บทที่ 1 แรกพบของขอทานน้อยกับมือปราบเทวดา
ใครก็ว่าเมืองหลวงดีเลิศไปเสียทุกอย่าง ทว่าอวี้ฉีหลินที่เพิ่งมาเมืองหลวงเป็นครั้งแรกกลับไม่คิดเช่นนั้น
นางสวมชุดผ้าฝ้ายเนื้อหยาบปุปะ เส้นผมเหนียวกรังเป็นก้อนๆ เนื้อตัวสกปรกมอมแมม ไม่ว่ามองอย่างไรก็เป็นขอทานซอมซ่อคนหนึ่ง! แต่แม้ใบหน้าจะดำมอจนแทบมองไม่เห็นเค้าเดิม ดวงตาสีดำตัดขาวชัดเจนคู่นั้นกลับส่องประกายสุกใสปราดเปรียว แตกต่างจากส่วนอื่นของร่างกายโดยสิ้นเชิง
ขอทานน้อยขมวดคิ้วทำปากอูด เอามือเท้าสะเอวยืนมองถนนใหญ่อันหรูหราและคึกคัก แล้วอดบ่นกับตัวเองอยู่ในใจไม่ได้ว่า ที่ทุเรศทุรังแบบนี้มีดีตรงไหนกัน อึกทึกหนวกหูจะตายชัก เดินไปทางไหนก็เจอแต่คน คน แล้วก็คน…อากาศไม่สะอาดบริสุทธิ์ ทิวทัศน์ไม่ได้สวยงามราวกับภาพวาดเหมือนเขาเอ๋อเหมย (คิ้วหงส์) สักนิด
ระหว่างนั้นเองเสียงกลองดังกระหึ่มขึ้นในจังหวะรื่นเริง คล้ายกำลังจัดงานมงคลอะไรสักอย่าง
บ้านไหนแต่งสะใภ้คนใหม่กันนะ อวี้ฉีหลินพลอยมองตามฝูงชนด้วยความอยากรู้อยากเห็น
คนสิบแปดคนในอาภรณ์หรูหราแบ่งเป็นสองแถวเดินมาตามถนนช้าๆ สี่คนที่อยู่หน้าสุดคือองครักษ์ในชุดเกราะถือหอกยาว ท่าทางขึงขังน่าเกรงขาม ทำหน้าที่เบิกทางให้กลุ่มคนที่อยู่ข้างหลัง ถัดจากองครักษ์คือสาวใช้แต่งตัวงดงามสี่คน แต่ละคนถือเตาเครื่องหอมอยู่ในมือ ควันสีเขียวอมฟ้ากรุ่นกลิ่นหอมลอยขึ้นมาอย่างต่อเนื่องแล้วกลืนหายไปกับสายลม ข้างหลังพวกนางคือองครักษ์คู่หนึ่งที่ช่วยกันถือแผ่นป้ายขนาดใหญ่ด้วยท่าทางสุขุมจริงจัง
ตัวป้ายยาวประมาณจั้ง* กว่า กว้างสักสามเชียะ** ไม่เคลือบสี อวดเนื้อไม้ประดู่ม่วงชั้นดี ผ้าแพรทอลายสีแดงชาดคุณภาพเป็นเลิศสำหรับใช้ในวังหลวงถูกขมวดเป็นดอกไม้ขนาดใหญ่ห้อยอยู่เหนือป้าย ต่ำลงมาจากดอกไม้คือตัวอักษรที่คล้ายจะเลี่ยมทองคำแท้ส่องประกายวูบวาบอยู่ใต้แสงอาทิตย์ ดูหรูหราสูงค่าอย่างยิ่ง
ชาวเมืองชะเง้อมองกันคอยื่นคอยาวพลางส่งเสียงฮือฮาด้วยความอัศจรรย์ใจ ช่างเป็นขบวนที่ยิ่งใหญ่ทรงเกียรติอะไรอย่างนี้! เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังเซ็งแซ่ขึ้นทันที
อวี้ฉีหลินพยายามเอาหัวมุดเข้าไปในฝูงชน พวกชาวบ้านยืนเบียดเสียดจนไหล่เกยกันก็จริง ทว่านางก็ยังพาตัวเองแหวกไปตามคลื่นมหาชนได้อย่างคล่องแคล่วราวกับปลาตัวน้อย เพียงครู่เดียวก็ได้โผล่ออกมาอยู่หน้าสุดแล้วเงยหน้ามองขึ้นไป
เอ๋? ชายอ้วนขาวนุ่มนิ่มสองคนที่เดินอยู่หลังป้ายสวมอาภรณ์หรูหราก็จริง แต่กลับถือแส้อยู่ในมือ…หรือว่าจะเป็นขันที? อวี้ฉีหลินนิ่งคิดแล้วเหลือบไปมองสาวใช้กับองครักษ์พวกนั้นอีกครั้ง แต่ละคนแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าชั้นดีมีราคา ผิดกับคนทั่วไป แสดงว่ามาจากในวังหลวงอย่างนั้นหรือ
“เนื้อ-คู่-กิ่ง-ทอง-ใบ-หยก” ระหว่างที่กำลังมองป้ายแผ่นนั้น ใครคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็อ่านอักษรบนป้ายช้าๆ
นางย่นจมูกแล้วบ่นออกมาอย่างอดไม่อยู่ “ทั้งประโคมมโหรีทั้งมีองครักษ์…กับแค่เอาป้ายกระจอกๆ ไปส่ง จะทำให้เอิกเกริกวุ่นวายถึงเพียงนี้ทำไมนะ”
ประโยคนั้นของนางเรียกสายตาดูถูกเหยียดหยามจากบัณฑิตที่ยืนข้างๆ ฝ่ายนั้นปรายตามองนาง แค่นเสียงขึ้นจมูกหยันๆ ก่อนจะเหลือบกลับไปมองป้ายแผ่นนั้นอีกครั้ง แล้วให้มือไม้สั่นด้วยความตื่นเต้น “ป้ายกระจอก? ไม่รู้หรืออย่างไรว่านี่น่ะป้ายพระราชทานเชียวนะ! ท่านแม่ทัพจินกับราชเลขาเจียงนี่ช่างมีบุญโดยแท้!”
* จั้ง เป็นหน่วยวัดความยาวของจีน เทียบระยะได้ประมาณ 3.33 เมตร
** เชียะ (ฉื่อ) เป็นหน่วยวัดความยาวของจีน เทียบความยาวได้ประมาณ 10 นิ้ว หรือหนึ่งส่วนสามเมตร 10 เชียะเท่ากับ 1 จั้ง
ชาวนาเสื้อเทาอมเขียวที่ยืนข้างบัณฑิตพูดขึ้นบ้าง “คุณชายจวนแม่ทัพจินจะแต่งงานกับลูกสาวราชเลขาเจียง…จุ๊ๆ ขุนนางบุ๋นบู๊ที่สำคัญที่สุดของรัชกาลนี้จะได้เกี่ยวดองเป็นทองแผ่นเดียว ช่างสมน้ำสมเนื้อกันจริงๆ! แถมยังเป็นสมรสพระราชทานจากไทเฮาอีกต่างหาก น่าอิจฉาเป็นบ้า!”
บัณฑิตพยักหน้าหงึกๆ “แน่นอนอยู่แล้ว! จินฮูหยินเป็นหลานสาวแท้ๆ ของไทเฮานี่นา”
แม่ทัพจิน!? สามคำนี้ทำให้อวี้ฉีหลินสะดุ้งเฮือก ตื่นตัวขึ้นมาทันตา แล้วรีบหันไปถามบัณฑิตคนนั้น “แม่ทัพจิน? แม่ทัพจินไหน”
บัณฑิตมองนางด้วยสายตาเหยียดหยามอย่างไร้ที่เปรียบพลางกระถดตัวหนีไปด้านข้าง ราวกับเกรงว่าคราบสกปรกมอมแมมของนางจะเปรอะเปื้อนตนเข้า “ทั่วทั้งเมืองหลวงยังจะมีแม่ทัพจินไหนอีกล่ะ ก็ท่านแม่ทัพจินจิ้งน่ะสิ”
อวี้ฉีหลินถามต่ออย่างว่องไว “แล้วแม่ทัพจินจิ้งที่ว่ามีลูกชายทั้งหมดกี่คน”
ลุงชาวนาที่ยืนอยู่ด้วยกันจิตใจดีกว่า จึงไม่รังเกียจขอทานน้อยจอมมอมแมมคนนี้แล้วยิ้มตอบอย่างอารี “ท่านแม่ทัพจินมีลูกชายเพียงคนเดียว ชื่อจินหยวนเป่า* ไม่แน่ว่าน้องชายอาจเคยเห็นเขาตามถนนก็ได้นา”
“จิน-หยวน-เป่า?” อวี้ฉีหลินหัวเราะลั่นอย่างกลั้นไม่อยู่ “ไม่เคยเห็นหรอก ไม่เคยเห็น ชื่อที่ฟังดูซื่อบื้อขนาดนี้ หากเคยเห็นข้าจะต้องจำได้แน่!” ปากหัวเราะขบขัน หากแต่ในใจจดจำนามนี้อยู่เงียบๆ
“หวา จะไปแล้วๆ รีบตามเร็ว!”
ไม่รู้ว่าใครตะโกนขึ้นมาอย่างนั้น ฝูงชนตื่นตัวกันถ้วนหน้า อวี้ฉีหลินเพิ่งจะตั้งสติได้ก็ต่อเมื่อถูกเบียดไปข้างหลัง ขบวนส่งมอบป้ายจะไปแล้ว! ไม่ได้การ ต้องรีบตามไป จะได้เจอจวนแม่ทัพจิน…หลังจากนั้นค่อยแฝงตัวเข้าไป…
“ซี้ด!” ความเจ็บจี๊ดแล่นจากปลายเท้าเข้ามาถึงหัวใจจนต้องสูดปาก นางเซแซดๆ ไปข้างหลังสองก้าว แล้วสัมผัสได้ว่าเหยียบโดนอะไรนิ่มๆ
“กรี๊ด…” เสียงแปดหลอดหวีดแหลมขึ้นมาข้างหลัง
อวี้ฉีหลินยกมืออุดหูทันควันแล้วหันไปมอง
หญิงสาวหน้าตาสะสวย แต่งตัวงดงาม ท่าทางเป็นลูกสาวคนมีเงินยืนเท้าสะเอวถลึงตาจ้องนางอย่างจะกินเลือดกินเนื้ออยู่ตรงนั้น “นี่! ไอ้ขอทานเหม็นสาบ! เดินไม่รู้จักดูทางหรือไร!”
คงเพราะน้ำเสียงนางแว้ดแหวแสบแก้วหู ผู้คนที่กำลังเดินดันกันเป็นคลื่นจึงล้วนแต่ชะงักเท้า มองซ้ายมองขวาอย่างตัดสินใจลำบากว่าจะตามขบวนส่งมอบป้ายต่อหรือจะหยุดดูคนตีกันตรงนี้ดี พวกที่เห็นว่าคนตีกันน่าสนใจกว่าขบวนแห่อันยิ่งใหญ่เริ่มออกจากขบวนและเข้ามามุงคู่กรณีทั้งสอง แถมยังไม่ใช่วงเล็กๆ เสียด้วย…
ในกลุ่มคนเหล่านั้น ชายตาโตหน้ากลมคนหนึ่งขยับเข้าไปใกล้หญิงสาวผู้มีอันจะกินช้าๆ…
อวี้ฉีหลินมองชายคนดังกล่าวพลางมุ่นหัวคิ้ว
“นี่!” คู่กรณีของนางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ข้าว่าเจ้าอยู่นะ! ไอ้ขอทานเหม็นสาบ มัวแต่มองไปทางไหน!?”
อวี้ฉีหลินค่อยๆ ย้ายสายตากลับมายังเจ้าของเสียงแล้วถามหน้าเหลอ “แม่นาง หากข้าจำไม่ผิด…เจ้าเหยียบเท้าข้าก่อนแท้ๆ เลยนะ”
ฝ่ายตรงข้ามผงะไป ก่อนจะกัดริมฝีปาก ตีรวนใส่อย่างไม่ยอมแพ้ “เจ้าทำรองเท้าข้าเลอะ มีปัญญาใช้หรือไม่! ตาบอดหรืออย่างไร!?”
* จิน เป็นแซ่ของชาวจีน แปลว่าทองคำ หยวนเป่า แปลว่าก้อนเงิน
อวี้ฉีหลินกะพริบตาปริบๆ ด้วยสีหน้าใสซื่อ จากนั้นก็ค่อยๆ หลุบตาลงมองคราบเปื้อนบนรองเท้าอีกฝ่าย แล้วเหมือนจะคิดอะไรออก ถึงได้ยิ้มทะเล้นพร้อมยกมือคำนับ “เลอะจริงๆ เสียด้วยสิ…ขออภัย ถ้าอย่างไรเจ้าใส่รองเท้าข้าแทนแล้วกัน” พูดจบก็ยื่นเท้าไปข้างหน้า
หญิงสาวฐานะดีคนนั้นมองรองเท้าผ้าสกปรกที่ขาดจนเห็นนิ้วโป้งแล้วให้โกรธจนเลือดคั่งหน้า “เจ้า! นี่เจ้าจงใจใช่หรือไม่! ใครจะไปใส่รองเท้าสกปรกของขอทาน! หึ ดูสารรูปก็รู้แล้วว่าไม่มีปัญญาใช้ให้ข้าแน่ ถ้าอย่างนั้นก็คุกเข่าโขกหัวคำนับแล้วเรียกข้าว่าท่านย่าสิ ข้าจะยอมละเว้นให้”
คุกเข่าโขกหัวคำนับ? อวี้ฉีหลินหรี่ตา โทสะเริ่มปรากฏเค้าบนใบหน้า “นี่ เป็นสาวเป็นแส้ หน้าตาออกสวยแท้ๆ ไยปากคอถึงได้จัดจ้านนัก!”
“เจ้าหาว่าข้าปากจัดหรือ” ฝ่ายตรงข้ามเต้นผาง ยกมือชี้หน้านางอย่างโกรธจัด “ข้าจะบอกให้นะ โขกหัวคำนับเสีย แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป รู้ไว้เสียด้วยว่าท่านนายอำเภอเป็นคนบ้านเดียวกับน้องชายน้าสะใภ้ของอาห่างๆ ของข้า!”
ความสัมพันธ์ห่างกันเป็นโยชน์เลยทีเดียว… อวี้ฉีหลินฟังแล้วหางตากระตุก ทว่ายังไม่ทันพูดอะไรก็เห็นมือของใครบางคนเอื้อมเข้ามาหาบั้นเอวของหญิงสาวฐานะดีคนนั้น แล้วล้วงเอากระเป๋าเงินไปอย่างเบากริบ
นางอ้าปากหวอ ชี้ไปข้างหลังอีกฝ่าย หญิงฐานะดีชะงักเล็กน้อยแล้วหันไปมองตามด้วยความกังขา จึงได้เห็นบุรุษหน้ากลมตากลมชูกระเป๋าเงินของตนอย่างเย้ยหยัน
หญิงสาวนิ่งตะลึง รีบลดมือลงควานบั้นเอวทันที ก่อนจะแผดเสียงแปดหลอดขึ้นอีกครั้ง “ว้าย…กระเป๋าเงินข้า… จับขโมยที! ช่วยจับขโมยที!”
อวี้ฉีหลินกระโดดเหยงพร้อมส่งเสียงตะโกนบ้าง “ช่วยจับขโมยเร็ว!”
ชาวบ้านที่ยืนมุงโดยรอบกลับเหลียวมองหน้ากันไปมาก่อนจะสลายตัวอย่างว่องไว ไม่มีใครไล่ตามเจ้าหัวขโมยนั่นไปแม้แต่คนเดียว!
“เฮ้อ…คนเมืองหลวงนี่มีความรู้แต่จิตใจต่ำจริงๆ!” อวี้ฉีหลินทอดถอนใจ หากเป็นเขาเอ๋อเหมยบ้านนางล่ะก็ อย่าว่าแต่วิ่งราวกันกลางถนนหนทางเลย แค่แอบหักข้าวโพดจากต้นแค่ฝักเดียวก็ถูกพวกชาวบ้านไล่รุมประชาทัณฑ์แล้ว!
พอเหลือบตามองอีกทีก็เห็นสตรีฐานะดีนางนั้นถลกกระโปรงวิ่งเอวบิดตามเจ้าหัวขโมยไปอย่างตุปัดตุเป๋ แต่ด้วยฝีเท้าระดับนั้น น่ากลัวว่ากระทั่งเงาของหัวขโมยก็คงตามไม่ทัน!
นางกวาดสายตาเข้าไปในฝูงชนตามทิศทางที่คนร้ายวิ่งหนีไป พอเห็นร่างที่กำลังวิ่งอยู่ในกลุ่มชาวบ้านก็รีบสาวเท้าไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว
โจรร้ายวิ่งด้วยฝีเท้าไม่เร็วไม่ช้า ซ้ำยังหันกลับไปชูกระเป๋าเงินทำหน้าทำตาล้อเลียนหญิงฐานะดีนางนั้นเป็นระยะ แล้วให้ขบขันท่าวิ่งกะโผลกกะเผลกของอีกฝ่ายยิ่งนัก มันชะลอฝีเท้าลง หมายจะรอให้อีกฝ่ายวิ่งเข้ามาใกล้พลางคิดกับตัวเองว่าหญิงผู้นี้หน้าตาไม่เลว จับตัวส่งไปให้เบื้องบนเพิ่มขึ้นอีกคนเสียเลย จะได้ได้เงินมากหน่อย
ระหว่างที่กำลังฝันหวานกับตัวเองอยู่นั้น ร่างดำตะคุ่มร่างหนึ่งก็วิ่งตรงเข้ามาหามันอย่างเอาเป็นเอาตาย
เจ้าหัวขโมยเพ่งตามองไป นั่นมันขอทานน้อยคนนั้นไม่ใช่หรือ คิดจะทำอะไรของนางกันนะ สัญชาตญาณอันเกิดจากอาชีพที่ทำยังผลให้หัวขโมยเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นทันที!
วิ่งออกมาได้สักพัก พอเหลียวกลับไปมองอีกทีก็แทบสะดุดพื้นหัวทิ่มด้วยความตกใจ ไฉนขอทานน้อยถึงได้ว่องไวเช่นนี้! ตัวมันเองมีฉายาเลื่องลือในยุทธภพว่า ‘เสือดาวเวหา’ แท้ๆ วัดกันด้วยความเร็วในการวิ่ง ไม่มีชาวยุทธ์หน้าไหนกินมันลง ขอทานน้อยคนนี้มาจากไหนถึงได้เร็วเสียยิ่งกว่ามัน!
เสือดาวเวหาสูดหายใจเร่งความเร็วอย่างไม่ลังเล ตอนที่วิ่งผ่านป้ายเป็นมันเลื่อมแผ่นหนึ่ง มันมองเห็นจากเงาสะท้อนบนนั้นว่าขอทานน้อยใช้ปลายเท้าถีบกำแพงกระโดดขึ้นลงอย่างคล่องแคล่ว จนระยะห่างระหว่างทั้งคู่ลดลงยิ่งกว่าเดิม และเข้าใกล้ตนขึ้นทุกที!
“หยุดนะ!” อวี้ฉีหลินไล่ตามพลางตวาดอย่างเดือดดาล
ยอดฝีมือ! เสือดาวเวหาคิดกับตัวเองเช่นนั้น… ดวงตากลมโปนตวัดวูบ ก่อนจะเปลี่ยนทิศทางวิ่งเข้าตรอกเล็กที่อยู่ข้างๆ จากนั้นก็ผลักรถเข็นขนาดใหญ่ที่บรรทุกฟืนเต็มเพียบไปกลางถนนเพื่อขวางทางฝ่ายตรงข้าม
กลับกลายเป็นว่าขอทานน้อยทะยานตัวข้ามรถเข็นฟืนได้อย่างคล่องแคล่วปราดเปรียว
เสือดาวเวหาใจหายวูบเมื่อเห็นดังนั้น มันใช้ปลายเท้าถีบตัวกระโดดขึ้นไปบนหลังคาบ้านแล้ววิ่งต่อ ข้ามหลังคาบ้านมาหลายหลังก็ก้มหน้าลงไปมองอีกที จึงพบว่าขอทานน้อยหายไปแล้ว!
หึ ริจะลองดีกับข้า ยังอ่อนหัดนัก! โจรร้ายกระโดดลงมาบนพื้นอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง ทว่ายังไม่ทันได้สูดหายใจ อวี้ฉีหลินก็ก้าวพรวดเข้ามาขวางหน้าไว้
“ไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ!” มันกัดฟันคำราม ก่อนจะเบี่ยงตัววิ่งหนีเข้าไปกลางตลาดอีกครั้ง
หญิงสาวยกมุมปากยิ้มแล้ววิ่งตาม
ทั้งสองวิ่งไล่กวดกันไปตามถนน เสือดาวเวหาที่อยู่ข้างหน้าพยายามคว่ำแผงขายของใหญ่น้อยไปตลอดทาง ทว่าอวี้ฉีหลินก็กระโดดข้ามพ้นทุกครั้งอย่างคล่องแคล่ว มิหนำซ้ำยังจับข้าวของที่ถูกเสือดาวเวหาล้มคว่ำให้ตั้งตรงเหมือนเดิม หรือพยุงคนที่ถูกผลักไม่ให้ล้ม
เสียงดนตรีคุ้นหูดังแว่วมาให้ได้ยิน อวี้ฉีหลินเขม้นตามอง เห็นคนกลุ่มหนึ่งเคลื่อนไหวอยู่ข้างหน้า นั่นมันขบวนส่งมอบป้ายไม่ใช่หรือ หากโจรถ่อยแวบหายเข้าไปในนั้นคงหาตัวลำบากแล้ว! นางเหลือบตามอง แล้วหันขวับยื่นปลายเท้าข้างหนึ่งไปเกี่ยวม้านั่งตรงข้างทางก่อนจะเตะออกไปเต็มแรง!
ม้านั่งตัวนั้นกระแทกถูกร่างเสือดาวเวหาเข้าอย่างจังจนมันล้มลงไปกับพื้นพร้อมร้องด้วยความเจ็บ
อวี้ฉีหลินกระโจนตามเข้าไปโรมรันพันตูกับอีกฝ่าย
เสือดาวเวหาเสียใจยิ่งนัก…เสียใจที่ไม่ได้พลิกดูปฏิทินก่อนออกจากบ้าน วันนี้เป็นวันอับโชค ทำอะไรก็ไม่ราบรื่นใช่หรือไม่ ไฉนถึงมาเจอดาวเคราะห์ดวงนี้เสียได้ วิชาตัวเบาเลิศล้ำอย่างเดียวไม่พอ วรยุทธ์ยังไม่ด้อยไปกว่ามันอีกด้วย
เพิ่งจะประมือกันได้ไม่กี่กระบวนท่า มันก็ตกเป็นรองเสียแล้ว ช่างเถิด รู้รักษาตัวรอดคือยอดคน! ความคิดแล่นปราด มันโยนกระเป๋าเงินขึ้นไปกลางอากาศ แล้วอาศัยจังหวะที่ขอทานน้อยห่วงแต่รับกระเป๋าเงินหมุนตัววิ่งจากไปอย่างไม่เห็นฝุ่น
อวี้ฉีหลินเดาะกระเป๋าเงินในมือพลางเบี่ยงตัวมองตามร่างที่วิ่งหนีไปของเสือดาวเวหา นางเลิกคิ้วด้วยสีหน้าสนุกสนาน รอยยิ้มบางเหมือนจิ้งจอกตัวน้อยปรากฏขึ้นบนใบหน้า ก่อนจะใช้ปลายเท้าถีบตัวเหาะเหินอย่างคล่องแคล่ว ไล่ตามอีกฝ่ายไปอีกครั้ง
หลังจากที่ทั้งสองคนลับตัวไปแล้ว ร่างของคนสามคนก็เดินออกมาจากตรอกเล็กที่ตั้งอยู่ด้านข้าง
ทั้งสามแต่งกายด้วยอาภรณ์หรูหรา มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่ชาวบ้านทั่วไป สองคนในนั้นมีลักษณะคล้ายองครักษ์ คนหนึ่งสวมชุดรัดกุมสีดำ คิ้วหนา ตาโต สูงกว่าแปดเชียะ แค่ดูก็รู้ว่าต้องเป็นวรยุทธ์ อีกคนที่ยืนข้างกันหน้าตาสะอาดสะอ้าน ตัวไม่สูงนัก แม้จะสวมใส่เสื้อคลุมธรรมดาแต่นัยน์ตากลับเป็นประกายคมกล้าเหมือนอ่านใจคนได้ทะลุ
หากแต่บุรุษท่าทางคล้ายคุณชายที่ยืนหน้าทั้งคู่กลับดูสง่างามยิ่งกว่า ผิวของเขาขาวผ่องเนียนเกลี้ยง บ่งบอกชาติตระกูลอันสูงศักดิ์ ทว่าใบหน้าคมคายดูสมชายชาตรีอย่างยิ่ง นัยน์ตาสีดำสนิทที่อยู่ใต้คิ้วดาบนั้นลึกล้ำ ส่องประกายฉลาดเฉลียวแววไว
เขาโบกพัดเกล็ดหิมะทองในมือเบาๆ อาภรณ์บนร่างเป็นสีขาวยวงดุจดวงจันทร์ สวมทับด้วยเสื้อคลุมสีน้ำเงินสด ขับเน้นบุคลิกให้ยิ่งโดดเด่นเตะตา ดูสมกับคำเปรียบเปรยว่า ‘คุณชายตระกูลใหญ่เจิดจรัสดุจหยกน้ำงาม’ อย่างแท้จริง
“หัวหน้าคาดการณ์แม่นยำนัก! เสือดาวเวหาวิ่งหนีมาจากทางนี้จริงๆ!” ชายที่สวมชุดดำพูดขึ้น
“หัวหน้า ดึงแหขึ้นมาได้แล้วกระมังขอรับ” ชายในเสื้อคลุมตัวยาวพูดเช่นนั้น แล้วทำท่าจะตามอวี้ฉีหลินกับเสือดาวเวหาไป
ผู้เป็นนายรวบพัดยกขึ้นขวางอีกฝ่ายเอาไว้พลางกล่าวเนิบๆ “ไม่ต้องรีบร้อน รอดูไปซิว่ายังมีใครอยู่เบื้องหลังมันอีก” น้ำเสียงของเขาทุ้มนุ่มดุจสายน้ำ คล้ายมีมนตร์สะกดชวนให้สงบใจ
ชายที่สวมเสื้อคลุมยาวชะเง้อคอมองตามร่างที่หายลับสายตาไป ก่อนจะถามอย่างร้อนรน “แล้วจะปล่อยให้มันหนีไปทั้งอย่างนี้หรือขอรับ”
คุณชายผู้นั้นตวัดข้อมือคลี่พัดออกโบกช้าๆ ลมอ่อนพัดปอยผมตรงหน้าผากเจ้าตัวให้พลิ้วไหว ดวงตาคมหรี่ลงเล็กน้อย “ตามไปข้างหลัง แต่ให้มันหนีต่อ”
ระหว่างนั้นเสือดาวเวหาได้หนีหายเข้าไปในตรอกเปลี่ยวร้างคนตรอกหนึ่ง มันหอบหายใจฟืดฟาดแล้วหันกลับไปสำรวจด้านหลังอย่างหวาดหวั่น แต่ไม่เห็นใครแม้แต่คนเดียว
มันเอามือยันกำแพงพรูลมหายใจยาวเหยียด ในที่สุดก็หนีพ้นเสียที
ไม้คานหาบด้ามหนึ่งพลันยื่นออกมาจากด้านข้าง!
เสือดาวเวหาสะดุ้งโหยง พอเงยหน้าขึ้นไปเจอนัยน์ตาสุกสกาวราวกับผลึกแก้ว มันก็ส่งเสียงครางอย่างหมดแรง ไม่อยากเชื่อเอาเสียเลยจริงๆ ว่าตนจะสลัดเจ้าขอทานเหม็นสาบคนนี้ไม่หลุดเสียที!
อวี้ฉีหลินเงื้อไม้คานหาบฟาดไหล่ฝ่ายตรงข้ามดังป้าบ!
โจรร้ายเจ็บแสนเจ็บ พอจะสาวเท้าวิ่งหนีต่อก็ถูกไม้คานหาบฟาดเข้าให้ตรงข้อพับจนต้องทรุดฮวบลงไปคุกเข่าบนพื้น จากนั้นไม้ด้ามเดิมก็กระหน่ำฟาดลงมาบนศีรษะ…
น่าสงสารเสือดาวเวหายิ่งนัก ทั้งที่เป็นชายร่างบึกบึนสูงหกเชียะ กลับถูกขอทานผอมกะหร่องคนหนึ่งเล่นงานจนลงไปนอนน่วมอยู่บนพื้น
อวี้ฉีหลินฟาดไม่ยั้งพลางตะคอกใส่ “ไอ้โจรถ่อย หนีสิ! ดูซิจะหนีไปที่ไหนได้อีก หนีเลยสิ!”
จังหวะนั้นชายสามคนได้ตามมาถึงมุมหนึ่งตรงหน้าตรอก คุณชายชุดแพรรวบพัดเข้าหากันแล้วกำด้ามพัดแน่นอย่างร้อนรน “ไม่ได้การ! หากเสือดาวเวหาหนีต่อไม่ไหว พวกเราก็แกะรอยไปไม่ถึงตัวคนที่อยู่เบื้องหลังมันพอดี จะมาเสียแผนเพราะเจ้าขอทานน้อยนี่แหละ!”
เพิ่งจะพูดออกไปอย่างนั้น เสือดาวเวหาก็ส่งเสียงคำรามลั่นพลางฟาดมือลงกับพื้นดีดตัวขึ้นมา นัยน์ตาเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตสังหาร “ไอ้ขอทานบ้า! อยากรนหาที่ตายเองนะ!”
วัตถุบางอย่างสะท้อนแสงสีเงินวูบวาบ เสือดาวเวหาชักมีดสั้นวาววับเล่มหนึ่งจากตรงเอวมาฟันใส่อีกฝ่าย
คุณชายชุดแพรเห็นดังนั้นก็ทำท่าจะสั่งให้ลูกน้องไปช่วยขอทาน ทว่าผู้ถูกประทุษร้ายไม่เพียงจะไม่กลัว ยังตวัดไม้คานหาบในมือขวับๆ อย่างเกรี้ยวกราด “โจรถ่อย ยังกล้าขัดขืนอีกนะ ข้าตีเจ้าไม่เลี้ยงแน่!”
เสือดาวเวหาเลือดเข้าตาแล้ว ทุกครั้งที่ฟันมีดสั้นใส่ล้วนแต่หมายชีวิตฝ่ายตรงข้าม แต่หลังจากประมือกันไปหลายกระบวนท่าก็ยังไม่ขึ้นเป็นฝ่ายได้เปรียบเสียที มันฟันมีดสั้นใส่โดยแรงเมื่อเห็นช่องโหว่ของคู่ต่อสู้ ปรากฏว่าขอทานน้อยเบี่ยงเอวหมุนตัวหลบไปได้ง่ายๆ! กลับกลายเป็นตัวมันเองที่ต้องล้มหน้าคะมำลงไปจูบพื้นเพราะยั้งแรงไม่อยู่
อวี้ฉีหลินปรบมือหัวเราะชอบใจ ก่อนจะก้าวฉับๆ เข้าไปยกเท้าเหยียบหลังเสือดาวเวหาแล้วตวาดลั่น “โจรถ่อย! เจ้านี่มันเคราะห์ร้ายจริงๆ ที่มาเจอข้า ตามข้าไปขึ้นศาลแต่โดยดีเถอะ!”
ร่างบนพื้นพยายามดิ้นสุดแรง ทว่าเท้าที่เหยียบอยู่บนหลังยังคงตรึงแน่นอยู่อย่างนั้น คาดว่าน่าจะใช้กำลังภายใน…คราวนี้มันหมดแรงจะขัดขืนต่อไปแล้วจริงๆ ได้แต่แสร้งตาย ทิ้งตัวนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น
“นี่! จะยอมไปดีๆ หรือไม่!?” หญิงสาวลงน้ำหนักเท้ามากกว่าเดิม
เสือดาวเวหากัดฟันไม่หือไม่อือ
“นี่!” อวี้ฉีหลินถลกแขนเสื้อด้วยความฉุน เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังลวดลายไม่เลิก “แกล้งตายใช่หรือไม่ ยังโดนฟาดไม่หนำใจสินะ?”
มือขาวสะอาดดุจหยกน้ำดีข้างหนึ่งวางลงบนไหล่ นางเหลือบสายตาจากมือข้างนั้นขึ้นไปแล้วให้นิ่งตะลึงจังงัง ในหัวมีแต่เสียงวิ้งๆ รู้สึกหน้ามืดวิงเวียนอย่างบอกไม่ถูก!
คนตรงหน้ามีคิ้วดกหนา ปลายคิ้วเฉียงขึ้นเล็กน้อย ภายใต้แพขนตางอนยาวคือนัยน์ตาลึกล้ำสุกใส คล้ายมีธารน้ำไหลวนอยู่ในนั้น สะกดใจให้เคลิบเคลิ้มงงงัน… เจ้าตัวกำลังมองนางอย่างอ่อนโยนพลางระบายยิ้มตระการตา
ทว่าความจริงคุณชายชุดแพรหาได้อารมณ์ดีอย่างที่แสดงออก… เขามองเส้นผมเหนียวหนับเกาะตัวเป็นก้อนของอีกฝ่าย ท่อนแขนดำๆ ใต้ชายแขนเสื้อที่ถูกถลกขึ้น…แล้วไหนจะกลิ่นเหม็นเปรี้ยวที่ลอยโชยเข้าจมูก พาให้รู้สึกเหมือนน้ำย่อยกำลังขย้อนตัวอยู่ในกระเพาะจนแทบอาเจียนออกมา
เขาพยายามระงับความสะอิดสะเอียนในใจ ปั้นยิ้มบางๆ “น้องชายท่านนี้ กล่าวหาคนว่าเป็นโจรไม่ใช่เรื่องเล่น จะฟ้องศาลก็ใช่วิ่งโร่ไปฟ้องกันได้ง่ายๆ ไร้ซึ่งพยานหลักฐาน หากกลายเป็นปรักปรำผู้บริสุทธิ์จะทำอย่างไร”
เดิมทีเสือดาวเวหาแกล้งทำเป็นนอนตาย พอได้ยินเช่นนี้ก็กลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาเห็นพ้องทันที “ใช่! มันปรักปรำผู้บริสุทธิ์!”
อวี้ฉีหลินกระทืบซ้ำไปอีกทีจนอีกฝ่ายยอมสงบเสงี่ยม ถึงค่อยเงยหน้าขึ้นไปอธิบายกับคุณชายคนนั้น “ข้าเห็นมันขโมยกระเป๋าเงินแม่นางคนหนึ่งกับตา!”
คุณชายชุดแพรเอามือขาวสะอาดของตนออกจากบ่าขอทานน้อยไปไพล่หลัง แอบสะบัดมืออย่างรังเกียจแล้วเลิกคิ้วถาม “ขโมยกระเป๋าเงินแม่นางคนหนึ่ง? แม่นางคนนั้นเล่า”
อวี้ฉีหลินเพิ่งนึกถึงหญิงสาวฐานะดีคนเมื่อครู่ขึ้นมาได้เอาตอนนี้ นางมองซ้ายมองขวา ทว่านอกจากนางกับเสือดาวเวหาแล้ว บริเวณโดยรอบก็มีแต่คุณชายชุดแพรเท่านั้น ไม่มีใครอื่นอีก
เพื่อเพิ่มพลังโน้มน้าว คุณชายชุดแพรกวาดตามองขอทานน้อยหนึ่งตลบ ก่อนจะจรดนิ้วมือสามนิ้วแตะส่วนที่ดูสะอาดสุดบนร่างอีกฝ่าย แสร้งพูดด้วยอย่างสนิทสนม “คนท่องยุทธภพมักพูดถึงวาสนาที่มีร่วมกัน ข้าว่าในเมื่อไม่มีพยานยืนยัน ก็รีบปล่อยพี่ชายท่านนี้ไปเถิด”
ปลายนิ้วที่แตะลงบนร่างทำให้อวี้ฉีหลินสะดุ้งเฮือกอย่างห้ามไม่อยู่ นางกัดฟันกรอด มองมือลามกที่วางอยู่บนหน้าอกตนพอดิบพอดีแล้วอยากอาละวาดเสียเดี๋ยวนั้น
เสือดาวเวหารีบฉวยโอกาสลุกขึ้นจากพื้น “คุณชายท่านนี้กล่าวได้มีเหตุผลยิ่งนัก…” พูดพลางค่อยๆ ไถลตัวเลียบกำแพงหมายจะดอดหนี ปรากฏว่าเพิ่งออกวิ่งได้เพียงสองก้าวก็ต้องล้มหน้าคะมำลงไปอีกครั้ง เนื่องจากถูกขอทานน้อยวิ่งตามมาขัดขาเข้าให้
“ห้ามไป!” อวี้ฉีหลินตวาด
คุณชายชุดแพรปราดเข้ามาปราม “เหตุใดถึงห้ามไป หากเป็นคนร้ายจริง ปล่อยไปค่อยจับกลับมาใหม่ก็ได้!”
หญิงสาวกำลังหัวเสีย ไหนเลยจะยังมีแก่ใจฟังคำชี้แนะของอีกฝ่าย ยิ่งนึกถึงมือลามกเมื่อครู่ก็ยิ่งฉุนเฉียวเป็นกำลัง นางหันขวับไปกวาดตามองเขา ก่อนจะกระทู้ถามเหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง “แล้วเจ้าเป็นใครมาจากไหน ยังไม่ทันได้ถามไถ่สักคำก็บอกให้ข้าปล่อยไอ้โจรถ่อยนี่ไป…ดูท่าคงเป็นหัวหน้าโจรล่ะสิ!?”
“หัวหน้าโจร?” ความประหลาดใจฉายอยู่บนใบหน้าชายหนุ่ม กระนั้นยังอดขันไม่ได้ หาว่าข้าเป็นหัวหน้าโจร? ตลกสิ้นดี!
“ฮึๆ” อวี้ฉีหลินเดินวนรอบตัวคุณชายชุดแพรพลางกวาดตามองตั้งแต่หัวจรดเท้า ซ้ำยังเอื้อมมือไปค้นตัวอย่างถือวิสาสะ “ไอ้พวกโจรที่คอยจ้องจะสูบเลือดสูบเนื้อคนอื่นโดยไม่ออกแรงน่ะ วันนี้ขโมย…” พูดพลางดึงหยกประดับของคนตรงหน้ามาโยนทิ้งพื้น “หยกประดับเจ้า! พรุ่งนี้ขโมย…” คราวนี้ล้วงกระเป๋าเงินออกมาโยนทิ้งตาม “กระเป๋าเงิน วันหลังยังจะเอา…”
มือเล็กไถลลงไปหาเอวอีกฝ่าย ดึงป้ายห้อยเอวออกมาเตรียมโยนทิ้ง ปากก็พูดฉอดๆ “ป้ายห้อยเอว…” เอ๋? นางชะงักกึกทันควัน รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล ดวงตาสุกใสหลุบลงมองของในมือ “ป้ายห้อยเอว? มือปราบ? นี่เจ้าเป็นมือปราบอย่างนั้นหรือ!?”
คุณชายชุดแพรแย้มยิ้มบางๆ ไม่ปฏิเสธ
เสือดาวเวหาเหลือบมองป้ายห้อยเอวดังกล่าว เมื่อได้ยินดังนั้นแล้วให้สะดุ้งเฮือก มันฉวยโอกาสที่อีกสองคนไม่ทันระวังตัว วิ่งเข้าไปข้างหลังมือปราบหนุ่มแล้วผลักเจ้าตัวไปทางขอทานน้อยเต็มแรง ก่อนจะรีบโกยอ้าวหนีไป
‘จุ๊บ’
คุณชายชุดแพรกับขอทานน้อยตั้งตัวไม่ติด ริมฝีปากแดงเรื่อสองคู่จึงชนกันเข้าอย่างจัง!
ทั้งสองเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง รู้สึกเหมือนฟ้าสนั่นดินสะเทือน รอบตัวมืดมิด เปลวเพลิงท่วมแผ่นดิน…
อวี้ฉีหลินเป็นฝ่ายตั้งสติได้ก่อน นางรีบผลักอีกฝ่ายออกจากตัวโดยแรงแล้วเช็ดปากอย่างเอาเป็นเอาตาย ทั้งอายทั้งโมโหเป็นที่สุด เสียดายที่ละเลงคราบเขม่าไว้บนหน้า จึงดูไม่ออกว่าหน้าแดงเพียงไร
“จะ…เจ้า! อันธพาลต่ำช้า!” หญิงสาวต่อว่าอย่างเดือดดาล นางเงื้อมือซ้ายหมายจะตบหน้าอีกฝ่าย
ทว่าคุณชายชุดแพรจับแขนนางปัดออกไปโดยแรงอย่างว่องไว จากนั้นก็มองขอทานน้อยด้วยสีหน้ารังเกียจ ทำท่าจะยกมือเช็ดปากตามความเคยชิน แต่แล้วก็นิ่งชะงักไปเสียก่อน เขารีบล้วงขวดสุราที่สลักเสลาด้วยฝีมือประณีตออกมาจากตรงเอว นิ่วหน้าดึงจุกออก ยกขวดจรดกรอกปากอึกใหญ่ กลั้วปากจนทั่วดีแล้วค่อยบ้วนทิ้งพื้น จากนั้นก็ล้วงแพรซับหน้างานฝีมือละเอียดออกมา เทสุราที่เหลือลงไปบนผืนผ้า ค่อยๆ เช็ดรอบริมฝีปากอย่างพิถีพิถัน
กว่าเหตุชุลมุนจะผ่านพ้น เสือดาวเวหาก็หนีหายไปจนไม่เห็นแม้แต่เงา
ความเดือดดาลทำให้ขอทานน้อยเต้นเร่า ชี้หน้าด่าคุณชายชุดแพร “นี่เจ้ากล้าปล่อยหัวขโมยหนีไปเชียวหรือ!?”
อีกฝ่ายเพียงแค่ปรายตามอง แต่ไม่ได้ให้ความสนใจนางมากไปกว่านั้น ยังคงตั้งอกตั้งใจเช็ดปากต่อพลางนับถอยหลังเบาๆ “สาม สอง…”
ยังไม่ทันขาดคำ เสือดาวเวหาที่หนีไปได้เมื่อครู่ก็ร่วงตกลงมาจากด้านบน หล่นลงตรงปลายเท้าเขาดังตุ้บ จากนั้นองครักษ์สองคนที่มาด้วยกันกับเขาก็ปัดไม้ปัดมือกระโดดลงมาจากหลังคาบ้านที่ตั้งขนาบตรอกเล็กทั้งสองด้าน
“หนึ่ง” คุณชายชุดแพรนับเลขตัวสุดท้ายพร้อมโยนผ้าเช็ดหน้าในมือทิ้ง ก้มตัวลงเก็บป้ายห้อยเอวบนพื้นขึ้นมาชูให้อวี้ฉีหลินดู “เห็นหรือไม่ ‘มือปราบ’ ! คราวนี้คงเลิกสงสัยว่าข้าเป็นหัวหน้าโจรได้เสียทีสินะ”
อวี้ฉีหลินมองป้ายห้อยเอว ทำปากอูดโต้กลับอย่างไม่ยอมแพ้ “มือปราบแล้วอย่างไร ข้าจะมั่นใจได้หรือว่าเจ้าไม่ได้รับค่าคุ้มครองจากเจ้าโจรนี่ เลยปล่อยตัวมันไป”
“เชอะ” คุณชายชุดแพรคร้านจะสนใจนางแล้ว จึงเก็บป้ายใส่ผ้าคาดเอวตามเดิมแล้วลุกเดินไปหาคนร้ายที่อยู่บนพื้นแทน “เจ้าคือเสือดาวเวหาใช่หรือไม่”
เจ้าของฉายาสะดุ้งเฮือกกับคำถามนั้น ด้วยรู้ได้ว่าเรื่องแดงแน่แล้ว มันกลอกตาหนึ่งตลบแล้วรีบล้วงจดหมายฉบับหนึ่งจากในอกเสื้อมาฉีกเป็นชิ้นใหญ่ๆ ยัดใส่ปาก
สององครักษ์หน้าผิดสี รีบปรี่เข้าไปยื้อแย่งจดหมายที่กลายเป็นเพียงเศษกระดาษแล้วยื่นส่งให้ผู้เป็นนาย
มือปราบหนุ่มใช้สองนิ้วคีบชิ้นส่วนจดหมาย สะบัดให้คลี่ออกแล้วยกส่องกับแสง ก่อนจะวิเคราะห์อย่างผู้รู้ “กระดาษเซวียนเต๋อ* ที่ใช้ในวังหลวง กระดาษราคาแพงเช่นนี้พบได้ไม่มาก…” พูดจบก็สูดดมแผ่นกระดาษเบาๆ “เนื้อกระดาษยังมีกลิ่นเครื่องหอมของแดนตะวันตก น่าจะเป็นของ ‘หอเชียนเจียว’ (พันนวล) โจรกระจอกอย่างเจ้าจะเอาเงินจากไหนไปถลุงในสถานเริงรมย์หรูหราระดับนั้น” สุดท้ายก็พึมพำอ่านเนื้อความในกระดาษ “ ‘หญิงอายุสิบหกสามคน มีสำเนียงต่างถิ่นจะประเสริฐสุด’ …นี่คือใบสั่งซื้อผู้หญิงสินะ”
เสือดาวเวหาสะบัดหน้าไปอีกทางแล้วทำปากแข็ง “เจ้าพูดอะไร ข้าไม่เข้าใจ!”
คุณชายชุดแพรล้วงผ้าเช็ดหน้าอีกผืนออกมาห่อกระดาษแผ่นนั้นอย่างระมัดระวัง แล้วส่งไปให้องครักษ์ที่สวมเสื้อคลุมยาว ก่อนจะหันมาพูดกับโจรร้ายอีกครั้ง “อยู่ในเมืองหลวงแท้ๆ ยังริอ่านทำการค้าสตรี จะไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาเกินไปหรือไม่”
คนร้ายชะงัก “เจ้า?”
พูดจาใหญ่คับฟ้าเชียวนะ! อวี้ฉีหลินมองคุณชายชุดแพรอย่างขบขันพลางพึมพำกับตัวเอง “อวดเบ่งเป็นบ้า”
“เจ้าเป็นใคร!?” เสือดาวเวหาแสร้งทำเป็นตวาดดุดัน ทั้งที่ใจแป้วเต็มที
องครักษ์ที่สวมชุดรัดกุมสีดำเตะคนถามทีหนึ่งแล้วให้คำตอบ “อยากรู้หรือว่าเขาคือใคร หึ ได้ตกมาอยู่ในมือเขาถือเป็นเกียรติของเจ้าด้วยซ้ำ เขาก็คือยอดมือปราบเทวดาของเมืองหลวง จินหยวนเป่าอย่างไรล่ะ!”
“จินหยวนเป่า!?” อวี้ฉีหลินอุทาน
ยอดมือปราบพอใจกับปฏิกิริยาของขอทานน้อยอย่างเห็นได้ชัด จึงเลิกคิ้วมองอีกฝ่ายด้วยสายตาชมเชยทีหนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปหาเสือดาวเวหาแล้วเน้นเสียงด้วยสีหน้าลำพองตน “มือปราบเทวดาแห่งเมืองหลวง…จินหยวนเป่า”
อวี้ฉีหลินปรี่เข้าไปจับแขนอีกฝ่าย สองตาเป็นประกายราวกับสุนัขป่าหิวโซ “ท่านคือมือปราบจินหยวนเป่าผู้มีชื่อเสียงโด่งดังคนนั้นน่ะหรือ”
“อือฮึ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วพยักหน้าหงึกๆ
คำยืนยันที่ได้รับสร้างความตื่นเต้นให้อวี้ฉีหลิน นางโผตัวไปข้างหน้า กางแขนออกกว้างหมายจะกอดเขา
* กระดาษเซวียนเต๋อ เป็นกระดาษขึ้นชื่อในสมัยราชวงศ์หมิง มีหลากหลายประเภท ผลิตขึ้นในรัชศกเซวียนเต๋อ (ค.ศ. 1426-1435) จึงได้ชื่อดังกล่าว
จินหยวนเป่าถอยหลังกรูดไปหลายก้าว แล้วใช้พัดปัดมือมอมๆ คู่นั้นออกไปอย่างรังเกียจ “นี่ๆๆ เอามือสกปรกของเจ้าออกไปเดี๋ยวนี้!” จากนั้นก็ถามอย่างกังขา “เจ้ารู้จักข้าด้วยหรือ”
ทว่าเมื่อสังเกตเห็นสีหน้าฝ่ายตรงข้าม เขาก็ต้องมีอันนิ่งอึ้ง น่าทึ่งยิ่งนักที่ใบหน้าของคนคนหนึ่งจะแสดงอารมณ์หลากหลายขนาดนี้ออกมาได้ในเวลาเดียวกัน ทั้งตื่นเต้น ดีใจ ประหลาดใจ กระวนกระวาย เต็มตื้น และร้อนรน
ตายล่ะ เผลอเก็บอาการไม่อยู่เสียได้! อวี้ฉีหลินผงะไปเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะแห้งๆ นางยกมือลูบหน้า สีหน้าตื่นเต้นยินดีเมื่อครู่ถูกเปลี่ยนให้เป็นสีหน้าชื่นชมบูชาในพริบตา หญิงสาวก้าวเข้าไปยกมือลูบเสื้อผ้าเขา แล้วช่วยปัดเศษฝุ่นบนนั้นให้พลางเยินยอ “ท่านคือมือปราบเทวดาจินหยวนเป่า! ชื่อเสียงของท่านเลื่องระบือไปทั้งสองฝั่งแม่น้ำฉางเจียง ผู้คนทั้งแผ่นดินรู้กันทั้งนั้น แล้วข้าจะไม่เคยได้ยินกิตติศัพท์ของท่านได้อย่างไรล่ะ” นางกระแอมเบาๆ เมื่อพูดมาถึงตรงนี้แล้วยืดอกยืนตัวตรง พูดด้วยท่าทางจริงจังแน่วแน่แบบผู้รักคุณธรรม “ขอบอกอย่างไม่ปิดบัง ข้าฝันอยากเป็นมือปราบคอยจับโจรและคนเลวเพื่อผดุงความเป็นธรรมให้ปวงประชาเหมือนอย่างท่าน!”
มือสกปรกของขอทานน้อยทิ้งคราบดำๆ บนอาภรณ์สีขาวยวงของคุณชายชุดแพรเป็นปื้น… จินหยวนเป่าหางตากระตุกแล้วใช้พัดปัดมืออีกฝ่ายออกไปอย่างรังเกียจ ทว่าถ้อยคำสรรเสริญเยินยอที่ได้ฟังก็ยังรื่นหูอยู่ดี “หือ? เจ้าเคยได้ยินชื่อข้าจริงหรือ”
“แน่นอนอยู่แล้วสิ!” อวี้ฉีหลินพยักหน้าหงึกหงัก ทว่า…มือยังคอยป้วนเปี้ยนตามเนื้อตัวคู่สนทนาอย่างไม่ยอมอยู่สุข คล้ายกำลังหาอะไรบางอย่าง
จินหยวนเป่าดึงแขนเสื้อที่ถูกจับจนสกปรกออกมาพร้อมถามอย่างคลางแคลงใจ “จริงหรือ”
“จริงจนไม่รู้จะจริงอย่างไรเลยล่ะ!” หญิงสาวพยายามหยอดลูกยออย่างสุดความสามารถ “แค่มีจินหยวนเป่าอยู่ด้วย สบายไปสิบอย่าง โฉมงามกว่าซ่งอัน…”
ช่างใช้คำเปรียบเปรยได้มั่วซั่วสิ้นดี! จินหยวนเป่าแก้ให้อย่างอ่อนใจ “สบายไปแปดอย่าง โฉมงามกว่าพานอันต่างหาก บุรุษรูปงามยุคโบราณมีแต่ซ่งอวี้กับพานอัน* ไม่มีซ่งอัน…”
“โธ่เอ๊ย ท่านจะไปรู้อะไร! สิบอย่างเยอะกว่าแปดอย่าง มือปราบจินเก่งกาจสามารถออกอย่างนี้ ต้องเปรียบว่าสิบอย่างสิ! ไม่ๆ สิบสองอย่างไปเลย! แล้วท่านหน้าตาหล่อเหลายิ่งกว่าซ่งอวี้กับพานอันรวมกัน ดังนั้นจึงกลายเป็นซ่งอันน่ะสิ…” อวี้ฉีหลินตอบพลางกระแซะตัวเข้าไปใกล้ คอยดึงเสื้อผ้าเขาต่อไปไม่ยอมหยุด
จินหยวนเป่าที่หลบไม่พ้นตวาดใส่อย่างเหลืออด “ไอ้สกปรก อย่าเข้ามาใกล้นะ ถอยออกไปไกลๆ หน่อย!”
อวี้ฉีหลินกลอกตาหนึ่งตลบ นอกจากจะไม่ปล่อยมือแล้ว ยังทิ้งตัวคุกเข่าดังตุ้บโดยที่สองมือยังขยุ้มเอวเสื้ออีกฝ่ายไว้แน่น พอนางคุกเข่าลงกับพื้น เสื้อคลุมของเขาก็ถูกดึงเบี้ยวจนเห็นเสื้อตัวในได้รำไร
คราบฝ่ามือดำปี๋สองรอยตรงเอวเสื้อคลุมทำให้จินหยวนเป่าเหลือบมองขอทานน้อยพลางกัดฟันกรอด นึกไม่ถึงว่าฝ่ายตรงข้ามกลับคุกเข่าแทบเท้า มองเขาพลางยิ้มละไม
ชายหนุ่มเพิ่งรู้ตัวเอาตอนนี้ว่าเสื้อผ้าหลุดลุ่ยจนล่อแหลมเต็มที เขารีบดึงเสื้อคลุมให้เข้าที่แล้วถอยกรูดไปสามก้าวอย่างหัวเสีย
ปรากฏว่าขอทานน้อยยังคลานเข่าตามมาดึงเสื้อเขาไว้อีกครั้ง พร้อมกะพริบตาปริบๆ ด้วยสีหน้าใสซื่อจริงใจ “ยอดมือปราบจิน! ท่านเทพจิน! ท่าน…อาจารย์! อาจารย์! รับข้าเป็นศิษย์ด้วยเถอะ!”
* ซ่งอวี้กับพานอัน เป็นสองในสี่บุรุษรูปงามในประวัติศาสตร์จีน ได้แก่ พานอัน ซ่งอวี้ หลันหลิงหวัง และเว่ยเจี้ย ซึ่งซ่งอวี้ (298-222 ปีก่อนคริสตกาล) เป็นชาวแคว้นฉู่ กวีและนักปราชญ์ในสมัยจั้นกั๋ว ส่วนพานอัน (ค.ศ. 247-300) เป็นกวีในสมัยจิ้นตะวันตก เกิดในตระกูลขุนนาง
จินหยวนเป่าสะบัดตัวหนี “ปล่อยนะ! ข้าบอกให้ปล่อย!”
เขาต้องใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีถึงจะช่วยเสื้อตัวเองให้รอดพ้นจากมือดำๆ ข้างนั้นได้ จากนั้นก็ล้วงผ้าเช็ดหน้าอีกผืนออกมาเช็ดคราบสกปรกบนเสื้ออย่างหัวเสีย
อวี้ฉีหลินเหลือบมองผ้าเช็ดหน้าแล้วให้ตากระตุกเล็กน้อย เป็นโรครักสะอาดหรือไรนะ ใครที่ไหนพกผ้าเช็ดหน้าทีละหลายๆ ผืนอย่างนี้บ้าง!
“ขอทานสกปรก อย่ามาตามพันแข้งพันขาขัดขวางการทำคดีของข้าดีกว่า” เช็ดอยู่หลายครั้ง คราบเปื้อนก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลยสักนิด เขาเขวี้ยงผ้าเช็ดหน้าทิ้งอีกผืนอย่างมีโมโหแล้วตวาดใส่ “ยังไม่ไสหัวไปอีก!” พูดจบก็หมุนตัวทำท่าจะเดินออกไปอย่างไม่ไว้หน้า
แน่นอนว่าอวี้ฉีหลินเห็นดังนั้นก็ร้อนรนขึ้นมาทันที นางกระโจนเข้าไปกอดขาทั้งสองข้างของเขาไว้แน่น
คุณชายชุดแพรพยายามก้าวขา แต่ทำอย่างไรก็ก้าวไม่ออก เขาตะคอกใส่อีกฝ่ายอย่างเดือดดาล “เจ้า! ปล่อยเดี๋ยวนี้! ไม่เช่นนั้นจะหาว่าข้าไม่เกรงใจไม่ได้นะ!”
ขอทานน้อยคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ทว่ากลับยังไม่ยอมปล่อยมือ
จินหยวนเป่าหันไปตะโกนบอกองครักษ์ในชุดรัดกุม “หวังเฉียง มัวแต่ยืนเฉยอยู่ทำไม!”
หวังเฉียงกำลังละล้าละลังว่าจะเข้าไปช่วยดีหรือไม่ ได้ยินดังนี้ก็รีบปราดเข้าไปดึงขอทานน้อยออกมาทันที
องครักษ์นามหวังเฉียงช้อนเอวนางขึ้นมา แต่อวี้ฉีหลินไม่กล้าใช้วรยุทธ์ขัดขืน ด้วยรู้ดีว่าคนผู้นี้จะต้องมีวรยุทธ์สูงส่ง เห็นได้จากที่เขาสามารถจับเสือดาวเวหาได้โดยง่าย ดังนั้นจึงได้แต่เตะขาไปมาพลางอุทธรณ์ด้วยสีหน้าน่าสงสาร “อาจารย์… อาจารย์ เพื่อมาฝากตัวเป็นศิษย์ของท่าน ข้าไม่ได้กินข้าวมาสองวันแล้วนะ!”
จินหยวนเป่าหรี่ตามองอาการดิ้นปัดๆ อันทรงพลังของคนพูดก่อนจะแค่นยิ้ม “ไม่ได้กินข้าว? ดูไม่ออกเลยสักนิด!”
อวี้ฉีหลินเสกระแอมกลบเกลื่อนพร้อมหยุดดิ้น สลัดตัวจนเป็นอิสระจากพันธนาการเหล็กของหวังเฉียง นางดึงเสื้อผ้าให้เข้าที่แล้วหัวเราะแหะๆ เพราะเผลอทำรอยปุปะบนเสื้อขาดเป็นรูกว้างกว่าเดิม จากนั้นก็กวาดตามองจินหยวนเป่าอย่างยังไม่ยอมตัดใจ พอสายตาไปปะกับรอยมือดำปี๋บนเสื้อเขาก็แสร้งทำหน้าตาตื่น ส่งเสียงอุทานลั่น “หวา! ทำเสื้ออาจารย์สกปรกหมดแล้ว ข้าจะช่วยเอาออกให้นะ!”
มือสกปรกคู่นั้นเอื้อมเข้ามาหาอีกครั้ง จินหยวนเป่ารีบดึงองครักษ์หม่าจงที่กำลังคุมตัวเสือดาวเวหาให้มาเป็นโล่ขวางหน้าตนเอาไว้ “ห้ามเรียกข้าว่าอาจารย์นะ! รีบไสหัวไปเลยไป!”
หญิงสาวเบะปากอย่างไม่สบอารมณ์
ยอดมือปราบดึงเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ขยับมวยผมให้เข้าที่ กลับกลายเป็นคุณชายผู้หล่อเหลาสง่างามอีกครั้ง
ภายใต้แสงอาทิตย์ ร่างสูงโปร่งของคุณชายชุดแพรดูโดดเด่นจับตา ในมือถือพัดเล่มงาม สายลมอ่อนรำเพยผ่าน พัดพาไรผมตรงใบหูให้พลิ้วไหว…
อวี้ฉีหลินใจเต้นแรง รู้สึกเหมือนหัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะหนึ่ง เพิ่งจะตอนนี้เองที่นางระลึกถึงการรักษาระยะห่างระหว่างชายหญิงขึ้นมาได้…แล้วให้หน้าแดงก่ำ ใจเต้นรัวที่เมื่อครู่ตนเข้าไปกอดรัดชายตรงหน้าแบบนั้น จากที่เตรียมจะเอื้อมมือไปหาเขาอีกครั้งก็พลันชะงักค้าง ก่อนจะดึงมือกลับมาซุกไว้ในแขนเสื้อเงียบๆ
เนื่องจากถูหน้าจนดำเป็นก้นหม้อ จินหยวนเป่าจึงมองไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าขอทานน้อย ได้แต่ถอนหายใจโล่งอกที่อีกฝ่ายยอมเลิกตื๊อเสียที แล้วหันไปสั่งสององครักษ์ “หวังเฉียง หม่าจง คุมตัวเสือดาวเวหากลับไปกองปราบ ข้าจะไปสอบปากคำมันโดยละเอียด”
จังหวะนั้นเองเสียงฝีเท้าพลันดังขึ้นในตรอก หญิงฐานะดีที่ถูกขโมยกระเป๋าเงินวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาพลางส่งเสียงร้อง “กระเป๋าเงินของข้า…”
“อยู่นี่!” อวี้ฉีหลินล้วงกระเป๋าจากในอกเสื้อมาแกว่งไปมาตรงหน้าอีกฝ่าย
“ค่อยยังชั่ว!” หญิงนางนั้นเอื้อมมือไปหากระเป๋า แต่อวี้ฉีหลินกลับชูกระเป๋าขึ้นสูงกว่าเดิมจนนางเอื้อมไม่ถึง
“เจ้า!” นางแหวอย่างเดือดดาล
“แม่คนปากจัด ทีหน้าทีหลังหัดพูดกับคนอื่นให้ดีกว่านี้หน่อย มาเอาไปเองสิ” อวี้ฉีหลินเหวี่ยงมือขึ้นไป กระเป๋าเงินใบนั้นวาดเส้นโค้งครึ่งวงกลมกลางอากาศ ก่อนจะตกลงไปในถังเศษอาหารที่ตั้งอยู่ข้างทางดัง ‘ต๋อม’
“จะ…จะ…เจ้า…” หญิงฐานะดีถูกด่าจนหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ ยังไม่ทันได้คิดคำตอบโต้ กระเป๋าเงินก็ตกลงไปในถังสกปรกต่อหน้าต่อตา เล่นเอานางโมโหจนพูดอะไรไม่ออก
“หึๆ…” จินหยวนเป่ามองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างสนุกสนานจนอดส่งเสียงหัวเราะออกมาไม่ได้ ขอทานน้อยคนนี้ช่างร้ายจริง
“คุณชาย! คุณชาย ในที่สุดก็หาเจอเสียที…” เสียงแสบแก้วหูคล้ายเสียงเป็ดตัวผู้ดังขึ้นในตรอก
แค่ได้ยินเสียง ยอดมือปราบคนเก่งก็ขมวดคิ้วทันที ก่อนจะค่อยๆ หันไปมองผู้มาใหม่ “อาฝู มาทำไม มีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ”
อาฝูอึ้งไปเล็กน้อยเมื่อเห็นคราบสกปรกบนเสื้อผ้าผู้เป็นนาย ก่อนจะละล่ำละลักบอก “คุณชาย! รีบกลับจวนกับบ่าวเร็วเข้าเถิดขอรับ ที่จวนเกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”
จินหยวนเป่าทำหน้าไม่ทุกข์ร้อน “ที่ผ่านมาไม่เคยเห็นจะมีเรื่องอะไรสักครั้ง ร้อนรนอะไรของเจ้า”
“ป้ายทองคำลายพระหัตถ์ไทเฮาถูกส่งไปที่จวนแล้ว ฮูหยินร้อนใจดังไฟลนเมื่อทราบว่าท่านไม่อยู่ หากท่านยังไม่กลับไปอีก ไม่รู้ว่าฮูหยินจะร้อนใจจนถึงขั้นไหน”
“ป้ายหน้าจวนแม่ทัพไม่ใช่กระดาษถึงจะบุบสลายได้ง่ายๆ ต่อให้เรื่องใหญ่กว่านี้ ท่านแม่ของข้าก็เคยผ่านมาหมดแล้ว!” จินหยวนเป่ากระพือพัดช้าๆ “ข้ายังมีคดีต้องสอบสวน เดี๋ยวค่อยกลับจวนแล้วกัน”
อาฝูได้ยินเช่นนั้นก็ลนลานหนัก รีบดึงชายแขนเสื้อเจ้านายไว้พลางถาม “คุณชายจะไปไหนขอรับ”
“หึๆ…” จินหยวนเป่าโบกพัดก้าวเท้าเนิบๆ เดินไปทางปากตรอกโดยไม่หันมามอง “หอเชียนเจียว!”
ร่างสูงเดินออกจากตรอกเล็กแล้วเหลือบไปเห็นคนที่กำลังนั่งยองๆ กัดแทะซาลาเปาอย่างตายอดตายอยากเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ ใบหน้าน่าสงสารของขอทานน้อยผุดขึ้นในสมอง พร้อมกับประโยคที่แสนน่าเวทนา ‘ไม่ได้กินข้าวมาสองวันแล้ว’
“เฮ้อ…ข้านี่ช่างเป็นคนดีจริงๆ เลยน้า!” เขาเอ่ยชมตัวเอง ก่อนจะล้วงก้อนเงินหันไปโยนให้ ก้อนเงินนั้นหล่นลงบนหัวอวี้ฉีหลินพอดิบพอดี
เงินที่ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าทำให้อวี้ฉีหลินนิ่งตะลึงเป็นอันดับแรก แล้วมองเห็นคนโยนแทบจะในทันที! นางเก็บก้อนเงินบนพื้นดินขึ้นมาทำท่าจะโยนกลับไปอย่างมีน้ำโห “เจ้า! นึกว่าข้าเป็นขอทานจริงๆ หรือไร!”
แหม รักศักดิ์ศรีเสียด้วย หากไม่ใช่ขอทาน เจ้ายังเป็นอะไรได้ แม้จะคิดเช่นนั้นจินหยวนเป่าก็ไม่ได้พูดออกมา เพียงแค่แค่นหัวเราะเหยียดๆ “นี่เป็นรางวัลสำหรับการผดุงคุณธรรม กองปราบกำหนดไว้ ขอทานสกปรกอย่างเจ้าทำเสื้อแพรของข้าเลอะ ข้าไม่เอาความก็ถือว่าเมตตามากแล้ว นี่ยังตกรางวัลให้เจ้าอีกนะ!”
อวี้ฉีหลินเลิกคิ้วอย่างกระหยิ่มใจ “รางวัลของกองปราบหรือ ไม่เอาก็เสียของเปล่าหมดสิ!” พูดจบก็รีบเก็บเงินเข้าอกเสื้อ
อาฝูส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ชินเสียแล้วกับเหตุการณ์เช่นนี้ แต่ยังไม่วายบ่นงึมงำ “เป็นครั้งที่เท่าไรของปีแล้วนะ เฮ้อ! คุณชายควักเนื้อตัวเองตกรางวัลอีกแล้ว! ตัวเองเป็นคนดี จิตใจอ่อนโยนแท้ๆ แต่กลับชอบทำปากคอเราะรายเหมือนพวกนิสัยไม่ดี!”
คนดีของอาฝูเดินลิ่วๆ จากไปโดยไม่เหลียวหลัง ไม่ทันไรก็ทิ้งช่วงไปไกลลิบ
อาฝูรีบเร่งฝีเท้าตามพลางตะโกนบอก “คุณชาย รีบกลับจวนเร็วเข้าเถิดขอรับ คุณหนูเจียงมาถึงนอกเมืองหลวงแล้วนะ!”
ตรอกเล็กเหลือเพียงความเงียบสงบ
อวี้ฉีหลินล้วงก้อนเงินออกมาเดาะเล่นอยู่ในมือก่อนจะเก็บใส่อกเสื้ออีกครั้ง ดวงตาสุกใสจ้องมองปากตรอกอย่างครุ่นคิด ครู่หนึ่งรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็ผุดขึ้นตรงมุมปาก “หอเชียนเจียว?”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments