X
    Categories: ทดลองอ่านบุพเพอลวนมากกว่ารัก

ทดลองอ่านนิยาย บุพเพอลวน เล่ม 1 บทที่ 6

หน้าที่แล้ว1 of 15

บทที่ 6 เจ้าสาวตัวปลอมป่วนงานวิวาห์

 

ฝนตกต่อเนื่องเป็นเวลานาน ในที่สุดก็ขาดเม็ดไปช่วงใกล้รุ่ง

แสงเงินแสงทองเริ่มจับขอบฟ้ารำไร ดวงดาวช่วงเช้ามืดยังไม่หายไปจากผืนนภา เสียงไก่ขันก็แว่วมาให้ได้ยิน

สี่เอ๋อร์ฉุดอวี้ฉีหลินให้ลุกจากเตียงตั้งแต่ไก่โห่ แล้วจับสวมชุดเจ้าสาวสีแดงสดใส

ใต้ตานางคล้ำเป็นวงเพราะไม่ได้หลับเลยทั้งคืน หัวใจเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย

อวี้ฉีหลินเสียอีกที่ไม่ทุกข์ร้อนและหลับสนิทตลอดคืน กระนั้นก็ยังหงุดหงิดที่ถูกปลุกแต่เช้า

ตอนนี้ไก่ตัวผู้ที่โรงเตี๊ยมเลี้ยงไว้โก่งคอขันเสียงกังวานก้องขึ้นมาอีกหน เสียงไก่ขันทำให้อารมณ์ของนางขุ่นมัวขึ้นกว่าเดิม จนอดจะบ่นฝากแค้นไม่ได้ “ไอ้ไก่บ้า ข้าจะจับเจ้าตุ๋นกินสักวัน!”

สี่เอ๋อร์เหลือบมองคนพูด เห็นเจ้าตัวมีสีหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวก็ถามขึ้นด้วยความกังวล “แบบนี้จะไม่เป็นไรจริงๆ หรือ หากถูกจับได้ขึ้นมา พวกเราจะตายอย่างน่าอนาถกว่าเดิมอีกนะ”

“ฮ้าววว…” อวี้ฉีหลินอ้าปากหาวยาวเหยียด หันไปมองสี่เอ๋อร์ด้วยสีหน้าเรียบเฉยแล้วปลอบ “วางใจเถิด รอให้ออกไปได้ก่อน พวกเราจะฉวยโอกาสที่คนสกุลจินออกันเยอะๆ รีบหนีไป ไม่ถูกใครจับได้หรอกน่า อีกอย่างตอนนี้พวกเราก็ออกไปไหนไม่ได้ด้วย”

สี่เอ๋อร์มองหญิงตรงหน้าอย่างซาบซึ้งแกมเป็นห่วง “แต่คืนพรุ่งนี้เป็นคืนส่งตัวเข้าหอ หากเจ้าถูกคุณชายจิน…จะทำอย่างไรเล่า”

“ก็เพราะอย่างนี้นี่แหละ…” อวี้ฉีหลินฉีกยิ้มสดใส “ของที่ข้าให้เจ้าเตรียมเป็นอย่างไรบ้าง”

“เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว!” สาวใช้เดินมาที่หน้าเตียงแล้วดึงห่อผ้าขนาดใหญ่จากใต้เตียงยกขึ้นมาวางบนโต๊ะ “อะไรที่พอใส่มาได้ข้าก็ใส่มาทั้งหมด ดูเอาแล้วกันว่าใช้ได้หรือไม่”

ห่อสัมภาระอย่างนั้นหรือ

อวี้ฉีหลินยืนตาค้างมองห่อผ้าขนาดมหึมาที่สูงเกือบเท่าเด็กอายุเจ็ดแปดขวบแล้วกลืนน้ำลายลงคอ แบบนี้…แบบนี้ข้าจะแบกไหวได้อย่างไรเล่า

“ทะ…ทำไมมันมากมายถึงเพียงนี้” นางเอื้อมมือไปแกะห่อผ้า “ไหนดูซิ”

จากนั้นก็ตัวแข็งเป็นหินไปทันที

หัวตากระตุกริกๆ นางอ้าปากหวอ หยิบของออกมาจากในนั้นแล้วโบกตรงหน้าสี่เอ๋อร์ทีละอย่าง “พี่สาว เจ้าเอามีดทำครัวมาทำไมกัน!? ข้าไม่ได้จะไปฆ่าใครเสียหน่อย มิหนำซ้ำยังใหญ่โตมโหฬารขนาดนี้ จะให้ซ่อนไว้ตรงไหน”

อีกฝ่ายถามด้วยความฉงน “มีดนี่พกติดตัวไม่สะดวกหรือ”

อวี้ฉีหลินอับจนด้วยคำพูด นางควานมือลงไปในห่อผ้าต่อ ทว่าของที่จะยกขึ้นมาหนักเสียจนนางแทบสะดุดล้มหน้าคะมำ

นางยกของชิ้นนั้นขึ้นมาพร้อมอ้าปากค้าง แล้วเงยหน้ามองสี่เอ๋อร์อย่างตกตะลึง “แม่เจ้า เจ้าจะเอาฟักทองไว้ทำกับข้าวกินหรือ”

สาวใช้หน้าแดงไปถึงใบหู “กะ…ก็เจ้าบอกเองว่าอยากได้ของที่มีพลังโจมตีสูง”

“พะ…พลังโจมตี? ฟักทองมีพลังโจมตีด้วยหรือไร” อวี้ฉีหลินแค่นยิ้ม ทว่าอีกฝ่ายทำท่าขึงขังจริงจัง แล้วนางจะใจร้ายตำหนิลงได้อย่างไรกันเล่า

“เอาล่ะๆๆ ไหนดูต่อซิ ห่อใหญ่ขนาดนี้ ต้องมีของที่ใช้ได้บ้างล่ะน่า”

สี่เอ๋อร์พยักหน้ามองนางอย่างคาดหวัง

“นี่มันอะไร ม้านั่งแบบพับได้?”

“อื้ม เผื่อวิ่งหนีจนเหนื่อยจะได้นั่งพัก นอกจากนั้นยังใช้ต่างอาวุธได้ด้วย!”

“เข้าใจแล้ว…เจ้านี่ช่างรอบคอบดีจริงๆ…” นางส่ายหน้าดิก “โอ๊ย! อะไรตำมือข้า! นะ…นะ…นี่มัน…เจ้าเอาทุเรียนลูกเบ้อเริ่มขนาดนี้มาทำไม ไม่เหม็นหรือ”

“ข้าเตรียมตามที่เจ้าบอกอย่างไรล่ะ! ทุเรียนเอาไว้กินแก้หิวได้ แถมยังเป็นอาวุธที่ฉกาจฉกรรจ์นัก!”

“ขะ…เข้าใจแล้ว…ถ้าเช่นนั้นช่วยอธิบายหน่อยซิ ว่าเจ้าใส่เต่าทั้งตัวมาด้วยทำไม”

“เจ้านี่ชื่ออาวั่ง…อาวั่งอยู่กับข้ามาหลายปีแล้ว…อีกอย่าง…อีกอย่าง…กระดองของอาวั่งแข็งมาก ใช้ป้องกันตัวได้”

“ขอทีเถิด…” อวี้ฉีหลินเอามือกุมขมับ “เจ้าใช้เต่าป้องกันตัวเนี่ยนะ?”

“อืม…”

นางส่ายหน้าอย่างอ่อนใจแล้วลงมือสำรวจต่อพลางโยนของไม่มีประโยชน์ไปข้างหลัง

จำนวนของในห่อผ้าร่อยหรอลงทุกที อวี้ฉีหลินก็เหนื่อยขึ้นทุกทีเช่นกัน

หลังจากโยนของชิ้นสุดท้ายออกจากห่อผ้า นางก็รู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรงยิ่งนัก

“เจ้านี่ยอดเยี่ยมจริงๆ เตรียมของไว้ตั้งมากมายขนาดนี้ แต่ใช้ไม่ได้เลยแม้แต่อย่างเดียว!” นางมองอีกฝ่ายอย่างเลื่อมใส

“ถ้าเช่นนั้นจะทำอย่างไรกันดีล่ะ” สี่เอ๋อร์ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้

“เฮ้อ…” อวี้ฉีหลินทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง นิ่งคิดสักครู่ก็บรรลุ “ไปลองถามที่โรงครัวดูซิว่ามีพริกไทยป่นหรือไม่ เอาที่เผ็ดที่สุดเลยนะ!”

“ได้ๆ!” สี่เอ๋อร์รับคำแล้วจะเดินออกจากห้องไป

เสียงเคาะประตูพลันดังขึ้นในจังหวะนั้น ตามมาด้วยเสียงของเหล่าหญิงสูงวัย “สี่เอ๋อร์ คุณหนูตื่นหรือยัง พวกเราจะเข้าไปช่วยหวีผมแต่งตัวให้…”

ประโยคนั้นทำให้สี่เอ๋อร์ร้อนใจดังไฟลน ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปทางหญิงสาวอีกคนในห้อง “ทำอย่างไรดี! ทำอย่างไรดี…”

“ส่งเสียงตอบไปก่อน!”

“อ้อ…” สาวใช้รีบหันไปทางประตูแล้วร้องบอก “ทราบแล้ว! ทราบแล้ว! คุณหนูตื่นแล้วล่ะ!“ ก่อนจะหันกลับมาถามด้วยสีหน้าอับจนหนทาง “ทีนี้ทำอย่างไรต่อ”

“เอาอย่างนี้…” อวี้ฉีหลินบอก “เลือกคนที่ไม่เคยเห็นหน้าคุณหนูของเจ้าเข้ามา บอกว่าเมื่อคืนข้าเสียขวัญมาก ไม่อยากเจอคนเยอะๆ”

“อืม ได้!” สี่เอ๋อร์พยักหน้า ก่อนจะรีบเดินออกไปพาหญิงสูงวัยเข้ามาหนึ่งคน คนอื่นๆ ที่เหลือกันเอาไว้ด้านนอก

หญิงสูงวัยคนนี้เป็นคนของสกุลจิน รู้จักกฎเกณฑ์มารยาทดียิ่งว่าอะไรควรไม่ควร พอเข้ามาข้างในก็ประคองอวี้ฉีหลินไปนั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้งแล้วลงมือแกะผมมวยยุ่งเหยิงให้นาง

เรือนผมสลวยสยายตัวลงมา

“ความจริงพวกเราหาคนมาทำผมให้คุณหนูอยู่แล้วล่ะเจ้าค่ะ แต่เห็นคุณหนูอยากอยู่เงียบๆ ข้าจึงเข้ามาคนเดียว” หญิงสูงวัยกล่าวพลางหยิบหวีไม้ออกมาจากกล่องลวดลายวิจิตร หลังจากที่เงียบไปครู่หนึ่งก็พูดเสริมขึ้นมาอีก “ถึงข้าจะมีลูกหลานไม่มากเท่านาง แต่ก็มีครบทั้งลูกชายลูกสาว สมาชิกครอบครัวสี่รุ่นอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน ขอคุณหนูโปรดอย่าได้คิดมากนะเจ้าคะ”

“อืม” อวี้ฉีหลินพยักหน้ายิ้มๆ “ข้าไม่คิดมากหรอก!” จะคิดมากไปทำไมกันเล่า อีกไม่นานข้าก็จะหนีออกมาแล้ว ไม่ได้จะแต่งงานกับเขาจริงเสียหน่อย หึ ขอแค่ได้เห็นสิ่งนั้น ข้าจะเผ่นแน่บอย่างรวดเร็วเลยทีเดียว!

“ดีแล้วล่ะเจ้าค่ะ…” หญิงสูงวัยยิ้มละไมพลางใช้หวีสางผมนางแล้วร้องเพลงมงคลไปด้วย “จรดหวีคราแรก ขอจงสุขีมั่งคั่งไม่ทุกข์ร้อน จรดหวีคราสอง ขอจงแข็งแรงไม่เจ็บไม่ไข้…”

ไม่รู้เพราะเหตุใด พอเห็นภาพสะท้อนของตัวเองในกระจก อวี้ฉีหลินจึงได้รู้สึกประดักประเดิดขึ้นมา

ปากแดงแต้มชาด คิ้วโก่งเรียว มือน้อยซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อ หัวใจเต้นตึกตักเพราะต้องเข้าพิธีวิวาห์แทนคนอื่น

ดวงหน้าเนียนผ่อง ศีรษะประดับปิ่นหยก หมวกเจ้าสาวครอบลงมาพลิกผันชะตาไปตลอดกาล

 

ท้องฟ้ายามรุ่งสางเป็นสีน้ำเงินใสราวกับผลึกแก้ว แสงอรุณส่องลงไปในคูคลอง ย้อมยอดคลื่นเล็กๆ ให้เป็นสีทองระยับงามจับตา

ทัศนียภาพทางน้ำของเมืองหลวงงามขึ้นชื่อ เดิมทีทิวทัศน์ริมฝั่งน้ำก็ตระการตามากอยู่แล้ว มาเวลานี้ยังครึกครื้นไปด้วยเสียงรื่นเริงของมโหรี พลอยทำให้อารมณ์ของผู้คนสดชื่นแจ่มใสไปด้วย

ขบวนเจ้าสาวที่แต่งตัวด้วยอาภรณ์สีสันสดใสประโคมดนตรีเดินเลียบคลองไปยังคฤหาสน์สกุลจินอย่างคึกคัก

“แม่นาง…เอ๊ย ไม่ใช่! คุณหนู ท่านคิดจะหนีไปเมื่อไร” ระยะทางไปคฤหาสน์สกุลจินสั้นลงมากเท่าไร สี่เอ๋อร์ก็ยิ่งร้อนใจเท่านั้น นางแอบกระซิบถามอวี้ฉีหลินที่นั่งอยู่ในเกี้ยวเจ้าสาวเบาๆ

“บอกแล้วอย่างไรล่ะว่ายังไม่ใช่ตอนนี้!” อวี้ฉีหลินฉวยโอกาสเลิกผ้าคลุมหน้า แง้มม่านหน้าต่างมองออกไปนอกเกี้ยว

“จะถึงอยู่แล้วนะ ต้องเป็นตอนไหนถึงจะหนีได้กันแน่!” สี่เอ๋อร์ถามอย่างร้อนรน

“แล้วเจ้าว่าตอนนี้จะหนีไปได้อย่างไร” อวี้ฉีหลินย้อนถามอย่างอ่อนใจ “ดูเอาเถิด ข้านั่งอยู่ในเกี้ยว มีคนรายล้อมรอบด้าน ข้าเหาะเหินเดินอากาศได้เสียเมื่อไร จะให้หายวับไปท่ามกลางสายตาผู้คนก็ไม่ได้อีก”

“ฮือ…” คนฟังครางในคออย่างท้อแท้พลางเหลือบมองรอบตัว อยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้หนีไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ “แล้วทำอย่างไรกันดี”

“ไว้ให้ถึงคฤหาสน์สกุลจินก่อนค่อยว่ากัน” อวี้ฉีหลินนิ่งคิดเล็กน้อยแล้วพูดต่อ “พอไหว้ฟ้าดินเสร็จเมื่อไร ผู้คนก็ผ่อนคลายกันแล้ว คนที่คอยเฝ้ายามก็ลดน้อยลง พวกเราหนีไปตอนนั้นก็แล้วกัน!”

“จริงหรือ” สี่เอ๋อร์ผงะ แต่ลองตรองดูก็พบว่าเป็นความคิดที่เข้าท่า จึงได้พยักหน้าเห็นพ้อง “เจ้าต้องพาข้าหนีไปด้วยนะ”

“วางใจได้เลย!” อวี้ฉีหลินปลอบอีกฝ่าย

“ว้าย ถึงแล้วนี่นา รีบเอาผ้าคลุมหน้าลงเร็วเข้า” สาวใช้ดึงม่านหน้าต่างลงทันที

“หา? ถึงเร็วขนาดนี้เชียว” อวี้ฉีหลินเองก็ดึงผ้าคลุมหน้ามือเป็นระวิง

ไม่รู้เพราะเหตุใดอยู่ๆ นางก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“ถึงแล้วๆ!”

“มาแล้วๆ!”

“จุดประทัด!”

เสียงประทัดอึกทึกดังรัวขึ้นมาหลังประโยคนั้น อวี้ฉีหลินเงี่ยหูฟังเสียงเอะอะนอกเกี้ยวพลางบีบมือทั้งสองข้างเข้าหากัน นางจึงเพิ่งรู้สึกว่าฝ่ามือของตนชื้นไปด้วยเหงื่อ

จินหยวนเป่าเดินย่ำเสียงประทัดออกมาจากประตูใหญ่ของคฤหาสน์สกุลจิน ดูหล่อเหลาเป็นพิเศษในชุดเจ้าบ่าวเอี่ยมอ่อง สวมหมวกหยกมันแพะกับรองเท้าแพรปักลายเมฆทอง ตรงเอวคาดเข็มขัดประดับหยกสีหมึก ตัดกับชุดเจ้าบ่าวสีแดงสดได้อย่างเตะตา ขับเน้นช่วงเอวสอบของเขาให้ดูโดดเด่นยิ่งกว่าเดิม

ทุกอากัปกิริยาสง่างามน่ามอง

เสียแต่ใบหน้าหล่อเหลากลับไม่ฉายความยินดีให้เห็นแม้เพียงน้อยนิด หัวคิ้วขมวดมุ่น มุมปากหลุบลงเล็กน้อย ดูอย่างไรก็เหมือนรำคาญใจมากกว่า

หลิ่วเหวินเจายืนรอรับขบวนเจ้าสาวอยู่ตรงหน้าประตู พอเห็นลูกพี่ลูกน้องเดินหน้าตึงออกมาก็แค่นยิ้ม ก่อนจะซ่อนยิ้มนั้นอย่างรวดเร็วแล้วเดินเข้าไปหาจินหยวนเป่าอย่างนอบน้อม คลี่ยิ้มนุ่มนวลดุจสายลมฤดูใบไม้ผลิแทน “หยวนเป่า ยินดีด้วยที่วันนี้ได้แต่งหญิงงามเข้าตระกูล ถือเป็นวาสนาของคฤหาสน์สกุลจินของเราจริงๆ!”

อีกฝ่ายค่อยๆ เหลือบตาขึ้นมองเขาอย่างเฉยชาพลางหยักมุมปากขึ้นน้อยๆ เป็นรอยยิ้มเยียบเย็น “สำหรับเจ้าถือเป็น ‘วาสนา’ แต่สำหรับข้า อาจไม่ใช่อย่างนั้น!”

พ่อบ้านหนุ่มรีบค้อมกายถอยหลังไปก้าวหนึ่งแล้วก้มศีรษะ “เหวินเจามิบังอาจ!” ทว่าใบหน้าที่ก้มต่ำสะท้อนความริษยาอยู่เบาบาง

“หึ หลิ่วเหวินเจา พวกเราเติบโตขึ้นในคฤหาสน์สกุลจินอันหรูหรายิ่งใหญ่แห่งนี้ด้วยกันมาตั้งแต่เล็ก ข้ารู้ดีว่าเจ้าต้องการอะไร แต่เจ้าอาจไม่รู้ก็ได้ว่าข้าต้องการอะไร” จินหยวนเป่าหรี่ตามองอีกฝ่าย

หลิ่วเหวินเจาเงยหน้าขึ้นด้วยหัวคิ้วขมวดมุ่น แล้วเอ่ยผ่านน้ำเสียงจริงใจที่สุด “เหวินเจาปรารถนาแค่ได้ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ไม่ให้ผิดต่อความเมตตาของฮูหยิน ตอบแทนบุญคุณของคุณชาย”

“หึ” จินหยวนเป่าแค่นยิ้มแล้วค่อยๆ ถอนสายตาจากคนตรงหน้าไปหาขบวนเจ้าสาวที่ใกล้เข้ามาทุกทีแทน “ปากอย่างใจอย่าง หลิ่วเหวินเจา หน้ากากที่สวมอยู่มันคงติดเป็นเนื้อเดียวกับผิวหน้าเจ้าไปแล้วสินะ” พูดจบก็เดินลงไปตามบันได

ทิ้งให้หลิ่วเหวินเจาชะงักอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าประดักประเดิด ความอำมหิตในแววตาอัดแน่นขึ้นทุกที จากนั้นเขาก็ก้าวตามไปติดๆ แล้วเดินไปยืนข้างกายเจ้าบ่าว ประกาศเสียงก้องกังวาน “รับขบวนเจ้าสาว!”

แม่สื่อรีบถลาออกมายิ้มแย้มสดใส “เจ้าบ่าวถีบประตูเกี้ยว รับความมั่งคั่งเข้าตระกูล!”

จินหยวนเป่าเดินเข้าไปเงื้อเท้าถีบประตูเกี้ยวดังโครมอย่างไม่สนใจธรรมเนียม เล่นเอาอวี้ฉีหลินที่นั่งอยู่ในนั้นถึงแก่สะดุ้ง

พฤติกรรมดุดันบุ่มบ่ามเช่นนั้นทำให้พวกแม่สื่อหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย ทว่าไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่ท่องประโยคมงคลต่อไป “เจ้าสาวลงจากเกี้ยว พ่อแม่สามียิ้มแย้มยินดี!”

ประโยคนั้นบอกอวี้ฉีหลินให้รู้ว่าจะต้องลงจากเกี้ยวแล้ว ดังนั้นนางจึงยื่นมือออกไปตามธรรมเนียม รอให้เจ้าบ่าวช่วยจูง

จินหยวนเป่ามองมือเรียวขาวเนียนกับปลายเล็บสีแดงแล้วขมวดคิ้วนิ่งงันอยู่ครู่หนึ่ง ถึงค่อยยื่นมือออกไปจับชายแขนเสื้ออีกฝ่ายไว้ จูงเดินเข้าคฤหาสน์โดยไม่หันมามอง

เสียงโห่ร้องยินดีของผู้คนที่ยืนมุงดูดังเซ็งแซ่ขึ้นทันที

จังหวะนั้นเองหลิ่วเหวินเจาเหลือบตามองอากุ้ยที่ยืนปะปนกับฝูงชนอยู่ไกลๆ พออากุ้ยส่งสายตารู้กันมาให้ เขาก็หรี่ตาพยักหน้าช้าๆ จากนั้นก็หันไปมองคู่บ่าวสาวที่กำลังเดินเข้าประตูคฤหาสน์ แล้วแสร้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงรื่นเริง “มงคลชื่นสุขมาสู่ตระกูล ข้ามกระถางไฟ จุดประทัด!”

กระถางไฟใบหนึ่งถูกยกมาวางไว้ตรงหน้าประตู จินหยวนเป่าจูงเจ้าสาวเดินเข้าไปหากระถาง เสียงประทัดเลื่อนลั่นดังขึ้นพร้อมกัน

ผู้คนโห่ร้องดังสนั่นยิ่งกว่าเก่า

ทันใดนั้นประทัดแบบระเบิดสองครั้งหกดอกก็พุ่งเข้าใส่เจ้าสาวจากทิศทางต่างๆ กัน!

อวี้ฉีหลินใช้ผ้าคลุมศีรษะเอาไว้ จึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

สี่เอ๋อร์ที่เดินตามมาข้างหลังตาไวมองเห็นเข้าก็หวีดร้องเสียงหลง “ตายแล้ว! คุณหนู ระวังประทัดเจ้าค่ะ!”

จินหยวนเป่าหันไปมองข้างหลังเมื่อได้ยินดังนั้น เขาดึงอวี้ฉีหลินเข้ามาไว้ในวงแขนอย่างว่องไว ไร้ซึ่งอาการลังเล ใช้ร่างตัวเองปกป้องนางตามสัญชาตญาณแล้วหมุนตัวหลบประทัด

ประทัดหกดอกระเบิดตัวขึ้นข้างหลังสองหนุ่มสาวพร้อมกัน

ท้องฟ้ายามรุ่งสางยังขมุกขมัวอยู่บ้าง ภายใต้แสงอรุณฉาย ประกายไฟหลากสีจากประทัดก่อเกิดเป็นฉากหลังเรืองรอง ทำให้คู่บ่าวสาวยิ่งดูงดงามจับตาเป็นพิเศษ

อวี้ฉีหลินไม่เข้าใจสักนิดว่าเกิดอะไรขึ้น รู้เพียงแต่ถูกใครบางคนกระชากจนเซถลาเข้าไปอยู่ในอ้อมอกอบอุ่น

จากนั้นโลกทั้งใบก็เหมือนหมุนติ้ว จังหวะที่ผ้าคลุมศีรษะเปิดเผยอ สิ่งที่มองเห็นมีแต่ประกายไฟพรายพร่าง

แขกเหรื่อที่ห้อมล้อมผงะไปชั่วอึดใจหนึ่ง ก่อนจะโห่ร้องเซ็งแซ่อย่างถูกอกถูกใจ

เสียงปรบมือดังเกรียวกราว เสียงอุทานด้วยความยินดีดังขึ้นไม่หยุด ชะรอยทุกคนคงคิดว่าอุบัติเหตุเมื่อครู่เป็นรายการพิเศษที่จัดขึ้นเพื่อเพิ่มสีสันให้งานวิวาห์

จินหยวนเป่าเห็นว่าไม่มีอันตรายใดๆ แล้วก็ผลักหญิงสาวออกจากวงแขนตนโดยไม่รอช้า

อวี้ฉีหลินที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าเกิดอะไรขึ้นเซแซดๆ ไปอีกทาง

หลิ่วเหวินเจาที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุดรีบเข้ามาช่วยประคองนางไว้ไม่ให้ล้ม แต่แล้วพ่อบ้านหนุ่มก็มีอันต้องตกตะลึง

ผ้าคลุมศีรษะสีแดงเพลิงเผยอเปิดขึ้นมากกว่าครึ่ง ใต้พู่ไหมสีทองคือใบหน้านวลเนียน คิ้วโก่งดำขลับ ริมฝีปากแดงสดราวกับลูกไม้สุก และนัยน์ตาสุกใสส่องประกายระยับพราวดุจดวงดาวที่เวลานี้มองมาด้วยความตระหนกแกมประหลาดใจ

ดวงตาคู่นั้นเหมือนมีมนตร์สะกด เป็นราวกับกรงเล็บสัตว์ตัวน้อยที่ตะกุยหัวใจเขา

ทั้งคัน ทั้งป่วนปั่น และเจ็บนิดๆ…

สายตาที่จ้องเขม็งทำให้อวี้ฉีหลินรีบประคองตัวยืนตรงด้วยความประดักประเดิด

หลิ่วเหวินเจาได้สติกลับคืนมา เขาสัมผัสได้ว่าหัวใจเต้นระรัวอยู่ในอกขณะเอ่ยอย่างนอบน้อม “ต้องเสียขวัญแล้วนะขอรับ”

“กะ…เกิดอะไรขึ้น” นางรีบดึงผ้าคลุมศีรษะลงมาปิดหน้าเหมือนเดิม

สี่เอ๋อร์เดินฉับๆ เข้ามาพยุงคุณหนูกำมะลอของตนไว้ พอกำลังจะขยับปากพูด จินหยวนเป่าก็เดินหน้าบอกบุญไม่รับไปทางประตูเสียก่อน นางจึงดึงแขนเสื้อหญิงสาวพลางกระซิบเบาๆ “อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย”

“อืม” อวี้ฉีหลินพยักหน้าแล้วมองลอดชายผ้าคลุมศีรษะสีแดงลงไปเห็นรองเท้าหุ้มแข้งขลิบขอบทองคู่หนึ่งเดินเข้ามาหา นางจึงก้าวข้ามกระถางไฟเดินเข้าประตูคฤหาสน์สกุลจินอย่างรวดเร็วไร้ซึ่งความลังเล

“บ่าวสาวเดินเข้าประตู ครองคู่รักมั่นจนแก่เฒ่า!” แม่สื่อเอ่ยเอื้อนคำมงคล

อวี้ฉีหลินเดินตามรองเท้าหุ้มแข้งคู่นั้นเข้าไปข้างใน

เดินตามอยู่อย่างนั้นนานแค่ไหนไม่รู้ได้ รอบตัวเป็นอย่างไรก็มองไม่เห็น นางยิ่งหงุดหงิดงุ่นง่านขึ้นทุกที จึงบีบมือสี่เอ๋อร์ที่จับท่อนแขนตนเองช่วยพยุงเดินพลางกระซิบ “นี่ ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว เมื่อไรจะได้กินข้าวเสียที”

สาวใช้กวาดตามองรอบตัวตื่นๆ แล้วตอบกลับด้วยเสียงแบบเดียวกัน “กำลังหน้าสิ่วหน้าขวานยังจะกินอะไรเล่า ต้องเข้าพิธีก่อน!”

“เหนื่อยมาตั้งนาน กระทั่งข้าวเช้าก็ไม่มีให้กิน อย่างน้อยให้หมั่นโถวสักลูกก็ยังดี” อวี้ฉีหลินบ่นกระปอดกระแปด

“เดี๋ยวก็ได้กินน่า ทนหน่อย”

นางกลอกตางึมงำ “ช่างเถิด ข้าคิดหาทางเอาเองก็ได้”

ช่อแพรสีแดงสดถูกยื่นเข้ามาให้ในจังหวะนั้น นางเอื้อมมือออกไปรับพลางหลุบตามองรองเท้าหุ้มแข้งที่เดินช้าๆ อยู่ข้างหน้าแล้วสูดหายใจเข้าลึก เร่งฝีเท้าขึ้นไปเดินเคียงคู่กับเจ้าบ่าวที่ชะลอเท้ารอก้าวหนึ่ง

ห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์สกุลจินเต็มไปด้วยแขกเหรื่อและญาติมิตร คู่บ่าวสาวยืนคู่กันหน้าห้อง จวบจนผู้กำกับพิธีเอ่ยถ้อยคำมงคลเรียบร้อยแล้วก็ก้าวเข้าไปในโถงพิธี

จินฮูหยินในอาภรณ์หรูหรางามสง่านั่งเด่นอยู่ตรงตำแหน่งประธานด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม บ่งบอกว่าคาดหวังกับสะใภ้คนนี้ไว้สูง

ที่ยืนอยู่ข้างๆ คือหลิ่วเชี่ยนเชี่ยน อาภรณ์เจ้าสาวสีแดงสดใสบนร่างอวี้ฉีหลินทั้งบาดตาและบาดใจจนนางต้องลอบบีบมือตัวเองใต้แขนเสื้อพร้อมกัดฟันกรอด ใบหน้าบึ้งตึงไร้แววยินดี ยิ่งเห็นหลิ่วเหวินเจาเดินตามคู่บ่าวสาวเข้ามาข้างในก็ยิ่งโมโห จึงถลึงตาใส่เขาไปทีหนึ่ง

พ่อบ้านหนุ่มสัมผัสได้ถึงสายตาของน้องสาว เขาเลิกคิ้วมองนางพลางส่ายหน้าทอดถอนใจเบาๆ ก่อนจะเหลือบมองไปทางอวี้ฉีหลินที่มีผ้าคลุมศีรษะ

นึกไม่ถึงว่าคนทุเรศอย่างจินหยวนเป่าจะวาสนาดีถึงเพียงนี้…หึ เหมือนเอาดอกไม้งามไปปักในกองมูลวัวแท้ๆ!

ความจริงทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้ควรเป็นของเขา

มือที่อยู่ในชายแขนเสื้อค่อยๆ กำแน่นเป็นกำปั้น

ทันใดนั้นเขาก็เห็นมือเล็กขาวเนียนดุจหยกน้ำดีข้างหนึ่งยื่นออกมาจากชุดเจ้าสาวสีแดง แล้วคว้าขนมสองชิ้นบนโต๊ะที่ตั้งอยู่ข้างๆ ไปอย่างรวดเร็วปานฟ้าแลบ

ระหว่างที่คู่บ่าวสาวยืนรอผู้กำกับพิธีประกาศขั้นตอนอยู่นั้น เขาเห็นมือข้างเดิมยื่นออกมาอีกครั้ง ครานี้ไม่เพียงจะหยิบขนมเถาซู* สองชิ้น ถั่วเขียวกวนสามชิ้น วุ้นดอกกุ้ยสี่ชิ้น ยังคว้าหมั่นโถวเข้าไปในแขนเสื้อตั้งสองลูก!

หลิ่วเหวินเจายิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ผู้กำกับพิธีประกาศเสร็จแล้ว และหันมาพยักหน้าให้เขาพาบ่าวสาวเข้าโถงพิธี

ชายหนุ่มพยายามกลั้นยิ้มเดินไปยืนตรงกลางห้องโถง ประกาศด้วยเสียงอันดัง “วันนี้ฤกษ์งามยามดี สกุลจินกับสกุลเจียงได้เกี่ยวดองเป็นทองแผ่นเดียวกัน คู่บ่าวสาวเชิญก้าวเข้าโถงพิธี…”

จินหยวนเป่าดึงช่อแพรเชิดหน้าก้าวสวบๆ เข้าไป

อวี้ฉีหลินมัวแต่สาละวนอยู่กับการแอบกินขนมไม่ทันรู้สึกตัว สี่เอ๋อร์จึงรุนหลังให้นางเดินเข้าไปข้างใน

“หนึ่ง คำนับฟ้าดิน…”

เจ้าบ่าวค้อมกายต่ำ เจ้าสาวรีบทำตาม

* ขนมเถาซู เป็นขนมของจีนที่มีลักษณะคล้ายคุกกี้ ทำจากแป้ง ไข่ไก่ เนย วอลนัต จุดเด่นอยู่ที่ความกรอบ แห้ง และหวาน

ทันใดนั้นหมั่นโถวลูกกลมๆ ลูกหนึ่งก็กลิ้งออกมาจากแขนเสื้อข้างซ้ายของนาง!

จินหยวนเป่าผงะไปเล็กน้อย

สี่เอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างๆ ตาไว นางก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง แล้วอาศัยจังหวะที่ช่วยพยุงอวี้ฉีหลินให้ยืนตรงเตะหมั่นโถวไปอีกทาง

“สอง คำนับญาติผู้ใหญ่…”

จินฮูหยินนั่งสง่าอยู่บนเก้าอี้ประมุขด้วยรอยยิ้มอารี

ใบหน้ายิ้มแย้มมีความสุขของมารดาทำให้ความขุ่นมัวของจินหยวนเป่าลดเลือนไปเล็กน้อย เขาพรูลมหายใจเบาๆ แล้วหันไปคำนับนาง

อวี้ฉีหลินลนลานทำตามบ้าง ปรากฏว่าคราวนี้ขนมสองชิ้นร่วงลงมาจากแขนเสื้อข้างขวา!

สี่เอ๋อร์ปราดเข้าไปเตะหนึ่งในนั้นให้พ้นตา

เหตุการณ์เหล่านี้ตกอยู่ใต้สายตาหลิ่วเชี่ยนเชี่ยนและหลิ่วเหวินเจาที่เฝ้าดูพิธีการมาโดยตลอด

หลิ่วเชี่ยนเชี่ยนแค่นหัวเราะกับตัวเอง นี่น่ะหรือเข้าพิธีวิวาห์ พี่หยวนเป่าของนางแต่งงานกับนักเล่นกลหรือไร ขณะที่หลิ่วเหวินเจากลับรู้สึกว่าน่ารักอย่างบอกไม่ถูก

“สามีภรรยาคำนับซึ่งกันและกัน…”

จินหยวนเป่าก็เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เช่นกัน ใบหน้าของเขาในตอนนี้จึงดำคล้ำราวกับจะคั้นน้ำหมึกออกมาได้

นึกไม่ถึงว่าตอนที่อวี้ฉีหลินหันหน้ามาคำนับเขา อะไรขาวๆ จะร่วงตกลงมาอีกครั้ง!

ชายหนุ่มเอื้อมมือไปรับของสิ่งนั้นไว้ตามสัญชาตญาณ พอเพ่งตามองก็พบว่าเป็นหมั่นโถวที่ถูกแทะไปแล้วจนเหลือครึ่งก้อน เขารีบโยนมันทิ้งไปไกลลิบด้วยความขยะแขยง!

อวี้ฉีหลินแลบลิ้นเก้อๆ เมื่อเห็นจากชายผ้าคลุมศีรษะว่าหมั่นโถวที่ร่วงลงจากแขนเสื้อไปตกอยู่ในมือใหญ่

ตอนที่ต่างฝ่ายต่างค้อมกายคำนับกันและกัน ฝ่ายตรงข้ามก็ประชดนางด้วยเสียงกระซิบ “ชาติที่แล้วเจ้าอดอยากจนหิวตายหรือไร ถึงต้องพกเสบียงมาเข้าพิธีด้วย”

ถ้อยคำเสียดสีทำให้นางขมวดคิ้วโต้กลับบ้าง “ลองมาสวมหมวกหนักยี่สิบกว่าชั่งไว้บนหัวทั้งวันดูบ้างสิ”

“หึ” เจ้าบ่าวของนางแค่นหัวเราะขึ้นจมูก

หญิงสาวกลอกตาค้อนปะหลับปะเหลือก หึบ้าหึบออะไรกันเล่า คนอะไร อารมณ์แปรปรวนเหลือเกิน! คิดได้ดังนี้ก็ยิ่งหงุดหงิดขึ้นกว่าเก่า

พิธีการเสร็จสิ้นแล้ว นางใช้ข้อศอกสะกิดสี่เอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ พลางถาม “เมื่อไรถึงจะได้เข้าห้องหอเสียทีนะ”

ในห้องโถงเต็มไปด้วยเสียงคึกคักจอแจ ความจริงนอกจากสี่เอ๋อร์แล้ว ไม่น่าจะมีใครได้ยินเสียงถามเบาๆ ของนางอีก

แต่เรื่องบังเอิญเกิดขึ้นได้เสมอ!

เสียงอึงมี่ในห้องโถงแผ่วลงในจังหวะนั้น แขกเหรื่อหยุดคุยกัน รอฟังผู้กำกับพิธีประกาศว่าพิธีสิ้นสุดลงแล้ว คำถามของอวี้ฉีหลินจึงเป็นเสมือนเสียงเข็มตกในห้องเงียบกริบ เข้าหูทุกคนในที่นั้นอย่างชัดเจน

ญาติผู้หญิงสี่ห้าคนยกมือปิดปากหัวเราะคิก

จินหยวนเป่าเบิกตากว้างอ้าปากค้าง หน้าแดงก่ำเป็นลูกตำลึงสุก ก่อนจะหันไปถลึงตาใส่อวี้ฉีหลินอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ เสียดายที่อีกฝ่ายมีผ้าคลุมศีรษะเอาไว้ เลยมองอะไรไม่เห็นทั้งสิ้น

ประโยคเมื่อครู่ทำให้หลิ่วเชี่ยนเชี่ยนที่อยู่อีกด้านสุดที่จะทนอีกต่อไป นางทะลึ่งตัวลุกพรวด แต่ถูกพี่ชายที่ยืนอยู่ข้างๆ ดึงไว้อย่างทันท่วงที

เขาปรามเบาๆ “เชี่ยนเชี่ยน!”

น้องสาวหันขวับมามองอย่างหัวเสีย “น่าขายหน้าเป็นที่สุด! จะให้คนแบบนี้แต่งงานกับพี่หยวนเป่าได้อย่างไร!”

“นั่งลงเดี๋ยวนี้! ขนาดท่านอายังไม่พูด เจ้ากล้าพูดหรือ หุบปากไปเลยนะ!”

หลิ่วเชี่ยนเชี่ยนยอมนั่งลงอย่างเสียไม่ได้

แน่นอนว่าจินฮูหยินก็ได้ยินคำถามน่าขบขันเมื่อครู่เช่นกัน รอยยิ้มอารีบนใบหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย หัวคิ้วขมวดมุ่น แต่เพียงครู่เดียวก็ส่งสายตาไปให้ผู้กำกับพิธี ฝ่ายหลังเห็นแล้วรู้ว่าควรต้องทำอย่างไร จึงส่งเสียงประกาศ

“เสร็จสิ้นพิธี…บ่าวสาวเข้าห้องหอได้…”

แขกเหรื่อยิ้มแย้มพูดคุยกันอีกครั้ง กลบเกลื่อนบรรยากาศประดักประเดิดเมื่อครู่นี้ไปได้

พี่เลี้ยงเจ้าสาวกับสาวใช้กรูกันเข้ามารุมล้อมอวี้ฉีหลิน พาเดินไปยังเรือนด้านใน

ทั้งหมดคล้อยหลังไปไม่เท่าไร หลิ่วเชี่ยนเชี่ยนที่นึกอะไรได้ก็ลุกขึ้นเดินตามออกไปทางประตูด้านข้างอย่างเงียบเชียบ

หญิงต่างวัยหลายคนรุมล้อมอวี้ฉีหลินเหมือนดาวล้อมเดือน พานางเดินเข้าไปยังเรือนด้านหลัง

คฤหาสน์สกุลจินกินเนื้อที่กว้างขวาง เดินลัดเลี้ยวไปตามเฉลียงอยู่นานก็ยังไม่ถึงห้องหอเสียที

อวี้ฉีหลินเริ่มงุ่นง่านขึ้นมาอีกครั้ง นางหลุบตาลอดผ้าคลุมศีรษะออกไปมองชายกระโปรงสี่เอ๋อร์แล้วขมวดคิ้วถาม “สี่เอ๋อร์ สี่เอ๋อร์ อีกไกลแค่ไหน”

“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ทนหน่อยสิ อย่าเพิ่งพูดอะไร” ยิ่งใกล้ถึงห้องหอมากเท่าไร สี่เอ๋อร์ก็ยิ่งกระสับกระส่ายขึ้นเท่านั้น

“ฮึ่ย…” เจ้าสาวทำปากอูดลูบท้องกิ่วๆ ของตนพลางบ่น “ได้กินขนมไปแค่ไม่กี่ชิ้น หิวกว่าไม่ได้กินอะไรเลยเสียอีก! ทำไมสวนดอกไม้นี่ถึงได้ใหญ่โตนักนะ!”

สี่เอ๋อร์ใจไม่ดีอยู่แล้ว พอคนข้างตัวบ่นก็อดจะเอ็ดใส่ไม่ได้ “น่ารำคาญจริง ทนหน่อยสิ!” ทันใดนั้นนางก็เห็นด้วยความตาไวว่าหลิ่วเชี่ยนเชี่ยนกำลังเดินมาทางนี้ จึงรีบเปลี่ยนไปพูดด้วยน้ำเสียงปลอบโยนทันที “ทนหน่อยนะเจ้าคะคุณหนู เดี๋ยวก็ถึงแล้ว”

หลิ่วเชี่ยนเชี่ยนเดินบิดเอวนวยนาดเข้ามาตวัดตามองสี่เอ๋อร์อย่างดูถูก ก่อนจะแทรกตัวเข้าไปเบียดนางจนกระเด็นแล้วรับหน้าที่พยุงอวี้ฉีหลินแทน ทว่ามือบีบต้นแขนอีกฝ่ายเสียแน่น “พี่สะใภ้ เดี๋ยวข้าช่วยพยุงให้เอง! ในเมืองหลวงแห่งนี้สวนดอกไม้คฤหาสน์สกุลจินเราเป็นรองแค่วังหลวงเท่านั้น เชื่อว่าสวนดอกไม้คฤหาสน์สกุลเจียงคงไม่ใหญ่โตหรูหราเท่า ไม่แปลกหรอกที่จะเดินแล้วเหนื่อย…”

อวี้ฉีหลินรู้สึกได้ว่าท่อนแขนถูกบีบก็ทำท่าจะชักแขนออก ทว่าทำไม่สำเร็จ จึงแค่เอ่ยขอบคุณไปเรียบๆ

หลิ่วเชี่ยนเชี่ยนคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ พยุงเจ้าสาวเดินต่อไปได้สองสามก้าวก็แสร้งทำเป็นหวีดอุทาน “ว้าย พี่สะใภ้เดินระวังนะ”

ระวัง? ระวังอะไร

อวี้ฉีหลินทำความเข้าใจตามไม่ทัน แต่พลันรู้สึกว่าใครบางคนยื่นเท้าออกมาขัดขานาง มือที่ช่วยพยุงก็เปลี่ยนมาเป็นออกแรงผลักอย่างแนบเนียน

อย่างนี้นี่เอง! ความคิดแล่นปราด อวี้ฉีหลินแอบยิ้มแล้วแสร้งทำเป็นหวีดร้องพร้อมเซล้มไปทางคนพยุง หลิ่วเชี่ยนเชี่ยนที่หลบไม่ทันถูกชนเข้าอย่างจัง พร้อมกันนั้นรองเท้าสีแดงสดใสปักลายนกเป็ดน้ำคู่ก็ยื่นออกมาตรงหน้า พันขานางให้ล้มลงไปอย่างง่ายดาย

“ว้าย…”

หลิ่วเชี่ยนเชี่ยนเซถลาแบบตั้งตัวไม่ติด ตอนที่จวนเจียนจะล้มลงไปบนพื้น อวี้ฉีหลินก็คว้าแขนฉุดนางให้ยืนเต็มสองเท้า

“ระวังหน่อยนะ…” เจ้าสาวพยุงหลิ่วเชี่ยนเชี่ยนพลางหัวเราะเบาๆ “นั่นสิ สวนดอกไม้ที่บ้านข้าเล็กกว่านี้มากจริงๆ แถมยังไม่มีก้อนหินเกะกะขวางทางมากเท่านี้ด้วย เจ้าต้องระวังหน่อยล่ะ อย่ามัวแต่ห่วงพยุงข้าจนสะดุดล้มเสียเอง”

หลิ่วเชี่ยนเชี่ยนฟาดมือกระฟัดกระเฟียดที่พบว่าตัวเองเสียท่า จากนั้นก็หมุนตัวเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงจากไป

อวี้ฉีหลินอมยิ้มมองตามชายกระโปรงที่พลิ้วห่างออกไปแล้วยกข้อศอกขึ้นเล็กน้อย สี่เอ๋อร์รีบเข้ามาช่วยพยุงนางใหม่พร้อมกระซิบเบาๆ ข้างหู “เห็นว่านางเป็นหลานสาวของฮูหยิน เป็นลูกพี่ลูกน้องของคุณชาย เมื่อครู่นางจงใจขัดขาเจ้า”

“หึ…” เจ้าสาวเบะปากเหยียดหยันก่อนจะคลี่ยิ้มกระหยิ่มใจ “เก่งจริงก็ขัดขาข้าให้สำเร็จสิ เวลาอยู่บนเขาเอ๋อเหมย ข้ามีแต่แกล้งคนอื่น ไม่มีเสียล่ะที่จะปล่อยให้ใครแกล้ง ฝีมืออย่างนางยังห่างชั้นนัก คุณหนูลูกผู้ดีพวกนี้ช่างอ่อนหัดจริงๆ!”

 

ห้องโถงใหญ่คฤหาสน์สกุลจินเต็มไปด้วยบรรยากาศครึกครื้นชื่นมื่น ผิดกับความเงียบเหงาที่เรือนด้านหลังโดยสิ้นเชิง

เวลานี้กู้ฉางเฟิงที่เป็นหมอประจำตระกูลไม่อาจปลีกตัวไปร่วมฉลองได้ เพราะกำลังสวมชุดกันเปื้อนปรุงยาอยู่ในห้องสมุนไพรอย่างขะมักเขม้น

เขามองสมุนไพรจีนชนิดต่างๆ อย่างอิ่มเอมใจ รู้สึกว่าหากตัวเองสามารถใช้เวลากับพืชพรรณพวกนี้ไปได้ทั้งชีวิตจะถือเป็นความสุขสูงสุด แม้จะมีแต่สมุนไพรหงิกงอเหี่ยวแห้ง แต่…แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อเขาสักนิด!

ป้ากู้มารดาของเขาเลิกม่านหน้าประตูเดินเข้ามาข้างในแล้วถาม “ฉางเฟิง สมุนไพรที่สั่งเจ้าไว้ได้หรือยัง”

ชายหนุ่มก้มหน้าก้มตาง่วนอยู่กับสมุนไพรในมือต่อ พร้อมตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง “ได้แล้วขอรับ!”

“สมุนไพรนี่…” ป้ากู้เดินเข้าไปชะโงกดูผงสมุนไพรสีดำในมือลูกชายอย่างไม่ไว้ใจ “ใช้ได้ผลหรือ”

“ท่านแม่ อย่าเป็นห่วงไปเลย!” หมอหนุ่มมั่นอกมั่นใจในตัวเองยิ่งนัก “นานทีปีหนฮูหยินจะออกปากสั่งให้ข้าปรุงสมุนไพรทั้งที แล้วข้าจะกล้าประมาทได้อย่างไรเล่า ข้าตรวจทานตำราแพทย์มากมาย ใช้สมุนไพรตั้งสิบกว่าชนิดมาผสมกันถึงได้สำเร็จ”

“เอาล่ะๆ เข้าใจแล้ว!” ป้ากู้รีบขัดขึ้นมาเสียก่อน เพราะรู้นิสัยลูกชายดี “ห่อนี้ใช่หรือไม่”

พอเขาพยักหน้ารับรอง นางก็ฉวยห่อยาเดินฉับๆ ออกไป

กู้ฉางเฟิงรีบหยุดงานที่ทำอยู่ เช็ดไม้เช็ดมือเข้ากับชุดกันเปื้อนแล้วเดินตามมารดาพร้อมส่งเสียงเตือนอย่างห่วงใย “ท่านแม่ ถ้าใช้ยานี้กับม้าหรือวัวให้เพิ่มปริมาณเป็นเท่าตัว ถ้าใช้กับหมู หมา หรือกระต่ายก็ให้ลดปริมาณลงเท่าหนึ่ง ท่านยังไม่ได้บอกเลยว่าจะเอายาไปทำอะไรกันแน่”

ทว่าป้ากู้เดินเร็วจี๋ด้วยความใจร้อน ไหนเลยจะยังมีอารมณ์มาฟังที่เขาพูด

นางจ้ำเท้ามาถึงหน้าโถงจัดเลี้ยงอันแสนคึกคักแล้วลอบกวาดสายตามองเข้าไปข้างใน

จินหยวนเป่ากำลังยกจอกชนกับแขกคนหนึ่งแล้วยกขึ้นดื่มรวดเดียวหมด ใครชวนดื่มเท่าไรก็ไม่ปฏิเสธ

จินฮูหยินที่กำลังรับมือกับการร่วมดื่มสุราแสดงความยินดีที่อีกด้านของห้องโถงมองลูกชายอยู่ไกลๆ ความสงสารฉายชัดอยู่ในแววตา

ป้ากู้รีบเดินเข้าไปหานายหญิง ล้วงห่อผงยาในแขนเสื้อออกมาให้นางดูแวบหนึ่ง ก่อนจะยัดกลับเข้าไปใหม่อย่างรวดเร็วแล้วกระซิบ “ฮูหยิน เตรียมเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”

จินฮูหยินพยักหน้าด้วยท่าทางกระอักกระอ่วนใจ “เข้าใจแล้ว ไปจัดการเถิด”

“เจ้าค่ะ!” ป้ากู้ค้อมศีรษะรับคำ ก่อนจะเดินออกไปโดยไม่รอช้า

หลิ่วเหวินเจาเห็นจินฮูหยินท่าทางมีเลศนัยก็ขมวดคิ้วแล้วเดินเข้าไปหา ปั้นหน้ายิ้มแย้มปลอบโยน “ท่านอา หายกังวลได้แล้วขอรับ ดูสิว่าหยวนเป่ามีความสุขแค่ไหน”

จินฮูหยินเงยหน้ามองหลานชายก่อนจะทอดถอนใจ “มีแต่แม่อย่างข้าเท่านั้นที่รู้ว่าใจเขาทุกข์เพียงไร” พูดจบก็ลุกขึ้นเดินออกไปด้วยสีหน้าราบเรียบ

พ่อบ้านหนุ่มค่อยๆ หรี่ตาลงแล้วหันไปมองจินหยวนเป่าที่ดื่มสุราไม่ยั้ง ริมฝีปากหยักมุมขึ้นทีละน้อยเป็นรอยยิ้มร้ายกาจ “หยวนเป่า อย่างเจ้าก็เรียกทุกข์ได้ด้วยหรือ ข้าจะทำให้เจ้าได้รู้ซึ้งเองว่าทุกข์ที่แท้จริงเป็นเช่นไร”

 

ป้ากู้ยืนรอตรงเฉลียงทางเดินที่ทอดเชื่อมระหว่างโถงจัดเลี้ยงกับห้องหอเงียบๆ

จวบจนสาวใช้คนหนึ่งยกชามน้ำแกงเดินผ่านมา นางก็รีบเข้าไปดักหน้าแล้วถาม “นั่นจะยกไปไหน”

“เรียนท่านป้ากู้ ฮูหยินสั่งให้ยกน้ำแกงไปไว้ให้คุณชายดื่มแก้เมาที่ห้องหอเจ้าค่ะ”

“ส่งมาให้ข้า เดี๋ยวข้าจัดการเอง” ว่าพลางรับถาดมาจากมืออีกฝ่าย

สาวใช้ไม่กล้ามีความเห็นเป็นอื่น พอส่งถาดไปให้เรียบร้อยแล้วก็เดินกลับไปแต่โดยดี

เมื่ออีกฝ่ายเดินไปไกลแล้ว ป้ากู้ก็มองซ้ายมองขวาจนแน่ใจว่าปลอดคน ถึงค่อยล้วงห่อยาจากในแขนเสื้อออกมาเทผงยาสีดำลงไปในชามแกงอย่างรวดเร็ว

อาฝูประคองจินหยวนเป่าที่ดื่มจนเมาแอ๋เดินซวนเซหัวทิ่มหัวตำมาทางนี้พอดี

บ่าวคนสนิทพยายามช่วยพยุงเจ้านายเดินอย่างสุดความสามารถ “คุณชาย ช้าหน่อยขอรับ!”

“มะ…ไม่ต้องมายุ่ง!” เจ้าบ่าวในคืนนี้ตวาดลิ้นคับปาก “ขะ…ข้า…วันนี้…เป็นวันมงคล ข้า…ข้าอยากดื่มเยอะๆ! ดื่ม…ดื่มอีกเยอะ!” พูดจบก็ผลักบ่าวออกจากตัวโดยแรง แล้วเดินตุปัดตุเป๋ไปทางห้องหอเอง

“คุณชาย รอบ่าวด้วย…”

ป้ากู้รีบปราดเข้าไปหา “คุณชาย ข้ากำลังจะยกน้ำแกงไปให้อยู่พอดีเชียว”

จินหยวนเป่าชะงักเท้า คว้าชามน้ำแกงขึ้นมาแหงนหน้าดื่มรวดเดียวหมดโดยไม่แม้แต่จะเหลือบตามอง จากนั้นก็เขวี้ยงชามทิ้ง

“เอ่อ…” หญิงสูงวัยหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย

“จะให้ข้าเข้าห้องหอไม่ใช่หรือ หลีกไปให้หมด!” ชายหนุ่มผลักนางออกอย่างหงุดหงิดแล้วเดินดุ่มๆ ไปทางห้องหอ

ภายในห้องหอเวลานี้ สี่เอ๋อร์เดินวนไปวนมาด้วยความร้อนใจเหมือนแมลงวันตาบอด

“ขอร้องล่ะ…เลิกเดินเสียทีได้หรือไม่ เจ้าเดินวนไปวนมาจนข้าเวียนหัวแล้วนะ!” อวี้ฉีหลินที่เลิกผ้าคลุมหน้าขึ้นเองเรียบร้อยแล้วนั่งเท้าคางอยู่ตรงขอบเตียง นางรู้สึกเหมือนศีรษะตัวเองหนักขึ้นอีกหลายสิบชั่ง ส่วนอีกมือหยิบขนมส่งเข้าปากเคี้ยวอย่างเบื่อๆ

“พอที ข้าทนไม่ไหวแล้ว!” สี่เอ๋อร์หมุนตัวมาตบโต๊ะ แล้วพูดกับหญิงอีกคนด้วยเสียงอันดัง “รีบหนีกันดีกว่า พวกนั้นจะมาแล้วนะ!”

อวี้ฉีหลินยังคงเคี้ยวขนมช้าๆ เหมือนเดิม “ไว้ข้าทำธุระเสร็จเมื่อไรจะรีบไปทันที”

“แล้วเมื่อไรเจ้าถึงจะทำธุระที่ว่าเสร็จล่ะ”

“อืม…” นางนิ่งคิดเล็กน้อย “ช้าสุดไม่เกินหนึ่งคืน เร็วสุดครึ่งชั่วยาม”

ได้ยินเช่นนั้นสี่เอ๋อร์ก็ค่อยเบาใจขึ้นบ้าง “อย่าได้ลืมที่เจ้าเคยพูดไว้ล่ะ ถ้าจะไปก็ต้องพาข้าไปด้วย!”

“รู้แล้วล่ะน่า!” อวี้ฉีหลินส่งขนมชิ้นสุดท้ายเข้าปากแล้วปัดเศษที่อยู่บนมือทิ้ง “ของที่ข้าให้เตรียมล่ะ”

สาวใช้ล้วงห่อกระดาษจากในอกเสื้อออกมาส่งให้อย่างลังเล “ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเจ้าจะเอาไปทำอะไร…”

อวี้ฉีหลินรับมาสูดดม กลิ่นฉุนจัดที่โชยเข้าจมูกทำให้นางจามเสียงดังลั่น “ยอดเยี่ยม!”

“นี่เป็นพริกไทยป่นที่เผ็ดที่สุดในครัวแล้ว” สี่เอ๋อร์บอกยิ้มๆ

“ดีมากๆ!” อวี้ฉีหลินเดาะห่อพริกไทยป่นด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ถ้าจินหยวนเป่าคนนั้นกล้าทำอะไรล่ะก็ หึๆ ข้าจะช่วยเพิ่มรสชาติให้”

จังหวะนั้นเสียงวอนเว้าอย่างลำบากใจก็ดังขึ้นหน้าห้อง “คุณชายขอรับ คุณชาย ช้าหน่อยเถิด”

ตามมาด้วยเสียงเพียะเหมือนใครถูกตบ ก่อนจะเป็นเสียงอ้อแอ้ลิ้นคับปากแบบคนเมาของจินหยวนเป่า “นึกว่าข้าเมาจริงหรือไร นี่เจ้าคิดจะตามเข้าห้องหอด้วยอย่างนั้นหรือ”

“คุณชาย ฮูหยินให้บ่าวคอยเฝ้าท่านให้ดี”

“เฝ้าข้า?” ผู้เป็นนายแค่นเสียงขึ้นจมูกแล้วตวาด “ไสหัวไปเดี๋ยวนี้! ถ้ายังมาเสนอหน้าอีก ข้าจะลงโทษไม่ให้เจ้ากินข้าวสามวัน!”

“ขอรับๆๆ!”

คงเพราะโทสะของจินหยวนเป่ารุนแรงมากจริงๆ เสียงฝีเท้าหลายคู่ถึงได้ดังขึ้นหลังจากนั้น ดูเหมือนคนที่อยู่ข้างนอกจะแยกย้ายไปกันหมด

ตอนแรกสี่เอ๋อร์พอจะสงบสติอารมณ์ลงได้แล้ว แต่เสียงด้านนอกทำให้นางกลับมาร้อนรนใหม่ มือเล็กประนมเข้าหากันพลางขมุบขมิบปากภาวนา “ขอสวรรค์โปรดช่วยคุ้มครองอย่าให้เกิดเรื่องอะไร…อย่าให้เกิดเรื่องอะไรเลย…”

ประตูห้องพลันถูกถีบเข้ามาดังโครม

จินหยวนเป่าเดินตุปัดตุเป๋เข้ามาข้างใน

เขาตั้งใจจะถีบประตูแสดงอำนาจ นึกไม่ถึงว่าตัวเองจะเสียสมดุลจนแทบสะดุดล้ม จึงหน้าม้านไปทันที

สี่เอ๋อร์มัวแต่วิตกกังวลจนลืมเอาผ้าคลุมศีรษะลงให้อวี้ฉีหลิน!

ทั้งสามได้แต่มองหน้ากันไปมาอย่างประดักประเดิด ไม่มีใครพูดอะไร บรรยากาศชวนให้อึดอัดเป็นที่สุด

“แค่กๆ…” สุดท้ายจินหยวนเป่าก็มีปฏิกิริยาเป็นคนแรก เขาจับขอบประตูพยุงตัวยืนตรง ปรับสีหน้าแล้วเดินตัวตรงเข้ามาในห้อง

นั่นทำให้อวี้ฉีหลินได้สติกลับมาเช่นกัน นางรีบยืดหลังนั่งตรง วางท่าอย่างที่ตัวเองคิดว่าสมเป็นคุณหนูจากตระกูลใหญ่

สี่เอ๋อร์มองใบหน้าบูดบึ้งของเจ้าบ่าวหวาดๆ ริมฝีปากสั่นระริกด้วยความกลัว เขาดูเย็นชาเสียจนนางลืมย่อตัวคำนับไปสนิทใจ

จินหยวนเป่ามองอวี้ฉีหลินในอาภรณ์สีแดงกับหมวกเจ้าสาว แล้วปรายตาไปทางสี่เอ๋อร์ที่ยืนตัวสั่นพั่บๆ อยู่อีกด้านแวบหนึ่ง ก่อนจะสั่งเสียงแข็งอย่างนึกรำคาญ “ออกไป!”

สาวใช้เพิ่งนึกถึงมารยาทอันควรได้เอาตอนนี้ นางรีบย่อตัวคำนับแล้วหันไปทางเจ้าสาวด้วยสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ “คุณหนู…”

“มีอะไร!” จินหยวนเป่าตวาด

เดิมทีสี่เอ๋อร์ตั้งใจจะกำชับกำชาอวี้ฉีหลินสักสองสามคำ แต่เสียงตวาดของชายหนุ่มทำให้นางสะดุ้งเฮือก รีบทำตัวลีบเดินออกจากห้องด้วยความกังวล ทว่าไม่ลืมที่จะเอาผ้าคลุมศีรษะลงให้เจ้าสาว ไม่อย่างนั้นประเดี๋ยวจะเลิกผ้ากันอย่างไรเล่า!

จินหยวนเป่ามองสาวใช้เดินออกไปด้วยสายตาเย็นชา แล้วกระแทกประตูปิดโดยแรง

ฤทธิ์สุราที่ดื่มจนเมามายทำให้เขาเห็นสตรีใส่หมวกเจ้าสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้าเป็นเพียงภาพเลือนๆ แต่ไม่เป็นไรเลยสักนิด ไม่ใช่คนที่รัก จะรูปร่างหน้าตาอย่างไรก็ไม่สำคัญ

เขาแค่นยิ้มเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายทีละก้าว ส่ายหน้ากับตัวเอง สูดหายใจเข้าลึกทีหนึ่ง จากนั้นก็เลิกผ้าคลุมขึ้น

อวี้ฉีหลินเหลือบตาขึ้นมองพลางคลี่ยิ้มสดใสให้

เปลวเทียนสีแดงเต้นไหว ส่องแสงวอมแวม

หญิงสาวยิ้มอย่างผ่อนคลาย นัยน์ตาหยีโค้ง ท่าทางใสซื่อไร้จริตปรุงแต่ง ไม่ต่างจากเด็กน้อยไม่ประสาโลก

นางกะพริบตา นัยน์ตาพราวระยับเป็นประกายนุ่มนวล แผงขนตางอนยาวขยับช้าๆ เหมือนปีกนกน้อย…

แต่จินหยวนเป่ามองทะลุความสดใสซุกซนนั้นลงไปเห็นความเด็ดเดี่ยวที่ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลัง แล้วยัง…ความทุกข์ใจบางๆ

นัยน์ตาของนางเป็นนัยน์ตาสุขซ่อนทุกข์ ดูบอบบางน่าทะนุถนอม

บุปผานานาพรรณพลันแข่งกันบานสะพรั่งอยู่ในใจ ทั้งดอกท้อ ดอกสาลี่ ดอกเหมยสารพัด โรยกลีบนุ่มนวลลงมากระเพื่อมไหวในใจเขาเป็นระลอกคลื่น

ผ้าคลุมศีรษะสีแดงสดร่วงหลุดมือลงไปบนพื้น

จินหยวนเป่าพลันได้สติก้มลงไปเก็บ จังหวะที่โน้มตัวลง กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ลอยมาจากร่างแบบบางตรงหน้ายิ่งชักพาหัวใจให้ป่วนปั่น

ใบหน้าคมคายร้อนวูบวาบ เหงื่อออกมือจนชื้น รู้สึกคันยุบยิบในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก เหมือนมีแมลงเล็กๆ นับไม่ถ้วนมาไต่แล้วกัดใจอย่างไรอย่างนั้น

ลมเย็นกราวหนึ่งวูบเข้ามาจากทางหน้าต่างดับเปลวเทียนในห้อง พร้อมพัดหนังสือที่อยู่บนโต๊ะให้พลิกหน้าดัง ‘พั่บๆ’

จินหยวนเป่าได้ยินเสียงหัวใจตัวเองอย่างชัดเจน

“ตอนนี้…”

ริมฝีปากจิ้มลิ้มสีสดสวยเผยอออกน้อยๆ ดูเนียนนุ่มน่าสัมผัส…ชายหนุ่มรู้สึกลำคอแห้งผากอย่างบอกไม่ถูก

“เข้าหอได้แล้วใช่หรือไม่”

ที่แท้เสียงนางก็ไพเราะถึงเพียงนี้…

หือ? ไม่สิ! ช้าก่อน! นางพูดว่าอย่างไรนะ!?

จินหยวนเป่ามองหญิงสาวอย่างตกตะลึงจังงัง แล้วได้รับสายตาใสซื่อกลับมา เขาหูฝาดไปเองใช่หรือไม่

ระหว่างที่กำลังคิดเช่นนั้น ฝ่ายตรงข้ามก็จ้องตาเขาพลางถามอีกครั้งเสียงดังฟังชัด “เข้าหอได้แล้วใช่หรือไม่”

ทะเลดอกไม้ในใจกลายเป็นน้ำแข็งไปในพริบตา เหมือนมีกระแสไฟแล่นปราดเข้ามาเผาไหม้เขาจนเกรียมนอกนุ่มใน

ขณะที่ยังมัวแต่อึ้ง อวี้ฉีหลินก็ลุกขึ้นมาขยุ้มคอเสื้อเขาจับลากเดินไปอีกทาง

“จะ…จะ…จะ…เจ้าคิดจะทำอะไร” จินหยวนเป่าทั้งงุนงงทั้งประหลาดใจ หญิงคนนี้ไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนตั้งมากมายกันนะ!?

“หึๆ…” อวี้ฉีหลินยิ้มโฉดพร้อมเลิกคิ้ว “เข้าหออย่างไรล่ะ!”

“อะไรนะ” ชายหนุ่มชะงักค้าง หญิงคนนี้ไม่รู้จักสำรวมเอาเสียเลย! เขาผลักนางออกจากตัวแล้วถอยหลังกรูด

ปรากฏว่าอีกฝ่ายกลับกระโจนเข้าใส่เหมือนเสือร้าย จนเขาล้มลงไปบนเตียง!

เนตรงามสุกสกาวจ้องมองร่างที่อยู่ข้างใต้ ใบหน้าสองดวงห่างจากกันเพียงคืบจนต่างสัมผัสได้ถึงลมหายใจกันและกัน

นางเพิ่งเคยใกล้ชิดบุรุษเพศถึงเพียงนี้เป็นครั้งแรก อวี้ฉีหลินใจเต้นระรัวเหมือนมีกระต่ายน้อยจอมซนมากระโดดอาละวาดอยู่ในนั้น

นางผงะอึ้งอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะหลุบตาหนีแล้วเอื้อมมือลงไปถอดเสื้ออีกฝ่าย ทว่ามือเจ้ากรรมสั่นเสียไม่มีดี ใบหน้าก็แดงก่ำราวกับเมาสุรา

อาการประหม่าของนางไม่รอดพ้นสายตาจินหยวนเป่า

ที่แท้ก็มีดีแต่ท่า…

ชายหนุ่มเหยียดยิ้มชั่วร้าย ความคิดแล่นปราด ก่อนจะตวัดตัวขึ้นทาบทับนางเอาไว้ “อยากเข้าห้องหอถึงเพียงนี้เชียวหรือ เช่นนั้นข้าจะช่วยสงเคราะห์ให้แล้วกัน” พูดพลางทิ้งน้ำหนักตัวลงไปเบียดชิดจนสัมผัสได้ถึงความนุ่มละมุนของนาง

ระหว่างที่อวี้ฉีหลินว้าวุ่นทำอะไรไม่ถูก เขาก็พริ้มตาห่อปากโน้มหน้าลงไปหากลีบปากสีชมพูระเรื่อของนาง…

“ว้าย…” หญิงสาวผลักเขาออกจากตัวแทบไม่ทัน “ถอยไปนะ!”

พอเห็นนางแตกตื่นลนลาน เขาก็รู้สึกกระหยิ่มใจนัก พฤติกรรมยิ่งเลยเถิดหนักกว่าเดิม

มือใหญ่เอื้อมออกมาหาเนินอก อวี้ฉีหลินรีบผลักฝ่ายตรงข้ามออกจากตัวโดยแรง จากนั้นก็ฉวยโอกาสพลิกตัวลุกขึ้นจากเตียง

หึ มีดีแต่ท่าจริงด้วย จินหยวนเป่าหัวเราะในคอแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งพิงขอบเตียงมองนางอย่างรื่นรมย์

สายตาของเขาทำให้นางขนลุกเกรียว อวี้ฉีหลินพยายามฝืนยิ้มพลางรีบเดินเลี่ยงไปทางโต๊ะกลมเพื่ออยู่ห่างตัวอันตรายให้มากที่สุด

แต่…จะทำอย่างไรดีนะ หากไม่ถอดเสื้อผ้าเขาก็ไม่มีวันเห็น…

นางเดินวนโต๊ะสามสี่ก้าวแล้วเหลือบไปเห็นจอกสุรามงคลบนโต๊ะเข้าโดยบังเอิญ จึงบรรลุทางออกในทันที

ดวงตาสุกใสมองจินหยวนเป่ายิ้มๆ “พวกเรา…พวกเรายังไม่ได้ดื่มเหล้าคล้องแขนกันเลยนี่นา” พูดจบก็เดินเข้าไปรินสุราให้ตัวเองก่อน

ของเหลวสีอำพันช่วยเรียกความกล้าให้นางขึ้นอักโข อืม ต้องกินเหล้าย้อมใจก่อนนี่แหละ! คิดได้ดังนี้นางก็แหงนหน้าดื่มสุราในจอกจนไม่เหลือแม้แต่อึกเดียว

จินหยวนเป่ายิ้มบางๆ แล้วลุกขึ้นยืนรีดรอยยับบนเสื้อผ้าให้เรียบ ก่อนจะเดินเนิบๆ เข้าไปที่โต๊ะ อมยิ้มมองนางตลอดเวลา

ยิ้มบ้ายิ้มบออะไร! อวี้ฉีหลินอยากจะฝากรักไว้บนใบหน้ายิ้มระรื่นดวงนั้นสักหมัด แต่แน่นอนว่าไม่อาจทำอย่างที่คิด ได้แต่รวบรวมความกล้าสงบสติอารมณ์ มองเขาด้วยดวงตากลมโตพลางยกกาสุราขึ้น “ข้าพร้อมแล้ว มาเลย”

ชายหนุ่มเลิกคิ้วเอื้อมมือไปรับกาสุราจากนางแล้วปรามเนิบนาบ “ไม่ต้องรีบร้อน ได้ยินว่าคุณหนูเจียงเพียบพร้อมทั้งรูปโฉมและความสามารถ ร่ายรำได้งดงามน่าชมยิ่งนัก ถ้าอย่างไรเจ้าเต้นรำสร้างบรรยากาศก่อนสักหน่อย เดี๋ยวเราค่อยดื่มเหล้าคล้องแขนกัน”

“หา? ร่ายรำ?” คนฟังกลืนไม่เข้าคายไม่ออก รำหมัดมวยนั้นนางทำเป็น แต่ร่ายรำ…เคยฝึกเสียที่ไหนกันเล่า…

“ถูกต้อง ร่ายรำ” ฝ่ายชายยืนกรานหนักแน่น

อวี้ฉีหลินหางตากระตุกก่อนจะฝืนยิ้ม “เอ้า ก็ได้…”

นางค่อยๆ เดินไปกลางห้อง สะบัดแขนขายืดเส้นสาย ขณะพยายามเค้นสมองคิดทบทวนการร่ายรำที่เคยเห็นผ่านตา…

คิดอยู่นานสองนาน ภาพฉู่ฉู่ในหอเชียนเจียวก็วาบขึ้นมาในสมอง ไม่ว่าจะเอวอ้อนแอ้นอ่อนพลิ้ว ลีลาเยื้องย่างเย้ายวน…

บะ…แบบนี้พวกผู้ชายน่าจะชอบกระมัง

“จะเริ่มแล้วนะ!” นางยิ้ม

“ข้าจะตั้งตารอชม” จินหยวนเป่ารินสุราให้ตัวเองช้าๆ

“อะแฮ่ม” หญิงสาวกระแอมกระไอ สูดหายใจเข้าลึกทีหนึ่ง แล้วทบทวนท่ารำของฉู่ฉู่พลางบิดเอว

แต่คนที่ฝึกยุทธ์มาตั้งแต่เด็กอย่างนางไหนเลยจะร่ายรำเป็น นางเคลื่อนไหวโผงผางแข็งทื่อ ไร้ซึ่งความนุ่มนวล มองอย่างไรก็ดูขัดตาเหมือนตุ๊กตาไม้ที่ถูกเล่นจนพัง

ท่วงท่าเงอะงะของอวี้ฉีหลินยังความตกตกลึงจังงังมาให้คนที่คอยนั่งมอง คะ…คุณหนูเจียงคนนี้เต้นรำดีๆ กับใครเขาไม่เป็นสินะ

อีกอย่าง…ทะ…ท่ารำเช่นนั้นแม้จะดูเงอะงะ แต่มองอย่างไรก็เหมือนท่ารำของหญิงในหอเชียนเจียวทุกท่า! คุณหนูจากตระกูลใหญ่เช่นนางเต้นรำยั่วยวนแบบนี้เป็นได้อย่างไรกัน!?

ชายหนุ่มอึ้งจนเหม่อ ลืมมือที่ยังรินสุราค้างอยู่ของตนโดยสิ้นเชิง จอกสุราถูกเติมจนล้นออกมาเอ่อนองบนโต๊ะแล้วไหลลงมาบนตัวเขา

จวบจนรู้สึกเย็นตรงหว่างขา จินหยวนเป่าถึงเพิ่งได้สติกลับคืนมาแล้วลุกพรวดขึ้นยืน

ปฏิกิริยานั้นทำให้อวี้ฉีหลินมั่นใจในตัวเองมากขึ้น ด้วยทึกทักไปว่าอีกฝ่ายมองตนจนเคลิ้ม

ต้องวาดลีลาให้มากขึ้น! อ้อ แล้วก็ต้องชม้อยชม้ายตาด้วย!

สวรรค์รู้ดีว่าท่ารำแข็งทื่อเหมือนหุ่นไม้กับสายตาเหมือนเป็นโรคเส้นประสาทกระตุกของนางดูน่าขบขันเพียงไร

จินหยวนเป่าพูดไม่ออกโดยสิ้นเชิง ได้แต่ส่ายหน้าดิกแล้วยกจอกสุราขึ้นดื่มรวดเดียวหมด

ฉับพลันนั้นอวี้ฉีหลินก็เตะขาขึ้นสูงแล้วยกเท้าวางบนโต๊ะ!

จินหยวนเป่ามองตามตาค้างด้วยความอึ้ง

นางทำตาหวานใส่ จากนั้นก็ถลกชายกระโปรงขึ้นจนเห็นหน้าแข้งเรียวยาวขาวเนียน ริมฝีปากจิ้มลิ้มเผยอเจ่อแบบที่คิดเอาเองว่าดูเร้าอารมณ์ที่สุด

‘พรวด…’ สุราที่ยังไม่ได้กลืนลงคอถูกพ่นออกมาทั้งหมด

แบบนี้หมายความว่าอย่างไร อวี้ฉีหลินชะงักเล็กน้อย แต่แล้วก็ปรับความรู้สึกได้อย่างรวดเร็ว นางกระแซะกายเข้าไปใกล้พร้อมถามออดอ้อน “ข้ารำได้สวยหรือไม่”

คำถามนั้นกับกิริยาท่าทางของคนถามทำให้จินหยวนเป่าสำลักสุราอย่างควบคุมไม่อยู่อีกรอบ

นานทีเดียวกว่าอาการสำลักจะทุเลา เขาพยักหน้ายิ้มๆ “อืม ไม่เลวๆ!” พูดจบก็ดึงร่างอ้อนแอ้นเข้ามากอด จับนางนั่งตัก

“นี่เจ้า…” หญิงสาวดิ้นเล็กน้อย แล้วสังเกตเห็นทันทีว่าเขาทำหน้าไม่สบอารมณ์ จึงยอมสงบเสงี่ยมปั้นหน้ายิ้มแย้มให้

จินหยวนเป่าพยักหน้าอย่างพึงพอใจ มือใหญ่ยกขึ้นลูบไล้ผิวแก้มเนียนเกลี้ยง แล้วพลันบีบคางเรียวเล็กบังคับให้นางเงยหน้าขึ้นสบตากับตน

อีกครั้งที่อวี้ฉีหลินดิ้นขัดขืน แต่กลับถูกกอดแน่นขึ้น

เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้ใบหูเล็กจนริมฝีปากแทบแนบติดติ่งหูกลมนิ่มแล้วทอดเสียงนุ่มนวล “ท่ารำของเจ้าตรึงใจไม่รู้ลืมจริงๆ”

อวี้ฉีหลินรู้สึกเหมือนร่างกายแข็งทื่อลงไปตั้งแต่ต้นคอ

ปฏิกิริยาของนางทำให้ชายหนุ่มอารมณ์ดียิ่งกว่าเดิม เขาค่อยๆ โน้มหน้าเข้าไปหา หลับตาลง เตรียมจุมพิตกลีบปากคู่นั้นอีกครั้ง

จังหวะที่ริมฝีปากสองคู่จวนเจียนจะประกบกัน อวี้ฉีหลินก็ยกธงขาวใช้มือปิดปากเขาไว้ “หยุดนะ!”

จินหยวนเป่ายิ่งมั่นใจว่าหญิงสาวตรงหน้าทำเก่งไปอย่างนั้น ความจริงในใจทั้งกลัวทั้งประหม่า น่าขันเป็นที่สุด “ทำไมหรือ”

หญิงสาวสะบัดตัวหนีจากวงแขนของเขา “แหะๆ คือว่า…เอ่อ…คือ…จริงด้วย พวกเรายังไม่ได้ดื่มเหล้าคล้องแขนเลย!”

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

หน้าที่แล้ว1 of 15

Comments

comments

Jamsai Editor: