X
    Categories: ทดลองอ่านบุพเพอลวนมากกว่ารัก

ทดลองอ่านนิยาย บุพเพอลวน เล่ม 1 บทที่ 3

หน้าที่แล้ว1 of 11

บทที่ 3 บุตรชายแม่ทัพไม่อาจขัดใจมารดา

 

เวลานั้นล่วงเข้ายามดึกสงัด แต่เพราะเป็นเมืองหลวง แสงไฟจึงยังสว่างไสวพร่างพราย เสียงดนตรียังคงลอยมาตามลม

กระทั่งในย่านเงียบสงบก็ยังมีความคึกคักให้เห็น แม้จะเป็นเวลานี้ก็ยังมีรถม้าจอแจ โต๊ะยาวถูกตั้งไว้ตรงหน้าประตู ด้านหลังโต๊ะคือนักบัญชีที่คอยลงรายการรับของขวัญจากที่ต่างๆ โดยมีผู้ช่วยคอยรับคอยส่งแขกยืนอยู่ข้างๆ

ที่แห่งนี้ก็คือจวนแม่ทัพจินที่เพิ่งรับมอบป้าย ‘เนื้อคู่กิ่งทองใบหยก’ เมื่อตอนกลางวันนั่นเอง

จินหยวนเป่าขมวดคิ้วมองกลุ่มคนขวักไขว่อย่างไม่พอใจ แล้วสะบัดชายเสื้อคลุมเดินเชิดหน้ายโสเข้าไปในห้องโถง ท่าทางเหมือนไม่เห็นหัวใครทั้งสิ้น

“หยวนเป่า กลับมาเสียที! ฮูหยินนั่งรอเจ้าอยู่ในห้องโถงใหญ่มาตลอด”

เสียงคุ้นหูทำให้จินหยวนเป่าหันไปมองอย่างไม่พอใจ “นี่เจ้าพูดจาสั่งสอนข้าในฐานะพ่อบ้านสกุลจินหรือในฐานะลูกพี่ลูกน้องกันล่ะ”

ผู้มาใหม่คือหลิ่วเหวินเจา พ่อบ้านประจำจวนแม่ทัพ ในมือประคองชุดเจ้าบ่าวที่เพิ่งตัดเสร็จใหม่ๆ มาด้วย เห็นได้ชัดว่าตั้งใจมาหาเขาโดยเฉพาะ

น้ำเสียงขุ่นขึ้งของฝ่ายตรงข้ามทำให้รอยยิ้มที่ฝืดฝืนอยู่แล้วของหลิ่วเหวินเจายิ่งแข็งค้างบนใบหน้า เขาสูดหายใจเข้าลึก ค่อยๆ ค้อมศีรษะหลุบตาต่ำแล้วตอบกลับไปด้วยอาการนอบน้อม “เหวินเจามิบังอาจ”

จินหยวนเป่ากลอกตาอย่างหงุดหงิดใจกับท่าทางถ่อมตนเช่นนั้น แล้วถามโดยที่ยังไม่ยอมหยุดเดิน “มาหาข้าทำไมไม่ทราบ”

“ชุดที่คุณชายจะสวมเข้าพิธีในวันรุ่งขึ้นมาถึงแล้ว ฮูหยินบอกให้ท่านลองใส่ดู เผื่อมีอะไรต้องแก้ไขตรงไหนจะได้ให้ช่างเสื้อรีบแก้ภายในคืนนี้”

“หึๆ…” คนฟังแค่นหัวเราะ “พอเป็นเรื่องแต่งงาน ดูเหมือนทุกคนจะตื่นเต้นยิ่งกว่าข้าเสียอีกนะ ไหนเอามาดูซิ”

หลิ่วเหวินเจารีบประคองชุดเจ้าบ่าวส่งไปให้ “นี่เป็นผ้าเนื้อดีที่สุด ข้าเสาะหาทั่วทั้งเมืองหลวง แล้วขอให้ช่างหลวงฝีมือดีช่วยตัดเย็บให้…”

จินหยวนเป่าลากปลายนิ้วผ่านคอปก รอยยิ้มบนเรียวปากยิ่งเย็นชาขึ้นกว่าเดิม “แน่ใจหรือว่านี่เป็นผ้าเนื้อดีที่สุดแล้ว”

พ่อบ้านหนุ่มชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะยิ่งค้อมศีรษะต่ำ “ขอรับ! ข้าเทียบสินค้าในร้านผ้าทุกร้านของเมืองหลวงดูจนหมดแล้ว”

“อย่างนั้นหรือ” อีกฝ่ายเลิกคิ้วน้อยๆ “ทำไมถึงไม่ซื้อผ้าอวิ๋นจิ่น (แพรเมฆา)”

“อวิ๋นจิ่น?” หลิ่วเหวินเจามองเขาด้วยความฉงน

“อวิ๋นจิ่นใช้ด้ายทองคำ ด้ายเงิน และด้ายทองแดงทอผสมกับเส้นไหม ขี้ไหม และขนสัตว์นานาชนิด อวิ๋นจิ่นหน้ากว้างไม่ถึงหนึ่งหมี่* จะประกอบด้วยด้ายถึงหนึ่งหมื่นสี่พันเส้น ลวดลายต่างๆ จะปักลงบนด้ายหนึ่งหมื่นสี่พันเส้นนี้ ต้องใช้ฝีมือละเอียดประณีตตั้งแต่ขั้นตอนวางโครงผ้าไปถึงการย้อมข้ามสีในท้ายที่สุด” จินหยวนเป่าบรรยายเนิบๆ ก่อนจะยิ้มมองอีกฝ่ายเป็นเชิงเยาะ “ไม่คิดบ้างหรือว่าอวิ๋นจิ่นเหมาะจะเป็นชุดเจ้าบ่าวของข้ามากกว่าผ้าที่เจ้าซื้อมา”

คู่สนทนาผงะไปเล็กน้อย เหงื่อเม็ดเล็กผุดซึมขึ้นมาบนหน้าผาก “เอ่อ…เนื่องจากค่อนข้างฉุกละหุก จึงไม่ทันได้สั่งทอจริงๆ ขอรับ”

* หมี่ คือเมตร

“ฮ่าๆๆ!” จินหยวนเป่าแหงนหน้าหัวเราะเสียงดัง ทว่าเสียงหัวเราะของเขากลับเจือความตรอมตรมเอาไว้ “ทุกคนอยากให้งานนี้เป็นงานเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสกุลจิน เพื่อให้สมเกียรติที่เบื้องบนทรงเมตตาไม่ใช่หรือ ถ้าจะทำก็ต้องทำให้ดีที่สุด ให้หรูที่สุด ให้ทรงเกียรติที่สุด ใครต่อใครจะได้พากันอิจฉาตาร้อนที่สกุลจินและสกุลเจียงเกี่ยวดองกัน ไม่เช่นนั้นก็เสียศักดิ์ศรีสกุลจินแย่ ไม่ทันได้สั่งทอ? ตัวเองเป็นถึงพ่อบ้านสกุลจินแท้ๆ พูดแบบนี้ออกมา ไม่กลัวใครเขาจะหัวเราะเยาะเอาหรือไร” พูดจบก็เดินลิ่วๆ จากไป

หลิ่วเหวินเจายังคงยืนค้อมกายให้ร่างที่เดินห่างไปไกลทุกทีอยู่ที่เดิมพลางเอ่ยอย่างนบนอบ “คุณชายสั่งสอนได้ถูกต้องแล้ว!” ทว่ามือทั้งสองข้างที่อยู่ใต้ชุดเจ้าบ่าวกำแน่นเป็นกำปั้นจนปลายเล็บแทบจิกฝังลงไปกลางฝ่ามือ

 

จินหยวนเป่ามองโคมไฟที่สว่างไสวอยู่ในห้องโถงใหญ่ของจวนแม่ทัพแล้วให้รู้สึกปลายเท้าหนักอึ้งอย่างน่าประหลาด ความเร็วที่ก้าวเดินค่อยๆ ลดลงทีละน้อย

ช้าลง…ช้าลง…

เขาเดินไปถึงหน้าห้องโถง แลเห็นป้ายพระราชทาน ‘เนื้อคู่กิ่งทองใบหยก’ ที่แขวนอยู่ตรงกลางผนังได้ทันที หัวใจเหมือนถูกถ่วงด้วยตะกั่ว อยากจะเดินหนีไปเสียเดี๋ยวนี้…

ทว่าร่างโดดเดี่ยวเหงางันที่นั่งอยู่ใต้ป้ายก็ทำให้หัวใจอ่อนยวบลงในพริบตา

ทั้งที่ยืนห่างออกมาตั้งไกล เขากลับเห็นสีขาวที่แทรกตัวบางๆ ตามไรผมนางได้อย่างชัดเจน ซ้ำยังคล้ายจะได้ยินกระทั่งเสียงทอดถอนใจของนาง

ร่างสูงยืนนิ่งตรงหน้าประตู ท่าทางเย่อหยิ่งจองหองเมื่อครู่หายไปโดยสิ้นเชิง เขาสาวเท้าเข้าไปข้างในแล้วคุกเข่าลงอย่างสุภาพสำรวม

“คารวะท่านแม่”

จินฮูหยินเอาแต่นั่งเงียบ

จวบจนหลิ่วเหวินเจาเดินตามเข้ามาด้วย นางถึงค่อยเอ่ยคำ “วันนี้ปิดคดีใหญ่ได้อีกแล้วสินะ” น้ำเสียงที่ใช้ไม่สูง ทว่าทรงอำนาจชนิดไม่มีใครกล้ามองข้าม

ผู้เป็นลูกคู้ตัวหมอบลงไปกับพื้น “หยวนเป่ามิกล้า วันนี้จับโจรกระจอกได้คนหนึ่ง แต่ลูกสงสัยว่าเบื้องหลังมันจะต้องมีคดีใหญ่ที่ร้ายแรงยิ่งกว่านั้น ตอนนี้เลยกำลังเตรียมสืบสาวจากเบาะแสที่อยู่ในมือ ลูกเชื่อว่า…”

“พอที!” จินฮูหยินยกมือตัดบทอย่างหมดความอดทน “พอเป็นเรื่องสืบคดีก็พูดได้น้ำไหลไฟดับ หยวนเป่า รู้หรือไม่ว่าวันนี้วันอะไร”

“ลูกทราบ” เขาไม่บ่ายเบี่ยง

“เงยหน้าขึ้นมา เห็นป้ายนี้หรือไม่”

“เห็นขอรับ”

“รู้หรือไม่ว่าใครเป็นคนเขียน”

“องค์ไทเฮาในรัชกาลปัจจุบัน”

ลูกชายโต้ตอบฉะฉาน ไร้ซึ่งความสำนึกผิด จินฮูหยินยิ่งหงุดหงิดใจกว่าเดิม “วันนี้นายบ่าวในสกุลจินทุกคนต่างไปรอต้อนรับป้ายลายพระหัตถ์ไทเฮาที่หน้าจวน มีแต่เจ้าคนเดียวที่ไม่อยู่”

จินหยวนเป่าเงยหน้าขึ้นมองมารดาพลางตอบเสียงหนักแน่น “ลูก…ไม่อาจเป็น ‘เนื้อคู่กิ่งทองใบหยก’ ที่ไทเฮาทรงเขียนได้”

“เหตุใดถึงเป็นไม่ได้” มารดาขมวดคิ้ว

คนถูกถามสูดหายใจเข้าลึกแล้วตอบเสียงก้อง “นับตั้งแต่ที่ไทเฮาพระราชทานคู่ครองให้ ลูกได้พูดไปแล้วว่าลูกกับคุณหนูสกุลเจียงไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อน จึงรับการแต่งงานครั้งนี้ไม่ได้ พิธีวิวาห์ในวันรุ่งขึ้นเป็นเพียงละครฉากหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่เพราะเป็นเนื้อคู่”

จินฮูหยินทำหน้าบึ้ง “แม่ไปสืบเรื่องของคุณหนูสกุลเจียงมาบ้างแล้ว นางเรียบร้อยอ่อนหวาน จิตใจโอบอ้อมอารี รูปร่างหน้าตาหมดจดงดงาม วัยก็เหมาะสมกัน เจ้ายังต้องการอะไรอีก”

ชายหนุ่มมองผู้เป็นแม่อย่างแน่วแน่แล้วตอบชัดเจนทีละคำ “ลูกต้องการความรู้สึกที่มีต่อกัน”

“ความรู้สึก?” จินฮูหยินแค่นหัวเราะเหยียดๆ ความรู้สึกอะไรนั่นเป็นเพียงความเพ้อฝันของคนหนุ่มคนสาวเท่านั้นเอง

“ขอรับ!” ลูกชายพยักหน้า “ความรู้สึกที่เกิดจากการได้พบเจอกัน ได้รู้จักกัน ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน ไม่เกี่ยวอะไรกับอายุ ฐานะ หรือรูปร่างหน้าตาทั้งสิ้น”

จินฮูหยินค่อยๆ หลับตาลงแล้วถาม “หมายความว่าเจ้าไม่คิดจะแต่งงานกับหญิงคนนี้?”

“ลูกเป็นคน มีเลือด มีเนื้อ มีความรู้สึกนึกคิด ไม่อยากเป็นของเล่นให้คนอื่นจับเชิด”

“เจ้าพูดอะไรออกมา! ของเล่น!?” ผู้เป็นแม่ตบโต๊ะอย่างเดือดดาล “โอหังสิ้นดี! นี่เป็นสมรสพระราชทานจากไทเฮานะ!”

สองแม่ลูกทำท่าจะทะเลาะกันบานปลาย หลิ่วเหวินเจาจึงก้าวออกไปข้างหน้าเพื่อช่วยไกล่เกลี่ยสถานการณ์ เขาหันไปพูดกับผู้มีศักดิ์เป็นญาติผู้น้อง “หยวนเป่า ทุกอย่างที่ท่านอาทำลงไปก็เพื่อเจ้าทั้งนั้น การแต่งงานครานี้เป็นเรื่องมหามงคลที่ผู้คนทั้งแผ่นดินจับตามอง หยวนเป่า เจ้า…”

“พ่อบ้านหลิ่ว!” จินหยวนเป่าส่งเสียงแทรกพร้อมมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา “พ่อบ้านหลิ่ว ข้าเห็นพวกที่อยู่ข้างหน้าจวนคอยรับของขวัญกันมือเป็นระวิง งานนั่นอยู่ในความรับผิดชอบของเจ้าไม่ใช่หรือ”

หลิ่วเหวินเจาหน้าม้าน แต่ก็รีบค้อมตัวก้าวถอยหลัง “ขอรับ ข้าจะไปดูเดี๋ยวนี้” พูดจบก็เดินดุ่มๆ ออกจากห้องโถงใหญ่ไป

ต่อเมื่อฝ่ายนั้นเดินไปไกลแล้ว จินฮูหยินถึงได้นิ่วหน้ายกมือนวดขมับ “วันนี้ป้ายพระราชทานถูกแห่แหนไปรอบเมือง คุณหนูเจียงก็เข้ามาพักในเมืองหลวงแล้ว สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องการแต่งงานระหว่างสกุลจินและสกุลเจียงที่จะเกิดขึ้นในวันรุ่งขึ้น เจ้าจะให้ข้าประกาศกับคนทั้งแผ่นดินว่าสกุลจินเปลี่ยนใจยกเลิกการแต่งงานครั้งนี้ เพราะคุณชายจินไม่อยากแต่งอย่างนั้นหรือ หยวนเป่า! เจ้าเอาเกียรติของสกุลจินไปทิ้งไว้ที่ไหน”

จินหยวนเป่าเงยหน้าขึ้นมองมารดา แล้วตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงนอบน้อม ทว่าความเด็ดเดี่ยวฉายชัดอยู่ในสีหน้า “ลูกไม่อยากมีชีวิตอยู่เพื่อคนอื่น คำวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คนบนแผ่นดินห้ามไม่ให้ลูกใช้ชีวิตแบบที่อยากใช้ไม่ได้”

“เจ้า…” คู่สนทนาปรับลมหายใจให้เป็นปกติ “ต่อให้ข้าตามใจเจ้า แล้วปฏิเสธการแต่งงานครานี้จริง เจ้าจะให้ไทเฮาทรงเพิกถอนพระราชเสาวนีย์ได้หรือ”

“ถ้าเช่นนั้นหยวนเป่าก็จะคลานเข่าหนึ่งก้าว โขกศีรษะหนึ่งครั้ง จนกว่าจะถึงประตูวังหลวง เพื่ออ้อนวอนให้ไทเฮาทรงเพิกถอนพระราชเสาวนีย์…ลูกจะขอให้ทรงยกเลิกการแต่งงาน!” ชายหนุ่มกัดฟันพูดเช่นนั้นอย่างแน่วแน่

“อะไรนะ!?” จินฮูหยินตกตะลึงพรึงเพริด นางสูดหายใจเข้าลึกอยู่หลายครั้งเพื่อบรรเทาโทสะให้สงบลง ก่อนจะทอดถอนใจ “เจ้า…ตามข้ามานี่” พูดจบก็ค่อยๆ เกาะเท้าแขนเก้าอี้ลุกขึ้นยืน

แม้ไม่รู้ว่ามารดาจะไปที่ใด จินหยวนเป่าก็ยังเข้าไปช่วยพยุงนางอย่างนอบน้อม

ทั้งคู่เดินออกจากห้องโถงใหญ่ไปตามเฉลียง ผ่านสวนดอกไม้ไปยังที่แห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างออกไปทางตอนหลังของคฤหาสน์ ที่แห่งนี้ก็คือห้องบูชาป้ายวิญญาณของคฤหาสน์สกุลจินนั่นเอง

จินฮูหยินผลักประตูเดินเข้าไปข้างใน แล้วคุกเข่าลงตรงหน้าแท่นบูชาป้ายวิญญาณบรรพบุรุษสกุลจิน

จินหยวนเป่ารีบคุกเข่าลงข้างนาง

หญิงสูงวัยจุดธูปสามดอกแล้วคลานเข่าเข้าไปปักธูปลงในกระถาง จากนั้นก็คลานกลับมาอยู่ที่เดิมและโขกศีรษะสามครั้งด้วยท่าทีเคารพยิ่ง จินหยวนเป่ารีบทำตามเช่นกัน

นางรอจนเขาโขกศีรษะเสร็จแล้วหันมามอง “ต่อหน้าท่านพ่อ ต่อหน้าบรรพชนทุกรุ่น ข้าขอถามเจ้าอีกครั้ง…พรุ่งนี้เจ้าจะเข้าพิธีแต่งงานหรือไม่เข้า”

ผู้เป็นลูกชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองป้ายวิญญาณบิดาแล้วตอบอย่างมั่นคง “ตอนที่ท่านพ่อยังมีชีวิตอยู่ได้เคยสอนลูกว่าจะต้องเป็นลูกผู้ชายที่ไม่รู้สึกผิดต่อตัวเอง ลูกตัดสินใจแน่วแน่แล้ว…ไม่เข้า!”

“ดี…” จินฮูหยินหยัดตัวขึ้นยืนช้าๆ “หยวนเป่า ลุกขึ้น”

จินหยวนเป่าทำตามคำสั่งทั้งที่ไม่เข้าใจนัก

ทันใดนั้นจินฮูหยินก็ทิ้งตัวลงคุกเข่าตรงหน้าเขา!

ชายหนุ่มหน้าถอดสี รีบก้มลงประคองมารดาพลางละล่ำละลัก “ท่านแม่ ท่านทำอะไร ลูกรับไม่ไหวนะขอรับ!”

มารดายังคงคุกเข่าเช่นนั้นอย่างดึงดัน หลับตานิ่งไม่ไหวติง

“ท่านแม่ แบบนี้…แบบนี้…” จินหยวนเป่าแทบพูดไม่เป็นคำ “ท่านลุกขึ้นเร็ว! ลุกขึ้นเร็วเข้า!”

“เพื่อสกุลจิน ข้าไม่ลุก”

เมื่อประคองอีกฝ่ายขึ้นมาไม่สำเร็จ ชายหนุ่มจึงทิ้งตัวลงคุกเข่าดังตุ้บตรงหน้าผู้เป็นแม่แล้วร่ำไห้วอนเว้า “ท่านแม่…”

“อย่ามาเรียกข้าว่าแม่!” จินฮูหยินมองเขาด้วยใบหน้าซีดเผือด

จินหยวนเป่าโขกศีรษะอ้อนวอน “ท่านแม่ ได้โปรดลุกขึ้นเถิด! สามีภรรยาจะต้องประคับประคองกันไปค่อนชีวิต ลูกไม่สนใจชาติกำเนิดนาง ไม่สนใจชื่อเสียงหรือรูปร่างหน้าตา ปรารถนาแค่จะได้ใช้เวลาครึ่งชีวิตที่เหลือกับหญิงที่ต้องใจ ลูกไม่เคยเจอหน้าคุณหนูสกุลเจียงด้วยซ้ำ ท่านจะให้ลูกใช้ชีวิตคู่กับคนแปลกหน้าได้อย่างไรเล่า”

“หยวนเป่า…” หญิงสูงวัยน้ำตาอาบหน้า “ท่านพ่อของเจ้าด่วนจากโลกนี้เร็วเกินไป ข้าเป็นหญิงตัวคนเดียว ต้องเฝ้าค้ำจุนสกุลจินตามลำพังมายี่สิบกว่าปี ลำบากยากเข็ญจนมิอาจบรรยายด้วยคำพูด! สกุลจินมีเจ้าเป็นลูกโทนอยู่คนเดียว คุณหนูสกุลเจียงคนนี้เพียบพร้อมทั้งรูปโฉมและความสามารถ อ่อนหวานนุ่มนวล ซ้ำยังชาติตระกูลดี เหมาะสมกับเจ้าในทุกด้าน เจ้าแต่งงานกับนางก็เท่ากับเพิ่มความแข็งแกร่งให้สกุลจิน ทั้งยังช่วยให้ไทเฮาทรงเบาพระทัย…”

“ท่านแม่ โปรดลุกขึ้นมาก่อน ลุกขึ้นมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน!” จินหยวนเป่าพยายามประคองมารดาขึ้นจากพื้นอีกครั้ง

ทว่าจินฮูหยินดึงดันคุกเข่านิ่ง ซ้ำยังจ้องมองเขาอย่างวิงวอนพลางพูดด้วยเสียงเจือก้อนสะอื้น “หยวนเป่า เจ้าเป็นแก้วตาดวงใจของแม่เสมอมา เจ้าอยากได้อะไร แม่ตามใจหมดทุกอย่าง ขนาดอยากไปเป็นมือปราบก็ไม่เคยห้าม ไทเฮาทรงให้ความสำคัญกับการแต่งงานครานี้อย่างยิ่งยวด ทรงมีพระราชเสาวนีย์ลงมาแล้ว เจ้ายังจะขัดอีกหรือ เอาเถิดๆๆ! เจ้าเป็นยอดชีวิตของแม่ หากเจ้าไม่มีความสุข เกียรติยศสกุลจินที่สั่งสมมารุ่นสู่รุ่นก็ไร้ความหมาย” พูดมาถึงตรงนี้นางก็สูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะพรูลมหายใจออกมายาวเหยียดคล้ายได้ตัดสินใจครั้งสำคัญ “เอาเถิด แม่จะไม่บังคับเจ้า พรุ่งนี้เราจะเข้าวังทูลขอให้ไทเฮาทรงเพิกถอนพระราชเสาวนีย์ด้วยกัน”

มือปราบหนุ่มมองมารดาอย่างยินดี แทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง

ทว่าหลังจากนั้นจินฮูหยินก็หมุนตัวคลานเข่าไปหน้าโต๊ะบูชาป้ายวิญญาณบรรพชนทุกรุ่นแล้วพึมพำ “บรรพบุรุษสกุลจินที่อยู่บนสวรรค์โปรดให้อภัยที่ข้าเห็นแก่ตัวตามประสาคนเป็นแม่ เมินเฉยต่อชื่อเสียงสกุลจินเพื่อความสุขของหยวนเป่า หากต่อไปในภายภาคหน้าสกุลจินเกิดตกต่ำขึ้นมา ข้าขอแบกรับความผิดบาปทั้งหมด ขอให้โทษทัณฑ์ทุกประการตกอยู่กับตัวข้าเพียงผู้เดียว!” นางโขกศีรษะให้ป้ายวิญญาณเหล่านั้นโดยแรง

เสียงโขกศีรษะของมารดาเป็นเสมือนหมัดลุ่นๆ ที่กระแทกลงบนหัวใจจินหยวนเป่าครั้งแล้วครั้งเล่า

เขามองสีหน้าแน่วแน่เด็ดเดี่ยวของนาง มองร่างที่สั่นสะท้านน้อยๆ ของนาง มองน้ำตาที่ไหลพรูออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ของนาง…

แล้วรู้สึกเหมือนตัวเองใกล้จะพังทลายเต็มที…

ชายหนุ่มคลานเข่าเข้าไปตรงปลายเท้าอีกฝ่ายก่อนจะเอ่ยอ้อนวอน “ท่านแม่ อย่าทำอย่างนี้สิขอรับ”

มีหรือจินฮูหยินจะยอมฟัง นางยังคงโขกศีรษะให้ป้ายวิญญาณบรรพชนต่อไป น้ำตาอาบนองสองแก้ม…ทีละเล็กทีละน้อย รอยเลือดเริ่มปรากฏให้เห็นตรงหน้าผาก

ภาพนั้นทำให้จินหยวนเป่ายืนกรานเจตนารมณ์เดิมต่อไปไม่ไหว เขาฉุดแขนผู้เป็นแม่ไว้แล้วกัดฟันเอ่ยคำพูดสามประโยคออกมาช้าๆ

“ได้…ข้ารับปากท่าน…ท่านแม่…”

“เจ้า…เจ้ายอมแล้วหรือ” จินฮูหยินหันกลับมามองทั้งน้ำตา ความยินดีเต้นโลดอยู่ในแววตาอย่างปิดไม่มิด

ผู้เป็นลูกหลับตาลงอย่างขมขื่น น้ำอุ่นไหลออกมาจากหางตาหยดแล้วหยดเล่า เสียงพูดยังถูกเอ่ยผ่านปลายฟันที่ขบแน่น “ลูกผิดต่อคนได้ทั้งโลก หนึ่งเดียวที่ไม่อาจผิดคือบุญคุณที่ท่านแม่เลี้ยงดูมา งานสมรสในวันรุ่งขึ้น…ให้เป็นไปตามที่ท่านแม่จัดเตรียมแล้วกัน!”

“ลูกแม่…” จินฮูหยินน้ำตาร่วงพรูดุจสายไข่มุก นางดึงลูกชายเข้ามากอด มุมปากคลี่ยิ้มโล่งใจ แต่ไม่ทันได้เห็นว่าลูกชายซบหน้าลงกับไหล่ตนแล้วหลับตาลงอย่างเจ็บปวด…จำยอม

 

หลังจากถูกจินหยวนเป่าแดกดันถากถางแล้วเดินออกจากห้องโถงใหญ่ หลิ่วเหวินเจามีสีหน้าบึ้งตึงมาตลอดทาง ข้ารับใช้ในจวนเห็นสีหน้าเขาเข้าเป็นต้องหลบให้ไกลอย่างนกรู้กันทุกคน

ตอนเดินผ่านสวนดอกไม้ที่ดูงดงามไปอีกแบบในยามค่ำคืน พ่อบ้านหนุ่มรู้สึกว่าทัศนียภาพงามตระการเช่นนั้นทิ่มแทงสายตานัก! ทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้…วันหนึ่งจะต้องเป็นของเขา! ต้องเป็นของเขาแน่นอน!

เขาคิดกับตัวเองอย่างเคียดแค้น พลันนั้นเสียงร้องไห้ก็ดังเข้าหู พอเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นหลิ่วเชี่ยนเชี่ยนเอามือปิดหน้าวิ่งมาทางนี้

ชายหนุ่มคว้าแขนน้องสาวมาถาม “เชี่ยนเชี่ยน เจ้าเป็นอะไรไป”

หลิ่วเชี่ยนเชี่ยนเงยหน้าขึ้นมอง พอเห็นว่าเป็นพี่ชายก็ซบหน้าลงกับอกเขา ร้องไห้สะอึกสะอื้น “พี่ใหญ่…”

เห็นน้องสาวร้องไห้แล้วสงสารนัก หลิ่วเหวินเจายกมือขึ้นลูบเรือนผมเป็นมันลื่นของนางพลางถาม “เกิดอะไรขึ้น ใครรังแกเจ้า บอกมา เดี๋ยวข้าจะไปจัดการมันให้น่าดู!”

หญิงสาวแหงนใบหน้าอาบน้ำตาดุจดอกไม้ต้องฝนขึ้นมองพี่ชายแล้วสะอื้นไห้ “พี่ใหญ่…ข้าจะไปหาท่านอา ข้ามีเรื่องจะพูด!”

เรื่องนี้นี่เอง… หลิ่วเหวินเจาถอนหายใจเฮือกขณะลูบผมอีกฝ่าย “ข้ารู้ว่าเจ้าอยากพูดอะไร แต่เจ้าต้องเก็บมันไว้ในใจเท่านั้น”

“ทำไมกันเล่า!?” หลิ่วเชี่ยนเชี่ยนมองพี่ชายอย่างขัดใจ “ข้ากับพี่หยวนเป่าโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็กๆ สมัยเด็กท่านอาก็เคยบอกเองว่าพอข้าโตแล้วจะให้พวกเราสองคนแต่งงานกัน มาตอนนี้…มาตอนนี้จะกลับคำเสียแล้วหรือ”

พ่อบ้านหนุ่มขมวดคิ้ว “คำพูดพวกนั้นเจ้าเชื่อเป็นจริงเป็นจังด้วยหรือ จินหยวนเป่าจะแต่งงานกับคุณหนูสกุลเจียง ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ทั้งนั้น”

“ข้าไม่ยอม!” หลิ่วเชี่ยนเชี่ยนผลักเขาออกจากตัวอย่างฮึดฮัด “ข้าไม่ยอม! ข้าจะไปถามท่านอา ไปถามพี่หยวนเป่าให้รู้เรื่อง! ฮูหยินน้อยของสกุลจินคือข้าต่างหาก!” พูดจบก็ทำท่าจะเดินออกไป

หลิ่วเหวินเจาคว้าแขนนางไว้ “เหลวไหล! เชี่ยนเชี่ยน! นี่คือสมรสพระราชทานจากไทเฮา! ขัดขืนมีโทษถึงตัดหัวเชียวนะ!”

“พี่ใหญ่!” น้องสาวเรียกเสียงเครือ “ท่านทนเห็นพวกเขาแต่งงานกันได้หรือ พี่ใหญ่ ตอนนี้ท่านเป็นพ่อบ้านสกุลจิน พอเจียงเสี่ยวเซวียนแต่งเข้ามาในบ้าน ก็เท่ากับเราสองพี่น้องมีเจ้านายคอยกดหัวเพิ่มขึ้นอีกคน ชีวิตที่ต้องอยู่ใต้คนอื่นเช่นนี้จะดำเนินไปถึงเมื่อไร พี่ใหญ่ หากข้าแต่งงานกับพี่หยวนเป่า สกุลหลิ่วของเราก็จะผงาดขึ้นมาได้อีกครั้ง”

ถ้อยคำเหล่านั้นเป็นเหมือนคมมีดเชือดเฉือนใจหลิ่วเหวินเจาจนแทบหลั่งเลือด ทำให้สกุลหลิ่วผงาดขึ้นมาอีกครั้ง? นี่ควรเป็นหน้าที่ของหลานชายคนโตเช่นเขา เวลานี้หญิงสาวบอบบางที่ถูกพะเน้าพะนอเอาใจมาตั้งแต่เด็กเช่นนางกลับต้องมาพลอยร้อนใจไปด้วย

เขาพรูลมหายใจยาวเหยียด “เชี่ยนเชี่ยน เจ้านึกหรือว่าข้ายินดีใช้ชีวิตแบบนายก็ไม่ใช่ ขี้ข้าก็ไม่เชิงเช่นนี้ แต่ยังไม่ถึงเวลาที่สกุลหลิ่วเราจะผงาดขึ้นมาใหม่ต่างหาก ต่อไปข้าจะต้องหาคนดีๆ ให้เจ้าแต่งงานด้วย แล้วเราก็จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกันเหมือนเดิม”

“ข้าไม่…” หลิ่วเชี่ยนเชี่ยนทำท่าจะพูดอะไรต่อ แต่ใครคนหนึ่งเดินรีบร้อนมาทางนี้เสียก่อน นางจึงจำต้องกลืนคำพูดที่เหลือลงคอ

“พ่อบ้านหลิ่วช่างอยู่ว่างเสียจริง! ฮูหยินไม่วางใจ เลยให้ข้ามาถาม…ตอนนี้กำลังดึกสงัด ในจวนมีสิ่งใดผิดสังเกตบ้างหรือไม่” ผู้มาใหม่สวมชุดรัดกุมชายสั้นสีดำตลอดร่าง หน่วยตากว้าง คิ้วดกหนา หน้าตาหล่อเหลาคมคาย ท่อนแขนกำยำ ฝ่ามือใหญ่ เห็นชัดว่าเป็นคนฝึกยุทธ์

หลิ่วเหวินเจาเหลือบมองอีกฝ่าย จากนั้นก็เหลียวมองรอบตัว “บริเวณโดยรอบเงียบสงบดี ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ”

ชายผู้นั้นเดินเข้ามาใกล้เขาแล้วกระซิบเบาๆ ตรงริมหู “ข้าตามหาท่านเสียทั่ว”

“ได้ จะไปเดี๋ยวนี้แหละ” หลิ่วเหวินเจาเหลือบมองน้องสาวที่ยืนอยู่ข้างตัว “ฮูหยินเรียกหาข้า ข้าจะไปพร้อมอากุ้ย เจ้ารีบกลับเรือนไปนอนเถิด อย่าเอาแต่คิดเรื่องเหลวไหลไร้สาระเลย”

หลิ่วเชี่ยนเชี่ยนทำปากอูดมองเขา ไม่ยอมขยับ

ผู้เป็นพี่เดินเข้าไปหาอย่างอ่อนใจ แล้วยกมือลูบศีรษะนางปลอบประโลม “ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพูดถึงเรื่องพวกนี้ กลับเรือนไปนอนก่อนได้หรือไม่ ฟังที่ข้าพูดน่า”

หญิงสาวขมวดคิ้วถลึงตาใส่เขา จากนั้นก็หันไปถลึงตาใส่อากุ้ย ถึงค่อยยอมกระทืบเท้าเดินกระฟัดกระเฟียดกลับไปที่เรือนตัวเอง

หลิ่วเหวินเจามองตามแผ่นหลังน้องสาวแล้วถอนหายใจเหยียดยาวอีกครั้ง

“เชี่ยนเชี่ยนเป็นอะไรไปหรือขอรับ” อากุ้ยถามอย่างห่วงใย

“ไม่มีอะไรหรอก…” เขาส่ายหน้า “ไปพบนายเหนือหัวมาหรือ”

“อืม”

“มาทางนี้…” หลิ่วเหวินเจาสาวเท้ายาวๆ เดินนำ

ทั้งสองคนเดินเคียงกันไปทางประตูหลังของคฤหาสน์สกุลจิน

พอมาถึงมุมเปลี่ยวในสวนดอกไม้ อากุ้ยก็กวาดตามองรอบตัวจนแน่ใจว่าไม่มีใคร ถึงค่อยเดินเข้าไปใกล้หลิ่วเหวินเจาแล้วลดเสียงกระซิบกระซาบ “เสือดาวเวหาถูกกองปราบจับตัวไปแล้ว เห็นว่าคนที่จับมันคือคุณชายจินของเรานี่แหละ”

“อืม” หลิ่วเหวินเจาไม่มีท่าทีประหลาดใจ “ไม่ผิดจากที่ข้าคิดไว้ ไม่อย่างนั้นไอ้คุณชายเจ้าสำราญนี่คงไม่ตามกลิ่นไปถึงหอเชียนเจียว ข้าส่งลูกน้องสองคนไปจัดการแล้ว ฉู่ฉู่หนีออกมาได้หรือไม่”

“คนของเราคอยสกัดลูกน้องของจินหยวนเป่า แต่ไม่ได้เจอฉู่ฉู่ เวลานี้ยังไม่รู้ว่าแม่คนสวยนั่นอยู่ที่ใด รู้แน่อย่างเดียวว่าไม่ได้ตกอยู่ในมือกองปราบ” อากุ้ยตอบ

“มั่นใจได้อย่างไร” หลิ่วเหวินเจามองลูกน้อง

อากุ้ยวิเคราะห์อย่างจริงจัง “ประกาศจับฉู่ฉู่ถูกปิดไปทั่วเมือง แต่ที่น่าแปลกก็คือยังประกาศจับลูกค้าชาวยุทธ์คนหนึ่งพร้อมกัน”

“ลูกค้า?” คนฟังผงะไปเล็กน้อย มีลูกค้าโผล่มาจากไหนกันนะ เขาถามต่อ “ใช่คนของเราหรือไม่”

“เท่าที่ดูจากภาพเหมือนในประกาศ…ไม่ใช่”

“คนผู้นี้…” หลิ่วเหวินเจานิ่งคิด “เรายังไม่รู้ว่าเป็นมิตรหรือศัตรู อาจเป็นหลุมพรางที่จินหยวนเป่าวางไว้ก็ได้…ไม่ว่าอย่างไรเจ้าจะต้องควานหาตัวมันให้ได้เร็วที่สุด!”

“ขอรับ!”

ทั้งคู่เดินต่อไปอีกสามสี่ก้าว ก่อนที่พ่อบ้านหนุ่มจะชะงัก เหลือบมองอีกฝ่ายแล้วถามขึ้นอย่างรวดเร็ว “เจ้าบอกว่าภาพเหมือนของฉู่ฉู่ก็ถูกปิดประกาศด้วยหรือ” ประกาศจับฉู่ฉู่ถูกปิดไปทั่วเมือง นายเหนือหัวคงเดือดดาลน่าดู เพียงแค่คิด หลิ่วเหวินเจาก็สะท้านวาบในใจ

อากุ้ยพยักหน้าแล้วตอบกลับไปเบาๆ “นายเหนือหัวให้ข้ามาบอกท่านว่า ‘จัดการเก็บกวาดให้เรียบร้อย ครั้งนี้จะไม่เอาความ แต่หากมีครั้งต่อไปจะไม่ปรานีแน่’ ”

หลิ่วเหวินเจามีสีหน้าโล่งใจเมื่อได้ยินดังนั้น “ฉู่ฉู่ไม่มีญาติมิตรที่ไหน ซ้ำยังมีเงินติดตัวไม่มาก คงไปไม่ได้ไกลหรอก จงรีบไปหานางให้เจอโดยเร็ว”

“นายเหนือหัวกล่าวว่าฉู่ฉู่เป็นหญิงจากแดนตะวันตก ฆ่าทิ้งได้ไม่ต่างจากฆ่ามดตัวหนึ่ง ต่อให้ตายไปก็ไม่มีใครรู้ ถ้ายังอยู่สิ อาจนำภัยมาให้พวกเราได้ทุกเมื่อ” อากุ้ยถ่ายทอดคำพูดของผู้เป็นนายใหญ่อย่างเหี้ยมเกรียม

“เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง” หลิ่วเหวินเจาขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ชอบใจนักที่อีกฝ่ายเห็นชีวิตคนเป็นผักปลา “นายเหนือหัวยังสั่งอะไรมาอีกหรือไม่”

“พรุ่งนี้จินหยวนเป่ากับเจียงเสี่ยวเซวียนจะแต่งงานกัน นายเหนือหัวสั่งให้พวกเราเตรียมของขวัญชิ้นใหญ่ให้คู่บ่าวสาว”

พ่อบ้านหนุ่มค่อยๆ ผินหน้าไปหรี่ตามองอากุ้ย ภายใต้แสงจันทร์เย็นเยียบ อากุ้ยยืนหลุบตาอย่างที่บ่าวคนหนึ่งพึงทำ ทว่าบรรยากาศรอบตัวกลับชวนให้สะท้านอย่างบอกไม่ถูก เขาแสร้งถามหยั่งเชิงอย่างไตร่ตรอง “ความหมายของนายเหนือหัวคือ?”

“นายเหนือหัวสั่งมาว่าให้ฆ่าเจียงเสี่ยวเซวียนเสีย เหลือเจ้าบ่าวอยู่คนเดียว ดูซิว่ายังจะแต่งกันได้อย่างไร”

ไอหนาวที่เกาะกุมหัวใจรุนแรงขึ้นทุกที จนเขารู้สึกเหมือนพลัดตกเข้าไปในโพรงน้ำแข็งกลางฤดูร้อน อีกชีวิตอย่างนั้นหรือ

อากุ้ยพูดต่อ “นายเหนือหัวกล่าวว่าเจียงเสี่ยวเซวียนจะพักอยู่ในโรงเตี๊ยมเหิงชางแค่คืนนี้คืนเดียวเท่านั้น”

“…” หลิ่วเหวินเจาพลันตันตื้อด้วยคำพูด ตอบโต้ไม่ออก มีเพียงใบหน้าที่เครียดขึ้งจนดำคล้ำเหมือนน้ำหมึกจะหยดลงมา

อีกฝ่ายมองเขานิ่งก่อนจะพูดต่อ “ข้าไปสืบมาแล้วว่าเจียงเสี่ยวเซวียนพักอยู่ห้องใด…”

“เข้าใจแล้ว” พ่อบ้านหนุ่มโบกมือตัดบท จากนั้นก็แหงนหน้าขึ้นมองดวงจันทร์กลมโตสีเงินบนท้องฟ้า ไอเย็นเยียบในดวงตาคมรุนแรงขึ้นทุกที ก่อนจะค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นจิตสังหาร… “คืนนี้ข้าจะไปเอง”

 

แสงตะเกียงพร่าพรายอยู่ในความมืดมิดของรัตติกาล

บรรยากาศคึกคักสนุกสนานของเมืองหลวงแฝงไว้ซึ่งความกดดันและความเกร็งเครียดเสี้ยวบางๆ ความกดดันดังกล่าวมาจากประกาศจับที่ปิดตามริมถนนใหญ่และตรอกเล็กซอยน้อย อีกทั้งกองกำลังรักษาพระนครที่ปักหลักยืนเฝ้าประตูเมืองอย่างแน่นหนา

เมืองหลวงอันเป็นที่ประทับของฮ่องเต้จัดได้ว่าสงบสุขปลอดภัยเหนือเมืองอื่น ทว่าเวลานี้กลับมีประกาศจับปิดระนาวไปทั่วทั้งเมือง ชี้ชัดว่าคดีนี้รุนแรงเพียงไร

ถนนซีซื่อเป็นถนนสายที่คึกคักจอแจที่สุดของเมืองหลวง บนกระดานปิดประกาศเวลานี้ก็มีประกาศจับสองใบปิดเอาไว้เช่นกัน ใบหนึ่งเป็นภาพเหมือนหญิงสาวต่างแดนรูปร่างหน้าตาหมดจดงดงาม อีกใบเป็นภาพเหมือนของชายฉกรรจ์หนวดเครารุงรัง

พวกชาวบ้านกลุ้มรุมหน้าป้ายประกาศพลางยกนิ้วชี้วิพากษ์วิจารณ์ ต่างหวังว่าตนจะจำใบหน้าในภาพเหมือนได้ เพื่อให้เบาะแสคนร้ายแก่ทางการ ก็แหม…เงินรางวัลออกจะล่อใจถึงเพียงนั้น!

เสียงขลุ่ยดังแว่วมาแต่ไกล เวลาเล่นเสียงต่ำฟังดูคล้ายเสียงขับกลอนอันสุขุม เวลาเล่นเสียงสูงฟังดูคล้ายบทเพลงอันรื่นเริง…ท่วงทำนองดังกังวานไม่ขาดสายคล้ายลมแผ่วอันนุ่มนวล ให้กลิ่นอายดินแดนอันห่างไกล ถัดจากนั้นเสียงผิวปากเจื้อยแจ้วก็ดังขึ้น ดึงความสนใจทุกคนให้หันไปมอง

ภาพที่เห็นคือขบวนพ่อค้าต่างแดนจูงอูฐสองตัวผ่านตลาดอันจอแจมาตามถนนช้าๆ

หนึ่งในนั้นเป็นหญิงต่างแดนถือขลุ่ยรูปทรงแปลกตาเป่าเบาๆ ท่วงทำนองชวนเคลิบเคลิ้มมาจากนางนี่เอง

หญิงต่างแดนมีรูปร่างอ้อนแอ้นอรชร สวมชุดสีแดงโดดเด่นสะดุดตา ครึ่งบนเป็นเสื้อเข้ารูปแขนสั้น ชายด้านล่างเป็นพู่มุกสลับอัญมณี

ทว่าเอวคอดที่ควรโผล่พ้นร่มผ้ามาอวดผิวขาวและสะดือสวยได้รูปกลับถูกปกคลุมไว้ใต้ผ้าสีเดียวกันอย่างขัดตา ไม่ให้ความรู้สึกเย้ายวนเลยแม้แต่นิดเดียว รองเท้าสานเป็นเส้นบางๆ ที่ควรสวมไว้กับเท้าเปลือยก็กลับสวมทับรองเท้าปักลายเสียอย่างนั้น

ดวงหน้าที่ควรปิดไว้ครึ่งหนึ่งด้วยผ้าแพรกลับใช้ผ้าฝ้ายห่อเอาไว้ราวกับโจรป่า…

เครื่องแต่งตัวแปลกๆ ไม่ตรงตามขนบน่าจะชวนให้ระแวงสงสัยอย่างยิ่ง ทว่าเสียงขลุ่ยแสนไพเราะที่ดังแว่วไม่ขาดสายทำให้ผู้พบเห็นคิดว่านางคงแต่งตัวประหลาดเช่นนี้เองตามธรรมชาติ…

ขบวนพ่อค้าเคลื่อนตัวผ่านกระดานประกาศช้าๆ ตอนที่จวนเจียนจะเดินพ้น หญิงสาวพลันหยุดเป่าขลุ่ย แล้วเดินถอยหลังสามสี่ก้าวไปยืนตรงหน้าประกาศจับ

ดวงตากลมโตสุกใสจ้องมองประกาศบนกระดานอยู่นาน แล้วให้ฉุนกึกขึ้นมาทันที นางดึงผ้าคลุมหน้าลงอย่างหัวเสียพร้อมโวยวาย “สวรรค์! ทำไมถึงได้อัปลักษณ์อย่างนี้ ฝีมือใครวาด!? ไม่เหมือนตัวจริงเลยแม้แต่นิดเดียว พูดพลางชี้ประกาศแล้วหันไปบอกพ่อค้าต่างแดนร่างอ้วนที่ร่วมขบวนมาด้วยกัน “เสืออ้วน มาดูสิ! รูปนี่วาดได้มั่วสิ้นดี! ตาสองชั้นของข้าหายไปไหน แล้วคางใหญ่ขนาดนี้เชียวหรือ ไหนจะแก้มนี่อีก…สวรรค์ มีแต่เนื้ออูมๆ ทั้งหน้า!”

จากนั้นก็หันกลับไปมองประกาศจับอย่างเป็นเดือดเป็นแค้น แล้วกัดฟันคำรามยาวเหยียดโดยไม่หยุดพักหายใจ “จิตรกรฝีมืออ่อนหัดเช่นนี้ควรจะลากออกมาโบยสักหนึ่งพันแปดร้อยไม้ แล้วค่อยจับโยนลงไปแช่ในคูเมืองสักสามวันสามคืน จากนั้นค่อยลากขึ้นมาให้มันเบิ่งตาดูให้ดีๆ ว่าฟันข้าทุเรศทุรังเหมือนอย่างที่มันวาดหรือไม่!”

ตอนแรกนางยังโวยวายเบาๆ ทว่าไม่นานนักเสียงก็ดังขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความโมโห

เสืออ้วนพยายามโบกไม้โบกมือส่งสายตาให้อย่างเอาเป็นเอาตาย

อวี้ฉีหลินเพิ่งรู้สึกตัวตอนนี้ นางหันกลับไปมองแล้วต้องนิ่งตะลึงไป เพราะพวกชาวบ้านที่ยืนมุงอยู่ข้างหลังล้วนแต่มองมาทางนางด้วยสีหน้าแปลกๆ เป็นตาเดียว

มิหนำซ้ำเวลานี้นางยังยืนอยู่ตรงหน้าประกาศจับ ไร้ผ้าคลุมหน้า ใบหน้าของนางมีส่วนคล้ายคลึงกับภาพเหมือนคนร้ายอยู่บ้างจริงๆ

“แหะๆ…” อวี้ฉีหลินหัวเราะแห้งๆ แล้วไถลตัวไปตามกำแพง ทว่าสายตาจ้องเขม็งของฝูงชนยังคงตามมาติดๆ

ทันใดนั้นผ้าคลุมไหล่ผืนใหญ่ลวดลายฉูดฉาดก็ถูกโยนเข้ามาคลุมร่างนางตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างมิดชิด

เสืออ้วนเดินเข้ามาโอบนางไว้พลางบ่นพึมพำ “นางโง่เอ๊ย อยู่ดีๆ เอาผ้าคลุมหน้าออกทำไม ประกาศจับมีอะไรน่าให้อ่านนักหนา! รีบไปกันเร็วเข้า เดี๋ยวสายกว่านี้ก็ส่งของไม่ทันกันพอดี!” พูดพลางพานางเดินออกจากกลุ่มคนอย่างคล่องแคล่ว แล้วเผ่นแน่บรวดเร็วราวกับติดปีกโดยที่ชาวบ้านแถวนั้นไม่ทันได้ตั้งตัว

จวบจนเดินมาไกลแล้ว อวี้ฉีหลินถึงดึงผ้าคลุมไหล่ลงจากหัวแล้วสูดหายใจอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่หลายครั้ง เพราะผ้าคลุมผืนหนาทำเอานางแทบหายใจไม่ออก จากนั้นก็หันไปยิ้มแหยๆ ให้สหายอย่างรู้สึกผิด “เมื่อครู่ไม่มีใครมองออกใช่หรือไม่ว่าเป็นข้า”

เสืออ้วนเหลียวกลับไปมองข้างหลัง พบว่าไม่มีใครเดินตามมาจึงส่ายหน้า

“ฮู่ว์…” อวี้ฉีหลินถอนหายใจโล่งอกแล้วยิ้มกว้างตบบ่าอีกฝ่าย “เพราะได้เจ้าช่วยแท้ๆ เลย เสืออ้วน!”

“หึๆ” คนถูกชมเกาหลังหัวเขินๆ

อวี้ฉีหลินหางตากระตุกพลางดึงมือสหายลง “เสืออ้วน เปลี่ยนที่เกาได้หรือไม่”

“หือ?” อีกฝ่ายทำหน้าเหลอหลา

“ถ้ายังเอาแต่เกาตรงนี้ มันจะล้านหมดแล้วนะ ต่อไปผมคงไม่งอกขึ้นมาอีกแล้ว!”

“อ้อ” เสืออ้วนลดมือลงหงอยๆ แต่ตรงนี้มันคันมากจริงๆ นี่นา ครั้นจะเกาก็ไม่กล้า พอไม่เกาก็รู้สึกว่าอาการคันแผ่ลงไปตามต้นคอแล้วแพร่ไปทั้งตัว

อวี้ฉีหลินเสียบขลุ่ยเข้ากับเอว เดินจูงอูฐอยู่หน้าสุด อูฐอีกตัวหนึ่งเดินตามมาข้างหลัง โดยมีเสืออ้วนที่เดินยุกยิกบิดเอวบ้าง ถูหลังบ้าง เดินรั้งท้ายสุด

ทั้งสองเดินจูงอูฐเอ้อระเหยไปเรื่อยๆ จนไปหยุดอยู่ห่างจากประตูหน้าจวนแม่ทัพไม่ไกลนัก

หญิงสาวหยิบขลุ่ยขึ้นมาเป่าอีกครั้งพลางสาวเท้ายาวๆ เดินไปทางประตูหน้าจวน เสืออ้วนเคาะเกราะ จูงอูฐตามไปข้างหลัง

“นี่ๆๆ พวกเจ้าเป็นใครกัน” องครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูปรี่เข้ามาขวางไว้

“พวกเล่าเพนแขกสามคันฉากแดนทาวันทก มาลวมอวยพรงานวี่วาคุณชายคองพวกเช้า” อวี้ฉีหลินลดขลุ่ยลงแล้วตอบพลางยักย้ายส่ายเอว

“เจ้าพูดอะไรของเจ้า” ทหารยามทำหน้างุนงง

เสืออ้วนรีบเข้าไปช่วยทำหน้าที่ล่าม “นางบอกว่าพวกเราเป็นแขกสำคัญจากแดนตะวันตก มาร่วมอวยพรงานวิวาห์คุณชายของพวกเจ้า”

“หืม?” ทหารยามไร้ทีท่าว่าจะหวั่นไหว กลับมองอวี้ฉีหลินหนึ่งตลบแล้วถามหยั่งเชิง “แดนตะวันตกหรือ”

“อือฮึ” อวี้ฉีหลินส่ายเอวยึกยักพลางชม้อยชม้ายตาให้

“นางรำ?”

“อือฮึ” นางบิดเอวพยักหน้า

“ไม่เคยเห็นนางรำแดนตะวันตกคนไหนแต่งเนื้อแต่งตัวประหลาดเท่านี้มาก่อน…” ทหารยามบ่นงึมงำ

อวี้ฉีหลินรีบอธิบาย “พวกเล่ายูทางทาวันทกของแดนทาวันทกอีกที!”

“พูดอะไรฟังไม่รู้เรื่อง” ทหารยามประกาศก้อง “ฮูหยินมีคำบัญชาว่าจะต้องรับมอบของขวัญทุกชิ้นแค่หน้าประตูเรือน ของชำร่วยก็ต้องส่งมอบที่นี่เช่นกัน ฮูหยินและคุณชายซาบซึ้งในน้ำใจของพวกท่าน โปรดรับของชำร่วยแล้วกลับไปเถิด”

นางรำปลอมรีบส่งสายตาให้สหายร่างใหญ่อย่างร้อนรนเมื่อได้ยินดังนั้น

เสืออ้วนพูดขึ้น “รีบให้พวกเราเข้าไปแสดงความยินดีกับคุณชายจินเดี๋ยวนี้! พวกเรานำของขวัญล้ำค่าและไมตรีจิตอันลึกซึ้งมาจากเทือกเขาเทียนซาน!”

“ไม่ได้!”

“หากไม่ได้พบคุณชายจิน พวกเราก็ไม่ยอมไป!” อารมณ์ร้อนรนทำให้อวี้ฉีหลินลืมสำเนียงประหลาดของตนเสียสนิทใจ

ทหารยามชะงักไป “พวกเจ้าเป็นใครกันแน่”

หญิงสาวกลอกตาหนึ่งตลบแล้วยิ้มบาง “อันที่จริง…พวกเราเป็น…สหายเก่าแก่ที่คบหากับท่านแม่ทัพจินหลายปีระหว่างที่เขายังมีชีวิตอยู่และปกปักรักษาชายแดนธำรงความผาสุกของปวงประชา หน้าร้อนจับปลาด้วยกัน พอถึงหน้าหนาวชวนกันไปล่าหมี!”

“เจ้าน่ะหรือ” ทหารยามมองหญิงตรงหน้าด้วยท่าทางกังขา “เจ้าเพิ่งอายุเท่าไรกันเชียว จะเป็นสหายกับท่านแม่ทัพของเราได้อย่างไร”

“เอ่อ…ลูกสาวของสหายน่ะ! ก่อนพ่อข้าจะตายจากไป ได้สั่งเสียข้าไว้ว่าหากบุตรชายท่านแม่ทัพจินแต่งงานเมื่อไร ข้าจะต้องนำเสื้อคลุมขนละมั่งอันเป็นของล้ำค่าจากเทือกเขาเทียนซานมาคลุมลงบนร่างคุณชายจินเองกับมือ! หากท่านไม่ช่วยสงเคราะห์ ข้าจะไปบอกท่านพ่อที่ตายจากไปแล้วอย่างไรเล่า” พูดพลางชูเสื้อคลุมขนละมั่งที่ห่อไว้อย่างสวยงามขึ้นสูง

“เอ่อ…” ทหารยามทำท่าลำบากใจ

อวี้ฉีหลินยิ้มแปลกๆ แล้วแกล้งถาม “หากท่านไม่ช่วย…ข้าให้ท่านพ่อเข้าฝันมาช่วยพูดกับท่านดีหรือไม่”

อาจเพราะรอยยิ้มของนางแลดูน่าขนลุก หรือไม่ก็เพราะชาวจงหยวนไม่มีความรู้เกี่ยวกับชนเผ่าต่างแดน เกรงว่าคนเหล่านี้จะใช้ไสยเวทมนตร์ดำ ทหารยามจึงรู้สึกกลัวขึ้นมานิดๆ เขาลดหอกลงพลางบอกอย่างไม่เต็มใจนัก “ในเมื่อเป็นคำสั่งเสียของท่านผู้เฒ่า…ข้าจะใจจืดใจดำก็ใช่ที่…พวกเจ้าเข้าไปแล้วกัน แต่คุณชายจะให้เข้าพบหรือไม่ ข้าไม่รับรู้”

อวี้ฉีหลินกับเสืออ้วนโค้งคำนับปลกๆ “ขอบคุณมาก…”

แต่เอ่ยขอบคุณยังไม่ทันขาดคำ มือข้างหนึ่งก็ยื่นมาขวางหน้าไว้

“วันนี้จวนแม่ทัพไม่รับแขก” ผู้มาใหม่คือพ่อบ้านหลิ่วเหวินเจานั่นเอง

อวี้ฉีหลินชะงัก

หลิ่วเหวินเจาฉวยโอกาสที่อีกฝ่ายยังยืนอึ้งดึงเสื้อคลุมขนละมั่งที่นางชูขึ้นสูงไปจากมือ “จวนแม่ทัพไม่เคยกะเกณฑ์ว่าของขวัญต้องมีราคาเท่าไร เสื้อคลุมตัวนี้ข้าจะรับไว้แทนคุณชายเอง ทุกท่านโปรดกลับไปเถิด”

“เอ๊ะ เดี๋ยว…” หญิงสาวทำท่าจะแย่งของกลับมา

ทว่าหลิ่วเหวินเจาเอ่ยสั่งเสียก่อน “ปิดประตู…ส่งแขก!”

ประตูใหญ่ของคฤหาสน์สกุลจินปิดลงช้าๆ

อวี้ฉีหลินมองบานประตูค่อยๆ ปิดเข้าหากันหน้าละห้อยเพราะจนใจทำอะไรไม่ได้ อยากจะทะยานตัวเหาะข้ามไปเสียเดี๋ยวนี้…แน่นอนว่าไม่อาจทำดังใจคิด

“ทำอย่างไรดีล่ะ” เสืออ้วนมองนางอย่างหมดปัญญา

“จะทำอย่างไรได้” คนถูกถามทำคอตกจูงอูฐอย่างเงื่องหงอย “ประตูปิดแล้วนี่นา ไปกันเถอะ”

“อ้อ” เสืออ้วนมองประตูใหญ่ตรงหน้าอย่างอาลัยอาวรณ์ ก่อนจะจูงอูฐอีกตัวออกเดินบ้าง

จวบจนเดินไปถึงลานหญ้าปลอดคนที่อยู่ห่างจากจวนแม่ทัพค่อนข้างไกล ทั้งสองถึงค่อยทิ้งตัวลงนอนบนพื้นหญ้าอย่างไร้เรี่ยวแรง สีหน้าเต็มไปด้วยความผิดหวัง

เสืออ้วนนอนเงียบอยู่นาน ก่อนจะกู่ร้องขึ้นฟ้า “เสื้อคลุมของข้า…”

อวี้ฉีหลินตบแขนเจ้าตัวเบาๆ อย่างรำคาญ “อย่าโวยวายสิ!”

“ฮึก…” ชายร่างใหญ่ก้มหน้าต่ำอย่างคับอกคับใจ เจ็บช้ำเป็นที่สุด “หนังแพะแท้ๆ ด้วย ขนาดตัวข้าเองยังไม่ค่อยกล้าใส่ด้วยความเสียดาย…เวลาอากาศหนาวๆ ช่วงหลังปีใหม่ แค่ได้ลูบหนังแพะผืนนั้น ข้าก็รู้สึกอุ่นไปทั้งตัวแล้ว…”

หญิงสาวค้อนควักแล้วโต้กลับอย่างมีโมโห “หุบปากไปเลยไป! ไอ้คนขี้ตืด! เทียบกับความเหน็บหนาวที่แม่ข้าต้องเผชิญมายี่สิบปี เสื้อคลุมแค่นี้จะสักเท่าไรกันเชียว”

“ไหนเจ้าบอกว่าแผนนี้จะต้องได้ผลอย่างไรล่ะ ตอนเอาเสื้อคลุมไปสวมให้เจ้าคุณชายนั่นจะได้มุดเข้าไปใต้เสื้อ ดูว่าตรงเอวเขามีปานหรือไม่…” คิดถึงเสื้อตัวนั้น เสืออ้วนก็ให้เสียดายจนเสียงเครือ

อวี้ฉีหลินดึงหญ้าที่อยู่ใกล้มือระบายอารมณ์แล้วพูดอย่างแค้นใจ “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าบนแผ่นดินจะมีเสื้อผ้าชิ้นไหนที่อวี้ฉีหลินคนนี้ถอดไม่ได้!”

เสืออ้วนหันไปมองนางทั้งน้ำตา “เจ้ายังมีวิธีอื่นที่ทำให้พวกเราแฝงตัวเข้าไปในคฤหาสน์สกุลจินได้อีกหรือ”

อวี้ฉีหลินเงียบไปเล็กน้อย ก่อนจะยกมุมปากเป็นรอยยิ้มบางๆ “คุณหนูเจียงเข้าเมืองหลวงมาแล้วนี่นา”

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

หน้าที่แล้ว1 of 11

Comments

comments

Jamsai Editor: