X
    Categories: กลรักดอกท้อทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่านนิยาย กลรักดอกท้อ เล่ม 1 บทที่ 3

หน้าที่แล้ว1 of 7

บทที่ 3

 

วันเวลาในปราสาทเขาชิงอวี้มิอาจกล่าวได้ว่าไม่ดี แต่ก็มิได้สุขสำราญ ในเมื่อต้วนฉางยวนไม่โปรดปรานนาง ผู้อยู่ใต้ล่างไฉนเลยจะทุ่มเทแรงกายแรงใจให้

แน่นอน อาหารการกินเสื้อผ้าแพรพรรณไม่ขาดตกบกพร่อง ทว่าดีไม่ดีนั่นอีกเรื่องหนึ่ง

กับข้าวสามน้ำแกงหนึ่ง ในกับข้าวมีเนื้ออยู่ไม่มาก รสชาติยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง จืดชืดไร้รสขาดการพลิกแพลง ไร้ซึ่งอาภรณ์อันหรูหราหรืออาหารรสดี แต่ไม่ทำให้นางต้องอดตาย กล่าวอย่างชัดแจ้งว่าเลี้ยงนางไว้ดังเลี้ยงคนพิการคนหนึ่ง

จากภายนอกพวกเขาไม่อาจทำอะไรนางได้ ทว่าในทางลับแล้วลูกเล่นในการกลั่นแกล้งผู้อื่นไม่น้อยเลยทีเดียว

อย่างเช่นแอบใส่สลอดในน้ำชา วางเข็มเงินในรองเท้าปักของนาง หรือทาน้ำมันไว้บนบันไดหน้าห้อง ล้วนเป็นลูกเล่นการแกล้งคนเล็กๆ น้อยๆ

นางเชิดจมูกใส่อย่างดูแคลน คนพวกนี้วางมาดว่าเป็นฝ่ายธรรมะ แต่กลับใช้ลูกไม้ตื้นๆ ไม่ได้เรื่องเช่นนี้ นางอยากหัวร่อให้ฟันหลุดเสียจริง

พวกเขาไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วนางเป็นสตรีแสนซุกซน ลูกเล่นของนางมากเสียยิ่งกว่า ย่อมไม่เสียเปรียบไปโดยปริยาย ลูกไม้ที่พวกเขาใช้จึงไม่เคยได้ผลเลย

นอกจากคิดร้ายต่อนางแล้วบ่าวรับใช้พวกนี้ยังจงใจเพิกเฉย อย่างเช่นส่งอาหารให้ช้ามาก ไม่มีใครช่วยเทกระโถนถ่ายให้ ชาก็เย็นเฉียบ เสื้อผ้าที่ส่งซักกลับมาก็มีกลิ่นประหลาด อวี๋เสี่ยวเถายิ้มเย็นให้เรื่องเหล่านี้ นางคร้านจะถือสา มุ่งมั่นตั้งใจโคจรลมปราณเพียงอย่างเดียว รู้ดีว่ามีเพียงฟื้นคืนวรยุทธ์เท่านั้นจึงจะเปลี่ยนแปลงสภาพในตอนนี้ได้ และนางก็ไม่ร้องขอให้ผู้คนในปราสาทเขาชิงอวี้ต้องทำดีกับนาง นางดูแลตนเองได้

ทว่านางก็เข้าใจสัจธรรมอีกประการหนึ่ง การปล่อยปละละเลยเพียงครั้งย่อมทำให้ผู้อื่นคิดว่ารังแกนางได้ง่ายจนปีนขึ้นมาเหยียบอยู่บนศีรษะ ดังนั้นวันหนึ่งบนเตียงนอนของนางจึงปรากฏงูพิษตัวเล็กตัวหนึ่ง นางเพียงเลิกคิ้วสูง จับงูเล็กตัวนั้นไว้ในมือ

ประเสริฐมาก นางไม่สำแดงอำนาจบารมีก็เห็นว่าเป็นแมวป่วย ในเมื่อพวกต่ำทรามนี้ชอบเล่นแผลงๆ นางก็จะเล่นเป็นเพื่อนจนถึงที่สุด

นางไม่เพียงแต่จับงูขึ้นมาเล่นอย่างเพลิดเพลินต่อหน้าทุกคน ให้พวกเขารู้ว่านางไม่กลัวงูแม้แต่นิดเดียว หลังเสร็จเรื่องแล้วยังแอบใช้ขลุ่ยผึ้งล่อผึ้งดำมาอีกฝูงหนึ่ง ต่อให้เป็นผู้ที่มีวรยุทธ์สูงส่งก็หลบผึ้งต่อยไม่พ้น ไม่ว่าผู้ใดถูกต่อยก็จะมีไข้สูงสามวัน เจ็บปวดไปทั้งร่าง ทุกข์ทรมานไม่คลาย

ตั้งแต่เล็กนางฝึกฝนทางยาและทางพิษ ไม่เพียงรู้ซึ้งถึงพิษของพืช แต่ยังรู้ซึ้งถึงพิษของพันแมลงร้อยสัตว์ป่า นางไม่ลงมือก็แล้วไป ถ้าลงมือขึ้นมาก็จะโจมตีจนฝ่ายตรงข้ามร่วงโรยราวกลีบบุปผาปลายฤดูใบไม้ผลิ*

จู่ๆ ก็มีผึ้งดำกลุ่มหนึ่งโผล่ขึ้นมาที่เรือนเซียงสุ่ยอย่างกะทันหัน ไม่ว่าบินไปที่ใด ไม่มีผู้ใดพ้นเคราะห์ บางคนถูกต่อยจนปุ่มปมขึ้นเต็มหน้า บางคนหน้าบวมเป่งผิดรูปไปจนสิ้น ที่ร้องก็ร้อง ที่หนีก็หนี พริบตาเดียวก็มีคนถูกต่อยจนล้มป่วยถึงสามสิบกว่าคน

เรื่องนี้ทำให้ต้วนฉางยวนตระหนก รีบรวบรวมกำลังพลล้อมกันเรือนเซียงสุ่ยไว้ทันที แต่ละคนถือคบเพลิงเร่งรุดมายังเรือนเซียงสุ่ยทั้งกลางวันแสกๆ

* กลีบบุปผาปลายฤดูใบไม้ผลิ เป็นสำนวน ใช้บรรยายถึงสภาพความเปลี่ยนแปลงของดอกไม้ที่เริ่มร่วงโรยในปลายฤดูใบไม้ผลิ ในที่นี้ใช้อุปมาว่าพ่ายแพ้อย่างราบคาบ

ต้วนฉางยวนและบริวารที่เขาพามาล้วมคลุมผ้าสีดำบนศีรษะ สองมือสวมถุงมือหนัง ทั้งร่างห่อพันอย่างมิดชิด บนร่างยังรมด้วยกลิ่นหอมไล่แมลง

คนแถวหนึ่งซึ่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเขาล้วนเป็นคนสุขภาพแข็งแรงกำยำในยามปกติ อาจเป็นเพราะถูกผึ้งต่อยไม่มากจึงยังฝืนร่างไม่ให้ล้มลงได้ ทว่าบนใบหน้า ลำคอ และที่มือแต่ละคนล้วนบวมเป่ง ความน่าเกรงขามถูกแทนที่ด้วยความน่าอนาถ

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น”

“เรียนท่านประมุข ไม่รู้ว่าผึ้งดำมาจากที่ใด มาเป็นกลุ่มใหญ่ พอเจอคนก็ต่อย”

ผู้ที่ตอบเขาคือจ้าวหรานซึ่งเป็นผู้พิทักษ์ทิศตะวันตกเฉียงใต้ เนื่องจากเนื้อบนจมูกบวมปูด ใบหน้าน่ามองของเขายามนี้จึงดูน่าตลกขบขัน ทำให้ผู้คนด้านหลังต้วนฉางยวนหลายคนพอเห็นแล้วก็รีบอุดปากกลั้นหัวเราะ

ต้วนฉางยวนเห็นสภาพดูไม่จืดของจ้าวหรานก็ขมวดคิ้วมุ่น

“ผึ้งดำเล่า?”

จ้าวหรานยิ้มแหย “ตอนมามาเป็นกลุ่มใหญ่ ตอนนี้กลับบินหายไปไม่เหลือสักตัว คิดจะจับก็จับไม่ได้”

“หรูฉิง หรูอี้ อาหญิงหลิน ป้าชุย สือเอ๋อร์ เสี่ยวจาง ยังมีสู่เหล่าซาน พวกเขาถูกต่อยสาหัสที่สุด ล้วนนอนไข้ขึ้นสูงอยู่บนเตียง คนอื่นแม้ยังพอเดินได้ แต่ส่วนที่ถูกต่อยร้อนดังไฟแผดเผา ทรมานยิ่ง”

หลังต้วนฉางยวนได้ฟังแล้วก็สั่งกำชับออกไปเป็นข้อๆ เร่งส่งท่านหมอมา จากนั้นให้หวังสยงพ่อบ้านใหญ่เร่งรุดไปยังห้องยาของปราสาทเขา กำชับให้ท่านหมอหลิวเหรินรีบเคี่ยวปรุงยาถอนพิษแล้วให้ทุกคนดื่ม อีกทั้งเตรียมผงไล่แมลงปริมาณมากพร้อมน้ำสาดพรมทุกหนแห่งเพื่อกันผึ้งดำโจมตีอีกครั้ง

ผู้คนในปราสาทเขามีมาก ห้องยาในยามปกติล้วนเตรียมสมุนไพรชั้นดีไว้พร้อม ต้วนฉางยวนเคยนำกองกำลังส่วนตัวเข้าร่วมกับราชสำนักปราบปรามความวุ่นวาย ผ่านเขตโรคระบาด รู้ดีถึงความน่าสะพรึงกลัวหากโรคร้ายลุกลาม ดังนั้นในห้องยาจึงไม่เคยขาดแคลนยาสมุนไพรล้ำค่านานาชนิด

เขารู้สึกสงสัย ในปราสาทเขาไม่เคยถูกผึ้งดำโจมตี อีกทั้งคนที่เขาส่งไปไม่ว่าจะหาอย่างไรก็หาที่ทำรังของผึ้งไม่พบ เรื่องนี้ช่างน่าประหลาดนัก

เหมือนเขานึกอะไรขึ้นได้ จึงถามออกมาคำหนึ่งว่า

“นางเล่า?”

จ้าวหรานเงยหน้า สีหน้าอึดอัดใจ ในชั่วขณะไม่เข้าใจว่าท่านประมุขถามถึงผู้ใด เป็นเซียงเอ๋อร์สาวใช้ที่อยู่ข้างตัวที่ตอบสนองได้ฉับไว รีบตอบว่า

“อยู่ในเรือน มิได้ออกมา”

ว่าไปแล้ว ท่านประมุขมาถึงเรือนเซียงสุ่ย ทุกคนต่างรีบออกมาพบ มีเพียงสตรีผู้นั้นที่ไม่ปรากฏตัว ทุกคนต่างคิดในใจว่านางคงถูกผึ้งดำต่อยจนล้มป่วยอยู่เป็นแน่

ต้วนฉางยวนเบือนหน้ามองไปทางเรือนพำนักนั้น เขาไม่ได้เหยียบย่างมาที่นี่หนึ่งเดือนแล้ว ลังเลอยู่พักหนึ่งก็ก้าวยาวเดินไปทางนั้น ผลักประตูให้อ้าออกแล้วก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไป

ที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คืออวี๋เสี่ยวเถากำลังนั่งอยู่บนเตียง เมื่อเขาเข้ามานางก็เงยหน้ามอง ดวงตาคู่นั้นระยิบระยับมีชีวิตชีวา ไม่ลนลานแม้เพียงนิด เมื่อเห็นเขาก็ไม่ขึ้นหน้ามาทักทายตามมารยาท เอาแต่นั่งอย่างเอ้อระเหยอยู่บนเตียง

ต้วนฉางยวนหรี่ตามองประเมินนาง

“ผึ้งดำบุกมาต่อยคน เจ้าไม่กลัว?”

เสียงที่ตอบเขาเป็นน้ำเสียงไพเราะเสนาะหู

“มีอะไรน่ากลัวกันเล่า พวกมันไม่ต่อยข้าเสียหน่อย”

เห็นนางนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างสง่าไม่เร่งร้อน ต้วนฉางยวนรู้สึกอย่างหนึ่งว่านางผู้นี้ราวกับว่าปลื้มปริ่มอิ่มเอม ไม่เหมือนท่าทางที่ผู้เป็นอนุภรรยาควรมีแม้แต่น้อย

เขาสัมผัสได้ถึงอากาศอุดอู้น่าอึดอัด นั่นคือกลิ่นอับชื้นเนื่องจากขาดการทำความสะอาด เป็นกลิ่นไม่พึงประสงค์นัก

เรื่องที่บริวารปฏิบัติต่อนางไม่ดีใช่ว่าเขาจะไม่รู้ เพียงแต่ปล่อยตามอำเภอใจไม่แยแสเท่านั้น ทว่าจากท่าทีของนางเขาไม่รับรู้ถึงความน้อยอกน้อยใจแม้เพียงนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหนึ่งเดือนมานี้ไม่เคยได้ยินว่านางพร่ำบ่นแต่ประการใด

“หากเจ้าไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว ข้าจะมอบเงินก้อนหนึ่งให้เจ้าไป เพียงพอให้เลี้ยงตัวได้ไม่ขาดแคลน” เขาเอ่ยเสียงทุ้ม

“ขอบคุณในความหวังดีของท่านประมุข ข้าอยู่ที่นี่รู้สึกดีมาก อีกทั้งบริวารในปราสาทเขาต่างปฏิบัติต่อข้าอย่างดียิ่ง เกรงว่าข้าจะเหงา หางูตัวเล็กๆ มาแหย่ให้ข้าสำราญใจ”

ต้วนฉางยวนจ้องนาง เขาดูเบานางไปเสียแล้ว นางใช้วิธีดื้อแพ่งอยู่ในปราสาทเขา แต่กลับไม่คิดจะทำให้เขาโปรดปราน ไม่เคยพร่ำบ่น ฟังจากน้ำเสียงนี้ไม่อาจสดับได้ถึงการประจบเอาใจแต่อย่างใด หรือว่านางคิดเพียงจะอยู่ที่ปราสาทเขานี้อย่างหน้าด้านๆ ไปตลอดชีวิต ใช้ชีวิตอย่างน่าเบื่อเยี่ยงนี้?

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าก็อยู่ไปเถิด!” เขาหมุนตัวจากไปเสียเอง ส่วนอวี๋เสี่ยวเถาซึ่งอยู่เบื้องหลังหยิบขี้ผึ้งบำรุงผิวพรรณที่ตนเองปรุงขึ้นมาถูแขนถูขาอย่างเอ้อระเหย

 

จากการนั่งขัดสมาธิปรับลมปราณหล่อเลี้ยงกำลังภายในไม่ขาดสายทุกเมื่อเชื่อวัน อวี๋เสี่ยวเถารู้สึกว่าแขนขาร้อยกระดูกนับวันยิ่งปลอดโปร่งโล่งสบายไปทุกส่วน นางสำรวจหน้าตาของตนเองอย่างละเอียดด้วยคันฉ่องทองแดง ยินดีที่พบว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงตามคาด

หนึ่งเดือนผ่านไป หลุมบ่อบนใบหน้าตื้นขึ้น ผดผื่นลดน้อยลง สีผิวก็ใสกระจ่างกว่าแต่ก่อน เส้นผมแห้งกร้านกลับคืนสู่ความเงางามเปล่งประกาย

หลังกรณีผึ้งดำแล้วคนพวกนั้นไม่กล้าเข้าใกล้เรือนเซียงสุ่ย ผนวกกับหรูฉิงและหรูอี้ล้มป่วยลง ดังนั้นผู้รับหน้าที่ทำความสะอาดเรือนเซียงสุ่ยก็เปลี่ยนตัวไปด้วย ไร้ซึ่งลูกไม้ตื้นๆ ของพวกคนถ่อย วันเวลาของอวี๋เสี่ยวเถาสุขสงบขึ้นไม่น้อย

จากนั้นก็ผ่านเดือนที่สอง ผดผื่นเหล่านั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย หลุมบ่อบนใบหน้าตื้นขึ้นมาก ผิวพรรณแปรผันเป็นเรียบลื่น ไม่แห้งผากดำคล้ำเหมือนเมื่อก่อน กอปรกับนางขยันทาขี้ผึ้งบำรุงผิวพรรณ ผิวหนังยิ่งนุ่มละมุนเกลี้ยงเกลา

ที่ทำให้นางยินดีเป็นที่สุดคือวรยุทธ์ฟื้นคืนมาสองส่วนแล้ว อย่างน้อยวิชาตัวเบาก็กลับคืนมาไม่น้อย

ยามราตรีผู้คนสงัดเงียบ นางกระโดดขึ้นบนหลังคาเรือนอย่างแผ่วเบาเพื่อดูดาว หรือแอบวิ่งเข้าไปเตร็ดเตร่ยังหุบเขาด้านหลัง คนพวกนี้เมินเฉยต่อนาง ไม่เป็นไร นางหายาเองได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรือนเซียงสุ่ยที่นางอาศัยตั้งอยู่ทางมุมตะวันตกเฉียงใต้ซึ่งเปล่าเปลี่ยวลับตาคนที่สุด จึงสะดวกต่อนางเป็นอย่างยิ่ง แอบออกจากปราสาทเขาไปเที่ยวเล่นได้เกือบทุกวัน

วันนี้นางกระทำเหมือนปกติโดยแอบออกจากปราสาทเขาเข้าไปเตร็ดเตร่ในตัวเมือง แม้รูปโฉมฟื้นคืนสภาพพอประมาณแล้ว ทว่าวรยุทธ์ยังไม่ฟื้นตัวดีนัก ผนวกกับกลัวว่าพวกเป็นหูเป็นตาให้เหยียนจิ่วจะพบนางเข้า ดังนั้นอวี๋เสี่ยวเถาจึงแปลงโฉมให้อัปลักษณ์เป็นพิเศษ หวีผมมวยง่ายๆ แล้วปักปิ่นไม้อันหนึ่ง เปลี่ยนเป็นชุดสามัญชนสุดแสนเรียบง่ายสมถะ แต่งกายให้ตนเองกลายเป็นแม่นางที่ไม่ควรค่าแก่การชายตามอง

วันนี้อากาศปลอดโปร่ง ท้องฟ้ากระจ่างใส อวี๋เสี่ยวเถารู้ดีว่าอาหารจากร้านใดเลิศรส สุราจากเหลาใดหอมหวน หรือร้านขายตำรา ร้านขายยา อีกทั้งหน้าร้านใดมีอะไรดีนางล้วนชำนาญทั้งสิ้น

ขณะเดินบนถนนใหญ่ จู่ๆ เบื้องหน้ามีคนผู้หนึ่งเดินมา เสื้อผ้าของเขาขาดกะรุ่งกะริ่ง ทั้งร่างสกปรกโสโครกสุดจะทานทน มีรอยเลือดเปื้อนอยู่บนหน้าอก แม้ดูตกระกำลำบาก ทว่ากระแสสังหารเจอเทพฆ่าเทพ* แผ่ซ่านออกมาจากร่างของเขา ผู้คนบนท้องถนนต่างถอยลี้หนีห่างราวกับเขาเป็นงูเป็นแมงป่องพิษก็ไม่ปาน

อวี๋เสี่ยวเถามองอย่างสงสัยใคร่รู้อยู่อีกฟาก ชายผู้นี้สยายผมกระเซิง ลากฝีเท้าอย่างหนักอึ้ง ราวกับว่าประสบเคราะห์กรรมวิบากมา ทว่าบนใบหน้าไร้ซึ่งความต่ำต้อยขี้ขลาดตาขาวดั่งยาจกโดยทั่วไป ดวงตากลับยิ่งหยิ่งทะนงและคมกริบ คนผู้นี้มิใช่ยาจกเป็นแน่ แต่ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเขาถึงได้อับจนถึงขั้นนี้

บัดนี้นักเลงหัวไม้ใจอันธพาลก้าวย่างวางก้ามอยู่บนท้องถนน ซ้ำยังถีบพ่อค้าหาบเร่ที่หลบทางให้ไม่ทันเสียกระเด็น บนบ่าของพ่อค้าเร่หาบไม้คานยาว ผักป่าเผือกภูเขาในหาบหล่นกระจายเต็มพื้น

พวกอันธพาลถีบพ่อค้าหาบเร่แล้วยังไม่หนำใจ เหยียบย่ำผักป่าเผือกภูเขาที่ร่วงกระจายบนพื้นให้เสียหายซ้ำอีก ประหนึ่งเห็นพ่อค้าหาบเร่น้ำตาหลั่งรินเป็นเรื่องสาแก่ใจยิ่ง

อวี๋เสี่ยวเถาขมวดคิ้วมุ่น พบว่าหลังจากที่อันธพาลพวกนั้นเห็นชายซึ่งดูคล้ายยาจกแล้ว ต่างก็ส่งสัญญาณทางสายตาให้แก่กัน ดูท่าคิดจะหาเรื่องยาจกผู้นั้น นางโคจรกำลังภายในไปที่ฝ่ามืออย่างเงียบเชียบ คาดการณ์ว่าหากพวกมันลงมือกับชายผู้นั้นจริงก็จะช่วยเหลือสักครา

“เฮ้ย! ยาจกมาแต่ไหนกัน เหม็นโฉ่จะตาย ขวางทางคุณชายอย่างพวกข้าให้น้อยหน่อย!”

ขณะที่ทุกคนคิดว่ายาจกคงประสบเคราะห์เป็นแม่นมั่น ทว่าเหนือความคาดหมายของทุกคนก็คืออันธพาลที่ลงมือกับยาจกผู้นั้นเป็นคนแรก แม้แต่ชายเสื้อก็ยังมิทันได้แตะ คนในเหตุการณ์เห็นเพียงแสงสีเงินสายหนึ่งวาบผ่าน พริบตานั้นเองที่ทุกคนพลันลืมหายใจ

อันธพาลผู้นั้นถูกฟันจนเอวขาด ถึงขั้นตัวเองยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ร่างกายท่อนบนและท่อนล่างหลุดแยกออกจากกัน โลหิตสดๆ พุ่งทะลักดั่งน้ำพุ สร้างความอกสั่นขวัญแขวนให้พรรคพวกที่เหลือ ผู้คนที่มุงดูอยู่รอบข้างต่างตื่นตระหนก

“ฆ่าคนแล้ว! ฆ่าคนแล้ว!”

ทั้งเสียงกรีดร้องและผู้คนที่พยายามหนีเอาชีวิตรอด ชั่วพริบตาเดียวทั้งท้องถนนโกลาหลวุ่นวาย ส่วนอันธพาลสองสามคนนั้นหลังตกตะลึงเมื่อเห็นพรรคพวกถูกฟันจนเอวขาดก็ล้มลุกล้มกลิ้งหนีกระเจิงไปอย่างเสียขวัญ

อวี๋เสี่ยวเถาเห็นทุกอย่างกระจ่างชัดแจ้ง ยาจกผู้นั้นไม่กะพริบตาแม้เพียงนิด จัดการอีกฝ่ายได้ในดาบเดียว

ดาบเล่มนั้นส่องประกายคมกริบภายใต้แสงตะวัน จากชักดาบจนเก็บดาบสำแดงวิชาอันปราดเปรียวของคนผู้นี้ว่าหาใช่ระดับสามัญธรรมดา

หลังฟันอีกฝ่ายจนเอวขาดแล้วชายผู้นั้นก็หลบไปจากที่เกิดเหตุท่ามกลางความแตกตื่นวุ่นวายของผู้คน อาศัยความโกลาหลเป็นเกราะกำบังพรางตัวหลบหนี

นางติดตามชายผู้นั้นไปตลอดทาง จนมาถึงศาลเจ้าแถบชานเมืองด้านตะวันตก พบว่าเขาสลบอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่หน้าศาลเจ้า ประหนึ่งว่าไร้เรี่ยวแรงโดยสิ้นเชิง ในที่สุดก็ไม่อาจฝืนต่อไปจึงล้มกองอยู่กับพื้นลุกไม่ขึ้นเช่นนี้

* เจอเทพฆ่าเทพ เป็นสำนวน หมายถึงเจอผู้ใดขวางหน้าก็สังหารไม่เว้น

นางเดินขึ้นหน้าเพื่อตรวจสอบดู จับชีพจรแล้วพบว่าเขาบาดเจ็บสาหัส บาดแผลอักเสบ ไข้ขึ้นสูงไม่ลด จึงควักยาลูกกลอนรักษาวิญญาณให้ชายผู้นี้กินและอยู่เป็นเพื่อนข้างกาย ถือว่าช่วยคนต้องช่วยถึงที่สุด

หลังชายผู้นี้ฟื้นแล้วก็เอาแต่จ้องนาง วาจาซาบซึ้งขอบคุณใดๆ ไม่เอ่ยออกจากปาก เย็นชาโอหังอย่างเปิดเผย ดังนางเป็นฝ่ายติดค้างเขากระนั้น อวี๋เสี่ยวเถาไม่ถือสาหาความ ช่วยนำอาหารและน้ำมาให้อยู่ไม่ขาด

นางมาที่ศาลเจ้าเพื่อรักษาเขาติดต่อกันสามวัน ช่วยเปลี่ยนยา และยังนำเสื้อผ้าสะอาดมาวางไว้ให้ข้างตัว ชายผู้นี้ไม่คิดแตะต้องเสื้อผ้าสะอาดเอี่ยมพวกนี้ นางก็ตามใจ

ทว่าเมื่อนางมาถึงในวันถัดไปกลับพบว่าเขาสวมชุดสะอาดสะอ้านที่เตรียมเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว แต่เพราะไม่ได้อาบน้ำ บนร่างยังคงสกปรกมาก ส่วนนางนอกจากช่วยเขาทำความสะอาดบาดแผลแล้ว ส่วนอื่นๆ นางไม่ช่วยเขาทำความสะอาดเป็นแน่ นางมิใช่ภรรยาของเขาเสียหน่อย เรื่องที่มากไปกว่านั้นนางกระทำไม่เป็น

เนื่องจากชายผู้นี้ไม่พูดไม่จาเลยตั้งแต่ต้นจนถึงบัดนี้ เพื่อความสะดวกนางจึงตั้งชื่อให้เขาเองว่า ‘บุรุษเอวขาด’ และเรียกเขาว่าบุรุษเอวขาดๆ ทุกครั้ง เรียกจนเข้าวันที่ห้า ในที่สุดอีกฝ่ายก็อดรนทนไม่ไหวยอมเปิดปาก

“ห้ามเรียกข้าว่าบุรุษเอวขาด”

“หา? ที่แท้เจ้าไม่ได้เป็นใบ้?” นางแสร้งจ้องเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจ แม้จะคาดเดาได้ว่าชายผู้นี้แค่คร้านจะเอ่ยปากเพียงเท่านั้น

“ข้าไม่ได้เป็นใบ้” เขาตอบด้วยเสียงเยียบเย็น

“แล้วทำไมเจ้าถึงไม่พูด ทำเอาข้าเสียเวลารักษาเจ้าไปไม่น้อย หากเจ้ายอมพูด ข้าอาจรักษาได้เร็วขึ้น”

“เพราะว่าเจ้าแปลงโฉม”

“แปลงโฉมอะไรกัน! ข้าหน้าตาแบบนี้ต่างหาก” นางแสร้งทำเซ่อ แต่กลับลอบอัศจรรย์ใจ

แปลกชอบกล คาดไม่ถึงว่าเขาจะดูออก

ศาสตร์แปลงโฉมทั่วไปใช้การไม่ได้จริงๆ เสียด้วย อำพรางได้เพียงคนธรรมดาเท่านั้น แค่พบยอดฝีมือก็เผยพิรุธให้เห็นเสียแล้ว ชายผู้นี้แปดส่วนเป็นยอดฝีมืออย่างแน่นอน เพียงแต่เป็นพยัคฆ์ตกสู่พื้นราบถูกสุนัขรังแก * นางตัดสินใจว่าคราวหน้าคงต้องใช้ศาสตร์แปลงโฉมอีกแบบที่นางเชี่ยวชาญ นั่นคือการทายาพิษทั่วใบหน้าให้เปลี่ยนรูปไปถึงจะไม่เกิดข้อพิรุธ

“เจ้าพูดได้ก็รักษาได้ง่ายหน่อย บอกข้าได้หรือไม่ว่าคนที่ทำร้ายเจ้าคือใคร หรือมีภูมิหลังวรยุทธ์เป็นอย่างไร ข้าจะได้ให้ยารักษาอาการได้ถูก”

ชายผู้นี้เพ่งหน้านาง ดวงตาคมกริบหรี่มองอย่างอันตราย “เหตุใดจึงช่วยข้า”

เขาสงสัยว่าหญิงผู้นี้มาช่วยโดยมีเป้าหมายอื่น จะโทษเขาที่ขี้ระแวงเยี่ยงนี้มิได้ หลายเดือนมานี้เขาถูกลอบทำร้าย ถูกล่าสังหารมาตลอดทาง หนีรอดจากความตายมาหลายหน ดังนั้นจึงไม่อาจเชื่อถือผู้อื่นได้ง่ายๆ

“เพราะข้าอยากทำเรื่องดี ไม่คิดปิดบังจริงๆ หลายเดือนมานี้ข้าโชคร้ายอย่างมาก ดังนั้นอยากสั่งสมกุศลผลบุญ ส่วนเจ้าตกอับถึงเพียงนี้ ช่วยเจ้าไม่แน่ว่าต่อไปข้าอาจจะไม่โชคร้ายขนาดนั้นอีก”

“…” ชายผู้นี้ไร้วาจาจะเอื้อนเอ่ยไปชั่วขณะ คาดไม่ถึงว่าหญิงผู้นี้ช่วยเขาเพื่อไม่ให้ตนเองโชคร้ายจนเกินไปเท่านั้น มีเรื่องประเสริฐเช่นนี้ด้วยหรือ

* พยัคฆ์ตกสู่พื้นราบถูกสุนัขรังแก เป็นสำนวน หมายถึงผู้มีอำนาจวาสนาเมื่อถึงคราวอับโชคก็ถูกผู้อื่นข่มเหงรังแกได้

ไม่รอให้เขาเอ่ยปาก อวี๋เสี่ยวเถากล่าวต่อไปว่า “อาวุธที่ทำร้ายเจ้าอาบยาพิษชนิดหนึ่ง พิษนี้ยังไม่กำเริบ หากรอจนกำเริบก็ไม่ทันกาลเสียแล้ว ข้าอยากรู้เรื่องราวคร่าวๆ ก่อนพิษจะกำเริบ ถึงข้าจะไม่เสียดายเวลา แต่ที่จริงแล้วข้าเกียจคร้านมาก หากปรึกษาหารือกันได้ พวกเรารบเร็วจบเร็ว ว่าอย่างไร”

ทำความดียังรังเกียจว่ายุ่งยากอีกหรือ

แววตาของชายผู้นี้ดั่งคบเพลิง สาดประกายประหลาดสายหนึ่งวาบมา ส่วนนางมองเขาอย่างเกียจคร้าน มือหนึ่งเท้าคางวางข้อศอกบนหัวเข่าที่นั่งยองๆ ท่าทางเหนื่อยหน่ายเสียเต็มประดา

ชายผู้นี้เงียบขรึมลงพักหนึ่ง ก่อนจะเล่าให้นางฟังว่าเขาบาดเจ็บได้อย่างไร นางถามอะไร เขาก็ตอบเพียงเท่านั้น เรื่องอื่นไม่เอ่ยถึง

อวี๋เสี่ยวเถารู้ดีว่าเขาจงใจปิดบัง แต่ก็คร้านจะถามให้มากความ เรื่องส่วนตัวของผู้อื่นนางขี้เกียจแยแส นางช่วยชีวิตเขาเพียงเพราะต้องการประกอบความดีเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นช่วยก็ช่วยแล้ว ขืนหยุดลงกลางคันคงถูกฟ้าผ่าตายเป็นแน่

“เอาล่ะ รอที่นี่” นางยืดกายลุกขึ้น เดินออกจากศาลเจ้า ผ่านไปครึ่งชั่วยามก็กลับมา ในมือถือใบไม้ใบหนึ่ง ในใบห่อของเหลวข้นเหนียวสีเขียวเอาไว้ ดูแล้วน่าขยะแขยงอย่างยิ่ง

เขาจ้องของเหลวข้นเหนียวในมืออีกฝ่ายก่อนจะเงยหน้ามองนาง เห็นแววตาของนางใสสะอาดเปิดเผย เขาลังเลเพียงครู่ก่อนจะยื่นรับมาไว้ในมือแล้วกลืนกินลงท้องในคำเดียว

จากการสังเกตมาห้าวันนี้ เขาเชื่อมั่นว่าหญิงผู้นี้ไม่คิดทำร้าย จึงปล่อยให้นางรักษา และแอบอัศจรรย์ใจอยู่เงียบๆ ที่ฝีมือการรักษาของนางสูงส่ง เขารู้ตัวดีว่าบาดเจ็บสาหัส ต่อให้ไม่ตายก็คงกึ่งพิการ คาดไม่ถึงว่าหญิงผู้นี้ใช้เวลาเพียงไม่กี่วันก็ทำให้เขาอาการดีขึ้นเกินครึ่ง

โดยเฉพาะยาที่นางให้นั้นพิเศษอย่างยิ่ง มิใช่ยาลูกกลอนธรรมดาและมิใช่ยาที่ต้องเคี่ยวปรุง แต่เป็นก้อนคล้ายดินเหนียว บัดนี้ก็ให้ของเหลวเหนียวข้นสีเขียวดูแล้วน่าขยะแขยงอย่างยิ่งแก่เขาอีก ทว่าหลังกลืนลงท้องแล้วเขารู้สึกได้ทันทีว่ามีกระแสความร้อนสายหนึ่งทำให้เส้นลมปราณปลอดโปร่งโล่งสบาย

เป็นไปตามที่คาด เขาปรับลมปราณโคจรพลังอย่างแผ่วเบา ใช้กำลังภายในโคจรพลังเองได้จริงเสียด้วย ในใจยิ่งรู้สึกทึ่งต่อหญิงผู้นี้

“ไม่ต้องเอ่ยถึงบุญคุณ ไม่ต้องคำนึงถึง” นางยืนขึ้นโบกมือให้เขา “ข้าไปแล้ว เจ้าโคจรปรับสภาพร่างกายสักครึ่งชั่วยามก็คงใช้การได้ จำไว้ว่าต้องไปอาบน้ำเสียด้วยนะ ร่างเจ้าเน่าเหม็นจะตายอยู่แล้ว”

เขาใช้สายตาส่งนางจากไป จวบจนกระทั่งไม่เห็นเงาร่างของนางแล้วจึงลองดมกลิ่นของตนเอง ถึงกับรังเกียจว่าเขาเหม็นหรือ ตลอดชีวิตของเจียงเซ่าเหิงไม่เคยเจอสตรีนางใดรังเกียจเขาแบบนี้

คิดถึงคำกำชับก่อนจากไปของนาง เขาจึงรีบหลับตารวบรวมสมาธิโคจรพลัง

 

อวี๋เสี่ยวเถากลับมายังตลาดอันคึกคักจอแจทางตะวันออกของเมือง เดินไปพลางมองหาของสนุกไปพลาง จากร้านชาดทาแก้มแป้งน้ำในตรอกตะวันตก เดินมาถึงร้านเครื่องประดับหินหยกบนถนนตะวันออก ซื้อพุทราเชื่อมมาไม้หนึ่ง เดินไปกินไป ทิ้งบุรุษเอวขาดไว้หลังหัวสมองเรียบร้อยแล้ว

หลังเดินเตร็ดเตร่อยู่ตลอดช่วงเช้า ในที่สุดก็เหนื่อยล้า นางหาร้านอาหารเพื่อนั่งพักผ่อน สั่งกับแกล้มสองสามอย่างพร้อมน้ำชาหนึ่งกา ต้องเซ่นไหว้ศาลเจ้าอวัยวะทั้งห้า* ของนางให้ดี ยามนี้ลูกค้าในร้านมากมี โต๊ะของนางเป็นโต๊ะที่เสี่ยวเอ้อร์ของร้านกางไว้เป็นการชั่วคราวหน้าบันได โต๊ะทั้งเล็กทั้งแคบ นางได้แต่นั่งลงอย่างจำใจ

บัดนี้หน้าประตูของร้านมีบุรุษผู้หนึ่งยืนอยู่ คนผู้นี้เมื่อปรากฏตัว สายตาของทุกผู้ทุกนามต่างมองมาทางเขาอย่างควบคุมตนเองไม่ได้ เขามีจมูกโด่ง ดวงตาเป็นประกายดั่งดวงดารา หล่อเหลาไร้ที่ติ เพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้นก็ดึงดูดสายตาของทุกคน

สตรีใดที่สายตาของเขามองปราดไป ใครบ้างไม่หน้าแดงใจเต้นโครมคราม

ทว่าใบหน้าบุรุษผู้นั้นไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ สายตามองกวาดภายในร้านหนึ่งรอบจนมาตกอยู่ที่เป้าหมาย

“ลูกค้า เพียงท่านเดียว? นั่งร่วมโต๊ะกับผู้อื่นได้หรือไม่”

หน้าของเสี่ยวเอ้อร์แขวนด้วยรอยยิ้มตามแบบฉบับ รีบขึ้นหน้าต้อนรับ ส่วนบรรดาลูกค้าที่ได้ยินเสียงทักทายของเสี่ยวเอ้อร์ หลายคนดวงตาทอประกายสว่างวาบยิ่งขึ้น คิดในใจว่าจะได้มีโอกาสร่วมโต๊ะกับบุรุษรูปงามหล่อเหลาถึงเพียงนี้ ต่างยักย้ายสะโพกให้มีที่นั่งเหลือรอคอยให้เขาเข้าร่วมโต๊ะ

บุรุษผู้นี้กลับไม่มองคนพวกนั้นแม้เพียงแวบเดียว สายตาจับจ้องเป้าหมายเขม็ง ก้าวยาวเดินเข้าหาคนผู้นั้น แม้แต่จะทักทายยังไม่มี นั่งเต็มก้นลงร่วมโต๊ะเดียวกับอวี๋เสี่ยวเถา แถมยังปลดฝักดาบบนเอวลงวางไว้บนโต๊ะเอาดื้อๆ

ถ้วยชาที่อวี๋เสี่ยวเถายกมาไว้ข้างริมฝีปากชะงักงัน นางเบิกตาโตจ้องมองบุรุษผู้สูงสง่าผ่าเผยหล่อเหลาตรงหน้าผู้นี้ เขาเอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้านกับเสี่ยวเอ้อร์ว่า

“สุรา”

“ขอรับๆ จะรีบมาทันที”

อวี๋เสี่ยวเถากะพริบตาปริบๆ มองบุรุษหล่อเหลาสง่างามผู้นี้พลางคิดแล้วคิดอีก ก่อนลุกขึ้นยืน

“ไปไหน” เขาเอ่ยปากถามเสียงทุ้มต่ำ

อวี๋เสี่ยวเถาเอ่ยอย่างเกรงอกเกรงใจ “โต๊ะนี้มอบให้คุณชาย ข้าไปร่วมโต๊ะกับผู้อื่น”

“หากเจ้านั่งโต๊ะอื่น ข้าจะไล่คนที่อยู่โต๊ะนั้นไปเสีย แล้วร่วมโต๊ะกับเจ้า”

อวี๋เสี่ยวเถาชะงัก มองเขาอย่างประหลาดใจ

“เก็บรังสีสังหารของเจ้าไปเสีย เป็นข้าเอง”

อวี๋เสี่ยวเถาตื่นตะลึงระคนสงสัยก่อน สุดท้ายเหมือนตระหนักสิ่งใดได้โดยพลัน จ้องเขาเขม็ง

“บุรุษเอวขาด?”

เจียงเซ่าเหิงส่งสายตาคมกริบให้นางฉับพลัน “ข้าเคยบอกแล้ว ห้ามเรียกข้าว่าบุรุษเอวขาด”

อวี๋เสี่ยวเถานั่งลงอย่างว่าง่าย ดวงเนตรคู่นั้นยังคงจับจ้องเขา จุปากร้องอย่างอัศจรรย์ใจ มองประเมินขึ้นลงอย่างเปิดเผยไม่ยำเกรงแต่อย่างใด ราวกับไม่เคยได้รับการอบรมจรรยาอันดีของสตรีก็มิปาน

“มองพอหรือยัง” เขาถาม

“ยังไม่พอ คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าเจ้าหน้าตาเช่นนี้” นางไม่คิดปิดบังสีหน้าตื่นตะลึงของตนเองแต่อย่างใด ที่มากกว่านั้นคือความสงสัยว่าเหตุใดจึงรู้สึกว่าคนผู้นี้ช่างคุ้นตาอย่างยิ่ง แต่ก็นึกไม่ออก อีกทั้งบัดนี้นางกำลังหลบซ่อนการไล่ล่าจากคนของเหยียนจิ่ว ไม่อาจทราบได้ว่าบุรุษผู้นี้เป็นศัตรูหรือเป็นมิตร อย่าถามให้มากความจะดีกว่า

* เซ่นไหว้ศาลเจ้าอวัยวะทั้งห้า เป็นสำนวนเชิงติดตลกที่หมายถึงการกินอาหารดีๆ

ขณะที่นางจ้องเขาจนอ้าปากค้าง เจียงเซ่าเหิงร้องฮึอย่างเย็นชาเสียงหนึ่ง หัวเราะเยาะนางที่เป็นกระต่ายตื่นตูม แต่ก็พอใจที่ได้เห็นความประหลาดใจในสายตาของนาง เดิมเขาก็หล่อเหลางามสง่าทำให้ผู้คนตะลึง สตรีเมื่อเห็นเขาล้วนมิอาจละสายตา จนเขาชาชินเห็นเป็นเรื่องปกติแล้ว

“เหตุใดเจ้าไม่บอกเสียแต่เนิ่นๆ หากเจ้าบอกเร็วหน่อย ข้าก็ไม่ต้องชิงลงมือก่อนเพื่อความได้เปรียบแล้ว” นางอดส่ายหน้าทอดถอนใจไม่ได้

เขาอึ้งไป มองนางอย่างงุนงง ยังไม่เข้าใจสีหน้าละอายแก่ใจของนางว่ามาจากสาเหตุใด จู่ๆ ก็รู้สึกชอบกลไปทั้งร่าง ถึงได้ตื่นตะลึงเมื่อพบว่าถูกวางยาเข้าเสียแล้ว!

“เจ้า…” เขายืนขึ้นอย่างโมโห

“ขออภัยด้วยๆ” อวี๋เสี่ยวเถารีบขึ้นหน้ามาประคองร่างโงนเงนของเขาพลางฉีกยิ้มเอ่ยกล่อม “ท่านพี่อย่าได้วู่วาม ข้าจะช่วยถอนพิษให้ทันที”

นางประคองเขาไปพลางหันหน้าไปตะโกนบอกเสี่ยวเอ้อร์ไปพลาง

“เสี่ยวเอ้อร์ หาห้องให้พวกเราห้องหนึ่ง!”

พอนางตะโกนเช่นนี้ทั้งสี่ทิศต่างเงียบกริบ สายตาของทุกคนต่างจ้องมองพวกเขาเป็นตาเดียว

นี่มันเรื่องอะไรกัน

บุรุษผู้งามสง่าหล่อเหลาเช่นนี้กลับติดกับหญิงอัปลักษณ์ถึงเพียงนี้ได้

ความยุติธรรมอยู่ที่ไหนกันเล่า!

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

หน้าที่แล้ว1 of 7

Comments

comments

Jamsai Editor: