บทที่ 4
สีหน้าของเจียงเซ่าเหิงดำคล้ำลงในบัดดล น่าเสียดายที่บัดนี้เขาไร้เรี่ยวแรงไปทั้งร่าง ได้แต่ให้นางประคองไปตามอำเภอใจ
อวี๋เสี่ยวเถาแลบลิ้น “นี่จะโทษข้ามิได้! ใครใช้ให้เจ้ามาถึงก็หน้าถมึงทึง ไม่มีความเป็นมิตร ทำเอาข้าคิดว่าเจ้าจะมาจับข้า ถ้าบอกเร็วหน่อยว่าเจ้าคือบุรุษเอวขาด ข้าก็คงไม่ทำแบบนี้ เฮ้อ! เสียดายก็แต่ยาของข้า” นางในยามนี้ก็เป็นดังนกตื่นธนู*
สีหน้าของเจียงเซ่าเหิงเคร่งเครียด ที่แท้นางเสียดายยาของนาง หาได้ละอายแก่ใจที่วางยาพิษผิดคนไม่
“เจียงเซ่าเหิง!” เขากัดฟันบอก
“หา?”
“ข้ามีนามว่าเจียงเซ่าเหิง!”
นางรีบฉีกยิ้มเอ่ยว่า “จอมยุทธ์เจียงเซ่าเหิง เลื่อมใสๆ”
เห็นได้ชัดว่าเป็นถ้อยคำพิธีรีตองเพื่อกลบเกลื่อนเท่านั้น เจียงเซ่าเหิงคิดในใจว่าหากเขาไม่บอกนางว่าเขาคือบุรุษเอวขาด มิรู้ว่าหลังถูกทำให้สลบไสลไปแล้วสตรีนางนี้จะจัดการเขาอย่างไร
“เจ้าล่ะ”
“ข้าอะไร”
“เจ้ายังไม่บอกนามของเจ้า”
“เจ้าคิดจะจดจำเป็นความแค้นหรือคิดจะตอบแทนบุญคุณ?”
หนังตาของเจียงเซ่าเหิงกระตุกคราหนึ่ง “ข้าไม่อยากติดค้างหนี้บุญคุณใคร”
อ้อ? ที่แท้มาก็เพื่อตอบแทนบุญคุณ
“บอกแล้วว่าไม่ต้องเอ่ยขอบคุณในบุญคุณ ไม่ต้องคำนึงถึง” นางส่ายหน้าอย่างมีมาด แสร้งตีสีหน้าว่าทำดีโดยไม่อยากให้ผู้ใดล่วงรู้ ทำเอาเจียงเซ่าเหิงอยากบีบคอนางให้ตายนัก ก่อนหน้านี้ใครเป็นคนบอกว่าที่ช่วยชีวิตเขาก็เพื่อสั่งสมกุศลผลบุญ
“ชื่อ” น้ำเสียงของเขาอันตรายยิ่งขึ้น
“อย่าโกรธๆ ข้าชื่ออวี๋เสี่ยวเถา”
“อายุเท่าไหร่ ออกเรือนหรือยัง”
“ถามมากขนาดนั้นไปทำไม จะสอบสวนข้ารึ”
เจียงเซ่าเหิงไม่ตอบ เอาแต่มองแววตาลึกล้ำน่าค้นหาของนางเพียงเท่านั้น หลังจากรู้สึกถึงความคุ้นเคยจากสตรีนางนี้แล้ว เขาก็อยากรู้ฐานะที่แท้จริงของนาง
อวี๋เสี่ยวเถาคิดแต่เพียงแจ้งชื่อปลอมให้เขารู้ เรื่องอื่นนางไม่อยากเล่ามากไปกว่านั้น เพราะบัดนี้นางยังถูกเหยียนจิ่วล่าสังหารอยู่ จำเป็นต้องระแวดระวังอย่างยิ่งยวด
ยามที่นางประคองเจียงเซ่าเหิงขึ้นชั้นบน เสียงครหานินทาดังแว่วมาจากบริเวณโดยรอบไม่น้อย หญิงสาวทั้งหลายต่างฮึดฮัดด้วยเห็นว่าช่างไม่ยุติธรรม คิดในใจว่าบุรุษหล่อเหล่าถึงเพียงนี้เหตุใดจึงถูกหญิงไร้เกลือ* ล่อลวงเอาได้ ยามที่บุรุษผู้นี้ก้าวเข้าสู่ร้าน พวกนางต่างลอบชำเลืองมอง บัดนี้เห็นว่าไม่เพียงแต่เขาไม่ผลักสตรีนางนั้นออก ซ้ำยังยื่นมือวางไว้บนบ่าของนางอีก ต่างคนต่างถลึงตา กัดริมฝีปาก เคียดแค้นอยู่ภายในใจอย่างสุดประมาณ
* นกตื่นธนู เป็นสำนวนจีน ใช้เปรียบเทียบกับคนที่เคยผ่านเหตุการณ์ที่ไม่ดีมา และภายหลังเมื่อมีอะไรมากระทบเล็กน้อยก็จะตื่นกลัวอย่างมาก
* หญิงไร้เกลือ หมายถึงหญิงหน้าตาอัปลักษณ์ คำเรียกนี้มีที่มาจากหนึ่งในสี่หญิงอัปลักษณ์มีชื่อว่าจงหลีชุน (แซ่จงหลี นามชุน) ซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองอู๋เหยียน(ไร้เกลือ) สมัยจ้านกั๋ว ทว่านางเป็นคนฉลาดปราดเปรื่อง พร้อมด้วยความสามารถ อายุสี่สิบปีแล้วยังไม่ได้แต่งงาน วันหนึ่งนางเสนอภัยของชาติสี่ประการเตือนฉีเซวียนหวัง ได้รับการแต่งตั้งจากฉีเซวียนหวังให้เป็นพระชายา
“ตกเหยื่อได้เร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ ไม่รู้ว่าเห็นอะไรดีที่ตรงไหน ช่างไม่รู้จักเลือกเสียจริง!” ผู้ที่เอ่ยปากพูดคือชายผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่บนที่นั่งพิเศษบนชั้นสอง
อวี๋เสี่ยวเถาได้ยินแล้วก็ตะลึง หันหน้าไปมองผู้พูด พอเห็นเข้าก็ทำเอานางอึ้งงัน
คนผู้นั้นนางจำได้ว่าคือหวังสยงพ่อบ้านใหญ่แห่งปราสาทเขาชิงอวี้ แต่ที่ทำให้นางอึ้งงันก็คือบุรุษข้างกายหวังสยง…ต้วนฉางยวน
หลังได้ยินคำพูดของหวังสยง คนอื่นๆ ต่างก็หัวร่อเกรียวโดยมิได้นัดหมาย ต่างคิดว่านางเป็นผู้ล่อลวงบุรุษ แม้แต่ต้วนฉางยวนเองก็ยังยกยิ้มราวกับว่ากำลังเย้ยหยันนางอยู่
เปลวเพลิงแห่งโทสะกองใหญ่ลุกโชนอยู่ในใจของอวี๋เสี่ยวเถา ทว่านางแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ประคองเจียงเซ่าเหิงตามเสี่ยวเอ้อร์เข้าสู่ห้องหนึ่งต่อไป
นางเติบใหญ่ในป่าเขาลำเนาไพร เดิมเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมาไม่ถือสาเรื่องเล็กน้อย ถูกผู้อื่นดูหมิ่นดูแคลน นางถือเสียว่ามิใช่เรื่อง ในเมื่อปากงอกอยู่บนใบหน้าของผู้อื่นและนางจงใจแปลงโฉมจนอัปลักษณ์ ถูกหัวเราะเยาะก็เป็นเรื่องที่คาดการณ์ไว้ก่อนแล้ว แต่หากผู้ที่หัวเราะเยาะเป็นต้วนฉางยวน นางก็ไม่คิดจะทนต่อไปแล้ว
สิ่งที่หวังสยงเอ่ยมาเจียงเซ่าเหิงก็ได้ยิน เขาสัมผัสได้ถึงความโกรธกรุ่นของอวี๋เสี่ยวเถาจึงชำเลืองมองไปทางหวังสยงปราดหนึ่งแล้วเอ่ยถามนางเสียงต่ำว่า “อยากให้ข้าตัดลิ้นเจ้านั่นให้หรือไม่”
อวี๋เสี่ยวเถาเงยหน้ามองเขาอย่างตื่นตะลึง กะพริบตาปริบๆ ประหนึ่งว่าเขาเอ่ยคำพลอดพร่ำรำพันรักอย่างไรอย่างนั้น
“สายตาของเจ้าเช่นนี้คืออะไร” เขาขมวดคิ้วถาม
“คิดไม่ถึงจริงๆ เพื่อความบริสุทธิ์ของข้าแล้วเจ้าจะกังวลถึงเพียงนี้ เจ้าคงไม่ได้ชอบข้าเข้าให้แล้วหรอกนะ”
ใบหน้าของเจียงเซ่าเหิงแข็งตึง จากนั้นก็เปล่งเสียงลอดไรฟันว่า “แปะทองบนหน้าตัวเอง** ให้น้อยหน่อย! ท่าน…คุณชายอย่างข้าไม่พอใจที่เขาดูหมิ่นข้าต่างหาก!”
อวี๋เสี่ยวเถาดูออกมานานแล้วว่าบุรุษผู้นี้อารมณ์ร้าย ซ้ำยังเย่อหยิ่งเสียเหลือเกิน หลังเขาอาบน้ำจนสะอาดสะอ้านแล้ว ยิ่งพินิจจากการพูดการจา การวางตัว ก็รู้สึกว่าบนร่างของคนผู้นี้มีกลิ่นอายแห่งความสูงส่งอย่างหนึ่งอยู่ ชาติกำเนิดคงไม่สามัญธรรมดา อีกอย่างเมื่อสักครู่เหมือนเขาเกือบพลั้งปากอะไรออกมาแต่ยั้งไว้ทัน
นึกย้อนไปถึงสภาพตกต่ำอับจนเหมือนยาจกก่อนหน้านี้ แสดงว่าต้องเจอเรื่องร้ายอะไรมาเป็นแน่ อวี๋เสี่ยวเถาไม่อยากหยั่งเชิงถาม เพราะนางรู้ว่าแต่ละคนต่างมีเหตุผลของตนเอง ก็เหมือนกับนางเอง เดิมรูปโฉมโนมพรรณดั่งนางเทพธิดา ผู้คนชื่นชมบูชาเอาอกเอาใจดั่งองค์หญิง แต่เมื่อถูกพิษราคะของเหยียนจิ่วจนกลายเป็นหญิงอัปลักษณ์ ภายในสามเดือนสั้นๆ ที่หลบภัย นางซึ่งสูญเสียวรยุทธ์ได้ลิ้มลองรสชาติการถูกดูหมิ่นดูแคลนและความเย็นชาของผู้คนบนโลกนี้มาจนสิ้นแล้ว
ผู้ที่เคยชื่นชมยกย่องนางราวองค์หญิงเพราะความสดสวยงดงาม หลังจากนางกลายเป็นคนอัปลักษณ์แล้วก็ล้วนเผยธาตุแท้ให้เห็นเพราะจำนางไม่ได้ ต่างแสดงความรังเกียจเดียดฉันท์และหมิ่นแคลนอย่างไม่สงวนท่าทีแม้แต่น้อย ตอนนั้นนางเพิ่งประจักษ์ว่าที่แท้สิ่งที่พวกเขาต้องตาเป็นเพียงแค่ความงดงามของนาง นางไม่เคยได้รับความรักด้วยใจจริงจากบุรุษผู้ใด เมื่อไร้ซึ่งรูปลักษณ์ที่งดงาม นางก็ไม่มีค่าไม่มีราคาใดๆ ทั้งสิ้น
** แปะทองบนหน้าตัวเอง เป็นสำนวน หมายถึงเยินยอตนเอง
นางไร้ที่พึ่ง ไม่อาจวิงวอนร้องขอผู้ใด ท่านพ่อท่านแม่ที่รักเอ็นดูนางที่สุดต่างอยู่บนสวรรค์แล้ว นางหาคนพึ่งพิงไม่ได้ และก็ไม่เชื่อใจใครหน้าไหน จึงเร้นกายตัวเอง หลบๆ ซ่อนๆ มาตลอดทางจนถึงปราสาทเขาชิงอวี้ และเพราะทราบมาว่าวิทยายุทธ์พลังหยางที่ต้วนฉางยวนร่ำเรียนมาอาจถอนพิษราคะให้นางได้ นางก็เฝ้ารอคอยเขา
ผู้คนทั่วหล้ายกย่องเขาว่าเป็นวีรบุรุษผู้กล้า ต่อกรพวกหมาน ปราบโจรผู้ร้ายราบคาบ ยามราษฎรมีทุกข์เขานำทัพอยู่เบื้องหน้า แบกรับหน้าที่โดยไม่ลังเล ดังนั้นนางจึงใฝ่ฝันถึงเขาเหมือนสตรีเยาว์วัยทั่วหล้า
ทว่าบัดนี้นางไร้ซึ่งความคาดหวังใดๆ ต่อเขาอีกต่อไปแล้ว
ช่วงที่สูญเสียความสวยสดงดงาม นางมองหลายเรื่องทะลุปรุโปร่ง ความคิดก็เปลี่ยนแปรไปไม่เหมือนเดิมเสียแล้ว แม้ไม่ถึงกับชิงชังผู้คน แต่ก็ไม่ถือว่าบุรุษสำคัญอย่างไรต่อไปอีก
นางเอ่ยเย้าเจียงเซ่าเหิงว่า “ช่างน่าเสียดายจริง เจ้าบอกว่าจะตอบแทนบุญคุณ ข้ายังคิดว่าเจ้าจะพลีกายเป็นการตอบแทนเสียอีก”
ใบหน้าของเจียงเซ่าเหิงกระตุกยิก แม้เขาไม่ได้ตอบ แต่จากสีหน้า อวี๋เสี่ยวเถาเดาได้ว่าเขาคงคิดอยากจะเอ่ยว่า ‘ฝันไปเถอะ!’ กระมัง
อวี๋เสี่ยวเถาประคองเขาเข้าห้องและให้นั่งลงบนขอบเตียง กำชับให้เสี่ยวเอ้อร์นำน้ำมาอ่างหนึ่ง รอจนเสี่ยวเอ้อร์จากไปแล้วก็หันมาสั่งการว่า “เจ้าโคจรกำลังภายในปรับสภาพก่อน ประมาณหนึ่งเค่อ* เจ้าก็จะกลับเป็นปกติ”
เจียงเซ่าเหิงชะงักกึกอย่างงงงัน “ไม่ต้องกินยาถอนพิษหรือ”
“ข้าจะเอายาถอนพิษมากมายมาจากที่ไหน ข้าแค่วางยาชาเจ้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เจ้าโคจรพลังถอนพิษเองก็ได้แล้ว” นางว่าพลางทำท่าเหมือนเขาเป็นตัวภาระเพิ่มความยุ่งยากให้
“…”
เจียงเซ่าเหิงไร้ซึ่งวาจา รู้สึกว่าเขาถูกสตรีผู้นี้ปั่นหัวอีกแล้ว แต่ไม่โกรธอะไรมาก กลับยิ่งรู้สึกว่าน่าสนใจ เขาเพ่งพิศพิจารณานางอย่างลึกซึ้งอีกครั้ง
รอจนกระทั่งเสี่ยวเอ้อร์นำน้ำเข้ามา นางมอบเศษเงินเล็กน้อยให้เสี่ยวเอ้อร์ออกไป แล้วหันมาพูดกับเขาว่า “เจ้าโคจรพลังสิ! ข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว”
เห็นว่านางจะจากไป เขาจึงรีบถาม “เจ้าจะไปไหน”
มือของอวี๋เสี่ยวเถาทาบอยู่บนบานประตูแล้วหันกลับมาฉีกยิ้มซุกซนเจ้าเล่ห์ “ไปแก้แค้นคนขัดหูขัดตาก่อน”
เมื่อออกจากห้อง ก้าวลงบันได อวี๋เสี่ยวเถาก็มองไปทางห้องพิเศษนั้นปราดหนึ่งแล้วแอบหัวร่ออยู่ในใจ พอดีเห็นเสี่ยวเอ้อร์ส่งถาดอาหารขึ้นมา ไม่ต้องถามก็รู้ว่าส่งไปให้ห้องพิเศษนั้นเป็นแน่ นางชำเลืองมองครู่หนึ่ง จากนั้นก็สะบัดมืออย่างแผ่วเบา แมลงบินตัวจ้อยตัวหนึ่งก็ปีนเข้าไปในกาสุรานั้น
นางเดินเฉียดไหล่ผ่านเสี่ยวเอ้อร์ไป ชำเลืองมองด้วยหางตา เห็นเสี่ยวเอ้อร์ยกถาดอาหารไปทางโต๊ะของต้วนฉางยวน นางยกยิ้มมุมปากแล้วเดินลงบันไดอย่างเริงร่า รอชมเรื่องสนุก
“ขออภัย ขอเบียดด้วยคน! ขอบคุณมาก”
นางเลือกเบียดตัวนั่งร่วมโต๊ะกับผู้อื่น เพิ่งนั่งลงก็มีหญิงนางหนึ่งมาถึงหน้าโต๊ะแล้วทอดสายตาลงมองพลางเรียกนางอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ
* เค่อ หน่วยนับเวลาของจีนที่มีมาตั้งแต่ในสมัยโบราณ เทียบเวลาประมาณ 15 นาที
อวี๋เสี่ยวเถาเงยหน้ามองอย่างสงสัย ที่ยืนตรงหน้านางเป็นหญิงหน้าตาค่อนข้างดีนางหนึ่ง สีหน้าท่าทางอวดดี
“มีอะไร”
“ชายที่อยู่กับเจ้าเมื่อครู่เล่า”
อวี๋เสี่ยวเถานิ่งงัน มองสีหน้าทั้งโกรธทั้งอายของอีกฝ่ายก็ตระหนักได้โดยพลัน แม่นางผู้นี้ถูกใจเจียงเซ่าเหิงผู้นั้นเข้าแล้ว
ฮ่าๆ! นางรู้ดีว่านี่คือความริษยา ผู้คนบนโลกมักไม่อยากเห็นใครได้ดิบได้ดี ผู้แข็งแกร่งกว่ามักรังแกคนอ่อนแอ ผู้ที่ยกยอปอปั้นคนงาม ก่นด่าคนอัปลักษณ์นั้นมีมากเสียจริง เพียงนางกับเจียงเซ่าเหิงอยู่ด้วยกันก็ทำให้ผู้อื่นรู้สึกไม่พอใจ
ยามนี้นางปรายหางตาเห็นพวกของต้วนฉางยวนบนชั้นสองกำลังมองมาทางนางเข้าพอดีจึงยกยิ้มมุมปาก แสร้งเอ่ยเสียงดัง
“เขาน่ะหรือ! ชำระกายอยู่ในห้อง” นางจงใจเอ่ยอย่างมีเลศนัย
“เชอะ ดูสารรูปเสียบ้างสิ เจ้าไม่คู่ควรกับเขา!”
อวี๋เสี่ยวเถาถามอย่างนึกสนุก “อ้อ? จริงหรือ”
“ถ้าเจ้ารู้ตัวดีก็เลิกเกาะแกะคุณชายท่านนั้นได้แล้ว”
“แม่นางเข้าใจผิดแล้ว ตรงกันข้าม เป็นพี่เจียงต่างหากที่เกาะข้าไม่ปล่อย” แม้แต่คำเรียกขานว่าพี่เจียงยังออกจากปากได้ นางจงใจแสดงความสนิทชิดเชื้อของนางกับเจียงเซ่าเหิง เจตนาให้อีกฝ่ายโมโหจนอกแตกตาย
แม่นางตรงหน้าโกรธจนหน้าตาแดงก่ำตามคาด ไม่เพียงแต่นางคนอื่นๆ ก็ตำหนิความไม่กระดากอายของอวี๋เสี่ยวเถา
“เขาถูกใจเจ้าได้อย่างไรกัน เจ้าต้องใช้มารยาอะไรหลอกลวงเขาเป็นแน่!”
อวี๋เสี่ยวเถาคิดในใจว่าเรื่องนี้ช่างน่าครื้นเครงยิ่ง นางมองไปรอบๆ พวกที่มุงดูความครึกครื้นต่างจ้องมองมาทางนี้เป็นตาเดียว ยุคสมัยนี้ไม่ใช่มีแต่สตรีที่เป็นตัวกาลกิณีได้ บุรุษก็เป็นได้เช่นกัน! ดูสิ นางแค่ประคองเจียงเซ่าเหิงขึ้นชั้นบนเท่านั้นก็เหมือนก่อกรรมทำชั่วจนฟ้าพิโรธผู้คนเคียดแค้นเสียแล้ว
นางแสร้งทำท่ากลัดกลุ้มคิดไม่ตก “แม่นางไม่รู้อะไร พี่เจียงตามข้ามาตลอดทาง พอเห็นว่าข้านั่งกินอาหารอยู่ที่นี่ก็เจาะจงจะนั่งโต๊ะเดียวกับข้า อยากไล่ไปยังทำไม่ได้ เขาจ้องแต่จะอยู่กับข้า ข้าจนใจจึงต้องยอมอยู่เป็นเพื่อนเขา”
“ข้าไม่เชื่อ! เจ้าโกหก!”
ยามนี้สตรีอีกหลายนางต่างดาหน้าเข้ามา แต่ละคนดูแล้วไม่เป็นมิตร ต่างชี้หน้าว่าอวี๋เสี่ยวเถาพูดปด ไม่เชื่อว่าบุรุษที่หล่อเหลางามสง่าถึงเพียงนั้นจะถูกใจคนอัปลักษณ์อย่างนี้ได้ เว้นเสียแต่ว่าสวรรค์ตาบอด
อวี๋เสี่ยวเถาผายสองมือ “ข้าจะหลอกพวกเจ้าไปทำไม ข้ากินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำหรืออย่างไร ไม่จริงเลย ข้ายังกินไม่อิ่มด้วยซ้ำ” นางลูบท้องตนเองพลางตีสีหน้าน่าเวทนา
ในชั่วขณะนั้นภายในร้านเกิดเสียงอื้ออึงผสมปนเปไม่หยุด บางคนฉวยโอกาสราดน้ำมันลงบนกองไฟ*
“ข้ากลับคิดว่าแววตาของพี่เจียงท่านนั้นไม่เหมือนใคร แม่นางผู้นี้แม้หน้าตาไม่เท่าไหร่ แต่ผู้อื่นไม่ได้ตัดสินนางจากหน้าตา ดูท่าคงติดใจลีลาบนเตียงของแม่นางต่างหาก” ผู้ที่กล่าวประโยคนี้แน่นอนว่าเป็นชาย คำหยาบล่อแหลมทำให้บุรุษคนอื่นๆ หัวร่อเสียงก้องร้าน
* ราดน้ำมันลงบนกองไฟ เป็นสำนวน หมายถึงยุยงเสริมแต่ง ทำให้ความโกรธหรือเหตุการณ์ทวีความรุนแรงขึ้น
อวี๋เสี่ยวเถาปรายตามองชายผู้เอ่ยวาจาหยาบโลนปราดหนึ่ง ยังคงเม้มปากยิ้มบาง ปล่อยให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะเย้ยตามอำเภอใจและสะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้ได้มั่น ไม่นานเจียงเซ่าเหิงก็เดินลงบันไดมาตามคาด แสดงว่ายาชาถูกขจัดออกไปแล้ว นางรีบขึ้นหน้ารับ กระซิบกระซาบข้างหูเขาต่อหน้าทุกคน
“เจ้าบอกว่าจะตอบแทนบุญคุณข้า พูดจริงหรือไม่”
เจียงเซ่าเหิงเห็นใบหน้าจริงจังของนางแล้วมองทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ขณะที่เขาเดินลงบันไดมาก็ได้เห็นว่าทุกคนกำลังหัวเราะเย้ยหยันนาง และในบัดนี้ทุกสายตาต่างรวมมาอยู่ที่พวกเขาทั้งคู่ เขารู้แน่แก่ใจจึงตอบกลับไปเสียงเบาว่า “ขอเพียงมิใช่เรื่องผิดมโนธรรม”
“วางใจเถอะ ไม่ได้บอกให้เจ้าสังหารใครและมิใช่ให้พลีกายตอบแทน บัดนี้ข้าอยากให้เจ้าช่วยเล่นละครสักฉาก ให้ข้าได้หน้าต่อหน้าทุกคน ได้หรือไม่”
เจียงเซ่าเหิงคิดแล้วคิดอีกก่อนจะพยักหน้า “ได้”
เมื่อได้รับความเห็นชอบ นางจึงรีบลากแขนเขามายืนอยู่ต่อหน้าทุกคน ชี้ไปยังสตรีที่ตำหนินางก่อนเป็นคนแรก
“พวกเขาปรักปรำข้า หาว่าข้าไม่รู้จักยางอายมาเกาะแกะล่อลวงเจ้า เจ้าบอกความจริงแก่พวกเขาสิว่าเจ้าดึงดันจะตามข้าเอง” เอ่ยมาถึงตรงนี้นางก็บีบน้ำตาออกมาสองหยด แล้วกล่าวอย่างเจ็บช้ำน้ำใจว่า “ข้าเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว ถูกใส่ความทำให้ความบริสุทธิ์แปดเปื้อนก็เพราะเจ้าแท้ๆ หากเจ้าไม่พูด ข้าก็จะจากไปทันที ชื่อเสียงแปดเปื้อนนี้ข้าขอรับไว้เอง”
สีหน้าของเจียงเซ่าเหิงออกจะตึงเครียด เดิมเขาคิดว่านางจะให้จัดการสั่งสอนพวกสายตาสุนัขดูถูกผู้อื่นเสียอีก คาดไม่ถึงว่าจะให้เขาเอ่ยวาจาน่าขายขี้หน้านี้ต่อหน้าธารกำนัล แต่พอเห็นนางแสร้งร่ำไห้อีกครา จู่ๆ ก็รู้สึกหมดเรี่ยวแรง
เหตุใดคนที่ช่วยชีวิตเขาต้องเป็นสตรีนางนี้ด้วย อีกทั้งเมื่อครู่เขายังตกปากรับคำว่าจะช่วยอีก บีบคั้นจนไม่มีทางเลือก ได้แต่เล่นละครฉากนี้ด้วยกัน ยิ่งยามที่นางแสร้งร่ำไห้ยังแอบใช้มือหยิกแผ่นหลังของเขา เร่งรัดให้รีบเอ่ย
เจียงเซ่าเหิงสูดหายใจเข้าลึกๆ เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ไม่ผิด เป็นข้า…เกาะแกะนางเอง”
วาจานี้เมื่อเอ่ยออกไป บรรดาหญิงสาวในร้านต่างฮือฮา
“คุณชาย เหตุใดท่านจึงยอมพูดปดเพื่อนาง ความลับของท่านอยู่ในเงื้อมมือนางใช่หรือไม่”
“นั่นสิ! คุณชาย ท่านมีเรื่องคับข้องใจอันใดเชิญเอ่ยออกมา อย่าได้ตกหลุมพรางของหญิงหน้าไม่อายผู้นี้อย่างเด็ดขาด”
“ไม่ผิด ขอเพียงท่านเอ่ยปาก พวกเราจะช่วยท่านสั่งสอนหญิงหน้าไม่อายผู้นี้เอง!”
หน้าของเจียงเซ่าเหิงเครียดขรึม เอ่ยเตือนว่า “ใครกล้าแตะต้องนาง ถามดาบของข้าก่อน”
พริบตานั้นกระแสสังหารที่เขาแผ่ซ่านออกมาทำให้แม่นางทุกคนอดถอยหลังไปหนึ่งก้าวไม่ได้ สายตาคมกริบที่เขากวาดตามองไปโดยรอบก็ทำเอาเงียบงันไปทั้งร้าน ทุกคนต่างตื่นตระหนกขวัญผวา สำหรับเจียงเซ่าเหิงแล้ว อวี๋เสี่ยวเถาเป็นผู้มีบุญคุณ เขาปกป้องนางเป็นเรื่องชอบด้วยเหตุและผล ต่างจากบุรุษปกป้องสตรีที่หมายปองลิบลับ ทว่าในสายตาของผู้คนโดยรอบ การกระทำของเขาถูกมองว่าเป็นการพิทักษ์ปกปักและเอาใจใส่คู่รัก
อวี๋เสี่ยวเถาเห็นสีหน้าของทุกคนแล้วก็รีบขดตัวไปหลบข้างหลังเจียงเซ่าเหิงด้วยปฏิกิริยาฉับไว แล้วโผล่หน้ามาเพียงครึ่งเดียว
“ความริษยาของสตรีช่างน่ากลัวนัก…” น้ำเสียงของนางน่าสงสารยิ่ง แต่วาจาที่เอ่ยออกมานั้นเชือดเฉือนผู้คน เจตนาทำให้เหล่าสตรีที่ไม่ยอมแพ้พวกนั้นโมโหจนตาย
บนโลกนี้สตรีขี้หึงขี้อิจฉาริษยานับว่าไม่น้อย ทว่าที่ยอมรับกลับมีไม่มาก เดิมพวกนางอาศัยข้อกล่าวหาว่าอวี๋เสี่ยวเถาไม่รู้จักประมาณตนมารุมต่อว่าต่อขาน แต่ใครจะไปรู้ว่าเจียงเซ่าเหิงจะสวนกลับ ชี้ให้เห็นว่าพวกนาง ‘อิจฉาริษยาทนเห็นผู้อื่นได้ดีไม่ได้’
อวี๋เสี่ยวเถาเห็นสีหน้าชอกช้ำของพวกนางเพราะคำพูดอันดุดันของเจียงเซ่าเหิง สีหน้าท่าทางที่แสร้งทำเป็นน่าเวทนาแต่เดิมอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้
ยิ้มของนางครานี้ เนื่องจากด้านหน้ามีเจียงเซ่าเหิงคอยบังไว้ จึงมีไม่กี่คนที่มองเห็น ทว่ามองจากชั้นบนของร้านกลับเห็นอย่างชัดแจ้ง อย่างน้อยต้วนฉางยวนก็มองเห็น
“คาดไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้จะมีฝีมือถึงขั้นให้อีกฝ่ายออกหน้าให้นางอย่างเต็มอกเต็มใจได้”
“ไม่แน่อีกฝ่ายอาจเป็นตัวโง่งมที่สายตามีปัญหาก็เป็นได้”
น้ำเสียงเยาะเย้ยของหวังสยงและหู่เปินสองบริวารทำให้คนอื่นๆ หัวร่อไปด้วย ต้วนฉางยวนเพียงแต่เอ่ยอย่างเรียบเฉยว่า “เรื่องของผู้อื่น ไยต้องพูดมาก”
พอเขากล่าวเยี่ยงนี้ คนอื่นก็หยุดหัวร่อทันที วางท่าดื่มสุราอย่างเอาจริงเอาจัง เพราะว่าท่านประมุขกำลังเตือนว่าอย่าได้เอ่ยถึงข้อบกพร่องของผู้อื่นเหมือนที่บรรดาสตรีชอบกระทำ หวังสยงและหู่เปินต่างรีบหุบปาก ไม่เอ่ยอะไรอีก
“ท่านประมุข แม่นางอิงมาถึงแล้ว” บริวารคนหนึ่งมารายงาน
ต้วนฉางยวนวางจอกสุราลงแล้วมองไปชั้นล่าง เห็นสาวงามผู้หนึ่งเดินเข้ามาในร้านตามคาด นางสะสวยงดงาม รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น เพียงก้าวเข้าสู่ร้านอาหารก็กลายเป็นจุดสนใจของผู้คนทันที
สายตาของอวี๋เสี่ยวเถาจ้องเขม็ง สะท้านในใจ ไม่คาดคิดว่าจะได้เจออิงเสวี่ยหรง นางมาทำอะไรที่นี่
พอเห็นอีกฝ่ายอวี๋เสี่ยวเถาก็ฮึดฮัดอยู่ในใจ นางและอิงเสวี่ยหรงเป็นหญิงงามเลื่องชื่อในยุทธภพ แต่อิงเสวี่ยหรงมองนางว่าเป็นศัตรูมาโดยตลอด ทุกเรื่องมักประชันขันแข่งกับนาง
ไม่ว่างานชุมนุมกวี งานชุมนุมพิณ หรืองานชุมนุมเล็กใหญ่ในยุทธภพ ขอเพียงเป็นสถานที่ที่อวี๋เสี่ยวเถาปรากฏตัว ที่นั่นต้องมีอิงเสวี่ยหรง อิงเสวี่ยหรงต้องประชันกับนางไปเสียทุกเรื่อง ทำให้อวี๋เสี่ยวเถารู้สึกเอือมระอาเป็นอย่างยิ่ง
อาจเป็นเพราะแววตาของอวี๋เสี่ยวเถาคมกล้าจนเกินไป ฝีเท้าของอิงเสวี่ยหรงจึงชะงักลงฉับพลัน สายตางามหยาดเยิ้มคู่นั้นมองมาทางนางเหมือนรู้สึกได้
อวี๋เสี่ยวเถารีบเก็บสายตากลับมา แสร้งทำเป็นหัวร่อต่อกระซิกกับเจียงเซ่าเหิงที่ยืนอยู่ข้างๆ
อิงเสวี่ยหรงมองอวี๋เสี่ยวเถาปราดหนึ่ง เมื่อสายตากวาดมาถึงเจียงเซ่าเหิงก็อดตะลึงงันไม่ได้
ใบหน้าหล่อเหลาไม่ธรรมดาของเจียงเซ่าเหิงทำให้นางประหลาดใจ เมื่อนางมองเขา เขาก็มองนางเช่นกัน สายตาของทั้งคู่สบเข้าด้วยกัน ทว่าเพียงชั่วพริบตาเท่านั้นอิงเสวี่ยหรงก็ชักสายตากลับไปอย่างรวดเร็ว ใบหน้ายังคงราบเรียบดุจสายน้ำใส แต่ภายในใจดั่งคลื่นโหมซัดกระหน่ำอย่างคลุ้มคลั่ง
บุรุษที่หล่อเหลาถึงเพียงนี้เป็นใครกัน
ฮว่าเหมยสาวใช้ประจำตัวของนางรู้ซึ้งถึงนิสัยใจคอของเจ้านาย เพียงส่งสัญญาณทางสายตาครู่เดียวก็เข้าใจกระจ่าง ฮว่าเหมยถอยออกหาเจ้าของร้านอย่างเงียบเชียบ
หลังจากอิงเสวี่ยหรงเข้ามาในร้านอาหารแล้ว หวังสยงพ่อบ้านใหญ่แห่งปราสาทเขาชิงอวี้ก็ลงมาประสานมือคำนับไปทางนาง
“แม่นางอิง ท่านประมุขของข้ารอพบอยู่ด้านบน เชิญ”
อิงเสวี่ยหรงค้อมตัวเล็กน้อย ท่วงท่าละมุนละไมสง่างามเหนือผู้ใด ยามยกแขนเยื้องย่างล้วนมีท่าทีแห่งคุณหนูสกุลใหญ่ คล้อยหลังการเคลื่อนไหวของนาง สายตาตื่นตะลึงแกมหลงใหลก็ลอยตามเงาร่างหอมกรุ่นของอิงเสวี่ยหรงขึ้นไปชั้นบน ทุกคนต่างซุบซิบไต่ถามว่าสาวงามดั่งนางเซียนนี้เป็นผู้ใดกันแน่
เนื่องจากการปรากฏตัวของอิงเสวี่ยหรง ความสนใจของผู้คนจึงเบนไปจากตัวอวี๋เสี่ยวเถาและเจียงเซ่าเหิงทันที
อวี๋เสี่ยวเถาร้องฮึเสียงเย็นคราหนึ่ง “เสแสร้งแกล้งทำ”
เจียงเซ่าเหิงถามอย่างสงสัยใคร่รู้อย่างยิ่งว่า “นางเป็นใคร”
อวี๋เสี่ยวเถามองเขาอย่างประหลาดใจ “เจ้าไม่รู้จักหรือ นางคืออิงเสวี่ยหรงหญิงงามที่ผู้คนในยุทธภพเชิดชู”
เจียงเซ่าเหิงตระหนักโดยพลัน “ที่แท้ก็เป็นนาง สมคำเล่าลือจริงๆ เสียด้วย”
อวี๋เสี่ยวเถาถามอย่างแฝงความนัย “สนใจนางหรือ”
เจียงเซ่าเหิงได้ยินแล้วก็หัวเราะพรืดเสียงหนึ่ง “แม้นางจะงดงาม แต่ขาดพลังไปส่วนหนึ่ง เทียบไม่ได้กับอวี๋เป่าเอ๋อร์ผู้ได้รับฉายาว่าเทพธิดาดอกเถา*”
อวี๋เสี่ยวเถาตะลึงงัน ดวงตาส่องประกาย จู่ๆ ก็รู้สึกว่าเจียงเซ่าเหิงผู้นี้ดูแล้วเจริญหูเจริญตาขึ้นเป็นกอง เพราะว่าเทพธิดาดอกเถาอวี๋เป่าเอ๋อร์ที่เขาเอ่ยถึงก็คือตัวตนที่แท้จริงของนางนั่นเอง!
เดิมนางแซ่อวี๋ ได้รับสมญานามจากผู้คนในยุทธภพว่าเทพธิดาดอกเถา ดังนั้นจึงตั้งชื่อปลอมว่าอวี๋เสี่ยวเถา ส่วนอิงเสวี่ยหรงผู้นั้น หลังจากทราบว่านางได้รับสมญานามว่าเทพธิดาดอกเถาแล้วก็ไม่ยอมน้อยหน้า ไม่นานก็มีข่าวสะพัดออกมาว่าอิงเสวี่ยหรงได้รับสมญานามว่าเทพธิดาดอกอิง* จากที่อวี๋เสี่ยวเถาคาดการณ์ นั่นเป็นสมญานามที่อิงเสวี่ยหรงตั้งขึ้นเองเสียแปดส่วนแล้วเที่ยวหาคนช่วยกระจายสมญานามนี้ไปทั่วทั้งสี่ทิศ
เจียงเซ่าเหิงกล่าวว่าอิงเสวี่ยหรงเทียบนางไม่ได้ นางได้ยินแล้วปลื้มปริ่มในใจ ทำดีได้ดีจริงเสียด้วย นางช่วยบุรุษที่ตาถึงเข้าให้เสียแล้ว
นางเกี่ยวนิ้วมือของเขา เป็นนัยให้ยื่นหูเข้ามาใกล้ๆ
“เจ้าฉลาดปราดเปรื่องดีมาก ให้ข้าสอนลวดลายบางอย่างของสตรีให้เจ้ารู้ไว้ อย่าได้ถูกท่วงท่านุ่มนวลอ่อนโยนของอิงเสวี่ยหรงตบตาเอาเด็ดขาด นั่นล้วนแล้วแต่เสแสร้งแกล้งทำทั้งสิ้น ที่แท้แล้วนางถือดีว่ามีรูปลักษณ์งดงาม เอ่ยสาบานว่าจะเป็นสาวงามอันดับหนึ่งในใต้หล้าให้จงได้ พร้อมทั้งหาทางผูกมัดบุรุษให้อยู่ใต้อาณัติด้วยเล่ห์เพทุบายเป็นงานหลัก เมื่อครู่เจ้าสบตากับนางเพียงพริบตาเดียวนั้น นางก็ถือว่าเจ้าเป็นเหยื่อแล้ว”
เจียงเซ่าเหิงถามอย่างอยากรู้อยากเห็น “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่านางเห็นว่าข้าเป็นเหยื่อ”
“เพราะนางตื่นตะลึงในรูปร่างหน้าตาของเจ้าอย่างไรเล่า! หากไม่เชื่อ เจ้าลองมองให้ละเอียด สาวใช้ข้างตัวของนางคนหนึ่งกำลังสอบถามเรื่องราวของเจ้าจากเจ้าของร้านอยู่”
พอเจียงเซ่าเหิงได้ยินก็รีบมองไปทางเจ้าของร้านทันที เห็นหญิงสาวหน้าตาสะสวยนางหนึ่งกำลังสนทนากับเจ้าของร้านอยู่ตามคาด และเจ้าของร้านก็กำลังมองเขาอยู่ พอสายตาสบกันก็รีบหลบตาทันที
รอยย่นบนหว่างคิ้วของเจียงเซ่าเหิงกดลึกขึ้น มองมาทางอวี๋เสี่ยวเถา “นางสอบถามเรื่องของข้าไปทำไม”
“ข้าบอกเมื่อครู่อย่างไรเล่าว่านางเอาชนะบุรุษให้อยู่ใต้อาณัติด้วยเล่ห์เพทุบายเป็นงานหลัก เจ้าหล่อเหลาถึงเพียงนี้ หากกลายเป็นบุรุษใต้อาณัติของนาง เป้าหมายการเป็นสาวงามอันดับหนึ่งในใต้หล้าก็อยู่ไม่ไกลแล้ว”
เจียงเซ่าเหิงร้องฮึเสียงเย็นอย่างดูถูก “ตื้นเขินนัก!”
* ดอกเถา หมายถึง ดอกท้อ
* ดอกอิง หมายถึง ดอกเชอรี่หรือดอกซากุระ
นางรีบพยักหน้าหงึกหงัก “ถูกต้องๆ” พบผู้ที่รู้จักแยกแยะจริงเสียด้วย “วางใจเถอะ! เจ้าเป็นเพียงเครื่องเคียง จานหลักของนางในวันนี้อยู่ชั้นบน”
เจียงเซ่าเหิงเงยหน้ามองชั้นสองตามนิ้วที่นางแอบชี้ขึ้นไป เห็นเพียงอิงเสวี่ยหรงผู้นั้นเดินเข้าไปภายในห้องพิเศษ หลังนางเข้าสู่ห้องพิเศษแล้วม่านก็ถูกปลดลงมาปิดบังสายตาของคนภายนอก เห็นเพียงเงาร่างของผู้ที่อยู่ด้านในวับแวม
แม้เจียงเซ่าเหิงจะดูหมิ่นที่มีสตรีคิดครอบครองเขา แต่พอได้ยินว่าตนเป็นเพียงเครื่องเคียงของผู้อื่นก็กลับรู้สึกไม่พอใจราวกับโดนดูถูก
“ชั้นบนใครนั่งอยู่”
“ประมุขของปราสาทเขาชิงอวี้ ต้วนฉางยวน”
เจียงเซ่าเหิงตระหนักโดยพลัน ย่นหัวคิ้วเล็กน้อย “ที่แท้เป็นเขา”
อวี๋เสี่ยวเถากระซิบบอกเขาต่อไปว่า “แม่นางแซ่อิงอยากให้ต้วนฉางยวนอยู่ใต้อาณัตินาง มาในครั้งนี้ต้องมีแผนล่อลวงบุรุษเป็นแน่”
เจียงเซ่าเหิงฟังนางพูดไปพลางรู้สึกถึงความร้อนที่เป่าอยู่ข้างหูไปพลาง บังเกิดอาการชาวูบวาบทว่าน่าเพลิดเพลิน เขาไม่ได้ละเลยน้ำเสียงไพเราะเสนาะโสตของนาง สตรีที่มีน้ำเสียงไพเราะดังเสียงสวรรค์จะหน้าตาธรรมดาสามัญได้อย่างไร เขายิ่งสงสัยในใจ เบื้องหลังใบหน้าอัปลักษณ์นี้ต้องซุกซ่อนดวงหน้างดงามอยู่เป็นแน่
ไม่อาจปฏิเสธว่าเขาตั้งเงื่อนไขเรื่องความงามของสตรีไว้สูงมาก แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยชอบให้สตรีใดมาเกาะแกะ ทว่าสตรีตรงหน้าแม้ใกล้ชิดเขาถึงเพียงนี้กลับไม่ทำให้รู้สึกรำคาญ เพราะเขาสัมผัสได้ว่าสตรีผู้นี้ไร้ความมุ่งหวังผลประโยชน์และไม่หลงใหลความหล่อเหลาของเขาอย่างสิ้นเชิง
ถึงนางจะบอกให้เขาแสร้งทำเป็นเกาะติดไว้ แต่ก็ทำเพียงเพราะนึกสนุกเท่านั้น แม้ทุกท่วงท่าทุกอิริยาบถจะแสดงออกถึงความสนิทชิดใกล้ แต่นางไม่ได้หวั่นไหวเพราะเขาเลยแม้แต่น้อย นับว่าทำเพื่อปั่นหัวผู้อื่นโดยแท้
สีหน้าท่าทางและสายตามีชีวิตชีวา ยามพูดจาดูโดดเด่นแทบโลดแล่นออกมา ใบหน้ายามเป็นผู้รอชมเรื่องสนุกดูแล้วช่างไร้เดียงสานัก แต่กลับรอบรู้เรื่องราวทางโลกอย่างทะลุปรุโปร่ง เขาประหวัดถึงฝีมือการรักษาอันสูงส่งของนางในคราวเดียว ทำให้เขาสงสัยใคร่รู้ขึ้นมาส่วนหนึ่งว่านางเป็นใครกันแน่
ดูนางยิ้มอย่างซุกซนประหนึ่งว่ามีแผนเจ้าเล่ห์ เขาพลันเอ่ยถาม
“เจ้ายิ้มอะไรอยู่”
“ข้ากำลังรอดูอิงเสวี่ยหรงหน้าหงาย” พูดจบนางยังหัวร่อหึๆ สองสามหน
เจียงเซ่าเหิงถูกนางรั้งแขนไว้อยู่ตลอด ทั้งยังจงใจพูดกระซิบเสียงแผ่วอยู่ข้างหูเขา ทำเอารู้สึกจั๊กจี้เป็นอย่างมาก
“เจ้าต้องกระซิบข้างหูข้าเช่นนี้ให้ได้หรือ”
“แน่นอน สายตาอิจฉาริษยาตั้งมากมายยังจ้องพวกเราเขม็ง ข้าอยากให้พวกนางโมโหตาย”
“เจ้าไม่กลัวถูกคนแก้แค้น?”
“กลัวสิ แต่ว่าคุ้มค่า”
“…”
มุมปากของเจียงเซ่าเหิงกระตุก เขาเพิ่งเคยพบสตรีที่แสดงออกอย่างเปิดเผยว่ากำลังเล่นพิเรนทร์อย่างนางเป็นครั้งแรก แม้ออกจะจนใจอยู่บ้าง ทว่าก็นึกสนุกไปด้วย
เมื่ออิงเสวี่ยหรงเยื้องย่างอย่างเชื่องช้าแช่มช้อยเข้ามาในห้องพิเศษบนชั้นสอง ช่วงเวลาที่เลิกม่านเปิดออกนั้นเอง ดังดวงอาทิตย์ยามอรุณรุ่งสาดส่องแสงขึ้นจากทิศบูรพา ความงามของนางทำให้บุรุษทุกผู้ทุกนามในที่นั้นตื่นตะลึงไม่คลาย
นางสวมชุดสีงาช้าง ทั้งร่างงดงามสุภาพอ่อนโยน ผมเผ้าส่วนหนึ่งหวีจับเป็นมวยอย่างเรียบง่าย ปิ่นหยกม่วงเสียบอยู่บนมวย ผมยาวสลวยส่วนอื่นปล่อยคลุมบ่า การแต่งองค์ทรงเครื่องสุภาพเรียบง่ายราวกับนางเซียนบนชั้นฟ้าผู้ไม่แปดเปื้อนราคีแห่งโลกโลกีย์เยี่ยงไรเยี่ยงนั้น
ดวงหน้าสวยใสสะอาดตา ไร้แป้งประทินโฉมประโคมแต่งจนเกินงาม สีชาดอ่อนบางบนริมฝีปากก็เหมาะเจาะพอดิบพอดี ความอบอุ่นอ่อนโยน ความละเมียดละไม และความสง่างามที่มิอาจปรามาสได้แผ่ซ่านออกมาจากร่างของนาง
บุรุษทุกผู้ทุกนามต่างมองตาค้างด้วยหลงใหลในรูปร่างหน้าตาของนาง ต้วนฉางยวนก็มองนางเช่นกัน มุมปากเม้มยิ้มบาง ผายมือเชื้อเชิญอย่างมีมารยาท
“แม่นางอิง เชิญนั่ง”
“ขอบคุณประมุขต้วน”
อิงเสวี่ยหรงก้มหน้าหลุบตา ย่อกายคารวะอย่างแผ่วเบา ฉากเมื่อสักครู่ สีหน้าตื่นตะลึงพรึงเพริดของบุรุษทุกคนในที่นี้นางประจักษ์แก่สายตา ทว่ามีเพียงใบหน้าของต้วนฉางยวนที่มั่นคงเคร่งขรึม นอกจากยิ้มบางแล้วก็ไม่มีท่าทีตกตะลึงแต่ประการใด มองถึงความคิดลึกๆ ในใจเขาไม่ออก
นางมั่นใจในตนเอง เชื่อว่าต้วนฉางยวนนั้นเสแสร้ง ก็เหมือนกับยามที่นางหวั่นไหวในใจเมื่อเห็นเขาเป็นครั้งแรก แต่ภายนอกต้องวางท่าสงบนิ่งเรียบเฉย
ไม่เสียแรงที่เป็นบุรุษรูปงามแห่งยุทธภพ ใบหน้าหล่อเหลา ทุกอิริยาบถและกลิ่นอายไม่ธรรมดาที่แผ่ซ่านออกมาล้วนทำให้จิตใจของนางหวั่นไหว มิน่าสตรีมากมายในยุทธภพต่างเฝ้าคะนึงถึงเขา
หากตนครองใจบุรุษผู้นี้ได้ถือว่าเป็นเรื่องน่าภาคภูมิใจยิ่ง
อิงเสวี่ยหรงแอบลั่นสาบานกับตนเองเงียบๆ ว่าจักต้องทำให้ต้วนฉางยวนลุ่มหลงจนกลายเป็นบุรุษใต้อาณัติของนางให้จงได้ และเพื่อเป้าหมายนี้นางวางแผนอย่างรอบคอบไว้เรียบร้อยแล้ว
“ขอบคุณประมุขต้วน ท่ามกลางการงานเป็นร้อยยังยอมมาพบเสวี่ยหรง” อิงเสวี่ยหรงแสดงสีหน้าซาบซึ้งเจ็ดส่วน สีหน้าละอายใจสามส่วน
“แม่นางอิงเกรงใจแล้ว มิทราบว่าแม่นางอิงนัดข้าน้อยมา มีเรื่องสำคัญอันใด”
อิงเสวี่ยหรงช้อนสายตาขึ้น ขนตายาวงอนขับให้เนตรงามคู่นั้นดังจันทราดารากระจ่าง น้ำเสียงที่จงใจดัดให้อ่อนนุ่มแฝงไว้ด้วยความไพเราะเสนาะโสตดั่งเสียงดนตรีอันละมุนละไม
“ไม่คิดปิดบัง เสวี่ยหรงมารบกวนประมุขต้วนด้วยเรื่องโจรร้ายทางเจียงเป่ย*”
ต้วนฉางยวนเอ่ยอย่างเป็นงานเป็นการ “แม่นางอิงเชิญกล่าว”
อิงเสวี่ยหรงเล่าว่าเนื่องจากทางเขตเจียงเป่ยประสบภัยแล้งมานานปี พืชพันธุ์ธัญญาหารเก็บเกี่ยวได้น้อย ชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรลำบากแสนเข็ญไม่อาจอยู่เย็นเป็นสุข โจรผู้ร้ายจับชาวบ้านไปขายเป็นทาส ขณะที่นางสาธยายยังแสดงสีหน้าท่าทางทุกข์ใจอย่างประจวบเหมาะแก่เวลา ดวงตาคลอด้วยน้ำตาประหนึ่งว่าจะหยาดหยดลงมาได้ทุกเมื่อ ทำเอาบุรุษที่อยู่ในสถานที่นั้นต่างทำหน้าประทับใจ มีเพียงต้วนฉางยวนที่ดื่มสุราอย่างเงียบเชียบ ไม่ปรากฏความยินดียินร้ายหรืออารมณ์ใดๆ บนใบหน้า
* เจียงเป่ย คือคำเรียกที่ราบลุ่มแม่น้ำทางด้านเหนือของแม่น้ำฉางเจียง (แยงซีเกียง) ปัจจุบันคือมณฑลเจียงซูและอันฮุย
“เท่าที่ข้าทราบ มีเด็กและสตรีหลายคนถูกจับตัวไป ข้าสงสัยว่าโจรพวกนั้นจะร่วมมือกับพวกหมานทางตอนเหนือ เด็กและสตรีที่ถูกจับตัวไปคงถูกขายไปยังชนเผ่าต่างๆ แล้ว”
“ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี โจรผู้ร้ายเลวทรามพวกนั้นหากข้าจับมันได้จะให้มันขออยู่ก็ไม่รอด ขอตายก็ไม่ม้วย!**” หู่เปินอดตบโต๊ะพลางก่นด่าออกมาไม่ได้
อิงเสวี่ยหรงเอ่ยเสียงเบาอย่างเป็นกังวลว่า “เพียงแต่น่าเสียดาย คนของข้าไม่เพียงพอ หากเรื่องนี้เกี่ยวพันไปถึงพวกหมานทางเหนือ ความสามารถของข้าใช่ว่าจะกระทำการใดได้ ทราบมาว่าประมุขต้วนมีความสัมพันธ์อันดีกับราชสำนัก จึงมาเพื่อขอคำชี้แนะโดยเฉพาะ”
หู่เปินรีบเอ่ย “แม่นางอิงวางใจ ปราสาทเขาชิงอวี้ของพวกเราไม่ละเลยเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด ท่านประมุข ท่านว่าเรื่องนี้ควรจัดการอย่างไร”
บริวารต่างมองไปทางท่านประมุขเป็นตาเดียว แต่พบว่าท่านประมุขไม่เอ่ยวาจาใดๆ ใบหน้าอึมครึม ทุกคนคิดว่าคงเพราะท่านประมุขได้สดับเรื่องราวนี้แล้วให้รู้สึกเคียดแค้นอย่างลึกซึ้งเช่นกัน
“อืม…ข้าเข้าใจแล้ว…”
ต้วนฉางยวนเพียงเอ่ยประโยคนี้ออกมาเท่านั้น สีหน้าอึมครึมลงทุกขณะ ประหนึ่งว่ากำลังอดกลั้นสิ่งใดอยู่ ส่วนสายตาของเขามิได้มองอิงเสวี่ยหรง แต่จับจ้องจอกสุราในมือเขม็ง
อิงเสวี่ยหรงรู้ดีว่ายามนางแสดงท่าทางกลัดกลุ้มกังวลจะดูน่าเวทนาสงสารเป็นพิเศษ แต่ว่าต้วนฉางยวนกลับไม่มองนางจึงอดรู้สึกเคืองอยู่ในใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นี่แสดงว่าต้วนฉางยวนเป็นบุรุษที่ไม่ถูกล่อหลอกด้วยความงดงามแห่งสตรีได้โดยง่าย ยิ่งทำให้ความอยากเอาชนะของนางลุกโชนขึ้นมา
นางเก็บสายตากลับมา ทำท่ากลัดกลุ้มสุดประมาณ
“โจรกลุ่มนี้เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก ข้าเคยลองส่งคนไปค้นหารังของพวกมัน ทว่าความสามารถไม่ถึง ข้ารู้ซึ้งถึงศักยภาพที่แท้จริงของปราสาทเขาชิงอวี้ หวังว่าปราสาทเขาของท่าน…”
ยังไม่ทันเอ่ยจบต้วนฉางยวนก็ลุกพรวดขึ้นกะทันหัน ทิ้งไว้เพียงประโยคเดียวว่า…
“ขออภัยแม่นางอิงด้วย ข้าน้อยแซ่ต้วนจำต้องขอตัวสักครู่ เอ้อ…มีเรื่องอันใดก็บอกต่อหู่เปิน ปราสาทเขาอันต่ำต้อยจะพยายามอย่างสุดความสามารถ”
พูดจบก็หันมากำชับพวกหวังสยง
“หวังสยง หู่เปิน ดูแลแม่นางอิงให้ดี”
ไม่รอให้ผู้ใดรับคำ เขาก็ก้าวยาวๆ ออกจากห้องพิเศษไป ทิ้งทุกคนให้ทำหน้าเหลอหลาอยู่ในที่นั้น
** ขออยู่ก็ไม่รอด ขอตายก็ไม่ม้วย เป็นสำนวน หมายถึงอยากอยู่ไม่ได้อยู่ อยากตายไม่ได้ตาย ทุกข์ทรมานแสนสาหัส
ติดตามต่อได้ใน “กลรักดอกท้อ” ฉบับเต็ม
Comments
comments