X
    Categories: ทดลองอ่านบุพเพอลวนมากกว่ารัก

ทดลองอ่านนิยาย บุพเพอลวน เล่ม 1 บทที่ 8

หน้าที่แล้ว1 of 11

บทที่ 8 สะใภ้คนใหม่เรียกรอยยิ้มแม่สามี

 

หลังอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว คู่บ่าวสาวรีบเดินออกไปยังห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์สกุลจินโดยไม่ให้บ่าวหรือสาวใช้ติดตาม

เมื่อคืนอวี้ฉีหลินมีผ้าคลุมศีรษะเอาไว้ เวลาเดินต้องอาศัยคนช่วยจูง แม้ระหว่างที่เดินมาตามทางจะสัมผัสได้ว่าคฤหาสน์สกุลจินกว้างใหญ่เพียงไร แต่ก็ยังตกตะลึงไม่สู้เมื่อได้มาเห็นด้วยสองตาตัวเองอยู่ดี

วันนี้นางรู้ซึ้งแล้วว่าประโยค ‘บุญหนักศักดิ์ใหญ่’ หรือ ‘รวยล้นฟ้า’ นั้นหมายความว่าอย่างไร

ลำพังแค่ทางเดินที่เชื่อมระหว่างเรือนของจินหยวนเป่ากับสวนดอกไม้ใหญ่ก็มีระยะทางกว่าพันก้าวเข้าไปแล้ว!

พื้นทางเดินใช้หินไข่สีอ่อนแก่มาเรียงสลับกันเป็นลายดอกบัวขาว แทบจะหนึ่งดอกต่อหนึ่งก้าว แฝงนัยอุปมาถึงประโยคบัวบานรับบาทนาง*

กำแพงขาวที่ขนาบสองข้างทางทำช่องหน้าต่างไว้เป็นรูปพัด มองออกไปเห็นทะเลสาบจงไห่นอกคฤหาสน์ ผืนน้ำสีเขียวเข้มเป็นเลื่อมมันสร้างความรื่นรมย์แก่นัยน์ตา

กับแค่ทางเดินยังละเอียดประณีตถึงเพียงนี้ อวี้ฉีหลินจินตนาการไม่ออกเลยว่าที่อื่นจะตระการตาขนาดไหน

แต่ความรุ่มรวยทรงอำนาจเช่นนี้ก็ทำให้นางยิ่งหงุดหงิดหัวใจไปพร้อมกัน

จินฮูหยินได้เสวยสุขอยู่บนวาสนาที่แย่งชิงคนอื่นมา ขณะที่ท่านแม่ของนางต้องไปตกระกำลำบากอยู่ในป่าลึก มิหนำซ้ำยังต้องเจ็บปวดทรมานที่ถูกพรากลูกไปจากอก…

ไม่ได้ อุตส่าห์แฝงตัวเข้ามาสำเร็จแล้วทั้งที ข้าจะต้องทำให้ความปรารถนาของท่านแม่เป็นจริง ไม่เช่นนั้นก็เท่ากับผิดต่อท่านแม่ที่ต้องทนลำบากมาหลายปี!

“เดินให้เร็วหน่อยสิ!” จินหยวนเป่าเร่งเบาๆ เมื่อเห็นนางทำท่าใจลอย เขายังหงุดหงิดไม่หายที่เมื่อคืนเข้าหอแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว แค่คิดว่าทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะแผนการของหญิงคนนี้ เขาก็โมโหนางอย่างบอกไม่ถูก จึงรำคาญลูกตานักที่เห็นนางทำท่าเล่อล่าเหมือนพวกบ้านนอกเข้ากรุง

หญิงสาวรีบเก็บอาการ เอ่ยด้วยน้ำเสียงทอดถอนใจ “คฤหาสน์ของพวกเจ้านี่ใหญ่จริงๆ”

“อืม” จินหยวนเป่าส่งเสียงตอบรับอย่างเย็นชา

เจอแบบนั้นอวี้ฉีหลินก็ไม่อยากพูดอะไรอีก ได้แต่เร่งฝีเท้าเดินให้ทันเขา

สุดปลายทางเดินคือสวนดอกไม้ใหญ่ที่เชื่อมคฤหาสน์ชั้นในกับเรือนรอบนอกเข้าด้วยกัน ทอดสายตาแลไปจะเห็นแต่ต้นไม้เขียวขจีกับเนินเขาเทียม ทัศนียภาพงดงามดุจภาพวาด ไม่มีห้องหับใดๆ ทั้งสิ้น

บนพื้นใช้แผ่นหินกว้างสองเชียะกว่าปูเป็นทางเดินกว้างประมาณหนึ่งจั้ง ขนาบข้างด้วยพุ่มไม้เตี้ยสีเขียวที่ไม่ทราบชื่อ ถัดออกไปคือสนามหญ้าสีเขียวขจี มีสวนถาดตั้งประดับอยู่เป็นระยะ ดูหรูหรางดงาม

กลางสวนคือสระน้ำขนาดใหญ่ มีเนินเขาเทียมสูงสามเชียะตั้งอยู่ในสระ ไม่รู้ว่าใช้วิธีใด น้ำใสถึงได้ทิ้งตัวลงมาจากเนินเขาเป็นม่านน้ำตก แล้วไหลไปตามทางน้ำคดเคี้ยวที่ขุดขึ้นด้วยมือออกสู่ด้านนอกคฤหาสน์

“น้ำตกนี่…” อวี้ฉีหลินถามขึ้นด้วยความสงสัย

คนนำทางเหลือบมองนางแค่แวบเดียว “ข้างล่างเป็นน้ำพุ”

“น้ำพุ?” หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ น้ำพุพุ่งขึ้นมาสูงถึงเพียงนี้เชียวหรือ

“อืม” ชายหนุ่มเดินลิ่วๆ ต่อไปโดยไม่แม้แต่จะพยักหน้าด้วยซ้ำ

* บัวบานรับบาทนาง เป็นสำนวนจีน หมายถึงกิริยาแช่มช้อยนุ่มนวล

อวี้ฉีหลินหันไปมองน้ำตกอย่างยังติดใจไม่หาย แล้วถามเป็นเชิงปรารภ “ตอนเด็กเจ้าเล่นอยู่ในบ้านใหญ่ขนาดนี้คนเดียวเลยหรือ”

“แล้วจะให้เล่นกับใครเล่า” เขาส่งสายตาเหยียดๆ มาให้

ชายหนุ่มเดินทิ้งช่วงห่างนางไกลกว่าเดิม อวี้ฉีหลินรีบเร่งฝีเท้าตามให้ทันแล้วล้วงข้อมูลต่อ “บ้านเจ้ามีลูกคนเดียว เจ้าไม่มีพี่น้องคนอื่นเลยหรือ”

“มีข้าคนเดียว” จินหยวนเป่าตอบอย่างรำคาญเต็มแก่ “ถามเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่ได้”

หลังอ้อมสระน้ำ จินหยวนเป่าพานางเดินลอดซุ้มประตูเข้าสู่อาณาบริเวณคฤหาสน์ชั้นใน ด้านบนซุ้มประตูจำหลักเป็นรูปใบบัวและดอกบัว มีทั้งบัวตูมรอแย้มและบัวบานสลับสล้าง

เมื่อเดินลอดซุ้มประตูไปคือสวนดอกไม้ขนาดมโหฬาร

ผิดกับสวนที่ผ่านมา สวนนี้ไม่มีประติมากรรมแกะสลักใดๆ ทั้งสิ้น

ทางเดินสายเล็กโรยหินไข่ตัดผ่านตรงกลาง แบ่งสวนออกเป็นสองส่วน ซ้ายมือคือทะเลสาบคนขุด เชื่อว่าน้ำพุจากสวนด้านหน้าคงจะไหลมารวมกันที่นี่ ขวามือคือบุปผชาตินานาพรรณที่กำลังบานสะพรั่ง

ต้นฤดูร้อนเป็นช่วงเวลาของดอกโบตั๋น

ดอกโบตั๋นมากมายนับไม่ถ้วนแข่งกันสยายกลีบบานอวดโฉม ซ้ำยังมีสีสันแปลกตาที่พบเห็นได้น้อย น้ำในทะเลสาบเป็นสีเขียวเลื่อมมัน ทัศนียภาพงดงามดุจแต่งแต้มด้วยปลายพู่กัน ทำเอาอวี้ฉีหลินจ้องมองไม่วางตา

“โห ดอกไม้สวยจัง บนเขาไม่มีดอกไม้สวยขนาดนี้หรอก” นางทอดถอนใจชื่นชม

จินหยวนเป่าไม่พูดอะไร ได้แต่ส่งสายตาดูถูกมาให้

ทันใดนั้นนางก็นึกถึงประเด็นเมื่อครู่ขึ้นมาได้ จึงรีบถามต่อ “แล้ว…เจ้ามีพี่น้องที่ตายไปตั้งแต่เด็ก…หรือยกให้เป็นลูกคนอื่นบ้างหรือไม่”

คำถามของนางทำให้ชายหนุ่มชะงักเท้าแล้วหันขวับมามอง

ฝ่ายตรงข้ามหยุดเดินโดยกะทันหัน อวี้ฉีหลินกำลังดูดอกไม้เพลิน จึงแทบชนเข้าอย่างจัง

จินหยวนเป่ายกมือขึ้นผลักนางด้วยความรำคาญ “พอได้หรือยัง เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่”

เขาทำหน้าแบบนี้…อย่าบอกนะว่าระแคะระคายอะไรเข้าแล้ว

อวี้ฉีหลินสะดุ้งเฮือกในใจ ก่อนจะคลี่ยิ้มประจบ “พวกเราแต่งงานกันแล้ว ก็ควรต้องทำความเข้าใจในกันและกันสิ แหะๆ”

ชายหนุ่มผงะไปเล็กน้อย เขาแต่งงานกับนางแล้วจริงๆ นั่นแหละ ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ ก็ได้กลายเป็นสามีภรรยากับนางไปแล้ว พอเห็นนางยิ้มเหนียมๆ เหมือนอยากประจบ หัวใจก็อ่อนลงอย่างห้ามไม่อยู่

ทว่าจนแล้วจนรอดความหงุดหงิดไม่ยอมจางหายไป เขาจึงทำปากแข็งใส่ “ขะ…ข้า…ข้าไม่อยากทำความเข้าใจในตัวเจ้าเลยแม้แต่นิดเดียว!” พูดจบก็เดินลิ่วๆ ไปก่อนโดยไม่คิดจะรอ

โกรธอีกแล้วหรือ ทำไมชายคนนี้ถึงได้ขี้โมโหนักนะ…อวี้ฉีหลินยักไหล่อย่างอ่อนใจแล้วเดินตามไปบ้าง

เมื่อพ้นสวนดอกไม้ออกมาคือสนามหญ้าสีเขียวชอุ่มตา โล่งเตียนแผ่กว้างกลืนเข้าเป็นผืนเดียวกับน้ำในทะเลสาบ มองแล้วช่วยให้จิตใจปลอดโปร่งขึ้นได้ชะงัดนัก

อวี้ฉีหลินมองสนามหญ้าแล้วถอนหายใจ “เสียดายที่ดินออกจะตาย สนามหญ้าขนาดนี้ปลูกข้าวให้คนในคฤหาสน์กินได้ทั้งปีเลยนะ…อีกอย่าง น้ำในลำธารใสดีจริงๆ คนในคฤหาสน์เอาเสื้อผ้ามาซักกันที่นี่หรือไม่”

จินหยวนเป่ากำลังขุ่นมัวในอารมณ์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอได้ยินคำถามของนางก็รู้สึกปวดหัวเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยงๆ แล้วเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น

หญิงสาวรู้ดีว่าตนไม่ควรไปยั่วโมโหอีกฝ่าย จึงหันไปสนใจทัศนียภาพโดยรอบพร้อมพูดอะไรกับตัวเองไปตามเรื่อง ไม่ทันสังเกตข้างหน้า

ทั้งสองคนเดินห่างกันขึ้นเรื่อยๆ ทุกที

กว่าอวี้ฉีหลินจะหันกลับมามองข้างหน้าอีกครั้ง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของคนนำทางแล้ว

นางมองซ้ายมองขวา แต่นอกจากนางแล้ว สวนดอกไม้ขนาดมโหฬารแห่งนี้ก็ไม่มีใครอื่นอีกเลย

“เอ๊ะ ไปไหนแล้วนะ” นางใช้มือฟาดพุ่มไม้ข้างตัวอย่างขุ่นเคือง

สวนดอกไม้แห่งนี้มีทางเข้าออกหลายจุด ไม่รู้ว่าควรต้องใช้ทางออกใด อวี้ฉีหลินไม่มีทางเลือก ต้องคลำทางเอาเหมือนแมลงวันตาบอด

พอเดินออกมาจากทางออกหนึ่ง ภาพใครบางคนยืนอยู่ตรงริมทะเลสาบก็ปรากฏสู่สายตาทันที อวี้ฉีหลินดีใจนัก ในที่สุดก็ได้เห็นคนแล้ว!

นางเดินไปหา หมายจะถามทาง แต่พอเดินเข้าไปใกล้ก็พบว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นบุรุษ กำลังยืนอยู่บนสะพานหินที่ทอดข้ามทะเลสาบ หันหลังมาทางนี้ สองมือเท้าราวสะพานเอาไว้ ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นไม่ขยับ

อวี้ฉีหลินเข้าไปแอบหลังต้นไม้เงียบๆ เพื่อสังเกตการณ์พลางงึมงำกับตัวเอง “ทำไมถึงมายืนอยู่บนสะพานแบบนี้ อย่าบอกนะว่าจะกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย”

อืม…ช่วยชีวิตคนหนึ่งชีวิต กุศลแรงกว่าช่วยกระต่ายเจ็ดตัว! หญิงสาวคิดในใจพลางค่อยๆ ย่องเลียบสะพานเข้าไปใกล้

ชายคนนั้นยืนอยู่สักพัก ก่อนจะทำท่าก้าวไปข้างหน้า ทันใดนั้นใครคนหนึ่งก็โถมตัวเข้ามากอดเขาไว้จากด้านหลัง

“อย่าโดดนะ!” นางร้องลั่น

ชายบนสะพานไม่คาดคิดว่าจะถูกโถมเข้าใส่เต็มแรงจึงเสียสมดุลทันที ฝ่ายอวี้ฉีหลินก็โถมตัวเข้าไปสุดแรงแบบไม่ยั้ง ทั้งสองจึงร่วงตกสะพานด้วยประการฉะนี้…

“อ๊า…” อวี้ฉีหลินหวีดร้องเสียงหลง

ชายคนนั้นเคลื่อนไหวแคล่วคล่องอย่างเหลือเชื่อ เขาใช้มือซ้ายยึดขอบสะพานหินเอาไว้อย่างรวดเร็ว

อวี้ฉีหลินกอดเอวอีกฝ่ายตามสัญชาตญาณ ร่างสองร่างห้อยต่องแต่งอยู่ใต้สะพาน

ชายหนุ่มก้มหน้าลงมองคนที่กอดเอวตนเองแน่นแล้วผงะไปทันที เหตุใดจึงเป็นนางได้ กระนั้นเขาก็ยังบอกเสียงเข้ม “จับให้แน่นๆ นะ…” พูดจบก็ใช้มือซ้ายดึงนางขึ้นมากอดไว้กับอก มือขวาออกแรง ปลายเท้าถีบขอบสะพาน พร้อมใช้วิชาตัวเบาพาร่างเหินทะยานขึ้นไปราวกับเหยี่ยวนกกระจอก แล้วทิ้งตัวลงมายืนบนสะพานอย่างมั่นคง

อวี้ฉีหลินมองตามอย่างตกตะลึงอยู่นาน ถึงเพิ่งนึกออกว่าตัวเองยังอยู่ในวงแขนอีกฝ่าย นางกระโดดออกมาอย่างคล่องแคล่วแล้วจัดเสื้อผ้าด้วยอาการประหม่า

ชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็เสเบือนหน้าไปกระแอมแก้เก้อ

“นี่…” หลังจากที่ยืนมั่นคงดีแล้ว อวี้ฉีหลินก็หันมาพูดกับเขา “ข้าว่านะ พี่ชาย วรยุทธ์ท่านดีขนาดนี้ ทำไมถึงได้คิดสั้นจะฆ่าตัวตายได้ล่ะ”

“คิดสั้น?” ชายหนุ่มผงะไปครู่หนึ่ง ก่อนจะคลี่ยิ้มนุ่มนวลละมุนตา “ข้าเปล่า…”

“นึกอยู่แล้ว!” อวี้ฉีหลินทำหน้ารู้ทัน “ท่านไม่มีทางยอมรับแน่ แต่ถึงอย่างไรข้าก็ต้องพูดให้คิดกันหน่อยล่ะ ไม่ว่าท่านจะเจออุปสรรคอะไรในชีวิต ก็จะโดดน้ำฆ่าตัวตายไม่ได้เป็นอันขาด มีปัญหาก็ต้องฮึดขึ้นมาสู้กับมันสิ ท่านเป็นชายอกสามศอก เหตุใดถึงได้ทำเรื่องขี้ขลาดแบบนี้”

ชายหนุ่มมองคนที่สั่งสอนตนฉอดๆ ด้วยความรู้สึกอธิบายยาก ทำไมถึงได้มาเจอนางที่นี่ได้นะ

อวี้ฉีหลินยกมือขึ้นโบกไปมาตรงหน้าอีกฝ่ายที่ดูเหมือนจะใจลอยไป “นี่ พี่ชายท่านนี้ ได้ฟังที่ข้าพูดเมื่อครู่บ้างหรือไม่ ทีหน้าทีหลังอย่าได้คิดสั้นอีก เข้าใจหรือไม่”

ชายหนุ่มได้สติกลับคืนมาโดยพลันแล้วรีบถอยหลังไปหนึ่งก้าว ค้อมคำนับนางอย่างมีมารยาท “เหวินเจาขอบคุณฮูหยินน้อยที่ห่วงใย”

“รู้จักข้าด้วยหรือ” อวี้ฉีหลินกังขา

อีกฝ่ายตอบผ่านรอยยิ้มสุขุมอ่อนโยน “แน่นอน ข้าชื่อหลิ่วเหวินเจา เป็นญาติผู้พี่ของหยวนเป่า และเป็นพ่อบ้านของสกุลจิน”

“ที่แท้ก็พี่หลิ่วนี่เอง แล้วทำไมเมื่อครู่ท่านถึงจะโดดน้ำล่ะ”

หลิ่วเหวินเจาคลี่ยิ้มประดักประเดิด “ฮูหยินน้อยเข้าใจผิดแล้ว เมื่อครู่ข้าเพียงแต่ยืนคิดอะไรเพลินเท่านั้น ไม่ได้มีความคิดจะโดดน้ำสักนิด”

“อ้อ ดีแล้วล่ะ” อวี้ฉีหลินถอนหายใจโล่งอก

อาการห่วงใยนั้นดูไม่เหมือนเสแสร้ง หลิ่วเหวินเจาซาบซึ้งอยู่ในใจและรู้สึกผิดไปพร้อมกัน เมื่อวานเขายังวางแผนทำให้นางเสียโฉมอยู่แท้ๆ วันนี้นางกลับเป็นห่วงเป็นใยเขา…เกิดมาจนโตอายุยี่สิบกว่า เพิ่งจะมีคนเป็นห่วงเขาขนาดนี้เป็นครั้งแรก

หลิ่วเหวินเจารู้สึกสับสนอยู่ในใจ เขามองอวี้ฉีหลินด้วยสีหน้าประหลาดแล้วพูดแฝงนัย “ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าฮูหยินน้อยจะมีใจเมตตา เป็นห่วงเป็นใยคนอื่นถึงเพียงนี้ ข้าละอายยิ่งนัก ไม่กล้ารับความห่วงใยของฮูหยินน้อย!”

“โฮ้ย…” หญิงสาวโบกมืออย่างใจกว้าง “อย่าเกรงอกเกรงใจไปเลย ข้าไม่ได้ช่วยท่านจริงๆ เสียหน่อย! แต่หากต่อไปมีเรื่องที่คิดไม่ตก จำไว้ล่ะว่าต้องมาหาข้า! หากช่วยได้ รับรองว่าข้าจะช่วยเต็มความสามารถ!”

เหลือเชื่อที่นางตรงไปตรงมาและมีน้ำใจเช่นนี้ ความรู้สึกแง่บวกเกิดขึ้นในใจหลิ่วเหวินเจาที่ตอบกลับไปยิ้มๆ “หากวันข้างหน้าฮูหยินน้อยอยากให้ข้าช่วยอะไร ก็เชิญบอกมาได้เต็มที่เช่นกัน!”

อวี้ฉีหลินนิ่งคิด แล้วแสร้งทำท่าเคร่งเครียด “วันข้างหน้าไม่ต้องหรอก ข้ามีเรื่องอยากให้พี่หลิ่วช่วยจริงๆ ตอนนี้แหละ!”

“หือ? ฮูหยินน้อยโปรดกล่าวมาได้เลย” ชายหนุ่มประหลาดใจนิดๆ

“แหะๆ…” นางหัวเราะอย่างขัดเขิน “ข้า…หลงทางน่ะ! รบกวนพี่หลิ่วช่วยนำทางไปห้องโถงใหญ่ที ข้าต้องยกน้ำชาคารวะแม่สามี” พูดจบก็แลบลิ้นเก้อๆ

ท่าทางน่ารักแสนซนเช่นนั้นทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าหลิ่วเหวินเจากว้างขึ้นกว่าเดิม “ข้อนี้ข้าช่วยได้จริงๆ นั่นแหละ!”

“ถ้าเช่นนั้นก็ขอบคุณพี่หลิ่วมาก!” อวี้ฉีหลินพูดพลางค้อมกายคำนับอีกฝ่าย

 

วันนี้ห้องโถงใหญ่คฤหาสน์สกุลจินคึกคักเป็นพิเศษ

จินฮูหยินนำขบวนญาติทั้งหมดมานั่งอยู่ในห้องโถง จิบชาพลาง กินขนมพลาง รอจินหยวนเป่ากับภรรยาหมาดๆ มายกน้ำชาคารวะด้วยอารมณ์ปลอดโปร่งยิ่ง

ทว่ารอแล้วรอเล่าจนเกือบเที่ยงก็ยังไม่เห็นคู่บ่าวสาว คนอื่นๆ อดจะวิพากษ์วิจารณ์กันไม่ได้

หลิ่วเชี่ยนเชี่ยนเงยหน้าขึ้นมองจินฮูหยิน เห็นอีกฝ่ายยังมีสีหน้าท่าทางเป็นปกติก็ให้หงุดหงิดอยู่ในใจ นางมารอตั้งแต่ไก่โห่ ผ่านไปครึ่งวันแล้วยังไม่เห็นแม้แต่เงาบ่าวสาว! สะใภ้คนนี้ออกจะวางท่าเกินไปหน่อยกระมัง

สุดท้ายนางก็อดบ่นกับผู้เป็นอาไม่ไหว “ท่านอา! ขนาดลูกสาวครอบครัวเล็กๆ ยังรู้ธรรมเนียมว่าต้องรีบลุกมาคารวะแม่สามีแต่เช้า นี่พี่สะใภ้ทำตัวตามสบายเหลือเกิน จะเที่ยงอยู่แล้วยังไม่โผล่มาให้เห็น”

จินฮูหยินคลี่ยิ้มบางๆ ใบหน้าสะท้อนความรักใคร่เอ็นดูที่ปิดไม่มิด “ไม่เป็นไรหรอก…เมื่อคืนเป็นวันมงคลของพี่หยวนเป่าของเจ้า สองคนนั้นคงเหนื่อยกันน่าดู…” พูดมาถึงตรงนี้หญิงสูงวัยก็มีสีหน้าพึงพอใจ “จะนอนพักผ่อนเอาแรงต่ออีกหน่อยก็ดีแล้วล่ะ” พูดจบก็วางถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะเบาๆ ตื่นสายนิดหน่อยไม่เห็นเป็นไร จะตื่นสายหลายๆ วันยังได้ ที่สำคัญคือต้องทำให้นางได้อุ้มหลานตัวน้อยในเร็ววัน!

หลิ่วเชี่ยนเชี่ยนไม่คิดว่าผู้เป็นอาจะเข้าข้างสะใภ้คนใหม่ถึงเพียงนี้ นางเจ็บใจสุดแสน ทว่าไม่กล้าแสดงออก ได้แต่ก้มหน้าจิบชาอย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยง

จังหวะนั้นสาวใช้คนหนึ่งแวบผ่านเข้ามาตรงหน้าประตู ป้ากู้เห็นเข้าก็รีบโน้มตัวลงไปกระซิบเบาๆ ริมหูนายหญิง “ฮูหยิน…”

จินฮูหยินไม่ตอบโต้ เพียงแต่อมยิ้มพยักหน้า ป้ากู้รีบเดินออกจากประตูข้างไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อพ้นห้องโถงใหญ่ นางใช้ทางเดินสายเล็กที่สร้างไว้สำหรับข้ารับใช้เร่งรุดไปยังหอซงจู๋ (ไผ่สน) ของจินหยวนเป่า

หญิงสาวต่างวัยกำลังปัดกวาดอยู่ในสวน พอเห็นนางก็พากันย่อตัวคำนับอย่างพร้อมเพรียง

“มีใครเข้าไปในห้องหอของคุณชายหรือยัง” ป้ากู้ถาม

“เมื่อเช้ามีแค่แม่นางสี่เอ๋อร์ที่เป็นสาวใช้ประจำตัวฮูหยินน้อยเข้าไปช่วยฮูหยินน้อยอาบน้ำแต่งตัวเจ้าค่ะ จากนั้นก็ยังไม่มีใครอื่นเข้าไป” หญิงสูงวัยคนหนึ่งตอบ

“อืม เข้าใจแล้ว ไว้ข้าออกมาเมื่อไร พวกเจ้าก็เข้าไปเก็บกวาดห้องให้เรียบร้อยแล้วกัน”

“เจ้าค่ะ”

สั่งเสร็จเรียบร้อย ป้ากู้ก็เดินไปยังห้องหออย่างคุ้นที่คุ้นทางแล้วผลักประตูเข้าไปข้างใน

ไม่คิดไม่ฝันว่าภายในห้องจะรกเละเทะไปหมด

นางเหลือบมองกาสุราที่ล้มเอียงอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะย้ายสายตาไปหาชุดบ่าวสาวที่ถูกฉีกขาดและโยนทิ้งไว้บนพื้นส่งๆ แล้วให้หน้าแดงวาบอย่างห้ามไม่อยู่ จากนั้นก็ยกมือปิดปากยิ้ม “สองคนนี้ช่างร้อนแรงกันจริงๆ”

ป้ากู้เดินอ้อมสิ่งกีดขวางบนพื้นไปที่เตียงนอนแล้วรื้อค้นอย่างเชี่ยวชาญ จนไปเห็นผ้าขาวเปื้อนเลือดตรงมุมไม่สะดุดตาของเตียง

“เรียบร้อย!” นางพับผ้าผืนนั้นอย่างระมัดระวัง วางไว้บนถาดไม้ คลุมทับด้วยผ้าแดงอีกที จากนั้นก็เดินกลับออกไปด้วยรอยยิ้มยินดีและสีหน้าพึงพอใจ “ไม่เสียแรงเปล่า คราวนี้ฉางเฟิงก็มีผลงานเสียที!”

 

ทางด้านจินหยวนเป่าเดินจ้ำอ้าวจนห้องโถงใหญ่อยู่ในรัศมีสายตา ถึงเพิ่งรู้ตัวว่าอวี้ฉีหลินหายไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ได้

แม้จะโกรธที่นางเจ้าเล่ห์มากเหลี่ยมใช้ยากับเขา แต่พอเป็นเช่นนี้ก็ยังอดเป็นกังวลไม่ได้ว่าหากนางมาคารวะแม่สามีสาย จะถูกมารดาของเขาตำหนิเอา

ดังนั้นเขาจึงหยุดเท้าตรงประตูทางเข้าเรือน สั่งอาฝูให้ไปตามหานาง ส่วนตัวเองยืนอยู่ตรงนี้เพื่อรอนางเข้าไปด้วยกัน

ทว่าผ่านไปประมาณหนึ่งเค่อกว่าก็ยังไม่เห็นวี่แวว จินหยวนเป่าชักเริ่มหงุดหงิด คฤหาสน์สกุลจินกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ อย่าบอกนะว่านางหลงทางเข้าแล้ว ไม่ได้การ ต้องสั่งให้คนออกไปหาเพิ่ม

กำลังคิดอย่างนั้น เสียงบ่าวประจำตัวก็ดังมาแต่ไกล “คุณชายขอรับ คุณชาย!”

เขาหันไปตามเสียง เห็นอาฝูวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา “หาไปรอบหนึ่งแล้วขอรับ ไม่เจอฮูหยินน้อยเลย! ถ้าอย่างไรคุณชายเข้าไปก่อน บ่าวจะไปหาอีกรอบ!”

“ข้าเข้าไปคนเดียวก่อน ท่านแม่จะมองนางอย่างไร” จินหยวนเป่าตอบกลับเสียงขุ่น “เพิ่งจะมาทักทายแม่สามีเป็นครั้งแรก สะใภ้ก็ถูกแม่สามีตำหนิติเตียนเสียแล้ว ต่อไปข้ารับใช้ในคฤหาสน์จะมองนางอย่างไร” เขานิ่งคิดชั่วครู่ ก่อนจะพูดขึ้นอย่างร้อนรน “ไม่ได้การ ข้าจะไปหาเอง!”

จังหวะนั้นเองอวี้ฉีหลินก็เดินเคียงคู่มากับหลิ่วเหวินเจา ยิ้มแย้มพูดคุยกันอย่างถูกคอ

จินหยวนเป่าหน้าบึ้งทันควัน นัยน์ตาเป็นประกายเยียบเย็นอย่างน่ากลัว เขาเดินเข้าไปหาเจ้าสาวของตน หลุบตามองนางพลางพูดเสียงห้วน “คิดจะวางอำนาจใส่คนสกุลจินหรืออย่างไร ถึงได้ให้ใครต่อใครรอเจ้าอยู่คนเดียว!”

ได้ยินเขาพูดแบบนี้ อวี้ฉีหลินยิ่งน้อยใจที่ถูกปรักปรำ “ก็เจ้าเดินเสียเร็ว ข้าเลยหลงทางน่ะสิ!”

จินหยวนเป่าก็รู้เช่นกันว่าตัวเองผิด จึงไม่ได้โต้กลับ ทว่าใบหน้ายังบูดสนิทเหมือนเดิม

“ข้าไม่ดีเอง…” หลิ่วเหวินเจาเห็นทั้งคู่ทำท่าจะทะเลาะกันจึงรีบพูดผ่านรอยยิ้มบางๆ เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ “ข้าชวนคุยมากไปหน่อย ฮูหยินน้อยก็เลยมาสาย”

ญาติผู้น้องกำลังอารมณ์ไม่ดี เลยเมินเขาราวกับเป็นอากาศธาตุ ได้แต่ถลึงตาใส่อวี้ฉีหลิน “เร็วเข้าสิ ท่านแม่รอนานแล้วนะ” พูดจบก็คว้ามือนางลากเดินลิ่วๆ ไปยังห้องโถงใหญ่

หลิ่วเหวินเจามองตามแผ่นหลังอันเย่อหยิ่งของจินหยวนเป่าและอวี้ฉีหลินที่ถูกฉุดกระชากลากถู สีหน้าหม่นทะมึนมากขึ้นทุกที

คู่บ่าวสาวเดินตามกันเข้าไปในห้องโถง ตอนแรกคนที่รอข้างในกำลังพูดคุยเบาๆ แต่พอพวกเขาเดินเข้ามา ทุกเสียงก็เงียบกริบ

ในห้องมีคนไม่มาก ทว่าตอนนี้หันมามองสองหนุ่มสาวเป็นตาเดียวอย่างพร้อมเพรียง ที่จริงต้องเรียกว่าจ้องนางคนเดียวมากกว่า อวี้ฉีหลินอดประหม่าขึ้นมาไม่ได้

เหมือนจะสัมผัสได้ถึงความกระสับกระส่ายของนาง จินหยวนเป่าหันมามองแวบหนึ่ง มือใหญ่ที่จับมือนางเอาไว้ออกแรงบีบเล็กน้อย คล้ายบอกให้นางทำใจให้สบาย

ไม่รู้เพราะเหตุใด อวี้ฉีหลินถึงได้รู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อยจริงๆ

หญิงวัยกลางคนท่าทางรุ่มรวยสง่างามนั่งอยู่กลางห้อง กำลังคลี่ยิ้มบางๆ อย่างอารีและมองนางด้วยสีหน้าพึงพอใจ ดูท่าทาง…จะเป็นคนอารมณ์ดีอย่างมาก

ทุกคนในห้องค่อยๆ เบนสายตาจากสองหนุ่มสาวไปมองหญิงวัยกลางคนดังกล่าว

หญิงคนนั้นประสานสายตากับอวี้ฉีหลินอยู่สักอึดใจใหญ่ ก่อนจะหันไปยิ้มกับจินหยวนเป่า “หยวนเป่า พานางเข้ามานี่มา”

จินหยวนเป่าลอบถอนหายใจเบาๆ อย่างโล่งอกแล้วหันไปส่งสายตาให้อวี้ฉีหลิน ก่อนจะจูงนางเดินเข้าไปหยุดยืนตรงหน้ามารดา

สาวใช้ในชุดเขียวยกถาดใส่ถ้วยน้ำชาสองใบเดินเข้ามา สาวใช้อีกคนหนึ่งวางเบาะลงตรงปลายเท้าสองหนุ่มสาว เมื่อเรียบร้อยดีแล้วจินหยวนเป่าก็เริ่มการแนะนำ “นี่คือท่านแม่” พูดจบก็ถลกชายเสื้อคลุมด้านหน้าทิ้งตัวลงคุกเข่าบนเบาะ

อวี้ฉีหลินรีบทรุดตัวลงคุกเข่าตามอย่างสงบเสงี่ยม

สองหนุ่มสาวโขกศีรษะคำนับจินฮูหยินพร้อมกัน “คารวะท่านแม่”

จินฮูหยินรอคอยภาพเช่นนี้มาไม่รู้กี่ปีแล้ว ดวงตาทั้งสองข้างเป็นประกายพราวระยับอย่างมีความสุข ยังไม่ทันได้พูดว่ากระไร หลิ่วเชี่ยนเชี่ยนที่อยู่ข้างๆ ก็ชิงประชดขึ้นมาเสียก่อน

“ไม่รู้ว่าคารวะยามเช้าหรือคารวะยามเที่ยงกันแน่สิน่า”

จินหยวนเป่าเหลือบมองญาติสาว ก่อนจะเบนสายตาไปทางมารดาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็โบ้ยความผิดมาไว้ที่ตนคนเดียวอย่างอาจหาญ “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเสี่ยวเซวียน เป็นเพราะลูกตื่นสายเอง”

อวี้ฉีหลินรีบพยักหน้าหงึกหงัก หันไปทางหลิ่วเชี่ยนเชี่ยนแล้วอธิบายอย่างใสซื่อตรงไปตรงมา “เมื่อคืนท่านพี่ตรากตรำจนดึกดื่นค่อนคืนเลยอ่อนเพลีย เมื่อเช้าลุกไม่ไหวจริงๆ”

หญิงคนนี้! มือปราบหนุ่มมองเจ้าสาวหมาดๆ อย่างตกตะลึง

หลิ่วเหวินเจาที่กำลังนั่งจิบชาอยู่อีกด้านก็เกือบจะสำลักน้ำชา ด้วยคิดไม่ถึงว่าฮูหยินน้อยคนใหม่จะพูดจาโผงผางถึงเพียงนี้

ป้ากู้ที่ไม่รู้ว่ากลับเข้ามาในห้องโถงตั้งแต่เมื่อไรได้ยินประโยคนั้นเข้าพอดี นางสะดุ้งเฮือกอยู่ในใจ ก่อนจะนึกถึงสภาพรกเละเทะของห้องหอ อยากหัวเราะออกมาใจแทบขาดก็ไม่กล้า พอเหลือบมองนายหญิงก็พบว่ามีอาการเดียวกับตนทุกประการ คือกลั้นหัวเราะจนหน้าแดงไปหมด

หลิ่วเชี่ยนเชี่ยนยิ่งไม่คาดคิดเข้าไปใหญ่ว่าจะถูกศัตรูหัวใจตอบโต้กลับมาอย่างก๋ากั่น หญิงคนนี้ช่างไร้ยางอายสิ้นดี แต่สิ่งที่พูดมาก็เป็นความจริง นางจะตอบโต้อย่างไรได้ นอกจากถลึงตาไปให้คนพูดอย่างแค้นเคือง

“เจ้านี่มัน…” จินหยวนเป่าหันไปเค้นเสียงลอดไรฟัน “ถ้ากล้าพูดส่งเดชอีกก็ลองดู!”

อวี้ฉีหลินไม่เห็นว่าตนจะผิดตรงไหน จึงโต้กลับไปด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “ข้าไม่ได้พูดส่งเดช เมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็ดึกมากจริงๆ นี่นา มิหนำซ้ำเจ้ายัง…”

หญิงปัญญานิ่ม!

ชายหนุ่มสะดุ้งโหยงพร้อมรีบยกมือปิดปากคนพูดไว้ กลัวว่านางจะพูดจาชวนหัวใจวายออกมาอีก

กลับกลายเป็นว่าการทะเลาะกันอย่างลับๆ ของทั้งคู่ถูกคนอื่นมองเป็นความหวานชื่นของสามีภรรยาไปเสียอย่างนั้น

ภาพเดียวกันถูกตีความต่างออกไปตามสายตาของแต่ละคน

หลิ่วเชี่ยนเชี่ยนขบริมฝีปากแน่น สองมือขยุ้มผ้าเช็ดหน้าโดยแรงจนแทบขาด ในอกแน่นตื้อเหมือนจะระเบิด อยากเข้าไปตบหน้าอวี้ฉีหลินสักสองฉาด!

หลิ่วเหวินเจามองน้องสาวแล้วถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะก้มหน้าลงจิบชาตามเดิม ทว่าสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นทุกที

คิดไม่ถึงว่าจินหยวนเป่าจะเข้ากับเจียงเสี่ยวเซวียนได้ดีถึงเพียงนี้ ไหนว่าไม่อยากแต่งงานอย่างไรล่ะ หึ ดีแต่ปาก พอเห็นเจ้าสาวหน้าตางดงามเข้าหน่อยก็เกิดความกำหนัดในตัวนาง! หากหญิงคนนี้เกิดตั้งท้องขึ้นมาก็จะเป็นอุปสรรคต่อแผนการของเขามากกว่าเดิม

จินฮูหยินคลี่ยิ้มอย่างพึงพอใจและมีความสุข ดูท่าสองคนนี้คงจะเข้ากันได้เป็นอย่างดี “พวกเจ้ายังหนุ่มยังสาว จะขี้เซาหน่อยก็เป็นเรื่องปกติ ข้าไม่ถือสาหาความหรอก”

ป้ากู้ช่วยคลี่คลายบรรยากาศอีกแรง “ตามธรรมเนียม คู่บ่าวสาวต้องยกน้ำชาคารวะฮูหยินได้แล้วเจ้าค่ะ”

สาวใช้ชุดเขียวรีบส่งถาดใส่จอกชามาให้ จินหยวนเป่ายกจอกหนึ่งขึ้นมาส่งให้อวี้ฉีหลิน จากนั้นก็ยกจอกที่เหลือขึ้นมาถือไว้เอง

จอกชาที่ถูกส่งมาทำให้อวี้ฉีหลินผงะอยู่ในใจ นางเงยหน้ามองหญิงวัยกลางคนผู้มีแววตาอารี ขยับปากแต่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไร ได้แต่จ้องตากับจินฮูหยินอยู่อย่างนั้น

ใบหน้าของจินฮูหยินระบายรอยยิ้มน้อยๆ ตลอดเวลาอย่างมีความสุข ขณะเอื้อมมือออกไปรอรับน้ำชาจากสะใภ้ ทว่ารออยู่นานก็ยังไม่เห็นอีกฝ่ายขยับตัว น่าประหลาดยิ่งนัก

จินหยวนเป่ากระซิบเตือนเบาๆ “ยก…น้ำชา…คารวะ…”

อ้อ จริงสิ!

อวี้ฉีหลินเพิ่งนึกได้ว่าต้องทำอย่างไร ทว่าคนเช่นนางหรือจะรู้จักธรรมเนียมเหล่านี้ สมองกระหวัดนึกไปถึงภาพตนสาบานเป็นพี่เป็นน้องกับเสืออ้วนบนเขา ตามมาด้วยการไหว้ฟ้าดินในพิธีแต่งงาน จากนั้นก็ใช้สองมือชูจอกชาขึ้นเหนือศีรษะอย่างบรรลุแจ้ง

จินฮูหยินยิ้มละไมพลางเอื้อมมือออกไปรับ แต่ปรากฏว่าศรีสะใภ้เอ่ยออกมาด้วยเสียงดังก้อง “จอกแรก คารวะฟ้า!” พูดจบก็เทชาลงบนพื้น

ทุกคนตาค้างด้วยความตกตะลึง จินฮูหยินก็ผงะอึ้ง ส่วนสี่เอ๋อร์ที่ยืนดูพิธีอยู่อีกด้านแทบลมจับ

จินหยวนเป่ารู้สึกอับอายเป็นที่สุด สายตาที่มองนางเพิ่มความเย็นชาขึ้นหลายระดับพลางแค่นเสียงลอดไรฟัน “ทำอะไรของเจ้า”

“ยกน้ำชาคารวะน่ะสิ!” อวี้ฉีหลินมองตอบกลับไปพร้อมยิ้มจนตาหยี สีหน้ามั่นอกมั่นใจอย่างยิ่ง จากนั้นนางก็วางจอกชาเปล่าคืนถาด

สาวใช้ชุดเขียวเพิ่งเจอฉากสะเทือนประสาทมาหมาดๆ จึงมัวแต่อึ้ง ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร

ดีที่ป้ากู้อาบน้ำร้อนมาก่อน จึงรีบส่งจอกชาใบที่สองไปให้

อวี้ฉีหลินเห็นดังนั้นก็ยิ่งมั่นใจว่าตนทำถูกธรรมเนียมอย่างแน่นอน จึงทำตามขั้นตอนต่อไปด้วยเสียงอันดัง “จอกที่สอง คารวะดิน!”

คราวนี้ห้องโถงทั้งห้องเงียบกริบ กระทั่งเสียงยุงสักตัวบินก็ยังไม่มี คำพูดของนางจึงชัดเจนเป็นพิเศษ

จินฮูหยินผู้ผ่านลมฝนมามากพยายามควบคุมตัวเองสุดกำลังไม่ให้เปลี่ยนสีหน้า ขณะก้มลงมองน้ำชาที่ค่อยๆ ไหลเข้ามาหาชายกระโปรงตัวเอง

สาวใช้ชุดเขียวเห็นตัวอย่างมาแล้วครั้งหนึ่ง ครั้งนี้จึงรีบส่งชาจอกที่สามไปให้โดยไม่รีรอ

อวี้ฉีหลินยกจอกชาขึ้นมาอีกครั้งแล้วนิ่งไปเล็กน้อย คราวนี้จะพูดอะไรดีนะ

จินฮูหยินเห็นดังนั้นก็นึกว่าลูกสะใภ้จะยกชาคารวะตนเสียที จึงรีบเอื้อมมือออกไปรับ นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเทน้ำชาลงพื้นอีกครั้ง

“จอกที่สามคารวะเทพเจ้า!”

มือเรียวงามที่เอื้อมออกไปชะงักค้างอยู่กลางอากาศ

“หา? ฮ่าๆๆๆ” หลิ่วเชี่ยนเชี่ยนส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

เสียงนั้นบาดหูยิ่งนัก จินหยวนเป่าลุกพรวดขึ้นมองอวี้ฉีหลินอย่างขุ่นเคือง

คนถูกมองทำหน้าเหลอหลา แต่เสียงหัวเราะที่ได้ยินก็ทำให้นางสำนึกได้เช่นกันว่ามีบางอย่างไม่เข้าเค้า นางมองสาวใช้ที่ถือชาจอกที่สี่ตัวแข็งทื่อ มองปฏิกิริยาของผู้คนรอบกายแล้วชักรู้สึกประหม่าขึ้นมา จากนั้นก็หันไปมองจินฮูหยิน

แม่สามีเริ่มมีสีหน้าอิหลักอิเหลื่อ กระนั้นก็ยังสงบสติอารมณ์สุดความสามารถ นั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่ยอมเอื้อมมือออกมาอีกแล้ว

อวี้ฉีหลินยกจอกชาอย่างประดักประเดิด “จอกที่สี่คารวะ…” นางเหลือบสังเกตสีหน้าจินหยวนเป่า เหลือบมองจินฮูหยิน ก่อนจะพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง “ท่านแม่”

หญิงวัยกลางคนยื่นมือออกไป แต่เพราะมีประสบการณ์ครั้งก่อนๆ นางจึงชะงักมืออย่างรั้งรอ

อวี้ฉีหลินรีบชูจอกให้สูงขึ้น พลางพูดเสียงก้องกังวานเหมือนเวลาชาวยุทธ์คารวะน้ำชากัน “จอกนี้คารวะท่านแม่!”

ทุกคนพากันถอนหายใจโล่งอกอย่างพร้อมเพรียง

ได้ยินดังนั้นจินฮูหยินถึงค่อยเอื้อมมือออกไปรับจอกชาอย่างเบาใจ จิบอึกหนึ่งก็วางไว้บนโต๊ะข้างตัวแล้วพรูลมหายใจยาวเหยียด พยายามบังคับสีหน้าตัวเองไม่ให้แสดงความรู้สึกแปลกๆ ออกมา “ลุกขึ้นเร็วเข้า!” แต่จนแล้วจนรอดก็ยังอดพูดไม่ได้ “เสี่ยวเซวียน ธรรมเนียมยกน้ำชาของสกุลเจียง…แตกต่างจากธรรมเนียมเมืองหลวงจริงๆ เลยนะ”

อวี้ฉีหลินรีบฉวยโอกาสไปตามน้ำ “เจ้าค่ะ! ผู้คนในท้องที่ต่างๆ นิสัยไม่เหมือนกัน ย่อมมีขนบธรรมเนียมประเพณีแตกต่างกันไป”

จินหยวนเป่าใช้สองมือประคองชาส่งไปให้มารดาบ้าง “ท่านแม่เชิญดื่มชาขอรับ”

จินฮูหยินพยักหน้า รับจอกชามาอย่างอิ่มใจ ดื่มไปสองอึกจนค่อนจอกก็ใช้มือประคบจอกไว้ ไม่ยอมวาง

ป้ากู้เห็นว่าพิธียกน้ำชาเสร็จสิ้นลงแล้วจึงเดินเข้ามากระซิบอะไรบางอย่างข้างหูผู้เป็นนาย

จินฮูหยินพยักหน้ารับยิ้มๆ ก่อนจะหันไปพูดกับอวี้ฉีหลิน “จากนี้ไปเสี่ยวเซวียนก็เป็นสะใภ้สกุลจินของเราแล้ว ขอให้พวกเจ้ารักใคร่ปรองดอง ให้เกียรติกันและกัน หยวนเป่าต้องดูแลสุขภาพภรรยาให้ดี ส่วนเสี่ยวเซวียนก็ต้องคอยใส่ใจความเหน็ดเหนื่อยของสามีให้มาก อีกสักสองสามปีพอแม่ได้อุ้มหลาน ก็จะจากโลกนี้ไปอย่างไม่มีอะไรต้องเป็นกังวลแล้ว”

หลิ่วเชี่ยนเชี่ยนท้วงขึ้นด้วยความตกใจ “เวลานี้ท่านอายังร่างกายแข็งแรง ทั้งนายบ่าวในสกุลจินล้วนยึดท่านอาเป็นที่พึ่งทั้งนั้นนะเจ้าคะ”

จินฮูหยินมองหลานสาวแล้วตอบเรียบๆ “ตอนนี้มีเสี่ยวเซวียนแล้วนี่นา”

“ท่านอา พี่สะใภ้เพิ่งจะแต่งเข้าบ้าน มีเรื่องต้องเรียนรู้อีกหลายอย่าง ไหนเลยจะบริหารจัดการได้รอบคอบเท่าท่าน” น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความริษยา

“ที่เชี่ยนเชี่ยนพูดมาก็ถูก” จินฮูหยินพยักหน้า ก่อนจะมองอวี้ฉีหลินด้วยสายตาอ่อนโยน “เสี่ยวเซวียน จากนี้ไปหากมีข้อสงสัยใดเกี่ยวกับคฤหาสน์สกุลจิน ให้ขอคำชี้แนะจากพี่หลิ่วของเจ้าให้มากๆ นะ”

“เจ้าค่ะ ท่านแม่!” อวี้ฉีหลินตอบรับเสียงใส

หลิ่วเหวินเจาพยักหน้ารับด้วยท่าทางปกติ “ขอรับ เหวินเจาจะทำหน้าที่ให้สุดความสามารถ” ทว่ามือที่อยู่ใต้ชายแขนเสื้อกำเข้าหากันช้าๆ

หญิงวัยกลางคนยิ้มอย่างพึงพอใจ

หลิ่วเชี่ยนเชี่ยนเห็นทุกคนเข้ากันได้ดีก็ลุกขึ้นยืนอย่างขัดใจแล้วพูดตะบึงตะบอน “ท่านอา ข้ายังมีวิชาต้องเรียนตอนเช้า ขอตัวก่อนนะเจ้าคะ” พูดจบก็หมุนตัวเดินลิ่วๆ จากไปโดยไม่รอให้ญาติผู้ใหญ่อนุญาต

หลิ่วเหวินเจาขมวดคิ้วมองร่างที่เดินห่างออกไปไกลทุกทีของน้องสาว จะโทษนางก็โทษไม่ลง หากสกุลหลิ่วไม่ตกต่ำอย่างเช่นที่เป็นอยู่ คนที่ควรยืนเคียงคู่จินหยวนเป่าในเวลานี้ควรเป็นนาง…

เขาค่อยๆ หันกลับมาแล้วลุกขึ้นยืน หันไปถามจินฮูหยินอย่างนอบน้อม “ท่านอา ปกติบ่าวสาวแต่งงานกันครบสามวันจะต้องกลับบ้านฝ่ายหญิง วันนี้เป็นวันที่สอง จะให้ตระเตรียมการเดินทางให้คุณชายกับฮูหยินน้อยกลับหนานจิงล่วงหน้าเลยหรือไม่ขอรับ”

“กลับบ้านฝ่ายหญิง!?”

“กลับบ้านฝ่ายหญิง!?”

สองบ่าวสาวอุทานออกมาพร้อมกันด้วยความผงะอึ้ง

“ขอรับ” หลิ่วเหวินเจาพยักหน้ามองทั้งคู่

จินหยวนเป่าขมวดคิ้วปฏิเสธทันควัน “ระยะนี้ทางกองปราบยุ่งมาก ข้าไม่มีเวลา”

คดีนั้นเพิ่งจะเริ่มมีร่องรอยให้สาว จะให้เขาละทิ้งไปตอนนี้ได้อย่างไรกัน

“น้องหยวนเป่า นี่เป็นสมรสพระราชทานจากไทเฮา ท่านราชเลขาเจียงก็เป็นขุนนางสำคัญของราชสำนัก จะดูเบาไม่ได้นะ” พ่อบ้านหนุ่มนิ่งคิดเล็กน้อยแล้วพูดต่อ “อีกอย่างสกุลจินเราก็เป็นตระกูลที่ยึดถือขนบธรรมเนียมเคร่งครัด จะให้ผิดธรรมเนียมในด้านนี้ให้คนเอาไปติฉินไม่ได้”

จินฮูหยินพยักหน้าเห็นพ้อง ก่อนจะก้มหน้าลงจิบน้ำชาอึกหนึ่งแล้วว่า “เหวินเจากล่าวได้มีเหตุผล” จากนั้นก็หันไปถามอวี้ฉีหลิน “เสี่ยวเซวียน เจ้าเองก็คงอยากกลับไปหาท่านพ่อท่านแม่ใจแทบขาดแล้วสินะ”

กลับบ้านไปหาท่านแม่? ประโยคนี้ทำให้หัวใจของอวี้ฉีหลินเต้นโลดด้วยความปรีดา นั่นสินะ พิสูจน์แทนท่านแม่หรือจะสู้พาเขากลับไปหาท่านแม่เอง! เพียงแต่…

นางปรายตามองชายหนุ่มข้างตัว เห็นเขานิ่วหน้าบึ้งตึงก็รู้ว่าตัวเองจะดีใจจนออกนอกหน้าไม่ได้ จินหยวนเป่าเป็นคนคุ้มดีคุ้มร้าย หากโมโหขึ้นมา เกรงว่าคงไม่มีหวังจะได้ ‘กลับบ้านฝ่ายหญิง’ แล้ว

ดวงตาสุกใสกลอกไปมาหนึ่งตลบขณะคิดวางแผน จากนั้นก็รีบเก็บงำความยินดีเอาไว้ ทำหน้าละห้อยเอ่ยอึกๆ อักๆ “แน่นอนว่าข้าอยากพาสามีที่ต้องใจกลับบ้านไปให้ท่านพ่อท่านแม่ดู ตะ…แต่ว่า…ต่อให้ข้าต้องการทำอย่างนั้นสักแค่ไหน ก็ไม่อยากให้ท่านพี่กลับไปกับข้าหรอกเจ้าค่ะ”

จินหยวนเป่าผงะไปเล็กน้อย

“ทำไมกันเล่า” แม่สามีถามอย่างกังขา

อวี้ฉีหลินหลุบตาลง ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ “จากเมืองหลวงไปหนานจิงเป็นระยะทางกว่าพันลี้ ข้าเดินทางจากหนานจิงมาแต่งงาน รู้ดีว่าหนทางยากลำบากแค่ไหน หยวนเป่าไม่เคยเดินทางไกล อีกอย่างช่วงนี้เขาก็มีงานติดพัน จะไปจะกลับก็ต้องเร่งรีบ…” พูดมาถึงตรงนี้นางก็ทำเสียงสะอื้นเล็กน้อยก่อนจะอธิบายต่อ “ขะ…ข้าทนเห็นหยวนเป่าเหน็ดเหนื่อยไม่ได้จริงๆ เจ้าค่ะ!”

จินหยวนเป่าได้ยินดังนั้นก็รู้สึกอุ่นซ่านอยู่ในใจ นึกไม่ถึงจริงๆ ว่านางจะใส่ใจตนถึงเพียงนี้ แม้แต่โทสะที่เกิดจากนางใช้ยากับตนเองก็ยังเบาบางลงมาก

หากหญิงคนใดออกเรือนแล้วสามีไม่ยอมกลับบ้านเป็นเพื่อน เห็นทีคงจะถูกทางบ้านตนเองดูแคลนเอาแน่ ช่างเถิดๆ กลับบ้านเป็นเพื่อนนางสักรอบแล้วกัน

ชายหนุ่มคิดดังนั้นพลางพูดขึ้น “ข้าร่างกายแข็งแรงมาโดยตลอด ถึงงานจะยุ่งมาก…” พูดยังไม่ทันจบก็สังเกตเห็นคนข้างตัวยกแขนเสื้อขึ้นปิดหน้า คลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาเสียก่อน

หญิงคนนี้! เขาฉุนกึกเมื่อรู้ตัวว่าถูกหลอกเข้าเสียแล้ว ก่อนจะเปลี่ยนคำพูดทันที “งานยุ่งมาก อีกอย่าง…ข้ายังมีเรื่องอื่นต้องทำ ไม่มีเวลากลับบ้านฝ่ายหญิงหรอก! หากคิดถึงพ่อแม่ตัวเองนักก็กลับไปเองสิ!”

จินฮูหยินผงะอึ้ง ไม่คิดว่าลูกชายจะเย็นชาได้ขนาดนี้

อวี้ฉีหลินแสร้งทำท่ายกมือปาดน้ำตา แล้วแสดงความภักดีให้แม่สามีเห็นอย่างน่าสงสาร “ข้าเป็นคนสกุลจินแล้ว ท่านพี่ไม่กลับ ข้าก็จะไม่กลับ!”

เจ้าใช่เสียที่ไหนกันเล่า จินหยวนเป่าหางตากระตุกริกๆ พลางเบือนหน้ามาเค้นเสียงลอดไรฟันกระซิบริมหูอวี้ฉีหลินอย่างดุดัน “ยังจะพูดจาได้น่าคลื่นไส้กว่านี้อีกหรือไม่”

หญิงสาวยกแขนเสื้อขึ้นบังหน้า ทำทีเป็นเช็ดน้ำตา ทว่าฉวยโอกาสยักคิ้วให้เขา “ขอให้ได้ผลเป็นพอ”

จินฮูหยินซาบซึ้งกับคำพูดของสะใภ้ถึงขั้นตาแดงก่ำด้วยความสงสาร นางวางจอกชาไว้ข้างตัวแล้วเอ่ยชื่นชม “นึกไม่ถึงว่าเสี่ยวเซวียนจะมีน้ำใจรู้จักคิดขนาดนี้ แม่ตื้นตันยิ่งนัก อันคุณธรรมทุกประการนั้น สิ่งใดจะเหนือกว่าความกตัญญูเป็นไม่มี ถึงอย่างไรก็ต้องให้ความสำคัญกับใจกตัญญูของเสี่ยวเซวียนเป็นอันดับแรก เหวินเจา เจ้าไปจัดการไป ให้ออกเดินทางวันมะรืน”

หลิ่วเหวินเจาก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว “ขอรับ ท่านอา”

“ท่านแม่!” จินหยวนเป่าประท้วง “ลูกยังมีงานต้องทำ! ซ้ำในกองปราบ…”

“พอที!” หญิงวัยกลางคนโบกมือตัดบทลูกชายแล้วลุกขึ้นยืน “ตกลงตามนี้” จากนั้นก็หันมาพูดกับทุกคน “วันนี้พอแค่นี้แล้วกัน ทุกคนแยกย้ายกันได้แล้ว”

จินหยวนเป่าไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากลุกขึ้นมาค้อมคำนับมารดาคู่กับอวี้ฉีหลินแล้วเดินออกไปพร้อมกัน

พอพ้นห้องโถง หญิงข้างตัวเขาก็ทำหน้าบานอย่างลิงโลด ไม่คิดจะปกปิดใดๆ อีกแล้ว

ชายหนุ่มนึกชังสีหน้าเช่นนี้ของนางจนดวงตาแทบพ่นไฟได้!

อวี้ฉีหลินครวญเพลงเบาๆ ในคออย่างรื่นรมย์พลางเลิกคิ้วมองเขา “รีบไปเตรียมสัมภาระกลับบ้านกับข้าเสียสิ” พูดจบก็ส่ายเอวคอดกิ่วเดินนำสี่เอ๋อร์จากไป

นางจำทางเก่ง สามารถจดจำเส้นทางที่เดินผ่านมาเมื่อครู่ได้อย่างแม่นยำ ประกอบกับมีสี่เอ๋อร์อยู่ด้วย จึงทอดน่องเดินช้าๆ ไม่รีบร้อน เพลิดเพลินกับทัศนียภาพงดงามมาตลอดทาง

สี่เอ๋อร์เดินตามด้วยความกังวล เห็นอีกฝ่ายทำหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องก็ให้ขุ่นใจนัก “ยังกล้าตอบตกลงว่าจะกลับบ้านแม่อีกหรือ พวกเรากลับไปไม่ได้เป็นอันขาด กระดาษห่อไฟไม่ได้หรอกนะ พอกลับไปถึงหนานจิง พวกเราก็จบเห่กันแล้ว อาศัยช่วงเวลาระหว่างนี้หาทางหนีไปดีกว่า!”

“ทำไมข้าจะไม่รู้ว่ากลับบ้านสกุลเจียงของพวกเจ้าไม่ได้ แต่ตอนนี้พวกเรายังไม่อาจไปจากที่นี่” อวี้ฉีหลินอมยิ้มมองฝ่ายตรงข้าม

“ทำไมเล่า” สาวใช้สะดุ้งเฮือกอยู่ในใจ ก่อนจะมองนางอย่างระแวง “อ้อ ข้ารู้แล้ว! เจ้าอยากอยู่ในคฤหาสน์สกุลจิน อยากให้ใครต่อใครเรียกเจ้าว่าฮูหยินน้อยสินะ!”

“ใช่ที่ไหนกันเล่า!” อวี้ฉีหลินโต้กลับทันที “ข้ายังจัดการธุระไม่เสร็จ ตอนนี้เลยยังไปไม่ได้”

“ธุระอะไรกันที่สำคัญถึงเพียงนี้ หากยังไม่ไปอีก เรื่องจะแดงเอานะ! ไม่เห็นหรือว่าตอนยกน้ำชาเมื่อเช้า เจ้าไม่มีมาดคุณหนูเลยสักนิด” สี่เอ๋อร์ร้อนใจแทบคลั่ง

“แล้วอย่างไรเล่า” คู่สนทนาเอื้อมมือออกไปลูบดอกไม้ที่ผลิบานเต็มที่พลางพึมพำ “ข้าก็ยังทำให้จินฮูหยินสบอารมณ์มากๆ อยู่ดีไม่ใช่หรือ”

สี่เอ๋อร์อับจนด้วยคำพูด

“เอาน่าๆ!” อวี้ฉีหลินเห็นอีกฝ่ายทำปากอูดก็รู้ได้ว่าไม่พอใจ จึงเอ่ยปลอบประโลม “วางใจเถิด ไว้ข้าจัดการธุระเสร็จเมื่อไร จะไม่โอ้เอ้อยู่ที่นี่ต่อแม้แต่วันเดียว ข้าจะจัดการธุระให้เสร็จภายในสามวัน จากนั้นจะต้องคิดหาวิธีไปจากที่นี่แน่”

สี่เอ๋อร์เอาแต่จ้องมองคนพูดเขม็ง ไม่ตอบโต้ สักพักถึงค่อยพูดอย่างอับจนหนทาง “ตอนนี้ชีวิตข้าอยู่ในมือเจ้าแล้ว หวังว่าเจ้าจะรักษาคำพูดล่ะ”

“วางใจได้เลยน่า!” อวี้ฉีหลินตบบ่าอีกฝ่ายดังปุๆ

สาวใช้เดินตามหลังเจ้านายกำมะลอด้วยสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ นางมองแผ่นหลังฝ่ายตรงข้ามแล้วให้รู้สึกว่าทุกอากัปกิริยาเทียบคุณหนูของตนไม่ติดแม้แต่นิดเดียว สี่เอ๋อร์โอดครวญในใจ คุณหนู! ท่านอยู่ที่ใดกันแน่!

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

หน้าที่แล้ว1 of 11

Comments

comments

Jamsai Editor: