พ่อลูกไม่ควรพบหน้ากัน ด้วยเหตุนี้ข้าจึงไม่ได้เจอเขาบ่อยนัก”

หลินฟางโจวราวกับว่าไม่รู้จะพูดอะไรออกไป นางอยากจะตะโกนด่าออกไปสักรอบหนึ่งมาก แต่คนผู้นั้นก็เป็นถึงบิดาของเสี่ยวหยวนเป่า นางย่อมไม่สะดวกใจที่จะด่า เพียงแค่พูดออกไปว่า “ทำไมท่านพ่อเจ้าถึงทอดทิ้งเจ้าได้ลงนะ”

“ข้าเองก็อยากรู้”

“แล้วที่บ้านเจ้าไม่มีคนที่ควรค่าแก่การคิดถึงบ้างเลยหรือ หากตอนนี้สามารถกลับไปได้อย่างปลอดภัย เจ้าจะกลับไปหรือไม่”

“ข้าหวังว่าจะไม่ต้องกลับไปอีกตลอดกาล”

หลินฟางโจวได้ยินเช่นนี้ก็ปวดใจ นางก้มหน้ามองเขา เห็นใบหน้าเสี่ยวหยวนเป่านิ่งสงบราวกับไร้ซึ่งความเสียใจและความสุข นางจินตนาการไม่ได้เลยว่าเด็กคนหนึ่งจะต้องพบเจอกับอะไรมาบ้างจึงทำให้ใจแข็งประดุจเหล็กเช่นนี้

นางก้มตัวลง หน้าผากแนบไปกับหน้าผากของเสี่ยวหยวนเป่าพลางมองดวงตาเขาด้วยรอยยิ้มกว้าง “เสี่ยวหยวนเป่า”

“หืม?”

“หลังจากนี้พวกเรามาเป็นครอบครัวเดียวกันเถอะนะ”

“อืม” ใบหน้าเรียบเฉยของเขาพลันปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา นางมองเห็นดวงตาของเขามีประกายหยดน้ำ

“เสี่ยวหยวนเป่า”

“หืม?”

“เมื่อครู่เจ้าได้ขอพรอะไรหรือไม่”

“ขอ”

“เจ้าขอพรว่าอะไร”

“คืนนี้ข้าอยากนอนกับท่าน”

“ไส…”

“ว่าแล้วเชียว แค่พูดออกมาก็ไม่เป็นจริงแล้ว”

ฤดูกาลเปลี่ยนผัน โดยไม่ทันรู้ตัวเวลาก็ผ่านไปหกปีแล้ว

ปีนี้หลินฟางโจวอายุยี่สิบสาม ตอนที่นางอายุสิบเจ็ดสิบแปดปีก็พอมีคนมาทาบทามเป็นแม่สื่อให้กับนางบ้างเป็นครั้งคราว ทว่าหลังจากนั้นนางมักจะไปหยอกเย้ากับเหล่าสตรีงามทั้งหลาย ชื่อเสียงจึงค่อยๆ ถูกเล่าลือออกไป ในที่สุดแม้แต่พวกแม่สื่อก็พร้อมใจกันเมินเฉยนางไปด้วย

มีคนบอกว่าหลินฟางโจวสมควรถูกเมินเฉยแล้ว เกี่ยวกับเรื่องนี้นั้นหลินฟางโจวกลับพอใจเป็นอย่างยิ่ง

หลินฟางโจวมักจะควบคุมปากของตนเองไม่ได้ บางครั้งเสี่ยวหยวนเป่าก็พูดเรื่องนี้กับนาง แต่น่าเสียดายที่นางเป็น ‘พี่ชาย’ ของเขา ดังคำกล่าวที่ว่า ‘พี่ชายประดุจบิดา’ เสี่ยวหยวนเป่าจึงไม่อาจทำอะไรนางได้

เสี่ยวหยวนเป่าเองก็เปลี่ยนไปมาก แต่ก่อนเขาดูตัวเล็กๆ ผอมๆ เหมือนกับเป็ดป่า หกปีที่ผ่านมานี้ราวกับเขาได้กลายเป็นข้าวฟ่างซึ่งผ่านฝนที่ตกต้องตามฤดูกาล พอถึงเวลาเก็บเกี่ยวก็เติบโตงอกงามจนเป็นที่น่าพอใจ ตอนนี้ความสูงของเขาพุ่งพรวดจนสูงกว่าหลินฟางโจวไปมากแล้ว

เมื่อก่อนหลินฟางโจวยังดึงหูเสี่ยวหยวนเป่าเพื่อสั่งสอนเขาได้อยู่เลย ทว่ายามนี้นางกลับทำได้เพียงแหงนหน้าพูดคุยกับเขา หากนางอยากจะดึงหูเขาสักครั้งยังต้องให้เขาก้มตัวลงมา นี่ทำให้นางรู้สึกว่าตนเองค่อนข้าง… เฮ้อ ความสง่าผ่าเผยของข้าต่ำเตี้ยเรี่ยดินแล้ว

หวังต้าเตาบอกว่าเหตุผลที่รูปร่างของเสี่ยวหยวนเป่าสูงได้เพียงนี้เป็นเพราะเขายังคงวิ่งทุกวัน ฝึกการต่อสู้ และสร้างความแข็งแกร่งให้ร่างกายอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้หวังต้าเตายังชี้แนะหลินฟางโจวอย่างจริงใจว่าให้ทำเช่นเดียวกัน

หลินฟางโจวเป็นคนขี้เกียจ หลังจากอดทนได้ไม่นานนางก็ตะโกนว่าเหนื่อยออกมาคำหนึ่ง แล้วก็เลิกล้มไปง่ายๆ ตั้งแต่วันนั้น

มีบางครั้งที่นางรู้สึกนับถือเสี่ยวหยวนเป่ามาก เมื่อเขาบอกว่าจะทำก็ทำทันที บอกว่าจะทำมากเพียงใดเขาก็ทำได้ตามนั้น ไม่เคยพยายามหลบเลี่ยงหรือแอบขี้เกียจเลยสักนิด แม้จะเหนื่อยแทบตายแล้วเขาก็ยังกัดฟันพยายามจนสุดกำลัง

หลินฟางโจวยอมรับว่าตนเองทำไม่ได้ ไม่เพียงนางที่ทำไม่ได้ แม้แต่คนส่วนใหญ่ในใต้หล้านี้ต่างก็ทำไม่ได้เช่นเขา

เสี่ยวหยวนเป่าไม่เพียงเรียนการใช้ดาบที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของหวังต้าเตาเท่านั้น เขายังฝึกใช้อาวุธลับกับผู้คุ้มกันชื่อดังคนหนึ่งในที่ว่าการ เขาเรียนมาแล้วสามปี การต่อสู้โดยใช้อาวุธลับนั้นมีรูปแบบเฉพาะตัว หลังจากผู้คุ้มกันคนนั้นสอนแล้วก็เอ่ยชมเสี่ยวหยวนเป่าไม่ขาดปาก และมักจะขอร้องให้เขาไปส่งของกับตน

เสี่ยวหยวนเป่าเป็นผู้ที่มีความสามารถทั้งบู๊และบุ๋น ความฉลาดและความกล้าหาญล้วนมีครบครัน เขาถือเป็นความภาคภูมิใจของสกุลหลินโดยแท้

ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของหลินฟางโจวก็คือการได้เลี้ยงดูเสี่ยวหยวนเป่า

เทศกาลชิงหมิง* เพิ่งผ่านพ้นไป อากาศค่อยๆ อบอุ่นขึ้น หลินฟางโจวกินอาหารเช้าเสร็จก็ย้ายโต๊ะเก้าอี้ออกมาตากแดดข้างนอก เมื่อวานฝนตกลงมา อากาศวันนี้จึงชุ่มชื้นและสดชื่น ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าคราม มองแล้วทำให้คนรู้สึกมีความสุขขึ้นมา

นางนั่งบนเก้าอี้อย่างเกียจคร้านและแทะเมล็ดแตงกินไปด้วย ขณะเดียวกันก็มองเสี่ยวหยวนเป่าซึ่งกำลังฝึกอาวุธลับอยู่ไม่ไกลด้วย

วันนี้เป็นวันหยุดพักผ่อน นางไม่ต้องไปทำงาน เสี่ยวหยวนเป่าก็ไม่ต้องไปเรียน ตอนนี้เขาขว้างอาวุธลับไปที่ต้นไม้ซึ่ง ‘แม่นเหมือนจับวาง’ หลินฟางโจวมองวิธีการปล่อยอาวุธลับของเขาไม่ออก นางรู้แค่ว่านกบนต้นไม้ต้นนั้นต่างตื่นตกใจเพราะเขาจนบินหนีไปหมดแล้ว

ตอนที่มีคนเดินผ่านไปมา ทุกคนก็อดมองเสี่ยวหยวนเป่าสักหน่อยไม่ได้

เสี่ยวหยวนเป่าอายุสิบหกปี เขาเติบโตมาได้อย่างยอดเยี่ยม ซึ่งน่าจะมีอนาคตที่สดใสรออยู่แน่นอน ใบหน้าคมคายเหนือธรรมดา ท่าทางดูสุขุม การเคลื่อนไหวแข็งแรงกระฉับกระเฉง คนที่เห็นต่างต้องร้องชมอยู่ในใจว่า ‘คนรูปงาม!’ หลังจากนั้นก็จะทอดถอนใจว่า ‘ชิๆๆ หนุ่มน้อยรูปงามเช่นนี้ เหตุใดจึงเป็นพี่น้องกับหลินต้าหลางจอมอันธพาลนั่นได้นะ…’

หลินฟางโจวเห็นเรื่องแปลกประหลาดจนคุ้นชินแล้ว นางได้แต่เย้ยหยันอยู่ในใจ ตอนข้าอายุสิบหกก็มีคนชมว่าเป็นหนุ่มน้อยรูปงามเหมือนกันแหละน่า!

ช่างน่าเสียดายที่หลายปีมานี้หลินฟางโจวได้ทำลายชื่อเสียงของตนเองไปหมดสิ้นแล้ว ขณะที่คนอื่นมองนางก็มักจะคิดโยงไปถึงสีหน้าท่าทางยามที่นางเกี้ยวพานสตรี ต่อให้นางจะมีใบหน้ารูปไข่นวลเนียน ทว่ากิริยาท่าทางที่ผ่านมาได้เพิ่มความหยาบกระด้างให้กับรูปโฉมนี้ของนางแล้ว ไม่ว่าใครก็มองนางด้วยประกายตาชื่นชมไม่ได้

คุณชายลั่วเดินผ่านมา มือหนึ่งของเขาถือกรงนก อีกมือจูงบุตรชายอายุสี่ขวบ ครั้นเห็นหลินฟางโจวเขาก็ส่งเสียงทักทายนาง “ฟางโจว กินอะไรหรือยัง”

“กินไปนานแล้ว คุณชายลั่วจะไปชนนกอีกแล้วหรือ”

“อืม ว่าจะไปชนสนุกๆ สักหน่อย เจ้าจะไปด้วยหรือไม่”

หลินฟางโจวอยากไป ทว่าน่าเสียดาย…นางส่ายหน้า “ข้าไม่มีนก”

คุณชายลั่วไม่สนใจ เขายังคงพูดต่อ “ไปดูเฉยๆ ก็ได้”

หลินฟางโจวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นางเงยหน้ามองไปก็เห็นเสี่ยวหยวนเป่าหยุดฝึกซ้อมและกำลังมองมาทางนี้พอดี นางจึงส่ายหน้า “ไม่ไปหรอก ข้าไม่มีเงิน”

ตอนที่ชนนกย่อมยากจะคาดเดาผลแพ้ชนะได้ นี่จึงเป็นความพิเศษอย่างหนึ่งของการพนัน หลายปีมานี้หลินฟางโจวไปเล่นพนันไม่บ่อยแล้ว มีเพียงบางครั้งที่คันไม้คันมือจนถึงที่สุดแล้วจึงค่อยไปเล่นสักตาสองตา

คุณชายลั่วพยักหน้าด้วยความเข้าใจ เขาเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้ม “ข้ารู้ เจ้าเอาเงินไปให้แม่นางเหม่ยอวี้หมดแล้วล่ะสิ”

คุณชายน้อยสกุลลั่วเงยหน้าถามบิดาของเขา “ท่านพ่อ แม่นางเหม่ยอวี้คือใครหรือ”

“เด็กน้อย อย่าได้ถามเรื่อยเปื่อย”

คุณชายลั่วบอกลาหลินฟางโจวก่อนจะจับจูงบุตรชายเดินจากไป

หลินฟางโจวมองเขาที่มือหนึ่งถือกรงนกฮว่าเหมยกับแผ่นหลังที่ค่อยๆ ห่างออกไปไกลแล้ว นางก็อิจฉาอยู่บ้างเล็กน้อย เพราะนางก็เคยเลี้ยงนกฮว่าเหมยมาก่อน แต่เลี้ยงได้ไม่กี่ตัว ยังไม่ทันได้ฝึกสอนอะไรด้วยซ้ำ นกพวกนั้นก็ล้วนแต่ถูกจิ่ววั่นกินแล้ว

จิ่ววั่นไม่ชอบให้นางเลี้ยงนกตัวอื่นอยู่ข้างกาย หากเลี้ยงไว้เมื่อใดมันก็จะกินนกตัวนั้นทันที นับแต่นั้นมานางก็ไม่คิดเลี้ยงนกอีก ทั้งยังล้มเลิกความคิดที่จะจับนกมาชนด้วย

หลังจากคุณชายลั่วไปแล้วเสี่ยวหยวนเป่าก็ฝึกอาวุธลับต่อ หลินฟางโจวแทะเมล็ดแตงไปพลางมองเขาฝึกอาวุธลับไปพลาง

หญิงชราเร่ขายน้ำแกงเดินผ่านมา มือหนึ่งถือกากระเบื้องใบใหญ่ใส่น้ำแกงเย็น อีกมือถือตะกร้าสานจากต้นหลิ่ว ในตะกร้าใส่ดอกไม้สดหลากสีเอาไว้

“น้ำแกงเย็น น้ำแกงเย็นรสเปรี้ยวหวานอร่อย สามารถกระตุ้นความอยากอาหารได้ ต้าหลาง เจ้าจะดื่มสักชามหรือไม่”

“เอาสิ” หลินฟางโจวกำลังคอแห้งจากการแทะเมล็ดแตงอยู่พอดี นางจึงเข้าไปในบ้านแล้วหยิบชามกระเบื้องสีดำออกมาหนึ่งใบ

หญิงชราเทน้ำแกงเย็นใส่ลงไปในชามกระเบื้องใบนั้นจนเต็มพลางพูดไปด้วย “ต้าหลาง ชามใบนี้ใหญ่ไปหน่อย ถือว่าข้าเพิ่มให้เจ้าเป็นพิเศษแล้วกัน!”

น้ำแกงเย็นสีขาวเทลงไปในชามกระเบื้องสีดำ สีขาวดำตัดกันเช่นนี้ดูสวยงามมาก

หลินฟางโจวควักเงินไปตาก็มองดอกไม้สดแต่ละชนิดในตะกร้าดอกไม้ไปด้วย นางเอ่ยถาม “ดอกไม้นี่ก็ขายด้วยหรือ”

“ใช่แล้ว เมื่อวานฝนตก วันนี้เพิ่งไปเด็ดมา สดใหม่ยังมีหยดน้ำเกาะอยู่เลย”

หลินฟางโจวซื้อดอกไม้มาอีกสองดอก ดอกหนึ่งเป็นดอกชาภูเขาสีแดง อีกดอกเป็นดอกอวี้หลัน สีขาว

หญิงชรายื่นน้ำแกงเย็นส่งให้พร้อมกับนำดอกไม้มาวางให้เรียบร้อย จากนั้นจึงพูดกับหลินฟางโจว “สองวันก่อนข้าเจอยายจางที่เป็นแม่สื่อที่อำเภอหลินเซี่ยน นางบอกว่าครอบครัวขุนนางใหญ่สกุลจางในอำเภอหลินเซี่ยนมีบุตรสาวคนเล็กอยู่คนหนึ่ง ปีนี้เพิ่งอายุสิบสี่ กำลังเป็นสาววัยแรกแย้มเชียวล่ะ…ช่างบอบบาง…งานเย็บปักถักร้อยก็ทำได้ดี อีกทั้งยังกตัญญูรู้คุณ”

หลินฟางโจวเอ่ยถาม “คิดจะเป็นแม่สื่อให้ข้าหรือ”

“ฮ่าๆๆ” หญิงชราพลันหัวเราะ

หลินฟางโจวทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง

หญิงชราหยุดหัวเราะได้แล้วก็ทำตัวไม่ถูกเช่นกัน นางเอามือป้องปากพลางเอ่ย “แม่นางน้อยผู้นั้นเพิ่งจะอายุสิบสี่เองนะ เด็กกว่าเจ้าหลายปีเกินไป เกรงว่านิสัยจะเข้ากับเจ้าไม่ได้ ที่ยายจางคนนั้นให้ข้ามาถามคือน้องชายของเจ้าต่างหาก”

หลินฟางโจวฟังเข้าใจแล้ว นางพูดพร้อมกับพยักหน้า “ได้ ข้าจะลองถามความเห็นเขาดู ข้าไม่ได้โอ้อวดหรอกนะ คนที่มาเป็นแม่สื่อให้น้องชายข้ามีมากจนประตูบ้านข้าแทบจะพังแล้ว เพียงแต่เจ้าเด็กคนนี้ดื้อรั้นมากทีเดียว ข้าก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาจึงเรื่องมากนัก คนนี้ก็ไม่ยอม คนนั้นก็ไม่ต้องการ”

หญิงชรายังคงเอ่ยโน้มน้าว “เขาเป็นคนหนุ่มขี้อายคนหนึ่ง เจ้าเป็นพี่ชายเขา พี่ชายประดุจบิดา ควรตัดสินใจให้เขาสิ อย่าให้เขาตัดสินใจด้วยตนเองเลย”

หลินฟางโจวพยักหน้ารับ

หลังจากหญิงชราจากไปแล้วหลินฟางโจวก็ยกชามน้ำแกงเย็นขึ้นดื่ม น้ำแกงเย็นนี้ใช้น้ำข้าวหมัก รสชาติทั้งเปรี้ยวทั้งหวาน ทำให้นางชุ่มคอเป็นอย่างมาก หลินฟางโจวดื่มอย่างมีความสุข ก่อนจะหยิบดอกชาภูเขาขึ้นมาเสียบบนผม

เสี่ยวหยวนเป่าหันไปมองหลินฟางโจวแวบหนึ่ง เมื่อเห็นนางเสียบดอกไม้สีแดงไว้บนผมพร้อมกับมองเขาด้วยรอยยิ้ม ชั่วขณะนั้นเขาก็มองเห็นเพียงรอยยิ้มของนาง ทั้งรับรู้ได้ถึงจิตใจที่โยกคลอนสั่นไหว อาวุธลับอันหนึ่งที่เขาขว้างออกไปถึงกับเฉออกจากเป้า

เขาไม่คิดจะฝึกต่อแล้ว ตัดสินใจเดินมานั่งข้างนาง

หลินฟางโจวยื่นผ้าเช็ดหน้าให้เสี่ยวหยวนเป่าเช็ดเหงื่อ ทว่าเขาไม่ยอมรับไป กลับขยับหน้าเข้ามาใกล้คล้ายรอให้นางช่วยเช็ดให้เขา

นางโยนผ้าเช็ดหน้าใส่หน้าเขาทันที “โตจนป่านนี้แล้วยังจะมาออดอ้อนเป็นเด็กอีก”

“ไม่ได้ออดอ้อนเสียหน่อย” เสี่ยวหยวนเป่าหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นมาเช็ดเหงื่อด้วยตนเองอย่างช้าๆ ขณะที่เช็ดเขาก็เอ่ยถามไปด้วย “แม่นางเหม่ยอวี้เป็นใครกัน”

ความสามารถในการได้ยินของเสี่ยวหยวนเป่าดีมาก เมื่อครู่นี้ไม่ว่านางพูดคุยกับใครด้วยเรื่องอะไรบ้าง เขาก็ล้วนได้ยินทั้งหมดแล้ว

หลินฟางโจวพูด “เด็กน้อย อย่าได้ถามไปเรื่อย”

“ข้าไม่ใช่เด็กน้อยแล้ว”

“จริงสินะ เป็นคนที่ควรแต่งงานได้แล้ว ข้าว่านะเสี่ยวหยวนเป่า…”

เขาพูดขัดนางขึ้นมาทันที “ท่านอย่าเรียกข้าว่าเสี่ยวหยวนเป่าอีกเลย ข้าโตแล้วนะ”

“เช่นนั้นจะให้ข้าเรียกเจ้าว่าอะไร ต้าหยวนเป่า?”

เขาก้มหน้าลง หลินฟางโจวเห็นเพียงมุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย

ด้วยไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ นางจึงเอ่ยถาม “เจ้ายิ้มอะไร หรือกำลังมีแผนร้ายอะไรอีก”

“ไม่มี”

หลินฟางโจวชี้ดอกชาภูเขาสีแดงบนศีรษะตนเอง “ดูดีหรือไม่”

เขาจ้องนางอย่างจริงจังพร้อมกับตอบเสียงเบา “ดูดี”

“มา เช่นนั้นเจ้าก็เอาไปเสียบไว้บ้าง” หลินฟางโจวพูดแล้วยื่นดอกอวี้หลันสีขาวส่งให้เขาด้วย

“ไม่!”

“มาสิ เสียบไว้ เสียบให้ข้าดูหน่อย”

“ไม่เสียบ”

“มา ข้าจะช่วยเสียบดอกไม้ให้เจ้า” หลินฟางโจวยิ้มกว้าง มือหนึ่งจับแขน อีกมือก็คว้าไหล่พลางดึงเสี่ยวหยวนเป่าเข้ามา เขาไม่ได้หลบ ยอมให้นางจัดการได้ตามใจ สุดท้ายมือหนึ่งของนางก็กดลงไปบนศีรษะเขา ในที่สุดดอกอวี้หลันก็เสียบอยู่บนมวยผมของเขา

“น่าเบื่อ” เสี่ยวหยวนเป่าพูดพร้อมกับนั่งตัวตรง แสร้งทำเป็นไม่สนใจ ทว่าใบหน้ากับหลังใบหูกลับร้อนฉ่าขึ้นมาเล็กน้อย เขารู้สึกไม่ค่อยมั่นใจเท่าไรนักจึงรีบใช้มือพัดไปมา “ร้อนจริงๆ” หลังจากนั้นก็ก้มหน้ามองน้ำแกงเย็นที่เหลืออยู่อีกครึ่งหนึ่งในชามกระเบื้องสีดำบนโต๊ะ เขาไม่ได้รังเกียจที่หลินฟางโจวดื่มไปแล้ว จึงยกน้ำแกงเย็นขึ้นมาดื่มอึกใหญ่

แม่นางรูปร่างอรชรคนหนึ่งเดินผ่านมา หลินฟางโจวมองแม่นางคนนั้นพลางร้องเพลงด้วยรอยยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ย

“เจ้าคนโง่ พี่ชายข้า

เราสองปั้นขึ้นมาด้วยโคลนเหลือง

ปั้นเจ้าตัวหนึ่ง ปั้นข้าตัวหนึ่ง

ปั้นออกมาราวกับมีชีวิต

ปั้นออกมาให้นอนร่วมเตียง

ทุบดินปั้น แช่น้ำปั้นใหม่

ปั้นเจ้าตัวหนึ่ง ปั้นข้าตัวหนึ่ง

บนตัวพี่ชายมีน้องสาว บนตัวน้องสาวมีพี่ชาย”

สาวน้อยเขินอายจนใบหน้าแดงก่ำก่อนจะรีบก้าวยาวๆ เดินหนีไปราวกับสายลม

หลินฟางโจวยังจะร้องอีกหนึ่งเพลงแต่กลับได้ยินเสียงเพล้งดังมาจากข้างกายเสียก่อน นางตกใจจนสะดุ้ง ตอนที่หันหน้าไปมองก็เห็นเสี่ยวหยวนเป่าทำชามกระเบื้องแตกละเอียดไปแล้ว

ทำชามแตกเช่นนี้ สีหน้าเขาก็ดูย่ำแย่มากทีเดียว

 

 

ติดตามต่อในเล่ม

หน้าที่แล้ว1 of 18

Comments

comments

No tags for this post.
sangdow Marcom: