บทที่ 2
หรูฉิงและหรูอี้ตกใจจนหน้าซีดเผือด ร่างกายโงนเงนยืนแทบไม่มั่น
อวี๋เสี่ยวเถาใช้พวกนางเป็นการเตือนต้วนฉางยวนว่าอย่าคิดเล่นเล่ห์ นางมิได้โง่
เห็นว่าสาวใช้ทั้งสองนางซวนเซถอยกรูดออกจากห้อง อวี๋เสี่ยวเถาก็คิดในใจว่าต่อไปเจ้านายน่าจะปรากฏตัวได้แล้วสินะ!
นางนั่งรอคอยอยู่บนเตียงตามลำพัง เปลวไฟจากเทียนเล่มแดงบนโต๊ะลุกโชนอย่างเงียบงัน แสงเทียนสาดส่องเงาร่างของนางทาบทาลงบนผนัง ยิ่งดูหงอยเหงาเปล่าเปลี่ยวอับจนหนทาง
อวี๋เสี่ยวเถาหลับตา เพ่งสมาธิไปที่การได้ยินและรับกลิ่น แม้ว่าวรยุทธ์นางจะถูกสกัด ทว่าประสาทรับรู้ทั้งหก* ยังคงอยู่
อีกเพียงสองวันก็เป็นคืนพระจันทร์เต็มดวงแล้ว ก่อนถึงยามนั้นนางต้องเข้าหอกับต้วนฉางยวนให้จงได้ ไม่เช่นนั้นยามพระจันทร์เต็มดวง พิษกำเริบ นางคงมอดม้วยไปท่ามกลางความทุกข์ทรมาน
คนอย่างนาง ดูจากภายนอกแล้วช่างอ่อนแอ แต่มีใจที่เข้มแข็งเด็ดเดี่ยว
ก่อนตัดสินใจกระทำการใด นางครุ่นคิดร้อยตลบ ตรึกตรองจนทะลุปรุโปร่ง เมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะกระทำก็มุ่งไปเบื้องหน้าอย่างกล้าหาญ ต่อให้รถเทียมม้าแปดตัวยังฉุดให้หันกลับมิได้ ในเมื่อตัดสินใจเข้าพบต้วนฉางยวนเพื่อให้ช่วยถอนพิษในร่างของนาง ข่มขู่ก็ดี หลอกล่อด้วยผลประโยชน์ก็แล้ว ถึงต้องพลีพรหมจรรย์ให้ นางก็ไม่เสียดายแม้เพียงนิด
บัดนี้ เสียงฝีเท้าดังแว่วมาจากภายนอก เป็นเสียงฝีเท้าของบุรุษผู้นั้น ฝีเท้าที่มั่นคงทุกย่างก้าวประหนึ่งกำลังย่ำเหยียบลงบนหัวใจของนาง หัวใจนางเต้นไม่เป็นจังหวะ อดเครียดขมึงขึ้นมามิได้
ประตูถูกผลักเปิดออก จากนั้นเสียงย่ำฝีเท้าตามมา ม่านลูกปัดภายในห้องถูกแหวกขึ้น เงาร่างสูงใหญ่นั้นปรากฏ ยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้นเมื่อมองมาทางนาง ดวงตาของนางเงยขึ้นสบเข้ากับสายตาของอีกฝ่าย
ต้วนฉางยวนมาถึงแล้ว แสงราตรีสาดส่องเพิ่มความลึกลับให้ร่างของเขา ทว่ากลิ่นอายที่ฟุ้งกำจายออกมากลับเย็นเยียบดุดัน เพียงยืนอยู่ที่นั่นก็บังเกิดอานุภาพและความกดดันครอบคลุมข้ามมา
ชุดเจ้าสาวของนางปลดเปลื้องออกแล้ว สวมเพียงเสื้อตัวบนหลวมกว้าง ส่วนเขามิได้สวมเสื้อคลุมของเจ้าบ่าว นางไม่แปลกใจเลยสักนิด ภายในห้องไร้บรรยากาศมงคลของการแต่งภรรยา ทว่าอวลด้วยบรรยากาศตึงเครียดก่อนอาวุธปะทะกัน
สายตาเยียบเย็นของต้วนฉางยวนจ้องนางเขม็ง ความเย็นชาเหินห่างบนใบหน้าแสดงถึงความเป็นศัตรูอย่างเห็นได้ชัด
เขาไม่เอ่ย นางก็ไม่กล่าว ทั้งสองเผชิญสายตา ดวงตาทั้งสี่จ้องตอบกันไปมา
ช่างเป็นบุรุษประเสริฐโดดเด่นไม่ธรรมดากระไรเช่นนี้! ต่อให้จ้องนางจนตาถลน แต่มิอาจปิดบังอานุภาพที่ทำให้สตรีทั้งหลายหน้าแดงซ่านด้วยความขวยอายได้ นางแอบยินดีที่คลุมผ้าโปร่งบางไว้ชั้นหนึ่งบนใบหน้า
ชั่วครู่หลังจากนั้น ต้วนฉางยวนค่อยๆ เยื้องย่างมาเบื้องหน้า เอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มหนักว่า “ข้ารับเจ้าเป็นอนุภรรยาแล้ว ยารักษาที่ตกลงกันไว้เล่า”
นางสูดหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง พยายามสงบใจ “หลังผ่านคืนนี้ไปแล้ว ข้าจะมอบยารักษาให้เอง”
ความหมายก็คือ…เอ่อ…อยากได้ยารักษาโรคประหลาดให้น้องสาวท่าน ร่วมหอกับข้าก่อนค่อยว่ากัน
* ประสาทรับรู้ทั้งหก ในที่นี้คือการรับรู้ผ่านตา หู จมูก ลิ้น กาย และสมอง
เป็นไปตามคาด เส้นโลหิตดำปูดโปนขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลาดวงนั้นฉับพลัน อากาศรอบด้านหนาวสะท้านเข้าสู่จุดเยือกแข็ง สายตาที่สังหารผู้คนได้จ้องนางจนหนังหัวชาวาบ
ทนลำบากมาถึงขั้นนี้แล้ว ให้ยอมหดหัวถอยกลับย่อมเป็นไปไม่ได้ นางก้มหน้าก้มตาอย่างละอายใจ หน้าแดงก่ำไปถึงใบหู นางรู้ดีว่าบุรุษผู้นี้โกรธจนแทบระเบิดอยู่รอมร่อ แต่นางมีวิธีใดอีกเล่า พิษราคะในร่างของนางต้องอาศัยเขาช่วยขจัดเท่านั้น!
นางเข้าใจดีว่าต้วนฉางยวนในตอนนี้เคืองแค้นนางมากเพียงใด เพราะยามที่นางถูกเหยียนจิ่วบีบบังคับ นางก็ชิงชังเช่นกัน
ทันใดนั้นภายในห้องก็มืดลง เป็นต้วนฉางยวนซัดลมจากฝ่ามือดับเทียนภายในห้อง ห้องที่สว่างไสวแต่เดิมเข้าสู่ความมืดมิดฉับพลัน ทำให้หัวใจของอวี๋เสี่ยวเถาเต้นโครมคราม
ก่อนที่ดวงตาของนางจะปรับตัวจนชินกับความมืด ต้วนฉางยวนก็อยู่ห่างไม่ถึงครึ่งก้าวเสียแล้ว ร่างเขาถาโถมเข้ามา กลิ่นอายแห่งบุรุษเพศกระชั้นถึงตัวนาง
ฝ่ามือใหญ่ยื่นออกมาแบะเสื้อบนร่างนางออกอย่างไม่ปรานีปราศรัย การกระทำหยาบกร้านเช่นนี้ทำให้นางตระหนก
“โอ๊ย!”
ท่ามกลางความมืดมิด ชายผู้นั้นถูกเข็มแทงจนร้องโอยด้วยความเจ็บปวด ก่อนเอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “เจ้าทำอะไร”
“ข้าใช้เข็มพิษแทงเจ้า” นางตอบอย่างสัตย์ซื่อ
“อะไรนะ! เจ้ากล้าใช้ยาพิษรึ”
นางรีบกระถดไปอยู่มุมเตียง คงท่าทีสงบเตือนเขาว่า “เพราะว่านอกจากต้วนฉางยวนตัวจริงแล้ว ข้าไม่ร่วมหอกับชายอื่นแน่”
เมื่อวาจานี้เอ่ยออกจากปากไป อีกฝ่ายกลับไร้ซึ่งสุ้มเสียง เห็นได้ชัดว่าตกตะลึง ขณะเดียวกันก็ทำให้นางตัวแข็งเกร็งไปด้วย
หลังความเงียบงันพักใหญ่ แสงเทียนถูกจุดขึ้นอีกครา ส่องสว่างร่างของทั้งสามคนภายในห้อง
อวี๋เสี่ยวเถาจ้องชายที่จู่ๆ ก็เพิ่มเข้ามาอยู่ภายในห้องอีกคนหนึ่ง เขาคุกเข่าอยู่บนพื้น เห็นได้ชัดว่าถูกเข็มพิษของนางแทงจนใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด
นางเดือดพล่านด้วยความโกรธ เพราะไม่คิดว่าสิ่งที่ฉุกคิดได้ขณะจวนตัวกลับถูกต้อง
ต้วนฉางยวนให้ชายผู้นี้เข้าหอแทนเขา หากมิใช่เพราะนางฉลาดมีไหวพริบ คืนนี้คงถูกผู้อื่นเอาเปรียบไปเสียเปล่า
กลยุทธ์หลี่ตายแทนเถา* นี้ในอดีตนางก็เคยกระทำ จำได้ว่ามีหนหนึ่ง นางทราบข่าวว่าบุตรชายของท่านนายอำเภอหาโอกาสครอบครองนาง นางจึงเชื้อเชิญสตรีในเมืองผู้หนึ่งซึ่งเลื่องชื่อว่าดุดั่งนางยักษ์ให้ร่วมท่องเที่ยวไปกับนางด้วย
ยามเมื่อเข้าพักในโรงเตี๊ยม อวี๋เสี่ยวเถาหาข้ออ้างแลกห้องกับนางผู้นั้น ผลลัพธ์คือก่อให้เกิด ‘คู่บุพเพสันนิวาสอันประเสริฐ’
นางยังจำได้ว่าตอนนั้นบ้านใดมีบุตรชายมิได้แต่งภรรยา บุตรสาวมิได้แต่งออก ต่างอวยชัยให้พรคู่ข้าวใหม่ปลามันนี้อย่างจริงใจ ทั้งเมืองต่างร่วมยินดี เฉลิมฉลองกันถึงสามวัน นางก็ยินดีอย่างยิ่ง เนื่องด้วยนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่นางได้กระทำเรื่องถูกต้องตามคุณธรรมเพื่อช่วยเหลือชาวบ้านให้พ้นจากความยากลำบาก เติมเต็มความทะนงในใจของนาง นำความภาคภูมิใจมาให้อยู่หลายเดือน
* กลยุทธ์หลี่ตายแทนเถา เป็นสำนวนเปรียบเปรยว่าเป็นการหาผู้อื่นมารับเคราะห์แทน
ทว่าเมื่อผู้ประสบเคราะห์จากกลยุทธ์หลี่ตายแทนเถาเกือบจะเป็นตัวนางเข้า นางก็ไม่พอใจอย่างยิ่ง
นางจ้องต้วนฉางยวนอย่างโกรธขึ้ง เขาหลอกลวงนาง ไม่รักษาสัจจะ แม้ว่ากันว่าทหารไม่เบื่อหน่ายกลอุบาย* แต่นางกลับแสดงท่าทีเหยียดหยามความกลับกลอกปลิ้นปล้อนของเขา บนใบหน้าของบุรุษผู้นี้ไร้ซึ่งสีหน้าแห่งความละอายแก่ใจ กลับร้องฮึอย่างเย็นชาเสียงหนึ่ง
“ข้าประเมินเจ้าต่ำไปเสียแล้ว เจ้าฉลาดกว่าที่ข้าคาดไว้”
แพ้เพียงคนเดียวไม่คณา ไม่อาจแพ้พ่ายทั้งกระดาน เผชิญหน้าความหยิ่งยโสของเขา นางต้องแสดงออกถึงความลึกล้ำยากหยั่งถึง เพื่อมิให้ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
“พูดได้ดี พูดได้ดี ประมุขต้วนก็มิได้ด้อยไปกว่ากัน กลยุทธ์หลี่ตายแทนเถานี้เลิศล้ำยิ่ง หากแพร่ออกไป ย่อมทำให้ผู้คนเลื่อมใสหมอบราบกราบกรานไปกับพื้นเป็นแม่นมั่น”
ชั่วพริบตานั้น กลิ่นอายสังหารตลบอบอวลไปทั่วห้อง
นางไม่กลัวเขา เพราะเขายังต้องพึ่งนาง เมื่อผ่านเรื่องนี้แล้วความละอายแก่ใจของนางก็หมดไป
เรื่องที่นางขู่บังคับโดยนำเรื่องรักษาชีวิตของน้องสาวเขามาเป็นข้ออ้างคือการกระทำที่ไร้เหตุผล นางย่อมรู้สึกละอายแก่ใจ ทว่าเมื่อต้วนฉางยวนคิดมอบพรหมจรรย์ของนางให้ชายอื่นเหยียบย่ำ นางจึงไม่รู้สึกผิดต่อเขาอีกต่อไป
เมื่ออยู่ต่อหน้าบุรุษซึ่งสมบูรณ์แบบจนเกินไปมักทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่าตนเองดูต่ำต้อยกว่าหนึ่งขั้น ทว่าเมื่อพบว่าบุรุษสมบูรณ์แบบนั้นก็มีจุดบกพร่องเช่นกัน ย่อมทำให้ความยิ่งใหญ่น่าเกรงขามของเขาซึ่งอยู่ในใจของตนเองลดทอนไปโดยไม่รู้ตัว ยามนี้อวี๋เสี่ยวเถารู้สึกเช่นนี้
นางนั้นรูปกายภายนอกอัปลักษณ์ ส่วนเขานั้นจิตใจอัปลักษณ์ ประเสริฐนัก ทั้งสองคนเสมอกันแล้ว
บัดนี้นางไม่มีแก่ใจแยแสว่าเขายินดีหรือไม่ เขาไม่แยแสพรหมจรรย์ของนาง นางก็ไม่ต้องไว้หน้าเขา แววตาที่จ้องเขม็งกันไปมาแข็งกร้าวยิ่ง แสงจากลำเทียนที่สาดส่องภายในห้องสะท้อนวาววับอยู่ในดวงตาสุกสกาวของนาง เต้นเร่าลุกโชนระยิบระยับบีบคั้นผู้คน
ความประหลาดใจฉายวาบผ่านสายตาของต้วนฉางยวนเมื่อบังเอิญพบว่าอวี๋เสี่ยวเถาซึ่งปิดผ้าคลุมหน้าโผล่ให้เห็นเพียงลูกตามีดวงเนตรที่งดงามคู่หนึ่ง
เนตรงามคู่นี้มีชีวิตชีวา สุกกระจ่างดั่งหิมะ ทำให้เขาอดประเมินอย่างละเอียดมิได้ จำได้เลือนรางว่ายามพบนางคราแรก เขานั่งอยู่บนเบื้องสูงแห่งที่นั่งประมุขห่างจากนางสักระยะหนึ่ง ดังนั้นจึงไม่ได้สังเกตดวงตาของนาง คิดแต่เพียงว่าสตรีนางนี้ละโมบโลภมาก ทำให้เขารู้สึกว่านางอัปลักษณ์หาที่เปรียบมิได้
ทว่าเขาเพียงแต่ตะลึงไปชั่วครู่ จากนั้นก็กลับมาเย็นชาเฉยเมยดังเดิม
อวี๋เสี่ยวเถาฝืนยืนหยัด มิให้อานุภาพและความกดดันของเขาข่มนางได้ คืนมงคลของผู้อื่นต่างจับจ้องมองกันด้วยอารมณ์รักใคร่ลึกซึ้ง พวกเขากลับใช้สายตาสังหารอีกฝ่ายให้ตกตายไปต่อหน้า
“ไสหัวไป”
ผู้ที่ต้วนฉางยวนออกคำสั่งคือบริวารผู้ถูกเข็มพิษแทงและกำลังคุกเข่าอยู่กับพื้น เขาออกคำสั่งโดยสายตายังคงจ้องนางเขม็ง
เมื่อได้รับคำสั่ง ชายผู้นั้นซวนเซคลานออกไปอย่างน่าอนาถ ภายในห้องเหลือเขาและนางเพียงสองคน
* ทหารไม่เบื่อหน่ายกลอุบาย เป็นสำนวน หมายถึงใช้กลยุทธ์ทุกวิถีทางหลอกล่อศัตรูเพื่อให้ได้ชัยชนะในการศึก
ทั้งสองคนฟาดฟันทางสายตาอย่างแข็งกร้าวอีกสักพัก จากนั้นนางเห็นมุมปากเขายกยิ้มอย่างเย็นชา ทำให้นางขมวดคิ้วมุ่นด้วยความระแวดระวัง
ต้วนฉางยวนลงมือปลดสายรัดเอวของตนเองออก การกระทำนี้ทำให้นางเริ่มหายใจไม่มั่นคง ใจเต้นตึกตัก
ไม่ควรเริ่มต้นเยี่ยงนี้ ในสภาพเช่นนี้ นางไร้อารมณ์จะร่วมหอกับเขาโดยสิ้นเชิงและรู้สึกสังหรณ์ใจอย่างรุนแรงว่าบุรุษผู้นี้คิดทรมานนางอย่างแน่นอน
ความหวาดกลัวสายหนึ่งคืบคลานเข้าสู่หัวใจ นางประหวั่นพรั่นพรึงคิดจะหลบหนี แต่เสียงอีกเสียงหนึ่งก็เตือนว่าเวลาของนางมีไม่มากแล้ว ห้ามถอยทัพอย่างเด็ดขาด
เรื่องที่ช้าเร็วก็ต้องกระทำ มิสู้ฉวยโอกาสนี้จัดการให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว เพื่อเลี่ยงราตรียาวนานฝันเฟื่องมากมาย* ทว่าเมื่อเห็นท่าทีอยากจะเชือดคอนางให้สาสมดั่งนางเป็นเนื้อบนแท่นบูชายัญของบุรุษผู้นี้แล้ว ก็ทำเอานางขนลุกไปทั้งสันหลัง
เขาจงใจปลดสายรัดเอวและคลายเสื้อผ้าออกต่อหน้านาง ซ้ำยังฉายรอยยิ้มเย็นชาเช่นนั้น สร้างความหวาดกลัวให้แก่นาง เขาต้องการทำให้นางหวั่นผวา
นางหวั่นผวาอย่างแท้จริง แม้นางจะกล้าไม่น้อย ทว่าคืนแรกสำหรับหญิงบริสุทธิ์นางหนึ่งแล้วสำคัญเพียงไร นางมอบส่วนที่บอบบางที่สุด มีค่าที่สุดให้ชายผู้หนึ่งด้วยความขวยอายเจียมเนื้อเจียมตน เป็นพิธีกรรมที่ศักดิ์สิทธิ์ ด้วยหวังว่าชายผู้นั้นจะมีใจเดียวกัน เห็นคุณค่าการอุทิศของตนเองเหมือนที่นางเห็น
ทว่าบัดนี้นางกลับรู้สึกประหนึ่งอยู่บนลานประหารอย่างไรอย่างนั้น ตัวสั่นเทิ้มอย่างควบคุมไม่ได้ แม้ภายนอกฝืนทำตัวแข็งแกร่งก็ตาม
กางเกงตัวยาวของต้วนฉางยวนไหลลงมายามที่สายรัดเอวถูกปลด แต่ท่อนบนยังสวมเสื้อตัวกลาง มิได้ปลดออกจนสิ้น เสื้อตัวกลางยาวคลุมส่วนสำคัญช่วงล่างพอดิบพอดี แม้มองไม่เห็นแต่ก็ทำให้นางตื่นตระหนกจนลืมหายใจ จากนั้นเขาก้าวยาวคืบหน้า สองมือยื่นออกดึงเสื้อของนางจนขาดเสียงดังแควก
ความเคลื่อนไหวนี้ทั้งรวดเร็วและรุนแรง นางตกใจจนลมหายใจชะงัก
“ไม่…”
“เจ้าอยากเข้าหอมิใช่หรือ ข้าจะมอบให้”
แววตาของเขาไร้รอยยิ้ม มีเพียงความเย็นเยียบ มุมปากแสยะยิ้มอย่างเย้ยหยันแฝงด้วยความโหดเหี้ยมอำมหิต
อวี๋เสี่ยวเถาทั้งตระหนกระคนเดือดดาล เขาคิดจะทำหยาบช้าเช่นนี้แบบขอไปทีเพื่อให้นางตกที่นั่งลำบาก นางไม่ยอมจำนน ทว่าสองมือที่ปัดป้องปฏิเสธถูกมือเดียวของเขารวบตรึงไว้มั่น กายท่อนล่างก็ถูกต้นขาของเขาบดเบียดแทรกเข้ามา
“ต้วนฉางยวน เจ้ากล้า!”
“คิดจะวางยาพิษข้า ดูซิว่าเจ้ามีปัญญาหรือไม่ เว้นเสียแต่เจ้าไม่อยากเข้าหอแล้ว ข้าจะหยุดมือ แต่ถ้าเจ้าปฏิเสธ เจ้าต้องให้ยารักษาตามสัญญา ไม่เช่นนั้นจะถือว่าผิดสัญญาและข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่ เจ้าจะให้ข้าหยุดหรือไม่”
นางตัวแข็งทื่อ ใบหน้าใต้ผ้าคลุมซีดเผือดยิ่ง มีเพียงดวงเนตรคู่นั้นที่ถลึงจ้องมองเขา มันมีความลังเล หวาดผวา จงเกลียดจงชัง และที่มากที่สุดคือความอับอายขายหน้าและเคียดแค้น
เขาเป็นสัตว์ป่า หาใช่คนดีไม่ คำยกย่องว่าเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ เป็นบุรุษผู้อ่อนน้อมทรงคุณธรรมประดามีล้วนจอมปลอมทั้งสิ้น!
* ราตรียาวนานฝันเฟื่องมากมาย เป็นสำนวน หมายถึงเวลายืดออกไป เรื่องราวอาจมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน
ทรวงอกเปล่าเปลือยสะท้อนขึ้นลงรุนแรงจากแรงหอบ นางคิดว่าตนเองคงลนลาน ทว่าสีหน้าเย็นชาไร้ความเห็นอกเห็นใจของต้วนฉางยวนทำให้นางบังเกิดความฮึดสู้ไม่คิดยอมแพ้ในใจ จึงสงบเยือกเย็นลงได้
นางหลับตาไม่มองเขา มองไม่เห็น ใจก็ไม่ว้าวุ่น ขอแค่จำไว้เพียงเรื่องเดียว ไร้ชีวิตแล้วไม่ว่าสิ่งใดก็หมดสิ้น นางรับปากท่านพ่อท่านแม่ไว้ว่าไม่ว่าจะเจออุปสรรคขวากหนามเพียงใด จะมีชีวิตอยู่อย่างดี ดังนั้นนางต้องรักษาชีวิตตนเอง
หลังนางหลับตาแล้ว การเคลื่อนไหวของต้วนฉางยวนก็เริ่มขึ้น เสียงฉีกทึ้งดังขึ้นไม่ขาดสาย เสื้อผ้าบนร่างของนางกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยสุดจะทานทนในเงื้อมมือของเขา เฉกเช่นศักดิ์ศรีของนางที่ถูกกระชากจนขาดวิ่นเยี่ยงไรเยี่ยงนั้น
เขาจับนางเปลือยเปล่า แต่ตนเองกลับยังสวมเสื้อตัวกลาง
ภายใต้แสงเทียนส่องสว่าง นางเปลือยกายเผยอกต่อหน้าบุรุษอย่างน่าอับอายเช่นนี้เป็นครั้งแรก จนแทบจะวู่วามด้วยความเหลืออด นึกอยากถีบบุรุษผู้นี้ออกห่าง แต่ในยามสุดท้ายนางอดกลั้นไว้ได้
ไร้ซึ่งบทโหมโรง ไร้ซึ่งเยื่อใยอันอบอุ่นอ่อนโยน เขาล่วงล้ำส่วนที่อ่อนบางที่สุดของนางอย่างไม่ทะนุถนอม
นางหลับตาแน่น กัดฟัน เจ็บ! เจ็บเหลือเกิน!
ถอนพิษ…เป็นเพียงการถอนพิษ…นางบอกตนเองครั้งแล้วครั้งเล่า ยาดีรสขม คนแซ่ต้วนผู้นี้มิใช่บุรุษ เป็นเพียงยาถอนพิษของนาง นางถือเสียว่าโดนแมลงกัดต่อย กัดฟันทนก็ผ่านพ้นไปแล้ว
ฝืนทนความอับอาย นางรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดยามส่วนล่างฉีกขาด ทำให้นางปวดหนึบที่หัวใจ หายใจอย่างยากลำบาก
หลังกระแทกกระทั้นพักหนึ่ง นางรู้สึกว่ากายช่วงล่างว่างเปล่า เป็นเพราะเขาผละร่างออก ไร้ความปรานีปราศรัยเหมือนยามที่ล่วงล้ำ และยามจากไปยังคงเมินเฉย
เขาใช้อากัปกิริยาสำทับนางว่านี่มิใช่คืนแห่งการร่วมหอ เป็นเพียงข้อแลกเปลี่ยนเท่านั้น ประหนึ่งบุรุษเยือนหอคณิกา และสำหรับเขา นางยังสู้ไม่ได้แม้หญิงคณิกาในหอโคมเขียว
เขาคว้าชุดคลุมยาวสวมทับบนร่าง ยามที่จากไปแม้แต่จะแลนางสักแวบยังไม่มี กระทั่งแสงเทียนภายในห้องก็ไม่ดับให้ ปรายตามองความอเนจอนาถ ความเจ็บปวด และความน่าเวทนาของนางท่ามกลางแสงเทียนกระจ่างจ้าอย่างเย็นชา
หลังเขาจากไปแล้ว อวี๋เสี่ยวเถาคว้าจับเสาหัวเตียงยันตัวขึ้นเอนนั่งอย่างอ่อนแอ ดวงหน้าขาวซีด ลมพายุฉากหนึ่งเมื่อสักครู่ทำให้ร่างของนางสั่นระรัวไม่หยุด
ไม่มีผู้ใดเข้ามาปรนนิบัติรับใช้ แต่นางก็ไม่อยากให้ผู้ใดมาเห็นสภาพน่าอเนจอนาถเยี่ยงนี้ นางจินตนาการออกว่าคนพวกนั้นจะเยาะเย้ยก่นด่านางอย่างไรบ้างยามอยู่นอกห้อง
หยาดน้ำตาหยดหนึ่งไหลลงมาอย่างไร้สุ้มเสียง ท่ามกลางราตรีอันเงียบสงัด นางห่อหุ้มตัวเองด้วยผ้าห่ม กดทับความรู้สึกไม่สบายของกายท่อนล่าง
หากคิดว่าเพียงเท่านี้ก็โจมตีนางได้ เช่นนั้นก็ดูเบานางเกินไปเสียแล้ว ถูกผู้คนดูหมิ่นดูแคลนเป็นเรื่องจำใจ หากตนเองยังดูหมิ่นตนเองก็ไม่สมควรอย่างยิ่ง
ถือว่าเขาได้ร่างกายก็เพราะนางเต็มใจมอบให้ นางปาดน้ำตาอย่างไม่ยอมแพ้ ไม่อยากเป็นดังคนน่าสงสารเอาแต่พร่ำบ่นถึงความเศร้ารันทดของตนเอง
ต้วนฉางยวน อายุอานามยี่สิบสองปี หนักแน่นมั่นคงแข็งแกร่ง รักษาสัจจะอย่างเคร่งครัด นี่คือคำยกย่องเชิดชูที่ผู้คนในยุทธภพมีต่อเขา ใช่กับผีน่ะสิ!
ชาวยุทธภพประเมินค่าเกินเลยไปจริงด้วย คำเล่าลือผิดพลาด บางเรื่องต้องประจักษ์กับตาถึงเชื่อถือได้ อะไรที่เรียกว่าผดุงคุณธรรม ภายในกระดูกของต้วนฉางยวนคือคนมากเล่ห์เจ้าคิดเจ้าแค้นและแล้งน้ำใจ!
ประตูเปิดออกฉับพลัน หรูฉิง หรูอี้แหวกม่านลูกปัดเข้ามา เมื่อเห็นว่าพวกนางเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต อวี๋เสี่ยวเถาก็โมโหทันที
“ใครให้พวกเจ้าเข้ามา!”
“พวกเรารับคำสั่งท่านประมุขให้มารับยา”
อวี๋เสี่ยวเถาจ้องสาวใช้ทั้งสองด้วยสายตาเยือกเย็น อยากเอ่ยปากด่าคนแต่พลันนิ่งอึ้ง เพราะว่ายามนี้นางรู้สึกถึงความร้อนสายหนึ่งหลั่งไหลเข้าสู่ร่าง ค่อยๆ ถอนพิษหนาวสะท้านภายในอย่างเชื่องช้า
นางตรึกตรองอย่างเงียบเชียบ แม้ถอนพิษแล้ว แต่ร่างกายนางยังอ่อนแอ ต้องโคจรพลังปรับสภาพร่างกายอีกสักระยะหนึ่งเพื่อทะลวงจุดลมปราณจนฟื้นคืนวรยุทธ์ได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป ในช่วงเวลานี้จำเป็นต้องอาศัยคนพวกนี้คอยดูแลนางอย่างรอบคอบระแวดระวัง
ไม่อดทนอดกลั้นในเรื่องเล็กน้อยอาจเสียการใหญ่ได้ นางคิดในใจว่าทนมาถึงขั้นนี้แล้ว จะทำลายแผนการเพราะอารมณ์เพียงชั่ววูบได้อย่างไร
ช่างเถิด คนพวกนี้ไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของนาง ขอเพียงผ่านพ้นอันตรายแล้วนางก็จะจากไป นับแต่นี้ไปสุดหล้าฟ้าเขียวต่างเดินคนละหนทาง ไม่เกี่ยวข้องกันต่อไป ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม คนแซ่ต้วนผู้นั้นรักษาสัญญาแล้ว นางก็ควรจะรักษาคำสัญญาด้วยเช่นกัน
กระแสความร้อนในร่างเจือจางความเคียดแค้นและความโกรธของนาง พิษราคะถูกขจัดแล้ว ความกลัดกลุ้มทนทุกข์ที่อัดอั้นอยู่ในอกก็ได้รับการปลดปล่อยแล้ว
“ไปเตรียมน้ำร้อน ข้าจะอาบน้ำ”
“เจ้า…”
“อาบน้ำแล้ว ข้าจะมอบยาให้เอง”
หรูฉิงและหรูอี้แม้ไม่เต็มใจ แต่เพื่อให้ได้ยารักษาโรคประหลาดของคุณหนูใหญ่จึงไม่กล้าขัด ออกไปจัดการแต่โดยดี
หลังอาบน้ำร้อนจนเบาสบายตัวและเปลี่ยนเป็นชุดสะอาดสะอ้านตัวใหม่ อวี๋เสี่ยวเถาก็บอกพวกนางว่า
“พรุ่งนี้เช้าตรู่ มารับยาเม็ดที่สอง”
เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ สองสาวใช้ก็จ้องนางอย่างตื่นตระหนก
“เม็ดที่สอง? หมายความว่าอย่างไร”
“อย่ารีบร้อน พวกเจ้าก็ตรวจสอบสัมภาระของข้าแล้ว น่าจะรู้ว่าข้าไม่ได้ซุกซ่อนยาเอาไว้มิใช่หรือ ยานั้นต้องทำสดๆ ก่อนหน้านี้ที่ให้คุณหนูใหญ่ของพวกเจ้าไปเป็นเม็ดที่หนึ่ง พรุ่งนี้เช้าข้าจะปรุงยาถอนพิษเม็ดที่สองให้แล้วเสร็จ หลังจากกินสิบหน คุณหนูใหญ่ของพวกเจ้าจะได้รับยาจนโรคหายเป็นปลิดทิ้ง”
“เหตุใดต้องแบ่งเป็นสิบหน”
“คุณหนูใหญ่ของพวกเจ้าเป็นโรคพิษร้อนที่พบเห็นได้น้อยนัก พิษนั้นกระจายไปทั่วร่าง จำเป็นต้องถอนพิษอย่างค่อยเป็นค่อยไป ต่อไปทุกวันที่สิบห้าของทุกเดือน จำไว้ว่าให้มารับยาถอนพิษ”
แท้จริงแล้วในตอนแรกที่ปราสาทเขาชิงอวี้ติดประกาศอาการโรคของต้วนชิงหลิงต่อใต้หล้า นางก็กระจ่างว่าคุณหนูใหญ่ท่านนี้ถูกยุงพิษชนิดหนึ่งกัด ยุงพิษชนิดนี้เติบโตในแถบภูเขาร้อนชื้นที่พบเห็นมนุษย์และสัตว์ป่าได้ยากยิ่ง มีรูปร่างใหญ่โตเป็นพิเศษ เวลากัดคนดั่งถูกเข็มทิ่มแทง ต่างจากยุงในแถบจงหยวน
เห็นจากสีหน้าว่าพวกสาวใช้ยังไม่ยอมง่ายๆ อวี๋เสี่ยวเถารู้ดีว่าพวกนางกำลังคิดอะไรอยู่ จึงเอ่ยเสียงเย็นว่า “บอกท่านประมุขของพวกเจ้าด้วยว่าให้ส่งบริวารมารับยาก็ได้ ไม่ต้องมาด้วยตัวเอง”
ความหมายชัดเจนอย่างยิ่ง นั่นก็คือท่านประมุขของพวกนางไม่จำเป็นต้องร่วมหอเฉกเช่นวันนี้ในทุกเดือน เรื่องพลีกายเพื่อแลกยา นางไม่แยแสเลยแม้เพียงนิด
แท้จริงแล้วนางรักษาคุณหนูใหญ่ให้หายขาดได้ภายในสามวัน ทว่าเพื่อให้มั่นใจถึงความปลอดภัยของตนเองจึงจงใจยืดเวลา เมื่อเป็นเช่นนี้ต้วนฉางยวนย่อมทำให้วันเวลาที่นางอยู่ในปราสาทเขาแห่งนี้ปลอดภัยไร้กังวลอย่างแน่นอน
เมื่อฟังคำของนางจบแล้ว สองสาวใช้ต่างโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง อวี๋เสี่ยวเถาเห็นทุกอย่างอยู่ในสายตา
สาวใช้ทั้งสองไม่เรียกขานนางว่าฮูหยินหรืออนุ นางเองก็ไม่เรียกต้วนฉางยวนว่าสามีไปโดยปริยาย ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้เป็นเพียงการแลกเปลี่ยนเท่านั้น
หลังสาวใช้จากไปแล้วนางก็ดับเทียน กลับเข้าสู่เตียงตั่ง คลำหยิบยาขี้ผึ้งออกมาทาไปยังท่อนล่างเพื่อบรรเทาอาการไม่สบาย ไล้ขี้ผึ้งอย่างแผ่วเบาพลางสูดปากหายใจเข้าออกเป็นระยะ ความเจ็บปวดเยี่ยงนั้นช่างยากจะพรรณนา นางก่นด่าต้วนฉางยวนอยู่ในใจหลายร้อยตลบ
เสียตัวก็เสียตัวสิ! อย่างมากต่อไปก็ไม่แต่งให้กับผู้ใดอีกแล้ว ที่นางต้องตกอยู่ในสภาพนี้ในวันนี้ จะโทษก็ต้องโทษที่ประสบการณ์ในยุทธภพของนางตื้นเขินนัก หนีรอดมาได้นับว่าวิญญาณท่านพ่อท่านแม่บนสวรรค์คุ้มครองแล้ว
หลังทายาเสร็จแล้วนางก็นอนลงบนเตียง เดิมคิดว่าคืนนี้คงเป็นคืนที่ข่มตาหลับได้ยาก แต่คาดไม่ถึงว่าพอลงนอนนางก็หลับไปจนถึงฟ้าสาง
เช้าตรู่หลังตื่นนอน นางก็นั่งอยู่ในท่าขัดสมาธิ หลังหายใจเข้าออกลึกๆ แล้วก็หลับตารวบรวมสมาธิ เริ่มโคจรกำลังภายในเดินลมปราณ
ขณะที่โคจรกำลังภายใน นางรู้สึกได้ว่าจุดชีพจรภายในร่างที่ถูกสกัดจนยากโคจรก่อนหน้านี้ทะลวงเชื่อมต่อถึงกันแล้ว นี่แสดงว่าพิษภายในร่างของนางค่อยๆ สลายไป
นางยินดีอย่างยิ่ง เริ่มตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ทุกวันนอกจากการกินอาหารแล้วก็ไม่ให้ผู้ใดเข้ามา ปิดประตูนั่งขัดสมาธิโคจรพลังอย่างมุ่งมั่นตั้งใจ พยายามทะลวงจุดลมปราณภายในร่างอย่างขะมักเขม้น
ตามที่คาดไว้ ขอเพียงไม่เรียกร้องสิ่งใด บ่าวรับใช้ในปราสาทเขาชิงอวี้แห่งนี้ก็จะไม่มารบกวนนาง คนพวกนั้นแทบจะไม่อยากให้นางเอ่ยปาก จะได้ไม่ต้องเข้ามาปรนนิบัติรับใช้
บางครั้งนางเดินออกมาจากห้องเพื่อเดินเล่นภายในลานบ้านก็ไม่ถูกขัดขวางแต่ประการใด ทว่าพอเดินออกจากเขตลานบ้านจะมีคนออกมาเดินตามนาง เมื่อพบว่านางเดินไปยังสถานที่ที่ไม่ควรไปก็จะขัดขวาง อย่างเช่นในตอนนี้…
“แม่นางโปรดยั้งฝีเท้าด้วย”
อวี๋เสี่ยวเถาหันกลับมามองหรูอี้ที่อยู่ด้านหลัง ถามยิ้มๆ ว่า “เพราะเหตุใด”
“ที่นั่นเป็นเขตหวงห้าม แม่นางเข้าไปไม่ได้”
“อ้อ? เขตหวงห้าม? เป็นสถานที่อย่างไรกัน”
“ไม่อาจบอกแม่นางได้”
เป็นเพราะไม่อาจบอกได้ หรือไม่ควรค่าที่จะบอกกันแน่ นางยิ้มมองความห่างเหินเย็นชาบนใบหน้าของหรูอี้
ในตอนนี้เอง นางเห็นสตรีสองสามนางเหมือนเป็นคนในครอบครัวของต้วนฉางยวนเดินไปทางนั้นเข้าพอดี อวี๋เสี่ยวเถาชี้ไปทางสตรีกลุ่มนั้น จงใจถามหรูอี้ว่า
“หากข้าต้องไปให้ได้เล่า”
“เช่นนั้นก็ขออภัยที่หรูอี้เสียมารยาท”
“ดีสิ! ข้าเองก็อยากเห็นว่าเจ้าจะขัดขวางข้าอย่างไร ต่อให้ข้ามิใช่อนุของท่านประมุขพวกเจ้า แต่ก็เป็นผู้มีบุญคุณของคุณหนูใหญ่ พวกเจ้าปฏิบัติต่อผู้มีบุญคุณเยี่ยงนี้หรอกหรือ”
ทั้งสองคนไม่มีใครยอมให้ใคร กำลังจะวิวาทกันขึ้น เสียงตำหนิเบาๆ ของสตรีนางหนึ่งก็ดังแว่วมา
“หรูอี้ ห้ามเสียมารยาท!”
ผู้ที่เอ่ยปากคือต้วนชิงหลิงซึ่งเดินข้ามมาหาพวกนางจากทางเดินเล็กๆ ในสวนบุปผา นางคือน้องสาวที่ท่านประมุขต้วนรักและทะนุถนอมเป็นที่สุด
“คารวะคุณหนูใหญ่” หรูอี้รีบขึ้นหน้าคารวะ
ต้วนชิงหลิงผู้นี้อวี๋เสี่ยวเถาเพิ่งเห็นนางเป็นครั้งแรก จึงสงบลงด้วยอยากเห็นว่าคุณหนูใหญ่ท่านนี้มีแผนการอะไร แล้วค่อยรับมือไปตามสถานการณ์
ต้วนชิงหลิงประเมินสตรีปิดบังรูปโฉมซึ่งยืนอยู่ตรงหน้า และเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอบอุ่นว่า “เจ้าคืออวี๋เสี่ยวเถา?”
“ถูกต้อง” อวี๋เสี่ยวเถาตอบอย่างร่าเริง
ในขณะที่อีกฝ่ายมองประเมินนาง นางก็ประเมินอีกฝ่ายอยู่เช่นกัน ต้วนชิงหลิงเป็นสาวงามเลิศล้ำผู้หนึ่ง แม้ป่วยไข้ด้วยโรคพิษร้อนจนดูอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ทว่ายังไม่สูญเสียความงดงามพริ้มเพรา
ได้ยินมาว่าต้วนฉางยวนรักและเอ็นดูน้องสาวคนนี้มาก เป็นห่วงเป็นใยไม่อยากให้ได้รับความลำบากแม้เพียงนิด ไม่เอ่ยต้องถึงบุรุษ แม้นางแค่เห็นยังคิดว่าต้วนชิงหลิงผู้นี้เป็นสตรีที่ทำให้ดวงตาผู้คนฉายประกายเพียงได้พบ หากแต่ไม่รู้ว่านิสัยใจคอเป็นอย่างไร
ต้วนชิงหลิงเพ่งพิศมองนาง ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนออกคำสั่งคนอื่นว่า
“พวกเจ้าถอยไปก่อน”
“คุณหนู?”
“ไม่ได้นะ!”
“ไม่ได้อย่างเด็ดขาด!”
อวี๋เสี่ยวเถารู้สึกขบขันในใจ คนพวกนี้กลัวนางเขมือบคุณหนูใหญ่คนงามนิ่มนวลท่านนี้ลงท้องถึงเพียงนี้เชียวหรือ
แต่ละคนตื่นเต้นตกใจแทบสิ้นชีวิต นี่ก็ไม่แปลก นางใช้เพทุบายเพื่อเข้ามาที่นี่ ในสายตาของพวกสาวใช้ย่อมเห็นนางเป็นสตรีปลิ้นปล้อนมากเล่ห์
ต้วนชิงหลิงย่นหว่างคิ้วเล็กน้อย ตีสีหน้าเคร่ง
“ข้ามีเรื่องจะพูดกับนางตามลำพัง พวกเจ้าถอยไป!”
สาวใช้ต่างมองหน้ากันไปมาก่อนจะถอยออกไปอย่างไม่เต็มใจ แต่ขณะที่ถอยออกไป สายตาคู่หนึ่งจ้องอวี๋เสี่ยวเถาเขม็งราวกับจะเตือนว่าหากกล้าล่วงเกินคุณหนูใหญ่ก็จะถลกหนังนางออกมาเสีย
อวี๋เสี่ยวเถาชาชินจนไม่แปลกใจ คนพวกนี้คิดแต่เพียงว่านางเป็นหญิงหน้าหนาไร้ยางอายเท่านั้น ใครใช้ให้ต้วนฉางยวนผู้นั้นได้รับความรักและการปกป้องจนเกินเหตุเล่า ผู้คนทั่วหล้าคงคิดว่านางทำให้ความบริสุทธิ์ของเขาแปดเปื้อน
หลังจากสาวใช้ถอยหลังไปอยู่ห่างจากพวกนางประมาณสิบก้าวแล้ว ต้วนชิงหลิงทอดสายตาลงบนวงหน้าของอวี๋เสี่ยวเถาอีกครา พินิจพิจารณาอีกฝ่ายอย่างละเอียด ก่อนเอ่ยปากว่า…
“ได้ยินมาว่าเจ้าใช้ผ้าโปร่งคลุมหน้าเพราะว่าหน้าตาของเจ้า…ไม่เป็นที่พอใจ”
ไม่เป็นที่พอใจ?
อวี๋เสี่ยวเถาฟังแล้วก็แย้มยิ้มคราหนึ่ง คุณหนูใหญ่ผู้นี้เลือกสรรถ้อยคำอย่างไม่หักหาญน้ำใจเป็นอันมาก
“ใช่แล้ว ใช้ผ้าโปร่งนี้คลุมใบหน้าอัปลักษณ์ กันไม่ให้ใครตกใจ” นางตอบอย่างตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม ไม่แยแสที่จะเอ่ยถึงความอัปลักษณ์ของตนแม้แต่น้อย
แท้จริงแล้วนางจำเป็นต้องปิดบังใบหน้า เนื่องจากวงหน้านางจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ ตามพิษที่ถูกขจัดออกจากร่าง จนท้ายที่สุดจึงกลับเป็นโฉมหน้าเดิม นางไม่อยากให้คนพวกนี้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง
ต้วนชิงหลิงคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะตอบกลับมาอย่างเปิดเผย ประหนึ่งว่าไม่สนใจรูปโฉมอัปลักษณ์ของตนเองแม้แต่น้อย ระหว่างสนทนา นิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมาทำให้นางพินิจพิจารณาอย่างละเอียดยิ่งขึ้น
“เจ้ามีดวงตาที่งดงาม”
“ขอบคุณคุณหนูใหญ่ที่ชม”
สิ่งที่อวี๋เสี่ยวเถาเปลี่ยนแปลงไปมีเพียงหน้าตา ดวงเนตรยังคงงามซึ้ง ตอนนั้นนางเข้ามาในปราสาทเขาด้วยรูปโฉมอัปลักษณ์ ทุกคนต่างมองข้ามดวงเนตรที่งดงามคู่นี้ของนาง แต่ต้วนชิงหลิงพบนางเป็นครั้งแรก เห็นเพียงนางคลุมหน้าด้วยผ้าโปร่ง จึงสังเกตเห็นโดยปริยาย
“ได้ยินมาว่าเพราะยาของเจ้า ข้าถึงรอดมาได้ ชีวิตนี้ของข้าเป็นเจ้าที่ช่วยเหลือไว้”
อวี๋เสี่ยวเถาได้ยินนางกล่าวเช่นนี้ก็ได้แต่ยิ้มๆ ไม่ตอบอะไร ไม่ปฏิเสธก็คือยอมรับกลายๆ
ต้วนชิงหลิงลูบกลีบดอกไม้ริมทางพลางเอ่ยกับนางว่า “ข้าซาบซึ้งมากที่เจ้าช่วยชีวิตข้า แต่เจ้าไม่ควรใช้สิ่งนี้มาบังคับขู่เข็ญพี่ใหญ่ของข้า บีบให้เขาแต่งกับเจ้า”
ที่แท้คุณหนูใหญ่มาเพื่อเป็นผู้เกลี้ยกล่อม อวี๋เสี่ยวเถารู้อย่างแจ่มชัด
“ใช่แล้ว! วิธีการนี้ของข้าไม่ใสสะอาด” เห็นใบหน้าของคุณหนูใหญ่แสดงออกถึงความประหลาดใจ นางจึงเอ่ยต่อว่า “ทว่าใดๆ ในโลกไม่มีสิ่งใดได้มาโดยไร้มูลเหตุ ท่านประมุขแต่งกับข้ากลับช่วยเจ้าได้หนึ่งชีวิต ข้อแลกเปลี่ยนนี้ไม่เสียเปรียบ”
ต้วนชิงหลิงได้ฟังแล้วก็ส่ายหน้าเบาๆ น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยเสียดาย
“เจ้าไม่ควรบีบบังคับพี่ใหญ่ของข้า เรื่องที่เขาเกลียดที่สุดในชีวิตก็คือถูกคนบังคับขู่เข็ญ เจ้าก็น่าจะรู้ ตอนแรกหากเจ้ามอบยาให้โดยไม่ร้องขอการตอบแทน พี่ใหญ่ข้าจะถือว่าเจ้าเป็นผู้มีพระคุณ ทั้งบนล่างในปราสาทเขาจะยกย่องเจ้าเป็นแขกผู้มีเกียรติสูงสุด เจ้าจะได้รับความเคารพจากปราสาทเขาชิงอวี้ พี่ใหญ่ข้าจะปกป้องคุ้มครองเจ้าไปตลอดชีวิต เขาจะตอบแทนผู้มีพระคุณด้วยการปกป้องจนตัวตาย”
อวี๋เสี่ยวเถากลับส่ายหน้า
“เรื่องนี้ข้าไม่อาจเข้าใจ ในเมื่อเขารู้ว่าบุญคุณต้องทดแทน ข้าไม่ได้ขอร้องให้เขาตอบแทนด้วยความตาย แค่…” เพียงตอบแทนด้วยร่างกาย แต่นางรีบเปลี่ยนคำ “เพียงขอให้เขารับข้าเป็นอนุภรรยา เหตุใดถึงมิได้รับการปฏิบัติอย่างดีและได้รับความเคารพจากผู้คนในปราสาทเขาด้วยเล่า การตอบแทนนี้ช่างต่างกันลิบลับ”
“นั่นต่างกัน หากเจ้ามอบยาโดยไม่เรียกร้องสิ่งใด นี่คือบุญคุณ พี่ใหญ่ข้าย่อมจารจารึกไว้ในใจ ทุ่มเทสุดกำลังเพื่อตอบแทนเจ้า แต่เจ้าใช้ยามาข่มขู่ นี่คือการบีบบังคับ เขาผู้นี้ถือสาที่สุดก็คือถูกบีบบังคับ เจ้าทำให้เขาโกรธเข้าแล้ว”
“อ้อ…” อวี๋เสี่ยวเถาทำท่าเข้าใจโดยทันที “ที่แท้กระทำผิดลำดับขั้นตอนไปนี่เอง”
นางร้องเงียบๆ ในใจว่าเป็นอย่างที่กล่าวมาสิแปลก หากตอนนั้นนางมอบยาให้ก่อน จากนั้นก็เป็นลมต่อหน้าต้วนฉางยวน ให้เขาพบว่านางถูกพิษราคะ เพื่อตอบแทนบุญคุณ เขาจะยินยอมเข้าหอกับนางจริงหรือ
นางไม่เชื่อ อย่าลืมว่าบัดนี้นางอัปลักษณ์อย่างยิ่ง หลังจากถูกเหยียนจิ่วลอบกัดนางก็ไม่เชื่อบุรุษใดอีก ยอมใช้ใจคนถ่อยวัดจิตใจวิญญูชน* ที่ต้องบีบบังคับให้เขาเข้าหอกับนางนั้นเพราะเกี่ยวพันถึงชีวิต ไม่อาจล้มเหลวได้
ยิ่งไปกว่านั้นเวลาของนางมีจำกัด จำเป็นต้องถอนพิษก่อนคืนพระจันทร์เต็มดวง เพื่อช่วยชีวิตตัวเอง นางไม่มีเวลาแยแสความรู้สึกของบุรุษผู้นั้น
“นี่คือสาเหตุที่พี่ใหญ่เย็นชาต่อเจ้า หากมิใช่คนที่เขาชอบใจ เขาจะไม่ประนีประนอมเด็ดขาด เจ้าอยู่ที่นี่ย่อมไม่สุขสบายแน่”
“คุณหนูใหญ่อยากเกลี้ยกล่อมข้า?”
“ที่ข้ากล่าวมาเจ้าอาจจะตำหนิข้า แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าเป็นผู้มีบุญคุณ ข้าไม่อาจทนเห็นเจ้าถูกฝังทั้งเป็นไปตลอดชีวิตที่นี่ สิ่งใดที่ควรพูด ข้าก็ต้องพูดกับเจ้า”
อวี๋เสี่ยวเถากะพริบตาปริบๆ มองความตรงไปตรงมาและสายตาที่แฝงด้วยความเห็นอกเห็นใจของต้วนชิงหลิง นางจึงยิ้มได้
“เจ้าเป็นคนไม่เลวเลย นับว่าข้าได้เห็นคนที่ไม่ขัดหูขัดตาในปราสาทเขาชิงอวี้เป็นคนแรกแล้ว เห็นแก่ความห่วงใยของเจ้า ข้าจะให้อภัยความไร้มารยาทของพี่ใหญ่เจ้า! วางใจได้ ข้าไม่ทำให้ตัวเองลำบากแน่ ข้ารู้ตัวว่ากำลังทำอะไร พี่ใหญ่เจ้าไม่ชอบข้าเป็นความจริง ดังนั้นข้าจะไม่บีบบังคับเขาอีก เขาจะแต่งภรรยาหรือรับอนุอีกกี่คนก็ไม่ก้าวก่ายทั้งสิ้น และไม่บีบให้เขาชอบข้า”
ต้วนชิงหลิงมองสตรีตรงหน้าอย่างประหลาดใจยิ่ง และรู้สึกไม่ใคร่เข้าใจนัก
ดวงตาที่โผล่พ้นผ้าคลุมหน้าคู่นั้นส่องประกายวิบวับ ใสกระจ่างพิสุทธิ์ราวสายน้ำ แววตาของคนหลอกลวงผู้อื่นได้ยากที่สุด ต้วนชิงหลิงมีลางสังหรณ์ว่าสตรีผู้นี้มิได้รักพี่ใหญ่ของนาง เพราะไม่อาจรับรู้ได้ถึงความน้อยอกน้อยใจหรือความคับแค้นใดๆ จากร่างของสตรีผู้นี้ หรือว่าจะเป็นดั่งที่ผู้อื่นกล่าวกันว่านางมาเพื่อชื่อเสียงและผลประโยชน์
แต่หากมาเพื่อชื่อเสียงและผลประโยชน์ เหตุใดไม่ร้องขอเป็นภรรยาเอกของพี่ใหญ่ แต่กลับขอเป็นเพียงอนุภรรยา?
ต้วนชิงหลิงพบว่าตนไม่ได้รังเกียจอวี๋เสี่ยวเถา และถึงขนาดรู้สึกว่าอีกฝ่ายมีความพิเศษซึ่งแฝงด้วยความลึกลับบางอย่าง
เดิมนางมาเพื่อเกลี้ยกล่อมให้อวี๋เสี่ยวเถาตัดใจ แต่จนบัดนี้อีกฝ่ายยังไม่เรียกร้องสิ่งใดจากพี่ใหญ่เลยแม้เพียงนิด ทำให้นางจนหนทางจะลงมือ แต่กลับบังเกิดความสงสัยใคร่รู้
ในเมื่อไม่อาจสนทนาจนได้ผลลัพธ์ประการใด นางจึงหมดถ้อยคำเพียงเท่านี้ ก่อนนำบรรดาสาวใช้จากไป
หลังจากต้วนชิงหลิงจากไปแล้ว อวี๋เสี่ยวเถาก็เดินเล่นอยู่อีกสักพักก่อนจะกลับเข้าเรือนพำนัก แอบนั่งขัดสมาธิโคจรพลังต่อไป
* ยอมใช้ใจคนถ่อยวัดจิตใจวิญญูชน เป็นสำนวน หมายถึงใช้ความคิดต่ำช้าตัดสินว่าผู้อื่นก็เลวทรามเช่นเดียวกับตน
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments