บทที่ห้า
ใบไม้โรยดอกไม้ผลิกุหลาบพันปี หาใช่มีสิ่งใดเหลือบนโลกหล้า
เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง ในสระน้ำไม่มีเงาของดอกบัวอยู่แล้ว ใบเฟิง* สีแดงเพลิงลอยอยู่เหนือผิวน้ำ หมุนวนไปตามระลอกน้ำ นับเป็นภาพความงามอันพิเศษภาพหนึ่ง เมื่อคืนหากไม่รู้ว่าดอกไม้ร่วง วันนี้คงไม่มีทุกข์ในใจ
สิ่งที่ตนเองทำคงเป็นสิ่งถูกต้องกระมัง เขาเป็นศัตรูของแคว้นฉี่หลิง ถ้าปล่อยเสือกลับภูเขา ต่อไปจะมีคนต้องเสียสละชีวิตมากยิ่งกว่า นางไม่ได้ทำผิดอะไร กุยหวั่นบอกตนเองเช่นนี้มาตลอด ทำให้ความกังวลใจสงบลงได้
“กุยหวั่น” น้ำเสียงอ่อนโยนดังขึ้นไม่ไกล น้ำเสียงอบอุ่นใจคนเช่นนี้ นอกจากสามีของนางแล้วก็ไม่มีใครอีก
นางค่อยๆ หันหน้าไปมองดูโหลวเช่อเดินมาจากระเบียงทางเดิน เหมือนอยู่ในม่านหมอก กุยหวั่นย้อนคิดในทันใดว่าสองสามวันนี้ช่างเหมือนกับความฝัน ได้แต่ยกมุมปากยิ้มให้เขา “เลิกประชุมแล้วหรือ”
โหลวเช่อเห็นรอยยิ้มของนางแล้วก็นึกถึงกุยหวั่นที่เพิ่งกลับมาเมื่อคืนตอนฟ้าใกล้สาง ประโยคแรกที่พูดตอนเจอเขาแฝงความเศร้าใจและเหนื่อยล้า ‘ข้ากลับมาแล้ว เหนื่อยมากเลย’ เขาไม่รู้ว่าสองสามวันมานี้นางเจอกับเรื่องอะไรกันแน่ แต่นางไม่พูด เขาก็ไม่ถาม แม้จะรู้ดีแก่ใจว่านางใช้สายสืบและองครักษ์ในจวน แต่เขาเคยให้สัญญาไว้ว่าการกระทำทุกอย่างของนาง เขาจะไม่สอบถามมากความ แค่ยกโทษให้ก็พอ
โหลวเช่อหยิบชามที่วางบนระเบียงทางเดินด้วยท่าทีอ่อนโยน เห็นมันยังอยู่ที่เดิมไม่ขยับจึงสอบถามว่า “ไยไม่กินโจ๊กนี้เล่า ไม่ถูกปากหรือ”
“เพราะข้าไม่หิวเอง” กุยหวั่นยิ้มน้อยๆ แววตามีประกายประหลาด นางเผยอปากเล็กน้อยเหมือนกำลังชั่งใจอะไรอยู่ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงเอ่ยปากพูด “ระยะนี้ในราชสำนักมีเรื่องใหญ่อะไรหรือไม่”
โหลวเช่อมองหน้ากุยหวั่นอย่างตกใจ ในดวงตาแฝงความประหลาดใจและสงสัย “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าก็สนใจงานในราชสำนักเช่นกัน”
กุยหวั่นได้ฟังคำของโหลวเช่อก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
ส่วนโหลวเช่อก็มองหน้านาง รู้สึกว่านางในวันนี้มีคำพูดมากมายไม่ได้พูดออกมา ดูเหมือนเศร้าใจและสับสนใจอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งยังมีความรู้สึกซึมเศร้าบางอย่างที่อธิบายไม่ถูก ด้วยทนไม่ไหวเขาจึงเอ่ยปากพูดขึ้น “ในราชสำนักเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นจริงๆ” สังเกตเห็นว่ากุยหวั่นให้ความสนใจกับคำพูดนี้ เขาจึงพูดต่อไป “เมื่อวานแม่ทัพหลินตามจับองค์ชายเผ่าหนู่ ผลปรากฏว่าปล่อยให้เขาหนีไปได้”
กุยหวั่นเงยหน้าขึ้นแล้วถามอย่างไม่มั่นใจ “หนีไปได้?”
“อืม เดิมทีเป็นนกติดบ่วงแล้ว แต่ใครจะรู้ว่าระหว่างทางจะมีคนเผ่าหนู่โผล่ออกมาช่วย ดังนั้นจึงจำต้องปล่อยให้เขาหนีไปได้” ในน้ำเสียงแฝงความเสียดายเอาไว้อย่างยิ่ง
* ใบเฟิง หมายถึงใบเมเปิ้ล
กุยหวั่นรู้สึกสับสนขึ้นมาทันใด เมื่อวานนางเห็นเรื่องต่างๆ กับตา นางไม่ใช่คนเลือดเย็น ดังนั้นจึงรู้สึกฉงนและสับสน เยียลี่เป็นศัตรูของแคว้น เป็นผู้นำสำคัญของชนเผ่าหนู่ การตายของเขาเป็นความปรารถนาของคนในแคว้นฉี่หลิงจำนวนมาก ที่นางทำไปเมื่อวานนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว แต่เมื่อครู่ได้ยินว่าเขาหนีไปได้ นางกลับรู้สึกเหมือนหินก้อนใหญ่หล่นลงพื้น นางไม่ทำให้เขาตาย
กุยหวั่นยิ้มบางๆ ความอึดอัดในใจมลายหายไปจนสิ้น นางจึงยื่นมือไปรับชามกระเบื้องใส่โจ๊กมาแล้วเริ่มกินอย่างช้าๆ
โหลวเช่อเห็นนางเริ่มกินได้ ความกลัดกลุ้มบนใบหน้าก็จางหายไปแล้ว เขารู้สึกสบายใจขึ้นไม่น้อย “เย็นหมดแล้ว ให้คนมาเอาไปอุ่นก่อนแล้วค่อยกินเถอะ”
“ไม่เป็นไร” กุยหวั่นตอบพร้อมตักโจ๊กเข้าปาก อาจเป็นเพราะอารมณ์ผ่อนคลาย โจ๊กที่เย็นชืดในปากนางก็ยังอร่อยขึ้นมาได้ เมื่อนางเงยหน้าขึ้นมาอีกครากลับพบว่าโหลวเช่อยังคงยืนอยู่ที่เดิมคล้ายครุ่นคิดอะไร นางจึงเอ่ยถาม “ใต้เท้าสามี มีอะไรหรือ”
โหลวเช่อก้าวเข้ามาช้าๆ แล้วนั่งลงตรงข้ามนาง เหมือนมีอะไรจะพูดด้วย
กุยหวั่นสังเกตเห็นแววตาอ่อนโยนของโหลวเช่อมองไปยังสระน้ำด้านหลังนางที่มีใบไม้สีแดงลอยเต็มสระ จึงเอ่ยถามเสียงเบา “กำลังคิดถึงอะไรอยู่อย่างนั้นหรือ”
มุมปากโหลวเช่อยกยิ้มบาง รอยยิ้มเขาเหมือนดั่งลมวสันตฤดูในเดือนสาม ทำให้คนรู้สึกสดชื่นและอบอุ่นยิ่ง “กุยหวั่น ต้นเดือนหน้าพวกเราต้องเข้าวังกัน”
ต้นเดือนหน้า? อีกห้าวันไม่ใช่หรือ
กุยหวั่นจึงถามขึ้น “ในวังจะจัดงานฉลองอย่างนั้นหรือ”
โหลวเช่อพยักหน้า ยืนยันการคาดเดาของนาง “ตำหนักจิ่งอี๋สร้างเสร็จแล้ว องค์ชายน้อยอายุครบสองปี ฮ่องเต้ทรงจัดงานฉลองเรื่องมงคลทั้งสองพร้อมกัน”
ตำหนักจิ่งอี๋? ชื่อคุ้นหูเสียจริง…
กุยหวั่นคิดถึงหอสุราในวันนั้นขึ้นมาทันใด บัณฑิตวัยกลางคนพูดถึงการสร้างตำหนักให้อิ๋งกุ้ยเฟยด้วยถ้อยคำส่อเสียด นางหันมองหน้าโหลวเช่อด้วยความเข้าใจในทันที “ข้าก็ต้องไปร่วมงานด้วยหรือ” นึกภาพงานในวันนั้นแล้ว นางก็รู้สึกขนหัวลุกอย่างไรบอกไม่ถูก
ให้ไปพบอิ๋งกุ้ยเฟยกับโหลวเช่อ น่าประหลาดเหลือเกิน
“แน่นอน เจ้าเป็นภรรยาของข้านะ” น้ำเสียงอ่อนโยนแสดงความมั่นใจ
ได้ฟังคำนี้แล้วกุยหวั่นก็หมดคำพูด จับจ้องใบหน้าโหลวเช่อที่สงบนิ่งไม่แสดงความรู้สึกใดก่อนจะเอ่ยถาม “จะไม่ขัดแย้งกันหรือ”
โหลวเช่อเลิกคิ้วแล้วย้อนถาม “ขัดแย้งอะไร”
กุยหวั่นวางชามลงแล้วมองไปบนท้องฟ้านอกระเบียงทางเดิน เมื่อเรียบเรียงความคิดแล้วจึงค่อยพูดขึ้น “ใต้เท้าสามีเป็นอัครเสนาบดีของราชวงศ์ มีอำนาจมากมาย ใต้หล้านี้ยังมีเรื่องอะไรที่ท่านไม่เข้าใจอีก หรือเรื่องที่รู้ว่าถูกต้องย่อมควรกระทำ แต่ถ้าทำแล้วต้องเสียใจภายหลัง แม้จะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ท่านจะทำหรือไม่”
เห็นสายตาจริงใจของนางและคำพูดอ่อนหวาน โหลวเช่อให้รู้สึกฉงนยิ่ง จึงเอ่ยปากพูดว่า “จะมีเรื่องที่รู้ว่าถูกต้อง แต่เป็นเรื่องที่ต้องเสียใจภายหลังได้อย่างไร”
“ท่านทำมาแล้วครั้งหนึ่งไม่ใช่หรือ” กุยหวั่นพูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
โหลวเช่อตกตะลึงแล้วมองกุยหวั่นด้วยแววตาคมกริบ เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นท่าทางดุดันของเขา กุยหวั่นทำไร้เดียงสาพูดต่อไปว่า “ฮ่องเต้เป็นเจ้า สามีเป็นขุนนาง อำนาจฮ่องเต้เป็นหลัก ความรู้สึกเป็นรอง นี่ไม่ใช่ความขัดแย้งหรือ”
โหลวเช่อเงียบงัน มองสำรวจกุยหวั่นอย่างลึกซึ้ง ภายใต้สายตาจับจ้องของเขา กุยหวั่นยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติแล้วลุกยืน สะบัดแขนเสื้อเบาๆ จากนั้นก็หมุนตัวเดินไปนอกระเบียงทางเดินแล้วทิ้งคำไว้หนึ่งประโยค “ช่างเป็นผู้เล่นที่ถือหมากสำคัญไว้จริงๆ”
เมื่อรู้ว่านางชี้ไปอีกนัยหนึ่ง โหลวเช่อก็รู้สึกขัดเคืองอยู่บ้าง เพราะปัญหาที่ปกติพยายามหลบหลีกถูกหยิบยกออกมาตรงหน้า และยังเคืองร่างอรชรพลิ้วลมผู้นั้นด้วย เขาตอบร่างที่เดินจากไปนั้นว่า “ดูคนอื่นเล่นหมากไม่พูดจึงจะเป็นสุภาพชน”
ได้ยินคำพูดของเขา ร่างนั้นไม่ได้หยุดเดิน ยังคงเดินต่อไปด้านนอก กุยหวั่นเพียงคิดในใจว่าใครกันเล่าที่ดึงนางเข้ามาดูหมากอิ๋งกุ้ยเฟย โหลวเช่อ และนาง เดิมทีมีกระดานหมากต่างกันไป ตอนนี้จะดึงทุกคนเข้ามาในกระดานเดียวกัน นางเองก็ถูกโชคชะตาบีบคั้น แต่โชคใหญ่ในความโชคร้ายก็คือนางไม่ใช่คนที่เดินหมากนั้น
ก้าวเดินเพียงไม่กี่ก้าวก็แลเห็นตำหนักน้อยใหญ่และศาลาเรียงรายหลังคาเชื่อมต่อกันแทบมองไม่เห็นส่วนยอด เข้ามาอยู่ในเขตรโหฐานเช่นนี้ กุยหวั่นอดคิดไม่ได้ว่าความยิ่งใหญ่งดงามของพระราชวังเหนือกว่าที่นางนึกภาพไว้ในทีแรกมากเพียงใด
“ช่างหรูหราเสียจริง” กุยหวั่นพูดขึ้น สิ่งที่คลอไปกับเสียงพูดของนางคือเสียงล้อรถม้าที่เคลื่อนไปบนพื้นหิน
โหลวเช่อได้ยินเสียงพึมพำของนางจึงพูดอธิบาย “อดีตฮ่องเต้ทรงชอบความหรูหรางดงาม ดังนั้นจึงเคยปฏิรูปวังครั้งใหญ่” ในน้ำเสียงของเขาแฝงความเศร้าใจเอาไว้
กุยหวั่นหันหน้ามามองโหลวเช่อ ในดวงตาไม่แสดงความรู้สึกใด เพียงแค่ยกมุมปากยิ้มบางๆ “คิดว่าตำหนักจิ่งอี๋ก็คงงดงามเช่นเดียวกันกระมัง”
โหลวเช่อไม่พูดจา ดึงม่านรถปิดลงด้วยรอยยิ้มแล้วกอดนางไว้อย่างอ่อนโยน “อย่าตากลมเช่นนี้ จะเป็นหวัดได้ง่าย”
กุยหวั่นไม่คุ้นกับการใกล้ชิดเช่นนี้ เดิมทีคิดจะผลักเขาออก แต่เมื่อได้ยินคำพูดของเขาจึงผ่อนคลายลง
ในขณะที่ทั้งสองกำลังคิดไปต่างๆ นานา รถม้าก็หยุด เสียงดนตรีและเสียงหัวเราะพูดคุยดังลอดผ่านม่านเข้ามา ได้ยินเสียงเหล่านี้ปลุกเร้า กุยหวั่นก็เกิดนึกสนุกขึ้นมาด้วย จากนั้นก็ได้ยินเสียงดังจากนอกรถว่า “อัครเสนาบดีพร้อมฮูหยินมาถึงแล้ว” โหลวเช่อขยับตัวลงจากรถม้าไปก่อนแล้ว กุยหวั่นจึงรีบตามไป ม่านรถถูกเลิกขึ้น ตามด้วยมือข้างหนึ่งที่ยื่นมาตรงหน้านาง นางช้อนตามองก่อนยื่นมือไปรับการจับจูงประคับประคองของเขา
เมื่อกุยหวั่นลงจากรถม้าได้สำเร็จ ก็พบกับสายตาของเหล่าขุนนางและภรรยาในชุดหรูที่ต่างจับจ้องมายังตัวนาง นางยิ้มขัดเขินแล้วจับมือโหลวเช่อแน่นขึ้นเล็กน้อยอย่างลืมตัว จากนั้นทั้งสองก็เดินเข้าไปใกล้ขุนนางเหล่านั้นอีกเล็กน้อยก่อนจะปล่อยมือจากกัน
ทุกคนดูเหมือนจะตกตะลึงในความงามไปชั่วขณะ หลังจากได้สติคืนมาก็มีขุนนางหลายคนล้อมเข้ามา พูดยกยอและประจบโหลวเช่อทันที ในคำพูดเหล่านั้นมีทั้งคำเป็นทางการ คำพูดไร้ความหมายและคำพูดเลื่อนลอย กุยหวั่นมองดูใบหน้าเสแสร้งแกล้งทำดีของพวกเขาแล้วก็นึกหัวเราะในใจ
นี่ก็คืออำนาจหรือ อำนาจอยู่ไปทั่วทุกที่จริงๆ
ท่ามกลางขุนนางเหล่านั้น หางตาของกุยหวั่นก็เหลือบไปเห็นว่ายังมีคนยืนอยู่ที่มุมด้านซ้าย นิ่งเงียบไม่ขยับ ที่แท้ยังมีคนที่ไม่กลัวอำนาจอยู่ด้วย ด้วยความประหลาดใจ กุยหวั่นจึงจ้องมองไป แล้วก็ต้องตกตะลึงกับร่างงามสง่าที่ยืนอยู่ตรงนั้น จะเป็นผู้ใดถ้าไม่ใช่แม่ทัพหลินรุ่ยเอิน!
วันนี้เขาสวมชุดคลุมยาวสีขาว ดูสุภาพเรียบร้อยมาก หากแค่มองรูปลักษณ์ภายนอก ใครจะรู้ว่าเขาคือแม่ทัพผู้กล้าหาญไร้เทียมทานบนสนามรบ ข้างกายเขามีขุนนางและทหารใต้บังคับบัญชากลุ่มหนึ่งล้อมอยู่เช่นกัน ทว่าไม่รู้นางมองผิดไปหรือไม่ กุยหวั่นรู้สึกเหมือนเขากำลังจับจ้องมาที่นาง!
ในที่สุดโหลวเช่อก็พูดคุยทักทายกับคนกลุ่มใหญ่พอเป็นพิธีจนครบแล้ว รอจนทุกคนเดินจากไป กุยหวั่นก็รู้สึกเพลียขึ้นมาเล็กน้อย
นี่ก็คืองานฉลองในรั้วในวังอย่างนั้นหรือ ช่างเสแสร้งและแฝงความฟุ่มเฟือยเอาไว้อย่างมากทีเดียว
โหลวเช่อสังเกตเห็นท่าทางของนางดูแปลกไปจึงเอ่ยถามเสียงเบาว่า “กุยหวั่น เหนื่อยแล้วหรือ”
กุยหวั่นหันหน้ามายิ้มบาง “ตอนนี้งานฉลองยังไม่เริ่มเลยด้วยซ้ำ”
โหลวเช่อหัวเราะในท่าทีของนางที่เห็นชัดว่าเหนื่อยแต่ก็ยังยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู ดึงสายตาของขุนนางหลายคนให้หันมามอง
“ช่างเป็นหญิงที่งดงามเป็นหนึ่งจริงๆ” ในมุมหนึ่ง ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่กำยำกำลังมองดูกุยหวั่นพลางพูดวิจารณ์ ผู้ที่เอ่ยปากคือแนวหน้าผู้เป็นกำลังหลักของหลินรุ่ยเอิน มีนามว่า ‘หลัวเฉิง’
ชายหนุ่มสูงผอมที่อยู่ด้านซ้ายพูดด้วยสีหน้าดูถูก “พวกเราสู้เอาเป็นเอาตายอยู่ที่ชายแดน เจ้าคนที่ดีแต่เล่นหมึกเขียนอักษรเหล่านี้กลับมามีความสุขอยู่ในเมืองหลวง ท่านดูโหลวฮูหยินคนนี้สิ ข้าโตมาจนป่านนี้ ยังไม่เคยเห็นหญิงงามถึงเพียงนี้มาก่อนเลย”
ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันชอบฝ่ายบุ๋นดูแคลนฝ่ายบู๊ ขุนนางฝ่ายบู๊อยู่ในวังเลื่อนตำแหน่งได้ไม่เร็วเท่าฝ่ายบุ๋น การดูแลปลอบขวัญก็ไม่เท่ากับฝ่ายบุ๋น ดังนั้นแม่ทัพที่ชายแดนในใจล้วนไม่ค่อยพอใจ
“แม่ทัพโจว ระวังคำพูดด้วย ไม่ดูเสียบ้างว่าที่นี่คือสถานที่ใด!” ผู้ที่ตำหนิเขาคือบัณฑิตวัยกลางคนที่อยู่กับหลินรุ่ยเอินที่หอสุราในวันนั้น และเป็นกุนซือของหลินรุ่ยเอิน เป็นผู้มีชื่อเสียงว่ามีแผนการร้อยแปดและมองการณ์ไกล มีฐานะสูงมากในเหล่าทหาร เมื่อถูกเขาตำหนิเช่นนี้ ชายหนุ่มผอมสูงผู้นั้นก็หุบปากในทันที
ท่านกุนซือหมุนตัวมา เห็นใบหน้าหลินรุ่ยเอินดูยากจะคาดเดา จึงถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า “ท่านแม่ทัพ ข้าคิดว่าด้วยสายตาของท่าน คงจำโหลวฮูหยินได้เช่นกัน พวกเรากับนางนับว่ามีวาสนาได้พบหน้ากัน”
หลินรุ่ยเอินนิ่งราวกับไม่ได้ยิน ยังคงมีท่าทางเย็นชาดังเดิม
ท่านกุนซือไม่สนใจ ยังคงพูดต่อไปว่า “คิดไม่ถึงจริงๆ ว่านางก็คือโหลวฮูหยิน”
หลินรุ่ยเอินได้ฟังก็ขมวดคิ้ว กำลังคิดจะพูดอะไรตอบกลับไป ในตอนนี้เองเขาสังเกตเห็นโหลวเช่อก้มหน้าลงพูดคุยบางอย่างกับกุยหวั่นด้วยสีหน้าอ่อนโยน ขณะที่กุยหวั่นเองก็เอียงหน้ามายิ้มให้ เห็นดังนั้นหลินรุ่ยเอินก็ขมวดคิ้วแน่นยิ่งขึ้น เผยอปากขึ้นแต่ลืมไปว่าจะพูดอะไร
เห็นท่าทางของเขาแล้ว กุนซือก็ขมวดคิ้วเช่นกัน ก่อนจะสบถอย่างเศร้าใจ “หญิงงามเป็นภัยร้าย”
ได้ฟังคำของกุนซือ หลินรุ่ยเอินยังไม่ทันได้ตอบ ชายฉกรรจ์ผอมสูงด้านข้างก็เอ่ยปากขึ้นก่อน “กุนซือลู่ ลูกของท่านจะลงสนามรบได้อยู่แล้ว ท่านยังมานึกถึงหญิงงามอายุน้อยเช่นนี้ ทำเช่นนี้ผิดต่อฮูหยินนะขอรับ ถ้าจะให้ข้าพูด คนงามเช่นนี้ก็ดูเหมาะสมกับแม่ทัพของพวกเราอยู่บ้าง” พูดจบเขาก็หัวเราะคิกคัก ราวกับคิดว่าความคิดของตนเองไม่เลว
“หุบปาก!” หลินรุ่ยเอินตะคอกเสียงดัง “พูดบ้าอะไร”
คนละแวกนั้นพากันหันมามอง คนที่อยู่ในที่นั้นได้เห็นบุรุษเย็นชาเช่นเขาแสดงสีหน้าโมโหออกมาเป็นครั้งแรก ชายหนุ่มสูงผอมตะลึงงันไปทันที ไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นใด
พอตะคอกออกไป หลินรุ่ยเอินก็รู้สึกเสียใจทันที คนเหล่านี้ล้วนเป็นพี่น้องที่ร่วมรบกับศัตรูบนสนามรบพร้อมเขา เขากลับควบคุมอารมณ์ตนเองไม่อยู่ เมื่อครู่ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใดจึงไม่อาจทนรับคำพูดส่งเดชที่แฝงความเพ้อฝันเหล่านี้ได้ เมื่อหันหน้าไปเห็นท่าทางเข้าใจแจ่มชัดของท่านกุนซือ ความรำคาญใจก็กลับมาอีกครั้ง พอหันไปอีกทาง สายตาก็ประสานเข้ากับท่าทางมองสำรวจด้วยความสงสัยของกุยหวั่น เขาจึงหันหน้ากลับมาในทันที และแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นนาง
ขณะที่หลินรุ่ยเอินกำลังรำคาญใจอยู่นี้ ร่างในชุดสีน้ำเงินเข้มก็มาที่หน้าตำหนัก ตะโกนพูดเสียงดัง “ฮ่องเต้ ฮองเฮา อิ๋งกุ้ยเฟยมาถึงแล้ว”
เหล่าขุนนางและภรรยาในตำหนักล้วนก้มหน้าคำนับ ทั่วตำหนักใหญ่เงียบสงบลงในทันที ได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ ตามด้วยเสียงพูดอ่อนโยนเสียงหนึ่ง “ตามสบาย”
กุยหวั่นเงยหน้าขึ้นช้าๆ มองเห็นหญิงสาวยืนขนาบข้างกายฮ่องเต้ด้านละคน สตรีที่ยืนอยู่ด้านขวามือคืออิ๋งกุ้ยเฟยผู้ที่ทำให้กุยหวั่นรู้สึกทั้งคุ้นเคยและแปลกหน้า ส่วนคนซ้ายมือคงจะเป็นฮองเฮาผู้เป็นมารดาของแผ่นดิน
ได้ยินว่าฮองเฮาอยู่ในตำหนักในหาเรื่องอิ๋งกุ้ยเฟยสารพัด กุยหวั่นอดสงสัยไม่ได้จึงมองไปยังฮองเฮา นางสวมชุดแขนเสื้อยาวกรุยกรายสีม่วงอ่อน แม้จะดูไม่ได้งามล่มเมืองเหมือนกับอิ๋งกุ้ยเฟย แต่ก็เป็นหญิงที่งดงามคนหนึ่งเช่นกัน และยิ่งไปกว่านั้นนางดูมีสง่าราศี ให้ความรู้สึกสูงศักดิ์ไม่กล้าเข้าใกล้
ถึงกับเป็นหญิงเช่นนี้ไม่เสียทีที่เป็นมารดาแห่งแผ่นดินกุยหวั่นอดนึกชื่นชมในใจมิได้
ในตอนนี้ฮ่องเต้ประทับบนแท่นประทับแล้ว กุยหวั่นก็นั่งลงพร้อมกับโหลวเช่อและขุนนางคนอื่นๆ
โต๊ะสุราจัดเตรียมพร้อมสรรพ แต่ก่อนที่ฮ่องเต้จะทรงอนุญาตย่อมไม่มีผู้ใดกล้าแตะต้อง กุยหวั่นเงยหน้ามองไปยังองค์ฮ่องเต้ เขาแตกต่างกับที่นางคิดไว้โดยสิ้นเชิง ฮ่องเต้มีพระพักตร์หล่อเหลา พระชนมายุราวสามสิบพรรษา ดูงามสง่ายิ่ง แต่สิ่งที่ทำให้กุยหวั่นรู้สึกเสียดายก็คือเขาขาดความเฉียบคมและเด็ดเดี่ยวของการเป็นผู้นำ ตอนที่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันทรงเป็นองค์รัชทายาท เพราะปกติจะเข้ากับคนง่ายจึงได้รับความรักจากราษฎร แต่ผู้เป็นฮ่องเต้นั้นความอ่อนโยนเช่นนี้อาจจะนำความรำคาญใจมาให้เขาได้มากมาย
เห็นฮ่องเต้ทรงชูจอกสุราหยกขึ้น กุยหวั่นก็ยกจอกสุราหยกขาวตรงหน้าขึ้นเช่นกัน ในชั่วขณะนั้นนางไม่ได้ยินเลยว่าฮ่องเต้ตรัสอะไร ข้างหูมีเสียงดังอื้อขึ้นว่า ‘ใต้หล้าสงบสุข’ บ้าง ‘พืชพรรณอุดมสมบูรณ์’ บ้าง ‘เป็นความรุ่งเรืองที่หาได้ยากตั้งแต่เริ่มรัชสมัยมา’ และ ‘ฝ่าบาททรงพระปรีชา’ อะไรทำนองนี้ คำพูดยกยอที่เสแสร้งดูเป็นเรื่องปกติในสถานการณ์เช่นนี้เสียจริง กุยหวั่นฉีกยิ้ม ยังคงรักษาท่าทีของตนเอาไว้
“นี่คือภรรยาผู้งามพร้อมของท่านโหลว?” กุยหวั่นได้ยินเสียงก็เงยหน้าขึ้น เห็นฮ่องเต้กำลังจ้องหน้านางอย่างอ่อนโยน
โหลวเช่อที่อยู่ข้างกายเอ่ยปากขึ้น “กราบทูลฝ่าบาท นี่คือภรรยาของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”
กุยหวั่นอมยิ้มลุกขึ้นคำนับ
ฮ่องเต้ดูเหมือนจะชื่นชมมาก ตรัสด้วยรอยยิ้มต่อไปว่า “โหลวฮูหยินงดงามเป็นหนึ่ง เรียกได้ว่าเป็นคู่ที่เหมาะสมกับท่านโหลวยิ่งนัก”
ได้ยินคำพูดนี้ อิ๋งกุ้ยเฟยและฮองเฮาก็เลื่อนสายตามาพร้อมกัน กุยหวั่นเงยหน้าขึ้น ประสานกับสายตาของอิ๋งกุ้ยเฟยพอดี ช่างเป็นดวงตาที่กระจ่างใสเสียจริง แต่ตอนนี้ในดวงตานางแฝงความสงสัยและความไม่ยินดีที่ยากจะสังเกตเห็นเอาไว้ ยังมีความรู้สึกบางอย่างที่กุยหวั่นเองก็ไม่เข้าใจอยู่อีกด้วย
เห็นแววตาคู่นี้แล้ว กุยหวั่นก็รู้สึกเคร่งเครียดขึ้นมาทันใด จึงเลื่อนสายตาหนี พอหันหน้ามาก็สังเกตเห็นว่าฮองเฮากำลังมองหน้านางเช่นกัน บนใบหน้ามีรอยยิ้ม แต่กลับมีสีหน้าดูยุ่งยากใจแฝงอยู่
โชคดีที่ในตอนนี้ความสนใจของฮ่องเต้เปลี่ยนไปที่ขุนนางใหญ่คนอื่น กุยหวั่นจึงแอบถอนหายใจ แม้จะรู้ว่างานเลี้ยงในวันนี้อาจจะแฝงความรุนแรงคล้ายๆ คลื่นใต้น้ำเอาไว้ แต่เมื่อได้มาเผชิญหน้าจริงๆ กลับให้ความรู้สึกอย่างอื่น กุยหวั่นแอบสาบานว่าภายหน้าจะพยายามหลบเลี่ยงงานเลี้ยงประเภทนี้อย่างสุดความสามารถ ทั้งส่งผลร้ายต่อจิตใจและร่างกาย นางหยิบจอกสุราแล้วดื่มเบาๆ หนึ่งอึก อาศัยการกระทำนี้หลบสายตาที่ดูซับซ้อนเหล่านั้น นางไม่กล้าเงยหน้ามองไปยังที่นั่งด้านบนสุดอีก จึงเลื่อนสายตาไปทางอื่น
ผู้ที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะตัวแรกทางขวามือของฮ่องเต้ดูเหมือนจะเป็นพระอนุชา หน้าตาดูละม้ายคล้ายฮ่องเต้อยู่หลายส่วน แต่ความงามสง่ากลับแตกต่างกัน ฮ่องเต้ทรงอ่อนโยนเป็นมิตร ส่วนตวนอ๋องผู้นั้นได้สมญาว่าเป็นผู้เย็นชาไร้ความรู้สึก และด้วยเขาเคยช่วยฮ่องเต้มีความชอบ จึงมีความเหิมเกริมมากยิ่งขึ้น
ระหว่างที่กุยหวั่นกำลังมองสำรวจอยู่นั้น ตวนอ๋องเหมือนจะสังเกตเห็นแววตาของนาง จึงส่งสายตาราวพญาอินทรีมองมา เมื่อกุยหวั่นประสานเข้ากับดวงตาเยือกเย็นของเขาก็ตะลึงไปเล็กน้อย จากนั้นก็ฉีกยิ้ม แล้วเบือนหน้าไปทางอื่นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ตวนอ๋องเห็นนางเลื่อนสายตาหนีอย่างเป็นธรรมชาติก็ตกตะลึง ปกติเขาจ้องตากับใคร ถ้าอีกฝ่ายไม่เลื่อนสายตาหนีด้วยความนบนอบ ก็จะตกใจจนไม่กล้าขยับตัว หญิงผู้นี้ช่างแตกต่างจากคนทั่วไป โหลวเช่อผู้นี้โชคดีไม่ธรรมดา เริ่มแรกมีอิ๋งกุ้ยเฟยสาวงามไม่เป็นสอง ต่อมาก็มีภรรยางดงามเป็นหนึ่ง ราวกับความสุขใต้หล้านี้เขาได้ชื่นชมไปแล้วครึ่งหนึ่ง
แม้กุยหวั่นจะเบนสายตาหนีแล้ว แต่ยังรับรู้ถึงแรงกดดันที่ส่งมาจากทางตวนอ๋อง นางนึกรำคาญใจ จึงกระตุกแขนเสื้อของโหลวเช่อ โหลวเช่อก้มหน้าลง มองหน้ากุยหวั่นอย่างสงสัย
“สายตาของตวนอ๋องไร้มารยาทเกินไปแล้วกระมัง” กุยหวั่นพูดออกมาเช่นนี้
ได้ยินดังนั้นโหลวเช่อก็เงยหน้ามองไปทางตวนอ๋อง ใบหน้ามีรอยยิ้มบางๆ แต่ในดวงตากลับแฝงคำเตือนเด็ดขาดเอาไว้
เจ้าคนใจคดผู้นี้! ตวนอ๋องมีสีหน้าบูดบึ้งเมื่อประสานสายตาของโหลวเช่อ แต่ด้วยตอนนี้ยังไม่จำเป็นต้องเป็นปรปักษ์กับเขา ตวนอ๋องจึงเพียงสบถด่าในใจแล้วหันหน้าหนีไปในที่สุด
นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นโหลวเช่อมีท่าทางเช่นนี้ กุยหวั่นรู้สึกไม่คุ้นเคย ปกติอยู่ที่บ้านจะเห็นโหลวเช่ออ่อนโยนราวสายลมในเดือนสาม รอยยิ้มแฝงคมมีดเหมือนเมื่อครู่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็น
นี่เป็นอีกด้านหนึ่งของเขาสินะ ไม่เช่นนั้นในราชสำนักที่มีแต่หลอกลวงกันไปมาเช่นนี้ เขาจะรักษาตำแหน่งและอำนาจเอาไว้ได้อย่างไร
กุยหวั่นลอบบอกตนเองว่าคิดมากเกินไปแล้ว อย่างไรเสียคนข้างกายก็เคยให้สัญญาไว้ เขาไม่มีทางทำร้ายนางแน่นอน ในเมื่อไม่ทำร้ายนาง แล้วจะไปสนใจการกระทำต่อคนนอกไปเพื่ออะไร
กุยหวั่นที่จมอยู่ในโลกของตนเองกลับถูกเสียงดนตรีปลุกให้คืนสติอย่างฉับพลัน จึงพบว่าการแสดงดนตรีร่ายรำได้เริ่มขึ้นแล้ว เมื่อเงยหน้ามองไปก็เห็นนางรำอายุน้อยหลายคนกำลังร่ายรำ ท่ารำดูพลิ้วไหว ท่วงท่างดงามจับใจ ผสานกับเสียงดนตรีที่เสนาะหู เพียงพริบตาในที่นั้นก็ดูราวกับอยู่ในความฝัน
ในตอนที่งานฉลองดำเนินไปได้พอสมควร ฮ่องเต้ ฮองเฮา และอิ๋งกุ้ยเฟยก็ออกไปก่อนเพื่อพักผ่อนอิริยาบถชั่วคราว หลังจากนี้ครึ่งชั่วยามยังมีการแสดงครึ่งหลัง ได้ยินว่านั่นจึงจะเป็นการแสดงหลักของคืนนี้
ขุนนางพร้อมภรรยาที่อยู่ในตำหนักถือโอกาสที่มีเวลาว่างพากันเดินชมภายในตำหนักจิ่งอี๋ที่สร้างขึ้นใหม่นี้ บรรยากาศผ่อนคลายกว่าตอนกินอาหารเมื่อครู่ไม่น้อย มีเสียงหัวเราะและพูดคุยดังไปทั่ว
ตอนที่งานฉลองใกล้จะพัก โหลวเช่อบอกว่ามีเรื่องต้องปรึกษากับฮ่องเต้ จากนั้นก็เดินออกไป ตอนนี้เหลือนางเพียงคนเดียว เวลากว่าครึ่งชั่วยามนี้จะทำอย่างไรดี กุยหวั่นรู้สึกเบื่อ เลื่อนสายตาไปก็เห็นบรรดาหญิงสาวบ้างก็ล้อมวงคุยกัน บ้างก็จับผีเสื้อชมดอกไม้ จึงได้แต่ถอนหายใจ น่าเสียดายที่ปกตินางไม่มีฮูหยินหรือธิดาของขุนนางชั้นสูงที่สามารถพูดคุยความในใจได้ ไม่เช่นนั้นตอนนี้คงไม่รู้สึกเบื่อหน่ายเช่นนี้
แต่จะนั่งนิ่งเฉยต่อไปก็คงไม่เหมาะ กุยหวั่นจึงลุกขึ้น ตัดสินใจจะออกไปเดินเล่นด้านนอก ส่วนประกอบของตำหนักจิ่งอี๋แทบจะไม่แตกต่างจากตำหนักอื่น มีเสาแกะสลักก่ออิฐประดับหยก ดูเพียงไม่นานกุยหวั่นก็เบื่อแล้ว ลอบบ่นในใจว่าฮ่องเต้จะเอาใจอิ๋งกุ้ยเฟย เหตุใดจึงไม่มีความคิดแปลกใหม่เช่นนี้ เดินไปเดินมานางก็เดินไกลจากผู้คนไปโดยไม่รู้ตัว และไม่มีทีท่าจะรู้ตัว มารู้สึกตัวอีกทีนางก็มาถึงตำหนักหลังของตำหนักจิ่งอี๋แล้ว ที่นี่แสงไฟมืดมิด แตกต่างกับตำหนักใหญ่ที่จุดไฟส่องสว่าง เมื่อนางมองไปกลางสวนก็ต้องตกตะลึงทันใด
สระบัว ใบเฟิง และระเบียงทางเดินเหมือนกับจวนอัครเสนาบดีราวกับพิมพ์เดียวกัน แม้แต่ใบไม้สีแดงที่ลอยอยู่บนผิวน้ำในสระก็แทบจะไม่แตกต่าง เกือบจะทำให้นางสงสัยว่าตนเองกลับมาถึงจวนแล้ว
นางตระหนกในใจขณะเดินรอบสระบัว ตอนนี้หัวใจนางหนักอึ้งไม่เหมือนยามปกติที่เดินเล่นในบ้านของตนเอง คิดถึงความหมายที่อิ๋งกุ้ยเฟยทำเช่นนี้แล้ว กุยหวั่นก็ได้แต่ปาดเหงื่อในใจ เรื่องนี้ถ้าให้คนชอบจับผิดหาความรู้เข้า แล้วเอามาเปิดเผย นั่นเป็นความผิดใหญ่หลวงที่สามารถประหารเก้าชั่วโคตรได้เลยทีเดียว แต่พอตรองดู ฟ้าถล่มก็ยังมีโหลวเช่อค้ำอยู่ทั้งคน นางจะกลัวอะไรเล่า
นางเดินต่อไปด้วยความรู้สึกซับซ้อน ตลอดทางนี้กลับไม่เจอองครักษ์หรือนางกำนัลแม้แต่คนเดียว กุยหวั่นเริ่มผ่อนคลายลง แต่ก็อดฉงนไม่ได้ สวนแห่งนี้จะเหมือนกับจวนอัครเสนาบดีไปทุกส่วนเชียวหรือ นึกขึ้นได้ว่าริมสระบัวมีบันไดหยกที่นางชอบไปนั่งเป็นประจำ กุยหวั่นจึงก้าวเดินลึกเข้าไปในสวน
ริมสระบัวมีบันไดหยกจริงดังคาด ตอนนี้กุยหวั่นต้องยอมนับถืออิ๋งกุ้ยเฟย เห็นทีคงเป็นอีกคนที่ยึดมั่นในความรัก เมื่อพิสูจน์การคาดเดาของตนเองแล้ว กุยหวั่นกำลังจะหมุนตัวเดินกลับไป ทว่าที่ด้านหลังกลับมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น กุยหวั่นประหลาดใจยิ่งเพราะตลอดทางที่เดินมานางไม่เห็นมีผู้ใด แล้วใครกันเดินเข้ามาในสวนเวลานี้
พอหันหน้าไปมอง ผู้ที่เดินมาแต่ไกลถึงกับเป็นโหลวเช่อและอิ๋งกุ้ยเฟย!
กุยหวั่นความคิดชะงักไปชั่วครู่ ลังเลว่าควรจะเข้าไปทักทายดีหรือไม่ สุดท้ายนางก็กัดฟัน หมุนตัวไปหลบอยู่หลังภูเขาจำลองข้างบันไดหยก ในตอนนี้พลันรู้สึกว่าโชคดีที่ทุกอย่างที่นี่เหมือนที่บ้าน ซ่อนตัวอยู่ที่นี่ไม่มีทางถูกใครเห็นแน่นอน
“อิ๋งกุ้ยเฟย ท่านจะพากระหม่อมไปที่ใดกันแน่” โหลวเช่อเรียกรั้งอิ๋งกุ้ยเฟยเอาไว้ด้วยน้ำเสียงที่ดูห่างเหินยิ่ง
เหยาอิ๋งหมุนตัวกลับ บนใบหน้างามแฝงความคับแค้นใจ จ้องตรงไปยังโหลวเช่อ ชายหนุ่มที่นางปักใจรักผู้นี้ ตอนนี้กลับใช้น้ำเสียงเย็นชาห่างเหินเช่นนี้พูดกับนาง นางรู้สึกหัวใจถูกบีบรัด แต่ยังคงพูดตอบไปด้วยเสียงอ่อนหวาน “ท่านไม่รู้จักสถานที่ตรงหน้านี้หรือ”
จะไม่รู้จักได้อย่างไร โหลวเช่อยังคงพูดอย่างไร้เยื่อใยดังเดิม “ที่นี่คือตำหนักจิ่งอี๋ที่สร้างขึ้นใหม่”
“ไม่ใช่” เหยาอิ๋งส่ายหน้าโดยแรง น้ำเสียงเศร้าโศกเจือสะอื้น “นี่ไม่ใช่ตำหนักจิ่งอี๋ นี่ไม่ใช่…นี่คือดอกบัวที่ข้าชอบ นี่คือระเบียงทางเดินที่ข้าชอบ นี่คือบันไดหยกที่ข้าชอบ…” พูดถึงตอนท้าย เหยาอิ๋งก็ก้มหน้าลงสะอื้นไห้
ทั้งที่กำลังมองดูเหยาอิ๋งร่ำไห้อยู่ตรงหน้า ทว่าในสมองโหลวเช่อกลับผุดใบหน้าของกุยหวั่นขึ้นมา หญิงสาวที่มีความงามเช่นเดียวกันสองคน แต่นิสัยกลับแตกต่างกันมากมายเช่นนี้ เหยาอิ๋งรูปลักษณ์ภายนอกงดงามจับตา ภายในใจอ่อนแอ ส่วนกุยหวั่นรูปลักษณ์ภายนอกสวยสง่า แต่ภายในมีอิสระไม่ถูกเหนี่ยวรั้ง
“ท่านคิดอะไรอยู่” เหยาอิ๋งเห็นโหลวเช่อใจลอยก็รู้สึกร้อนรนใจ
โหลวเช่อได้สติ มองหน้าเหยาอิ๋งแล้วถอนหายใจ ก่อนจะพูดกล่อมนางอย่างอ่อนโยน “อิ๋งเอ๋อร์ เจ้ารู้หรือไม่ว่าตนเองทำอะไรอยู่ ที่นี่คือวังหลวง มีหูตามากมาย เจ้าเคยรับปากข้าว่าจะระวังทุกอย่าง เจ้าทำตามอำเภอใจเช่นนี้จะนำภัยมาสู่ชีวิตได้”
ได้ยินเขาเปลี่ยนคำเรียกขานตน เหยาอิ๋งก็วางใจลงแล้วพูดขึ้นช้าๆ “ข้าร้อนใจ วันนี้เห็นท่าน…ท่านดีต่อคุณหนูอวี๋เช่นนั้น ข้าเสียใจมาก ดังนั้น…”
โหลวเช่อขมวดคิ้วแล้วตอบ “กุยหวั่นเป็นภรรยาที่เจ้าหามาให้ข้า เจ้าจะให้ข้าทำอย่างไรกันแน่”
เหยาอิ๋งตะลึงไปเล็กน้อย เผยรอยยิ้มที่ไม่น่าดูยิ่งกว่าร้องไห้ออกมา “จริงสิ ข้าเป็นคนหามาให้ท่านเอง เดิมทีข้าคิดว่าข้าไม่อยู่ข้างกายท่าน เช่นนั้นก็หาหญิงสักคนที่ไม่ด้อยไปกว่าข้ามาเป็นภรรยาท่าน แต่ว่า…แต่ว่าวันนี้ข้าเห็นภาพพวกท่านอยู่ด้วยกันแล้วก็อดอิจฉาไม่ได้…โอ้สวรรค์ ข้าต่ำช้าถึงเพียงนี้ แม้แต่ข้ายังรังเกียจตัวข้าเองเลย” เหยาอิ๋งสองมือปิดหน้า น้ำตาไหลลงมาอีกครั้ง
ตอนแรกที่นางเข้าวัง นางหวังด้วยใจจริงว่าโหลวเช่อจะหาภรรยาที่ดีได้สักคน คิดถึงตอนที่ได้ยลโฉมอวี๋กุยหวั่นที่วัดหงฝู นางก็ขอสมรสพระราชทานให้แก่โหลวเช่อ แต่นางวางไม่ลง…วางชายหนุ่มงามสง่าผู้อ่อนโยนตรงหน้านี้ไม่ลง ดังนั้นในคืนวันแต่งงานของเขา นางจึงเรียกตัวเขาเข้าวัง คิดหาร้อยพันวิธีรั้งตัวเขาไว้ ตนเองอยู่ในวังถูกสนมชายาคนอื่นรังแก เขาก็มาอยู่ข้างกายคอยปกป้องนาง ดังนั้นนางจึงไม่ต่อต้าน ยอมอาศัยเขาให้มาปกป้อง ทุกคนเห็นนางอ่อนแอรังแกง่าย แต่จะรู้ได้อย่างไรว่านางมีจุดประสงค์อื่น
รอบตัวเหยาอิ๋งปกคลุมไปด้วยความรู้สึกเศร้าเสียใจอย่างหนัก แม้แต่กุยหวั่นก็ยังสัมผัสได้ ในใจนางเองก็รู้สึกเจ็บ ช่างเป็นความรู้สึกที่หนักอึ้งเหลือเกิน
โหลวเช่อไร้คำพูด ทำได้เพียงมองหน้าเหยาอิ๋ง มันเริ่มตั้งแต่เมื่อใดกันหนอ ที่บนตัวหญิงผู้นี้เริ่มมีความเศร้าเสียใจและกลัดกลุ้มที่ไม่อาจคลายออกได้เช่นนี้ เขาถอนหายใจแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากในแขนเสื้อ เช็ดน้ำตาให้เหยาอิ๋งที่ร้องไห้น้ำตาเป็นสายอย่างอ่อนโยน
ลมหายใจของเขาเข้ามาใกล้ นางก็รู้สึกสบายใจ เอียงหัวอิงบนไหล่ของชายหนุ่มเบาๆ เมื่อสังเกตเห็นว่าเขาคิดจะถอยหลัง นางจึงยื่นมือไปโอบเอวของเขาแล้วพูดเสียงหวาน “อย่าไปจากข้า ต่อไปข้าก็จะไม่สนใจว่าท่านจะมีหญิงอื่นหรือไม่ ขอเพียงท่านไม่จากข้าไปก็พอ”
ได้ยินคำพูดของนาง โหลวเช่อไม่ได้พูดอะไร แต่ก็ไม่ได้ผลักนางออกอีก
ในที่สุดกุยหวั่นก็อดใจไม่ไหวยื่นหน้าออกมาจากด้านหลังภูเขาจำลอง ลอบมองสถานการณ์ด้านนอก คิดไม่ถึงว่าสิ่งที่ได้เห็นจะเป็นฉากความงามที่อิ๋งกุ้ยเฟยแอบอิงแนบชิดกับโหลวเช่ออย่างอ่อนโยน แท้จริงแล้วพวกเขาเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมาก น่าเสียดายที่โชคชะตาเล่นตลก
ไม่รู้เพราะเหตุใด กุยหวั่นในวันนี้จึงรู้สึกเศร้าใจเช่นกัน แม้ว่าโหลวเช่อจะไม่ใช่คนที่นางรัก แต่เห็นสามีของตนเองใกล้ชิดกับอิ๋งกุ้ยเฟยด้วยตาตนเอง ในใจก็อดเกิดปมขึ้นมาบ้างมิได้
ตัวนางที่ไม่มีความรักเป็นพื้นฐานยังถือสาในเรื่องนี้ ถ้าให้ฮ่องเต้ที่รักอิ๋งกุ้ยเฟยทรงรู้เข้า…มันจะไม่…กุยหวั่นไม่กล้าคิดต่อ เตือนตนเองให้ลืมเรื่องทั้งหมดในวันนี้
ในที่สุดพวกเขาก็เดินจากไปไกล กุยหวั่นถอนหายใจเฮือกใหญ่ ร่างที่พิงภูเขาจำลองรู้สึกเมื่อย นางจึงยืดตัวตรง การแสดงคงใกล้จะเริ่มแล้ว นางกำลังคิดจะกลับไป แต่พอหมุนตัวก็ได้ยินเสียงดังมาจากพุ่มไม้ นางตกใจ ในพุ่มไม้ยังมีคนซ่อนอยู่หรือ
กุยหวั่นถอยหลังไปสองก้าว จ้องไปยังสถานที่ที่มีเสียงดังออกมา ในความมืดนางประสานสายตาเข้ากับคนคนหนึ่ง
กุยหวั่นคิดไม่ถึงว่าในพุ่มไม้จะมีคนอยู่จริงๆ นางรู้สึกตื่นตระหนก หากเรื่องวันนี้แพร่งพรายออกไป ต้องนำมาซึ่งภัยถึงชีวิตอย่างแน่นอน หัวใจนางเต้นแรง จ้องไปยังเงาร่างในความมืดแล้วตะคอกเสียงเบาว่า “ใครอยู่ตรงนั้น!”
คนในพุ่มไม้เหมือนจะถูกนางทำให้ตกใจจึงหดตัวกลับไป กิ่งไม้ที่เขาแตะถูกมีเสียงดังสวบสาบ ได้ยินชัดเป็นพิเศษในคืนเงียบสงัดเช่นนี้
เห็นอีกฝ่ายลนลานยิ่งกว่านาง กุยหวั่นจึงสงบใจแล้วพูดเสียงเฉียบขาดว่า “ออกมา!” พุ่มไม้นิ่งไม่ขยับ ผ่านไปครู่หนึ่งเงาร่างนั้นจึงมุดออกมาจากพุ่มไม้อย่างช้าๆ เห็นเพียงอีกฝ่ายมีร่างผอมบาง สวมชุดคลุมยาวสีน้ำเงินเข้ม เขาดูลนลานมาก เสื้อผ้าถูกกิ่งไม้เกี่ยวก็ใช้มือดึง แต่ดึงอยู่หลายครั้งก็ยังไม่หลุด
เห็นท่าทางทุลักทุเลของเขาแล้ว กุยหวั่นก็สบายใจขึ้นและอยากหัวเราะออกมา ในตอนนี้เองร่างที่ซุ่มอยู่ในความมืดมาตลอดนั้นก็ดึงชายเสื้อออกมาได้ในที่สุดแล้วเงยหน้าขึ้น
กุยหวั่นจ้องมองไป คิดไม่ถึงว่าผู้ที่ซ่อนอยู่ในพุ่มไม้จะเป็นชายหนุ่มอายุน้อยหน้าตาหมดจดงดงามคนหนึ่ง ผิวพรรณขาวนวลเนียนยิ่งกว่าสตรี รูปหน้าสวยงาม ดวงตาคู่นั้นสุกใสและกระจ่างใสอย่างอธิบายไม่ถูก เผชิญหน้ากับชายหนุ่มรูปงามผู้ใสซื่อแล้ว กุยหวั่นก็ไร้คำพูด
กุยหวั่นปรับสภาพอารมณ์สักครู่ แล้วเอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เจ้าเป็นใคร” ดูการแต่งตัวของเขาแล้วไม่เหมือนคนสูงศักดิ์ ความงามสง่ายิ่งไม่เหมือนกัน พวกสูงศักดิ์ไม่มีดวงตาใสกระจ่างราวน้ำค้างเช่นนี้
ชายหนุ่มมีท่าทางตกใจ แต่ก็สงบลงได้อย่างรวดเร็วแล้วตอบว่า “ข้าเข้าวังมาพร้อมกับคณะละครคุนหยวน”
กุยหวั่นนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงนึกขึ้นได้ว่าการแสดงที่จะเริ่มอีกไม่นานนี้ดูเหมือนจะเป็นของคณะละครคุนหยวนที่มีชื่อเสียง นางจึงวางใจลงได้ครึ่งหนึ่ง ขอเพียงเขาไม่ใช่คนในวังหลวงก็จัดการได้ง่ายมากแล้ว
“ในเมื่อเป็นคนของคณะละคร เหตุใดไม่ไปเตรียมตัวก่อนขึ้นเวทีที่ตำหนักหน้า แต่กลับมาอยู่ที่นี่”
ชายหนุ่มได้ยินก็นิ่งเงียบไป ไม่ได้ตอบในทันที ผ่านไปครู่ใหญ่จึงเอ่ยปากอย่างนบนอบ “ข้าไม่ได้มาร้องละคร แค่ติดตามคณะละครเท่านั้น ฉวยโอกาสก่อนเปิดแสดงมาพักผ่อนที่นี่สักหน่อย” พูดจบเขาก็ก้มหน้าลงเล็กน้อย กุยหวั่นจึงสังเกตเห็นว่าตอนที่ชายหนุ่มคลานออกมาอย่างตื่นตระหนกเมื่อครู่มีหนังสือเล่มหนึ่งหล่นลงมาจากตัว นางย่อตัวลงยื่นมือไปหยิบตำราเล่มนั้นขึ้นมาแล้วเปิดดูภายใต้สายตาตกใจเล็กน้อยของชายหนุ่ม หลังอ่านไปไม่เท่าใดนางก็แสดงท่าทางประหลาดใจออกมา คิดไม่ถึงว่าสิ่งที่เขาอ่านคือ ‘กลยุทธ์ปกครองแผ่นดิน’ เขาอ่านตำรากลยุทธ์ที่ลึกซึ้งขนาดนี้เชียวหรือ
กุยหวั่นนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ในใจรู้สึกซับซ้อน “เมื่อครู่…เจ้าเห็นอะไรบ้าง”
แววตาสุกใสของชายหนุ่มแสดงความร้อนรนออกมาในทันที เขาเม้มริมฝีปาก สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร เห็นเขาเป็นเช่นนี้ กุยหวั่นก็มั่นใจว่าเขาต้องเห็นฉากเมื่อครู่อย่างแน่นอน คราวนี้แย่แล้ว…
กุยหวั่นยกมุมปากขึ้นยิ้มบางๆ แล้วเอ่ยถามเขา “ปีนี้เจ้าอายุเท่าใด” น้ำเสียงนางอ่อนโยนราวลมฤดูใบไม้ผลิ
ชายหนุ่มรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง แต่ยังคงตอบด้วยน้ำเสียงกระจ่างใส “สิบเก้าปี”
กุยหวั่นฉีกยิ้ม เขาอายุมากกว่านางหนึ่งปี อายุเท่านี้แล้วยังมีแววตาใสกระจ่างเช่นนี้ นับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายดาย แต่ต่อให้ใสซื่อหรือไร้เดียงสาเพียงใด ตอนนี้เข้ามาเกี่ยวพันในเรื่องนี้ก็มิอาจถอนตัวได้แล้ว
กุยหวั่นมองหน้าชายหนุ่ม แต่ยังคิดวิธีอะไรที่ดีไม่ออก ตำหนักหน้าครึกครื้นอย่างมาก แต่ที่นี่กลับเย็นเยือกถึงขีดสุด หญิงสาวในชุดงามคนหนึ่งกับชายหนุ่มผู้ใสซื่อราวน้ำคนหนึ่งจ้องหน้ากัน แต่ต่างฝ่ายต่างไร้คำพูด
จะดึงเวลาต่อไปอีกไม่ได้ กุยหวั่นคิดในใจขณะจ้องหน้าชายหนุ่มแล้วบอกเขาอย่างชัดเจน “เจ้าเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น มันยุ่งยากมาก นับจากนี้ไปชะตาชีวิตไม่ใช่ของเจ้าอีกแล้ว”
เห็นชายหนุ่มมีท่าทางฉงนและตื่นตระหนก กุยหวั่นก็อดนึกสงสารขึ้นมาไม่ได้ “ตอนนี้เจ้ามีสองทางที่เลือกได้…”
“ข้าไม่พูดออกไปหรอก” ชายหนุ่มพูดตัดบทคำพูดของนางอย่างฉับพลัน เขาพูดด้วยท่าทางมุ่งมั่นอย่างยิ่ง เสียงพูดนั้นดังกว่าเดิมเพราะการตัดสินใจที่มุ่งมั่นของเขา
กุยหวั่นพยักหน้าเบาๆ แล้วตอบด้วยรอยยิ้ม “ข้าเชื่อเจ้า” เห็นชายหนุ่มมีรอยยิ้มเพราะคำพูดนี้ กุยหวั่นจึงพูดเสริมขึ้น “แต่ข้าจะเอาชีวิตคนมากมายมาเสี่ยงกับตัวเจ้าไม่ได้ เรื่องนี้สำคัญมาก…ตอนนี้เจ้าเลือกได้เพียงหนึ่งในสองทางนี้เท่านั้น”
ใบหน้างามในความมืดนั้นดูซีดขาวยิ่งกว่าเดิม เขาฟังกุยหวั่นพูดอย่างเงียบๆ แฝงท่าทีครุ่นคิด
“ทางแรกคือเจ้าตาย” ราวกับไม่คิดว่าตนเองกำลังพูดเรื่องที่โหดร้าย น้ำเสียงของกุยหวั่นไม่ได้สั่นไหวเลยแม้แต่น้อย “ตอนนี้ขอเพียงข้าตะโกนเรียกคนมา ก็สามารถทำให้เจ้าตายได้ แต่ว่า…เจ้ายินดีจะตายไปแบบนี้หรือ” นางหยุดพูดแล้วมองหน้าชายหนุ่ม อยากจะมองทะลุผ่านดวงตาใสกระจ่างราวกระจกของเขาให้เห็นว่าในใจนั้นเป็นอย่างไร
เห็นอีกฝ่ายมีรอยยิ้มเศร้า กุยหวั่นจึงโปรยวิธีที่สองออกมา “ยังมีทางเลือกที่สอง” นางมองสำรวจชายหนุ่มอย่างละเอียดอีกครั้งก่อนเอ่ยปากพูด “เจ้ายินดีจะออกจากคณะละครแล้วตามข้าไปหรือไม่”
ชายหนุ่มได้ฟังก็ตระหนก
เผชิญหน้ากับผู้ที่รู้ความลับ ปกติก็มีเพียงสองทางเช่นนี้ หนึ่งคือฆ่าคนปิดปาก สองคือเก็บมาใช้งาน แต่กับคนผู้นี้กุยหวั่นอยากจะใช้วิธีที่สองมากกว่า ไม่ว่าในวังหลวงนี้จะโหดร้ายทารุณเพียงใด นางก็ไม่อยากคร่าชีวิตคนง่ายๆ ตามไปด้วย ยิ่งไปกว่านั้นนางยังรู้สึกว่าคนผู้นี้หน้าตาท่าทางฉลาดใช้ได้
เห็นอีกฝ่ายนิ่งเงียบ นางไม่รู้สึกหมดความอดทนแต่อย่างใด ยังคงรอเขาให้คำตอบนางอย่างเงียบๆ
ดวงตาของชายหนุ่มในความมืดมุ่งมั่นขึ้นมาทุกขณะ เขาเงยหน้าขึ้นประสานสายตากับกุ่ยหวั่น “ข้ายินดีไปกับท่าน”
ข้ายินดีไปกับท่าน…
กุยหวั่นนั่งประจำที่ รู้สึกเวียนหัวเล็กน้อยเมื่อมองดูคนบนเวทีตีกลองให้จังหวะและมีคนร่ายรำไปมา หันหน้ากวาดตามองไปรอบๆ ขุนนางบางคนก็ฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ บางคนก็ใจลอย ส่งสายตาหยอกเย้าหญิงสาวข้างกาย เห็นภาพเช่นนี้แล้ว ในใจกุยหวั่นก็นึกขำ
โหลวเช่อไม่ได้กลับมา อิ๋งกุ้ยเฟยอ้างว่ารู้สึกไม่สบายตัวจึงไม่ได้มาปรากฏตัวเช่นกัน แม้แต่ฮ่องเต้เองก็ไม่ได้มา เหลือเพียงเหล่าขุนนางและภรรยาที่นั่งดูการแสดงกัน
กุยหวั่นอดยิ้มบางๆ ออกมาไม่ได้ ตัวเอกในละครร้องตัวจริงออกจากฉากไปแล้ว เหลือเพียงคนมาดูละคร ไร้ซึ่งความรู้สึก ส่วนตัวนางแม้ว่าจะรู้เรื่อง แต่ก็จำต้องทนดูละครที่ไม่มีตัวเอกฉากนี้ต่อไป
ช่างเป็นวังหลวงที่น่าขำเสียจริง…
จู่ๆ ความคิดนางก็กลับไปที่ตัวชายหนุ่มหน้าตาเกลี้ยงเกลาเมื่อครู่อีกครั้ง นางตามเขาไปพบหัวหน้าคณะละคร เมื่อหัวหน้าคณะเห็นว่าเป็นฮูหยินอัครเสนาบดีก็ตอบตกลงทุกอย่างโดยไม่พูดอะไรมาก ที่แท้ชายหนุ่มผู้นั้นเกิดในตระกูลบัณฑิตตกยาก มีชีวิตลำบาก ติดตามคณะละครมาที่เมืองหลวง เพราะอยากจะเข้าร่วมการสอบคัดเลือกขุนนางต้นฤดูใบไม้ผลิในปีหน้า
ชายหนุ่มใสซื่อเช่นนี้ก็อยากจะเข้าสู่แวดวงขุนนางเช่นกันหรือ ช่างโหดร้ายเสียจริง
แต่เมื่อครู่ตอนที่ชายหนุ่มได้ยินคนอื่นเรียกนางว่า ‘ฮูหยินอัครเสนาบดี’ ดูเหมือนเขาจะตกใจมาก เขาคงคิดไม่ถึงว่านางคือคนที่เห็นสามีกับอิ๋งกุ้ยเฟยลักลอบพบกันด้วยตาตนเอง และยังจัดการเรื่องยุ่งยากให้อีกด้วย นึกถึงท่าทางตาโตอ้าปากค้างของชายหนุ่มเมื่อครู่แล้ว กุยหวั่นก็อดหัวเราะไม่ได้
ละครแสดงมาถึงตอนสำคัญแล้ว ในขณะนี้เองเงาร่างคนผู้หนึ่งก็เดินมาที่โต๊ะด้านขวามือแล้วนั่งลง คนที่อยู่ในโต๊ะเดียวกันเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนพูดอย่างตกใจว่า “ท่านแม่ทัพ? เหตุใดจึงเพิ่งมาตอนนี้ ละครแสดงไปได้ครึ่งเรื่องแล้ว”
หลินรุ่ยเอินพยักหน้า “ไม่เป็นไร” เขานั่งลงเงียบๆ ท่าทางดูไม่มีสมาธิ
กุนซือขยับเข้ามาใกล้ ใบหน้าแสดงความเป็นห่วง “ท่านแม่ทัพ เมื่อครู่ท่านไปที่ใดมา ข้าให้คนไปตามก็หาท่านไม่เจอ”
หลินรุ่ยเอินตอบอย่างลังเลใจ “เมื่อครู่ข้าไปเดินเล่นที่สวนด้านหลังตำหนักจิ่งอี๋”
“หา?” กุนซือแสดงอาการตกใจ จากนั้นก็ลดเสียงพูดลง “อิ๋งกุ้ยเฟยไม่อนุญาตให้ใครเข้าออกสวนนั้นตามอำเภอใจ ท่านแม่ทัพไม่รู้หรือ”
หลินรุ่ยเอินเงียบงันไป ใบหน้านั้นแฝงการครุ่นคิด เขาหันหน้ามองไปที่โต๊ะตัวแรกทางซ้ายมือ แม้จะห่างกันไกลสักหน่อย แต่ก็เห็นใบหน้างดงามนั้นได้ ปากก็ตอบกลับว่า “ข้าไม่รู้ว่ามีกฎเช่นนั้นด้วย”
“ช่างเถิด ขอเพียงไม่พูดออกไปก็ไม่เป็นไร” กุนซือยิ้มปลอบใจ ด้วยฐานะของท่านแม่ทัพ ถ้าบุกรุกสวนโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์จะเป็นอย่างไร
“อย่างนั้นหรือ ขอเพียงไม่พูดออกไปก็ไม่เป็นไรแล้วหรือ” หลินรุ่ยเอินพูดทวนคำของอีกฝ่ายออกมาอย่างไม่รู้ตัว
กุนซือสังเกตเห็นความผิดปกติของเขา จึงหันหน้ามองไปตามสายตาของหลินรุ่ยเอิน จากนั้นก็ได้แต่ถอนใจ เริ่มอึดอัดใจขึ้นมา
บนเวที ละครยังคงทำการแสดงต่อไปอย่างออกรสออกชาติ
หลังจากการแสดงปิดฉากลง กุยหวั่นรู้สึกราวกับปลดภาระหนักลงได้แม้ว่าใจจะไม่ได้อยู่กับการแสดงบนเวทีเท่าใดนัก แต่นางก็รู้ว่าละครสนุกมาก น่าเสียดายที่นางไม่มีใจจะไปตั้งใจฟัง เดิมทีชีวิตก็ไม่ต่างกับละครอยู่แล้ว จะต้องไปนั่งดูให้เกิดประโยชน์อันใด
กุยหวั่นลุกขึ้นเดินออกไปนอกบริเวณตำหนัก รถม้ามาจอดรออยู่ด้านนอกแล้ว วันนี้นางเหนื่อยเต็มที อยากจะกลับไปพักผ่อนดีๆ ตอนเดินเข้ามาไม่ทันสังเกต ที่แท้ระเบียงทางเดินของตำหนักยาวถึงเพียงนี้ หรือที่นางรู้สึกเช่นนั้นเป็นเพราะอารมณ์ของนางเปลี่ยนไปกันแน่
“โหลวฮูหยินโปรดหยุดก่อน” เสียงพูดหนึ่งเรียกรั้งกุยหวั่นเอาไว้ นางหันหน้าไป เห็นตวนอ๋องยืนยิ้มห่างออกไปสามก้าว
กุยหวั่นย่อตัวคำนับ ยิ้มบางๆ แล้วตอบ “ตวนอ๋องมีอะไรจะชี้แนะหรือเพคะ” สายตาเยียบเย็นเช่นนี้ทำให้คนเห็นรู้สึกหวาดกลัวขึ้นเป็นเท่าตัว แต่จะไม่พูดด้วยก็ไม่ได้
ตวนอ๋องก้าวยาวมาตรงข้างกายกุยหวั่น เดินเคียงข้างกุยหวั่นออกไปนอกตำหนัก “ท่านอัครเสนาบดีไม่อยู่ ข้าจะนำทางฮูหยินเอง”
กุยหวั่นตอบเสียงเรียบ “ขอบคุณตวนอ๋องที่เป็นห่วงเพคะ”
ตวนอ๋องหัวเราะออกมา แม้แต่เสียงหัวเราะก็ดูกำแหงกว่าคนอื่นอยู่หลายส่วน “ท่านอัครเสนาบดีช่างเอาใจใส่งานแผ่นดิน คืนนี้ก็จะอยู่ค้างในวังหรือ”
“การทำเพื่อแผ่นดินก็เป็นสิ่งที่สมควรแล้ว” กุยหวั่นพบว่าตนเองปรับตัวเข้ากับที่นี่ได้มากขึ้นทุกทีแล้ว จนตอนนี้ถึงกับพูดจาเสแสร้งเช่นนี้ได้
“เป็นเรื่องธรรมดาอย่างนั้นจริงหรือ” ตวนอ๋องพูดจบ สังเกตเห็นว่ากุยหวั่นไม่มีท่าทีใดจึงเปลี่ยนหัวข้อไป “มีภรรยางดงามเช่นนี้ ถ้าเป็นข้าย่อมไม่มีทางอยู่ค้างในวังแน่นอน” คำพูดแฝงการแทะโลม เห็นได้ว่าต้องการหยั่งเชิง เขาอยากจะลองดูว่าความอดทนของหญิงผู้นี้มีมากเท่าใด
ได้ยินคำพูดนี้แล้ว กุยหวั่นเพียงแค่ขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็กลับมายิ้มบาง “เช่นนั้นพระชายาตวนอ๋องคงโชคดีมาก” นางช้อนตามอง เห็นรถม้าอยู่ด้านหน้าจึงลอบถอนหายใจแล้วพยักหน้าเบาๆ เป็นนัย “ท่านอ๋อง รบกวนพระองค์แล้ว หม่อมฉันถึงรถแล้วเพคะ” พูดจบนางไม่ได้รอให้ตวนอ๋องตอบอะไร เดินจากไปโดยไม่หันกลับมา
ตวนอ๋องตะลึงอยู่ตรงนั้น ไม่รู้จะทำอย่างไร ขุนนางในชุดแดงที่อยู่ด้านข้างเดินเข้ามาใกล้ ยืนอยู่ข้างกายตวนอ๋อง พูดประจบว่า “ท่านอ๋องชอบหญิงผู้นี้หรือพ่ะย่ะค่ะ”
เห็นตวนอ๋องไม่มีปฏิกิริยาใด เขาคิดว่าตนเองเดาถูก จึงพูดด้วยท่าทางเจ้าเล่ห์ขึ้นอีกว่า “โหลวฮูหยินคนนี้แตะต้องไม่ได้ แต่กระหม่อมสามารถหาหญิงที่คล้ายนางหกเจ็ดส่วนมาให้ท่านอ๋องชื่นชมได้”
ทันใดนั้นตวนอ๋องก็หัวเราะเย็นชา “ใครบอกว่าข้าชอบหญิงคนนี้” เขาเอี้ยวตัวมามองคนตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชาแล้วพูดเสียงเคืองขุ่นว่า “แต่ถึงข้าชอบก็ไม่เอาตัวปลอม เจ้าเมืองโจว ถ้ามีเวลามาสนใจความคิดของข้า สู้เอาเวลามากสักนิดไปคิดว่าจะรักษาตำแหน่งบนหัวของตนเองได้อย่างไรจะดีกว่า”
พูดจบเขาก็ก้าวยาวจากไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งขุนนางชุดแดงผู้นั้นให้ตกตะลึง เหงื่อผุดเต็มหัว
กุยหวั่นเดินเข้าใกล้รถม้าจึงได้พบว่าชายหนุ่มผู้นั้นอยู่ด้านข้างแล้ว มองดูท่าทางงามสง่าของเขาแล้ว กุยหวั่นก็อุ่นใจ เผชิญหน้ากับความเสแสร้งในวังหลวงเสร็จ ได้มาเห็นชายหนุ่มใบหน้ากระจ่างใสราวน้ำผู้นี้ นางพลันรู้สึกเหมือนคุ้นเคยมาแสนนาน
เมื่อขึ้นนั่งบนรถม้าแล้ว นางก็กวักมือเรียกชายหนุ่มขึ้นรถตาม ทำเช่นนี้เดิมทีไม่เหมาะสม แต่ตอนนี้ดึกแล้วและไม่มีรถม้าคันอื่น จะให้ชายหนุ่มวิ่งตามรถม้ากลับจวนไปก็คงไม่ได้
ทั้งสองเพิ่งจะนั่งลงตรงข้ามกัน รถม้าก็เริ่มเคลื่อนตัว กุยหวั่นถอนหายใจแล้วยื่นมือไปพลิกเปิดม่านรถ อยากจะมองออกไปด้านนอก ทันใดนั้นตรงหน้าก็มีมือเพิ่มมาอีกข้าง ดึงม่านปิดเบาๆ เสียงของชายหนุ่มอ่อนหวานยิ่ง “ด้านนอกลมแรง จะเป็นหวัดได้”
กุยหวั่นมองหน้าอีกฝ่ายอย่างทั้งตกใจและตกตะลึง ฉากที่คุ้นเคยเหลือเกิน ตอนที่เดินทางมา โหลวเช่อดูเหมือนจะพูดแบบนี้เช่นกัน
ชายหนุ่มเห็นปฏิกิริยาของกุยหวั่น ใบหน้าก็ขึ้นสี รีบชักมือกลับทันที ใช่สิ อีกฝ่ายมีฐานะสูงศักดิ์ จะให้เขามาทำรุ่มร่ามได้อย่างไร เมื่อคิดดังนี้ชายหนุ่มจึงแสดงท่าทางจนปัญญาออกมา
กุยหวั่นสังเกตเห็นชายหนุ่มระวังเนื้อระวังตัวขึ้นมาทันใด จึงฉีกยิ้มหวานพลางเอ่ย “ขอบคุณ” มองดูดวงตากระจ่างใสของอีกฝ่าย นางเกิดความคิดหนึ่งขึ้นจึงเอ่ยถาม “เจ้าชื่ออะไร”
ชายหนุ่มตอบคำ “ข้าชื่อก่วนซิวเหวิน”
กุยหวั่นมองเขาแวบหนึ่งแล้วหลับตาลง พิงพนักบนรถม้า ฟังเสียงเพลารถม้า นางครุ่นคิดอยู่นาน จากนั้นก็พูดเสียงเรียบว่า “เจ้าเตรียมตัวพร้อมหรือยัง แวดวงขุนนางอันตรายกว่าสนามรบ ถ้าไม่มีความศรัทธาแรงกล้า คงเดินบนเส้นทางนี้ต่อไปได้ยากมาก เจ้าในตอนนี้ยังแกร่งไม่พอ”
น้ำเสียงนี้แผ่วเบา แต่กลับกระแทกไปที่กลางใจของก่วนซิวเหวิน เขาจับจ้องหญิงสาวที่หลับตาพักตรงหน้า หญิงสาวที่เคยบอกว่าจะฆ่าเขาด้วยจิตใจสงบนิ่ง หญิงสาวที่เปลี่ยนชะตาชีวิตของเขา จู่ๆ ก็รู้สึกงุนงงขึ้นมาทันใด ศรัทธา…เขาควรจะแบกเอาศรัทธาอย่างไรเดินไปบนหนทางแห่งอนาคตนี้กัน
รถม้ายังคงวิ่งต่อไป ทิ้งวังหลวงที่มีหลังคาสีทองกำแพงสีแดงไว้เบื้องหลัง ในตอนนี้ไม่มีผู้ใดรู้ว่าค่ำคืนนี้ได้เปลี่ยนชะตาชีวิตของหลายคนไปแล้ว
ทว่า…เรื่องทั้งหมดเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น
บทที่หก
ท้องฟ้าสุดแนวป่าดูสว่างสดใสขึ้นหลังหิมะตกในเมือง
เพียงพริบตาก็ถึงต้นปีที่สองของรัชศกเทียนไจ่ วันนี้ในเมืองหลวงมีหิมะตกหนักที่น้อยครั้งจะได้เห็น แสดงถึงนิมิตหมายอันดีที่หาได้ยาก พ้องกับคำโบราณที่ว่า ‘หิมะที่ตกตามฤดูกาลเป็นสัญญาณแห่งความอุดมสมบูรณ์’
ที่น่าเสียดายก็คือช่วงต้นปีใหม่เกิดเรื่องใหญ่สะเทือนไปทั่วเมืองหลวง ฮ่องเต้เสด็จไปไหว้พระที่วัดฮู่กั๋ว ขอพรให้ลมฝนตกต้องตามฤดูกาล ในวัดมีภิกษุรูปหนึ่งพูดว่าอิ๋งกุ้ยเฟยเป็น ‘ชนวนหายนะของแผ่นดิน’ ฮ่องเต้จึงพิโรธหนักสั่งตัดหัวภิกษุทันที ก่อนที่ภายหลังจะพบว่าภิกษุรูปนี้คือ ‘จื้อคงต้าซือ’ ผู้ที่ได้ฉายาว่า ‘ภิกษุพุทธะ’ มีชื่อเสียงโด่งดังในหมู่ชาวบ้าน เพียงไม่นานในเมืองหลวงก็เกิดความวุ่นวาย วิพากษ์วิจารณ์กันไปทั่ว
เรื่องนี้ดูเหมือนจะไม่กระทบไปถึงจวนอัครเสนาบดี เนื่องจากปีนี้ในจวนมีฮูหยิน ดังนั้นจึงดูครึกครื้นเป็นพิเศษ หิมะปกคลุมไปทั่วพื้นที่ ย้อมทุกสิ่งเป็นสีเงินขาว ภายในจวนประดับประดาด้วยโคมไฟและกระดาษสี ดูครึกครื้นอย่างมาก ภายในลานกว้างของจวน พ่อบ้านเฒ่าเดินอย่างมั่นคง ก้าวยาวมาทางเรือนพักทิศตะวันตก เมื่อเห็นประตูปิดสนิทเขาก็รู้สึกแปลกใจ จึงเดินเข้าไปแล้วเคาะประตูเป็นจังหวะ ปากก็ตะโกนพูด “คุณชายก่วน คุณชายก่วน…”
ประตูถูกเปิดออก คุณชายอายุน้อยคนหนึ่งเดินออกมาจากเรือนพัก เขาสวมชุดผ้าต่วนสีน้ำเงินเข้ม คิ้วเรียวยกขึ้น ตาโตสุกใส ดูสุภาพสง่างามและมีรอยยิ้มเป็นกันเอง ให้ความรู้สึกสดชื่นเป็นผู้ดีที่ยากจะอธิบายด้วยคำพูด แม้แต่พ่อบ้านที่พบเจอคนมามากก็ยังอดชื่นชมไม่ได้ คำนับเขาอย่างนบนอบยิ่ง “คุณชายก่วน ที่ลานด้านหน้ากำลังต้มเหล้าดอกเหมย ท่านอัครเสนาบดีและฮูหยินให้มาเชิญท่านไปด้านหน้าขอรับ”
ก่วนซิวเหวินมาอยู่ที่จวนได้สองเดือนเต็มแล้ว เขาย้อนนึกถึงเมื่อสองเดือนก่อนก็รู้สึกราวกับตนอยู่ในความฝันจริงๆ
เขาพยักหน้าให้พ่อบ้านอย่างอ่อนโยนแล้วพูดขึ้น “ขอบคุณมาก” ก่อนจะดึงประตูปิดลงและเดินตามพ่อบ้านไปทางลานด้านหน้า
ตลอดทางเจอสาวใช้และแม่นมไม่น้อยพากันคำนับเขา ก่วนซิวเหวินใช้รอยยิ้มตอบกลับ พ่อบ้านแอบชื่นชมในใจ ทั้งจวนล้วนรู้ว่าฮูหยินพาคุณชายอายุน้อยคนหนึ่งกลับมาจากในวัง แต่ไม่มีใครรู้ความเป็นมาของเขา ฮูหยินบอกว่าเขาเป็นคนเก่งที่อบรมสั่งสอนได้ ผ่านไปไม่นานแม้แต่ท่านอัครเสนาบดีก็ยังชื่นชมในความเก่งของเขา รับเขาไว้เป็นศิษย์ และลั่นวาจาไว้ก่อนว่าการสอบขุนนางต้นฤดูใบไม้ผลิปีนี้เขาต้องสอบผ่านแน่นอน ตนเองเป็นพ่อบ้านมาหลายปี คำที่ท่านอัครเสนาบดีพูดไว้ไม่เคยผิดพลาดมาก่อน คนผู้นี้คือจ้วงหยวน* ในอนาคตไม่ผิดแน่ พ่อบ้านช้อนตาขึ้นมองคนข้างกาย สิ่งที่ดียิ่งไปกว่านั้นคือเขาไม่มีความเย่อหยิ่งเลย เป็นกันเองและมีมารยาทกับคนอื่นตลอดเวลา
ทั้งสองเพิ่งจะเดินไปถึงลานด้านหน้าก็เห็นโหลวเช่อเดินเข้ามาหาจึงชะงักฝีเท้าลง
โหลวเช่อเดินเข้ามาใกล้ บนใบหน้ามีรอยยิ้มสดใส
* จ้วงหยวน (จอหงวน) คือตำแหน่งของผู้ที่สอบเข้ารับราชการได้เป็นอันดับหนึ่ง โดยการสอบขุนนางในสมัยโบราณ (เคอจวี่) แบ่งเป็นฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ สอบเลื่อนทีละระดับขั้น เริ่มจากระดับอำเภอหรือจังหวัดเรียกว่าการสอบถงซื่อ ผู้สอบผ่านได้เป็นซิ่วไฉ มีสิทธิ์เข้าร่วมสอบเซียงซื่อในระดับมณฑล หากสอบผ่านจะได้เป็นจวี่เหริน ซึ่งต้องเข้ามาสอบระดับฮุ่ยซื่อที่เมืองหลวงเพื่อขึ้นเป็นจิ้นซื่อ ได้บรรจุเข้ารับราชการ เมื่อผ่านการสอบทั้งสามระดับจะได้เข้าสอบหน้าพระที่นั่งคือการสอบเตี้ยนซื่อ เพื่อคัดเป็นบัณฑิตเอกสามชั้น ซึ่งบัณฑิตเอกขั้นหนึ่งมีสามคน เรียงตามคะแนนเรียกว่าจ้วงหยวน (จอหงวน) ปั๋งเหยี่ยน และทั่นฮวา
ส่วนก่วนซิวเหวินค้อมตัวคำนับอยู่ก่อนแล้ว ปากก็เอ่ยเรียก “เซียนเซิง”* เขาเห็นโหลวเช่อท่าทางเร่งรีบ เดาได้ว่าน่าจะเตรียมเข้าวังอีกแล้วเป็นแน่ ในใจเกิดความรู้สึกต่อต้านขึ้นมา เขาจึงก้มหน้าหลับตาลง ปิดบังความรังเกียจที่ปรากฏในดวงตาของตนเองมิให้อีกฝ่ายเคลือบแคลง
โหลวเช่อเพิ่งจะได้รับรายงานด่วนจากในวัง ฮ่องเต้ทรงพระทัยร้อนเรียกตัวเขาเข้าวัง เห็นทีคงเกี่ยวกับเรื่อง ‘หายนะของแผ่นดิน’ ในใจเขารู้สึกเบื่อหน่ายกับเรื่องนี้นานแล้ว แต่เมื่อเป็นคำสั่งของฮ่องเต้ คนเป็นขุนนางจะขัดคำสั่งได้อย่างไร
โหลวเช่อมองชายหนุ่มตรงหน้าผู้นี้ก็มักจะคิดถึงตนเองในอดีต ก่วนซิวเหวินมีพรสวรรค์สูงมาก เป็นผู้ที่เหมาะเป็นจ้วงหยวนยิ่ง แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใดเขากับชายหนุ่มหน้าใสผู้นี้จึงไม่สนิทกันมากพอ แม้ว่าจะมีฐานะเป็นศิษย์อาจารย์ แต่มักรู้สึกว่าระหว่างสองคนมีกำแพงกั้นอยู่ โหลวเช่อได้แต่ลอบหัวเราะในใจว่าตนเองคิดมากเกินไป ชายหนุ่มผู้นี้ภายหน้าอาจจะกลายเป็นผู้ช่วยคนสำคัญของเขาก็ได้ เขาพยักหน้าให้ก่วนซิวเหวินก่อนจะก้าวยาวเดินออกไป
รอจนโหลวเช่อเดินห่างไปไกล พ่อบ้านจึงเงยหน้าขึ้น มองไปยังชายหนุ่มข้างกาย แล้วกลับตกใจจนต้องมองซ้ำให้แน่ใจ เมื่อครู่เขาคงตาลายไปจริงๆ จึงเห็นชายหนุ่มหน้าตาสะอาดสะอ้านผู้มีรอยยิ้มกลายเป็นคนนิ่งขรึมไร้ความรู้สึกไปเสียได้
ก่วนซิวเหวินเดินตามพ่อบ้านไปที่ลานด้านหน้า ที่นี่เป็นลานด้านหน้าเรือนพักทิศตะวันออก แตกต่างกับสระบัวของลานด้านหน้าเรือนพักทิศตะวันตก ที่นี่คือ ‘เรือนเหมยย่วน’
สีแดงจัดจ้าสะดุดตาท่ามกลางโลกสีขาวโพลน ไม่ว่าบนหิมะ บนกิ่งไม้ และบนมือของสาวใช้ล้วนมีดอกเหมยดอกเล็กๆ หิมะที่ปกคลุมบนกิ่งไม้ขับให้ดอกเหมยยิ่งงามเด่น สีแดงเด่นชัดตัดกับสีขาว เป็นความงามที่ยากจะบรรยาย โลกนี้ก็ดูงดงามราวภาพวาดได้เพราะภาพความงามสีขาวแดงที่ตัดกันนี้ ดอกเหมยยังมีกลิ่นหอมสดชื่น ผสานกับกลิ่นหอมของสุรา สองกลิ่นหอมรวมกันทำให้ผู้คนเคลิบเคลิ้ม พอเดินเข้าไปสูดกลิ่นใกล้ๆ ก็รู้สึกชื่นใจ
บรรดาสาวใช้เดินอยู่ท่ามกลางต้นเหมย ในมือถือกรรไกร กำลังพูดคุยหัวเราะกัน ก่วนซิวเหวินแทบจะคิดว่าตนเองเดินหลงเข้ามาในแดนสวรรค์จึงยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว เขามองเข้าไปในดงต้นเหมย ลมหายใจติดขัดไปชั่วขณะ
เสื้อขาวกระโปรงแดง ผมดำราวเส้นไหม คิ้วโก่งเรียวงาม ดวงตาเปล่งประกาย ผิวขาวราวหิมะ รูปโฉมงดงาม ยิ้มบางสดใส ก่อให้เกิดความรู้สึกหลากหลาย
ก่วนซิวเหวินชะงักฝีเท้าลง จับจ้องภาพที่เห็นนี้ จนกระทั่งหญิงสาวอมยิ้มกวักมือเรียก เขาจึงค่อยได้สติแล้วเดินเข้าไปใกล้อย่างช้าๆ ก่อนจะโค้งคำนับ “ฮูหยิน”
กุยหวั่นมองหน้าชายหนุ่มพลางรู้สึกประหลาดอยู่บ้าง เขาช่างเหมาะสมกับอาภรณ์หรูจริงดังคาด มองเผินๆ ราวกับคุณชายสูงศักดิ์ นางยิ้มบางๆ แล้วกล่าว “นั่งสิซิวเหวิน” แม้ว่าคนผู้นี้จะไม่มีความเกี่ยวพันกับนางทางสายเลือด แต่มักจะให้ความรู้สึกเหมือนสนิทกับนางมาก
เมื่อก่วนซิวเหวินนั่งลง สุราดอกเหมยจอกหนึ่งก็ถูกสาวใช้ยกมาตรงหน้า เขายื่นมือไปรับแล้วดมดู มันหอมอ่อนสดชื่น ทำให้คนหวั่นไหวได้จริงๆ เห็นท่าทางหลงใหลของเขาแล้ว กุยหวั่นก็หัวเราะออกมาแล้วพูดหยอก “เป็นอย่างไร ไม่เสียทีที่มาใช่หรือไม่”
ก่วนซิวเหวินเพียงยิ้มไม่พูดจา แล้วจิบสุราหนึ่งอึก รสสุราบางเบาแต่ไม่จืด กลิ่มหอมติดอยู่ในปากนานไม่จางไป “เป็นของที่สุดยอดจริงๆ”
* เซียนเซิง (ซิงแซหรือซินแส) เป็นคำเรียกปัญญาชนในสมัยโบราณ เพื่อแสดงความยกย่องผู้มีความรู้ จึงมักใช้เรียกครูบาอาจารย์ หมอรักษาโรค หมอดู นอกจากนี้ยังใช้กล่าวถึงผู้เป็นสามี ปัจจุบันคำนี้ยังใช้ในความหมายว่า Mister ด้วย
“แน่นอนอยู่แล้ว” กุยหวั่นหยิบสุราที่เพิ่งต้มเสร็จแล้วอธิบายว่า “นี่เป็นสิ่งที่ฮองเฮาประทานให้ เดิมทีเหล้ามีรสไม่เข้มนัก แต่ใครจะรู้ว่าพอต้มกับดอกเหมยแล้วจะกลายเป็นเหล้าที่รสดีเช่นนี้ได้” เพิ่งพูดจบรอยยิ้มของนางก็จางหายไป คิดถึงฮองเฮาในวังหลวงนั้น กุยหวั่นก็นึกเสียดาย วันที่สามหลังจากงานฉลองในวังหลวง ฮองเฮาเชิญนางเข้าวัง เดิมทีคิดว่าฮองเฮาอาจจะทำให้นางลำบากใจ ใครจะรู้ว่าอีกฝ่ายสุภาพอ่อนหวาน มีมารยาทไปทุกอย่าง หลังจากนั้นกุยหวั่นก็รู้สึกชอบฮองเฮาผู้นี้ขึ้นมา ไปๆ มาๆ ทั้งสองก็กลายเป็นสหายกัน
ฮองเฮาที่สง่างามผู้นั้นก็เหมือนกับดอกเหมย ดูได้นาน ดมได้นาน ชื่นชมได้นาน ทว่าน่าเสียดายที่ในสายตาของฮ่องเต้มีเพียงดอกโบตั๋นงามล่มเมืองเท่านั้น
เห็นท่าทางซึมเศร้าของกุยหวั่นแล้ว ก่วนซิวเหวินก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ในชั่วอึดใจนั้นมีเพียงเสียงพูดคุยหัวเราะดังลอดออกมาจากดงต้นเหมย และกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่แตะจมูก
กุยหวั่นเป็นคนสนุกสนาน เมื่อสังเกตเห็นว่าบรรยากาศชืดลงก็ยิ้มออกมาในทันที “ท่านจ้วงหยวน เหตุใดไม่พูดอะไรบ้างเล่า เหล้าดอกเหมยหอมเกินไป ดึงเอาวิญญาณของเจ้าไปแล้วหรือ” หลังจากโหลวเช่อบอกว่าเขาจะต้องสอบผ่าน ทุกครั้งกุยหวั่นจะชอบใช้สรรพนามนี้มาหยอกเขา
ได้ยินคำเรียกนี้ ก่วนซิวเหวินก็มีท่าทางเขินอาย พอจ้องหน้ากุยหวั่นอีกครั้งก็เห็นความน่ารักขี้เล่นจากดวงตานาง เขาตกตะลึงไปเล็กน้อย ปากก็พูดขึ้นว่า “ฮูหยินอย่าล้อข้าเล่นอีกเลย…”
เห็นเขาจะเขินอายทุกครั้งเพราะคำเรียกว่า ‘จ้วงหยวน’ กุยหวั่นก็หัวเราะออกมา ความเบิกบานกระจายไปทั่วเรือนเหมยย่วน ทั้งเรือนอบอวลไปด้วยความสุข
ระหว่างที่พวกเขากำลังพูดคุยกันอย่างเบิกบาน พ่อบ้านก็วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน เห็นท่าทางตื่นตระหนกของเขาแล้ว กุยหวั่นก็เคร่งเครียดขึ้นมา
พ่อบ้านโค้งตัว ยื่นเทียบเชิญสีเหลืองใบหนึ่งมาให้แล้วพูดเสียงหอบ “ฮองเฮารับสั่งให้เข้าเฝ้าด่วนขอรับ”
กุยหวั่นขมวดคิ้วรับเทียบเชิญนั้นมา เห็นเพียงตัวอักษรหวัดบนนั้นเหมือนเขียนขึ้นอย่างรีบร้อน กุยหวั่นลอบตกใจ ปกติฮองเฮาเป็นคนรอบคอบเรียบร้อย ตัวอักษรงดงามเหมือนกับตัวของนาง ไม่เคยมีลายมือหวัดเช่นนี้มาก่อน หรือว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น
กุยหวั่นลุกขึ้นทันใดแล้วสั่งการ “เตรียมรถม้า ข้าจะเข้าวัง” นางแสดงท่าทีขอโทษให้ชายหนุ่มแล้วหมุนตัวเดินออกไปอย่างว่องไว
ชายหนุ่มถือจอกสุรา มองแผ่นหลังของนางอย่างเป็นห่วง นางเดินไกลเขาออกไปทุกที…
ตำหนักฮองเฮาแห่งนี้ในสองเดือนที่ผ่านมานางเข้าออกมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางถึงกับถูกขวางไว้นอกประตู
ตำหนักฮองเฮาในวันนี้รักษาการณ์เข้มงวดเป็นพิเศษ แม้ว่านางกำนัลประจำกายฮองเฮาจะออกมารับด้วยตนเองตามปกติ ทว่าองครักษ์ก็ยังไม่ยอมปล่อยให้นางเข้าไป
กุยหวั่นนึกโมโห จึงหยิบป้ายทองบนตัวออกมา ป้ายทองส่องประกาย ด้านหน้ามีอักษรเพียงตัวเดียวว่า ‘โหลว’ องครักษ์เห็นป้ายทองแล้วก็ลดความดุดันลง ก่อนจะถอยไปอยู่ด้านข้าง คิดไม่ถึงว่าป้ายคำสั่งของโหลวเช่อจะใช้การได้ดีกว่าคำสั่งของฮองเฮา กุยหวั่นพูดไม่ออกไปในทันที ที่นี่เดิมทีก็เป็นโลกแห่งความไม่ถูกต้องอยู่แล้ว ผู้ที่มีอำนาจอยู่ในมือจริงๆ เท่านั้นจึงจะเป็นผู้แกร่งกล้า
กุยหวั่นไม่สบายใจมากยิ่งขึ้น เดินตามนางกำนัลเข้าไปในตำหนัก
ฮองเฮานั่งพิงกายอยู่บนเก้าอี้กุ้ยเฟย* เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ ไม่ได้สังเกตเห็นการมาถึงของกุยหวั่นเลย นางกำนัลเข้าไปรายงาน ฮองเฮาจึงลืมตา มีคราบน้ำตาปรากฏอยู่รางๆ เมื่อเห็นหน้ากุยหวั่น นางก็ยิ้มคลายกังวลออกมา “กุยหวั่น”
กุยหวั่นได้ยินเสียงเรียกนี้ก็รู้สึกราวกับหัวใจกระตุก “ฮองเฮา” นางเรียกขานอีกฝ่ายพลางเดินเข้าไปหาช้าๆ ก่อนจะหยุดตรงหน้าเก้าอี้กุ้ยเฟย พูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายว่า “ไม่สบายกายหรือเพคะ”
ฮองเฮาส่ายหน้าเบาๆ หลายทีแล้วขยับตัวนั่งตรง ถามกุยหวั่นว่า “กุยหวั่น ข้าจะทำอย่างไรดี” ในคำพูดแฝงความจนใจ ตื่นตระหนกและหวาดผวาเอาไว้เต็มเปี่ยม
เห็นมือของฮองเฮาสั่นเทา กุยหวั่นจึงยื่นมือไปกุมไว้แล้วพูดขึ้น “ใจเย็นๆ เกิดอะไรขึ้นหรือเพคะ”
แรงบีบจากมือบางที่ส่งมาเป็นระยะๆ ทำให้ฮองเฮายิ้มบางๆ ออกมาได้ในที่สุด “กุยหวั่น เจ้ารู้เรื่องวัดฮู่กั๋วหรือไม่” น้ำเสียงสั่นเครือฉายความไม่สบายใจของฮองเฮาออกมา
“ได้ยินมาบ้างเพคะ”
“ฝ่าบาทจะทรงตรวจสอบเรื่องนี้ ข้ากับพระบิดาล้วนเกี่ยวพันกับเรื่องนี้” ฮองเฮาพูดไป สีหน้าก็เศร้าสลดขึ้นทุกที “ฝ่าบาททรงเปลี่ยนไป เขาเปลี่ยนไปแล้ว…เขาไม่ยอมฟังข้าอธิบาย แต่ไม่ใช่ข้า ข้าไม่ได้ทำ…” ฮองเฮาที่สุภาพเรียบร้อยอยู่ตลอดร้องไห้อย่างหนัก ไม่เหลือภาพสูงศักดิ์สง่างามเช่นปกติเลยแม้แต่น้อย
กุยหวั่นตกตะลึง ตำหนักในก็เป็นเช่นนี้ ไม่มีมิตรภาพอะไรให้พูดถึง นางกุมมือฮองเฮาอย่างสงบนิ่งแล้วพูดเสียงอ่อนหวาน “เรื่องนี้พระองค์กับพระสัสสุระไม่ได้เป็นคนทำหรือเพคะ”
ฮองเฮาสะดุ้ง ตอบทั้งที่ร้องไห้ “เจ้าก็ไม่เชื่อข้าหรือ ไม่ใช่ข้า และไม่ใช่พระบิดาของข้า พวกเราไม่ได้ทำอะไรเลย”
กุยหวั่นพูดอย่างสงบนิ่ง “ไม่ใช่ไม่เชื่อพระองค์ หม่อมฉันแค่อยากรู้เรื่องให้กระจ่าง จากนั้นค่อยคิดวิธีรับมือ พระองค์อย่างเพิ่งร้อนใจ”
ได้ยินน้ำเสียงอ่อนโยนของกุยหวั่น ความตื่นตระหนกของฮองเฮาจึงค่อยๆ สงบลง เมื่อนางสังเกตเห็นอาการเสียกิริยาของตนเองก็ยิ้มขัดเขินให้กับกุยหวั่นเล็กน้อย
เมื่อเห็นฮองเฮากลับมาอ่อนโยนและสงบดังเดิมได้ กุยหวั่นก็โล่งใจ
จากนั้นฮองเฮาก็ยืนขึ้น เดินไปมาอยู่ในห้องสองสามก้าว ทันใดนั้นก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ จึงเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบให้กุยหวั่นฟัง
หลังจากที่ฝ่าบาททรงประหารภิกษุรูปนั้น จึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายคือจื้อคงต้าซือ ฝ่าบาทพิโรธหนัก สั่งให้คนไปตรวจสอบ ผลปรากฏว่าหลักฐานทุกอย่างพุ่งมาที่ฮองเฮา เช้าวันนี้ฝ่าบาทจึงทรงสั่งให้คนมาล้อมตำหนักของฮองเฮาเอาไว้ ฮองเฮาจึงได้รู้ถึงความร้ายแรงของสถานการณ์นี้
* เก้าอี้กุ้ยเฟยหรือเก้าอี้เซียงเฟย คือเก้าอี้ยาวมีเท้าแขนข้างหนึ่งให้เอนนอนได้ สตรีสูงศักดิ์ในวังเช่น อัครชายา (กุ้ยเฟย) และราชชายา (เซียงเฟย) นิยมใช้เอนกายพักผ่อนอิริยาบถ ตั่งคนงาม พนักคนงามก็เรียก
ฮองเฮายืนอยู่ตรงหน้าต่าง มองหิมะขาวโพลนด้านนอกแล้วพูดอย่างเศร้าใจ “ในอดีตตอนที่เขายังเป็นรัชทายาท เคยสาบานว่าจะเชื่อใจข้าตลอดไป ในตอนนั้นพวกเรามีความสุขกันมาก” บนใบหน้ามีรอยยิ้มของการหวนคิดถึงอดีตก่อนจะพร่ำบ่นว่า “ยามนี้เขาเปลี่ยนไป ทั้งที่พวกเราตกลงกันแล้วว่าจะดูแลแผ่นดินกว้างใหญ่นี้ด้วยกัน…”
กุยหวั่นไม่รู้ว่าควรจะปลอบใจนางอย่างไร ตอนนี้ทั่วทั้งแผ่นดิน มีใครบ้างที่ไม่รู้ว่าผู้ที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานก็คืออิ๋งกุ้ยเฟย
ฮองเฮาหมุนตัวกลับมา บนใบหน้ามีหยดน้ำตา สายตาจ้องตรงมาที่กุยหวั่น “กุยหวั่น เจ้ารู้ความรู้สึกที่อยากจะปกปักรักษาของสักอย่างหรือไม่” ไม่รอให้กุยหวั่นตอบ ฮองเฮาก็พูดต่อไปว่า “ข้าอยากจะปกปักรักษาเขา แม้ว่าคนที่เขาอยากปกปักรักษาจะเป็นอิ๋งกุ้ยเฟย ข้าก็ยังคงอยากจะปกปักรักษาเขา เจ้าคงรู้สึกขำที่ข้านึกอยากจะปกปักรักษาฮ่องเต้ของแผ่นดิน แต่ข้าไม่เพียงจะปกปักรักษาเขา ข้ายังจะปกปักรักษาแผ่นดินนี้ไว้ด้วย นี่เป็นแผ่นดินของข้ากับเขา” แววตาของฮองเฮามุ่งมั่นขึ้น ฉายแววการตัดสินใจแน่วแน่ออกมา
เหมือนรู้สึกถึงความผิดปกติ กุยหวั่นจึงลุกยืน รีบเดินมาข้างกายฮองเฮาแล้วถามเสียงเบา “ฮองเฮา พระองค์คิดจะทำอย่างไรเพคะ”
“ข้าจะฆ่าอิ๋งกุ้ยเฟย” ฮองเฮายกยิ้มมุมปาก เป็นรอยยิ้มที่แฝงความเด็ดเดี่ยวและเศร้าสลด “ข้าไม่ได้ทำเพราะอิจฉานาง ข้าจะตายไปพร้อมกับอิ๋งกุ้ยเฟย ข้าแค่อยากให้ฝ่าบาทได้สติ กลับมาดูแลแผ่นดินให้ดี”
ได้ยินดังนั้นกุยหวั่นตกใจจนพูดอะไรไม่ออก และเมื่อได้สติคิดอะไรขึ้นได้นางจึงพูดว่า “ไม่ได้ พระองค์สู้พวกเขาไม่ได้หรอกเพคะ”
ฮองเฮาหันหน้ามามองกุยหวั่น ท่าทางรู้ดีอยู่แก่ใจ สายตานี้มองจนกุยหวั่นรู้สึกร้อนรน ฮองเฮาจึงยิ้มบางๆ “เจ้าพูดถึงอัครเสนาบดีโหลวหรือ”
กุยหวั่นตะลึงงัน ไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับอย่างไร ฮองเฮาจึงย้อนถามว่า “เจ้าคิดว่าเราไม่รู้หรือ นับจากวันแรกที่เจออิ๋งกุ้ยเฟย เราก็รู้แล้วว่านางไม่ได้รักฝ่าบาท เราเป็นหญิง เรามีความรู้สึกนี้ เราทนให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ เราจะปกป้องฝ่าบาท”
กุยหวั่นขมวดคิ้ว อยากจะเกลี้ยกล่อม แต่ไม่รู้ว่าควรจะเกลี้ยกล่อมอย่างไร ฮองเฮาตัดสินใจเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ ไม่เหลือทางจะให้เจรจาได้เลย
สตรีเวลาคลุ้มคลั่งขึ้นมาเป็นเช่นนี้เองหรือ แม้แต่มารดาแห่งแผ่นดินก็ยังไม่ยกเว้นหรือ
สังเกตเห็นแววตาไม่เห็นด้วยของกุยหวั่น ใบหน้าของฮองเฮาจึงแฝงการขอร้อง เมื่อเห็นกุยหวั่นยังนิ่งไม่ขยับ นางจึงคุกเข่าลงอย่างฉับพลัน
กุยหวั่นตกใจหน้าถอดสี กำลังคิดจะประคองนางขึ้นมา แต่ฮองเฮากลับพูดว่า “กุยหวั่น สามีของเจ้ากับข้ารักหญิงคนเดียวกัน เจ้าเข้าใจข้าบ้างได้หรือไม่ ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากขอร้องเจ้า ลูกชายของข้าอายุเพียงสองขวบ ข้าขอร้องเจ้าว่าหากข้าเป็นอะไรไป ขอให้เจ้าเป็นโล่ให้เขา ยังมีพระบิดาของข้า เขาอายุมากแล้ว ขอให้เจ้าคุ้มครองเขาด้วย ขอร้อง…ขอร้องล่ะ…” พูดจบฮองเฮาก็โขกหัวให้นางอย่างแรงสามที
กุยหวั่นตกตะลึง ใบหน้าร้อนผ่าว พอยกมือขึ้นลูบมันกลับเป็นน้ำตา นางประคองฮองเฮาขึ้นมาแล้วถามเสียงเบา “คุ้มค่าหรือเพคะ”
ฮองเฮาฉีกยิ้ม ไม่ได้ตอบกลับ รอยยิ้มนั้นดูสิ้นหวังและโศกเศร้า ทำให้คนเห็นไม่ใจร้ายพอจะปฏิเสธคำขอร้องของนาง
หลังกลับออกมาจากตำหนักของฮองเฮา กุยหวั่นรู้สึกสับสน อธิบายความรู้สึกในใจไม่ได้ รอยยิ้มของฮองเฮายังคงฝังอยู่ในใจของนาง เพิ่งจะเดินออกมาจากตำหนักได้ไม่ไกล กุยหวั่นก็บังเอิญเห็นฮ่องเต้พระขนงขมวดมุ่นขณะเดินกลับไปกลับมา ราวกับมีเรื่องบางอย่างที่ทรงตัดสินพระทัยไม่ได้
กุยหวั่นชะงักฝีเท้าทันที ก่อนจะก้าวถอยหลังไปแอบอยู่หลังประตูข้างแนวระเบียง จับตาดูการกระทำของฮ่องเต้ไม่ให้คลาดสายตา ฮ่องเต้ดูเหมือนจะลำบากพระทัยมาก พระพักตร์งามสง่าเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม กุยหวั่นรู้สึกยินดี เห็นทีฮ่องเต้คงไม่ใช่คนไร้หัวใจ
ขณะที่เขาเดินกลับไปกลับมา กุยหวั่นก็อดกังวลไม่ได้ หวังว่าเขาจะเดินเข้าไปในตำหนักเพื่อปลอบใจฮองเฮาสักนิด ฮองเฮาก็คงจะไม่รู้สึกสิ้นหวังถึงเพียงนั้น
ภายนอกตำหนักที่เงียบสงบนี้ เวลาเคลื่อนผ่านไปอย่างช้าๆ แต่ฮ่องเต้ก็ไม่ได้ทรงก้าวขึ้นบันไดตำหนัก กุยหวั่นรอจนเริ่มร้อนใจและนึกรำคาญใจขึ้นมา
ในที่สุดฮ่องเต้ก็ทรงก้าวขึ้นบันได กุยหวั่นโล่งอก ก้าวย่างนี้อาจจะช่วยเปลี่ยนชะตาชีวิตที่แสนเศร้าได้ ขณะที่กุยหวั่นกำลังลอบยินดีอยู่นั้น ขันทีคนหนึ่งรีบวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา ปากก็ร้องตะโกน “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท…” ฮ่องเต้หันกลับมาทันทีแล้วชะงักฝีเท้าลง
ขันทีผู้นั้นเดินเข้ามาใกล้แล้วกระซิบข้างพระกรรณฮ่องเต้ พระพักตร์ฮ่องเต้แสดงอาการตกใจ หมุนตัวเดินลงบันไดจากไปโดยไม่หันกลับมามอง
เห็นเขาเร่งรีบเดินจากไปเช่นนี้ กุยหวั่นรู้สึกผิดหวังมาก นางกวักมือเรียกองครักษ์ที่อยู่ด้านข้าง ถามด้วยเสียงเย็นเยือกว่า “ฝ่าบาททรงรีบร้อนเพียงนี้ จะทรงไปที่ใดหรือ”
องครักษ์ตกตะลึง ไม่เข้าใจว่าเหตุใดฮูหยินอัครเสนาบดีจึงได้ถามคำถามนี้ แต่ยังคงตอบอย่างนบนอบ “ได้ยินว่าทางอิ๋งกุ้ยเฟยเกิดเรื่องขึ้น ดังนั้น…” กุยหวั่นโบกมือตัดบทพูดของเขา สีหน้าฉายความโมโห
เมื่อหันหน้ากลับไป ตำหนักของฮองเฮาดูเงียบเหงา มีเพียงองครักษ์ที่ไม่พูดไม่จา บรรยากาศคึกคักมีชีวิตชีวาในอดีตราวกับเป็นเพียงภาพมายา กุยหวั่นถอนใจเบาๆ แล้วหมุนตัวเดินจากไป
วังหลวงนี้ทำให้นางเกิดความอึดอัดมากมาย ความคับแค้นอย่างมากของบรรดาหญิงสาวที่ถูกขังอยู่ที่นี่ทะลุผ่านหลังคาสีทองกำแพงสีแดง แผ่กระจายไปทั่วบริเวณวังหลวง เมื่อเอียงหูฟัง ลมที่พัดผ่านข้างหูราวกับการต่อสู้ดิ้นรนของลมหายใจเคียดแค้นและความสิ้นหวังก่อนตายก็มิปาน
รถม้าเคลื่อนออกจากตำหนัก กุยหวั่นเลิกม่านรถขึ้นเล็กน้อย ลมหนาวก็ปะทะเข้ามา ทำให้นางเกิดความรู้สึกสบาย นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งนางก็สั่งคนบังคับม้าขึ้นว่า “เปลี่ยนทาง ไปที่ตลาดนัด”
รถม้าเลี้ยวโค้งไปทางตลาดนัดทันที
เพิ่งถึงเวลาเริ่มแขวนโคมไฟ บนถนนยังมีคนไม่มาก หลังจากรถม้าเคลื่อนเข้าตลาดนัดแล้วก็ลดความเร็วลง กุยหวั่นเลิกม่านขึ้นมุมหนึ่ง มองดูภาพด้านนอก ชาวบ้านทั่วไปมีใบหน้าธรรมดา รอยยิ้มใสซื่อ…นี่เป็นสิ่งที่ฮองเฮาบอกว่าจะปกปักรักษาหรือ นางยกมุมปากยิ้มอย่างเข้าใจ คำพูดของฮองเฮาดังก้องอยู่ในสมอง ‘ข้าจะปกป้องแผ่นดินอันงดงามราวกับภาพวาดนี้…’
รถม้าหยุดลงกะทันหัน กุยหวั่นไม่ทันระวังตัวจึงเสียหลักไปจนต้องยกมือขึ้นยันผนังรถเพื่อทรงตัว ก่อนจะถามเสียงเข้ม “เกิดอะไรขึ้น”
น้ำเสียงจนใจของคนบังคับม้าลอดผ่านม่านเข้ามา “ฮูหยิน ด้านหน้ามีคนวิวาทกัน ดังนั้นทางจึงถูกขวางไว้ ผ่านไปไม่ได้ขอรับ”
ใครกันที่กล้าเช่นนี้ ถึงกับมาก่อเรื่องตรงจุดคึกคักในเมืองหลวงได้
นางยื่นมือไปพลิกม่านขึ้นแล้วมองออกไปด้านนอก คนเดินถนนกำลังมุงดู ถนนด้านหน้าถูกขวางจนไม่มีทางไป เห็นเหตุการณ์แบบนี้แล้วกุยหวั่นก็จนหนทาง จำต้องสั่งคนบังคับม้าว่า “จอดรถไว้ข้างทาง รอพวกเขาสลายตัวแล้วค่อยไป”
กุยหวั่นกึ่งนั่งกึ่งนอนหลับตาอยู่ในรถม้าจนเริ่มง่วงขึ้นมาจริงๆ ระหว่างที่กำลังสะลึมสะลือ ชื่อของอิ๋งกุ้ยเฟยก็ลอยเข้ามาในหู กุยหวั่นขมวดคิ้วเล็กน้อย เหตุใดออกมาจากวังหลวงแล้วยังคงได้ยินชื่อนี้อีก นางจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น เสียงโวยวายนอกรถดังขึ้นเรื่อยๆ แม้ม่านหนาบนรถก็ยังกั้นไม่อยู่ ท่ามกลางเสียงทะเลาะได้ยินชื่ออิ๋งกุ้ยเฟยลอยมาแว่วๆ อีกครา
ด้วยความสงสัยกุยหวั่นจึงเลิกม่านเปิดขึ้นอีกครั้งแล้วถามว่า “คนที่วิวาทกันด้านหน้านั้นเป็นใคร”
คนขับรถม้ายืนอยู่ด้านข้างอย่างนบนอบ เมื่อได้ยินคำถามก็ตอบกลับในทันที “ดูเหมือนเป็นคนของจวนพระสัสสุระกับจวนสกุลเหยาเกิดบาดหมางกันกลางทางขอรับ”
บรรดาหญิงสาวในวังหลวงยังสู้กันไม่พอ แม้แต่เครือญาติก็จะมาสู้กันด้านนอกนี้อีกหรือ กุยหวั่นมองไปด้านหน้าอย่างเย็นชา ความเบื่อหน่ายที่ไร้เรี่ยวแรงพุ่งขึ้นในใจอีกครั้ง
“ฮูหยิน” คนบังคับม้ามองสีหน้าอึมครึมของกุยหวั่นแล้วก็รู้สึกเป็นห่วง “จะแสดงฐานะ แล้วบอกให้พวกเขาหลีกทางหรือไม่ขอรับ”
“ไม่ต้อง” รอยยิ้มรางเลือนปรากฏขึ้นบนใบหน้า กุยหวั่นพูดขึ้นในทันใด “ข้าจะลงไปดู”
คนบังคับม้าไม่พูดอะไร เพียงขยับถอยไปด้านข้าง แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่ควร จึงวิ่งไปที่ร้านหนึ่งข้างทาง หาชายหนุ่มส่งข่าวมาคนหนึ่ง ยัดเงินให้เล็กน้อยแล้วพูดข้างหูเขาไปหลายประโยค ชายหนุ่มพยักหน้ารับก่อนจะวิ่งไปตามทางที่รถม้าเคลื่อนผ่านมาอย่างรวดเร็ว
การวิวาทไม่มีทีท่าจะหยุดลงเลย มีแต่จะดุเดือดขึ้นทุกที สองฝ่ายไม่มีใครยอมใคร และตอนนี้ดูเหมือนจะลงไม้ลงมือกันแล้ว
ระหว่างนั้นเสียงฝีเท้าม้าเร็วก็ดังขึ้นทันใด กุยหวั่นจึงหันหน้ามองไป ขบวนม้าเร็วหลวงขบวนเล็กวิ่งมาอย่างรวดเร็ว ผู้ที่ขี่นำหน้านั้นคือโหลวเช่อ
ใบหน้าเกลี้ยงเกลาดุจหยกเนื้อดี บุคลิกนุ่มนวลอ่อนโยนราวสายลมในฤดูใบไม้ผลิ แต่แฝงอำนาจไว้อยู่ในที คนบนหลังม้ามีความงามสง่าดูองอาจเหนือใคร ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนที่มามุงดูหรือคนของทั้งสองตระกูลที่กำลังวิวาทกัน ต่างพากันหลีกทางให้โดยไม่ได้นัดหมาย
กุยหวั่นเห็นแล้ว สามีของนางเก่งจริงๆ ทั้งไกล่เกลี่ยประนีประนอม ทั้งใช้อำนาจข่มขู่ ทำให้ทั้งสองจวนกลัวเกรงจนพร้อมใจกันล่าถอย เมื่อไม่มีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว คนที่มุงดูจึงสลายตัวไปอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วครู่ก็เดินหนีหายไปกว่าครึ่ง
โหลวเช่อควบม้าขึ้นหน้า ในดวงตาแฝงความกังวลแล้วถามเสียงอ่อนหวาน “เหตุใดถึงไม่กลับบ้าน”
กุยหวั่นเงยหน้าขึ้น ฉีกยิ้มออกมา “ข้าอยากสูดอากาศ สามีมาที่นี่ได้อย่างไร”
เห็นรอยยิ้มของนางแฝงความกลัดกลุ้ม ท่าทางใจลอยเล็กน้อย โหลวเช่อก็ลอบถอนใจแล้วพลิกตัวลงจากหลังม้า ผมดำขลับของกุยหวั่นพลิ้วไปตามลม โหลวเช่อยื่นมือไปรวบผมของนางที่หลุดลุ่ยลงมาแล้วเลิกม่านขึ้น ก่อนจะหันไปสั่งการ “กลับจวน” พูดจบเขาก็กระโดดขึ้นบนรถม้า
ในตัวรถปกคลุมด้วยความเย็น กุยหวั่นหลับตาลง ไม่รู้เพราะเหตุใดเวลานี้นางไม่ค่อยอยากจะเผชิญหน้ากับโหลวเช่อ
โหลวเช่อจ้องมองกุยหวั่น เห็นนางมีสีหน้าเหนื่อยล้าก็รู้สึกสงสาร เขาเป็นห่วง รักใคร่ และดูแลหญิงผู้นี้จนกลายเป็นความเคยชินโดยไม่รู้ตัว เมื่อครู่จู่ๆ ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งวิ่งมารายงานว่านางถูกขวางอยู่ระหว่างทาง เขาก็รีบรุดมาทันทีโดยไม่ได้คิดอะไรมาก เห็นนางในตอนนี้ดูมีความกลัดกลุ้ม เขาทนไม่ไหวจึงยื่นมือไปกดหว่างคิ้วนาง กุยหวั่นตกใจ เบี่ยงศีรษะหนีเบาๆ เขาจึงชักมือกลับ
“กุยหวั่น” โหลวเช่อเรียกนางเสียงอ่อนโยน “เกิดอะไรขึ้น”
กุยหวั่นยังคงหลับตาอยู่ แต่น้ำเสียงยังคงสดใสน่าฟัง “ไม่มีเรื่องอะไรทั้งสิ้น วันนี้ข้าเพียงแค่เหนื่อยเล็กน้อยเท่านั้น”
โหลวเช่อรู้สึกขึ้นมาอย่างฉับพลันว่านางปกปิดความไม่สบายใจและความกังวลใจบางอย่างไว้ ก่อนที่จะรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป เขาก็ดึงตัวกุยหวั่นเข้ามากอดไว้เสียแล้ว กุยหวั่นตกใจจึงลืมตาขึ้น ประสานสายตากับโหลวเช่ออย่างตื่นตระหนก
โหลวเช่อกุมมือที่เย็นเฉียบของกุยหวั่นเอาไว้แล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน “อากาศหนาวถึงเพียงนี้ เจ้ายังเปิดม่านรออยู่ข้างทางอีก เหตุใดจึงไม่บอกให้พวกเขาหลีกทางให้” ในคำพูดแฝงการตำหนิกลายๆ
กุยหวั่นยิ้มบางพลางกล่าว “พวกเขาฝ่ายหนึ่งเป็นคนทางบ้านของฮองเฮา อีกฝ่ายเป็นญาติของอิ๋งกุ้ยเฟย ข้าจะกล้าได้อย่างไร…จะทำได้อย่างไร”
โหลวเช่อหัวเราะเหมือนไม่เห็นด้วย แล้วจับเส้นผมตรงหน้าผากของกุยหวั่นไปทัดไว้หลังหู น้ำเสียงยังคงอ่อนโยนดังเดิม “เหตุใดจะทำไม่ได้เล่า”
ทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นว่ากุยหวั่นยังสวมชุดเข้าวังอยู่ จึงขมวดหัวคิ้ว “อากาศหนาวเย็น เจ้าไม่หนาวหรือ”
กุยหวั่นขยับตัวออกจากอ้อมกอดของโหลวเช่อเบาๆ ไม่ได้ตอบกลับ
โหลวเช่อนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนจะพูดขึ้น “ทางใต้เพิ่งจะส่งหนังจิ้งจอกหิมะที่หายากมาสองผืน ในฤดูหนาวจะให้ความอบอุ่นได้มาก ข้าจะให้คนตัดเสื้อให้เจ้าสักชุดดีหรือไม่”
กุยหวั่นยิ้มอ่อน “ควรจะให้ฮองเฮากับอิ๋งกุ้ยเฟยไม่ใช่หรือ”
โหลวเช่อสีหน้าอ่อนโยน รอยยิ้มยังไม่จางลง “เสื้อของฮองเฮาไม่จำเป็นแล้ว”
กุยหวั่นจ้องโหลวเช่อนิ่ง เหมือนกับได้รู้จักเขาเป็นครั้งแรก สามีของนางท่าทางอบอุ่น แต่ภายในกลับเย็นชาราวน้ำแข็ง คิดถึงภาพความเศร้าที่ฮองเฮาต้องอยู่ในตำหนักเพียงคนเดียว นางก็รู้สึกปวดใจ “เรื่องของฮองเฮา…ท่านเป็นคนทำหรือ”
โหลวเช่อตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าปัญหานี้จะถูกกุยหวั่นพูดออกมาตรงๆ มีคนมากมายที่คิดเช่นนี้ แต่ผู้ที่กล้าถามออกมานั้นไม่มี นึกขึ้นได้ว่าระยะนี้กุยหวั่นค่อนข้างใกล้ชิดกับฮองเฮา เขาจึงเข้าใจทันทีที่วันนี้นางมีอาการแปลกไป “กุยหวั่น อย่าเข้าไปยุ่งเรื่องราชสำนัก ในเรื่องนี้เกี่ยวพันไปถึงเรื่องอื่นอีกมากมาย”
“ท่านก็รู้ว่าฮองเฮาบริสุทธิ์” กุยหวั่นพูด “ท่านก็รู้ แต่เพื่ออิ๋งกุ้ยเฟยแล้ว ท่านจะฉวยโอกาสนี้กำจัดฮองเฮาทิ้ง ท่านทำอย่างนี้ได้อย่างไร เพื่อหญิงคนเดียว ท่านจะทำลายตำหนักในเลยหรือ” นางยิ่งพูดเสียงยิ่งดังขึ้น ใกล้จะควบคุมอารมณ์ตนเองไม่อยู่เต็มที
“กุยหวั่น…” โหลวเช่อจับแขนนางเอาไว้ “เจ้าฟังข้า…”
กุยหวั่นไม่พูดจา ยังคงใจเย็นรอเขาอธิบาย โหลวเช่อยิ้มอย่างจนใจแล้วค่อยพูดขึ้นว่า “เรื่องนี้ไม่ธรรมดาเหมือนที่เจ้าคิด เรื่องนี้มีความเกี่ยวพันทางอ้อมกับฮองเฮา เบื้องหลังยังเกี่ยวพันไปถึงผลประโยชน์ของตระกูลและอำนาจของราชสำนัก เจ้าอย่าฟังคำของฮองเฮาเพียงด้านเดียว”
ได้ยินดังนั้นกุยหวั่นมีสีหน้าอ่อนลงมากแล้วถามเขาเสียงเบา “ฮองเฮาจะเป็นอย่างไร” ไม่รอให้โหลวเช่อตอบ นางก็พูดอีกว่า “ท่านอย่าทำร้ายฮองเฮาได้หรือไม่ ไว้ชีวิตนาง อย่างไรเสียนางก็เป็นแม่ของแผ่นดิน เป็นแม่ขององค์ชายใหญ่”
โหลวเช่อไม่เคยเห็นกุยหวั่นแสดงความอ่อนไหวออกมาเช่นนี้ หญิงผู้นี้ดูเรียบเฉยมาโดยตลอด ทว่าเขาไม่กล้าขัดคำขอร้องของนาง จึงถอนหายใจแล้วพยักหน้าเป็นการรับปาก
กุยหวั่นโล่งใจ ขอเพียงโหลวเช่อรับปาก ปัญหาคงจะไม่รุนแรงมากมายขนาดนั้นแล้ว นางฉีกยิ้มสดใสออกมาได้ในที่สุด “ขอบคุณท่านมาก”
ได้เห็นรอยยิ้มของนางเช่นนี้อีกครั้ง โหลวเช่อก็ยิ้มสว่างราวกับสายลมเดือนสามเช่นกัน
ฤดูใบไม้ผลิของรัชศกเทียนไจ่ปีที่สอง คดีวัดฮู่กั๋วจบลงในที่สุด คดีนี้ไม่มีหลักฐานชี้ชัด สุดท้ายจำต้องยอมปล่อยไป แต่ลือกันว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันกับฮองเฮา เบื้องหลังคดีนี้ฮ่องเต้ทรงตัดกำลังขุนนางของพระสัสสุระไปจำนวนมาก ในราชสำนักวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้กันไปทั่ว ในทางกลับกัน อำนาจตระกูลของอิ๋งกุ้ยเฟยกลับเข้มแข็งมากขึ้น จากการเพิ่มทางนี้ตัดทางนั้น ทำให้พระสัสสุระไม่มีอำนาจรุ่งเรืองเหมือนในอดีตอีกแล้ว
นิ้วเรียวงามหักกิ่งหลิวที่แตกยอดใหม่ลงมา ก่อนจะเอามาแตะตรงปลายจมูกแล้วดมเบาๆ มันมีกลิ่นของฤดูใบไม้ผลิจริงดังคาด กุยหวั่นยิ้มบางๆ อย่างพอใจ เมื่อวางกิ่งหลิวลงก็หันหน้ามาถาม “ไม่มีเรื่องอื่นแล้วหรือ”
พ่อบ้านก้มหน้าลง น้ำเสียงราบเรียบไม่แสดงความรู้สึกใด เหมือนเป็นการท่องมารายงาน “ไม่มีเรื่องอื่นแล้วขอรับ ครึ่งเดือนมานี้เรื่องที่ภายนอกวิพากษ์วิจารณ์กันมากที่สุดก็คือคดีวัดฮู่กั๋ว”
“คนนอกลือกันมากเข้าก็เบื่อไปเอง หมดเรื่องเสียที” กุยหวั่นพูดด้วยรอยยิ้ม เรื่องที่โหลวเช่อรับปากเขาก็ทำได้จริง ทหารเฝ้าตำหนักฮองเฮาก็ถูกถอนไปแล้ว ตำแหน่งของนางก็รักษาเอาไว้ได้แล้ว สำหรับเรื่องอื่นไม่อาจขอให้มากไปกว่านี้ได้ ทุกอย่างกำลังดำเนินไปในทางที่ดีตามการมาถึงของฤดูใบไม้ผลิ
“ฮองเฮาเล่า มีการเคลื่อนไหวอะไรหรือไม่”
“ไม่มีขอรับ” พ่อบ้านพูดอย่างใจเย็น “ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร ตำหนักในทุกอย่างเป็นปกติ”
กุยหวั่นปักกิ่งหลิวลงในแจกัน จัดแต่งตามใจชอบอยู่สองสามทีก็รู้สึกราวกับวางหินก้อนใหญ่ในใจลงได้ ครึ่งเดือนแล้วนับจากที่ได้คุยกับฮองเฮา เรื่องที่นางหนักใจมาตลอดในที่สุดก็คลี่คลายลงแล้ว กุยหวั่นยกมุมปากยิ้ม ขณะกำลังจะสั่งให้พ่อบ้านถอยออกไป จู่ๆ ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติ เมื่อคิดอย่างละเอียด ฮองเฮาเป็นคนอ่อนนอกแข็งใน พูดออกมาแล้วก็ต้องทำให้ได้ ฮองเฮาเคยบอกว่าจะฆ่าอิ๋งกุ้ยเฟย ตอนนี้จะรามือเพียงเพราะเรื่องนี้มีบทสรุปแล้วอย่างนั้นหรือ
ไม่หรอก นางคงกำลังรอคอย…รอคอยโอกาสที่ดีที่สุด คิดถึงตรงนี้รอยยิ้มเศร้าสลดของฮองเฮาเหมือนจะมาปรากฏตรงหน้าอีกครั้ง กุยหวั่นเพิ่มแรงที่มือมากขึ้นโดยไม่รู้ตัวจนกิ่งหลิวหักดังเป๊าะ กุยหวั่นก้มหน้าลงดูกิ่งหลิวในมือทันที มันช่างเปราะบางเหลือเกิน นางขมวดคิ้วแล้วหมุนตัวกลับ “ส่งคนไปจับตาดูจวนพระสัสสุระ ถ้ามีความเคลื่อนไหวผิดปกติอะไรก็มาบอกข้า” ตอนนี้ความสงบเรียบร้อยที่ผิดไปจากปกติทำให้นางรู้สึกเหมือนพายุใหญ่กำลังจะมา นางไม่เตรียมรับมือไม่ได้
ฮองเฮา ท่านอย่าได้วู่วามเด็ดขาดเชียวนะ…
พ่อบ้านเงยหน้าขึ้นอย่างประหลาดใจ บนใบหน้าแสดงท่าทางไม่เข้าใจ นี่เป็นครั้งแรกที่กุยหวั่นได้เห็นสีหน้าแสดงอารมณ์บนใบหน้าสงบนิ่งของเขา นางมองหน้าเขาแล้วถามว่า “มีอะไรหรือ”
พ่อบ้านก้มหน้าลงอีกครั้ง ปกปิดสีหน้าทั้งหมด เพียงแค่ตอบอย่างเรียบง่ายว่า “ขอรับ ข้าจะส่งคนไปเฝ้าจวนพระสัสสุระทั้งวันทั้งคืน”
แปลกจริง คำสั่งของท่านอัครเสนาบดีเมื่อเช้าเหมือนกับคำสั่งของฮูหยินไม่ผิดเพี้ยนเลย
เห็นพ่อบ้านเดินจากไปอย่างเงียบๆ กุยหวั่นก็จ้องไปยังกิ่งหลิวที่ถูกหักลงเมื่อครู่แล้วก็อดบ่นไม่ได้ “เข้าฤดูใบไม้ผลิแล้ว เหตุใดยังหนาวอย่างนี้อยู่นะ”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments