X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่านนิยาย โฉมสะคราญล่มเมือง เล่ม 1 บทที่ 1-บทที่ 2

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่หนึ่ง

 

ช่วงต้นฤดูหนาว ท้องฟ้าเพิ่งจะสว่าง หมอกบางก็ปกคลุมไปทั่ว โลกดั่งทาย้อมด้วยสีขาวเทาช่างดูขมุกขมัว จืดจางเย็นชืดเป็นพิเศษ เดิมทีที่นี่เป็นเมืองเล็กที่ห่างไกลความเจริญอยู่แล้ว เมื่อบรรยากาศรอบด้านเป็นเช่นนี้จึงยิ่งทำให้ดูรกร้างเงียบเหงาเป็นเท่าทวี

“พี่ซุนเอ้อร์ พี่ซุนเอ้อร์!” ชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดทหารถือโคมไฟเดินมาจากที่ไกล คิ้วเข้มตาโต ท่าทางทึ่มทื่อ ปากพ่นควันขาวก่อนร้องตะโกนไปยังป้อมทหารตรงปากประตูเมือง

ผ่านไปไม่นาน มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินออกมาจากป้อมทหารนั่น ทันทีที่เขามองเห็นชายหนุ่มที่ตะโกนเรียกตน ใบหน้าอูมนั้นก็เผยรอยยิ้มออกมาในทันใด “ข้าคิดว่าเป็นใครเสียอีก ที่แท้ก็เสี่ยวซูนั่นเอง มาเปลี่ยนเวรยามแต่เช้าเช่นนี้เชียวหรือ”

ชายหนุ่มยิ้มซื่อๆ “ใช่แล้ว พี่ซุนเอ้อร์ อยู่เวรมาทั้งคืนคงเหนื่อยแล้วกระมัง รีบกลับบ้านเถอะ พี่สะใภ้คงต้มน้ำร้อนรอพี่แล้ว”

ซุนเอ้อร์โบกๆ มือพลางกล่าว “เสี่ยวซู ในกลุ่มทหารเวรเจ้ากระตือรือร้นที่สุด แต่เจ้าดูตนเองสิ ในบ้านยังมีแม่แก่ๆ ต้องให้เจ้าดูแล เจ้าจะมาเช้าเช่นนี้ไปทำไม หนาวขนาดนี้ทั้งอีกตั้งนานกว่าจะถึงเวลาเปิดประตูเมือง”

ชายหนุ่มได้ยินซุนเอ้อร์กล่าวเช่นนั้นก็เพียงยิ้มบางพลางเดินไปถึงข้างป้อมทหาร วางโคมไฟในมือลงแล้วหันหน้ามาพูดกับซุนเอ้อร์ “พี่ซุนเอ้อร์ ข้าเอาเหล้ามานิดหน่อย พี่ลองชิมดูสิ อากาศเย็นเยือก ร่างกายจะได้อบอุ่นขึ้น”

“เจ้าเด็กน้อยรู้ใจข้าจริง เหล้าเป็นของดีนะ…”

ชายหนุ่มหยิบน้ำเต้าใบเล็กออกมาจากอกเสื้อแล้วยื่นให้ซุนเอ้อร์ ซุนเอ้อร์รับมา พบว่าสุรานั้นยังอุ่นอยู่ก็ดีใจจนยิ้มไม่หุบ จึงรีบดื่มเข้าไปสองอึกแล้ววางน้ำเต้าลง ใบหน้านั้นขึ้นสีแดงเรื่อ “เหล้านี้ไม่เลวจริงๆ ไม่ได้ดื่มเหล้ารสดีเช่นนี้มาหลายวันแล้ว เจ้าไปเอามาจากที่ใดหรือ”

ชายหนุ่มเกาหัวอย่างขัดเขิน “หลายวันก่อนตอนแม่ทัพหลินเดินทางผ่านมา เขาโยนมาให้ข้า”

สถานที่แห่งนี้เป็นเมืองที่ห่างไกลความเจริญที่สุดเมืองหนึ่งในแคว้นฉี่หลิง ซึ่งไม่ใช่เมืองอู่ข้าวอู่น้ำและไม่ใช่เมืองสำคัญทางการทหาร ปกตินอกจากขุนนางท้องถิ่นแล้ว แทบจะไม่มีขุนนางคนใดมาเยือนที่นี่เลย แต่แล้วเดือนก่อนมีขุนนางคนสำคัญของเมืองหลวงผู้เป็นขุนศึกนักรบแห่งแคว้นมาเยือน ซึ่งก็คือแม่ทัพหลินรุ่ยเอินผู้ถูกขนานนามว่าเป็น ‘กำแพงแห่งแคว้นฉี่หลิง’ การมาเยือนของแม่ทัพหลินทำให้เมืองเล็กคึกคักไปทั่ว แม้ว่าจะพักอยู่เพียงวันเดียวก็จากไป แต่ยังคงทิ้งหัวข้อสนทนาที่คุยกันได้ไม่มีวันจบให้กับราษฎรในเมืองนี้

“เป็นของแม่ทัพหลินเองหรือ” ซุนเอ้อร์มีท่าทางชื่นชมอย่างมาก “อายุพอๆ กับเจ้า แต่ได้เป็นแม่ทัพแล้ว ช่างเป็นวีรบุรุษรุ่นเยาว์จริงๆ”

“นั่นสิ นิสัยก็ดี ไม่ถือยศศักดิ์ ถือเป็นแม่ทัพที่ดีคนหนึ่ง”

ซุนเอ้อร์ดื่มสุราอีกหนึ่งอึกแล้วย่อตัวนั่งลงตรงหน้าป้อมทหาร ร่างกายอบอุ่นขึ้น พอพูดถึงแม่ทัพหลิน เขาก็มีเรื่องพูดยืดยาว “จะว่าไปแล้ว มันเป็นยุคของวีรบุรุษรุ่นเยาว์จริงๆ ตอนนี้คนที่กุมอำนาจสำคัญในเมืองหลวง ไม่ว่าจะเป็นอัครเสนาบดีโหลวเช่อที่กุมอำนาจปกครอง หรือแม่ทัพหลินรุ่ยเอินที่กุมอำนาจทหาร ก็ล้วนมีอายุพอกับเจ้าเลยเสี่ยวซู แม้แต่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ปีที่แล้วก็เพิ่งทรงมีพระโอรสองค์ที่สอง ล้วนเป็นวีรบุรุษรุ่นเยาว์ทั้งนั้น”

“อัครเสนาบดีโหลวก็มีอายุน้อยขนาดนั้นเชียวหรือ ข้าจำได้ว่าตอนเขารับตำแหน่งก็มีอายุพอสมควรแล้ว” เสี่ยวซูถามด้วยความสงสัย

“เจ้าไม่รู้หรือเสี่ยวซู อัครเสนาบดีโหลวเป็นอัครเสนาบดีที่อายุน้อยที่สุดในราชสำนัก ตอนเขาขึ้นเป็นอัครเสนาบดีอายุราวยี่สิบสองปีเท่านั้น ผ่านไปสี่ปี ตอนนี้ก็ราวยี่สิบหกยี่สิบเจ็ด อายุเท่านี้ก็มีอำนาจเต็มมือแล้ว”

“อายุน้อยขนาดนี้เชียวหรือ…” เสี่ยวซูเอ่ยชื่นชมขึ้นมาบ้าง “คิดว่าคงเป็นคนหนุ่มที่สง่างามมีความสามารถ รวมทั้งสุขุมคัมภีรภาพคนหนึ่ง” เสี่ยวซูคิดถึงแม่ทัพหลินที่ตนเคยเห็น เขามีความสุภาพหล่อเหลา สง่างามเกินใคร เมื่อวิเคราะห์ได้เช่นนี้แล้ว อัครเสนาบดีโหลวก็คงเป็นคนมากความสามารถที่หาได้ยากเช่นเดียวกัน

ซุนเอ้อร์ได้ฟังคำพูดนี้แล้วกลับหัวเราะเสียงเย็น เมื่อเห็นเสี่ยวซูมองมาด้วยแววตาสงสัย เขาจึงดื่มสุราไปอีกหนึ่งอึกแล้วอธิบายอย่างช้าๆ “ได้ยินว่าอัครเสนาบดีโหลวเป็นเหมือนคนที่มาจากสวรรค์ แต่ถ้าพูดถึงนิสัยใจคอของเขาแล้ว ช่างต่างกับแม่ทัพหลินลิบลับ เรื่องที่อัครเสนาบดีโหลวเล่นอำนาจ ทั้งยังใช้มือเดียวปิดฟ้า* ก็ไม่ใช่เรื่องที่เกิดแค่วันสองวันนี้แล้ว”

“พี่ซุนเอ้อร์พูดเช่นนี้ หมายความว่าเขาเป็นขุนนางชั่วร้ายหรือ” ชายหนุ่มถาม

ซุนเอ้อร์ถอนหายใจยาวก่อนตอบ “ก็ไม่นับว่าเป็นขุนนางชั่วร้าย หลายปีมานี้ไม่เคยได้ยินว่าเขารังแกกดขี่ราษฎร หรือแย่งชิงสมบัติใคร พูดได้แค่ว่า…เป็นคนร้ายดีอย่างละครึ่งกระมัง”

ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังคุยกันอย่างออกรสชาติ นอกประตูเมืองก็ปรากฏมีรถม้าคันหนึ่งวิ่งทะยานมา ซุนเอ้อร์และเสี่ยวซูต่างเงยหน้าขึ้นมอง เพียงพริบตารถม้าก็เข้ามาใกล้ประตูเมืองห่างออกไปเพียงสามสิบกว่าจั้ง** เท่านั้น ซุนเอ้อร์ลุกยืน แกว่งน้ำเต้าในมือไปมา มองดูรถม้าคันนั้นอย่างนึกสงสัย

ในเวลารุ่งสางประตูเมืองยังไม่เปิด ผู้ใดกันหนอรีบร้อนจะเข้าเมืองเช่นนี้

รถม้าคันนั้นมีขนาดใหญ่กว่ารถม้าทั่วไปเล็กน้อย รูปแบบธรรมดา ไม่หรูหราอะไร แต่ซุนเอ้อร์มองปราดเดียวก็รู้ว่าคนในรถม้านั้นต้องมิใช่ธรรมดาแน่นอน แม้รถม้าจะดูเหมือนปกติทั่วไป แต่การใช้ม้าสองตัวลากรถนั้นพบเห็นได้น้อย ส่วนเจ้าม้าก็มีสีขาวทั้งตัว สูงใหญ่บึกบึนสง่างาม ยิ่งไปกว่านั้นม้าทั้งสองตัวยังมีลักษณะเหมือนกันทุกประการ แม้กระทั่งก้าวย่างในการวิ่งก็มีความเร็วระดับเดียวกัน รถม้าเคลื่อนตัวอย่างมั่นคงอยู่บนทางขรุขระราวกับวิ่งอยู่บนพื้นราบ ความเร็วก็เร็วกว่ารถม้าทั่วไปมากนัก

เพียงพริบตารถม้าก็เคลื่อนมาถึงตรงหน้าคนทั้งสอง คนบังคับม้าเป็นชายฉกรรจ์วัยกลางคน พอเขาดึงเชือกบังคับ ม้าทั้งสองตัวก็หยุดวิ่งพร้อมกันเหมือนถูกฝึกมาอย่างดี น่าดูชมอย่างมาก ซุนเอ้อร์มั่นใจในความคิดของตนเองยิ่งขึ้นจึงไม่กล้าชักช้า รีบเดินเข้าไปสอบถาม “ขอถามพี่ชายคนบังคับม้า ตอนนี้ประตูเมืองยังไม่เปิด จะรีบร้อนเข้าเมืองแต่เช้าหรือ” ซุนเอ้อร์พูดพลางเงยหน้าขึ้น เห็นหน้าคนบังคับม้าแล้วก็ตะลึงไป บนใบหน้าของอีกฝ่ายมีแผลเป็นรอยดาบยาวจากหางตาไปถึงมุมปาก ทำให้เขาดูดุร้ายน่ากลัวยิ่งนัก

ชายฉกรรจ์เห็นท่าทางตื่นตกใจของซุนเอ้อร์แล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่กลับฉีกยิ้มให้แล้วพูดกับซุนเอ้อร์ด้วยเสียงอ่อนโยน “นายท่าน พวกเราอยากจะขอเข้าเมืองก่อน ไม่รู้ว่าพอจะเปิดทางสะดวกให้ได้หรือไม่”

เมื่อบนใบหน้าชายฉกรรจ์ปรากฏรอยยิ้ม กลับมิได้ช่วยให้ซุนเอ้อร์คลายความตื่นตกใจ แต่ทำให้เขาหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิม ผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงดึงสติกลับมาได้ “เรื่องนี้…เกรงว่าคงไม่ได้ ไม่มีป้ายคำสั่งจากผู้เป็นนาย พวกเราจะปล่อยคนเข้าเมืองก่อนเวลาเองไม่ได้”

ชายฉกรรจ์แสดงสีหน้าลำบากใจ มือใหญ่ยกขึ้นเกาท้ายทอย “นายท่าน พวกเราไม่มีป้ายคำสั่ง แต่พวกเราไม่ใช่โจรผู้ร้ายแน่นอน ขอให้อำนวยความสะดวกแก่พวกเราด้วยเถิด”

ได้ยินบทสนทนาของพวกเขาแล้ว เสี่ยวซูก็เดินเข้าไปพูดกับชายฉกรรจ์ว่า “พี่ชายท่านนี้ ท่านอย่าทำให้พี่ซุนเอ้อร์ลำบากใจเลย พวกเราเป็นเพียงทหารเฝ้าประตู ปล่อยคนเข้าไปโดยไม่มีคำสั่งจากผู้เป็นนาย จะต้องรับผิดชอบอย่างหนัก”

* ใช้มือเดียวปิดฟ้า เป็นสำนวน หมายถึงอาศัยอำนาจปิดหูปิดตาผู้คนไม่ให้รับรู้ความจริง

** จั้ง เป็นหน่วยมาตราวัดของจีน เทียบได้ระยะประมาณ 3.33 เมตร

ชายฉกรรจ์ได้ฟังเสี่ยวซูพูดเช่นนี้ก็ตะลึงไป ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรต่อไปดี

ขณะที่สถานการณ์กำลังตึงเครียด ก็มีเสียงหญิงสาวที่น่าฟังดังลอดออกมาจากในรถม้า “โหลวเซิ่ง”

ชายฉกรรจ์ผู้ถูกเรียกว่า ‘โหลวเซิ่ง’ ลงจากรถอย่างนอบน้อมในทันที แล้วยื่นมือไปเลิกม่านรถม้าที่หนาหนักนั้นขึ้นด้วยกิริยาดูระมัดระวังยิ่ง

ซุนเอ้อร์และเสี่ยวซูอดใจไม่ไหวต้องมองเข้าไปในรถม้าคันนั้นพร้อมกัน

ภายในตัวรถกว้างขวางยิ่ง มีหญิงสาวในชุดสีขาวกึ่งเอนพิงอยู่บนพนักเก้าอี้ตัวหนึ่ง ผมยาวราวแพรไหมกว่าครึ่งถูกผูกขึ้นด้วยแถบผ้าไหมสีเงิน ที่เหลือสยายลงปรกลาดไหล่ เสี่ยวซูได้เล่าเรียนมาไม่กี่ปี แต่เมื่อเห็นหญิงสาวในรถม้าแล้ว ‘งามล้ำเลิศหล้า’ สี่คำนี้กลับผุดขึ้นมาในสมองของเขา

เขาไม่เคยเห็นหญิงที่งดงามเช่นนี้มาก่อน สามส่วนดูสวยสง่า สามส่วนดูหมดจดงดงาม สามส่วนดูสูงศักดิ์ และอีกหนึ่งส่วนสามารถดูดวิญญาณผู้พบเห็นได้

หญิงสาวในรถเห็นท่าทางตกตะลึงของซุนเอ้อร์และเสี่ยวซูก็ฉีกยิ้มบางๆ “พี่ชายทั้งสอง พวกเราไม่ใช่คนเลวจริงๆ ที่วันนี้รีบร้อนเข้าเมืองเพราะจะรีบไปตามญาติที่กำลังจะออกนอกด่าน ขอให้พี่ชายช่วยอำนวยความสะดวกด้วยเถิด” พูดจบนางก็ยื่นมืองามข้างหนึ่งออกมา บนมือนั้นมีแท่งทอง* หนักห้าตำลึงวางอยู่

สาวงามฉีกยิ้ม ราวกับหิมะเริ่มหลอมละลาย ดอกไม้ฤดูใบไม้ผลิกำลังผลิบาน เสี่ยวซู่มองไปยังแท่งทองบนฝ่ามืออีกฝ่าย สมองราวกับถูกสายฟ้าฟาด ไอร้อนทะลักขึ้นมา ใบหน้าพลันแดงก่ำ “พะ…พวกเราไม่ได้ต้องการเงิน ถ้าพวกท่านมีเรื่องเร่งด่วนจริง เช่นนั้นก็ไปเถอะ พวกเราไม่ได้ต้องการข่มขู่เพื่อเอาเงินทอง…” เพราะเกรงว่าตนเองจะถูกคนงามราวนางฟ้าผู้นี้ดูหมิ่น เสี่ยวซูจึงรู้สึกอายจนเริ่มโมโหขึ้นมา

ซุนเอ้อร์อ้าปาก เหมือนอยากจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยมันออกมา

หญิงผู้นั้นแสดงอาการประหลาดใจ จากนั้นก็รีบเก็บเงินแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าเข้าใจพี่ชายทั้งสองผิดไป ได้โปรดให้อภัยด้วย”

ประตูเมืองค่อยๆ เปิดออกกว้าง รถม้าคันหนึ่งวิ่งทะยานไป ก่อนจะหายลับไปตรงมุมถนนภายในพริบตา

ซุนเอ้อร์มองดูทางที่ว่างเปล่าไร้ผู้คน แล้วหันมาพูดกับเสี่ยวซูเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ “เมืองของพวกเราคงจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว”

เสี่ยวซูสีหน้างุนงง “เหตุใดพี่ซุนเอ้อร์จึงพูดเช่นนี้”

“คนหนุ่มเช่นเจ้าผ่านโลกมาน้อยนัก…” ซุนเอ้อร์ยกน้ำเต้าสุราขึ้นมาแล้วดื่มไปอีกอึกใหญ่ ก่อนจะเอ่ยคำที่เหมือนจะพูดกับเสี่ยวซู แต่ก็เหมือนพูดกับตนเอง “นั่นเป็นเสื้อที่ทำจากขนเตียวหิมะ* เชียวนะ โลกนี้จะมีสักกี่คนที่สวมใส่ได้…”

เสี่ยวซูฟังไม่ชัดเจน จึงถามต่อไปว่า “พี่ซุนเอ้อร์ พี่ว่าอะไรนะ”

ซุนเอ้อร์หันหน้ามาก่อนกล่าว “ข้าว่าแผ่นดินนี้ถึงคราเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว”

 

รถม้าทะยานไปตามเส้นทางแคบเล็ก ทว่ายังคงวิ่งไปด้วยความรวดเร็วและมั่นคง

ชายฉกรรจ์ที่บังคับม้าเห็นว่าปลอดคน จึงพูดกับคนในรถขึ้นทันใด “ฮูหยิน เหตุใดเมื่อครู่จึงไม่เอาป้ายคำสั่งของแม่ทัพหลินออกมาล่ะขอรับ

* สมัยโบราณชาวจีนนำเงินขาวและทองคำมาหล่อเป็นแท่ง มูลค่าแตกต่างตามขนาดซึ่งจะระบุไว้บนแท่งว่าหนักเท่าไร

* เตียว เป็นคำเรียกสัตว์ตระกูลมิงก์ เออร์มิน เซเบิ้ล และมาร์เทิน ขนหนานุ่มมีค่ามาก มักใช้เป็นเครื่องนุ่งห่มกันหนาว

ผ่านไปครู่หนึ่งจึงมีเสียงพูดลอดออกมาจากด้านในรถม้า “ที่นี่ถึงแม้จะเป็นที่ห่างไกลความเจริญ แต่ก็เป็นเขตอำนาจของราชสำนัก ถ้าเปิดเผยฐานะไป ด้วยอำนาจของเขา เกรงว่าพวกเราคงยากจะออกจากด่านได้”

ชายฉกรรจ์ฟังออกถึงความจนใจในน้ำเสียงของหญิงสาวในรถม้า จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “พูดไปก็แปลก ตลอดทางมานี้ มีที่ใดบ้างที่ไม่ยื่นมือขอเงิน แต่ทหารสองคนเมื่อครู่กลับไม่ต้องการ ช่างน่าแปลกจริงๆ”

“ไม่แปลกหรอก ยิ่งเป็นสถานที่ห่างไกลความเจริญเช่นนี้ คนจะยิ่งมีความสัตย์ซื่อ เมื่อไม่มีความหรูหราจอมปลอมเคลือบไว้ ก็จะพบความจริงแท้ได้” เสียงของหญิงสาวค่อยๆ เบาลง จนสุดท้ายก็เงียบไป

ชายฉกรรจ์ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก บนถนนที่เงียบสงัดได้ยินเพียงเสียงล้อรถและฝีเท้าม้าเท่านั้น

ผู้คนในเมืองเล็กคงคิดไม่ถึงว่าเสียงฝีเท้าม้านี้เองที่นำพวกเขาไปสู่หน้าประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นยุคสมัยแห่งความวุ่นวาย

ประวัติศาสตร์บันทึกไว้เช่นนี้

 

ครานั้นเป็นรัชศกเทียนไจ่ปีที่สี่ ภรรยาโหลวเช่ออัครเสนาบดีคนปัจจุบันหนีออกจากเมืองหลวงตอนต้นฤดูหนาว ไปถึงด่านชายแดนอันเป็นจุดกำเนิดแห่งสงครามอวี้ตู

 

คนรุ่นหลังขนานนามการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ว่า ‘กลียุคหญิงงาม’

บทที่สอง

 

ปีแรกของรัชศกเทียนไจ่ เจิ้งหลิวองค์ชายผู้ได้รับความรักจากราษฎรมาโดยตลอดได้ขึ้นครองราชย์ในต้นฤดูใบไม้ผลิ มีเรื่องมากมายให้เฉลิมฉลอง บรรยากาศเจิดจ้าสดใสเป็นอย่างยิ่ง

วันนี้เป็นวันที่วัดหงฝูคึกคักที่สุดในรอบปี ผู้มาจุดธูปบูชาคับคั่ง ไม่เพียงแต่มีราษฎรทั่วไปมาไหว้พระเท่านั้น แม้แต่ขุนนางคนใหญ่คนโตในเมืองหลวงก็มีมาไม่น้อย ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือได้ยินว่าสาวงามสองนางที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวงก็จะมาจุดธูปบูชาในวันนี้เช่นกัน

เหยาอิ๋งธิดาราชบัณฑิตแห่งสำนักราชบัณฑิตและอวี๋กุยหวั่นธิดาแม่ทัพตรวจการแห่งเมืองหลวง ผู้ที่เคยพบเจอสตรีทั้งสองนางมาก่อนให้คำเปรียบเปรยไว้ว่า ‘คนหนึ่งเป็นดอกไม้งามต้องจันทรา อีกคนอ่อนพลิ้วดังหลิวต้องลม’

เกี้ยวสี่คนหามสีแดงเข้มคันหนึ่งมาหยุดลงตรงประตูวิหารก่วงลี่ที่อยู่ห่างไกลมิดชิดที่สุดในวัดหงฝู พอเกี้ยวแตะพื้น สาวใช้คนหนึ่งก็เดินเข้าไปยื่นมือพลิกเปิดผ้าม่านแล้วพูดกับคนในเกี้ยวว่า “คุณหนู พวกเรามาถึงแล้วเจ้าค่ะ”

คนผู้หนึ่งเดินออกมาจากในเกี้ยวอย่างแช่มช้า แม้ว่าจะเห็นโฉมหน้าของคุณหนูมาจนชินแล้ว แต่พลยกเกี้ยวทั้งสี่ยังคงรู้สึกเหมือนอากาศรอบข้างถูกดูดไปจนหมดสิ้นทุกครั้งที่เห็นใบหน้างามของนาง

กุยหวั่นเดินออกมาจากในเกี้ยว เหลือบเห็นว่านอกวิหารนั้นยังมีเกี้ยวอยู่อีกสองคันก็ให้รู้สึกประหลาดใจ ไม่รู้ว่ายังมีผู้ใดอีกที่เลือกวิหารใหญ่อันเงียบสงบห่างไกลผู้คนแห่งนี้เช่นกัน

กุยหวั่นยิ้มบางๆ แล้วสั่งให้พลยกเกี้ยวไปพักผ่อน จากนั้นก็หันหน้ามาเดินนำสาวใช้นามหลิงหลงเข้าไปในวิหาร

วิหารก่วงลี่มีเณรน้อยมารออยู่ข้างๆ ก่อนแล้ว เมื่อเห็นอวี๋กุยหวั่นและสาวใช้ค่อยๆ เดินมาก็รีบเข้าไปต้อนรับ ทว่าพอได้เห็นโฉมหน้าของกุยหวั่นอย่างชัดเจน เณรน้อยก็ตะลึงไป คิดไม่ถึงว่าใต้หล้าจะมีสาวงามเช่นนี้อยู่ ตอนนี้ในที่สุดก็เข้าใจว่าเหตุใดต้าซือแห่งหอต๋าหมัวจึงส่งตัวเขาซึ่งมีอายุน้อยกว่าเป็นรุ่นซึ่งฝึกสมาธิแก่กล้าแล้วมาคอยเฝ้าประตู

พอตั้งสติได้แล้ว เขาจึงโค้งคำนับกุยหวั่น “สีกาอวี๋ ต้าซือกำลังรออยู่ เชิญเดินตามข้ามาเถอะ”

กุยหวั่นพยักหน้า “ขอท่านเณรน้อยโปรดนำทางด้วย”

 

ระหว่างเดินไปทางใจกลางวิหาร คนทั้งสามต่างนิ่งเงียบไปตลอดทาง ทำให้วัดที่สงบเงียบดูขลังยิ่งกว่าเดิม พอเดินเลี้ยวโค้ง กุยหวั่นก็เห็นว่าตรงหน้าองค์พระนอกจากจะมีหงหย่วนต้าซือยืนอยู่ ยังมีชายหนึ่งหญิงหนึ่งอยู่ด้วย แม้ว่าจะเห็นเพียงแผ่นหลัง แต่ด้วยเนื้อผ้าสูงค่าอีกทั้งท่าทางไม่ธรรมดา คิดว่าคงจะเป็นขุนนางใหญ่ในราชสำนักเป็นแน่

หงหย่วนต้าซือท่าทางเคร่งขรึม กำลังพูดคุยอะไรกับพวกเขา ในมือหญิงสาวถือเซียมซีไว้ก้านหนึ่ง เห็นทีคงกำลังถอดความเซียมซีอยู่ ชายหนุ่มยืดตัวตรงยืนอยู่ข้างๆ คนทั้งสามไม่ได้สังเกตเห็นการมาถึงของพวกกุยหวั่น

หญิงสาวที่ถือไม้เซียมซีวางมันลงบนโต๊ะแล้วยืนขึ้น ก่อนจะหมุนตัวมาประสานสายตากับกุยหวั่น กุยหวั่นตกตะลึง หญิงผู้นั้นก็เช่นกัน ส่วนคนที่เหลือในวิหารต่างนิ่งงันกันไปหมด

ผู้ที่อยู่ตรงนั้นไม่มีทางลืมภาพฉากนี้ไปชั่วชีวิต สาวงามล้ำเลิศสองคนมายืนอยู่ด้วยกัน คนหนึ่งเป็นหญิงงามล่มบ้านล่มเมือง อีกคนรูปโฉมและสติปัญญาไม่มีที่ติ ประหนึ่งตะวันและจันทราที่พร้อมใจกันสาดแสงจนทำให้ภายในวิหารแห่งนี้สว่างเจิดจ้า

เสียงหัวเราะนุ่มนวลเสียงหนึ่งทำลายภาพฉากนี้ลง กุยหวั่นมองไปตามเสียง คิดไม่ถึงเลยว่าในวิหารแห่งนี้ยังมีคนที่ดูสะดุดตาอย่างมากยืนอยู่อีกคนหนึ่ง

ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างกายหญิงสาวผู้นั้นดวงตาอ่อนโยน หน้าตาหล่อเหลาราวหยก เขาพูดกับหญิงสาวข้างกายด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าดูสิ ข้าพูดไม่ผิดใช่หรือไม่”

เมื่อหลายวันก่อน เขาเพิ่งจะล้อนางเล่นถึงเรื่องนี้ “เจ้าทะนงในความงามของตนเอง คิดว่าโลกนี้ไม่มีหญิงที่ทัดเทียมเจ้าได้ใช่หรือไม่เล่า”

หญิงสาวคนนั้นฉีกยิ้มราวกับดอกไม้ฤดูใบไม้ผลิบานพร้อมกัน แต่กลับพูดกับกุยหวั่นว่า “ท่านนี้คิดว่าคงเป็นคุณหนูอวี๋สินะ”

กุยหวั่นมีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าเช่นกัน รอยยิ้มนี้ราวกับแสงจันทร์สว่างในฤดูใบไม้ร่วง “ท่านคือคุณหนูเหยา?”

ทั้งสองล้วนมองฐานะของอีกฝ่ายออกในทันที เหยาอิ๋งทะนงตนมาตลอด วันนี้เห็นกุยหวั่นก็รู้สึกตกใจยิ่ง กำลังคิดจะอ้าปากกล่าวต่อ หางตาก็เหลือบเห็นท่าทางเคร่งขรึมของหงหย่วนต้าซือ สีหน้าจึงหมองคล้ำลง ฉายความเศร้าสลดออกมา

กุยหวั่นรู้สึกตกใจ แต่ไม่ได้เอ่ยถามในทันที เห็นว่าเหยาอิ๋งพยักหน้าให้นาง จึงคำนับเป็นมารยาทคืนไปเล็กน้อย

หลังจากนั้นเหยาอิ๋งก็ไม่ได้พูดอะไรอีก นางเดินออกไปนอกวิหาร ช่วงเวลาที่เดินผ่านข้างกายของกุยหวั่น กุยหวั่นเหมือนจะเห็นหางตาของนางมีน้ำตาคลอขังอยู่ ส่วนชายหนุ่มรูปงามข้างกายของนางยังคงมีรอยยิ้ม ท่าทางสุภาพอ่อนโยน เพียงแต่ในดวงตาแฝงความจนใจบางๆ เอาไว้

หงหย่วนต้าซือเงยหน้าขึ้นมา เผยรอยยิ้มมีเมตตาเป็นมิตรให้กับกุยหวั่น สองมือประนมขึ้นแล้วพูดว่า “สีกาอวี๋ วันนี้จะฟังเทศน์หรือไหว้พระ”

ในใจกุยหวั่นยังคงติดอยู่กับภาพคนคู่นั้น จึงคิดอะไรแปลกๆ ขึ้นมาแล้วตอบว่า “วันนี้ข้าจะเสี่ยงเซียมซี”

หงหย่วนต้าซือรู้สึกตกใจอยู่บ้าง มองกุยหวั่นนิ่งครู่หนึ่ง จากนั้นก็ก้มหน้าลง ภาพเมื่อครู่ปรากฏขึ้นตรงหน้าอีกครั้ง

หญิงสาวผู้นั้นมีนามว่าเหยาอิ๋ง เมื่อครู่นางเสี่ยงได้เซียมซีก้านหนึ่ง เป็นสุดยอดเซียมซี นับจากเขาออกบวชเป็นเวลาเกือบสี่สิบปี เคยเจอเพียงผู้เดียวที่เสี่ยงได้เซียมซีเช่นนี้ นั่นก็คืออดีตไทเฮา ตอนยังทรงมีชีวิตอยู่ได้รับเกียรติยศและฐานะสูงส่ง อยู่เหนืออำนาจทั้งปวง แต่ทว่าเพราะไปเกี่ยวพันกับเรื่องขององค์รัชทายาท สุดท้ายจึงต้องตายด้วยสุราพิษเพียงหนึ่งจอก

วันนี้ได้เห็นเซียมซีที่เรียกว่า ‘ตี้หวงเยี่ยน’ อีกครั้งหงหย่วนรู้สึกสับสน ตามตำนาน หญิงสาวที่เสี่ยงเซียมซีนี้ได้มีชีวิตที่สูงศักดิ์อย่างมาก ถึงขั้นสามารถกลายเป็นชนวนกระทบถึงราชสำนัก อดีตไทเฮาก็เคยเล่นกับอำนาจ ใช้นามโอรสสวรรค์สั่งการทหาร

เหยาอิ๋งจะเป็นผู้ที่เข้าไปข้องเกี่ยวกับอำนาจฮ่องเต้คนถัดไปอย่างนั้นหรือ

หญิงสาวที่งดงามเช่นนี้จะเดินไปบนเส้นทางแห่งอำนาจนั้นหรือ

“ต้าซือ…” กุยหวั่นเรียกเสียงเบา หงหย่วนในวันนี้ดูประหลาดอยู่บ้าง ท่าทางเคร่งเครียด ในดวงตาปรากฏความเศร้าสลดซึ่งมีเพียงผู้ที่ละกิเลสไม่ได้เท่านั้นที่ควรมี

หงหย่วนค่อยๆ สงบจิตใจลงก่อนมองดูหญิงสาวผู้งดงามเป็นหนึ่งตรงหน้า แล้วพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ในเมื่อสีกาอวี๋มีใจจะเสี่ยงเซียมซี อาตมาก็ยินดีจะถอดความให้”

กุยหวั่นพยักหน้า “ข้าเชื่อใจต้าซือ”

หงหย่วนเป็นสมณะชั้นสูง มีชื่อเสียงว่าเป็นผู้เห็นแจ้ง คำทำนายที่ออกจากปากของเขาจะต้องเป็นจริงอย่างแน่นอน

หงหย่วนยืนอยู่ด้านข้าง มองดูกุยหวั่นคุกเข่าตรงหน้าพระพุทธองค์ เขาผายมือออกดูเซียมซี ‘ตี้หวงเยี่ยน’ ก้านนั้นที่อยู่บนมือ ก่อนจะประนมมือแล้วท่องคำเบาๆ “พุทธองค์ทรงเมตตา อมิตาภพุทธ” เห็นเพียงสองมือของเขาที่ประนมไว้มีผงฝุ่นบางเบาแทบมองไม่เห็นร่วงลงมาไม่กี่สาย รอจนเขาผายมือออกอีกครั้ง ในมือก็ไม่มีอะไรเหลืออยู่แล้ว

ในขณะเดียวกันเซียมซีก้านหนึ่งก็หลุดจากกระบอกหล่นลงพื้น กุยหวั่นหยิบเซียมซีแล้วยืนขึ้น เดินมาหาเขาอย่างสดใส ในพริบตานั้นเองหงหย่วนราวกับได้ย้อนกลับไปเมื่อสามสิบปีก่อนหน้านี้ หญิงสาวงดงามใสซื่อผู้นั้นถือเซียมซีเดินอย่างเร็วรี่มาหาเขา ให้เขาซึ่งเป็นภิกษุที่มีระดับขั้นไม่สูงถอดความให้ เซียมซีก้านนั้น…

ตี้หวงเยี่ยน…

เป็นตี้หวงเยี่ยนจริงๆ!

เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร

หงหย่วนรับเซียมซีในมือกุยหวั่นมาด้วยอาการสั่นเทา ชั่วขณะนั้นเขาคิดว่าตนเองคงเกิดภาพลวงตา เซียมซีแต่ละก้านในวัดหงฝูล้วนแตกต่างกัน เซียมซีก้านนี้เมื่อครู่ถูกเขาใช้พลังภายในบดจนเป็นผงไปแล้วแท้ๆ เหตุใดตอนนี้จึงมาปรากฏในมือของเขาได้อีก

เขามองเซียมซีก้านนั้นอย่างละเอียดเหมือนไม่เชื่อสายตา แต่มันเป็น ‘ตี้หวงเยี่ยน’ ก้านนั้นจริงๆ!

กุยหวั่นมองหน้าหงหย่วนต้าซือด้วยความตกใจ นางไม่เคยเห็นเขาเป็นเช่นนี้มาก่อน เขาเป็นสมณะชั้นสูง เป็นผู้มีปัญญาและสงบนิ่งมาตลอด แต่วันนี้เขาดูผิดปกติ โดยเฉพาะตอนที่รับเซียมซีไปเมื่อครู่ ท่าทางนั้นเหมือนคนเห็นภูตผีก่อนจะได้ยินเพียงเขาพร่ำพูดว่า “ตี้หวงเยี่ยน เป็นตี้หวงเยี่ยนได้อย่างไร…”

หลิงหลงเห็นท่าทางของหงหย่วนต้าซือแล้วจึงเดินเข้ามา คิดจะขวางหน้ากุยหวั่นไว้ ต้าซือคงมิใช่เสียสติไปแล้วกระมัง

กุยหวั่นส่ายหน้า เป็นสัญญาณให้หลิงหลงถอยออกไป

ผ่านไปอีกครู่ใหญ่หงหย่วนจึงสงบใจลงได้ เขาถอนหายใจยาว พูดกับกุยหวั่นอย่างนุ่มนวลว่า “สีกาอวี๋ เซียมซีนี้อาตมาถอดความไม่ออก แต่อาตมามีเรื่องเล่าเรื่องหนึ่ง ไม่รู้ว่าสีกาจะยินดีฟังหรือไม่”

กุยหวั่นพยักหน้า ไม่รู้ว่าตนเองตาฝาดไปหรือไม่ นางรู้สึกว่าแววตาของหงหย่วนต้าซือยังคงดูสั่นไหว หลังจากกิริยาที่ดูคลุ้มคลั่งนั้น แม้ว่าเขาจะกลับมาสงบนิ่งเหมือนปกติ แต่ในชั่วพริบตาเขาเหมือนแก่ลงไปกว่าสิบปี

หงหย่วนยกมือขึ้นกวักเรียกเณรน้อยที่ยังคงยืนอยู่ไม่ไกล “เจ้าก็มาฟังด้วยสิ” ไม่รอให้เณรน้อยตอบกลับ เขาก็ยิ้มแล้วค่อยๆ เริ่มเล่าเรื่องราวที่ยากจะลืมที่สุดชีวิตของเขาออกมา “เซียมซีนี้เรียกว่า ‘ตี้หวงเยี่ยน’ เมื่อสามสิบปีก่อนมีหญิงคนหนึ่ง…”

 

ฤดูใบไม้ร่วงเดือนเก้าเป็นวันมงคล วันนี้เป็นวันดีที่โหลวเช่ออัครเสนาบดีแห่งรัชสมัยนี้จะแต่งภรรยา ยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่จะแต่งด้วยยังเป็นสาวงามลือชื่อในใต้หล้านี้ คนทั้งเมืองหลวงต่างพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปทั่ว

คนในเรือนหลังบ้านสกุลอวี๋เดินเข้าเดินออก บรรดาบ่าวไพร่สาวใช้วุ่นวายกันไปหมด แต่บนใบหน้าล้วนแต่งแต้มไปด้วยความสุข

“หลิงหลง” กุยหวั่นเรียกชื่อสาวใช้ประจำกาย “ชุดแต่งงานของข้าเล่า” สีหน้าของนางเป็นปกติ ไม่เห็นถึงความยินดีหรือเขินอายของผู้เป็นเจ้าสาวเลยแม้เพียงน้อย

“คุณหนู ชุดแต่งงานอยู่ในตู้ข้างหลังท่านใบนั้นเจ้าค่ะ” หลิงหลงได้ยินก็ตอบกลับจากนอกห้อง นางมีบุคลิกลักษณะสมชื่อ* สาวใช้ของกุยหวั่นผู้นี้ฉลาดรู้ความ ทำงานรอบคอบ รู้จักวางตัวเหมาะสมในทุกด้าน

กุยหวั่นลุกยืนแล้วเปิดตู้ด้านหลังออกดู เป็นจริงดังว่า ชุดแต่งงานสีแดงประณีตงดงามชุดหนึ่งปรากฏให้เห็นตรงหน้า นางยื่นมือลูบไปบนลายปักงามวิจิตร แต่ละฝีเข็มแต่ละเส้นด้ายล้วนใส่คำอวยพรและความปรารถนาอันงดงามที่สุดบนโลกนี้เอาไว้

ไม่มีเวลาให้พูดอะไรมากอีก เวลามงคลใกล้จะมาถึงแล้ว นางยื่นมือไปหยิบชุดแต่งงานขึ้นมา แต่แล้วก็พลันได้ยินเสียงดังแควก ชุดแต่งงานถูกเกี่ยวขาดเป็นรูกว้างขนาดราวสองชุ่น** หลิงหลงได้ยินเสียงจึงรีบเดินเข้ามา กำลังจะยื่นมือไปรับชุดแต่งงานในมือกุยหวั่นก็เหลือบเห็นกุยหวั่นมองนิ่งไปที่ตู้ หลิงหลงสงสัยจึงมองตามสายตาของผู้เป็นนายไป ในตู้ไม่มีอะไรนอกจากเซียมซีที่ไปเสี่ยงขอมาเมื่อครึ่งปีก่อนและไม่ได้โยนทิ้งก้านนั้น…เซียมซี ‘ตี้หวงเยี่ยน’

ย้อนคิดถึงเรื่องเล่าเมื่อครึ่งปีก่อนนั้น หลิงหลงก็หยิบเซียมซีขึ้นมาด้วยความโมโห ปากก็พร่ำบ่นว่า “เซียมซีอัปมงคลก้านนี้ อย่าเก็บไว้ดีกว่า” พูดจบก็โยนมันออกไปนอกหน้าต่าง

กุยหวั่นไม่ได้ห้าม เพียงแค่หัวเราะแล้วพูดกับหลิงหลงว่า “ช่างเถอะ ตอนนี้มาคิดหาวิธีแก้ไขดีกว่า”

สองนายบ่าวหยิบเข็มด้ายแล้วเริ่มวุ่นวายกัน แต่กุยหวั่นจะมองออกไปนอกหน้าต่างเป็นบางครั้งอย่างไม่รู้ตัว ราวกับครุ่นคิดอะไรอยู่

 

* หลิงหลง หมายถึงเฉลียวฉลาด แคล่วคล่องว่องไว

** ชุ่น เป็นหน่วยมาตราวัดของจีนสมัยโบราณ เทียบความยาวประมาณ 1 นิ้ว ระยะ 10 ชุ่นเป็น 1 ฉื่อ (เชียะ)

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

Jamsai Editor: