X
    Categories: ทดลองอ่านบุพเพอลวนมากกว่ารัก

ทดลองอ่านนิยาย บุพเพอลวน เล่ม 1 บทที่ 11

หน้าที่แล้ว1 of 14

บทที่ 11 ฤทธิ์ปากกรรไกรของชายปากแข็ง

 

ต่อเมื่อดวงดาวค่อยๆ กะพริบแสงบนท้องฟ้า จินหยวนเป่าถึงกลับมาจากกองปราบ

เขาตรงดิ่งไปที่เรือน บ่าวและสาวใช้ที่เห็นมาตลอดทางล้วนมีท่าทางแปลกๆ พอเห็นเขาก็ทำหน้าหวาดกลัว แต่ละคนรีบก้มหน้างุด ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมอง

จินหยวนเป่านึกสงสัยอยู่ในใจ ขณะชักเริ่มหงุดหงิดก็เห็นอาฝูเข้าพอดี จึงรีบคว้าตัวอีกฝ่ายมาถาม “เกิดอะไรขึ้น ข้าออกไปแค่ครึ่งวัน ทำไมพวกเจ้าแต่ละคนถึงทำเหมือนข้าเป็นเทพเจ้าโรคร้ายอย่างนั้น”

บ่าวคนสนิทถอยกรูดไปสามสี่ก้าว ก่อนจะขมวดคิ้วตอบหน้าละห้อย “คุณชาย ไว้เจอฮูหยินน้อยเมื่อไรก็ช่วยบอกนางด้วยนะขอรับ ว่าในคฤหาสน์สกุลจิน อาฝูเป็นบ่าวที่ท่านไม่อยากเห็นหน้ามากที่สุด”

“อะไรนะ” ชายหนุ่มเบิกตากว้างด้วยความกังขา “ทำไมล่ะ อีกอย่างเดิมทีข้าก็ไม่อยากเห็นหน้าเจ้ามากที่สุดอยู่แล้ว”

อาฝูลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะโบกมือตอบกลับไปไม่ค่อยรู้เรื่องนัก “ไม่ดีกว่าๆ คุณชายขอรับ ถ้าอย่างไรอย่าเอ่ยชื่ออาฝูเป็นดีที่สุด!”

ผู้เป็นนายหรี่ตาแล้วลากคอเสื้ออีกฝ่ายเข้ามาหาตัว จังหวะนั้นสาวใช้กับบ่าวที่เดินผ่านมาเห็นภาพนั้นเข้าพอดี จึงสูดหายใจเฮือกอย่างพร้อมเพรียงกันด้วยความตระหนก

จินหยวนเป่าหันไปมองตามเสียง ข้ารับใช้เหล่านั้นรีบเอามือกุมหัววิ่งกระเจิดกระเจิงจากไป

มัน…จะน่าแปลกเกินไปหน่อยแล้ว เขาหันมามองอาฝูด้วยสายตาสงสัยหนักกว่าเก่า “เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เจียงเสี่ยวเซวียนฉวยโอกาสที่ข้าไม่อยู่ทำอะไรอีกล่ะ”

อาฝูดิ้นสุดแรงจนหลุดจากเงื้อมมือเจ้านาย แล้วถอยหลังกรูดไปสามเชียะจึงค่อยตอบ “มะ…มะ…ไม่มีอะไรขอรับ! ฮูหยินน้อยแค่รักคุณชายมากไป เลยเรียกบ่าวไพร่ทุกคนไปซักถาม คุณชายรีบกลับไปหาฮูหยินน้อยดีกว่า นางจะได้สบายใจ!”

สบายใจ? ชายหนุ่มบรรลุทันที เจียงเสี่ยวเซวียนจะต้องทำ ‘เรื่องดีๆ’ อะไรไว้อีกแน่! เขาแค่นเสียงขึ้นจมูกดังหึอย่างฉุนเฉียว ปล่อยอาฝูแล้วเดินดุ่มๆ ไปทางหอซงจู๋

อาฝูจัดคอเสื้อด้วยความอกสั่นขวัญผวา พอหันไปเห็นสาวใช้หลายคนมองมาทางตนอย่างเห็นอกเห็นใจก็รีบกำชับ “ห้ามไปบอกฮูหยินน้อยเด็ดขาดเชียวว่าคุณชายคุยกับข้า!”

“รู้แล้วๆ” พวกนางตอบ

จินหยวนเป่ากลับมาถึงหอซงจู๋แล้วเดินไปห้องหออย่างมีโมโห ยังไม่ทันได้เปิดประตูเข้าไป ไอน้ำหนาทึบก็ลอยออกมาพร้อมเสียงครวญเพลงเบาๆ

เขาชะงักเท้า…ความคิดที่ผุดเข้ามาในหัวคือ นางกำลังอาบน้ำอยู่หรือ

ชายหนุ่มยืนละล้าละลังตรงหน้าประตู ไม่รู้ว่าควรเข้าไปดีหรือไม่

จังหวะนั้นเองอวี้ฉีหลินก็เปิดประตูออกมา แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นเขา “กลับมาแล้วหรือ”

“อืม” จินหยวนเป่าเห็นนางยังใส่เสื้อผ้าครบชุดก็แค่นเสียงขึ้นจมูก ก่อนจะเดินเข้าไปในห้อง

อ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ใบหนึ่งตั้งอยู่กลางห้อง ควันขาวลอยกรุ่น

อวี้ฉีหลินหิ้วถังไม้ใบหนึ่งเดินเข้ามา ในถังคือน้ำร้อนควันขาวฉุย นางครวญเพลงเบาๆ อยู่ในคอ “ลูกสาวบ้านใครงามกว่าฉานเจวียน* คร้านจะแต่งกายเพริศพริ้ง แสนเสียดายวัยสาวแสนสั้น ลูกชายบ้านใครหล่อเหลากว่าพานอัน เฝ้าหมองใจทุกคืนวันที่เวลาผ่านไปเร็วรี่…”

นางครวญเพลงหงิงๆ พลางเทน้ำลงไปในอ่าง เสียงน้ำดังซ่า อวี้ฉีหลินร้องต่ออีกหนึ่งประโยคในท่วงทำนองที่เหมาะเจาะกัน “ยอดหญ้าสูงลิ่ว หมู่แมลงเริงวสันต์ บุปผางามสะพรั่งสุดลูกตา…”

จินหยวนเป่าหรี่ตามองนาง

ควันบางๆ ลอยอยู่เหนืออ่าง นางใช้มือวักน้ำตรวจสอบอุณหภูมิ ไอน้ำเกาะตัวรวมกันเป็นหยดน้ำใสไหลลงมาตามข้อมือขาวผุดผาดของนางช้าๆ ทิ้งรอยเลื่อมวาวไว้เป็นทาง

อวี้ฉีหลินเกี่ยวปอยผมที่ปรกลงมาไปทัดไว้หลังหูลวกๆ เผยให้เห็นใบหูเล็กโปร่งบางสีชมพู เรือนผมสีดำสนิททำให้ผิวนางดูขาวกระจ่างเป็นพิเศษ เพ่งมองดูดีๆ ยังเห็นประกายเรืองๆ

เสื้อผ้าบนร่างบางเปียกชื้นจากไอน้ำ ทุกครั้งที่ขยับตัว เนื้อผ้าจะแนบติดไปกับเรือนร่างจนเห็นบั้นเอวคอดกิ่ว

หญิงคนนี้คิดจะมาไม้ไหนอีกนะ จินหยวนเป่าพยายามไม่สนใจความงามของนาง เอามือกอดอกมองอยู่ข้างๆ พลางแค่นเสียงหัวเราะขึ้นจมูก

ถูกจ้องเอาๆ แบบจะยิ้มก็ไม่ใช่ ไม่ยิ้มก็ไม่เชิงเช่นนี้ อวี้ฉีหลินชักเริ่มอึดอัด “ข้าอยากอาบน้ำ นึกไม่ถึงว่าทางโรงครัวจะยกอ่างน้ำใหญ่ขนาดนี้เข้ามาให้เสียเร็ว…”

ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ “นั่นเพราะเจ้าเพิ่งมาอยู่ใหม่ก็วางอำนาจจนบ่าวไพร่กลัวหัวหด เลยรีบประจบเอาใจเจ้าไว้น่ะสิ”

อวี้ฉีหลินหน้าแดงเรื่อเมื่อได้ยินดังนั้นแล้วงึมงำ “ข้าก็แค่ถามว่าใครรับใช้เจ้าอย่างใกล้ชิดเท่านั้นเอง”

“อ้อ?” เขาย้อนถามประชด “เจ้าซักถามข้ารับใช้แบบนั้นทำไม เพื่อเรียนรู้วิธีปรนนิบัติข้าจากพวกเขาอย่างนั้นหรือ”

“ใช่แล้วๆ!” นางพยักหน้าหงึกๆ แล้วพูดเอาใจ “เพื่อเรียนรู้ว่าจะปรนนิบัติเจ้าเวลาอาบน้ำอย่างไรดี! เจ้าเหนื่อยมาทั้งวัน ข้าช่วยอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ ข้าอยากปรนนิบัติเจ้าให้อาบน้ำสบายๆ จะได้ผ่อนคลายบ้างอย่างไรล่ะ”

อวี้ฉีหลินยิ้มประจบเต็มที่ แต่นอกจากอีกฝ่ายจะไม่หวั่นไหวแล้ว ยังถามอย่างระแวง “จะมาไม้ไหนอีกล่ะ”

“ข้ายังจะทำอะไรได้” เห็นเขาทำหน้าไม่สบอารมณ์ นางนึกว่าเขายังโกรธเรื่องกลับหนานจิงกับเรื่องที่ถูกต่อยจนเลือดกำเดาไหล จึงแสร้งทำหน้าละห้อยมองเขาอย่างน่าสงสาร “ข้ารู้ว่าเจ้ายังโกรธข้า ข้าทำแบบนี้ก็เพื่อเอาใจเจ้าเท่านั้นเอง ยกโทษให้ข้าเถอะนะ”

“อ้อ?” จินหยวนเป่าเลิกคิ้ว น้ำเสียงเย่อหยิ่งทะนงตน “ในเมื่ออยากเอาใจข้าขนาดนี้ ข้าก็จะยอมให้เป็นกรณีพิเศษ!” พูดพลางลุกขึ้นมาถอดเสื้อคลุมตัวยาวออกมาพาดไว้บนราว

อวี้ฉีหลินตื่นเต้นขึ้นมาทันที

ปรากฏว่าเขาหมุนตัวเดินไปนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่อีกด้านเสียอย่างนั้น

* ฉานเจวียน เป็นคำที่ใช้เปรียบเปรยถึงหญิงงาม

“รีบถอดเสื้อผ้าเข้าสิ!” นางเร่ง

จินหยวนเป่าแค่นยิ้มมองกลีบดอกไม้ที่ลอยฟ่องอยู่ในอ่าง “นี่มันดอกอะไรบ้าง”

“ดอกไม้จากสวนในเรือนน้องสาวเจ้าทั้งนั้น สวยที่สุดในคฤหาสน์เลยนะ เพราะอย่างนี้ข้าเลยทะเลาะกับนางไปหนึ่งยก…”

“ช้อนออก”

หญิงสาวชะงัก “ไหนว่าอาบน้ำต้องลอยกลีบดอกไม้ไม่ใช่หรือ”

“วันนี้ไม่เอา” ชายหนุ่มตอบเรียบๆ

นางขมวดคิ้วกับคำตอบที่ได้รับ “นี่เจ้าจงใจแกล้งกันใช่หรือไม่”

“แล้วอย่างไรล่ะ” จินหยวนเป่ามองนางด้วยสีหน้าเหมือนจะยิ้มก็ไม่ใช่ ไม่ยิ้มก็ไม่เชิง “ในเมื่ออยากเอาใจข้านัก จะโดนแกล้งนิดแกล้งหน่อยก็ควรแล้วนี่”

“เจ้า…” อวี้ฉีหลินกัดฟันกรอด ก่อนจะสงบสติอารมณ์ปั้นยิ้มให้ “ได้ๆๆ เจ้าสั่งอย่างไร ข้าก็ทำตามนั้น” พูดจบก็ก้มหน้าก้มตาช้อนกลีบดอกไม้ขึ้นมาอย่างทุลักทุเล

จินหยวนเป่าอมยิ้มนั่งมองจนกระทั่งกลีบดอกไม้กองนั้นถูกช้อนขึ้นมาจนหมด

“เสร็จแล้ว” หญิงสาวลุกขึ้นมาปาดเหงื่อ

“หืม?” เขาส่ายหน้า ชี้ไปยังกลีบดอกไม้เล็กๆ ที่ยังลอยอยู่ในอ่าง

“คนขี้แกล้ง!” อวี้ฉีหลินงึมงำในคอ แล้วช้อนกลีบดอกไม้ที่เหลือออกอย่างตั้งอกตั้งใจ

จินหยวนเป่ามองน้ำในอ่าง ก่อนจะขยับปากพูดเสียงดังฟังชัด “น้ำมันหอม”

“น้ำมันหอมอะไร” อีกฝ่ายเบิกตากว้าง “ช้อนกลีบดอกไม้ออกจนหมดแล้วยังไม่พอหรือ”

“ไม่ทำใช่หรือไม่” เขาเลิกคิ้ว “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่อาบ!”

อวี้ฉีหลินฉุนกึก “ก็ได้ๆๆ! ข้าจะไปเอามาให้!” พูดจบก็เดินไปหาบนชั้น

ชายหนุ่มนั่งมองนางควานหาของบนชั้นอย่างสบายอารมณ์ ไล่เปิดดมทีละขวดๆ…ไออุ่นค่อยๆ แผ่ซ่านอยู่ในใจโดยไม่รู้ตัว

ในที่สุดอวี้ฉีหลินก็หาเจอจนได้ นางชูขวดขึ้นถามเขา “ขวดนี้ใช่หรือไม่”

คนถูกถามพยักหน้าอย่างเกียจคร้าน

นางจับขวดน้ำมันหอมเทพรวดลงไปในน้ำแทบจะทั้งขวด กลิ่นหอมกำจายทั่วห้องทันที

“ใช้ได้หรือยัง” นางถาม

จินหยวนเป่าลุกขึ้นเดินเอื่อยๆ ไปยืนตรงหน้าอ่างอาบน้ำแล้วบอกเรียบๆ “น้ำไม่ร้อนพอ”

“อะไรนะ เจ้ายังไม่ได้แตะดูเลยด้วยซ้ำ รู้ได้อย่างไรว่าร้อนพอหรือไม่”

“หึ!” เขาแค่นเสียงขึ้นจมูก “วักไปวักมาอยู่นานสองนาน น้ำเย็นหมดแล้ว”

อวี้ฉีหลินเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน กระนั้นก็ยังกล้ำกลืนโทสะเดินออกไป แล้วหิ้วน้ำร้อนถังหนึ่งเข้ามาเติมให้

“ทีนี้พอใจหรือยัง!?”

ชายหนุ่มเลิกคิ้ว ก่อนจะปลดกระดุมเสื้ออย่างเชื่องช้าทีละเม็ดๆ

อวี้ฉีหลินตื่นเต้นสุดระงับ ดวงตากลมโตจ้องมองตามความเคลื่อนไหวของมืออีกฝ่าย ปรากฏว่าพอจะแกะกระดุมเม็ดสุดท้ายตรงเอว ปลายนิ้วเรียวยาวก็พลันหยุดชะงักเสียก่อน

ดวงตาคมคร้านจะเหลือบมอง เสียงทุ้มก็ดังขึ้น “น้ำร้อนไป”

“นี่!” ในที่สุดนางก็เริ่มเหลืออด “จะอาบหรือไม่อาบ ยังไม่ทันได้ลองเลยจะรู้ได้อย่างไร”

“ถ้าไม่เชื่อก็ลองเอามือจุ่มดูสิ”

อวี้ฉีหลินโน้มตัวไปยื่นมือวัดอุณหภูมิน้ำอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “ข้าว่าเจ้าจงใจมากกว่า…”

ทันใดนั้นมือใหญ่พลันยกขึ้นผลักนางเบาๆ ร่างอ้อนแอ้นที่ตั้งตัวไม่ติดจึงหัวทิ่มลงไปในอ่าง

ที่น่าโมโหที่สุดคือเขายังพูดเยาะๆ ว่า “นี่เป็นน้ำสำหรับอาบ จะวัดอุณหภูมิต้องลงไปวัดทั้งตัว!”

“จินหยวนเป่า!” อวี้ฉีหลินโผล่พรวดขึ้นจากน้ำแล้วอ้าปากตวาดแหวอย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยง แต่ก็ถูกกดไหล่ให้จมลงไปในน้ำอีกครั้ง

“อยากขึ้นมาหรือ จุ๊ๆๆ เจียงเสี่ยวเซวียน ตอนนี้เจ้าไม่เปลือยก็เหมือนเปลือย ถ้าไม่กลัวจะประจานตัวเองก็ขึ้นมาเลยสิ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วยิ้มกริ่ม

หญิงสาวก้มหน้าลงมองตัวเอง แต่เดิมอาภรณ์ฤดูร้อนก็ใช้ผ้าเนื้อบางอยู่แล้ว เสื้อผ้าในคฤหาสน์สกุลจินใช้ผ้าแพรชั้นดีทั้งหมด เมื่อเปียกน้ำก็แนบลู่ไปบนเรือนร่างและแทบจะโปร่งแสง นางรีบยกมือบังหน้าอกนั่งลงไปในน้ำ พวงแก้มแดงก่ำ จ้องมองคนตรงหน้าอย่างเป็นเดือดเป็นแค้น

“ต้องอย่างนี้สิ หัดรู้ตัวหน่อยน่ะดีแล้ว” จินหยวนเป่าพยักหน้า “ไหล่กว้างไป หน้าอกใหญ่ไป ขา…ยาวไป มือหยาบเท้าใหญ่แถมยังมีกล้ามเนื้อ รูปร่างแบบหญิงบ้านนอกอย่างนี้ก็คิดจะอาบน้ำกับข้าหรือ”

ท่าทางเยาะเย้ยถากถางของเขาทำให้อวี้ฉีหลินโกรธจนร้อนวูบวาบอยู่ในหัว นางลุกพรวดขึ้นจากน้ำมาแอ่นอกอย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น “ข้ารูปร่างแบบหญิงบ้านนอกแล้วจะทำไม!”

เสื้อบางๆ ที่แนบลู่ไปกับผิวกายแทบจะโปร่งแสง มองเห็นจี้หยกที่ใช้เชือกแดงห้อยไว้ใต้ลำคอเพรียวยาวขาวเนียนได้รำไร

จินหยวนเป่ากวาดตามองนางแล้วให้รู้สึกหน้าร้อนผ่าว ใจเต้นระรัว

แสงจันทร์ส่องเข้ามาจากหน้าต่างด้านหลังเป็นเสมือนผ้าแพรสีขาวนวลที่ห่อหุ้มร่างนางไว้ ส่วนเว้าส่วนโค้งเหมาะเจาะลงตัวเสียจนหาที่ติไม่เจอ ความงามเช่นนี้เหมือนสร้างขึ้นตามรสนิยมของเขาโดยเฉพาะ พอคิดถึงความเป็นไปได้นี้ ลำคอก็พลันแห้งผาก เลือดอุ่นๆ ฉีดขึ้นไปคั่งในหัวจนรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัว

“อัปลักษณ์สิ้นดี!” เขาพูดสวนทางกับใจ

“อัปลักษณ์ตรงไหน!” เห็นได้ชัดว่าอวี้ฉีหลินค่อนข้างมั่นใจในตัวเอง นางแอ่นอกมากกว่าเก่าจนเนินเนื้ออวบอัดคู่นั้นสั่นกระเพื่อมน้อยๆ

ปลายยอดเห็นเป็นสีชมพูระเรื่ออยู่ใต้เนื้อผ้ารำไร จินหยวนเป่ารู้สึกคอแห้งหนักกว่าเดิม ความรู้สึกในคืนส่งตัวเข้าหอผุดขึ้นมาอีกครั้งอย่างไร้สาเหตุ เขารีบคว้าเสื้อคลุมบนราวแขวนมาห่มร่างตัวเองอย่างลนลาน แล้วเดินดุ่มๆ ออกไปราวกับวิ่งหนี ตอนเดินไปถึงประตูยังไม่ลืมแดกดันคนข้างในเป็นการทิ้งท้าย “อัปลักษณ์ไปหมดทั้งตัว! อัปลักษณ์ที่สุด อัปลักษณ์ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด! หญิงอัปลักษณ์!”

“จินหยวนเป่า ไอ้คนทุเรศ!” แม้จะโกรธแสนโกรธแต่ก็ทำอะไรเขาไม่ได้ ได้แต่ฟาดน้ำในอ่างจนแตกกระจายเพื่อระบายอารมณ์

 

หัวค่ำช่วงต้นฤดูร้อนทั้งอบอุ่นและเงียบสงบ จันทร์เสี้ยวแขวนอยู่บนฟ้าเหมือนขอเคียว ส่องแสงสีเงินลงมาห่มคลุมผืนดินอย่างเงียบเชียบ ชวนให้หัวใจปลอดโปร่งเป็นสุข

แต่จินหยวนเป่าที่นั่งอ่านบันทึกคดีอยู่ในห้องหนังสือสงบใจไม่ลงเลยสักนิด

เรือนร่างอ้อนแอ้นเปียกชุ่มโชกคอยแต่จะผุดขึ้นมาในหัวจนเขาตั้งสมาธิไม่ได้เลย

ชายหนุ่มใช้บันทึกคดีในมือฟาดตัวเองทีหนึ่งพลางนึกตำหนิตัวเองอยู่ในใจ จินหยวนเป่าเอ๋ยจินหยวนเป่า ใช่ว่าเจ้าจะไม่เคยเห็นสตรีเสียหน่อย ทำไมถึงทำตัวเป็นเด็กหนุ่มไม่ประสาโลกเสียได้ หญิงคนนั้นไม่มีจริตจะก้านเท่าดาวเด่นในหอเชียนเจียว อากัปกิริยาไม่แช่มช้อยนุ่มนวลเหมือนสนมนางในในวังหลวง ทำไมเจ้าถึงต้องใจเต้นแรงแบบนี้ เลอะเทอะสิ้นดี!

แต่ยิ่งคิดอย่างนั้นก็ยิ่งตั้งสมาธิไม่ได้ หัวใจมีแต่จะปั่นป่วนว้าวุ่นมากกว่าเก่า

จังหวะนั้นเองประตูห้องก็ถูกผลักออกดังแอ๊ด รองเท้าสีม่วงอ่อนปักลายฝูงผีเสื้อย่างก้าวเข้ามาข้างใน จากนั้นใบหน้าแย้มยิ้มที่ชอบบุกรุกความคิดเขาเป็นระยะก็โผล่เข้ามาตรงหน้าประตู

จินหยวนเป่านึกยินดีอยู่ในใจ แต่แสร้งทำเป็นเฉยชา ก้มหน้าอ่านบันทึกคดีต่อ ไม่แม้แต่จะปรายตามองนาง ทว่าแท้ที่จริงแอบสังเกตความเคลื่อนไหวของนางเงียบๆ

นางเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่แล้ว ท่อนบนเป็นเสื้อป้ายหน้าสีเหลืองขนห่านป่า สวมทับด้วยเสื้อเอวสั้นแขนเท่าข้อศอกสีม่วงอ่อน ท่อนล่างเป็นกระโปรงสีเขียวใบหญ้า อาภรณ์สีสันสดใส แต่กลับดูแล้วสะอ้านตาเป็นพิเศษ

นางเดินยิ้มเข้ามาใกล้ เหมือนกำลังอารมณ์ดีอย่างยิ่งยวด พลอยทำให้หัวใจว้าวุ่นของเขาสงบลงตามไปด้วย

อวี้ฉีหลินเห็นอีกฝ่ายไม่สนใจก็ลากม้าเข้ามานั่งข้างเขา ราวกับว่าลืมเรื่องที่ถูกแกล้งเมื่อครู่ไปหมดแล้ว

จินหยวนเป่าขยับตัวไปอีกด้านเพื่อรักษาระยะห่างโดยไม่พูดอะไร

หญิงสาวยิ้มระรื่นพลางขยับตาม แต่ถูกฝ่ายตรงข้ามเพิ่มระยะห่างอีกครั้ง

พอนางกระแซะตัวเข้าไปใหม่ เขาก็กระถดหนีใหม่ คราวนี้ยังหนีไปถึงมุมโต๊ะ พอไม่มีที่ให้ถอยแล้วก็ต้องยอมจำนน

อวี้ฉีหลินเอามือเท้าคางมองเขาตาไม่กะพริบอย่างสนอกสนใจ

กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยมาจากตัวหญิงสาวเป็นพักๆ…ไหนจะดวงตาคู่นั้นที่แผดเผาหัวใจจนร้อนรุ่ม สุดท้ายจินหยวนเป่าเลยต้องวางบันทึกคดีลงถาม “คิดจะทำอะไรอีกล่ะ”

เขายอมหันมาสนใจนางเสียที อวี้ฉีหลินส่งยิ้มหวานไปให้ “ข้าอยากมาถามอะไรบางอย่างกับเจ้าหน่อย…เจ้าเชื่อเรื่องชะตาลิขิตหรือไม่”

หึ? เรื่องนี้เองหรือ ชายหนุ่มตอบเสียงดังฟังชัด “ไม่เชื่อ”

“ทำไมล่ะ” นางเบิกตากว้าง

จินหยวนเป่าหลบสายตาคู่นั้นแล้วพูดสั้นๆ แค่ว่า “หญิงบ้านนอกโง่เง่า”

“เจ้า!” อวี้ฉีหลินชักมีน้ำโห นางเหยียดริมฝีปาก ทว่าหลังจากที่นิ่งคิดชั่วครู่ก็พยายามสะกดโทสะยิ้มถามต่อไปว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะเจาะจงอีกนิด เจ้าเชื่อเรื่องโหงวเฮ้งหรือไม่”

ชายหนุ่มหันไปอ่านคดีต่อ เพราะคร้านจะสนใจนางเต็มที

“เป็นต้นว่าตอนเด็กๆ มีนักพรตคนหนึ่งเห็นข้า แล้วบอกแม่ข้าว่าต่อไปข้าจะได้แต่งงานกับคนใหญ่คนโต แม้ตอนแรกจะไม่เต็มใจ แต่อีกหน่อยก็จะสมัครสมานกลมเกลียว…” อวี้ฉีหลินเองก็พูดต่อฉอดๆ โดยไม่สนใจฝ่ายตรงข้าม

“เฮอะ…” เขาแค่นเสียงขึ้นจมูก

“นักพรตคนนั้นบอกว่าเขาดูจากไฝแดงตรงหลังหูข้า แล้วยังบอกว่า…”

คนฟังแสร้งทำเป็นไม่สนใจ แต่ก็อดแอบมองนางด้วยความอยากรู้ไม่ได้ หลังใบหูสีชมพูมีไฝแดงเม็ดเล็กๆ อยู่หนึ่งเม็ดจริงๆ

“นักพรตคนนั้นยังบอกว่า…” อวี้ฉีหลินเหลือบมองคนข้างตัว ก่อนจะพูดต่อด้วยสีหน้าปกติ “คนบางคนเกิดมามีรอยปานบนตัว หากรอยปานมีขอบเรียบก็มีความหมายแฝง เป็นต้นว่า…”

“เป็นต้นว่าอะไร” เห็นนางเล่าอย่างออกรส จินหยวนเป่าก็ช่วยตอบโต้ให้

หญิงสาวตัดสินใจพูดต่อ “เป็นต้นว่าฝ่าเท้ามีรอยปาน แสดงว่า ‘คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด’ ชาตินี้ถูกลิขิตมาให้อยู่สบาย ไม่ต้องเดือดเนื้อร้อนใจเรื่องกินอยู่ไปตลอดชีวิต…”

“แล้วอย่างไรต่อ”

“หากมีปานตรงบั้นเอว แสดงว่าจะได้คนใหญ่คนโตอุปถัมภ์ค้ำจุน เคราะห์ร้ายจะกลายเป็นมงคล พอแก่ตัวไปจะมีลูกหลานเต็มบ้าน ชีวิตมีความสุข…” นางเว้นช่วงเล็กน้อยพร้อมปรายตามองเขา “หากรอยปานมีรูปทรงพิเศษ เช่นปานรูปพระจันทร์ แสดงว่าคนคนนั้นมีวาสนาดีมาก!”

“หา?” จินหยวนเป่าทนฟังไม่ไหวอีกต่อไป “รอยปานรูปพระจันทร์? พระจันทร์อะไร พระจันทร์ขึ้นหนึ่งค่ำหรือพระจันทร์ขึ้นสิบห้าค่ำ จันทร์คว่ำหรือจันทร์หงาย”

“แล้วเจ้ามีรอยปานหรือไม่ล่ะ” อวี้ฉีหลินรีบฉวยโอกาสตีเหล็กเมื่อร้อน

“ลองเดาดูสิ” ชายหนุ่มยิ้ม

ไม่นึกเลยว่าจะได้รับคำตอบเช่นนี้ ตอนแรกนางอุตส่าห์ตั้งตารอ พอเจอประโยคนี้ของเขาก็พูดอะไรไม่ออกอยู่นาน

ประตูถูกเปิดออกในจังหวะนั้น อาฝูชะโงกหน้าเข้ามาดู พอเห็นอวี้ฉีหลินอยู่ด้วยก็รีบทำคอหดหลบออกไปแล้วส่งเสียงเรียกอยู่ข้างนอกอย่างหวาดๆ “คุณชาย?”

จินหยวนเป่าบอก “เข้ามา”

“อาฝูไม่กล้ารบกวน อาฝูพูดอยู่ข้างนอกดีกว่าขอรับ…”

“บอกให้เข้ามา!” ผู้เป็นนายชักหมดความอดทน

อาฝูไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินตัวลีบเข้ามายืนหลบอยู่ข้างประตู ดวงตามองพื้นห้องเขม็ง “คุณชาย คนที่กองปราบเชิญท่านไปขอรับ เร่งมาหลายครั้งแล้ว…”

จินหยวนเป่าลุกพรวดขึ้นตวาด “แล้วทำไมไม่รีบมาบอก!”

บ่าวคนสนิททำหน้าลำบากใจ “บ่าวไม่กล้ารบกวนเวลาหวานชื่นของท่านกับฮูหยินน้อย”

มือปราบหนุ่มรู้ดีว่าจะต้องเป็นเรื่องสำคัญ ไม่อย่างนั้นคงไม่มาตามตัวค่ำมืดเช่นนี้ เขาไม่อยากสนใจอาฝูให้มากความ เดินดุ่มๆ ออกไปโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว

ในห้องเหลือแต่อวี้ฉีหลินกับอาฝูมองหน้ากันไปมาอยู่สองคน

อาฝูรีบโค้งตัวคำนับ “ขออภัยขอรับ! ฮูหยินน้อย อาฝูไม่ได้มีเจตนาจะรบกวนจริงๆ” นิ่งไปสักพักก็พูดเสียงสั่นอย่างหวาดกลัว “เอ่อ…ฮูหยินน้อย ถ้าไม่มีอะไรแล้ว บ่าวขอตัวก่อนนะขอรับ”

อวี้ฉีหลินโบกมืองงๆ ให้อีกฝ่ายออกไปได้ เห็นอาฝูรีบตะลีตะลานออกไป นางก็ยิ่งฉงนหนัก “ข้าน่ากลัวขนาดนี้เชียวหรือ”

 

จินหยวนเป่าควบม้าอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักก็มาถึงหกประตูแล้วตรงดิ่งไปที่ห้องลงทัณฑ์โดยไม่รอช้า

ภายในห้องจุดตะเกียงไว้หลายดวง เสือดาวเวหาไม่ได้ถูกจับมัดไว้กับกางเขน แต่ถูกมัดมือไพล่หลังให้คุกเข่าบนพื้น ดูท่าคงอยากสารภาพอะไรแล้ว

มือปราบหนุ่มยิ้มบาง จากนั้นก็ขึงหน้าบึ้งตึงไปนั่งโต๊ะตรงหน้าเสือดาวเวหา ซ่อนใบหน้าไว้ใต้เงามืดของแสงตะเกียง

หวังเฉียงและหม่าจงเดินเข้ามายืนข้างหลังทันที เขาอ่านรายงานโดยสังเขปช้าๆ กระซิบกระซาบเล่นหัวกับคนสนิททั้งสองเป็นพักๆ โดยไม่สนใจนักโทษที่อยู่บนพื้น

เสือดาวเวหาแอบสังเกตสีหน้าจินหยวนเป่าอยู่นาน สุดท้ายก็ส่งเสียงอย่างทนไม่ไหว “ใต้เท้า ข้าจะสารภาพ!”

จินหยวนเป่าเหลือบตามองมาอย่างไม่ใส่ใจ ผ่านไปสักครู่ใหญ่ถึงเอ่ย “ว่ามา รีบพูดให้เสร็จเร็วๆ พวกข้าจะได้เลิกงานเสียที จะบอกว่าเห็นหญิงสาวลูกผู้ดีหน้าตาสะสวยก็เกิดหน้ามืดชั่ววูบ อยากข่มเหงนางขึ้นมาอีกสินะ” จากนั้นก็บ่นด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย “วันๆ มีแต่คดีน่าเบื่อ เงินพิเศษรึก็ไม่ได้ ข้าว่าไม่ต้องสอบปากคำมันแล้ว เอาเหล็กเผาไฟตีตราบนหน้าแล้วเนรเทศไปอยู่ชายแดนเลยดีกว่า”

หวังเฉียงและหม่าจงพยักหน้าเห็นพ้อง

“ใต้เท้า คดีของข้าไม่เหมือนกัน” เสือดาวเวหายังไม่ตัดใจ

“ว่ามาสิ” มือปราบหนุ่มพูดอย่างเกียจคร้าน

นักโทษที่อยู่บนพื้นมองเขาอย่างลังเล “หากข้าสารภาพแล้ว ใต้เท้าจะให้ประโยชน์อะไรข้า”

“หึๆ” จินหยวนเป่าหัวเราะ “พิลึกจริงๆ โจรกระจอกอย่างเจ้าเหมือนหมูที่อยู่บนเขียงแล้วแท้ๆ ยังจะมาเรียกร้องผลประโยชน์อะไรจากข้าอีก”

พวกลูกน้องพลอยหัวเราะขันตามเขาไปด้วย

เสียงหัวเราะที่ดังครืนอยู่ในห้องทำให้เสือดาวเวหาใจแป้ว ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจพูดขึ้นว่า “หากใต้เท้าสัญญาว่าจะช่วยล้างประวัติให้ข้า ปล่อยข้ากลับบ้านไปอยู่กับลูกเมีย ข้ารู้อะไรก็จะสารภาพทั้งหมด! คดีของข้าไม่ใช่คดีเล็กๆ นะ!”

“อ้อ?” จินหยวนเป่ามองอีกฝ่ายยิ้มๆ “เจ้าจะบอกว่าเจ้าเป็นจอมโจรมหากาฬอะไรเทือกนี้สินะ เคยขโมยอะไรบ้างล่ะ ไหนขอคิดดูหน่อยซิ…กระเป๋าเงินสักร้อยใบ หรือไม่ก็ถุงหอม”

เสียงหัวเราะดังครืนขึ้นมาอีกครั้ง

“หึ!” เสือดาวเวหาเชิดหน้าขึ้น ใบหน้าฉายแววภาคภูมิอยู่เล็กน้อย “ขโมยถุงหอมเป็นเรื่องเท็จ ลักพาตัวหญิงสาวไปขายเป็นเรื่องจริง แล้วไม่ได้ลักพาตัวไปขายธรรมดาๆ แต่มีผู้บงการปริศนา เป็นคนในราชสำนัก คอยตระเตรียมการไว้ให้อย่างรัดกุม โดยจะต้องส่งสินค้าไปให้เป็นระยะ และจะต้องเป็นสินค้าชั้นดีเท่านั้น ส่วนส่งไปไหน…” พูดมาถึงตรงนี้เสือดาวเวหาก็แกล้งอมพะนำ

จินหยวนเป่าถามยิ้มๆ อย่างใจเย็น “อ้อ? แล้วเจ้านายของเจ้าคือใคร”

ฝ่ายตรงข้ามยิ้มตอบอย่างเจ้าเล่ห์ “ใต้เท้ายังไม่ตอบรับเงื่อนไขของข้าเลยนะ”

“เงื่อนไข?” นัยน์ตาชายหนุ่มฉายแววเย็นเยียบขณะบอกเสียงต่ำๆ “ข้าก็มีเงื่อนไขกับเจ้าเหมือนกัน หากเจ้าเล่ารายละเอียดการค้าสตรีให้ข้าฟัง ข้าจะจับเจ้าขังไว้ในคุกแถบชานเมืองหลวงในข้อหาลักทรัพย์และทำร้ายร่างกาย ครอบครัวเจ้าจะมาเยี่ยมเจ้าได้เดือนละครั้ง แต่หากเจ้าปากแข็งไม่ยอมพูดอะไรล่ะก็ พวกเราก็คงต้องทำเรื่องส่งเจ้าไป…ไหนดูซิ ฉยงโจวหรือว่าหนิงกู่ถ่าดีนะ ฉยงโจวร้อนชื้น แมลงร้ายชุกชุม เห็นว่าชาวจงหยวนเราทนได้แค่ไม่กี่วัน หนิงกู่ถ่าไม่มีทั้งแมลงร้ายและหมอกพิษ…แต่ได้ยินมาว่าออกไปฉี่ในฤดูหนาว ฉี่ก็จะกลายเป็นน้ำแข็ง…อ้อ แน่นอน ข้าเองก็ยังไม่เคยเห็น พูดไม่ถูก เจ้าเลือกดูเอาเองแล้วกัน” จินหยวนเป่าเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ตวัดขาขึ้นนั่งไขว่ห้างเอกเขนก

เสือดาวเวหารู้อยู่แล้วว่าจินหยวนเป่าไม่มีทางยอมรับปากง่ายๆ แต่แค่ถูกจับขังคุก มีโอกาสได้เห็นหน้าคนในครอบครัวบ้างก็ถือว่าบุญแล้ว เขานึกดีใจอยู่เงียบๆ กระนั้นก็ยังไม่วายต่อรอง “ใต้เท้า ข้าขอให้ได้กลับบ้านไปอยู่กับเมียและลูกสาวนะ”

“กลับไปอยู่กับลูกเมีย?” มือปราบหนุ่มลุกขึ้นเดินออกจากหลังโต๊ะมาหยุดอยู่ตรงหน้าเสือดาวเวหา เรือนร่างสูงสง่าสร้างความกดดันดุจขุนเขา นัยน์ตาคมเป็นประกายเย็นเยียบชวนสะท้าน “เจ้าจับหญิงสาวไปขาย ใจคอเหี้ยมเกรียมไร้มโนธรรม ทำให้ลูกเมียคนอื่นพลัดพรากกัน แต่ตัวเองดันอยากกลับบ้าน? ข้าจะบอกอะไรให้นะ โอกาสที่ดีที่สุดของเจ้าคือร่วมมือกับข้า คายสิ่งที่เจ้ารู้ออกมาให้หมด ข้าจะย้ายเจ้าไปขังไว้ในคุกที่ความเป็นอยู่ค่อนข้างดี เจ้าจะได้มีเวลาสำนึกผิดกลับตัวกลับใจ…ถ้าไม่อย่างนั้น เชื่อหรือไม่ว่าแผ่นดินกว้างใหญ่ผืนนี้ต้องมีสักที่ให้เจ้าใช้ชีวิตอย่างน่าอนาถที่สุด”

คิดถึงนักโทษที่ถูกเนรเทศไปอยู่ตามที่กันดารรกร้าง เสือดาวเวหาอดจะสะท้านไม่ได้ หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งก็ถามขึ้นเป็นการหยั่งเชิง “ใต้เท้าพูดคำไหนคำนั้นหรือไม่”

จินหยวนเป่าไม่ตอบ ทว่าสีหน้าท่าทางเฉียบขาดทรงอำนาจดูน่ายำเกรงยิ่งนัก

เสือดาวเวหาค่อยๆ ทิ้งตัวนั่งอ่อนปวกเปียกไปกับพื้น ไม่ทำอวดเก่งอีกต่อไป “ข้าก็ไม่รู้ว่าผู้ซื้อคนนี้เป็นใคร ข้าติดต่อผ่านฉู่ฉู่มาโดยตลอด ฉู่ฉู่บอกมาว่าต้องการกี่คน ข้าก็ไปจับมาเท่านั้น”

“เงื่อนงำเกี่ยวกับฉู่ฉู่ไม่ต้องรอให้เจ้าบอกหรอก ข้ารู้หมดแล้ว ถ้าอยากเข้าไปอยู่ในห้องขังชั้นดี เจ้าก็ต้องพยายามมากกว่านี้”

เสือดาวเวหาขมวดคิ้วพูดต่อไปว่า “ถึงข้าจะมีหน้าที่แค่ลักพาตัวหญิงสาวแล้วส่งไปให้ฉู่ฉู่มาปีกว่า แต่ก็แอบคิดกับตัวเองเหมือนกัน ผู้ซื้อรายใหญ่คนนี้จะต้องไม่ได้มีจุดประสงค์ธรรมดาแค่อยากได้เงินแน่ ข้าทำงานให้เขามาแค่ปีกว่า ยังไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร รู้แต่ว่าจะต้องเป็นคนมีอำนาจพอดู และรู้ด้วยว่าหญิงสาวที่ลักพาตัวมาได้จะถูกส่งไปขายตามหอนางโลมเป็นส่วนน้อยเท่านั้น ที่เหลือน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกขุนนางสำคัญ…”

หวังเฉียงอดจะขัดคอไม่ได้เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ “ออกจะคุยโวเกินไปหน่อยหรือไม่ ขุนนางสำคัญ? ขั้นตอนลับสุดยอด? ฉู่ฉู่เป็นแค่นางโลมตัวเล็กๆ คนหนึ่งเท่านั้น เจ้าเห็นนางหนีไปแล้ว เลยจะโบ้ยความผิดให้นางทั้งหมดล่ะสิ”

หม่าจงเสริม “นั่นสิ! พูดอยู่ตั้งนานสองนานก็ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง ข้าว่าพวกเราปิดคดีตรงนี้ สั่งปิดหอเชียนเจียวเสีย ก็เท่ากับสร้างผลงานได้เหมือนกัน”

เสือดาวเวหาเงยหน้ามองทั้งสองคนแล้วรีบละล่ำละลักอธิบาย “ท่านมือปราบทั้งหลาย ข้าไม่ได้พูดสุ่มสี่สุ่มห้านะ! พวกท่านลองคิดดูเองแล้วกัน ฉู่ฉู่เป็นนางโลม ขนาดนางเองยังขายตัว หากไม่มีคนหนุนหลังยังจะขายคนอื่นได้หรือ”

จินหยวนเป่าโบกมือตัดบท “พูดเป็นคุ้งเป็นแควอยู่ตั้งนาน มีแค่ประโยคนี้แหละที่พอเข้าเค้า น่าเสียดาย เจ้าเองก็คงรู้อะไรไม่มาก โจรกระจอกอย่างเจ้าคงไม่มีทางคิดออกหรอกว่าผู้บงการเป็นใคร!” พูดจบก็หันไปถามคนสนิท “นางโลมดาวเด่นของหอคณิกาหาลำไพ่เสริมด้วยการค้าสตรี พวกเจ้าไม่รู้สึกว่ามันแปลกไปหน่อยหรือ”

ทั้งสองหันไปมองหน้ากัน ไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไรดี

“ขายตัวเป็นนางโลม ค้าสตรี รวบรวมข่าวสาร…” จินหยวนเป่าไล่เรียงทีละอย่างก่อนจะยิ้มน้อยๆ “ไม่รู้ว่าอย่างไหนคืออาชีพหลักของแม่นางฉู่ฉู่คนนี้กันแน่ และคนใหญ่คนโตคนใดกันที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังนาง อืม…คดีนี้น่าสนุก เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ ให้คนคอยเฝ้าเสือดาวเวหาเอาไว้ให้ดี อย่าให้เกิดเหตุผิดพลาดอะไรขึ้นมาได้”

“ขอรับ!” ทั้งสองคนรับคำพร้อมเพรียง

ตอนที่กำลังเดินออกไป จินหยวนเป่าได้ยินเสียงหวังเฉียงอยู่ข้างหลังเบาๆ “จุ๊ๆ แต่งงานแล้วเปลี่ยนไปจริงด้วย รีบกลับบ้านเลยทีเดียว”

เขาหันมาถลึงมองทั้งสองด้วยสายตาพิฆาต

หวังเฉียงและหม่าจงหุบปากเงียบทันที

เนื่องจากคดีมีความคืบหน้า จินหยวนเป่าจึงอารมณ์ดีอย่างมาก เขาเดินไปยังหอซงจู๋ด้วยจิตใจอันรื่นรมย์มาตลอดทาง

 

อาฝูยืนอยู่ตรงหน้าประตูเหมือนกำลังรอเขา พอเห็นคุณชายกลับมาก็ทำหน้าดีอกดีใจอย่างปิดไม่มิด รีบปรี่เข้ามาถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ท่าทางคุณชายจะอารมณ์ดีมากนะขอรับ”

ผู้เป็นนายพยักหน้าแล้วยิ้มตอบ “วันนี้คดีพอจะมีความคืบหน้าบ้างแล้ว”

“เกิดเรื่องดีๆ แบบนี้ ถ้าอย่างไรคืนนี้ดื่มฉลองหน่อยดีหรือไม่ขอรับ” บ่าวคนสนิทย่อมรู้นิสัยนายเป็นอย่างดี

จินหยวนเป่าพยักหน้า ข้ารับใช้เป็นงาน เจ้านายก็ต้องอารมณ์ดีอยู่แล้ว “เข้าท่า”

อาฝูรีบวิ่งออกไปตระเตรียม

ไม่นานนักก็เดินเข้าไปในห้องหอโดยมีสาวใช้สองคนตามหลัง จัดแจงที่นั่ง วางตะเกียบกับชามพร้อมสรรพ

“ทำอะไรน่ะ” อวี้ฉีหลินกำลังคิดหาแผนการอยู่ในห้อง พอเห็นข้ารับใช้เดินเข้ามาก็ร้องถาม

“คุณชายกำลังอารมณ์ดี คืนนี้เลยจะดื่มสักจอกสองจอกน่ะขอรับ” อาฝูรีบตอบ

“อ้อ” อวี้ฉีหลินส่งเสียงรับรู้อย่างไม่ใส่ใจนัก แต่พอเห็นสาวใช้ยกกาสุราเข้ามา ดวงตากลมโตก็กลอกกลิ้ง ได้การล่ะ! มอมเหล้าให้เมาก็ได้เห็นรอยปานแล้วไม่ใช่หรือ

จินหยวนเป่าผลักประตูเดินเข้ามาในห้องพอดี นางรีบบิดเอวกระแซะเข้าไปถามเสียงอ่อนเสียงหวาน “จะดื่มเหล้าหรือ ข้าดื่มเป็นเพื่อนได้นะ!”

ชายหนุ่มทำอะไรคนเดียวจนเป็นนิสัย เขาคร้านจะสนใจนาง จึงได้แต่หาเรื่องมาไล่นางออกไป “ก็ได้! แต่อยากดื่มเหล้ากับข้าต้องเล่นเป่ายิงฉุบด้วยกันนะ!”

เป่ายิงฉุบ? อวี้ฉีหลินตาเป็นประกาย รีบถลกแขนเสื้อแทบไม่ทันแล้วบอกเสียงใส “ไม่มีปัญหา ข้าเล่นเป็น!”

เห็นท่าทางแบบนั้นจินหยวนเป่าก็รู้แล้วว่านางคงมีความคิดพิเรนทร์ๆ อะไรอีกแน่ แม้ไม่รู้ว่านางคิดจะทำอะไร แต่หลายวันที่ผ่านมาเขาสัมผัสได้รางๆ ว่าอวี้ฉีหลินมีจุดประสงค์อะไรบางอย่างมาตั้งแต่ต้น

คิดถึงพฤติกรรมโผงผางในคืนแต่งงาน เขาก็อดจะอยากแกล้งนางขึ้นมาไม่ได้ ดวงตาคมหรี่ลงมองอีกฝ่ายยิ้มๆ ขณะพูดเนิบนาบ “ใครแพ้ต้องถอดเสื้อผ้า หนึ่งตาต่อหนึ่งชิ้น!”

คนฟังชะงักกึก แทบจะกระโดดตัวลอยด้วยความลิงโลด เรื่องดีๆ มาประเคนอยู่ตรงหน้า เข้าทางนางพอดีเลยจริงเชียว! ไม่ต้องลังเลอะไรอีกแล้ว อวี้ฉีหลินตบโต๊ะดังป้าบ รับคำด้วยสีหน้าตื่นเต้น “ได้เลย!”

ผิดคาดที่เงื่อนไขนี้ไม่ทำให้นางขยาดหนี จินหยวนเป่าตาค้างด้วยความอึ้ง สักครู่ใหญ่ถึงค่อยบอกอย่างหงุดหงิด “เริ่มเลยแล้วกัน!”

“มาเลยๆ!” อวี้ฉีหลินทำหน้าเริงร่า “ไพ่นกกระจอกหรือทายเลขดี เป่ายิงฉุบข้าก็เล่นเป็น!”

เส้นเลือดตรงขมับจินหยวนเป่าปูดโปน ไม่อยากเชื่อเลยว่าคุณหนูตระกูลใหญ่อย่างเจียงเสี่ยวเซวียนจะเล่นอะไรแบบนี้เป็นด้วย เขานึกแปลกใจกับตัวเอง แล้วบอกยิ้มๆ เมื่อเห็นท่าทางมั่นอกมั่นใจของนาง “อย่าเลย พวกนั้นข้าไม่ถนัด พวกเรา…มาทอยลูกเต๋ากันดีกว่า”

“หา?” อวี้ฉีหลินมองคนพูดงงๆ “เจ้าพูดเองนี่ว่าจะเล่นเป่ายิงฉุบ”

“ไม่ได้หรืออย่างไร” เขาเลิกคิ้ว

“เอ่อ…” นางก้มหน้าครุ่นคิด อืม โอกาสทองเช่นนี้ร้อยปีครั้งยังหาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองฝ่ายตรงข้าม “ได้! ทำไมจะไม่ได้ล่ะ! มาเลย!”

“ดี” จินหยวนเป่ายิ้ม แล้วสั่งให้สาวใช้ไปเตรียมลูกเต๋ากับกลักทอยมาให้

“เล่นอย่างไร” อวี้ฉีหลินถาม

“อืม…แทงสูงต่ำก็แล้วกัน ใช้ลูกเต๋าคนละสามลูก ดูว่าใครทอยได้แต้มสูงกว่ากันคนนั้นชนะ! คนชนะดื่มเหล้า คนแพ้ถอดเสื้อผ้า!”

“ได้เลย!” อวี้ฉีหลินตื่นเต้นเสียจนหน้าแดงเรื่อ นัยน์ตาเป็นประกายพราวระยับดุจดวงดาว

ภาพนั้นทำให้จินหยวนเป่าอารมณ์ดีขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ เขาหยิบกลักลูกเต๋าไปเขย่า วางกลักลงบนโต๊ะ เปิดฝาออก แล้วบอกอย่างภาคภูมิ “ยอมแพ้เสียเถอะ สิบหกแต้ม!”

“หึ ก็แค่โชคดีเท่านั้นแหละ!” อวี้ฉีหลินหยิบกลักอีกใบมาเขย่าอย่างไม่ยอมแพ้ แล้ววางลงบนโต๊ะอย่างไม่มั่นใจเลยแม้แต่นิดเดียว แต่พอเปิดฝากลักเท่านั้นก็หัวเราะร่า “ฮ่าๆๆๆๆ! ของข้าสิบเจ็ดแต้ม สูงกว่าเจ้าหนึ่งแต้ม!”

ชายหนุ่มมองลงไปในกลักอย่างไม่เชื่อสายตา พบว่าเป็นหกแต้มสองลูก ห้าแต้มอีกหนึ่งลูกจริงๆ เขางึมงำในคอ “ก็แค่โชคดีเท่านั้นแหละ”

“ถอดเลยๆ!” นางรอคอยอย่างตื่นเต้น

จินหยวนเป่าดึงปิ่นที่อยู่บนผมลงมาช้าๆ แล้วโยนไปบนโต๊ะ

“แบบนี้ก็นับด้วยหรือ” อวี้ฉีหลินมองด้วยความอึ้ง

“ทำไมจะไม่นับ” เขาย้อนด้วยสีหน้าราบเรียบ “หากเจ้าแพ้ยังถอดต่างหูได้ตั้งสองครั้ง!” เขามองหน้านาง กระเซ้าเย้าแหย่ยิ้มๆ “ทำไม อยากเห็นข้าแก้ผ้ามากขนาดนี้เลยหรือ” พูดจบก็หยิบกลักลูกเต๋าขึ้นมาเขย่าอย่างเชี่ยวชาญ

ตานี้แต้มของอวี้ฉีหลินต่ำกว่า จึงแพ้ไป

นางดึงต่างหูข้างหนึ่งโยนลงบนโต๊ะอย่างเสียไม่ได้

ชายหนุ่มอารมณ์ดีขึ้นทันที เขาเขย่ากลักลูกเต๋าอีกครั้งอย่างครึ้มอกครึ้มใจ ตานี้อวี้ฉีหลินก็เป็นฝ่ายแพ้อีกแล้ว

“ทำไมข้าถึงแพ้อีกล่ะ!” นางร้องอย่างหัวเสียแล้วดึงต่างหูอีกข้างทิ้ง

จินหยวนเป่ามองอีกฝ่ายอย่างเยาะเย้ย ก่อนจะกวนอารมณ์นาง “เห็นหรือไม่ ข้าบอกแล้ว เจ้าถอดต่างหูได้สองข้าง ได้เปรียบจะตายไป” จากนั้นก็หัวเราะอยู่ในคอ

“เจ้า…” หญิงสาวโมโหจี๊ด นางปลดกระดุมเสื้อตัวนอกเตรียมรอเสียเอง แล้วตบโต๊ะอย่างฉุนเฉียว “มาเลย! ดูซิเจ้าจะชนะได้อีกสักกี่ตา!”

จินหยวนเป่าเลิกคิ้วอย่างโอ้อวด ก่อนจะเขย่ากลักลูกเต๋าต่อ ปรากฏว่าครั้งนี้กลับทอยออกมาได้แต้มต่ำสุด หนึ่งแต้มทั้งสามลูก!

อวี้ฉีหลินหัวเราะร่า “ลมเปลี่ยนทิศแล้ว!” พูดจบก็เขย่ากลักเต๋าบ้าง แน่นอนว่าตานี้นางชนะ

ผลัดกันเขย่าอย่างนั้นอยู่หลายตา อวี้ฉีหลินเป็นฝ่ายได้แต้มสูงกว่าตลอด ส่วนจินหยวนเป่าเหมือนทำอะไรให้เทพเจ้าแห่งการพนันโกรธ เลยต้องแก้ผ้าผูกมวยผม ปลดกระเป๋าเงิน หยกประดับ ถอดรองเท้าข้างซ้าย รองเท้าข้างขวา ถุงเท้าข้างซ้าย ถุงเท้าข้างขวา…

อวี้ฉีหลินดื่มเข้าไปจอกแล้วจอกเล่าจนใบหน้าเรียวเล็กแดงเรื่อ ดวงตากลมโตเป็นประกายวาววับเมื่อเห็นเขามีเสื้อผ้าติดตัวน้อยลงทุกที ยิ่งดื่มก็ยิ่งคึก “ถอดเร็วๆ เลย! เจ้าแพ้แล้ว!”

ของประดับถูกปลดออกไปหมดแล้วทุกอย่าง ชายหนุ่มจึงลุกขึ้นถอดเสื้อคลุมอย่างใจเด็ด

นัยน์ตาของอวี้ฉีหลินพราวระยับขณะเขย่ากลักลูกเต๋าต่อ

ไม่นานนักจินหยวนเป่าก็แพ้จนเหลือแต่เสื้อผ้าชั้นใน

“เจ้าแพ้อีกแล้ว!” หญิงสาวมองเขาอย่างกระหยิ่มใจ ตัวเองก็เริ่มเมาไม่น้อย

จินหยวนเป่าก้มหน้ามองตัวเองอย่างลำบากใจ

นางเลิกคิ้ว “ลูกผู้ชายอกสามศอกไม่กลับคำ!”

“กลับคำ?” เขาหัวเราะก่อนจะยกมือขึ้นปลดกระดุมเสื้อ เผยแผงอกทีละนิดๆ

อวี้ฉีหลินตื่นเต้นเสียจนตัวสั่น มองตามความเคลื่อนไหวของมือใหญ่ตาไม่กะพริบ “ถอดเลย! ถอดเลย!”

“…นอกจากนั้นยังมีปะการังแดงสองกิ่ง รวมราคาทั้งหมดหกพันหกร้อยหกสิบตำลึง” หลิ่วเหวินเจาปิดสมุดรายการของขวัญยิ้มๆ “ท่านอา แค่นี้ก็น่าจะพอแล้วกระมังขอรับ ไม่ต้องจัดหาเครื่องกระเบื้องเพิ่มหรอก คุณชายกับฮูหยินน้อยกลับบ้านฝ่ายหญิงต้องเดินทางไกล ระหว่างทางอาจเจอถนนขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อบ้าง หากกระทบกันแตกจะแย่เอานะขอรับ…”

จินฮูหยินนวดขมับ กว่าจะไล่เรียงรายการของขวัญหมดก็ใช้เวลาถึงหนึ่งก้านธูปเต็มๆ นางฟังเสียจนปวดหัว

“ท่านอาไม่สบายหรือขอรับ” หลิ่วเหวินเจาสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวของนางตามประสาคนละเอียดแล้วรีบถามอย่างนอบน้อม

“เฮ้อ พออายุมากเข้าร่างกายก็เริ่มถดถอย ไม่เหมือนคนหนุ่มสาวอย่างพวกเจ้าหรอก”

หลิ่วเหวินเจาวางสมุดรายการของขวัญ เดินเข้าไปยังตั่งนุ่มที่นางนั่งแล้วช่วยนวดขมับให้เบาๆ ท่าทางเหมือนลูกกตัญญูไม่ผิดเพี้ยน “ท่านอาคิดมากไปแล้ว ท่านยังแข็งแรงดีอยู่ แก่ตรงไหนกัน”

จินฮูหยินส่ายหน้ายิ้มๆ “เหวินเจานี่ปากหวานจริง ตรวจสอบรายการของขวัญให้ละเอียดล่ะ อย่าให้ขายหน้าสกุลจินเรา”

“ข้าทราบแล้ว ท่านอาวางใจเถอะขอรับ” ชายหนุ่มเว้นช่วงไปครู่หนึ่งก็พูดขึ้นว่า “ข้าตัดสินใจเอาผ้าปักออกไปสองหีบ เปลี่ยนเป็นผ้าซงเจียงเนื้อดียี่สิบพับแทน หากท่านอาเห็นว่าไม่เหมาะ ข้าจะเปลี่ยนกลับมา”

จินฮูหยินพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “หือ? อย่างนั้นหรือ ข้าว่าเหมาะมากเลยทีเดียว! ข้าเสียอีกที่ไม่ทันคิด คฤหาสน์สกุลเจียงตั้งอยู่ในที่ที่ผลิตงานปัก เห็นของชั้นดีมาไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร พวกเราดันไม่เจียมตัวเอาผ้าปักไปกำนัล เขามีแต่จะหัวร่อเอาเท่านั้น ต้องผ้าซงเจียงเนื้อดีนี่สิถึงจะเหมาะ ผ้าชนิดนี้เป็นที่โปรดปราดของไทเฮาในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทั้งแผ่นดินผลิตได้เท่าไรก็ต้องส่งเข้าวังหลวงเพียงอย่างเดียว พวกเขาเป็นคนนอก ต่อให้มีก็มีไม่กี่ผืน เจ้าจัดการได้ดีมาก”

หลิ่วเหวินเจาอดไม่ได้ที่จะปรีดากับตัวเองอยู่ในใจที่ได้รับคำชมเชยจากจินฮูหยิน แต่แสร้งออกตัว “เป็นเพราะข้าติดตามรับใช้ท่านอา เลยพลอยได้เรียนรู้มาบ้างเล็กๆ น้อยๆ ไม่ถึงขนาดที่ท่านอาชมหรอกขอรับ”

หญิงสูงวัยกล่าวยิ้มๆ “ไม่ต้องถ่อมตัวหรอก เจ้าทำงานเก่งเพียงไร ข้าเห็นอยู่กับตา บอกว่าได้เรียนรู้จากข้า หยวนเป่าเองก็เจอข้าทุกวัน ทำไมไม่เห็นว่าเขาจะเก่งเรื่องพวกนี้ขึ้นเลย”

ยิ่งนางเอาลูกชายมาเทียบกับเขา หลิ่วเหวินเจาก็ปิดความลำพองใจในสีหน้าไม่มิด “หยวนเป่าฉลาดเฉลียวกว่าข้า ก็เลยไม่มีความอดทนกับเรื่องหยุมหยิมพวกนี้น่ะขอรับ ข้าที่เป็นญาติผู้พี่ย่อมต้องช่วยแบ่งเบาภาระเขาอยู่แล้ว”

จินฮูหยินตบหลังมือหลานชายเบาๆ อย่างพึงพอใจ สีหน้าอิ่มเอิบด้วยความชื่นชม “หยวนเป่ามีบุญจริงๆ ที่ได้ญาติผู้พี่อย่างเจ้า ตอนนี้เขาเป็นคนมีครอบครัวแล้ว รออีกสักระยะให้ใจเขานิ่งกว่านี้ ข้าจะให้เขาเข้ามารับช่วงกิจการข้างนอกของพวกเรากับกิจการผลิตอาวุธ เจ้าจะได้เบาแรงลงบ้าง”

เหมือนฟ้าผ่าลงมากลางหัวใจหลิ่วเหวินเจาดังเปรี้ยง สุดท้าย…สุดท้ายนางก็ยังจะให้ลูกชายเข้ามารับช่วงกิจการอยู่ดี…

ชายหนุ่มสะท้านเยือกอยู่ในใจ ความรู้สึกต่างๆ สะท้อนออกมาทางสีหน้า สักพักถึงกลั้นใจตอบไปว่า “หยวนเป่าเป็นคนรักอิสระ ให้มาดูแลกิจการของตระกูลกับ…โรงผลิตอาวุธ เกรงว่าจะไม่เหมาะกระมังขอรับ”

“เฮ้อ…” ผู้เป็นอาถอนหายใจเบาๆ “ทำไมข้าจะไม่รู้ ถึงได้เร่งให้เขาแต่งงานอย่างไรเล่า พอมีเมียมาดูแลชีวิตของเขาจะได้เข้ารูปเข้ารอยขึ้น… เอาเป็นว่าไว้ให้หยวนเป่าเข้ามารับหน้าที่นี้เมื่อไร ต้องพึ่งให้เจ้าคอยช่วยเขาดูแลเรื่องต่างๆ ภายในบ้านแล้วนะ”

“แน่นอนขอรับ…” สีหน้าของคนพูดคล้ำเครียดขึ้นทุกที “มันเป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว”

หลิ่วเหวินเจาข่มความรู้สึกในใจตอบกลับไปด้วยเสียงราบเรียบโดยที่จินฮูหยินไม่ระแคะระคายแม้แต่น้อย

“ท่านอารู้สึกดีขึ้นบ้างหรือยังขอรับ” เขาถาม

“อืม ดีขึ้นมากแล้ว” จินฮูหยินพยักหน้า “นี่ก็มืดเต็มที เจ้ารีบกลับไปพักผ่อนดีกว่า”

“ขอรับ ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัวก่อน” ชายหนุ่มค้อมคำนับเดินออกไป

 

หลิ่วเหวินเจาเดินหน้าบึ้งมาตลอดทางจนถึงเรือนหลิ่วอิน (ร่มหลิว) ซึ่งเป็นที่อาศัยของพวกเขาสองพี่น้อง

ร่างของใครคนหนึ่งวูบออกมาจากหลังกิ่งหลิวใบหนา เขาขมวดคิ้วเดินไปที่ห้องหนังสือทันที

บานประตูปิดลงดังแอ๊ดพร้อมกับที่อากุ้ยผลุบเข้ามาอย่างเงียบเชียบ

“เรื่องที่คุณชายกับฮูหยินน้อยจะกลับบ้านฝ่ายหญิงมีการเปลี่ยนแปลงอะไรหรือขอรับ ข้าสั่งการกับเหล่าโม่ไว้แล้ว ตอนนี้พวกนั้นล่วงหน้าไปรออยู่กลางทาง”

ดวงตาของพ่อบ้านหนุ่มหรี่ลง ส่องประกายเย็นเยียบชวนสะท้านใจ “บอกพวกมันให้อดทนรอไปก่อน จะทำอะไรต้องฟังคำสั่งข้า…กำชับเหล่าโม่ให้ควบคุมพวกลูกน้องกเฬวรากของมันให้ดี ไม่ใช่เห็นข้าวของเยอะแยะแล้วจะลืมงานหลักล่ะ! หากทำงานได้ดี ข้าย่อมตกรางวัลให้อย่างงาม!”

“วางใจเถิดขอรับ ข้ากำชับเหล่าโม่ไปอย่างนั้นแล้ว”

“อีกอย่าง…” หลิ่วเหวินเจาลังเลเล็กน้อย “สั่งพวกมันด้วยว่าห้ามทำร้ายฮูหยินน้อย!”

“ทำไมล่ะ” อากุ้ยถามอย่างฉงน “หากฮูหยินน้อยตายไปจะเป็นผลดีต่อท่านอย่างมากนะ”

พ่อบ้านหนุ่มโบกมืออย่างรำคาญใจ “จินหยวนเป่าตายไปต่างหากถึงจะเป็นกุญแจสำคัญ หญิงสาวคนเดียวไม่ส่งผลกระทบอะไรนักหรอก จะก่อบาปฆ่าคนมากมายไปทำไม จัดการตามที่ข้าสั่งก็พอแล้ว!”

แม้จะไม่เข้าใจ อากุ้ยก็ยังรับคำอย่างภักดี “ขอรับ!”

หลิ่วเหวินเจาพยักหน้าอย่างพึงพอใจแล้วถาม “ทางกองปราบเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”

อากุ้ยขยับเข้ามาอีกก้าวหนึ่งแล้วรายงานเบาๆ “เสือดาวเวหายอมสารภาพแล้ว แต่มันก็ไม่รู้อะไรมาก พูดอยู่นานสองนานก็แค่ซัดทอดไปถึงฉู่ฉู่แค่คนเดียว มันไม่มีทางรู้เรื่องท่านหรอก”

หลิ่วเหวินเจาไตร่ตรองเล็กน้อย “ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ จินหยวนเป่าเป็นคนฉลาด เสือดาวเวหาคนนี้จะประมาทมันไม่ได้…แต่จะให้มันเป็นอะไรไปตอนนี้ไม่ได้เช่นกัน”

“ข้ารู้ว่าควรต้องทำอย่างไร วางใจเถิดขอรับ ข้าจะให้คนคอยจับตามองตลอดเวลา”

พ่อบ้านหนุ่มพยักหน้า ก่อนจะโบกมืออย่างเหนื่อยล้า

อากุ้ยรีบค้อมศีรษะคำนับแล้วกลับออกไปอย่างเงียบเสียง

“พี่ใหญ่!” หลิ่วเชี่ยนเชี่ยนเดินลิ่วๆ เข้ามาหา เห็นอากุ้ยเดินออกไปพอดีก็ไม่สนใจนัก

ท่าทางเบะปากกระเง้ากระงอดของนางทำให้ผู้เป็นพี่รู้สึกปวดหัวขึ้นมา “มีอะไรอีกล่ะ”

หญิงสาวตอบเสียงดังอย่างเย่อหยิ่ง “ข้าไม่ชอบเจียงเสี่ยวเซวียน นางแย่งพี่หยวนเป่า แย่งดอกไม้ของข้า อีกหน่อยคงขึ้นมาเหยียบหัวข้าวางอำนาจใส่ ท่านเป็นพี่ข้า ไม่ช่วยข้ายังพอว่า นี่กลับไปเข้าข้างนางที่เป็นคนนอกอีก…ข้า…ข้าไม่ชอบใจเลย”

หลิ่วเหวินเจายิ้มอย่างอ่อนใจ เขาดึงน้องสาวให้นั่งลงแล้วปลอบโยนว่า “นางเป็นคนนอก ข้าต้องยอมให้นางหน่อยสิ ไม่อย่างนั้นหากทะเลาะกันใหญ่โตจนรู้ไปถึงหูท่านอา ถึงท่านอาไม่พูด แต่ในใจจะคิดกับเจ้าอย่างไร จริงหรือไม่ ข้าทำเพื่อเจ้า เจ้าไม่เข้าใจหรอกหรือ”

หลิ่วเชี่ยนเชี่ยนได้ยินดังนั้นก็ค่อยรู้สึกดีขึ้นมาก แต่ยังไม่วายเบะปากอย่างไม่สบอารมณ์เหมือนเดิม

ชายหนุ่มส่ายหน้ากับกิริยาแบบเด็กๆ ของนาง แล้วหันไปหยิบขนมที่ประดิดประดอยอย่างสวยงามจากในตู้มาส่งให้

นางมองขนม นึกว่าอีกฝ่ายใช้มันขอโทษตนก็เริ่มอารมณ์ดีขึ้น แต่ก็ยังพูดอย่างดื้อรั้น “คิดหรือว่าแค่ขนมถาดเดียวจะไล่ข้าไปได้”

หลิ่วเหวินเจาอมยิ้ม “เอ้า เอาขนมไปที่เรือนพี่สะใภ้เจ้า พูดคุยกระชับสัมพันธ์กัน เรื่องวันนี้ถือว่าเลิกแล้วต่อกันเสีย”

“อะไรนะ!?” หญิงสาวทะลึ่งตัวลุกพรวด “เรื่องวันนี้นางเป็นฝ่ายผิด ท่านยังให้ข้าไปเอาใจนางอีกหรือ”

“เรียกว่าเอาใจที่ไหนกัน เชี่ยนเชี่ยน นางเป็นพี่สะใภ้เจ้า ไม่ว่าเจ้าจะชอบหรือไม่ก็ต้องสนิทกับนางไว้ให้มากๆ”

“ทำไมล่ะ” อีกฝ่ายถามเสียงขุ่น “ทำไมข้าต้องสนิทกับนางด้วย”

หลิ่วเหวินเจาถอนหายใจเฮือกแล้วอธิบาย “ข้อแรก พวกเราสองพี่น้องมาอาศัยชายคาคนอื่น ตราบใดที่ปีกขายังไม่กล้าแข็งพอ ไม่มีความจำเป็นต้องสร้างศัตรูไปทั่ว ข้อสอง เจ้าใส่ใจหยวนเป่าขนาดนี้ ไม่อยากทำความเข้าใจหน่อยหรือว่าหญิงที่เขาแต่งงานด้วยเป็นคนอย่างไร อยู่ด้วยง่ายไหม ทำให้เขาพอใจหรือไม่”

พี่หยวนเป่า… หลิ่วเชี่ยนเชี่ยนชักคล้อยตามเหตุผลที่พี่ชายพูด

ชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็รีบตีเหล็กเมื่อร้อนด้วยการส่งขนมไปให้ “ไป ไปศึกษาดูซิว่าพี่สะใภ้คนนี้ของเจ้าเป็นคนแบบไหน…” เขาเว้นช่วงไปสักพักแล้วพูดเป็นนัย “นางเป็นว่าที่นายหญิงของคฤหาสน์สกุลจิน นิสัยใจคอนางมีผลกระทบต่ออนาคตพวกเราสองพี่น้องอย่างมาก ไม่ว่าเจ้าจะชอบหรือไม่ก็ต้องทำความเข้าใจนางไว้ รู้หรือไม่”

หลิ่วเชี่ยนเชี่ยนนิ่วหน้ารับขนมมาอย่างไม่มีทางเลือก “ก็ได้…แต่ข้าไม่ชอบนาง ข้ายอมไปก็เพราะท่านหรอก!”

เห็นนางยอมให้ความร่วมมือเสียที คนเป็นพี่ก็รีบปะเหลาะเอาใจ “นั่นน่ะสิ น้องสาวสุดที่รักของข้าทำเพื่อข้าเสมอ”

หญิงสาวอุ้มถาดขนมเดินไปทางหอซงจู๋อย่างจำใจ

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

หน้าที่แล้ว1 of 14

Comments

comments

Jamsai Editor: