X
    Categories: LOVEทดลองอ่านปางบุญ

ทดลองอ่านนิยาย ปางบุญ บทที่ 3 – บทที่ 4

หน้าที่แล้ว1 of 14

บทที่ 3

กลิ่นหอมของน้ำซุปลอยฟุ้งทั่วห้องครัว…หญิงต่างวัยคู่หนึ่งกำลังช่วยกันทำอาหารคนละไม้คนละมือ ผู้สูงวัยกว่าที่ยืนหน้าเตาอยู่ในวัยสี่สิบปีเศษแต่ใบหน้ายังคงอิ่มเอิบและแจ่มใสอยู่เสมอ ส่วนหญิงสาวอีกคนหนึ่งอยู่ในวัยแรกรุ่นกำลังก้มหน้าล้างผักอยู่อย่างขะมักเขม้น ต่อเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาทั้งสองจึงพร้อมใจกันหันไปมอง พบกับชายวัยกลางคนที่ไรผมเริ่มเป็นสีดอกเลาสวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้น ใบหน้ามีริ้วรอยตามกาลเวลาแต่ยังคงแฝงความใจดีมีเมตตา

“กลับมาแล้วเหรอคะพ่อ”

รัตน์สิกาทักทายผู้เป็นบิดาอย่างอารมณ์ดี เพราะตั้งแต่ไปบวชชีอยู่ที่วัดครั้งนั้นหลายๆ สิ่งในชีวิตก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีเรื่องซวยเกิดขึ้นถี่ยิบเหมือนช่วงก่อนหน้าและสุขภาพก็ดีขึ้น ที่สำคัญคือมีเหตุผลที่ทำให้วันนี้เธอมีความสุขเป็นพิเศษ

“วันนี้เป็นวันอะไรรึเปล่า” สิทธิชัยเอ่ยขึ้นมาทันทีที่เห็นหม้อสุกี้ไฟฟ้าตั้งเด่นบนโต๊ะอาหารพร้อมวัตถุดิบต่างๆ เรียงรายราวกับรูปภาพที่ถ่ายมาจากภัตตาคารชั้นดี ซึ่งเมนูนี้พวกเขามักจะทำกันเนื่องในโอกาสพิเศษ

“ให้ทายดูค่ะ ถ้าตอบถูกเดี๋ยวหนูทำของหวานตบท้าย แต่ถ้าไม่ถูก…ก็อด” หญิงสาวตอบด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“อืม…วันเกิดพ่อก็ผ่านไปนานแล้วนี่นา…วันเกิดแม่ก็ยังไม่ถึง หรือว่าวันนี้วันเกิดใบบุญ?”

“วันเกิดหนูก็ผ่านมาแล้วไงคะ ช่วงก่อนหน้านี้ที่พอผ่านวันเกิดเสร็จก็ป่วยพอดี อย่างนั้นวันนี้งดของหวานนะคะ” คนเป็นลูกตอบพลางสรุปเสร็จสรรพ

“พลาดซะแล้วเหรอเนี่ย…แต่ไม่เป็นไร เฉาก๊วยชากังราวยังเหลืออยู่ในตู้เย็นถุงหนึ่ง เดี๋ยวเย็นนี้พ่อจะจัดการ”

“โห…พ่อก็…”

“แล้วสรุปว่าวันนี้วันดี…เนื่องในโอกาสอะไรกันล่ะ”

คนถูกถามยิ้มกริ่ม ล้างผักใส่ตะกร้าเรียบร้อยแล้วก็เช็ดไม้เช็ดมือเล่นตัวสักหน่อย เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังจ้องเขม็งรอคอยคำตอบอยู่ด้วยความสนใจก็หลุดขำออกมา

“หนูได้งานแล้วนะคะพ่อ ทางโน้นเพิ่งจะโทรมาวันนี้เอง” เธอพูดจบก็ฉีกยิ้มกว้าง ผู้เป็นพ่อเห็นลูกยิ้มก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม

“งานอะไรเหรอลูก”

“งานผู้ช่วยสไตลิสต์น่ะค่ะ ดูแลด้านเสื้อผ้าให้กับกองถ่ายละคร ยายตาเขารู้จักกับพี่ที่เป็นหัวหน้าสไตลิสต์ พอพี่เขารับงานละครเรื่องใหม่ก็โทรมาหาหนูเลย คงเพราะอยากได้คนช่วยงานเร็วๆ”

“คุ้นๆ แฮะ ใช่ไอ้งานที่ไปสมัครตั้งนานมาแล้ว แต่พอเขาไม่ติดต่อกลับก็เฉาไปพักหนึ่งนั่นรึเปล่า” ได้ยินเช่นนั้นคนฟังถึงกับหัวเราะจนตาหยี

“พ่อจำได้แม่นและละเอียดขนาดนี้เชียว ก็เขาเรียกไปสัมภาษณ์แล้วผ่านมาตั้งนานจนหนูหมดหวังนี่นา แต่ละครเรื่องใหม่นี้เป็นแนวพีเรียด เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายก็ต้องใช้ให้ตรงตามยุคสมัยและศักดิ์ฐานะของตัวละคร ประจวบเหมาะมากๆ เพราะตอนที่สัมภาษณ์ได้คุยกันว่าหนูชอบผ้าไทยโบราณเป็นพิเศษ พี่เขาก็เลยนึกถึงหนูขึ้นมานี่แหละค่ะ” เจ้าตัวเล่าออกมายืดยาวเพราะความตื่นเต้น แม้ว่าจะพูดประมาณนี้กับมารดาไปแล้วรอบหนึ่งก็ตาม

“งั้นก็ดีเลยสิ”

“ไม่ใช่แค่ดีนะคะแต่คือดีมากๆ ต่างหาก” ผู้เยาว์วัยกว่าเอ่ยแก้

“โอเค นี่ถือว่าควรค่าต่อการฉลอง”

สิทธิชัยกล่าวพร้อมยิ้มยินดีแล้วจึงเดินไปนั่งรอที่โต๊ะอาหารอย่างเตรียมพร้อมเต็มที่ ส่วนรัตน์สิกาก็ยกหม้อน้ำซุปที่ตักแบ่งมาเทใส่หม้อสุกี้

“หอมจริงๆ” ชายวัยกลางคนกล่าวตอนที่กลิ่นโชยมาแตะจมูก แต่ก็หยุดชะงักไปเมื่อคำว่า ‘หอม’ หลุดออกมาจากปากราวกับตกอยู่ในห้วงความคิดบางอย่าง

“มีอะไรเหรอคะพ่อ จู่ๆ ก็นิ่งเงียบไป”

“ก็แค่…กำลังนึกถึงความฝันเมื่อคืนน่ะ”

“ฝันอะไรคะ” หญิงสาวถามด้วยความสนใจ เพราะรู้ว่าความฝันของพ่อจะมีสีสันเสมอ ส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องราวที่เป็นลางบอกเหตุ หรืออะไรพิเศษๆ…อย่างที่เธอไม่เคยสัมผัสถึงความรู้สึกแบบนั้นได้เลย

“ฝันว่าได้เจอกับผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นผู้หญิงที่สวยและมีกลิ่นกายหอมมากที่สุด! เป็นกลิ่นอย่างที่ไม่เคยพบไม่เคยเจอมาก่อน”

“เดี๋ยวนี้มีการฝันถึงผู้หญิงด้วยเหรอคะ” ขจีที่กำลังถอดผ้ากันเปื้อนหลังปิดเตาแก๊สเรียบร้อยแล้วเอ่ยขึ้นมาเป็นประโยคแรก น้ำเสียงแกล้งทำเป็นหึงหวงเล็กน้อยจนชายผู้เป็นสามีรีบตอบทันใด

“กลิ่นหอมขนาดนั้นคงไม่ใช่ธรรมดาแล้วล่ะคุณ”

“แล้วไงต่อคะพ่อ” บุตรสาวเพียงคนเดียวของบ้านเร่งเร้า

“ก็ไม่มีอะไรมาก แค่เห็นปุ๊บพ่อก็ยกมือไหว้โดยอัตโนมัติแล้ว”

“พ่อก็ยกมือไหว้ตลอดแหละ คราวก่อนที่ฝันว่าเจอเจ้าที่ก็ไหว้”

“พ่อก็ไม่รู้เหมือนกัน ความฝันมันควบคุมได้ที่ไหนกันล่ะลูก มันคงเป็นจิตใต้สำนึก”

“แล้วได้คุยกันไหมคะ”

“ก็ถามท่านไปว่ามาทำไมเหรอ ท่านก็ตอบว่าแวะมาเยี่ยมเฉยๆ ก็เท่านั้น”

“ว้าว…” รัตน์สิกาอุทานออกมาเบาๆ “หนูอยากมีเซ้นส์แบบพ่อจัง”

“อย่าเรียกถึงขนาดนั้นเลย บางทีหนูอาจจะมีสัมผัสที่หกก็ได้นะ ย่าของหนูก็เป็นถึงร่างทรงของพ่อปู่อัคนิรุทร มันจะไม่ได้เชื้อเชียวรึ เพียงแต่ว่าจะไม่เชื่อถือในสัมผัสด้านนั้นของตัวเองต่างหาก พ่อก็แค่เชื่อในความรู้สึกของตัวเอง กลิ่นหอมที่เหมือนจะเป็นกลิ่นน้ำอบโบราณก็ไม่ใช่ กลิ่นดอกไม้ก็ไม่เชิง คงจะมีคำจำกัดความได้อย่างเดียวว่า…’เป็นกลิ่นที่ไม่มีบนโลกมนุษย์’ เท่านั้นแหละ”

“ถ้าอยากได้สัมผัสที่หกนักก็ไปรับขันธ์ซะสิ” ผู้เป็นมารดาพูดทะลุกลางปล้อง กระทุ้งเข้าจุดที่เป็นปมปัญหาของเธอมานานหลายปี

“แหม…หนูก็พูดไปอย่างนั้นแหละ บางทีถ้าเป็นแบบพ่อแบบย่าหนูคงหัวใจวายตายซะก่อน ดูสิคะแค่คิดก็ขนลุกซู่แล้ว” เพียงแค่พูดยังไม่พอ หญิงสาวยังโชว์เรียวแขนขึ้นประกอบการสนทนาอีกด้วย

“อันที่จริงพ่อก็อยากให้ใบบุญทำตามความต้องการของย่าซะนะ แต่ไหนแต่ไรมาหนูก็กินเนื้อวัวเนื้อควายไม่ได้ กินทีไรก็ป่วยจับไข้ทุกที จนพ่อปู่บอกว่าหนูมีองค์เทพประจำตัวอยู่และกินของพวกนั้นไม่ได้ถึงได้รู้เรื่องรู้ราวกัน ตอนนี้ก็โตแล้วรับครูบาอาจารย์ท่านมาปกปักรักษาตัวเองก็ดี”

“ถูกของพ่อ นี่วันก่อนย่าเขาก็เพิ่งโทรมาคุย…ไม่ใช่อะไรหรอก มันก็มีอยู่เรื่องเดียวเรื่องเดิมนั่นแหละ จะโทรหาเราก็ลื่นไถลไปข้างๆ คูๆ ตลอด นี่ก็ผัดผ่อนมานานหลายปีแล้วนะลูก แม่กับพ่อก็พอจะทำใจได้เรื่องที่ลูกครองตัวเป็นโสดมาอย่างยาวนาน จะไม่มีลูกไม่มีสามีแม่ก็ไม่ว่า แต่อยากจะขอแค่เรื่องนี้จริงๆ ทำให้พ่อแม่ให้ปู่กับย่าหมดห่วงไม่ได้เหรอ”

พูดจบนางขจีก็ใช้สายตาอเนจอนาถใจมองบุตรสาวตั้งแต่หัวจรดเท้า ไล่ตั้งแต่ผมยาวประบ่าซึ่งตอนนี้ถูกรวบไว้ด้วยหนังยางสี ใบหน้าเป็นมันแผล็บเพราะมัวตั้งหน้าตั้งตาทำอาหาร แต่ถึงแม้จะไม่ใช่เพราะสาเหตุนั้นยามปกติเจ้าตัวก็ไม่ใส่ใจจะแต่งหน้าทาแป้งสักเท่าไหร่ เสื้อยืดและกางเกงผ้าฝ้ายขาสั้นพิมพ์ลายดอกไม้ สวมถุงเท้าเพื่อไม่ให้เท้าเปื้อนและป้องกันความเย็นจากพื้นกระเบื้องแทนที่จะใส่รองเท้าสลิปเปอร์

ทำตัวเหมือนยังเป็นเด็กๆ ไม่มีผิด

บุตรสาวของเธอใช่ว่าจะหน้าตาเลวร้าย แต่เป็นเพราะไม่ชอบแต่งเนื้อแต่งตัวและไม่มีจริตจะก้านอย่างที่หญิงสาวในวัยเดียวกันควรจะมีจึงทำให้ดูอ่อนเยาว์มากกว่าที่ควร ทว่าสิ่งที่มีคือความเป็นตัวของตัวเองสูง นิสัยดื้อดึงสะท้อนออกมาจากลักษณะทางกายภาพ เช่น จมูกโด่งปลายเรียวแหลมบวกกับริมฝีปากบางเชิด ความมั่นใจในตัวเองสูงลิ่วจนแม้แต่พ่อและแม่ก็ไม่สามารถไปบังคับให้เธอทำอะไรก็ตามที่ไม่เห็นด้วย

ภาพจากการนัดดูตัวครั้งแรกและเป็นครั้งสุดท้ายนั้นยังคงชัดเจน…สิทธิชัยและขจีต้องเบือนหน้าหนีกันไปคนละทิศละทางพร้อมส่ายศีรษะ

หาผู้ชายมาดูแลไม่ได้ ให้เทพให้เจ้าดูแลก็เชื่อมั่นว่าใบบุญของพวกเขาจะปลอดภัยไปได้ไม่มากก็น้อย!

ใบหน้าของคนถูกมองร้อนวูบขึ้นมาทันที ร่ำร้องอยู่ในใจ วกเข้ามาเรื่องนี้ได้ยังไงเนี่ย! แต่ก็ทำได้เพียงตอบแบบบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น แล้วรีบหาทางเปลี่ยนเรื่อง

“หนูยังไม่พร้อมจริงๆ ค่ะ”

 

เสร็จจากมื้ออาหารแล้วรัตน์สิกาจึงหลบเข้ามาอยู่ในห้องนอน รอให้พ่อกับแม่เธอลืมๆ เลือนๆ เรื่องรับขันธ์ไปสักหน่อย ร่างบางนั่งอยู่บนพื้นเปิดดูรูปถ่ายไปเรื่อยเปื่อยจนมาถึงอัลบั้มที่บรรจุรูปงานพิธีไหว้ครูประจำปีที่บ้านย่า เนื่องด้วยบางรูปถ่ายมาเนิ่นนานแล้วจึงเป็นสีเหลืองกรอบตามกาลเวลา มือเรียวพลิกอัลบั้มผ่านตาไปเรื่อยๆ รูปถ่ายกลับดูคล้ายภาพเคลื่อนไหว สิ่งต่างๆ ยังชัดเจนในความทรงจำคล้ายดั่งย้อนกลับไปในอดีตอีกครั้ง

เสียงปี่พาทย์ดนตรีล้านนาลอยมาแผ่วเบา…

ในวันไหว้ครูประจำปีของตำหนักพ่อปู่อัคนิรุทร ตัวเธอเมื่อครั้งยังเยาว์วัยนั่งอยู่มุมหนึ่งท่ามกลางผู้คนที่หลากหลายแตกต่างกันทั้งเพศ วัย และการแต่งกาย แต่ที่โดดเด่นเห็นจะเป็นผู้คนจำนวนหนึ่งที่สวมชุดขาวห้อยลูกประคำเดินกันขวักไขว่

นางแสงเอ้ยผู้เป็นเจ้าภาพของงานก็เป็นหนึ่งในนั้น นัยน์ตาสดใสกลับยิบหยีเหมือนคนตาฝ้าฟาง หลังก็โก่งค่อมลง เสียงที่นุ่มนวลของสตรีแปรเปลี่ยนเป็นเสียงแหบแห้งของชายแก่ นั่นเป็นลักษณะท่าทางที่บ่งบอกว่าองค์พ่อปู่กำลังลงใช้ร่างอยู่

ผู้เป็นย่าของรัตน์สิกากำลังยืนเด่นท่ามกลางเหล่าร่างทรงซึ่งมีมิตรสัมพันธ์อันดีต่อกัน หลังจากทำพิธีครอบครูให้บรรดาลูกศิษย์รุ่นใหม่แล้วก็ถึงช่วงพิธีชุมนุมเทพที่ลานหน้าบ้าน บนโต๊ะที่ลดหลั่นไล่ระดับกันถูกปูผ้าแดงเอาไว้ รูปเคารพของเจ้าพ่อเจ้าแม่ทั้งหลายตั้งอยู่บนนั้น ชั้นล่างสุดจึงเต็มไปด้วยเครื่องเซ่นไหว้ต่างๆ ทั้งหมู ไก่ ปลา อาหารทะเล ขนมต้มขนมหวาน และผลไม้นานาชนิด

เสียงประทัดดังสนั่นอยู่อย่างยาวนาน สะเก็ดสีแดงของมันปลิวว่อนไปทั่วบริเวณ ร่างทรงคนอื่นต่างร่วมกันทำน้ำมนต์ถังใหญ่ไว้ให้บรรดาลูกศิษย์ลูกหาที่มาร่วมงาน เทียนสีขาวกำใหญ่ถูกจุดขึ้นเกิดเปลวไฟสีแดงฉาน ไฟลุกโชนถูกยัดเข้าไปในปากครู่หนึ่งและเมื่อคายออกมาไฟนั้นก็ยังคงอยู่ แววตาของลูกศิษย์ที่มาร่วมงานล้วนเต็มไปด้วยความนับถือและชื่นชม

ครั้นเสร็จจากการทำน้ำมนต์แล้วก็ร่วมกันร่ายรำไปตามจังหวะดนตรีที่รัวเร็วเร้าใจ เป็นงานสังสรรค์ขององค์เทพและร่างทรงอย่างแท้จริง

เด็กหญิงรัตน์สิกานั่งนิ่งมองความเป็นไปเหล่านั้นอย่างชินชา เธอไม่ได้แปลกใจนักและยังชมชอบในตอนที่พ่อปู่อัคนิรุทรช่วยเหลือคนมากกว่า องค์เทพที่ใช้ร่างของนางแสงเอ้ยในการสะสมบุญบารมีนั้นมีชื่อเสียงในด้านการรักษาคน ในตำหนักของพ่อปู่อัคนิรุทรจึงเต็มไปด้วยพืชสมุนไพร ซึ่งทุกครั้งที่เธอและพ่อแม่กลับมาเยี่ยมปู่กับย่าก็มักจะมาเป็นลูกมือช่วยเสมอ เพราะหากพ่อปู่ช่วยเหลือใครได้ ย่าของเธอที่เป็นร่างทรงก็จะได้บุญด้วยเช่นเดียวกัน เด็กหญิงจึงคิดว่าอยากขอแบ่งบุญมาบ้างสักนิดก็ยังดี

รัตน์สิกายังจำได้ดีในตอนที่มีคนป่วยบางคนมาขอให้ช่วยเหลือ พ่อปู่ก็บอกไปตามตรงว่าคนคนนั้นเป็นโรคภัยไข้เจ็บที่ต้องให้หมอสมัยใหม่รักษาเท่านั้น ในสายตาของเธอจึงมีทั้งความรักและเคารพต่อพ่อปู่อัคนิรุทร…แต่พอโตขึ้นมาเธอก็ไม่ค่อยได้กลับไปร่วมงานไหว้ครูสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะหลังจากเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยแล้วก็ไม่ได้ไปอีกเลย

หญิงสาวหยุดความคิด หวนกลับมาสู่โลกปัจจุบันแล้วถอนหายใจแผ่วเบา ไม่รู้เพราะเหตุใดถ้อยคำเทศนาของพระอาจารย์มนูยังสะท้อนก้องอยู่ในหัว ภาพของวัดกลางป่าพร้อมความรู้สึกสงบสุขเลื่อนมากลบภาพของงานสังสรรค์จนมิด…

สถานที่นั้นต่างหากคือคำตอบที่แท้จริง

 

ร่างบางปิดอัลบั้มรูปแล้วเก็บไว้ที่ชั้นตามเดิม หลังจากนั้นก็ทิ้งตัวลงบนเตียงเพราะจู่ๆ ความอ่อนระโหยโรยแรงก็เข้ามาจู่โจม บอกกับตัวเองว่าคงเป็นเพราะอิ่มมากเกินไปจนเกิดอาการหนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อน…

ไฟในห้องทุกดวงถูกปิดลงแล้ว รอบกายจึงมีเพียงความมืดสลัว สายตามองเห็นเงาตะคุ่มของเครื่องเรือนในห้อง…มืดมัว…ทึมเทา…จนรู้สึกหลอนตัวเองนิดๆ ทั้งที่เป็นบ้านที่เธออยู่มาตั้งแต่เกิด เธอหลับตาลงด้วยความรู้สึกง่วงงุนแต่กลับนอนไม่หลับจึงพลิกตัวไปมาอย่างกระสับกระส่าย ร้อนรุ่มไปทั้งตัวในขณะที่เครื่องปรับอากาศในห้องส่งเสียงดังหึ่งๆ บ่งบอกถึงการทำงานอย่างหนักหน่วง

หญิงสาวพยายามกำหนดลมหายใจบริกรรมพุทโธๆ เหมือนอย่างที่มักจะทำอยู่เสมอเวลานอนไม่หลับ ความสนใจอยู่ที่ลมหายใจของตนทว่าในหูกลับได้ยินเสียงบางอย่าง…เสียงกระซิบกระซาบเหมือนมีคนมาพูดอยู่ริมหูนี่เอง แต่ถึงกระนั้นกลับไม่อาจจำแนกได้ว่าเป็นเสียงอย่างไรและมีถ้อยคำเช่นใด เธอละความสนใจจากจังหวะลมหายใจเข้าออก พยายามเงี่ยหูฟังเพื่อจับใจความแต่ก็ไร้ประโยชน์

พักหนึ่งจึงนึกขึ้นมาได้ว่า…จะมีเสียงอะไรได้ล่ะ มันไม่ได้ดังแว่วมาจากภายนอก เพราะคล้ายจะอยู่ริมหูเธอนี่เอง แต่ยามตั้งใจฟังก็ราวกับจะอยู่ห่างไปไกลแสนไกล

โคมไฟในห้องถูกกดเปิด แสงสว่างสีเหลืองนวลกระจายไปทั่วห้อง รัตน์สิกาลุกนั่งแล้วกวาดสายตาไปรอบๆ พบว่าเสียงนั้นได้เงียบหายไปแล้ว จึงเดินไปเปิดม่านหน้าต่างพลางตั้งใจฟังเสียงภายนอกซึ่งก็มีเพียงความเงียบเป็นคำตอบ

ร่างบางถอนหายใจแล้วเดินกลับมานอนตามเดิม

สงสัยจะหูแว่ว…

เพียงไม่นานหลังจากนั้นหญิงสาวก็สามารถเข้าสู่ห้วงนิทรา แม้จะรู้สึกเหนื่อยแค่ไหนก็พอรับรู้ได้ว่าหลับๆ ตื่นๆ อยู่ทั้งคืน คลับคล้ายคลับคลาว่าเธอฝัน…ฝันเกี่ยวกับอะไรบางอย่าง ครั้นตื่นขึ้นมาเรื่องราวเหล่านั้นกลับเลือนรางจางไปจนไม่อาจจดจำได้เลย

 

สวนสาธารณะมีบรรยากาศแสนร่มรื่น เต็มไปด้วยสีเขียวครึ้มของต้นไม้ใหญ่ซึ่งแผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา แสงอาทิตย์ยามเช้าตรู่ลอดผ่านกิ่งไม้ใบไม้ลงมาได้ไม่มากนัก ทั่วบริเวณจึงดูทึมเทามากกว่าที่ควรจะเป็น เรือนกายสูงใหญ่วิ่งไปตามทางลาดซีเมนต์คดเคี้ยว สองเท้าก้าวเป็นจังหวะไม่ช้าไม่เร็วเกินไป หยาดเหงื่อเกาะพราวอยู่บนใบหน้า หูฟังที่สวมใส่ส่งเสียงเพลงบรรเลงอย่างนุ่มนวลในขณะที่ร่างกายกลับชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ เสื้อยืดสีขาวพอดีตัวเปียกเหงื่อจึงแนบติดเนื้อ สามารถมองเห็นมัดกล้ามของกายแกร่งกำยำได้ดี

ชัชพลชะลอฝีเท้าลงเพราะใกล้จะถึงจุดสิ้นสุดของเส้นทางวิ่งซึ่งจะไปบรรจบที่ทางเข้าออกของสวนสาธารณะ ชายหนุ่มถอดหูฟังแล้วยัดเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงวอร์ม เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งสายตาก็เหลือบไปเห็นเรือนร่างผ่ายผอมของชายชราผู้หนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไป ชายผู้นั้นกำลังนั่งอยู่ใต้ต้นฉำฉา* ต้นใหญ่ และเพราะอีกฝ่ายก้มหน้าอยู่จึงไม่สามารถมองใบหน้าได้ชัดเจน เห็นเพียงผิวสีดำแดงเปลือยกายท่อนบน สวมกางเกงเก่าคร่ำคร่า เขาชะงักมองร่างนั้นอยู่ครู่หนึ่งแต่หลังจากนั้นก็ตัดสินใจก้าวเดินจากไป

เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นทำให้ร่างสูงสลัดความคิดต่างๆ ที่มีในใจทิ้งไป รีบหยิบมือถือในกระเป๋ากางเกงออกมา เมื่อเห็นว่าเป็นใครที่โทรหาก็กดรับสายพร้อมรอยยิ้มเล็กน้อย

“กำลังจะกลับเข้าบ้านแล้วครับคุณยาย”

“อ๋อ…ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวยายตั้งโต๊ะรอเลยนะลูก”

“อยากกินอะไรเพิ่มเป็นพิเศษไหมครับเดี๋ยวผมจะได้ซื้อเข้าไปให้…เอาน้ำเต้าหู้ดีไหม” น้ำเสียงที่กล่าวล้วนเต็มไปด้วยความรักใคร่และห่วงใยฉายชัด

“อย่าเลย นี่ยายทำกับข้าวไว้ตั้งหลายอย่างแล้ว แต่ถ้าศีลจะกินก็ซื้อมาให้ตัวเองเถอะ”

“ผมไม่กินหรอกครับ ถามให้คุณยายเฉยๆ”

“รีบกลับเข้าบ้านมากินข้าวกินปลา แล้วอย่าลืมว่าตอนสายเราต้องไปรับคนที่เขาจะมายืมผ้าที่พิพิธภัณฑ์ด้วย”

“ครับ…ช่วงหลังมานี้คุณยายเตือนผมทุกวัน วันละสามเวลาหลังอาหาร ผมไม่กล้าลืมหรอก”

“เดี๋ยวนี้กล้าล้อผู้ใหญ่เชียวรึ”

ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ พูดคุยกันอีกสองสามคำจึงวางสายไป

ช่วงขายาวก้าวฉับๆ ไปยังซุ้มขายเครื่องดื่มเพื่อซื้อน้ำมาดับความกระหาย พริบตาเดียวที่เงยหน้ากระดกน้ำดื่ม เมื่อก้มลงมาก็เห็นว่าทางขวามือมีร่างของชายชราผิวดำแดงมานั่งไหว้อยู่ข้างๆ ตนเองแล้ว!

น้ำบางส่วนที่อยู่ในปากยังไม่ทันกลืนลงคอแทบจะพุ่งพรวดออกมา จนแม่ค้าต้องเอ่ยถามด้วยไม่เห็นสิ่งใดที่ผิดปกติจนทำให้อีกฝ่ายตกใจได้เลย

“มีอะหยัง** หนุ่ม”

“อ๋อ…พอดีเมื่อกี้รีบดื่มน้ำเลยสำลักครับ”

ชัชพลกล่าวออกไปเช่นนั้นคนถามก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก ร่างสูงหันกลับมามองชายชราที่กำลังนั่งก้มหน้าก้มตาอยู่กับพื้น ยกมือไหว้เขาปลกๆ ไม่ยอมหยุดมือ ใกล้จนเกือบจะเป็นแทบเท้าเขาอยู่แล้ว ชายหนุ่มก้มมองแผ่นหลังเปลือยเปล่าสีเข้มที่เหลือเพียงหนังหุ้มติดกระดูกเท่านั้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกยากจะบรรยาย…

คนหนุ่มที่ต้องถูกชายแก่ชราภาพมานั่งไหว้ตัวเองอยู่อย่างนี้มีใครจะทำใจรับได้บ้าง ถึงแม้จะไม่มีใครเห็นนอกจากเขาก็ตาม…เขาหลับตาแล้วถอนหายใจหนักๆ ทีหนึ่ง ครั้นลืมตาขึ้นมาแล้วจึงรีบหันไปพูดกับแม่ค้าทางด้านซ้ายมือ

“ป้า เอาน้ำเปล่าขวดใหญ่ขวดหนึ่งครับ”

“ดูท่าจะหิวน้ำแต๊* คราวนี้ก็ค่อยๆ ดื่มเน้อ”

* ต้นฉำฉา คือต้นก้ามปูหรือจามจุรี

** อะหยัง แปลว่าอะไร

* แต๊ แปลว่าแท้ จริง

ตอบรับคำไปทีหนึ่งและจ่ายเงินเสร็จแล้วเขาจึงเดินจากมา เว้นระยะจนลับสายตาแม่ค้าก็เปิดฝาขวดน้ำออกแล้วเทน้ำจากขวดลงสู่พื้นดินอย่างเชื่องช้า กล่าวคำอธิษฐานกรวดน้ำออกมาเบาๆ คราวนี้ร่างของชายชราปรากฏขึ้นมาตรงหน้าอีกครั้ง นั่งก้มหน้ารับส่วนบุญที่ชายหนุ่มอุทิศให้ ผิวที่เป็นสีดำแดงค่อยๆ มีประกายขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อย สุดท้ายก็เป็นสีที่สว่างขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า

เมื่อน้ำในขวดหมดลงอีกฝ่ายจึงเงยหน้าขึ้นมานิดหนึ่ง เสมองเฉียดผ่านเรือนกายสูงใหญ่ราวกับอยากจะเห็นผู้ช่วยเหลืออย่างชัดเจนแต่ก็ไม่กล้าจ้องมองตรงๆ ครู่หนึ่งจึงก้มหน้าลงตามเดิม ยกมือไหว้อีกเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อขอบคุณและค่อยๆ เลือนหายไปจากสายตา

ชายหนุ่มกวาดตามองไปทั่วบริเวณนั้น เงยหน้ามองท้องฟ้าด้วยความรู้สึกโล่งใจและอิ่มเอมใจ พลันรู้สึกว่าวันนี้บรรยากาศดูสดใสขึ้นเป็นอย่างมาก

 

พอถึงตอนสายของวัน บรรยากาศต่างๆ ล้วนแจ่มใส ท้องฟ้าเป็นสีฟ้ากระจ่าง อากาศพอเหมาะพอดี บวกกับการได้ช่วยเหลือวิญญาณดวงนั้น ชัชพลจึงรู้สึกอารมณ์ดีเป็นพิเศษ

ชายหนุ่มก้าวเข้าไปในตัวอาคารของสนามบินประจำจังหวัดแห่งหนึ่งในภาคเหนือ แม้จะต้องขับรถมาหลายชั่วโมงเพราะไม่ได้อาศัยอยู่ในอำเภอเมืองแต่เขาก็ถือว่าไม่เหลือบ่ากว่าแรงนัก อีกทั้งเพื่อความสบายใจของคุณยายซึ่งพอทราบว่าคนที่ถูกส่งมาเป็นหญิงสาวตัวคนเดียวก็เป็นห่วงกังวลราวกับอีกฝ่ายเป็นลูกหลานตัวเองเสียอย่างนั้น

ก่อนหน้านี้ชัชพลก็เคยต้อนรับผู้กำกับและทีมงานที่มาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ผ้าโบราณของคุณยายบัวทิพย์และขอความรู้จากผู้เป็นยายของเขาที่เชี่ยวชาญเรื่องผ้าเพื่อนำไปเป็นข้อมูลในการทำละครพีเรียดเรื่องหนึ่ง ในครั้งนั้นก็มีทีมงานที่เป็นผู้หญิงมาหลายคนจึงไม่ทราบว่าคนที่ถูกส่งมาวันนี้เป็นคนไหนกันแน่

เมื่อเครื่องบินลำที่เขามารอได้เดินทางมาถึง ร่างสูงเดินไปยืนอยู่หน้าสุดของราวกั้น ในมือชูกระดาษขนาดเอสี่ที่เขียนชื่อจริงของผู้หญิงคนหนึ่งเอาไว้ นึกขำกับสภาพของตัวเองที่ไม่ต่างอะไรกับพนักงานของโรงแรมที่มารอรับแขกคนหนึ่ง

ผู้คนค่อยๆ ทยอยเดินออกมา…สายตาของเขาสะดุดกับเรือนร่างบางซึ่งสวมกางเกงยีนและเสื้อสีขาวตัวยาวคลุมเข่ายืนรอรับกระเป๋าอยู่ด้านในลิบๆ โน่น

ไม่ใช่หรอก…แค่คล้ายๆ เท่านั้นเอง เขาบอกกับตัวเอง

เมื่อหญิงสาวผู้นั้นเดินออกมาจากประตูแล้วหยุดยืนอยู่ตรงหน้าราวกับตอกย้ำว่าไม่ได้เป็นเพียงภาพฝัน ชายหนุ่มจึงได้แต่หลอกตัวเองว่านี่เป็นเรื่องบังเอิญที่ได้เจอกันเท่านั้น

ใบหน้าของคนมองฉายแววประหลาดใจตอนมองกระดาษเอสี่ที่อยู่ในมือชัชพล เมื่อหญิงสาวชี้ไปที่ชื่อบนกระดาษแล้วชี้กลับมาที่ตัวเองเป็นเชิงบอกว่านั่นคือชื่อของเธอ ความหวังทั้งหมดของเขาก็พังทลายลง!

ใบหน้าหล่อเหลาโดดเด่นค่อยๆ ซีดลงจนเกือบจะไร้สีเลือด อยากหลีกหนีแต่กลับไม่อาจกระทำได้ พอมาถึงตอนนี้ก็เป็นอันรู้กันว่าเขาคงไม่สามารถตัดกรรมที่มีกับผู้หญิงคนนี้ได้ง่ายๆ เสียแล้ว

เมื่อร่างสูงยังคงยืนนิ่งอยู่ อีกฝ่ายจึงทำเช่นเดียวกัน เวลาอาจผ่านไปไม่นานแต่กับเขาแล้วรู้สึกยาวนานราวชั่วกัปชั่วกัลป์กว่าจะสามารถหันหน้ามาทักทายและพูดคุยกับอาคันตุกะได้

“คุณ…ใบบุญ” ชัชพลเอ่ยออกมาช้าๆ รัตน์สิกาจึงส่งยิ้มตามมารยาท

“สวัสดีค่ะคุณศีล ไม่นึกว่าจะได้เจอกันอีกโดยบังเอิญขนาดนี้ สบายดีรึเปล่าคะ”

“ก็ไม่ค่อยสบายเท่าไหร่หรอกครับ”

ชายหนุ่มตอบสั้นๆ หลังจากนั้นจึงคว้าเอากระเป๋าลากซึ่งเป็นสัมภาระเพียงอย่างเดียวของเธอมาแล้วเดินนำไปยังที่จอดรถ ใจจริงเขาอยากจะบอกว่าเริ่มรู้สึกไม่ค่อยสบายตอนเจอหน้าเธออีกครั้งนี่แหละ แต่ก็ทำได้เพียงแค่คิดพร้อมกับใจที่รุ่มร้อน

หากเจอผีเพียงแค่กรวดน้ำให้พวกเขาก็จากไปแล้ว แต่กับผู้หญิงคนนี้…กรวดน้ำขออโหสิแล้วทำไมยังไม่ไปอีก เฮี้ยนเสียยิ่งกว่าผี!

บทที่ 4

เรือนไม้สองชั้นตั้งตระหง่านด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมทรงขนมปังขิง แม้จะผ่านกาลเวลามายาวนาน ทว่าตัวเรือนก็ยังคงความงามเพราะมีสีสันสดใหม่ด้วยสีครีมเหลืองมะนาวโดดเด่นเกินกว่าบ้านหลังอื่นในบริเวณใกล้เคียงกัน ชั้นล่างนั้นถูกทำเป็นพิพิธภัณฑ์ผ้าโบราณ ส่วนชั้นบนเป็นที่อยู่อาศัยของเจ้าบ้านทั้งสอง

“คุณจะเดินดูพิพิธภัณฑ์หรือจะไปพบคุณยายเลย” ชัชพลเอ่ยถามเมื่อลงจากรถแล้ว

“ขอเข้าไปสวัสดีคุณบัวทิพย์ก่อนดีกว่าค่ะ พรุ่งนี้ค่อยดูพร้อมกับคุยงานไปด้วย”

คนฟังถอนหายใจหนักๆ คราหนึ่งเมื่อคิดว่าอีกฝ่ายจะต้องอยู่หลายวัน

“งั้นก็ตามผมมา”

หญิงสาวกัดริมฝีปากพลางมองตามคนตัวสูงที่เดินตัวปลิวเข้าไปก่อน การพบกันอีกครั้งราวกับโชคชะตานำพาทำให้เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหมือนพบ…คนคุ้นเคยกัน

ก็ในเมื่อเธอกับเขาเคยพบกันมาแล้วครั้งหนึ่งที่วัดแล้วจะเรียกว่าคนรู้จักไม่ได้เชียวหรือ

วูบหนึ่งที่เกิดความรู้สึกดีใจอย่างไร้สาเหตุ อาจเพราะอย่างน้อยการมาครั้งนี้ก็ไม่ได้โดดเดี่ยวเกินไปนัก แต่ดูท่าว่าหลานชายเจ้าของพิพิธภัณฑ์จะไม่ได้คิดอย่างเธอ ท่าทีที่อีกฝ่ายแสดงออกมันทำให้เกิดคำถามว่าเธอเคยไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจหรือเปล่าถึงได้เหม็นขี้หน้ากันนัก จนแม้แต่หน้าเธออีกฝ่ายก็ยังไม่อยากจะมองเลย

“ฉันไปทำอะไรให้ไม่พอใจนักหนานะ แล้วชีวิตตอนอยู่ที่นี่จะเป็นยังไงล่ะเนี่ย คงสนุกพิลึกล่ะ…ทนเอาหน่อยแล้วกันนะใบบุญ”

ร่างบางบ่นกับตัวเองอุบอิบ แล้วก็ได้แต่กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามเจ้าบ้านไป

เมื่อก้าวขึ้นบันไดไม้เงาวับซึ่งทอดยาวจึงมองเห็นความงดงามตระการตาที่ซ่อนเอาไว้ หากรูปลักษณ์ภายนอกที่มองเห็นในคราแรกเป็นดั่งยิ้มสดใสที่ยินดีต้อนรับทุกคนที่มาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ การตกแต่งภายในของชั้นบนก็เงียบสงบสมกับเป็นบริเวณพักผ่อน เหมาะกับการอยู่กับตัวเองซึ่งไม่ต้องปรุงแต่ง พื้นและผนังไม้สีน้ำตาลเข้มเปลือยลวดลายวงไม้ การตกแต่งทุกอย่างดูประณีต โดยเฉพาะการทำช่องระบายอากาศรอบโถงชั้นบนด้วยไม้ฉลุลายอย่างละเอียดลออ ลายเครือเถาเกี่ยวกระหวัดกันอย่างอ้อนช้อยจนหญิงสาวผู้มาเยือนจ้องมองไม่วางตา

แสงอาทิตย์ส่องเข้ามาทางประตูระเบียงที่เปิดรับลมสะท้อนพื้นไม้เป็นประกาย กึ่งกลางโถงกว้างมีโต๊ะไม้รับแขกวางเอาไว้ บนเก้าอี้ตัวยาวมีหญิงชราผู้หนึ่งนั่งรออยู่ คุณยายบัวทิพย์มีรูปร่างผอมแห้ง นัยน์ตาภายใต้แว่นตาวงโตนั้นยังคงแจ่มใส แม้จะสูงวัยแล้วแต่ยังสามารถสัมผัสถึงความเป็นสตรีผู้ดีเก่าทุกกระเบียดนิ้ว ขนาดท่านั่งก็ยังเรียบร้อย ยิ่งสวมเสื้อลูกไม้และผ้าซิ่นตีนจกลวดลายดูเลอค่ายิ่งเสริมให้ดูงดงามและสูงส่ง ผู้มาเยือนเห็นเช่นนั้นแล้วจึงไม่แปลกใจเลยที่ชัชพลซึ่งเป็นหลานจะมีรัศมีแปลกแตกต่างเกินผู้คน

“สวัสดีค่ะคุณบัวทิพย์” รัตน์สิกายกมือไหว้ผู้เป็นเจ้าของพิพิธภัณฑ์ผ้าโบราณอย่างนอบน้อม ในขณะที่ร่างสูงเดินเลี่ยงออกไปเพราะหมดหน้าที่แล้ว บัวทิพย์ยิ้มแย้มต้อนรับหญิงสาวผู้มาใหม่อย่างมีเมตตา รับไหว้แล้วจึงบอก

“นั่งก่อนเถอะจ้ะ แล้วก็อย่าเรียกคงเรียกคุณอะไรเลยหนู เรียกยายเฉยๆ ก็ได้”

“ถ้าอย่างนั้นก็พบกันครึ่งทาง หนูขอเรียกคุณยายบัวทิพย์นะคะ” ผู้เยาว์กล่าวอย่างสดใส

“เอาเถอะจ้ะ จะเรียกอะไรก็เรียกเถอะ”

“ขอบคุณมากค่ะที่ให้ที่พัก แล้วยังช่วยเรื่องการเดินทางมาที่นี่ด้วย”

“ไม่เป็นไรๆ คราวก่อนทางคุณผู้กำกับและทีมงานเขามาหาข้อมูลก็ไปเช่าโรงแรมอยู่ในเมือง ตอนจะเดินทางมาหามันก็ไกล หรือถ้ากลับค่ำๆ มืดๆ ก็ลำบาก แถวนี้ถนนหนทางมันเป็นป่าเขาด้วย ยิ่งหนูมาตัวคนเดียวแบบนี้ยิ่งน่าเป็นห่วง”

“ขอบคุณที่เมตตาค่ะ” หญิงสาวยกมือไหว้อีกครั้ง

“อย่าคิดมากเลย แล้วเดินทางมาทำงานไกลๆ คนเดียวแบบนี้ ที่บ้านหนูไม่ว่ารึ” ผู้สูงวัยถามด้วยความเป็นห่วง

“หนูเดินทางบ่อยอยู่แล้วค่ะ” เธอไม่ได้ขยายความว่าแต่ละครั้งที่ออกเดินทางนั้นต้องชักแม่น้ำทั้งห้าสายมาหว่านล้อมพ่อและแม่เธออย่างไร แต่ครั้งนี้ยังดีที่มาเพื่อการทำงาน แถมทางฝ่ายนี้ก็ยังดูแลให้ความสะดวกมากมาย

“อ้อ…จริงด้วยสินะ เด็กสมัยนี้เขาเก่งกันจะตาย ยายก็อดเป็นห่วงตามประสาคนแก่ไม่ได้ ว่าแต่คุณผู้กำกับเขาเป็นอย่างไรบ้าง…งานไปถึงไหนแล้ว”

“พี่พัฒน์สบายดีค่ะ ก็กำลังวุ่นๆ กันอยู่เพราะอีกไม่กี่วันจะจัดฟิตติ้งแล้ว…เอ่อ หนูหมายถึงให้นักแสดงลองเสื้อผ้าและถ่ายรูปเพื่อใช้โปรโมตละครน่ะค่ะ พี่เก๋เลยส่งหนูที่เป็นผู้ช่วยให้มาจัดการเลือกผ้าที่จะยืมไปใช้กับนักแสดงสมทบ”

หญิงสาวกล่าวถึงชื่อของผู้กำกับและหัวหน้าสไตลิสต์ที่เคยเดินทางมาที่นี่แล้วเพื่อขอข้อมูลด้านการแต่งกายของล้านนา และขออนุญาตหยิบยืมผ้าโบราณซึ่งบัวทิพย์เก็บสะสมเอาไว้ รวมถึงผ้าที่ทำเลียนแบบผ้าโบราณให้นักแสดงสวมใส่ หญิงชราฟังเช่นนั้นแล้วก็พยักหน้ารับ

“คราวก่อนทันได้เลือกแค่สำหรับตัวเอกนี่นะ คราวนี้ก็คงไม่มีอะไรมากแล้ว”

“ใช่ค่ะ”

“ตอนนี้ก็เกือบเย็นแล้ว หนูไปดูห้องพักที่จัดไว้ให้ก่อนนะ ขาดเหลืออะไรก็บอก อาบน้ำอาบท่าเสร็จหลังจากนั้นออกมาทานอาหารเย็นด้วยกัน พักให้หายเหนื่อยแล้วค่อยเริ่มงานพรุ่งนี้เถอะ”

รัตน์สิการับคำพร้อมรอยยิ้ม รู้สึกปลาบปลื้มกับความใจดีมีเมตตาของผู้เป็นเจ้าของพิพิธภัณฑ์ผ้าโบราณบัวทิพย์แห่งนี้เป็นอย่างมาก

 

ห้องนอนแขกขนาดพอเหมาะถูกจัดเตรียมไว้ให้แล้ว สภาพภายในห้องดูโล่งกว้างสบายตาด้วยเครื่องเรือนที่มีเฉพาะสิ่งจำเป็น ดวงตากลมโตมองกวาดไปรอบห้อง เห็นเตียงไม้หลังใหญ่จนดูใหญ่ไปนิดสำหรับการนอนคนเดียว มีโต๊ะเล็กๆ ข้างหัวเตียงวางโคมไฟเอาไว้ นอกนั้นก็มีเพียงโต๊ะเขียนหนังสือและตู้เสื้อผ้าเท่านั้น สิ่งต่างๆ ล้วนดูเรียบง่ายลงตัว แต่ความที่พื้นและผนังไม้เป็นสีน้ำตาลเข้มทั้งห้องนี่แหละที่ถูกอกถูกใจเธอนักหนา

ร่างบางเดินไปเปิดหน้าต่างเพื่อรับลมเข้ามาในห้อง สูดเอาอากาศสะอาดสดชื่นเข้าปอดดังเฮือกใหญ่

อย่างกับมาพักผ่อนในรีสอร์ตชัดๆ

หลังจากอาบน้ำและจัดวางข้าวของให้เข้าที่แล้ว หญิงวัยกลางคนซึ่งรัตน์สิกาได้รับรู้ว่าเป็นแม่บ้านของที่นี่ซึ่งทำงานแบบไปเช้าเย็นกลับก็มาเรียกเธอไปรับประทานอาหารเย็นร่วมกันกับเจ้าบ้าน

ช่วงเวลาระหว่างนั้นเป็นไปอย่างเงียบเชียบ ปกติชัชพลเป็นคนพูดน้อยอยู่แล้ว ยิ่งมีรัตน์สิกานั่งอยู่ตรงกันข้ามก็ยิ่งพูดอะไรไม่ออก ส่วนหญิงสาวนั้นได้แต่ก้มหน้าก้มตาตักข้าวใส่ปาก โชคยังดีที่มีคุณยายบัวทิพย์ ทำให้อาหารมื้อนี้ไม่เงียบจนวังเวงเกินไปนัก หลังจากรับประทานกันเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงแยกย้ายกันไปพักผ่อน

ชั้นบนของเรือนไม้นั้นกว้างขวางกว่าที่เห็นในตอนแรก มีการแบ่งพื้นที่เป็นห้องเล็กใหญ่ต่างกันไป รัตน์สิกาเดินไปตามทางเรื่อยๆ ก่อนถึงห้องนอนแขกซึ่งเป็นห้องพักของเธอจะต้องเดินผ่านห้องห้องหนึ่ง แค่เดินเฉียดจากภายนอกก็ทราบว่ามีพื้นที่ด้านในกว้างขวางเป็นอย่างมาก แต่สิ่งที่สะดุดตาหญิงสาวผู้มาใหม่ไม่ใช่ความกว้าง แต่เป็นเพราะติดกันกับประตูไม้ทรงสูงมีอ่างน้ำพุตั้งอยู่ กลางอ่างมีรูปปั้นพญานาคขดหางเป็นวง ชูเศียรอ้าปากกว้างพ่นน้ำออกมา คนมองผงะไปแวบหนึ่งขณะสานสบตากับดวงเนตรสีแดงสดคู่นั้น

ก็แค่รูปปั้นจะตกใจทำไมเนี่ย…ทำเป็นขวัญอ่อนจริง เธอนึกบ่นตัวเองในใจที่ขลาดกลัวจนเกินเหตุ

แล้วขณะกำลังจะเดินผ่านไปหางตาก็เหลือบไปเห็นบางอย่างที่ขดเป็นก้อนอยู่ใต้ฐานของอ่างน้ำพุ โคมไฟที่ติดไว้บริเวณทางเดินส่องแสงสีนวลพอให้เห็นเกล็ดละเอียดเรียงตัวกันเป็นสีดำมะเมื่อมจนเหลือบเขียว

หญิงสาวหลุดเสียงกรี๊ดออกมาด้วยความตกใจ สองขาพานก้าวไม่ออกด้วยเกรงว่าเจ้าสิ่งนั้นจะขยับตามเธอ ทั้งที่คิดว่ากรี๊ดออกมาจนสุดเสียงทว่าสิ่งที่หลุดออกมากลับไม่ดังไม่เบานัก แต่อย่างน้อยก็ส่งไปถึงร่างสูงที่เดินตามหลังมาห่างๆ

“มีอะไรรึเปล่าคุณ”

รัตน์สิกาหันไปมองชัชพลที่เดินเข้ามาหาราวกับสวรรค์มาโปรด หญิงสาวรีบกระโจนเข้าไปหาเรือนกายสูงใหญ่ทันที หลบปราดไปยืนอยู่เบื้องหลังแล้วกอดแขนอีกฝ่ายเอาไว้แน่น ไม่ทันสังเกตอาการตกใจราวกับถูกกระแสไฟช็อตของอีกฝ่าย

“งูค่ะ…งู…” เธอกล่าวพลางดันคนตัวสูงกว่าไปข้างหน้า “ช่วยไล่มันไปไกลๆ ที”

“ผมไม่เห็นอะไรเลย” ชายหนุ่มตอบพลางแกะมือเหนียวหนึบเป็นตุ๊กแกที่เกาะแขนอยู่

“ก็อยู่ใต้อ่างน้ำพุนั่นไง คุณปล่อยให้งูเข้ามาอยู่ในบ้านได้ยังไง นี่มันชั้นสองเชียวนะ” เธอยังคงหลับหูหลับตาชี้ไปยังจุดที่ตนเองเห็น พูดละล่ำละลักขณะกอดรัดท่อนแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม ซุกหน้าลงกับไหล่ของเขาอยู่อย่างนั้น ก็จะไม่ให้ตกใจจนสติแตกได้อย่างไรในเมื่อสิ่งมีชีวิตที่เธอกลัวที่สุดก็คืองูนี่แหละ!

ผู้เป็นเจ้าบ้านสะบัดแขนโดยแรงจนคนตัวเล็กกว่าที่พัวพันอยู่กระเด็นออกไป ก่อนจะตวาดเสียงหนักๆ

“มีงงมีงูที่ไหนกันคุณ ดูดีๆ สิ”

คราวนี้รัตน์สิกาได้สติขึ้นมา ตวัดสายตาไปยังใต้ฐานของอ่างน้ำพุอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้มัน…ว่างเปล่า

“ก็เมื่อกี้…”

“ผมว่าคุณตาฝาดไปแล้ว วันนี้คุณเดินทางมาคงจะเหนื่อย ไปพักผ่อนเถอะ”

ร่างบางมีแต่ความมึนงง ก็ในเมื่อเธอมั่นใจในสิ่งที่เห็นจริงๆ แล้วทำไมงูมันถึงหายไปได้ แต่ความสงสัยก็สลายหายไปเพราะมีเรื่องใหม่เข้ามาแทน

“แล้วทำไมเมื่อกี้คุณต้องสะบัดฉันแรงขนาดนั้นด้วย ดีนะที่ฉันไม่เซไปจนหัวโขกผนัง” เพราะมีประเด็นที่ค้างคาใจกับเขา หญิงสาวจึงอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาให้รู้ดำรู้แดงกันไป

“ใครขอให้คุณตกใจจนเสียสติขนาดนั้น ผมก็แค่ช่วยเรียกสติคุณ”

“ที่คุณทำมันไม่ใช่เรียกสติแล้วค่ะ เขาเรียกว่าขยะแขยง!”

“ผมเปล่านะ คุณพูดเองเออเองทั้งนั้น” ร่างสูงยักไหล่น้อยๆ ตอนนี้เขาอยากจะพักผ่อนเต็มทีแล้ว แต่ดูท่าคนตรงหน้าจะไม่เลิกราง่ายๆ

“ขอโทษนะคะคุณศีล สิ่งที่คุณพูดมากับการกระทำมันต่างกันมาก ตั้งแต่ตอนเจอกันที่วัดโน่นแล้ว ไม่ชักสีหน้าใส่ก็ทำเป็นมองไม่เห็นหัวฉัน ตอนนั้นเพราะต่างคนต่างก็นุ่งห่มผ้าขาว ถือศีลกันอยู่ คุณอาจไม่ต้องการทำจิตใจให้บริสุทธิ์แต่ฉันต้องการ ฉันถึงไม่กล้าพูดอะไรหรอกนะ”

รัตน์สิกาพูดออกมาด้วยความอัดอั้นตันใจ เธอไม่กลัวว่าจะทำให้เขาโกรธ เพราะรู้ดีว่างานของตนเองเกี่ยวข้องกับบัวทิพย์ผู้เป็นเจ้าของพิพิธภัณฑ์ต่างหาก แม้จะรู้จักหญิงชราได้ไม่นานแต่ก็พอรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนมีเหตุมีผล เรื่องของเธอกับชัชพลมันเป็นเรื่องส่วนตัวของเธอกับเขา…พอคำว่า ‘เรื่องส่วนตัว’ ดังขึ้นในหัวหญิงสาวก็อยากจะหน้ามืดเป็นลมขึ้นมาทันที

“พูดจบรึยัง” ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เห็นอีกฝ่ายไม่พูดอะไร หรืออาจจะเพราะพูดอะไรไม่ออกจึงกล่าวต่อ

“อย่างนั้นผมไปนอนละ คุณไม่เหนื่อยแต่ผมเหนื่อย”

คำพูดเรียบเฉยไม่รู้ร้อนรู้หนาวของเขาทำเอาคนฟังโกรธจนหน้าแดงก่ำ ร่างสูงเปิดประตูบานใหญ่ที่มีอ่างน้ำพุอยู่หน้าห้อง เผยให้เห็นห้องนอนกว้างขวางด้านใน ที่แท้เป็นห้องของเขานั่นเอง เมื่อประตูปิดลงหญิงสาวได้แต่กัดริมฝีปากจนห้อเลือดแล้วสะบัดหน้าจากไป

สำหรับรัตน์สิกาแล้วหากใครดีมาเธอก็จะดีตอบเป็นสองเท่า อ่อนโยนมาเธอก็จะอ่อนโยนกลับไป แล้วกับผู้ชายคนนี้จะให้เอาพานดอกไม้ไปถวายเขาหรืออย่างไร…เขาแสดงออกมายังไงก็จะได้กลับไปอย่างนั้นแหละ!

หลังจากที่ร่างบางเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงจากไป ประตูไม้บานใหญ่จึงเปิดอีกครั้ง ชัชพลแอบมองตามหลังอีกฝ่ายครู่หนึ่งจึงหันมามองรูปปั้นพญานาคแล้วพูดออกมาเบาๆ

“ไม่ต้องรับน้องกันแล้วนะ บ้านผมไม่ใช่มหา’ลัยที่จะต้องมีการรับน้องใหม่ด้วย…ปวดหัว”

ฉับพลันนั้นเอง…ปรากฏแสงวิบวับจากรูปปั้นพญานาคราวกับจะกะพริบตาตอบรับ คนมองถอนหายใจหนักๆ ทีหนึ่งแล้วจึงปิดประตูก่อนเดินไปทิ้งตัวนอนลงบนเตียงอย่างหมดเรี่ยวแรง

ไม่ใช่ว่าเขารังเกียจหรือขยะแขยงรัตน์สิกาแต่อย่างใด ทว่าในตอนที่หญิงสาวมาสัมผัสตัวเขา ภาพภาพหนึ่งก็ผุดขึ้นมาให้เห็น นี่ไม่ใช่ครั้งแรก…เพราะเมื่อหลายปีก่อนเขาก็เคยมองเห็นนิมิตนี้ เมื่อนำไปปรึกษาพระอาจารย์มนูก็ได้รับคำตอบสั้นๆ ว่าอาจเป็นบุคคลที่มีกรรมเกี่ยวพันกันมา ชายหนุ่มยังจำความรู้สึกเจ็บร้าวในอกจนแทบระเบิดได้อย่างแม่นยำ หลังจากนั้นจึงกรวดน้ำขออโหสิกรรมเสียยกใหญ่พร้อมกับความโล่งใจด้วยหวังว่าจะสามารถตัดกรรมที่มีแก่กันได้

แต่ทุกอย่างไม่เป็นดั่งใจคิด…หลังจากที่ได้พบเจอเจ้ากรรมนายเวรตัวเป็นๆ เขายังหวังว่าจะตัดขาดกันไปได้ หวนมาเจอกันครั้งนี้นิมิตที่เห็นกลับปรากฏชัดเจนเต็มไปด้วยสีสันประหนึ่งเรื่องจริง ไม่เลือนรางคล้ายภาพฝันเหมือนแต่ก่อนแล้ว

ชัชพลปิดเปลือกตาลง ภาพนั้นยังคงติดตา…

แสงอาทิตย์อ่อนจาง ไม่ทราบว่าเป็นเวลาไหน อาจเป็นตอนเช้าตรู่หรือใกล้พลบค่ำก็เป็นได้ ไม้ฉำฉาขนาดใหญ่โตหลายคนโอบมีกิ่งก้านสาขาแตกย่อยออกไปแผ่กระจายให้ร่มเงาเป็นวงกว้าง พื้นดินใต้ต้นไม้กลับเป็นลานโล่งไม่ปรากฏแม้แต่ต้นหญ้าหรือเศษใบไม้แม้สักชิ้นหนึ่ง

เรือนร่างอรชรที่อยู่ใต้ต้นไม้นั้นยืนหันหลังให้ ผ้าพาดไหล่มีสีเข้มดูเรียบง่ายปักลวดลายเอาไว้เล็กน้อย แต่ที่โดดเด่นเห็นจะเป็นผ้าซิ่นตีนจกสีเหลืองทองอร่ามที่หญิงสาวสวมอยู่ ลายจกงามละเอียดเป็นเอกลักษณ์ เกล้ามวยต่ำแล้วเสียบผมด้วยช่อดอกเอื้องคำ ครู่หนึ่งหญิงสาวผู้นั้นก็หันกลับมาช้าๆ เผยให้เห็นใบหน้ามนและริมฝีปากเรียวบางคลี่ยิ้มตราตรึงใจ ทว่าดวงตาที่ทอดมองมามีแววโศก…เป็นยิ้มที่แสนเศร้าเหลือเกินในความรู้สึกของคนมอง แล้วจึงได้ยินเสียงหวานเอื้อนเอ่ยออกมาว่า…

‘อ้ายน้อย*…’

* น้อย ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงชื่อแต่เป็นคำเรียกนำหน้าชื่อคนที่เคยบรรพชาเป็นเณรมาก่อน ถ้าเคยเป็นพระสงฆ์ใช้คำว่า ‘หนาน’

รัตน์สิกาตื่นขึ้นมารับวันใหม่ด้วยความสดชื่น เนื่องจากได้นอนหลับสนิทจนมารู้สึกตัวอีกทีก็เช้านี้แล้ว ตอนร่วมรับประทานอาหารกับบัวทิพย์และชัชพลที่ยังคงเงียบขรึมเหมือนเดิม สถานการณ์ไม่ดีขึ้นหรือเลวร้ายลง หญิงสาวก็เลยเลือกที่จะเฉยๆ ตอบกลับไปเช่นกัน

หลังจากนั้นหญิงชราอุตส่าห์เป็นคนพาเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ด้วยตัวเอง บริเวณชั้นล่างของบ้านทาสีครีมสว่างต่างจากชั้นบน ผ้าที่จัดแสดงแตกต่างกันไปตามหมวดหมู่ มีจำนวนมากมายจนละลานตาไปหมด บัวทิพย์บอกเล่าเรื่องราวของผ้าประเภทต่างๆ ให้ฟังอย่างละเอียด

“ตรงส่วนนี้เป็นการจัดแสดงผ้าซิ่นตีนจกจ้ะ ตัวผ้าเนี่ยจะแบ่งเป็นสามส่วน คือส่วนหัวซิ่นหรือเอวซิ่นอยู่บริเวณเอวเกือบถึงสะโพก ตัวซิ่นก็คือเชื่อมต่อตั้งแต่หัวซิ่นลงมาจนเกือบถึงชายผ้า และตีนซิ่นคือเชิงชายของผ้า ดังนั้นผ้าซิ่นตีนจกก็คือผ้าที่มีส่วนตีนเป็นลายจกนั่นเอง” บัวทิพย์พูดพลางชี้ให้ดูตามส่วนของผ้าประกอบการอธิบาย คนฟังก็พยักหน้าตามคำบอกเล่า

“อันนี้หนูก็พอจะรู้มาบ้างค่ะ”

ประกายแห่งความชื่นชมเล็กๆ ถูกจุดขึ้นในตาของหญิงชรา หลังจากนั้นครู่หนึ่งจึงกล่าวต่อ

“ลายจกก็จะมีหลากหลายแบบ ตรงหน้าเรานี้เป็นตีนจกไทยยวน เช่นผืนนี้…จกแม่แจ่มที่ขึ้นชื่อของอำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ หรือจะผืนนั้น…จกลับแล อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งลวดลายจกเนี่ยก็จะแตกต่างกันไปตามแต่ละท้องถิ่น มีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง”

“ผ้าซิ่นตีนจกแม่แจ่มนี่คือแบบที่ตัวละครเอกของเรื่องใช้สวมใส่ใช่ไหมคะ”

“ใช่จ้ะ เป็นตีนจกแม่แจ่ม แต่สำหรับผ้าซิ่นของชนชั้นสูงจะมีลวดลายที่สวยงามเป็นพิเศษ มีการสอดดิ้นไหมเงินหรือไหมทองเพื่อความสวยงามอีกด้วย เวลาโดนแสงแดดก็จะเปล่งประกายสวยเชียว…แต่ถ้าเป็นตัวประกอบที่มีสถานะเป็นข้ารับใช้หรือชาวบ้านทั่วไปที่หนูต้องมาเลือกผ้าให้ก็จะใช้ผ้าลายธรรมดาไม่มีการต่อตีนจก”

“การมาทำงานครั้งนี้น่าสนุกจริงๆ เลยค่ะ แถมยังได้ความรู้เรื่องผ้าเยอะมาก” หญิงสาวบอกด้วยรอยยิ้ม

“แต่ตอนนี้มาชมพิพิธภัณฑ์ให้เห็นภาพรวมกันก่อนนะ แล้วค่อยทำงานจริงๆ จังๆ เดี๋ยวเราไปส่วนต่อไปกันเลยดีกว่า”

ร่างผอมแห้งทว่ายังดูแข็งแรงของคุณยายบัวทิพย์เป็นฝ่ายนำไปก่อน แขกผู้ได้รับเกียรติเป็นพิเศษก็เดินตามต้อยๆ เมื่อเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์เกือบทั่วแล้วจึงนึกบางอย่างขึ้นมาได้

“จริงๆ แล้วคุณยายอู้คำเมืองก็ได้นะคะ พอดีว่าญาติทางฝั่งพ่อของหนูก็เป็นคนเหนือกันหนูเลยพอจะฟังรู้เรื่อง เพียงแต่ไปโตที่กรุงเทพฯ ก็เลยพูดไม่ได้เท่านั้นเอง สำเนียงมันไม่เป๊ะน่ะค่ะ”

หญิงสาวบอกผู้สูงวัยยามนึกขึ้นได้เพราะเห็นคนรายรอบตัวของบัวทิพย์ทั้งแม่บ้านวัยกลางคนและเด็กสาวที่คอยดูแลพิพิธภัณฑ์ต่างก็พูดคุยกันเป็นภาษาท้องถิ่น อีกฝ่ายได้ยินเช่นนั้นแล้วจึงบอก

“ยายพูดเหนือไม่ได้หรอก”

“อะไรนะคะ” คนถามมีสีหน้าแปลกใจ

“เราสองคนมีความเหมือนที่แตกต่างกันนะหนูใบบุญ เพราะยายเป็นคนกรุงเทพฯ แต่มาอยู่ทางเหนือ ส่วนหนูเป็นคนเหนือแต่ไปอยู่กรุงเทพฯ สวนทางกันเสียอย่างนั้น”

“จริงเหรอคะ หนูนึกว่าคุณยายเป็นคนเหนือซะอีก เห็นมีความรู้เรื่องผ้าโบราณโดยเฉพาะผ้าของทางภาคเหนือ”

“หลังจากแต่งงานกับตาของศีลเขา ยายก็ย้ายขึ้นมาอยู่ที่นี่ซึ่งเป็นบ้านเกิดของสามี อยู่มานานจนฟังคนอื่นเขาพูดได้เข้าใจทุกคำ เพียงแต่พูดยังไงก็พูดไม่ได้ สำเนียงมันไม่ได้แบบหนูว่านั่นแหละ ศีลก็เลยติดพูดไทยกลางกับยายทุกคำ”

“อ้อ…อย่างนั้นเหรอคะ” หญิงสาวนึกถึงใบหน้าแสนโดดเด่นนั้นโดยอัตโนมัติ คนที่แม้จะพยายามสลัดออกจากสมองเท่าไหร่ก็ไพล่จะคิดคำนึงถึงอยู่ตลอดเวลา…เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เธอต้องสะบัดศีรษะไล่เขาออกไปจากหัว

หลังจากที่บัวทิพย์ได้รู้ว่ารัตน์สิกาเป็นคนเหนือโดยสายเลือดแท้ๆ ก็ให้รู้สึกถูกชะตายิ่งกว่าเดิม คำพูดจาก็เป็นกันเองราวกับรู้จักกันมาเนิ่นนาน จนหลานตัวจริงที่เดินผ่านมาเห็นสายตาของผู้เป็นยายที่มองอีกฝ่ายด้วยความเมตตา พร้อมกับเสียงหัวเราะของสตรีทั้งสองดังประสานกันยังอดไม่ได้ที่จะแอบหมั่นไส้หลานคนใหม่

 

ชัชพลออกไปทำธุระข้างนอกเสร็จแล้วจึงกลับเข้าบ้านอีกครั้ง ปกติแล้วช่วงบ่ายแบบนี้คุณยายของเขามักจะเอนหลังอยู่ในห้อง เขาจึงคิดจะไปประจบเอาใจตามประสาหลานรักเสียหน่อย แต่ทว่า…ในวันนี้ห้องนอนของหญิงชราที่ควรจะเงียบเชียบมีเสียงหัวเราะแว่วออกมาเบาๆ คิ้วหนาขมวดนิดหนึ่ง หลังจากเคาะประตูสองสามครั้งและได้ยินคำอนุญาตจึงผลักประตูเข้าไป

หญิงสูงวัยนั่งพับเพียบอยู่บนพื้นเพียงคนเดียว รอบกายเต็มไปด้วยผ้าทอพื้นเมืองพับไว้เป็นกองๆ แยกตามลักษณะของผ้า ร่างสูงทรุดตัวลงนั่งบนพื้นแล้วจึงเอ่ยถาม

“ทำอะไรอยู่เหรอครับคุณยาย”

บัวทิพย์ไม่ทันตอบคำเพราะหันไปทางมุมหนึ่งของห้องเสียก่อน

“เสร็จรึยังหนูใบบุญ”

ชายหนุ่มกำลังเริ่มรู้สึกไม่พอใจนิดๆ ที่ยายพาคนเพิ่งรู้จักเข้ามาในห้องนอนอันถือเป็นพื้นที่ส่วนตัว แต่เมื่อหันไปมองตามทิศนั้นก็เห็นเรือนร่างบอบบางดั่งเทวดาปั้นแต่งผลุบโผล่ออกมาจากฉากกั้นสำหรับเปลี่ยนเสื้อผ้า สะกดสายตาเขาเอาไว้ทั้งที่ใจอยากเบือนหน้าหนีมากมายแค่ไหนก็ตาม

ดวงตาคู่คมฉายแววตื่นตะลึงยามจ้องมองสตรีในชุดโบราณ โดยเฉพาะท่อนล่างซึ่งเป็นผ้าซิ่นสีและลวดลายเดียวกันกับผู้หญิงที่เขาเคยเห็นในนิมิต!

แค่ใบหน้าเหมือนไม่พอ เธอยังต้องมาแต่งตัวเหมือนอีก ชัชพลรู้สึกว่านี่จะเป็นตลกร้ายเกินไปแล้ว แต่ครั้นผู้สูงวัยเอ่ยถามว่าสวยไหมเขาก็ทำได้เพียงพยักหน้าและตอบไปตามตรง

“ก็…สวยครับ”

คราวนี้เป็นฝ่ายรัตน์สิกาบ้างที่รู้สึกแปลกใจเพราะไม่คิดว่าจะได้ยินถ้อยคำกึ่งๆ คำชมจากผู้ชายที่แสนเย็นชาคนนี้ ใบหน้าพลันขึ้นสีระเรื่อในทันทีจนต้องปรามตัวเองในใจว่าอย่ารู้สึกโอเวอร์ไป บางทีคนพูดหน้าตายอย่างนั้นอาจไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าตัวเองพูดอะไรออกมา

“เห็นไหมล่ะจ๊ะ แม้แต่ตาศีลยังบอกว่าสวยเลย รายนี้น่ะเขาเป็นคนตรงๆ ถ้าไม่สวยจริงต่อให้เอาอะไรมาง้างปากก็ไม่มีทางพูด ดังนั้นถ้าเขาบอกว่าสวยก็เชื่อได้เลยว่ามันเป็นความจริงแน่นอน”

บัวทิพย์กล่าวด้วยน้ำเสียงชื่นชม ริมฝีปากบางของคนฟังเผยยิ้มออกมาอย่างไม่อาจห้ามได้ หญิงสาวค่อยๆ นั่งลง ลูบไล้เนื้อผ้าและลวดลายตรงชายผ้าแก้เขิน หลังจากนั้นจึงเสไปเรื่องอื่นแทน

“ผ้าผืนนี้สวยมากเลยค่ะคุณยาย สวยยิ่งกว่าผ้าผืนไหนที่หนูเคยเห็นมาเลย โดยเฉพาะลายจกที่สวยเด่นมาก”

“จริงๆ ผ้าลายนี้ถือว่าเป็นลายประจำอำเภอของเราเลยนะนี่”

“นี่มัน…เป็นรูปนกใช่ไหมคะ” หญิงสาวถามเมื่อสังเกตลวดลายของตีนจกอย่างละเอียด

“ช่างสังเกตนักนะ นั่นเป็นลายที่ชื่อว่านกกินน้ำร่วมต้น…ทุกลวดลายของผ้าตีนจกมีชื่อทั้งนั้นแหละหนู” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายสนใจผ้าผืนนี้เป็นพิเศษบัวทิพย์จึงขยายความต่อ

“ลายจกนี้เป็นลายโบราณที่หาคนทำได้ยากมาก สุดท้ายเหลือคนทอเป็นแค่คนเดียวจนเกือบจะหายสาบสูญไปแล้ว เพิ่งไม่นานนี้เองที่มีการสานต่อเพราะทางการสนับสนุนให้คนทอผ้าไปเรียนทอลายนี้เพิ่ม ในที่สุดผ้าซิ่นตีนจกลายโบราณนี้ก็กลายเป็นลายประจำอำเภอเรา”

“โชคดีจริงๆ ที่มีคนทำต่อ ไม่อย่างนั้นคงน่าเสียดายแย่นะคะ”

“ถ้าเสร็จงานแล้วหนูยังพอมีเวลาก่อนกลับ ยายจะชวนไปเที่ยวหมู่บ้านที่มีการทอผ้าตีนจกชนิดนี้แล้วกันนะ”

หญิงชรามองใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพราของหญิงสาวที่ก้มมองลายผ้าตีนจกด้วยสายตาหลงใหลก็ให้รู้สึกรักใคร่มากกว่าเดิม

หาคนพูดคุยถูกคอกันได้มันมีความสุขแบบนี้นี่เอง

ชัชพลแกล้งส่งเสียงกระแอมเพื่อแสดงตัวตน ยายของเขาถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีหลานอีกคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงนี้

“อ๊ะ…ว่าไงลูก”

กว่าบัวทิพย์จะหันมาสนใจ ชายหนุ่มก็หมดอารมณ์ที่จะพูดเสียแล้ว…

 

สายลมยามราตรีพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง แต่กระนั้นก็มิอาจบรรเทาความร้อนรุ่มในใจแปลกๆ ที่เกิดขึ้นกับชัชพลได้ ร่างสูงใหญ่กระสับกระส่ายอยู่ในห้องนอน ล้มตัวลงนอนแล้วลุกขึ้นมาใหม่สลับกันไปอย่างไม่อาจหยุดนิ่งได้ ครั้นหันมองนาฬิกาก็พบว่าล่วงเข้าวันใหม่แล้ว

ชายหนุ่มเดินมาหยุดยืนตรงหน้าต่าง มองไปยังพระจันทร์ที่งดงามกระจ่างตาด้วยว่าใกล้คืนเพ็ญ ปล่อยความคิดไปเรื่อยเปื่อยจนไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าใด สายลมกระโชกแรงมาวูบหนึ่งทำเอาต้นไม้สั่นไหวเอน หางตาของเขาจึงเหลือบไปทางต้นพิกุลหรือที่ทางเหนือเรียกกันว่าดอกแก้ว…ดอกใบร่วงพรูตามแรงลม พัดพลิ้วปลิวกระจาย ทว่าสายตาสะดุดกับรูปเงาดำมืดที่ยืนอยู่นอกเขตรั้วบ้าน แม้บริเวณนั้นจะไร้ซึ่งแสงไฟส่องให้เห็นชัดเจน แต่ความมืดทะมึนของเงานั้นกลับดูแตกต่างออกไป รูปร่างผอมบางถูกปกคลุมด้วยกลุ่มควันสีดำราวกับกำลังปิดบังตัวตนไว้จนยากจะมองออกชัดเจน สายตาคมกล้าจึงเห็นอีกฝ่ายได้อย่างเลือนรางเท่านั้น

แปลก…

เงาร่างนั้นยังคงยืนนิ่งโดยไม่ยอมเคลื่อนไหวหรือจากไปไหน สำหรับคนที่มักจะมีวิญญาณมาขอความช่วยเหลืออย่างเขาแล้ว การปรากฏตัวในยามค่ำคืนแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ส่วนใหญ่ล้วนมีความต้องการมาขอให้ช่วย เปิดเผยตัวและบอกเป้าหมายชัดเจน หรือหากเป็นวิญญาณเร่ร่อนทั่วไปก็จะไม่ยอมเข้าใกล้เขาเด็ดขาด…ไม่ใช่แบบนี้

แอ๊ด…

เสียงประตูห้องข้างๆ เปิดออกท่ามกลางความเงียบงันยามค่ำคืน ชายหนุ่มรู้สึกเอะใจเล็กน้อยเพราะรู้ดีว่าห้องของรัตน์สิกามีห้องน้ำอยู่ในตัว แล้วหญิงสาวจะออกไปไหนเสียได้ล่ะ…ร่างสูงจึงเดินมาแง้มประตูดูก็เห็นอีกฝ่ายกำลังเดินลงบันไดไป

ดึกดื่นค่อนคืนแบบนี้จะไปไหนกัน

สังหรณ์บางอย่างสั่งให้เขาเดินตามออกไปห่างๆ มองดูคนที่กล้าก้าวออกจากเรือนไม้หลังงามโดยไม่มีทีท่าฉุกใจคิดด้วยซ้ำ ท่ามกลางความมืดสลัวภายนอก…ไฟที่ติดเอาไว้หน้าพิพิธภัณฑ์ติดๆ ดับๆ ทั้งที่ยังเคยส่องสว่างได้ดี จะมองซ้ายมองขวาก็มีเพียงความมืด ควรหรือที่หญิงสาวคนหนึ่งจะเดินดุ่มๆ ท่ามกลางบรรยากาศเช่นนั้นโดยไม่นึกขลาดกลัวเลย

สายลมพัดกระโชกแรงพาเอาผมยาวประบ่าซึ่งไม่ได้รวบไว้นั้นกระจายปกปิดทั้งใบหน้าจนไม่น่าจะมองเห็นอะไรด้วยซ้ำ ชายเสื้อผ้าสะบัดพึ่บพั่บ และร่างบางแทบจะปลิดปลิว แต่เธอก็ยังคงไม่มีท่าทางจะสนใจ

นั่น!…

เงาดำทะมึนที่ชัชพลมองเห็นแต่แรกบัดนี้ได้มาหยุดยืนรออยู่บริเวณรั้วหน้าบ้าน และดูราวกับจะเป็นเป้าหมายสุดเส้นทางเดินของรัตน์สิกา กลิ่นอายความชั่วร้ายปกคลุมไปทั่ว หมอกควันสีดำแผ่กระจายออกมาจากเงามืดที่อยู่นอกเขตรั้ว พยายามจะลามเลียเข้ามาเกาะร่างของหญิงสาวเสมือนดั่งมือที่พยายามจะเหนี่ยวรั้งร่างบางให้ออกไปได้เร็วดั่งใจนึก ทว่าเมื่อกลุ่มควันข้ามผ่านเข้ามาในเขตบ้านแล้วก็ราวกับโดนลมพัดให้ลอยฟุ้งและกระจายหายไป

อีกเพียงไม่กี่ก้าวรัตน์สิกาก็จะพ้นเขตรั้วบ้านออกไปแล้ว…แปดก้าว…เจ็ดก้าว…หกก้าว…

“ฮิๆๆ…”

เสียงหัวเราะแหลมเล็กราวกับสาสมใจในบางอย่างของสตรีแว่วมากระทบโสตของชัชพล ผู้สังเกตการณ์ไม่อาจเสี่ยงปล่อยให้หญิงสาวออกไปนอกอาณาเขตบ้านแม้จะอยากรู้นักว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

“ใบบุญ!”

ครั้นเสียงกร้าวเปี่ยมอำนาจตะโกนออกไป แผ่นหลังบอบบางก็สะท้านเฮือกคราหนึ่งราวกับหลุดจากภวังค์พร้อมกับที่เงาดำทะมึนอีกฟากฝั่งนั้นเลือนหายไป หญิงสาวค่อยๆ หันมาตามเสียงเรียกอย่างเหม่อลอย

ชายหนุ่มก้าวฉับๆ เข้าไปหา ยามเขาจ้องมองดวงตาของอีกฝ่ายก็พบกับนัยน์ตาที่ไร้แววคล้ายถูกม่านหมอกมัวบดบังเอาไว้ ชั่วครู่ที่เจ้าตัวกะพริบตาปริบๆ สองสามครั้งราวกับกำลังเรียกสติ ความมืดมัวในตาจึงจางไป และพบกับดวงตาที่ใสเป็นประกายเหมือนเช่นคนปกติ

“อ๊ะ…” เธออุทานออกมาเบาๆ

“คุณจะไปไหน” เขาถามเสียงเข้ม หากเป็นเวลาปกติรัตน์สิกาคงจะคิดกับตัวเองว่าน้ำเสียงนั่นไม่ต่างอะไรกับการที่พ่อกำลังดุลูกสาวที่ทำตัวไม่ดีไม่งามอยู่ ทว่าในตอนนี้…

“เอ่อ…คือ…ฉัน…”

ในขณะที่เจ้าตัวได้แต่ทำเสียงอือๆ อาๆ และดูเหมือนจะยังไม่สามารถรวบรวมความคิดกลับมาได้ง่ายๆ สายตาคมก็ตวัดใส่หญิงสาวทีหนึ่ง ก่อนที่ชัชพลจะคีบชายเสื้อของเธอแล้วลากตัวเข้าบ้านไป

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

หน้าที่แล้ว1 of 14

Comments

comments

Jamsai Editor: