X
    Categories: ทดลองอ่านบทเพลงกลางเมฆามากกว่ารัก

ทดลองอ่านนิยาย บทเพลงกลางเมฆา เล่ม 1 บทที่ 5

หน้าที่แล้ว1 of 7

บทที่ 5 มีเพียงผู้รู้ใจ ถึงใช่มิตรสหายตายแทน

 

เพื่อตอบแทนน้ำใจของอวิ๋นเกอและส่งเมิ่งเจวี๋ยออกเดินทาง สวี่ผิงจวินจึงเชิญเมิ่งเจวี๋ยและอวิ๋นเกอร่วมกินอาหารค่ำ

ได้ยินดังนั้นคุณชายใหญ่ก็ไม่สนว่าสวี่ผิงจวินจะเชิญตนด้วยหรือไม่ สีหน้าท่าทางเขาราวจะบอกว่าไม่ว่าเช่นไรเขาก็ต้องไปร่วมงานนี้ด้วยอยู่แล้ว

บนเนินเขานอกเมืองฉางอัน

อาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า ดวงดาวยังไม่ปรากฏ

ผ้าชุบน้ำมันต้นถงที่หอสุราชีหลี่เซียงใช้คลุมข้าวของเครื่องใช้ยามนี้ถูกซักจนสะอาดเอี่ยม สวี่ผิงจวินปูมันลงบนพื้นหญ้า

อาหารที่ตระเตรียมไว้ก่อนล่วงหน้าในตะกร้าถูกนำออกมาจัดวางจนสิ้น

จานชามล้วนทำจากกระเบื้องสีน้ำตาลฝีมือหยาบๆ สวี่ผิงจวินแม้จะหัวเราะเหมือนไม่สะทกสะท้าน แต่น้ำเสียงกลับแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกขัดเขิน “เพราะในบ้าน…ในบ้านไม่มีสถานที่เหมาะๆ ไว้รับรองพวกท่าน ดังนั้นข้าก็เลยฟังคำแนะนำของอวิ๋นเกอ ออกมากินข้าวข้างนอกแทน กับข้าวทั้งหมดล้วนเป็นของที่หาได้ง่ายตามท้องไร่ท้องนา ฝีมือทำอาหารของข้าเองก็ไม่ได้วิเศษอะไร หวังว่าพวกท่านจะไม่รังเกียจ”

เมิ่งเจวี๋ยนั่งลงบนผ้าชุบน้ำมันต้นถง ยิ้มช่วยสวี่ผิงจวินจัดวางถ้วยชาม “ใช้ฟ้าดินเป็นโถงรับรอง คว้าดวงดาวมาแทนตะเกียง ท่ามกลางถ้วยชามมีฟ้ากว้างสายลมพัดแผ่วและกลิ่นหอมของต้นไม้ใบหญ้าให้ชื่นชม แม่นางสวี่เจ้ากล่าวเกินไปแล้ว ที่กินมิใช่อาหาร หากแต่เป็นน้ำใจของเจ้าภาพ น้ำมิตรต่างหากคือเครื่องปรุงที่ดีที่สุด ‘ขนห่านจากพันลี้ ของแม้นเบา แต่น้ำใจกลับมากล้น’ ไฉนต้องคิดมากกับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ด้วยเล่า”

คุณชายใหญ่อิดๆ ออดๆ มองดูผ้าชุบน้ำมันต้นถงกระดำกระด่างแปลกตาบนพื้น แต่ครั้นเห็นท่าทีของเมิ่งเจวี๋ยผู้ซึ่งเห็นความสะอาดเป็นเรื่องใหญ่อยู่เสมอเช่นนั้น เขาก็ให้นึกละอาย รีบทรุดตัวนั่งลงในทันที

ผู้คนต่างล้วนพูดว่าเขาเป็นพวกไม่อยู่กับร่องกับรอย แต่แท้จริงแล้วเมิ่งเจวี๋ยต่างหากที่เป็นเช่นนั้น

ท่าทีกำเริบเสิบสานไม่สนใจต่อกฎเกณฑ์ใดๆ ของเขามันก็แค่เพียงเปลือกนอก ที่ซ่อนอยู่ลึกใต้ท่วงท่าอบอุ่นสง่างามของเมิ่งเจวี๋ยต่างหากถึงเป็นของจริง

เห็นเมิ่งเจวี๋ยมีความสุขอยู่กับสิ่งของง่ายๆ แต่เปี่ยมล้นด้วยความตั้งใจแท้จริงที่นางจัดเตรียมไว้ สวี่ผิงจวินก็เชื่อว่าเขาไม่ได้เพียงพูดเพราะต้องการรักษาน้ำใจนาง ความรู้สึกวิตกกังวลก่อนหน้านี้เลือนหายไปจนสิ้น สวี่ผิงจวินยิ้มหันไปคว้าตะกร้าอีกใบมาเปิดออก “อาหารของข้าแม้จะไม่เลิศเลอ แต่เหล้าของข้ารับรองว่าต้องทำให้พวกท่านพอใจได้แน่”

คุณชายใหญ่ทำตัวเลียนแบบเมิ่งเจวี๋ย ช่วยสวี่ผิงจวินจัดวางถ้วยและตะเกียบพลางยิ้มถาม “พี่ปิ้งอี่เล่า ยังมียายหนูอวิ๋นอีกคน นางมิใช่ออกมาก่อนพวกเราหรือไรกัน แล้วทำไมป่านนี้ยังมาไม่ถึงอีก หรือว่าพวกเขาจะหลงทาง อะไรจะบังเอิญขนาดนี้” เขาพูด สายตาก็เหลือบมองไปยังเมิ่งเจวี๋ย

สวี่ผิงจวินยิ้มส่ายหน้า “ไม่รู้เหมือนกัน ข้ามัวแต่ยุ่งทำอาหารเลยไม่ทันสังเกต แต่ข้าเห็นอวิ๋นเกอกับปิ้งอี่กระซิบกระซาบคุยอะไรกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหายตัวไปกันทั้งคู่ ปิ้งอี่คุ้นเคยกับพื้นที่รอบเมืองฉางอันยิ่งกว่าบ้านตัวเองเสียอีก ที่ไหนมีต้นอะไร บนต้นไม้ต้นนั้นมีนกอะไรอาศัยอยู่ เขาล้วนรู้ดี แล้วเช่นนี้มีหรือที่เขาจะหลงทาง”

“อ๋อ…” คุณชายใหญ่ลากเสียงยาว ยิ้มมองดูเมิ่งเจวี๋ย “พวกเขาสองคนอยู่ด้วยกัน ถ้าเช่นนั้นคงไม่ใช่หลงทางเป็นแน่”

เมิ่งเจวี๋ยทำเหมือนไม่ได้ยินคำพูดแสดงความคิดเห็นของคุณชายใหญ่

หลังจัดการกับงานในมือเสร็จ เมิ่งเจวี๋ยก็นั่งนิ่ง มุมปากของเขาแฝงซึ่งรอยยิ้มจางๆ ดวงตาคอยจ้องดูดวงดาวที่กำลังปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าทีละน้อย

 

ที่ด้านล่างของเนินเขา เงาร่างของคนสองคนกำลังหัวร่อต่อกระซิกเดินเคียงไหล่กันขึ้นมา

สวี่ผิงจวินยิ้มกวักมือให้กับคนทั้งคู่

อวิ๋นเกอกระโดดพลางเอ่ยปากร้องตะโกน ‘พี่สวี่’ น้ำเสียงเปี่ยมล้นไปด้วยความสุข

“ขอโทษด้วย พวกเรามาช้าไปหน่อย” อวิ๋นเกอวางถุงในมือลงอย่างระมัดระวังไว้ที่อีกด้าน

นางเบียดกายชิดร่างของสวี่ผิงจวิน ใช้มือหยิบอาหารในจาน ปากก็บ่นพึมพำ “ข้าหิวจะแย่อยู่แล้ว”

สวี่ผิงจวินหยิบตะเกียบยัดใส่มืออวิ๋นเกอ “พวกเจ้าสองคนไปไหนมา ดูผมเผ้าเสื้อผ้าของพวกเจ้าสิ มีตรงไหนบ้างที่ไม่มีเศษใบไม้ใบหญ้า เสื้อผ้าหรือก็ยับยู่ยี่ แค่จากบ้านมาถึงที่นี่เท่านั้นมิใช่หรือไรกัน แล้วทำไมถึงดูอย่างกับไปบุกป่าฝ่าดงกันมาเช่นนี้”

อวิ๋นเกอก้มหน้ามองดูตัวเอง ไม่ตอบคำถามของสวี่ผิงจวิน ทำก็แต่เพียงแลบลิ้นใส่อีกฝ่าย

หลิวปิ้งอี่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนผ้าชุบน้ำมันต้นถง เขาคว้าเหล้ามารินให้กับตนเองจอกหนึ่ง ยิ้มมองอวิ๋นเกอไม่พูดไม่จา คุณชายใหญ่กลอกตารอบหนึ่ง มองดูเสื้อผ้าของอวิ๋นเกอที มองดูเสื้อผ้าของหลิวปิ้งอี่ที ยิ้มแฝงความหมายคลุมเครือ

อวิ๋นเกอมัวแต่สาละวนอยู่กับอาหาร ไม่ได้สนใจตอบคำถามของสวี่ผิงจวิน แต่ครั้นชำเลืองเห็นรอยยิ้มของคุณชายใหญ่ นางก็ได้แต่อึ้งทำอะไรไม่ถูก สองแก้มแดงระเรื่อขึ้นแทบจะในทันที โชคดีที่ได้ความมืดช่วยกลบเกลื่อนไว้ นางถลึงตาใส่คุณชายใหญ่คราหนึ่ง “คืนนี้ท่านอยากกินอาหารอย่างสงบหรือไม่”

ขณะกำลังคิดจะเย้ยหยันนาง พอหวนนึกถึงฝีมือของอวิ๋นเกอ คุณชายใหญ่ก็ลูบท้อง นั่งหลังตรงขึ้นมาทันที

หลิวปิ้งอี่กวาดตาผ่านใบหน้าคุณชายใหญ่ไปอย่างเกียจคร้าน ก่อนจะเผอิญสบเข้ากับดวงตาของเมิ่งเจวี๋ย

ทันทีที่สบสายตากัน พวกเขาทั้งคู่ก็ต่างยิ้มน้อยๆ แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แล้วหันเหสายตาไปทางอื่น

อวิ๋นเกอคีบอาหารที่อยู่ตรงหน้าเมิ่งเจวี๋ย แต่แค่กัดไปได้คำเดียวนางก็ถึงกับหน้าเบ้ ฝืนกลืนมันลงคอ ก่อนจะรีบดื่มน้ำตาม “ขมชะมัด!”

สวี่ผิงจวินรีบคีบขึ้นมาชิม หัวคิ้วของนางขมวดเข้าหากันอย่างรวดเร็ว นางรีบเอ่ยปากขอโทษ “ท่านแม่ข้าคงยุ่งจนลืมช่วยข้าเอาผักหูปลาช่อนนี่ไปแช่น้ำก่อน”

นางพูดพลางหยิบเอาอาหารจานดังกล่าววางกลับเข้าตะกร้า ความรู้สึกเป็นทุกข์ปรากฏให้เห็นอยู่บนหว่างคิ้ว

หูปลาช่อนเป็นผักป่าที่พบเจอได้ง่าย ก่อนนำมาปรุงอาหารจำเป็นต้องแช่น้ำล่วงหน้าหนึ่งคืน เปลี่ยนน้ำซ้ำหลายครั้ง หลังจากนั้นก็เอาไปต้มในน้ำเดือดจัด ก่อนจะเอามาคลุกเคล้ากับเครื่องปรุงรส ยามกินจะรู้สึกสดชื่น มีรสขมเจืออยู่นิดหน่อย อร่อยชุ่มคอเป็นที่สุด

เพราะเป็นอาหารที่ทุกบ้านต้องมีติดโต๊ะ พวกเด็กสาวฐานะยากจนล้วนขึ้นเขาช่วยพ่อแม่เก็บผักหูปลาช่อนตั้งแต่อายุสี่ห้าขวบ แล้วแม่ของนางมีหรือจะจำไม่ได้ กลัวก็แต่เพราะรู้ว่านางจะทำอาหารให้หลิวปิ้งอี่กับสหายกิน ท่านแม่ถึงได้จงใจทำเช่นนี้

อวิ๋นเกอนิ่งมองดูผักหูปลาช่อนที่เหลือมากกว่าครึ่งในตะกร้าอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ นางก็ชี้ไปที่เมิ่งเจวี๋ย สีหน้าตื่นตกใจ “ท่าน…ท่าน…”

คุณชายใหญ่รีบพูด “เขากินรสค่อนข้างจัด”

ทันทีที่เมิ่งเจวี๋ยยิ้ม ทุกอย่างก็เหมือนจะบรรเทาเบาบางลง “ข้ากินอาหารรสจัดมาตั้งแต่เล็ก”

เช่นนั้นไยเขาถึงไม่รู้สึกว่าอาหารที่นางทำอยู่ทุกวันจืดชืดไร้รสชาติเล่า อวิ๋นเกอสงสัย นึกอยากถามให้กระจ่าง

คุณชายใหญ่แกว่งสุราในขวด หัวเราะเสียงดัง เขาพูด “พรุ่งนี้ก็ต้องจากกันแล้ว กว่าจะได้พบเจอกันอีกครั้งก็คงต้องอีกพักใหญ่ เพราะฉะนั้นคืนนี้พวกเราต้องดื่มกันให้เต็มที่! แม่นางสวี่ เหล้าของเจ้ายอดเยี่ยมยิ่งนัก ว่าแต่เจ้าเรียกมันว่าอะไร”

“เหล้าของข้าไม่มีชื่อ ข้าขายพวกมันทั้งหมดให้หอสุราชีหลี่เซียง เพราะฉะนั้นผู้คนจึงต่างเรียกมันว่าเหล้าหอมเจ็ดลี้”

อวิ๋นเกออมเหล้าไว้ในปาก นิ่งชิมรสเหล้าเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นนางก็เอ่ยปากพูด “พี่สวี่ เช่นนั้นก็ตั้งชื่อมันว่าเหล้าใบไผ่เขียวเถอะ! เหล้านี้หากศึกษาเพิ่มเติมเรื่องวัตถุดิบวิธีการหมักบ่มอีกสักหน่อย ข้าเชื่อว่าต้องเป็นยอดสุราได้แน่”

คุณชายใหญ่ปรบมือยิ้ม “เยี่ยม เหล้าของแม่นางสวี่หอมละเมียดละไมราวกับบุรุษผู้อ่อนโยน ผนวกกับชื่อใบไผ่เขียวของอวิ๋นเกอก็ยิ่งเสริมมันให้ราวกับเป็นสุภาพชนในหมู่สุรา สุราแห่งสุภาพชน”

สวี่ผิงจวินยิ้มพูด “ข้าไม่เคยร่ำเรียนเขียนอ่าน ต่างกับพวกท่านที่ล้วนเล่าเรียนแตกฉาน ในเมื่อพวกท่านว่าดี ข้าย่อมต้องเห็นดีด้วย”

แม้จะมีเพียงแค่อาหารง่ายๆ แต่ท่ามกลางบทสนทนาสัพเพเหระและเสียงหัวเราะของพวกเขาทั้งห้า อาหารในค่ำคืนนี้จึงยอดเยี่ยมเป็นพิเศษ

พวกเขาต่างเริ่มมีอาการเมามาย ยิ่งกับคนที่เดิมก็ไม่เคยเห็นกรอบประเพณีอยู่ในสายตาด้วยแล้ว ยามนี้ก็ยิ่งปล่อยตัวปล่อยใจไปกันใหญ่

คุณชายใหญ่นอนหงายอยู่บนผ้าชุบน้ำมันต้นถง ชื่นชมดวงดาวที่ลอยเกลื่อนเต็มฟ้า

เมิ่งเจวี๋ยพิงหลังเข้ากับต้นไม้ใหญ่ ในมือถือชามสุรา ยิ้มพลางมองดูอวิ๋นเกอกับสวี่ผิงจวินแข่งหญ้าดื่มสุรา และเพราะผ้าชุบน้ำมันต้นถงถูกคุณชายใหญ่ครอบครองไปแล้วกว่าครึ่ง หลิวปิ้งอี่จึงได้แต่ใช้มือข้างหนึ่งหนุนหัวนอนตะแคงอยู่บนพื้นหญ้า มีชามสุราขนาดใหญ่วางอยู่ตรงหน้า เวลาคิดอยากดื่มก็ก้มหน้าซดดื่มจากปากชามตรงๆ และยามนี้ก็กำลังอมสุราพลางยิ้มมองดูอวิ๋นเกอกับสวี่ผิงจวินเช่นกัน

อวิ๋นเกอกับสวี่ผิงจวินสองคนอาศัยแสงดาวคลำหาหญ้าไปพลาง แข่งหญ้าดื่มสุราไปพลาง

การแข่งหญ้าดื่มสุราไม่ใช่การแข่งขันด้านเชาวน์ปัญญาที่ผู้ชนะคือคนที่ใช้ประโยคในโคลงกลอนที่มีเสียงสัมผัสคู่กันบอกชื่อดอกไม้ต้นหญ้าได้มากที่สุด อันเป็นการละเล่นที่นิยมกันในหมู่นักปราชญ์หรือในสังคมชั้นสูง หากแต่เป็นการประลองฝีมือของพวกชาวนาชาวไร่ ใช้หญ้าของตัวเองเกี่ยวไว้กับหญ้าของอีกฝ่าย หลังจากนั้นก็ดึงมันไปยังทิศทางตรงกันข้าม หญ้าผู้ใดขาดคนนั้นก็แพ้ และเมื่อแพ้ก็ต้องดื่มเหล้าจอกหนึ่ง

ฝีมือคัดหญ้าของอวิ๋นเกอเทียบกับสวี่ผิงจวินแล้วห่างไกลกันนับแสนแปดพันลี้ แข่งกันสิบครั้งแพ้ไปเสียแปด ดื่มมากกว่าสวี่ผิงจวินไปแล้วค่อนกา

ยิ่งแพ้อวิ๋นเกอก็ยิ่งร้อนรน นางก้มตัวคลำหาหญ้าให้วุ่น

ประเดี๋ยวก็ ‘สวรรค์คุ้มครอง’ ประเดี๋ยวก็ ‘เทพบุปผาช่วยด้วย’ สุดท้ายแม้แต่ ‘เทพโชคลาภปกป้อง’ นางก็ยังร้องเรียกออกมา

สวี่ผิงจวินนั่งหัวเราะไม่หยุดอยู่บนผ้าชุบน้ำมันต้นถง “อวิ๋นเกอ ทุกครั้งที่เจ้าดื่มเหล้า เทพเจ้าจากทุกสารทิศต่างไม่เป็นอันพักผ่อน มิน่าเล่าเจ้าถึงได้แพ้เอาๆ เช่นนี้ ที่แท้เหล่าเทพเจ้าก็ล้วนหวังว่าเจ้าจะรีบเมาหลับไปเสียที พวกเขาจะได้พักผ่อนนี่เอง”

หลิวปิ้งอี่คลำไปตามกอหญ้าข้างตัว เขาถอนมันออกมาต้นหนึ่ง “อวิ๋นเกอ ลองใช้ต้นนี้ดู”

อวิ๋นเกอตะโกนร้องยินดี วิ่งตรงไปหาหลิวปิ้งอี่

สวี่ผิงจวินร้อง รีบลุกขึ้นยืน “ไม่ได้ แบบนี้โกงกันชัดๆ”

สวี่ผิงจวินหมายจะแย่งเอาหญ้าในมือหลิวปิ้งอี่ อวิ๋นเกอร้อนรนร้องเสียงดัง “โยนมาให้ข้าๆ”

หลิวปิ้งอี่รวบรวมกำลัง ดีดหญ้าในมือออก หญ้าพุ่งผ่านข้างตัวสวี่ผิงจวินไป ขณะที่อวิ๋นเกอกำลังยื่นมือออกไปรับ จู่ๆ ก็มีกิ่งไม้กิ่งหนึ่งลอยแหวกอากาศ ดีดหญ้าต้นนั้นกระเด็นไปอีกทาง

สวี่ผิงจวินยิ้มให้เมิ่งเจวี๋ยที่หักกิ่งไม้ช่วยนางพลางเอ่ยปากพูด “ขอบคุณมาก”

เมิ่งเจวี๋ยยิ้มส่งสัญญาณบอกให้สวี่ผิงจวินรีบไปเอาหญ้าต้นนั้น

อวิ๋นเกอทำได้แค่ถลึงตาใส่เมิ่งเจวี๋ยคราหนึ่งแล้วรีบไล่ตามไปเอาหญ้าต้นนั้น

คุณชายใหญ่ที่กำลังนอนสะลึมสะลือครั้นเห็นหญ้าต้นหนึ่งลอยผ่านหัวตัวเอง เขาก็ยกมือคว้ามันเอาไว้อย่างงงๆ

อวิ๋นเกอพุ่งไปถึงข้างกายเขา จับแขนเขาเอาไว้ “ให้ข้า”

สวี่ผิงจวินเองก็พุ่งไปอยู่อีกฟาก จับแขนอีกข้างของเขาเอาไว้เช่นกัน “ให้ข้า”

ภายใต้ท้องฟ้าซึ่งดารดาษไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ ใบหน้างดงามของสตรีสองนางตรงหน้า หนึ่งแฝงซึ่งรอยยิ้ม หนึ่งแฝงซึ่งสายตาตัดพ้อ อากัปกิริยาแตกต่าง

เพราะต่างอยู่ในวัยงามสะพรั่งเหมือนมวลบุปผาที่กำลังเบ่งบาน คุณชายใหญ่จึงมองทางนี้ที ทางนั้นที หลงใหลเคลิบเคลิ้มไปชั่วขณะ น้ำเสียงทุ้มต่ำของเขาเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ยวนยั่ว “โฉมสะคราญ พวกเจ้าปรารถนาสิ่งใดข้าล้วนให้ไม่มีขัดข้อง”

อวิ๋นเกอกับสวี่ผิงจวินต่างพากันมองค้อน รุมแย่งชิงต้นหญ้าในมือเขา

คุณชายใหญ่ที่กำลังสะลึมสะลือเผลอออกแรง ทำเอาหญ้าหักขาดเป็นสามท่อน

อวิ๋นเกอกับสวี่ผิงจวินมองดูหญ้าสั้นๆ ในมือของตนเอง พวกนางนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ หลังจากนั้นก็พากันหัวเราะเสียงดัง

อวิ๋นเกอผินหน้าหันมองไปทางเมิ่งเจวี๋ย นางโมโหแก้มป่อง “เฮอะ! ช่วยพี่สวี่รังแกข้า เสียแรงข้าอุตส่าห์ลำบากครึ่งค่อนวันเพื่อไปจับ…เฮอะ!”

สวี่ผิงจวินยิ้มโอบไหล่อวิ๋นเกอ “ปิ้งอี่ก็ช่วยเจ้าแล้วไม่ใช่หรอกหรือ อะไรกัน แพ้ถูกลงโทษให้ดื่มเหล้าเพียงไม่กี่จอกก็ต้องตาแดงด้วย เจ้าไม่นึกอายบ้างหรือไรกัน”

อวิ๋นเกอเบี่ยงตัวหนี “ใครแพ้แล้วตาแดงกัน ข้าเปล่าเสียหน่อย! อย่างมาก…มากที่สุดก็แค่ร้อนใจนิดหน่อยเท่านั้น”

ทุกคนต่างพากันหัวเราะ อวิ๋นเกอแอบมองไปทางเมิ่งเจวี๋ย ครั้นเห็นเขากำลังยิ้มมองมา พอคิดว่าพรุ่งนี้เขาก็ต้องไปแล้ว จู่ๆ ใจนางก็รู้สึกว่างเปล่า แก้มที่กำลังป่องอยู่ยุบลงแทบจะในทันที

 

หลังเก็บจานชามเสร็จ อวิ๋นเกอก็ชวนให้ทุกคนนั่งล้อมวงเข้ามา

นางหยิบถุงที่วางอยู่อีกด้านมาถือไว้

ทุกคนต่างจ้องดูถุงที่อยู่ในมือของอวิ๋นเกอ ไม่เข้าใจว่านางกำลังคิดเล่นพิเรนทร์อันใด

สวี่ผิงจวินนิสัยหุนหัน นางรีบเอ่ยปากถาม “ในถุงมีอะไร”

อวิ๋นเกอยิ้ม คลี่เปิดถุงออกช้าๆ

แสงวิบวับลอดออกจากปากถุงราวกับมีพระจันทร์ดวงเล็กๆ อยู่ภายใน

เพียงไม่นาน แสงเรืองรองพวกนั้นก็บินลอยออกมา

ทีละนิด ทีละดวง ราวกับดวงดาวที่กระจัดกระจายอยู่ในโลกมนุษย์

ดวงดาวที่ลอยออกมาจากในถุงมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ร่างของพวกเขาต่างถูกอาบไปด้วยแสงระยิบระยับพวกนั้นราวกับกำลังยืนอยู่ท่ามกลางทางช้างเผือกสุกสว่าง

ดวงดาวเกลื่อนท้องฟ้า ท่วมท้นพื้นพสุธา งดงามราวกับโลกแห่งความฝัน

อวิ๋นเกอยื่นมือโอบจับหิ่งห้อยตัวหนึ่งไว้

แสงของหิ่งห้อยกะพริบระยิบระยับเป็นครั้งคราว รอยยิ้มของอวิ๋นเกอประเดี๋ยวมืดประเดี๋ยวสว่าง

หิ่งห้อยราวกับถือโคมไฟดวงน้อยวิ่งวนทะลุผ่านเส้นผมดำขลับของอวิ๋นเกอ วนเวียนไปรอบกระโปรงนาง

ท่ามกลางสิ่งมีชีวิตตัวน้อยที่กำลังเริงระบำอยู่เต็มท้องฟ้า นางเองก็ดูสุกใสไม่ต่างกัน

นางยื่นริมฝีปากจุมพิตลงบนเจ้าหิ่งห้อยตัวน้อยที่อยู่ในมือ “หิ่งห้อยคือทูตแห่งดวงดาวบนฟากฟ้า หากบอกความปรารถนาและความคิดถึงในใจของเราให้มันรู้ พวกมันก็จะเอาไปมอบต่อให้กับคนที่อาศัยอยู่บนดวงดาวเหล่านั้น ช่วยให้ความปรารถนาของพวกเราเป็นจริง”

สวี่ผิงจวินนิ่งมองดูหิ่งห้อยเหล่านั้นอยู่ครู่หนึ่ง นางหลับตา ตั้งอกตั้งใจอธิษฐานเป็นคนแรก

หลิวปิ้งอี่แหงนหน้ามองท้องฟ้า ก่อนจะหลับตาลงเช่นกัน

คุณชายใหญ่ยิ้มส่ายหน้า ค่อยๆ หลับตาลง “ข้าไม่เชื่อว่ามีคนสามารถช่วยให้ความปรารถนาของข้าเป็นจริงได้ แต่ว่า…อธิษฐานสักหน่อยก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องเลวร้ายอะไร”

ตอนพูด สายตาของอวิ๋นเกอจับจ้องอยู่ที่เมิ่งเจวี๋ยตลอดเวลา แววตาสุกใสเป็นประกาย

นัยน์ตาของเมิ่งเจวี๋ยเองก็วับวาวเช่นกัน เขายิ้มน้อยๆ มองดูอวิ๋นเกอ ไม่มีทีท่าว่าจะอธิษฐานแต่อย่างใด

ท่ามกลางแสงระยิบระยับที่กำลังล่องลอยอยู่เต็มฟ้า พวกเขาสองคนเฝ้ามองตากันและกัน

อวิ๋นเกอมองดูเขาด้วยสายตามั่นคง ดวงตานางสุกสว่างไม่ต่างอะไรกับหิ่งห้อยในยามค่ำคืน แม้จะไม่เจิดจ้า แต่ก็อบอุ่น

สุดท้ายเมิ่งเจวี๋ยก็หลับตาลง อวิ๋นเกอเม้มปากยิ้มก่อนจะหลับตาลงเช่นกัน

แต่เพียงครู่เดียวเมิ่งเจวี๋ยก็ลืมตาขึ้นอีกคราว เขามองดูสิ่งมีชีวิตตัวน้อยที่กำลังเริงร่ายอยู่รอบตัวด้วยแววตาเฉื่อยชา

ตอนหลิวปิ้งอี่ลืมตา เขาเผอิญเห็นเมิ่งเจวี๋ยใช้นิ้วดีดหิ่งห้อยที่บินไปหยุดอยู่บนแขนเขาเบาๆ เข้าพอดี

แสงของหิ่งห้อยดับลงฉับพลัน ชีวิตของสิ่งมีชีวิตตัวน้อยลับหายไปในกอหญ้าอย่างเงียบกริบไร้สรรพเสียง

เมิ่งเจวี๋ยเงยหน้ามองดูหลิวปิ้งอี่

หลิวปิ้งอี่ยิ้มเบิกบานราวกับตนเพิ่งลืมตา ไม่ทันเห็นเหตุการณ์ที่ปรากฏขึ้นก่อนหน้า “พี่เมิ่ง ท่านอธิษฐานสิ่งใด”

เมิ่งเจวี๋ยไม่ตอบ เขาเพียงยิ้มออกมาจางๆ

คุณชายใหญ่มองดูหลิวปิ้งอี่คราหนึ่ง หลังจากนั้นก็หันมองดูเมิ่งเจวี๋ย เขายักไหล่เบื่อหน่าย เปลี่ยนเป็นยิ้มและมองไปที่สวี่ผิงจวินกับอวิ๋นเกอแทน

สวี่ผิงจวินลืมตามองไปทางอวิ๋นเกอ “เจ้าอธิษฐานอะไร”

“แล้วพี่สวี่ล่ะ อธิษฐานขออะไร”

สวี่ผิงจวินหน้าแดง “ก็ไม่ได้ขออะไรใหญ่โต เจ้าล่ะ”

อวิ๋นเกอเองก็หน้าแดงเช่นกัน “ข้าเองก็เหมือนกัน”

คุณชายใหญ่กลอกตารอบหนึ่ง จู่ๆ เขาก็พูดขึ้น “งั้นพวกเราก็เขียนคำอธิษฐาน เสร็จแล้วปิดผนึกไว้ หากวันหน้ามีวาสนาค่อยมาดูกันว่าที่อธิษฐานกันในวันนี้เป็นจริงหรือไม่ ผู้ใดที่ไม่สมปรารถนาต้องเลี้ยงข้าว”

อวิ๋นเกอหัวเราะ “คนที่สมปรารถนาต่างหากต้องเลี้ยงข้าว! ทำไมท่านถึงพูดกลับหัวกลับหางกับคนอื่นเขาอยู่เรื่อยนะ”

คุณชายใหญ่ตบถุงเงินตัวเอง “เอาแต่รับไม่รู้จักให้นัยว่าไร้มารยาท! ดูท่าถึงคราวข้าต้องเลี้ยงทุกคนบ้างแล้ว”

หลิวปิ้งอี่กับเมิ่งเจวี๋ยยิ้มจางๆ ไม่พูดอันใด

อวิ๋นเกอกับสวี่ผิงจวินคิดอยู่ครู่หนึ่ง ครั้นเห็นว่าน่าสนุกจึงต่างพยักหน้ายิ้ม

ทว่าสวี่ผิงจวินพยักหน้าตอบรับไปไม่ทันไร จู่ๆ ก็พูดขัดเขินออกมา “แต่ข้าไม่รู้หนังสือ”

คุณชายใหญ่พูด “ง่ายมาก เจ้าเลือกใครสักคนช่วยเจ้าเขียนก็ใช้ได้แล้ว”

สวี่ผิงจวินมองซ้ายทีขวาทีอยู่รอบหนึ่ง ก่อนจะหน้าแดงคว้าตัวอวิ๋นเกอไปอีกทาง

สวี่ผิงจวินกับอวิ๋นเกอกระซิบกระซาบ สีหน้าขวยเขิน

อวิ๋นเกอแม้จะยิ้ม แต่รอยยิ้มกลับดูรวดร้าวมิใช่น้อย

หนึ่งคนต่อผ้าไหมหนึ่งผืน หลังเขียนคำอธิษฐานเสร็จพวกเขาก็พับคำอธิษฐานของตนไว้

คุณชายใหญ่รวบรวมผ้าไหมของทุกคน มอบให้สวี่ผิงจวินเป็นคนเก็บรักษา แล้วพูดตรงไปตรงมา “งานส่วนที่เหลือ ข้าทำไม่เป็น”

สวี่ผิงจวินใช้ผ้าชุบน้ำมันต้นถงที่กันน้ำได้ห่อเก็บผ้าไหมทั้งหมดไว้อย่างแน่นหนา

อวิ๋นเกอวิ่งไปหยุดอยู่ข้างต้นไม้ใหญ่ที่เมิ่งเจวี๋ยเอนหลังพิงเมื่อก่อนหน้า หลังจากนั้นก็ลงมือขุดรูบนรากของมันอย่างตั้งอกตั้งใจ

แม้จะลงมือขุดอยู่นาน แต่อวิ๋นเกอก็ขุดไม่สำเร็จสักที

เมิ่งเจวี๋ยยื่นมีดสั้นเล่มหนึ่งให้กับนาง “ใช้นี่เถอะ”

เพียงออกแรงไม่กี่ครั้ง หลุมเล็กๆ แต่ลึกก็ถูกขุดเป็นที่เรียบร้อย อวิ๋นเกอยิ้มชื่นชม “มีดชั้นยอด!”

เมิ่งเจวี๋ยจ้องดูมีดเล่มนั้นแวบหนึ่ง เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “หากเจ้าชอบก็เอาไปเถอะ ของเล็กๆ เช่นนี้เหมาะกับสตรีมากกว่า ข้าเก็บไว้กับตัวก็ไม่มีประโยชน์”

ได้ยินเช่นนั้นสีหน้าของคุณชายใหญ่ก็แปรเปลี่ยนเล็กน้อย เขาจ้องลึกลงไปในดวงตาของเมิ่งเจวี๋ย

อวิ๋นเกอขยับมันเล่นไปมาครู่หนึ่ง เหมาะมือจริงๆ ฝีมือหรือก็ประณีต อีกทั้งยังพกพาสะดวก เหมาะที่จะใช้ขูดเปลือกไม้ ตัดเถาวัลย์ เก็บพืชพันธุ์ต่างๆ ที่นางต้องตาเป็นอย่างยิ่ง นางยิ้มพลางเก็บมันไว้ในอก

“ขอบคุณมาก”

สวี่ผิงจวินยัดผ้าชุบน้ำมันต้นถงที่ม้วนเป็นทรงกระบอกเข้าไปในรู ก่อนจะใช้เศษไม้ที่ขุดออกมาเมื่อครู่อุดกลับเข้าไปใหม่

ในเวลานี้หากมองจากภายนอกก็จะเห็นแต่เพียงรูเล็ก ๆ รูหนึ่งบนรากไม้เท่านั้น

และเมื่อวันเวลาผ่านไป ต้นไม้เจริญเติบโต ถึงตอนนั้นรูนี้ก็จะกลายเป็นเพียงแค่รอยแผล

คนที่ไม่รู้ที่มาที่ไปไม่มีทางดูออกว่ารากไม้นี้มีอะไรแปลกไป

อวิ๋นเกอใช้มีดสั้นทำสัญลักษณ์พร้อมส่งสายตาเตือนคุณชายใหญ่

หากมีใครมาแอบอ่านก่อน สัญลักษณ์ที่นางทำไว้ย่อมต้องถูกทำลายเสียหาย

เมิ่งเจวี๋ยกับหลิวปิ้งอี่ยิ้มมุมปากมองไปทางคุณชายใหญ่

คุณชายใหญ่ไม่ได้นึกสนใจใคร่รู้สักนิดว่าคำอธิษฐานจะเป็นจริงหรือไม่ แต่ที่เขาอยากรู้ก็คืออะไรที่ทำให้พวกนางพากันหน้าแดงเช่นนี้ สิ่งที่เชื่อมโยงอยู่ระหว่างกลางนี้ต่างหากที่น่าสนใจยิ่งนัก

สวี่ผิงจวินมองดูเมิ่งเจวี๋ยและหลิวปิ้งอี่ด้วยความประหลาดใจ นางหันไปมองดูคุณชายใหญ่อีกครั้ง ในใจอดนึกสงสัยว่าทำไมคุณชายใหญ่จู่ๆ ถึงมีท่าทางอึมครึมเช่นนั้น

จากนั้นนางมองดูอวิ๋นเกอด้วยสายตางุนงงสงสัย อวิ๋นเกอยิ้มส่ายหน้า บอกสวี่ผิงจวินเป็นนัยๆ ว่าไม่ต้องไปใส่ใจบุรุษนิสัยประหลาดผู้นั้น

 

ไม่ว่างานเลี้ยงจะสนุกสนานสักเพียงใด สุดท้ายก็หนีไม่พ้นการกล่าวลา

ราตรีดึกสงัด ทุกคนต่างรู้ดีว่าถึงคราวต้องกล่าวคำลากันแล้ว

สวี่ผิงจวินยิ้มพูด “คราวหน้าตอนมาดูคำอธิษฐาน หวังว่าคงไม่ต้องมีใครเลี้ยงข้าวใคร ทุกคนต่างต้องหิ้วท้องหิว”

อวิ๋นเกอพยักหน้ายิ้มขมขื่น

เมิ่งเจวี๋ยกับหลิวปิ้งอี่ยิ้มไม่พูดอันใด

คุณชายใหญ่ยิ้มตาหยีพูด “มีข้าอยู่ พวกเจ้าไม่มีทางหิ้วท้องหิวได้เป็นอันขาด”

สวี่ผิงจวินกับอวิ๋นเกอต่างสงสัย ไม่เข้าใจว่าคนเจ้าชู้ใช้ชีวิตอย่างอิสระไร้กฎเกณฑ์เช่นนี้จะมีความปรารถนาใดที่ไม่อาจเป็นจริงได้

คุณชายใหญ่ยิ้มประสานมือคำนับสวี่ผิงจวิน “ข้าเป็นคนเกียจคร้าน ไม่ชอบพวกพูดประจบสอพลอ ไม่พูดคือไม่พูด หากพูดก็จะพูดแต่เพียงความจริงเท่านั้น ค่ำนี้นับเป็นมื้ออาหารที่ข้ากินได้สบายใจและมีความสุขที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต ขอบคุณเจ้ามาก”

สวี่ผิงจวินยิ้มขัดเขิน

หิ่งห้อยที่บินวนเวียนอยู่รอบพวกเขาเริ่มแยกย้ายกันไปอย่างช้าๆ

อวิ๋นเกอแหงนหน้าเล็กน้อยมองหิ่งห้อยที่กำลังบินสูงขึ้นไปทุกขณะ สายตามองส่งพวกมันบินผ่านศีรษะตนเอง บินผ่านกอหญ้า บินลอยไปไกล ตรงไปยังความมุ่งมาดปรารถนาที่นางตัดสินใจปล่อยวาง…

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

หน้าที่แล้ว1 of 7

Comments

comments

Jamsai Editor: