บทนำ
ฮั่นตะวันตกนับแต่จักรพรรดิเกาจู่หลิวปังผู้สถาปนาราชวงศ์ ผ่านจักรพรรดิฮุ่ยตี้ เหวินตี้ จิ่งตี้ ไปจนถึงยุคเริ่มแรกของการขึ้นครองราชบัลลังก์ของจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้ ได้มีบันทึกไว้ว่า… ‘ฮั่นรุ่งเรืองหกสิบกว่าปี แผ่นดินสงบสุข ท้องพระคลังบริบูรณ์’
(พงศาวดารฮั่น·กงซุนหง โปซื่อ เอ๋อร์ควนถ่ายทอดความ)
ตลอดระยะเวลาที่จักรพรรดิฮั่นอู่ตี้ขึ้นครองราชย์ แม้จะทรงมีสติปัญญาเฉียบแหลม อัจฉริยภาพล้ำลึก แต่ด้วยเพราะหมกมุ่นอยู่กับการขยายดินแดน ใช้แสนยานุภาพก่อสงครามไปทั่ว ทรงดำรงตนอยู่ท่ามกลางความหรูหราฟุ่มเฟือย เหมือนที่บันทึกไว้ว่า… ‘ภายนอกทั้งสี่ทิศทำสงคราม ภายในควบคุมตรวจสอบเคร่งครัด เกณฑ์ผู้คนทรัพย์สินบ่อยครั้ง ชาวประชาแร้นแค้น’
(พงศาวดารฮั่น·พิจารณาความอาญา)
ครั้นถึงปลายรัชสมัย ราชวงศ์ฮั่นก็ถึงกาล… ‘แผ่นดินว่างเปล่า ประชากรลดหายไปกว่าครึ่ง’
(พงศาวดารฮั่น·บันทึกจักรพรรดิฮั่นเจา)
จักรพรรดิฮั่นอู่ตี้ทรงทำสงครามต่อเนื่องกันหลายปี ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เงินทองในท้องพระคลังร่อยหรอ เพื่อชดเชยค่าใช้จ่าย พระองค์จึงทรงอนุญาตให้มีการซื้อตำแหน่งราชการและอนุญาตให้ผู้กระทำผิดจ่ายเงินเป็นค่าเบี้ยปรับแทนการรับโทษได้… ‘ไม่พอค่าใช้จ่าย นโยบายเปลี่ยนแปลง กระทำผิดจ่ายเบี้ยชด ธัญพืชแลกตำแหน่งขุนนาง ใช้สอยฟุ่มเฟือย ขุนนางวุ่นวาย ปวงประชาอดอยาก ปล้นสะดมก่อเกิด ผู้คนล้มตาย’
(พงศาวดารฮั่น·ก้งอวี่ถ่ายทอดความ)
การบริหารราชกิจเป็นไปด้วยความวุ่นวาย คนรวยยิ่งรวย คนจนยิ่งจน ความขัดแย้งของผู้คนในสังคมรังแต่จะรุนแรงมากขึ้น ในแต่ละท้องที่เริ่มเกิดการกบฏ… ‘ชาวบ้านข้นแค้น คนจนฝ่าฝืนกฎหมาย’
(พงศาวดารฮั่น·พิจารณาความอาญา)
‘โจรกบฏก่อตัว ที่หนานหยางมีกบฏเหมยเหมี่ยน กบฏไป่เจิ้ง ฉู่มีกบฏต้วนจง กบฏตู้เซ่า ฉีมีกบฏสวีป๋อ ระหว่างแคว้นเยี่ยนและจ้าวมีกบฏเจียนหลู กบฏฟั่นจู่ กองกำลังกบฏกลุ่มใหญ่ที่มีกำลังคนนับพัน ประกาศตั้งตน บุกโจมตีเมือง ยึดคลังสรรพาวุธ ปล่อยนักโทษประหาร จับกุมข้าหลวงใหญ่ประจำมณฑลและเหล่าผู้บัญชาการเขต สังหารขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ใช้อำนาจนายอำเภอริบเก็บตุนเสบียงอาหาร กลุ่มเล็กนำคนหลักร้อยปล้นสะดมชาวบ้านนับไม่ถ้วน’
(พงศาวดารฮั่น·บันทึกขุนนางสามานย์)
แต่จักรพรรดิฮั่นอู่ตี้กลับทรงมอบหมายให้ขุนนางสามานย์อย่างจางทัง จ้าวอวี่ หวังเวินซู เจี่ยนเซวียน อิ๋นฉี หยางพูใช้นโยบายปราบปรามที่เหี้ยมโหด ก่อนรัชสมัยจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้ นับแต่สมัยจักรพรรดิฮั่นเกาจู่หลิวปัง มาจนถึงจักรพรรดิจิ่งตี้ จาก ‘พงศวดารฮั่น·บันทึกขุนนางสามานย์’ ขององค์จักรพรรดิทั้งสี่ ได้บันทึกเรื่องราวของขุนนางสามานย์ไว้เพียงสองคนเท่านั้น แต่ในรัชสมัยจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้เพียงพระองค์เดียวกลับมีอยู่ด้วยกันถึงสิบเอ็ดคน
(พงศาวดารฮั่น·บันทึกขุนนางสามานย์)
การลงโทษหนักขึ้นทุกที กฎหมายเก้าบทที่ตราไว้เมื่อครั้งจักรพรรดิฮั่นเกาจู่หลิวปังขึ้นครองราชย์เพิ่มขึ้นเป็นสามร้อยห้าสิบเก้าบท แต่ละบทส่วนใหญ่มีความยาวอยู่ที่สี่ร้อยเก้ามาตรา หนึ่งพันแปดร้อยแปดวรรค เพียงโทษประหารชีวิตก็มีถึงหนึ่งหมื่นสามพันสี่ร้อยเจ็ดสิบสองวรรคแล้ว… ‘หนังสือมีหลายตู้ ไม่อาจกวาดตามองได้หมด’
(พงศาวดารฮั่น·พิจารณาความอาญา)
ถึงแม้โทษทัณฑ์จะสาหัสรุนแรงเช่นนี้ แต่ก็ยังคงไม่อาจยับยั้งการลุกฮือต่อต้านของเหล่าชาวบ้านผู้สิ้นไร้หนทางได้
จักรพรรดิฮั่นอู่ตี้มีพระประสงค์จะสยบดินแดนทั้งสี่รอบแผ่นดินต้าฮั่นให้ได้มาโดยตลอด แต่จวบจนสิ้นพระชนม์ ปัญหาเรื่องดินแดนทั้งสี่ก็ยังไม่อาจคลี่คลาย ทั้งนี้เพราะปัญหาจลาจลภายในรวมถึงปัญหาจากพวกต่างเผ่าอย่าง ซยงหนู ซีเชียง ซีหนานอี๋ อูหวนที่เกิดขึ้นพร้อมกัน
ปลายรัชสมัยจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้ แผ่นดินต้าฮั่นต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์ล่อแหลม ครั้นคิดถึงราชวงศ์ฉินที่ล่มสลายลงด้วยการลุกฮือของประชาชนผู้แร้นแค้น จักรพรรดิฮั่นอู่ตี้ก็ตระหนักได้ถึงความผิดพลาดของตนเอง จึงมีประกาศ… ‘ตั้งแต่ข้าขึ้นครองราชย์ ก็ปกครองแผ่นดินด้วยความอวดดีโง่เขลา ฟ้าดินจึงโศกเศร้า แม้สำนึกเสียใจก็มิอาจแก้ไข’
(พงศาวดารฮั่น·บันทึกสำนึกผิด)
แม้จักรพรรดิฮั่นอู่ตี้จะมีพระทัยคิดเปลี่ยน แต่ด้วยพระชนมายุมิใช่น้อย ไร้ซึ่งอำนาจเปลี่ยนลิขิตสวรรค์ จึงได้แต่มอบราชวงศ์ฮั่นที่กำลังเผชิญกับลมมรสุมให้กับจักรพรรดิฮั่นเจาที่มีพระชนมายุเพียงแปดพรรษาแทน
บทที่ 1 วันนี้คือยามใด วาสนาไซร้งดงามเยี่ยงนี้
ทะเลทรายเวิ้งว้างกว้างหมื่นลี้ แผดเผาไอร้อนประหนึ่งดวงตะวัน
แผ่นดินเหลืองอร่ามดั่งทอง แทรกตัวคั่นกลางอยู่ระหว่างผืนฟ้าและปฐพี
แสงสะท้อนสีขาวแสบตา ล้วนเกิดจากซากสิ่งมีชีวิต หรือไม่ก็โครงกระดูกมนุษย์
ทะเลทรายไป๋หลงตุยนอกแคว้นโหลวหลัน* มีชื่อเสียงก็ด้วยเพราะพายุมังกรและภาพลวงตาของมัน
หากไม่มีชาวโหลวหลันที่ชำนาญเส้นทางคอยชี้แนะนำทางแล้วละก็ โอกาสที่จะเอาชีวิตรอดออกมาจากทะเลทรายแห่งนี้ก็แทบจะเป็นศูนย์
ภูเขาทรายสูงต่ำยาวติดกันเป็นทอด ผู้คนหลายสิบกำลังพยายามดิ้นรนให้พ้นจากปากเหวแห่งความตาย
เมื่อเจ็ดวันก่อน คนนำทางชาวโหลวหลันของพวกเขาหักหลัง ฉวยโอกาสตอนพายุทรายก่อตัวขึ้นกะทันหัน ทิ้งพวกเขาชาวฮั่นทั้งกลุ่มหลบหนีไป
พวกเขาทั้งหมด ไม่ว่าจะวรยุทธ์หรือกำลังวังชาล้วนมิใช่ชั่ว หากแต่เมื่ออยู่ต่อหน้าธรรมชาติอันโหดร้าย ก็มิต่างอันใดกับมดตัวจ้อย
หากยังไม่พบแหล่งน้ำ พวกเขาคงต้องอยู่ที่นี่ไปชั่วนิรันดร์ กลายเป็นหนึ่งในกองกระดูกขาวโพลนพวกนั้น
จ้าวพั่วหนูเขย่าถุงน้ำในมือ เหลือน้ำอีกเพียงไม่กี่อึกสุดท้ายแล้ว
เขายื่นถุงน้ำให้กับเด็กชายอายุสิบสองสิบสามปี
เด็กชายมองดูริมฝีปากที่แห้งแตกของอีกฝ่ายปราดหนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ท่านดื่มเถอะ”
ขณะที่จ้าวพั่วหนูกำลังจะเอ่ยปาก เด็กชายก็พูดเสริมขึ้นเบาๆ “นี่เป็นคำสั่งของข้า”
ทุกคนต่างเข้าใจว่าเด็กชายคนนี้เป็นญาติสนิทของจ้าวพั่วหนูซึ่งถือโอกาสตอนออกสำรวจดินแดนตะวันตก* พาเด็กชายออกมาเก็บเกี่ยวประสบการณ์ มีเพียงจ้าวพั่วหนูเท่านั้นที่รู้ว่าคำสั่งของเด็กชายหมายความเช่นไร
จ้าวพั่วหนูชักถุงน้ำกลับ แต่แทนที่จะดื่ม เขากลับเก็บมันเข้าข้างเอวดังเดิม ในใจมีเพียงความคิดเดียว เขาต้องช่วยเด็กชายคนนี้ให้รอดออกจากทะเลทรายไปให้ได้แม้ต้องใช้เลือดทั้งหมดในร่างเขาแทนน้ำก็ตาม
“ท่านเดินทางเข้าออกทะเลทรายมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง ในหมู่พวกเรามีเพียงท่านเท่านั้นที่คุ้นเคยกับทะเลทรายเป็นอย่างดี พวกเราจะมีชีวิตรอดต่อไปหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับท่าน เพราะฉะนั้นจงดื่มน้ำเสีย สมองของท่านจะได้ปลอดโปร่งพอที่จะคิดหาวิธีพาพวกเราออกไปจากทะเลทรายแห่งนี้ ต่อให้พวกเราต้องตายกันหมด ท่านก็สมควรที่จะเป็นคนสุดท้าย” แม้เด็กชายจะกำลังพูดถึงความเป็นความตาย แต่น้ำเสียงของเขากลับเหมือนไม่เห็นมันเป็นเรื่องสลักสำคัญ
หลังเดินเท้าท่ามกลางทะเลทราย ทรมานจากความหิวกระหายนานถึงเจ็ดวัน ในที่สุดจิตใจที่เคยมุ่งมั่นของพวกเขาก็เริ่มพังทลายลงจนสิ้น บนใบหน้ามีเพียงความหม่นหมองสิ้นหวัง แต่เด็กชายอายุสิบสองสิบสามปีคนนี้ แม้ริมฝีปากจะแห้งแตก ใบหน้าอิดโรยซีดเผือด ทว่าสีหน้ากลับสงบนิ่งเยือกเย็น
ตะวันยังคงฉายแสงแรงกล้าแผดเผาแผ่นพื้นธรณี แผดเผาร่างกายของพวกเขาอย่างไร้ปรานี
ชีวิตของพวกเขาถูกเผาไหม้เป็นจุณไปทีละน้อย
เม็ดทรายสีทองแต่ละเม็ดล้วนกำลังเริงระบำสักการะเทพเจ้าแห่งความตาย ต้อนรับการมาเยือนของพวกเขา
จ้าวพั่วหนูที่เดินอยู่หน้าสุดทำมือส่งสัญญาณบอกให้หยุด ทุกคนพากันชะงักเท้า
เห็นจ้าวพั่วหนูทำท่าเงี่ยหูฟังเช่นนั้น เด็กชายก็รวบรวมสมาธิตั้งใจฟังเช่นกัน
กรุ๊งกริ๊งๆ…
เสียงคล้ายกระพรวนดังลอยอยู่กลางอากาศคล้ายมีคล้ายไม่มี
ชายสองสามคนร้องตะโกนออกมาด้วยความดีใจ “เสียงกระดึง! เสียงกระดึงอูฐ!”
แม้จะเป็นเพียงแสงสว่างเล็กๆ ภายใต้เงามัจจุราช แต่เสียงกระดึงที่ฟังดูไกลห่าง ณ เส้นขอบฟ้านั้นกลับเสมือนหนึ่งเสียงสังคีตจากแดนสรวง
เด็กชายยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ในเมื่อยามเผชิญหน้ากับความตายเขาไม่แม้แต่จะรู้สึกสิ้นหวัง ดังนั้นเมื่อยามความหวังปรากฏเขาย่อมไม่รู้สึกตื่นเต้นยินดีอันใด สายตาเฉยชาราวกับจะบอกว่าเรื่องทั้งหมดนี้ไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกับตนเองเลยแม้แต่น้อย
* โหลวหลัน เป็นราชอาณาจักรโบราณ ตั้งอยู่บนจุดพักสำคัญของเส้นทางสายไหม ฝั่งทิศตะวันออกเฉียงเหนือของทะเลทรายหลัวปู้พอ (Lop Nor)
* ดินแดนตะวันตก หรือซีอวี้ เป็นคำที่ชาวจีนสมัยฮั่นใช้เรียกดินแดนนอกด่านทางตะวันตกซึ่งได้แก่บริเวณซินเจียงไปจนถึงแถบตะวันออกกลาง
จ้าวพั่วหนูโบกมือให้ทุกคนสงบ “เสียงกระดึงฟังดูแปลกประหลาด หากเป็นขบวนอูฐของพวกพ่อค้าก็ไม่น่าจะแผ่วเบาราวกับมีอูฐแค่เพียงตัวเดียวเช่นนี้ ใต้หล้านี้จะมีสักกี่คนกันที่กล้าเดินทางข้ามทะเลทรายเวิ้งว้างกว้างใหญ่เพียงลำพัง ที่นี่คือดินแดนตะวันตก ผู้มาเป็นมิตรหรือศัตรูก็ยังไม่รู้แน่ชัด พวกเราควรเตรียมพร้อมป้องกันไว้ก่อน”
กรุ๊งกริ๊งๆ…
อีกด้านของทะเลทราย ท่ามกลางแสงสีทองเป็นประกายราวกับเปลวไฟลุกโชน เงาสีเขียวที่เคลื่อนตัวตามมาพร้อมกับเสียงกระดึงปรากฏขึ้นต่อสายตาทุกคนช้าๆ
เหล่าคนที่ไม่ได้เห็นสีเขียวมาตลอดเจ็ดวันต่างรู้สึกชื่นมื่นขึ้นมาทันที เด็กชายเองก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกระหายน้ำเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน
จนกระทั่งภาพดังกล่าวเคลื่อนเข้ามาใกล้ ทุกคนถึงเห็นชัดว่าบนอูฐตัวเล็กสีขาวสะอ้านนั้นมีเด็กน้อยอายุน่าจะไม่เกินเจ็ดขวบนั่งอยู่ เด็กน้อยสวมอาภรณ์สีเขียว ใบหน้าเปี่ยมด้วยรอยยิ้มราวบุปผาแรกแย้ม
ทุกคนต่างชะเง้อคอมองไปทางด้านหลังเด็กน้อย แต่กลับไม่พบว่ามีใครอื่นอีก
อูฐน้อยรูปร่างล่ำสันเหนือกว่าอูฐธรรมดาทั่วไปตัวหนึ่ง กับเด็กหญิงหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักท่าทางฉลาดเฉลียวอีกคนหนึ่ง ทุกคนต่างรู้สึกตื่นตระหนก พวกเขาพากันนึกถึงตำนานเล่าขานเหลวไหลมากมายในดินแดนตะวันตกแห่งนี้…เทพธิดาภูเขาหิมะ…นางปีศาจทะเลทราย
เด็กน้อยยิ้มกวักมือมาทางพวกเขา “ท่านแม่ให้ข้ามาพาพวกท่านออกจากทะเลทราย”
จ้าวพั่วหนูถาม “ท่านแม่เจ้าเป็นใคร แล้วเจ้ามาเพียงคนเดียวกระนั้นหรือ”
เด็กหญิงตัวน้อยพูดแปลกใจ “ท่านแม่ก็คือท่านแม่น่ะสิ! และข้าก็ไม่ได้มาคนเดียวด้วย” เด็กหญิงตบอูฐเบาๆ “ข้ามีหลิงตัง สหายที่พี่รองยกให้ติดตามมาด้วย” เสร็จแล้วนางก็ชี้ไปที่ด้านหลัง “ยังมีเสวี่ยหลางอีก ท่านแม่ใช้ให้นางตามมาคุ้มครองข้า”
ถึงตอนนี้พวกเขาถึงได้สังเกตเห็นว่าที่ด้านหลังของอูฐตัวนั้นยังมีสุนัขป่าขนขาวอีกตัว
สุนัขป่าตัวนั้นทำเอาทุกคนนึกไปถึงคำว่าสำรวมและสง่างาม อูฐที่ไม่กลัวสุนัขป่า? สุนัขป่าที่ไม่กินอูฐ? ทุกคนต่างประหลาดใจไม่สิ้น
“ยังมี…” เด็กหญิงตัวน้อยล้วงเอานกหวีดไม้ไผ่เล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ใต้ปกเสื้อออกมาเป่าสองครั้ง นางแหงนหน้ามองดูนกอินทรีสองตัวที่ร่อนลงมาตามเสียงนกหวีดพลางพูด “ยังมีเสี่ยวเชียนกับเสี่ยวเถา พวกมันเป็นสหายที่ท่านพ่อหามาให้ข้า”
นกอินทรีขาวสองตัวนั้นแม้จะยังไม่เติบใหญ่เต็มที่ แต่ยามกางปีกออก ความสง่างามน่าเกรงขามของเจ้าแห่งท้องฟ้าอย่างพวกมันกลับปรากฏให้เห็นเด่นชัด
ตัวหนึ่งร่อนลงไปหยุดอยู่บนหลังอูฐ ส่วนอีกตัวกลับร่อนไปยังหัวของสุนัขป่า สุนัขป่าร้องคำรามเตือนมันคราหนึ่งพร้อมกางเล็บหมายตะปบ นกอินทรีตัวนั้นแม้ต้องบินกลับขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างไม่เต็มใจ แต่มันก็ยังคงบินวนเวียนไปมาคอยเฝ้าหาจังหวะไม่เลิก
เด็กหญิงยิ้มพูด “เสี่ยวเถา อย่าแกล้งพี่เสวี่ยเลย เจ้าไปพักผ่อนอยู่บนหลังหลิงตังก่อนเถอะ!”
ทุกคนมองดูด้วยความประหลาดใจระคนสนุกสนาน ขณะเดียวกันก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเด็กหญิงถึงหาพวกเขาพบ
จ้าวพั่วหนูสะท้านไปทั้งร่าง ในใจราวกับคลื่นซัดถาโถม เขาพิจารณาดูเด็กหญิงตรงหน้าโดยละเอียด ก่อนจะเอ่ยปากถาม “ท่านแม่ของเจ้าแซ่อะไร ท่านพ่อของเจ้าเล่า แล้วตัวเจ้าเองชื่อแซ่อะไร ทำไมท่านแม่ของเจ้าถึงส่งเจ้ามาพาพวกเราออกจากทะเลทราย”
“โห! ท่านอา ท่านแม่ก็คือท่านแม่ไง! ข้าชื่ออวิ๋นเกอ ท่านแม่บอกว่าท่านอาจ้าวมีบุญคุณกับนาง จึงให้ข้ามานำทางพาพวกท่านไปจากที่นี่ ตกลงพวกท่านจะไปหรือไม่ ยังอีกตั้งสองวันเชียวนะกว่าจะออกจากทะเลทรายได้!”
อวิ๋นเกอนั่งเอียงข้างอยู่บนอูฐ ยามพูด เท้าทั้งสองข้างก็เตะกวัดแกว่งไปมา
รองเท้าสีเขียวต้นหอมคู่หนึ่ง ด้านบนประดับมุกเม็ดโตเท่าตามังกร ข้างหนึ่งสวมเรียบร้อยอยู่บนเท้านาง ส่วนอีกข้างกลับสวมใส่อยู่เพียงครึ่ง เท้าเล็กๆ ขาวราวหิมะที่ซ่อนอยู่ใต้กระโปรงสีเขียวปรากฏให้เห็นเป็นครั้งคราวตามจังหวะแกว่งไกว
อวิ๋นเกอสังเกตเห็นเด็กชายกำลังจ้องมองดูเท้าของตัวเอง แต่เพราะยังอายุน้อยไร้เดียงสาและไม่รู้ว่าการกระทำเช่นนี้มีอันใดน่าอาย นางจึงส่งยิ้มหวานให้กับอีกฝ่าย
เด็กชายที่เติบใหญ่เกินวัยเข้าใจหลักการครองตนเป็นอย่างดี เดิมทีเขาเพียงพลั้งเผลอชื่นชมไปกับภาพความงามเบื้องหน้า แต่เมื่อเห็นอวิ๋นเกอยิ้มให้ เขาก็หน้าแดงก่ำ รีบเบือนสายตาไปอีกด้าน ท่าทีเย็นชาไม่สมอายุจางหายไปหลายส่วน
จ้าวพั่วหนูบอกไม่ถูกว่าเด็กหญิงตัวน้อยผู้นี้ไม่รู้ประสีประสาจริงหรือจงใจแสร้งทำเป็นปิดบังกันแน่ แต่ที่รู้แน่คือถามไปก็คงไม่มีทางได้คำตอบ เขาได้แต่ปล่อยเลยตามเลย ชื่อของนกอินทรีทั้งสองตัวทำให้เขาหวนนึกถึงเรื่องราวในอดีต ในใจเจ็บปวดเกินบรรยาย แม้จะรู้ว่าไม่อาจเป็นไปได้ ถึงกระนั้นก็ยังคงหวังว่าความปรารถนาลมๆ แล้งๆ ของตนจะเป็นจริง “ข้าก็คือคนแซ่จ้าวที่เจ้าตามหา อวิ๋นเกอ เรื่องนำทางคงต้องรบกวนเจ้าแล้ว”
อวิ๋นเกอกระโดดลงจากหลังอูฐ ยิ้มโค้งคำนับด้วยท่าทีนอบน้อมต่อจ้าวพั่วหนู “ท่านอาจ้าว ท่านแม่ให้ข้ามาเป็นตัวแทนไต่ถามทุกข์สุขของท่าน” หลังจากนั้นก็ชี้ไปยังถุงน้ำที่แขวนเรียงรายอยู่บนหลังอูฐ “น้ำพวกนี้ท่านแม่เตรียมไว้ให้ท่านอา”
ยังไม่ทันรอนางพูดจบ ทุกคนก็โห่ร้องด้วยความยินดี ความรู้สึกกลัดกลุ้มก่อนหน้านี้มลายหายไปจนสิ้น พวกเขาต่างพากันยิ้มพูด “นายท่านจ้าว รู้อยู่แล้วว่าท่านเป็นดาวช่วยชีวิตของพวกเรา”
จ้าวพั่วหนูปลดถุงน้ำใบหนึ่งลงจากหลังอูฐเตรียมมอบให้กับเด็กชาย แต่เขากลับพบว่าอวิ๋นเกอได้ยื่นถุงของตนเองให้กับอีกฝ่ายก่อนแล้ว “ท่านชื่ออะไร”
เด็กชายราวกับไม่ได้ยินที่อวิ๋นเกอถาม เขารับถุงน้ำมาดื่มเงียบๆ ไม่พูดไม่จา
คนอื่นๆ พากันขอบอกขอบใจอวิ๋นเกอ แต่เด็กชายกลับไม่ปริปากอันใดแม้สักคำเดียว แม้แต่นัยน์ตาแสดงความขอบคุณก็ยังไม่มี กิริยาท่าทางเกือบเรียกได้ว่าเย็นชา
แต่อวิ๋นเกอกลับไม่นึกใส่ใจ นางไขว้แขนทั้งสองข้างไว้ที่ด้านหลัง แหงนหน้ายิ้มกริ่มมองเด็กชาย
ตอนส่งถุงน้ำคืน ครั้นสบเข้ากับนัยน์ตาเรียวโค้งราวจันทร์เสี้ยวของอวิ๋นเกอ เขาก็ยอมปริปากพูด แม้น้ำเสียงจะฟังดูเพิกเฉยเย็นชาไปสักหน่อย “จ้าวหลิง”
อวิ๋นเกอเรียกเขา ‘พี่หลิง’ ด้วยน้ำเสียงสดใสแทบจะทันที พร้อมกับรอยยิ้มงามกระจ่างราวกับจันทร์เดือนสี่ จ้าวหลิงที่ไม่เคยถูกผู้ใดเรียกขานเช่นนี้มาก่อน รู้สึกว่าใจที่มืดมนอนธการมาโดยตลอดของเขาพลันมีแสงตะวันสายหนึ่งสาดส่องเข้ามา
ภายในคฤหาสน์ที่ถูกแต่งไว้อย่างหรูหรา ควันจางๆ จากเตากำยานสัมฤทธิ์ทำให้ใบหน้าของผู้ที่นั่งอยู่บนตำแหน่งสูงสุดตรงเบื้องหลังนั้นดูเลือนราง
เด็กชายอายุสี่ขวบกำลังยืนอยู่กลางห้องรับรอง ท่องหนังสือไปพร้อมกับไขว้มือทั้งสองข้างไว้ด้านหลัง
“…มีเหล่าปราชญ์ส่งเสริมกุศลธรรม มีผู้ปรีชาชาญเกื้อหนุนหน้าที่ การศึกษากว้างไกล ใต้หล้าปรองดอง ปวงประชาสงบสุข ประพฤติตนอยู่ในครรลอง ดำเนินชีวิตสุขุมเยือกเย็น ที่ขงจื่อกล่าว ‘หากมีราชาปกครอง หลังสามสิบปีจึงเห็นเมตตา’ ก็หมายถึงสิ่งนี้ เหยาครองราชย์เจ็ดสิบปี มอบราชสมบัติต่อแก่ซุ่น ยามเหยาสิ้นประชาไม่ภักดีต่อตันจูผู้เป็นบุตรของเหยา กลับจงรักต่อซุ่น ซุ่นรู้ไม่อาจเลี่ยงจึงขึ้นครองราชย์ต่อ มีอวี่เป็นอัครเสนาบดี พร้อมคงขุนนางเดิมของเหยา สืบทอดสานงานต่อ ทั่วหล้าสงบใต้กรอบขนบเดิม ‘ความละมุนละไมที่ขงจื่อกล่าวคือถึงพร้อมด้วยความงาม และถึงพร้อมด้วยความดี’ ก็หมายถึงสิ่งนี้ ส่วนอินโจ้วขัดมติสวรรค์ ทำลายสรรพสิ่ง สังหารนักปราชญ์ผู้รู้ ทำร้ายชาวประชา…”
คนที่ยืนเรียงรายอยู่ทั้งสองข้างต่างมีสีหน้าตื่นตะลึง สมญานามอัจฉริยะตัวน้อยมิใช่เพียงคำลวงจริงๆ
แม้แต่ชายชราบนตำแหน่งสูงสุดผู้ไม่ใคร่ยิ้มหัวกับผู้ใดก็ยังอดยิ้มพยักหน้าไม่ได้
หลังท่องจบ ขณะที่เด็กชายกำลังเตรียมวิ่งเข้าสู่อ้อมแขนของมารดาเหมือนทุกครั้ง เขาก็เหมือนนึกขึ้นได้ถึงวาจาที่ผู้เป็นมารดาเอ่ยกำชับก่อนหน้านี้ จึงค้อมตัวประสานมือคำนับเฉกเช่นผู้ใหญ่ ก่อนจะยืดตัวตรง ปั้นหน้าเคร่งขรึม สาวเท้าเล็กๆ ถอยกลับไปยังตำแหน่งเดิมของตนช้าๆ ทีละก้าวๆ
ครั้นพบว่าไม่มีผู้ใดจับตามอง เขาก็รีบปั้นหน้าทะเล้นใส่ผู้เป็นมารดา
สตรีที่นั่งอยู่ข้างๆ ชายชราพยักหน้ายิ้มเล็กน้อย ส่งสัญญาณบอกให้เขานั่งให้เรียบร้อย
สายลมอบอุ่นและดวงตะวันงามในคิมหันตฤดู จักจั่นส่งเสียงร้องระงม
เด็กชายวัยห้าขวบซ่อนตัวอยู่หลังม่านในห้องหนังสือ ดวงตากลมโตดำขลับจับจ้องไปที่ด้านนอก
เสียงฝีเท้าเร่งร้อนดังอยู่ทางด้านนอก ทันใดนั้นน้ำเสียงอบอุ่นนุ่มนวลของสตรีนางหนึ่งก็ดังขึ้น “หลิงเอ๋อร์”
เด็กชายตกใจ เขารีบอ้าปากหมายร้องปราม แต่กลับช้าไปก้าวหนึ่ง
เขาได้ยินเพียงเสียงหวีดร้องแหลมๆ ถังน้ำที่วางตั้งอยู่เหนือประตูร่วงลงมาตามแรงผลักของอีกฝ่าย
น้ำสีดำอันเกิดจากน้ำหมึกอาบไปทั่วร่างของสตรีผู้นั้น
นางในยามนี้นับแต่ศีรษะจรดปลายเท้าดูไม่ต่างอะไรกับอีกาสีดำตกน้ำ เหล่าสาวใช้ที่ยืนรับใช้อยู่ข้างๆ ต่างตื่นตระหนก ทุกคนรีบหมอบลงกับพื้น
อวี๋อันบ่าวคนสนิทของเด็กชายตกใจทำอะไรไม่ถูก ร่างกายอ่อนระทวยทรุดอยู่กับพื้นตั้งแต่แรก ในใจนึกรันทดเป็นที่สุด เขาเพิ่งเข้ามาเป็นบ่าวคนสนิทได้เพียงไม่นาน เรียนรู้วิธีประจบสอพลอเพียงนิด กินสินบาทคาดสินบนก็เพียงน้อย จับมือของนางกำนัลได้เพียงครั้ง หรือสวรรค์อิจฉาผู้มีความสามารถอย่างเขาถึงได้เลือกจะเอาชีวิตเขา ไม่ยอมให้เขาได้มีโอกาสเป็นบ่าวเจ้าเล่ห์อันดับหนึ่งในใต้หล้า?
เด็กชายกุมม่านไว้แน่น สีหน้าหวาดวิตก มารดาของเขารักสวยรักงามยิ่งนัก ครั้งนี้เขาคงต้องแย่แน่!
สตรีผู้นั้นยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตูครู่หนึ่ง แรกเริ่มนางรู้สึกทั้งตกใจทั้งโมโหและไม่อยากเชื่อ แต่สุดท้ายสีหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นจนใจ “หลิงเอ๋อร์ ออกมา!”
เด็กชายโผล่หน้าออกมาดูจากหลังม่าน ก่อนจะส่ายหน้าหดกลับไปอย่างรวดเร็ว “ท่านพี่หญิงตัดภาพของข้าขาด ข้าเพียงคิดจะแกล้งนางคืนเท่านั้น ข้าจะท่องหนังสือ เขียนอักษร เชื่อฟังท่านอาจารย์ ไม่แกล้งท่านพี่หญิง จะ…”
นางเดินไปหยุดอยู่หน้าเด็กชาย ยื่นมือไปจับปกเสื้อ ลากตัวอีกฝ่ายออกมาจากหลังม่าน กอดเด็กชายไว้แน่น ขยี้คลึงใบหน้าเขาสองสามที
เด็กชายนึกกลัวมากขึ้นทุกขณะ ปากที่เฝ้าพร่ำบ่นหยุดลงในที่สุด เขาก้มหน้า “ข้าผิดไปแล้ว”
ครั้นเห็นท่าทีเช่นนั้นของอีกฝ่าย นางก็อดหัวเราะเสียงดังออกมาไม่ได้ หลังจากนั้นก็หันไปสั่งสาวใช้ที่อยู่ด้านหลัง “พวกเจ้าจะมัวคุกเข่าทำไมกัน ยังไม่ไปเตรียมข้าวของเครื่องใช้ให้คุณชายชำระเนื้อตัวอีก ใช้อ่างใบใหญ่ที่สุด”
เดิมทีเด็กชายอยู่ในเสื้อผ้าอาภรณ์งดงาม แต่ในเวลานี้กลับเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำหมึก เขาเบะปากมองดูท่านแม่ แม้จะไม่พอใจ หากก็ได้แต่เก็บงำไว้ไม่กล้าเอ่ยปาก ท่านแม่คงเจตนาแกล้งเขาเป็นแน่
นับแต่พลาดท่าตกน้ำตอนอายุสามขวบ เขาก็เกลียดกลัวการอาบน้ำในอ่างเป็นที่สุด
พอเห็นท่าทางของอีกฝ่าย สตรีผู้นั้นก็ยิ้ม จรดริมฝีปากลงบนแก้มของเด็กชาย “จะอาบน้ำ หรืออยากโดนลงโทษ เจ้าเลือกเอาเอง”
เด็กชายกำลังเตรียมเอ่ยปากบอก ‘ขอรับโทษ’ แต่ครั้นเห็นท่านแม่ของตนชำเลืองมองไปที่อวี๋อัน เขาก็รีบก้มหน้าลงทันที
สตรีและคนพาลล้วนยากเลี้ยงดู คนอื่นเจอแค่หนึ่งก็แย่แล้ว แต่อวี๋อันกลับเจอถึงสอง ยอมรับชะตากรรมเถอะ!
ม่านทับซ้อนกันชั้นแล้วชั้นเล่า
ที่แห่งนี้เขาเคยหลบเร้นท่านแม่ของตน คอยแอบดูนางร้อนอกร้อนใจจากด้านใน
ที่แห่งนี้เขาเคยใช้แอบท่านแม่และท่านพี่หญิง รอจังหวะกระโจนออกมาทำพวกนางตกใจ
และก็ที่แห่งนี้ที่เขาใช้หลบท่านอาจารย์ยามไม่อยากฟังคำสอนสั่ง…
แต่วันนี้เขากลับไม่เข้าใจคำพูดของคนที่อยู่นอกม่านนั้นเลยแม้แต่น้อย
เขาเพียงรู้สึกกลัว กลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ท่านแม่กำลังคุกเข่าคร่ำครวญขอร้อง นางโขกหัวลงกับพื้นจนหน้าผากอาบไปด้วยเลือด แต่ทำไมท่านพ่อถึงยังคงมองดูท่านแม่ด้วยสายตาเย็นชาเช่นนั้น ทุกคนต่างบอกว่าท่านพ่อรักและเอ็นดูท่านแม่ยิ่งมิใช่หรืออย่างไร
“เพื่อหลิงเอ๋อร์ เจ้าจำต้องสละชีวิต!”
แม้คำพูดของท่านพ่อจะไม่มีอันใดซับซ้อน แต่เขากลับไม่อาจเข้าใจ
ทำไมเพื่อเขาแล้ว ท่านแม่ถึงต้องสละชีวิต เขาไม่ได้ต้องการให้ท่านแม่สละชีวิตเสียหน่อย!
ขณะที่เขากำลังจะมุดตัวออกจากม่าน อวี๋อันที่อยู่ด้านหลังก็ตรึงแขนปิดปากเขาไว้แน่น
อวี๋อันเหงื่อท่วมเต็มหัว แววตาร้องขอ ด้วยกำลังของอวี๋อันทำให้เขาไม่อาจขยับ
บ่าวสองคนลากตัวท่านแม่ออกไป เสียงคร่ำครวญอ้อนวอนของท่านแม่กลับกลายเป็นเสียงกรีดร้องรันทด “ให้ข้าได้พบหลิงเอ๋อร์อีกสักครั้ง…หลิงเอ๋อร์ๆๆ…”
เลือดสดๆ บนหน้าผากของท่านแม่ไหลหยดลงพื้น
หยดแล้วหยดเล่า
หยดเลือดที่ไหลซึมเข้าไปในพื้นพวกนั้นกลายเป็นคราบฝังลึกติดอยู่ในใจเขาไม่อาจลบล้างไปชั่วชีวิต
กลิ่นคาวเลือดนั้นอบอวลอยู่ในตำหนักรวมถึงในโพรงจมูกเขาชั่วนิจนิรันดร์
ท่านแม่ประเดี๋ยวก็ร้องอ้อนวอนเจ็บปวด ประเดี๋ยวก็ร้องรันทดสิ้นหวัง กลิ่นคาวเลือดตลบอบอวลอยู่ภายในตำหนักอันมืดมิดไม่สิ้น
คืนแล้วคืนเล่า วันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า ปีแล้วปีเล่า
ปีแล้วปีเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า วันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่า
หมุนเวียนเปลี่ยนผันไม่เคยหยุดแม้สักครั้ง…
หลิงเอ๋อร์ๆๆ…
เลือดบนหน้าผากของท่านแม่ไหลเร็วขึ้นทุกที เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ท่วมมิดอกเขา
“ท่านแม่ ไม่ใช่ความผิดของข้า! ไม่ใช่ความผิดของข้า…”
เป็นความผิดของเจ้า เจ้าทำให้ท่านแม่ของเจ้าต้องตาย ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะเจ้า…
จ้าวหลิงขดตัวแน่นอยู่ใต้ผ้าห่ม แม้เหงื่อเย็นจะไหลท่วมเต็มศีรษะ แต่เขากลับกัดริมฝีปากแน่น ไม่ยอมให้มีเสียงอันใดเล็ดลอดออกไป
“พี่หลิงๆ!” อวิ๋นเกอเขย่าตัวจ้าวหลิงเบาๆ
ทันทีที่ตื่นพ้นจากฝันร้าย จ้าวหลิงก็ผลักอวิ๋นเกอออก “เจ้าบ่าวใจกล้า ใครอนุญาตให้เจ้า…”
ครั้นเห็นชัดว่าอีกฝ่ายคืออวิ๋นเกอ เห็นชัดว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ใต้แผ่นฟ้ากว้างสุดลูกหูลูกตา มิใช่ภายในตำหนักมืดมิด เขาก็รีบเก็บเสียง แววตาเคร่งขรึมค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นงุนงงสับสน
แม้จะถูกจ้าวหลิงผลักล้มก้นจ้ำเบ้านั่งอยู่กับพื้น อวิ๋นเกอกลับทำเพียงลูบก้นป้อยๆ เอ่ยปากถามเสียงแผ่ว “ท่านฝันร้ายกระนั้นหรือ”
จ้าวหลิงเพ่งมองลึกเข้าไปในความมืดราวไม่ได้ยินคำพูดของอวิ๋นเกอ
อวิ๋นเกอนั่งลงข้างกองไฟ พลิกรื้อถุงหอมที่พกติดตัวอยู่ตลอดเวลาครู่หนึ่งก่อนจะโยนพุทราเปรี้ยวลงในหม้อน้ำ พอเดือด นางก็รินยกมาให้เจ้าหลิง
จ้าวหลิงมองดูถ้วยในมืออวิ๋นเกอ ไม่มีทีท่าว่าจะรับเอาไว้
อวิ๋นเกอพูดเบาๆ “สีสันอาจจะดูไม่น่ากินสักเท่าไหร่ แต่เรื่องช่วยให้จิตใจสงบ รับรองว่าเจ้าพุทราเปรี้ยวนี้ช่วยได้โขอยู่” จ้าวหลิงยังคงไม่ขยับ นัยน์ตาของอวิ๋นเกอกลอกไปมารอบหนึ่ง “ตอนข้าไม่ยอมกินยา ท่านแม่มักร้องเพลงปลอบใจข้าเสมอ เช่นนั้นข้าจะร้องให้ท่านฟังก็แล้วกัน”
จ้าวหลิงมองดูคนอื่นๆ ที่กำลังหลับสนิท ขณะที่อวิ๋นเกออ้าปากเตรียมร้อง เขาก็รีบคว้าถ้วยในมือเด็กหญิงมาถือไว้
อวิ๋นเกอยิ้มกริ่มมองดูเขา จ้าวหลิงดื่มน้ำจนหมดถ้วย หลังจากนั้นก็ล้มตัวลงนอนไม่ปริปากพูดอันใดแม้แต่คำเดียว
อวิ๋นเกอโอบผ้าห่มมองดูจ้าวหลิงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกระเถิบตัวเข้าไปหาเขา
นางเบียดตัวเข้าใกล้กระเบียดหนึ่ง จ้าวหลิงก็ถอยห่างออกมาเงียบๆ กระเบียดหนึ่ง พออวิ๋นเกอกระเถิบเข้าหาอีกกระเบียด จ้าวหลิงก็ถอยออกไปอีกกระเบียด อวิ๋นเกอเบียดชิดเข้ามาอีกกระเบียด จ้าวหลิงก็กระเถิบหนีอีกกระเบียด…
ในที่สุดจ้าวหลิงก็หมดความอดทน เขากระซิบถาม “เจ้าคิดจะทำอะไร”
“ข้านอนไม่หลับ ท่านเองก็นอนไม่หลับนี่ พวกเรามาคุยกันดีกว่า ท่านเล่านิทานให้ข้าฟังได้หรือเปล่า”
“ข้าเล่าไม่เป็น”
“ถ้าอย่างนั้นข้าเล่าให้ท่านฟังก็ได้” ยังไม่ทันที่จ้าวหลิงจะตอบตกลง อวิ๋นเกอก็เริ่มเอ่ยปากเล่า “มีอยู่ปีหนึ่ง ท่านพ่อพาข้าไปปีนเขาหิมะ…”
เดิมทีจ้าวหลิงตั้งใจจะแกล้งทำเป็นหลับ อวิ๋นเกอจะได้หยุดพูดพล่าม แต่นึกไม่ถึงว่าอวิ๋นเกอกลับพูดคนเดียวอย่างสนุกสนาน ครั้นเล่าประสบการณ์บนภูเขาหิมะจบ นางก็เริ่มเล่าเรื่องของพี่รอง พี่สาม จ้าวหลิงพูดน้ำเสียงเย็นชา “ข้าจะนอนแล้ว”
“อย่างนั้นท่านก็นอนเถอะ! ตอนท่านแม่เล่านิทานให้ข้าฟัง ข้าก็ฟังเพลินจนหลับไปเหมือนกัน…ตอนพี่สามของข้ากับข้าไปต้าฉิน* ข้าอายุห้าขวบ ผู้คนที่นั่นส่วนใหญ่ล้วนมีผมสีทอง นัยน์ตาสีเขียวอมฟ้า สวยมาก แต่ข้าไม่ชอบพวกเขา พวกเขาขังสิงโตให้มันอดอาหารนานหลายวัน ก่อนจะปล่อยออกมาให้สู้กับคน มีคนเข้าไปนั่งดูอยู่เป็นจำนวนมาก ข้าไม่ชอบดู แต่พี่สามกลับชอบมาก พวกเขามอบลูกสิงโตให้ท่านพ่อข้าสองตัว สุดท้ายพี่สามก็เป็นคนเอาพวกมันไปเลี้ยง…ท่านต้องไม่เชื่อแน่ๆ แต่ข้าสาบานได้ว่ามีดินแดนแบบนั้นอยู่จริงๆ…”
อวิ๋นเกอยังคงคิดพูดต่อ จ้าวหลิงตัดบท “ฟ้าดินกว้างใหญ่ เรื่องแปลกประหลาดอันใดล้วนมีด้วยกันทั้งสิ้น แล้วมีเหตุผลอะไรที่ข้าจะไม่เชื่อ อดีตจักรพรรดิยามครองราชย์ อันซี** และเถียวจือ*** ต่างล้วนเคยส่งราชทูตมาเข้าเฝ้า ใน ‘พงศาวดาร บันทึกต้าฉิน’ ล้วนมีการบันทึกไว้ ในเมื่อลึกเข้าไปทางตะวันตกของดินแดนตะวันตกยังมีอาณาจักรอันซีที่เจริญรุ่งเรืองพอๆ กับราชวงศ์ฮั่นได้ นั่นก็แปลว่าทางทิศตะวันตกของอันซีก็น่าจะยังมีดินแดนแคว้นอื่นอยู่อีก ได้ยินว่าพ่อค้าชาวอันซี เพื่อครอบครองเส้นทางสายไหมไว้กับตัว กอบโกยผลประโยชน์จากการเป็นพ่อค้าคนกลาง พวกเขาจึงเลือกที่จะปกปิดเรื่องราวของอาณาจักรที่อยู่ลึกเข้าไปยังฝั่งตะวันตกไว้ ไม่ยอมให้พวกพ่อค้าต่างแดนรวมถึงพ่อค้าชาวฮั่นได้รับรู้”
ตอนอวิ๋นเกอเล่าเรื่องพวกนี้ให้คนอื่นฟัง ส่วนใหญ่คนพวกนั้นล้วนหัวเราะเยาะนาง หาว่านางพูดเหลวไหล ดังนั้นเมื่อพบว่ามีคนเชื่อเรื่องที่นางเล่าเป็นครั้งแรกเช่นนี้ อวิ๋นเกอจึงอดรู้สึกตื่นเต้นดีใจไม่ได้ “ท่านเชื่อเรื่องที่ข้าเล่า? ก็เหมือนอย่างที่ท่านคิด ต้าฉินอยู่ทางทิศตะวันตกของอันซี ท่านเคยไปอันซีหรือเปล่า จะว่าไปอันซีก็สนุกสนานไม่แพ้กัน”
จ้าวหลิงไม่ได้สนใจคำถามของอวิ๋นเกอ อวิ๋นเกอรออยู่ครู่หนึ่ง พอเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบ นางก็ยิ้ม เริ่มเล่าเรื่องของตัวเองต่อ
แต่คราวนี้จ้าวหลิงกลับไม่ได้เอ่ยปากปราม เขาทำเพียงหลับตาลง ไม่รู้ว่ากำลังหลับหรือตื่น
ตั้งแต่เล็กจนโต ด้วยเพราะฐานะของเขาจึงไม่มีผู้ใดกล้าโต้เถียงกับเขาซึ่งหน้า เวลาพูดจากับเขา หากไม่ระแวดระวังยิ่งยวดก็นอบน้อมหวาดหวั่น หรือไม่ก็โอนอ่อนผ่อนตาม ทำตัวประจบสอพลอ
คนหน้าหนาเช่นนางเขาเพิ่งเคยพบเห็นเป็นครั้งแรก หนำซ้ำยังดื้อด้านเสียราวกับว่ามันสมควรจะเป็นเช่นนั้น ช่างไม่รู้จักดูสายตาชาวบ้านเสียบ้างเลย
จากเดิมที่คิดว่าจำต้องฝืนใจอดทนฟังเสียงของอีกฝ่าย แต่สุดท้ายเขากลับตั้งอกตั้งใจฟังเรื่องที่อวิ๋นเกอเล่าโดยไม่รู้ตัว
จากทุ่งหญ้าไซ่เป่ยไปจนถึงทะเลทรายโกบี จากยอดเขาจูมู่หลางหม่า* ไปจนถึงที่ราบสูงปามีร์ จากทักษะขี่ม้าชั้นสูงของชาวซยงหนูในดินแดนตะวันตกไปจนถึงงานฝีมือชั้นเลิศของชาวอันซีและต้าฉิน…
เรื่องที่อวิ๋นเกอเล่ามีโลกที่เขาไม่เคยพบพานซ่อนอยู่ เป็นโลกที่เขาพบได้ก็แต่ในหนังสือ ไม่มีทางสัมผัสหรือมองเห็น
สำหรับเขาแล้ว พวกมันแทบจะเป็นโลกที่มีอยู่แต่ในนิทานเท่านั้น
สุดท้ายเขาก็ยังคงรอฟังนิทานเรื่องต่อไปของอวิ๋นเกอ แต่นางกลับ “…ลูกหมาป่าตัวนั้นรู้จักขโมยของจริงๆ หนำซ้ำยังเป็นหัวขโมยโลภมากอีกต่างหาก มันเลือกขโมยเฉพาะอัญมณีที่ส่องประกายแวววาวพวกนั้น…ข้าโมโหมาก…ก็เลยตีก้นมัน…ตีก้นมัน…” น้ำเสียงของอวิ๋นเกอขาดๆ หายๆ ก่อนจะผล็อยหลับไปในที่สุด
* ต้าฉิน เป็นชื่อที่ชาวจีนสมัยโบราณใช้เรียกอาณาจักรโรมัน
** อันซี หมายถึงจักรวรรดิปาร์เธียน
*** เถียวจือ เป็นชื่ออาณาจักรโบราณในดินแดนตะวันตก จากบันทึก ‘พงศาวดารฮั่น·บันทึกดินแดนตะวันตก’ และ ‘พงศาวดารฮั่นยุคหลัง บันทึกดินแดนตะวันตก’ ระบุว่าตั้งอยู่ติดกับพรมแดนทางตะวันตกของจักรวรรดิปาร์เธียน และติดกับอ่าวเปอร์เซีย
* ยอดเขาจูมู่หลางหม่า ถอดเสียงมาจากมาภาษาจั้ง (ทิเบต) หมายถึงยอดเขาเอเวอเรสต์
จ้าวหลิงลืมตาขึ้นช้าๆ เขาพลิกกายหันไปมองดูอวิ๋นเกอ
ทั้งๆ ที่หลับไปแล้ว แต่ใบหน้าของอวิ๋นเกอกลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ดูอิสระและเป็นสุขเหมือนกับชื่อของนาง ขนตาละเอียดเรียวยาวนั้นเสมือนหนึ่งผีเสื้อสองตัวที่กำลังพักผ่อนอยู่ใต้แสงดาว
อวิ๋นเกอนอนดิ้นเป็นที่สุด นางพลิกตัวไปมาอยู่ใต้ผ้าห่มที่ห่อร่างนางไว้
ร่างของนางขยับตัวเข้าใกล้กองไฟมากเข้าไปทุกที ขนาดเส้นผมเริ่มส่งกลิ่นเหม็นไหม้แต่นางก็ยังคงไม่รู้สึกตัว จ้าวหลิงจนใจ ทำได้เพียงลุกขึ้นลากอวิ๋นเกอกลับเข้ามา
นางหันหน้าไปทางจ้าวหลิงอีกครั้ง ยิ่งดิ้นก็ยิ่งใกล้เข้ามาทุกที พอผลักนางออกเบาๆ นางก็ขยับเข้าไปหากองไฟ…
ลากกลับมา ผลักออกไป ลากกลับมา ผลักออกไป…
เช้าวันที่สองตอนจ้าวพั่วหนูลืมตาตื่น ภาพที่เขาเห็นก็คืออวิ๋นเกอกำลังหลับสนิทกอดแขนจ้าวหลิงไว้ มุมปากยกยิ้มน้อยๆ ไม่รู้ว่าฝันดีอะไรอยู่ ส่วนจ้าวหลิงกลับมีท่วงท่าแปลกประหลาด มือเขาจับยึดแขนเสื้อของอวิ๋นเกอไว้มุมหนึ่งราวกับกลัวนางจะหนีหาย ขณะเดียวกันก็เหมือนกลัวนางจะเข้าใกล้ ทั้งๆ ที่เห็นอยู่ว่าหลับสนิท แต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้าอ่อนอกเพลียใจ
ขณะที่คนอื่นๆ ต่างพากันหัวเราะ จ้าวพั่วหนูกลับตะลึงมองดูอวิ๋นเกอกับจ้าวหลิงอยู่พักใหญ่ ได้ยินว่ายามนอน จ้าวหลิงจะไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้ แม้แต่เฝ้าอยู่ในห้องก็ไม่ได้ จะมีก็แต่เพียงอวี๋อันเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้ยืนเฝ้าอยู่ที่หน้าประตู ตลอดระยะเวลาที่พวกเขาร่วมเดินทางอยู่ด้วยกันก็เป็นเช่นนั้นไม่มียกเว้น ไม่รู้อวิ๋นเกอใช้วิธีใดถึงสยบจ้าวหลิงลงได้
ทันทีที่ผ่านพ้นทะเลทรายโกบีเข้าสู่ทุ่งหญ้าเบื้องหน้า นั่นหมายความว่าพวกเขาได้ย่างเท้าเข้าสู่แผ่นดินต้าฮั่นเป็นที่เรียบร้อย
สีหน้าของจ้าวพั่วหนูผ่อนคลายลงหลายส่วน โชคดีที่สุดท้ายภารกิจก็ผ่านพ้นลุล่วง สามารถนำพาทุกคนกลับมาได้อย่างปลอดภัย
จู่ๆ เสวี่ยหลางก็คำรามออกมาเบาๆ มันขยับตัวขึ้นหน้ามาขวางอยู่ตรงหน้าอวิ๋นเกอ
จ้าวพั่วหนูรีบสั่งให้ทุกคนล้อมวงอารักขาจ้าวหลิงไว้
เพียงไม่นานผู้คนสวมเสื้อผ้าขาดกะรุ่งกะริ่งจำนวนหนึ่งก็วิ่งเอาเป็นเอาตายตรงเข้ามาหาพวกเขาโดยมีทหารฮั่นวิ่งไล่ตามมา ขณะที่คนพวกนั้นจวนเจียนก้าวข้ามพ้นเขตชายแดน ธนูแหลมคมก็พุ่งทะลุผ่านแผ่นหลังของพวกเขา ร่างของคนเหล่านั้นล้มลงไปนอนกองอยู่กับพื้น
ทันทีที่เห็นธนูพุ่งเข้ามา อวิ๋นเกอก็สั่งให้เสวี่ยหลางรุดขึ้นหน้าช่วยคน แต่เสวี่ยหลางกลับมีเวลาทำได้เพียงกระโจนกระแทกร่างใส่เด็กชายคนหนึ่งล้ม
“เจ้าพวกคนเถื่อน กล้าช่วยเหลือนักโทษกระนั้นหรือ ฆ่า!” ทหารนายหนึ่งยกมือให้สัญญาณเตรียมปล่อยธนู
จ้าวพั่วหนูรีบตะโกนร้องบอก “นายท่าน พวกเราล้วนเป็นชาวฮั่น เป็นเพียงพ่อค้าธรรมดาเท่านั้น ไหนเล่าจะกล้าทำผิดอาญาบ้านเมือง”
หลังพิจารณาดูพวกเขาอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดอีกฝ่ายก็ออกคำสั่งหยุดยิง ก่อนจะส่งสัญญาณให้พวกเขาเดินขึ้นหน้ามาสอบถาม คำถามที่ถามมา ไม่ว่าจะประโยคไหนก็ล้วนวนเวียนอยู่แต่กับเรื่องสินค้าเงินทอง
ในที่สุดจ้าวพั่วหนูก็เข้าใจความหมายของอีกฝ่าย เขาชำเลืองดูจ้าวหลิง ในขณะที่มือทั้งสองข้างประเคนถุงเงินหนาหนักถุงหนึ่งส่งให้กับทหารผู้เป็นหัวหน้า “ต้องอยู่ปกป้องชายแดนเช่นนี้นับว่าลำบากยิ่งนัก เงินทองพวกนี้คงพอช่วยให้พวกนายท่านหาสุราดื่มไล่หนาวได้บ้าง”
หัวหน้าทหารชั่งถุงเงินในมือก่อนจะเอ่ยปากพูดพร้อมรอยยิ้มจอมปลอม “เสร็จจากเดินทางพวกเจ้าก็กลับบ้านไปกอดลูกเมียได้ แต่พวกเรานี่สิ กลับยังต้องอยู่ที่นี่คอยจัดการพวกกบฏ”
คนที่เดินทางมาพร้อมกับจ้าวพั่วหนูมีอยู่หลายคนที่รู้สึกขัดหูขัดตากับการกระทำเช่นนี้ เตรียมที่จะโวยวายอาละวาด ครั้นเห็นสายตาของจ้าวพั่วหนูที่จับจ้องมา พวกเขาก็ได้แต่นิ่งเงียบสะกดอารมณ์ไว้
จ้าวพั่วหนูสั่งให้ชายที่ยืนอยู่อีกด้านหยิบเงินให้ทหารพวกนั้นอีกถุง พอได้รับถุงเงินเพิ่มทหารนายนั้นก็ตีสีหน้าฝืนพอใจ “พวกเจ้าไปได้แล้ว”
แต่อวิ๋นเกอกลับไม่ยอมไป นางยืนกรานจะพาเด็กชายที่ยังคงสลบไสลไม่ได้สติคนนั้นไปด้วย จ้าวพั่วหนูจนปัญญาจึงได้แต่เอ่ยปากอ้อนวอนพวกทหาร พร้อมเสนอเงินให้อีกจำนวนหนึ่ง ทหารยิ้มเย็นชา “เจ้าเด็กนี่เป็นพวกกบฏ มีโทษสมควรตาย! พวกเจ้าทำเช่นนี้คงเบื่อชีวิตมากแล้วกระมัง”
จ้าวหลิงเอ่ยปากพูดเย็นชา “คนผู้นี้เพิ่งจะอายุเท่าไหร่กัน อย่างมากก็แค่สิบสามสิบสี่ จะไปก่อการกบฏกับผู้ใดได้”
อีกฝ่ายโกรธจัด ตวัดแส้ฟาดใส่จ้าวหลิง
อวิ๋นเกอมือไม้ว่องไว นางใช้มือข้างหนึ่งฉุดตัวจ้าวหลิงหลบได้ทัน พร้อมโบกมืออีกข้างเบาๆ ฝุ่นควันสีดำกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นทันที ทหารนายนั้นยกมือปิดตา ตะโกนร้อง “ตาข้า ตาของข้า!”
ทหารนายอื่นๆ พากันชักดาบง้างธนู สงครามนองเลือดราวกับจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า
อวิ๋นเกอไม่รู้จักกลัว ตรงกันข้ามนางกลับหัวเราะเบาๆ “เด็กดี อย่าร้องนะ อย่าร้อง! ตาของท่านไม่เป็นอะไรสักหน่อย ที่ปลิวเข้าตาก็แค่อาหารจากดินแดนตะวันตก ไม่ใช่ยาพิษอะไรทั้งนั้น ข้าใช้มันเพื่อยับยั้งไม่ให้ท่านลงมือทำร้ายผู้อื่นก็เท่านั้น กลับไปใช้น้ำสะอาดล้างเสียหน่อยก็ไม่เป็นอะไรแล้ว”
จ้าวหลิงที่วางท่าเย็นชามาโดยตลอด พอได้ยินวาจาเย้ยหยันของอวิ๋นเกอ เห็นท่าทางกระเซอะกระเซิงของทหารนายนั้น รอยยิ้มเล็กๆ ก็ปรากฏขึ้นที่มุมปาก เขายืนมือไขว้หลัง สีหน้าคล้ายกำลังชมการแสดงชั้นยอด
เด็กทั้งสอง…อายุยังไม่มาก แต่นิสัยกลับไม่เด็กเหมือนอายุ!
เพื่อให้ทหารกลุ่มนี้ยังรักษาชีวิตไว้ได้ เขาคงได้แต่ต้องยอมสละตนเองแล้ว
จ้าวพั่วหนูถอนหายใจอย่างจนปัญญา ตะโกนร้องว่าหยุดมือ ล้วงเอาจดหมายในอกเสื้อออกมาส่งให้ผู้ติดตามของหัวหน้าทหารผู้นั้น “นี่เป็นจดหมายที่นายท่านมอบให้ข้าไว้ก่อนออกเดินทาง”
ผู้ติดตามกำลังสะบัดกระดาษเตรียมเปิดอ่าน ครั้นเหลือบเห็นตราประทับด้านบน สีหน้าก็เปลี่ยนไปแทบจะในทันที รีบขยับก้าวเข้าไปกระซิบข้างหูของทหารผู้เป็นนาย
หัวหน้าทหารร้อนรนรีบน้อมคำนับติดๆ “ทำไมท่านถึงไม่รีบบอกว่าเป็นญาติของท่านแม่ทัพจ้าวเล่า เข้าใจผิดแล้ว เรื่องทั้งหมดล้วนเป็นการเข้าใจผิด…”
ทหารไม่เพียงเอ่ยปากขอโทษซ้ำไปซ้ำมา แต่ยังคืนเงินทองทั้งหมดให้จ้าวพั่วหนูด้วย ซ้ำเอ่ยปากเชิญจ้าวพั่วหนูไปกินอาหารดื่มสุราด้วยกัน จ้าวพั่วหนูต้องยืนกรานปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งต้องแสดงท่าทีว่าไม่นึกติดใจเอาความ กระทั่งเรียกอีกฝ่ายเป็นพี่เป็นน้อง ในที่สุดทหารพวกนั้นจึงยอมจากไปได้
คนในที่นั้นต่างหัวเราะคิกคัก
“ท่านจ้าว ทำไมถึงต้องเกรงอกเกรงใจคนพวกนั้นมากมายแบบนี้ด้วย ทำเช่นนี้มิเท่ากับทำให้พวกเขาอายุสั้นหรืออย่างไรกัน”
จ้าวพั่วหนูกลับหันไปมองดูสีหน้าเรียบเฉยของจ้าวหลิงแวบหนึ่งพร้อมกับถอนหายใจด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง
เด็กชายที่ช่วยไว้ดูท่าจะหิวเกินไป อีกทั้งยังตื่นตระหนกตกใจติดต่อกันมาหลายวัน กว่าจะฟื้นคืนสติได้ ท้องฟ้าก็มืดไปจนสิ้น
ครั้นลืมตาตื่น เด็กชายกลับน้ำตาเหือดแห้ง เขาเอาแต่กินขนมปิ่งอยู่เงียบๆ ไม่พูดไม่จา เพียงชั่วเวลาไม่นานก็กินหมดไปแปดชิ้น หนำซ้ำยังขอกินอีก
อวิ๋นเกอร้องตกใจ “เดี๋ยวก็จุกตายพอดี!”
สายตาของเด็กชายยังคงจับจ้องอยู่ที่ขนมปิ่ง “เสร็จมื้อนี้ มื้อต่อไปข้าก็คงต้องอดอีก จุกตายดีกว่าอดตายเป็นไหนๆ พ่อข้าบอกว่าผีอดอยากยากจะได้กลับมาเกิดใหม่”
อวิ๋นเกอขมวดคิ้วมองดูอีกฝ่าย จ้าวหลิงที่ไม่ค่อยพูดจาจู่ๆ ก็เอ่ยปาก “เอาขนมปิ่งที่เหลือให้เขาไป”
อวิ๋นเกอรวบขนมปิ่งทั้งหมดใส่ถุงผ้ายื่นส่งให้ เด็กชายช้อนตามองไปที่จ้าวหลิง สีหน้าลังเล จ้าวหลิงพยักหน้าเล็กน้อย
เด็กชายรับถุงผ้าไว้ กอดมันไว้แนบอกราวกับเกรงว่าจะมีใครมาชิงเอาไป ทันใดนั้นน้ำตาของเขาก็ไหลร่วง “ท่านแม่ ข้ามีกินแล้ว ท่านแม่…ท่านพ่อ…ข้ามีกินแล้ว พวกท่านอย่าเอาน้องไปขาย…ท่านแม่…ท่านแม่อดตายไปแล้ว ท่านพ่อ…ท่านพ่อข้าก็ตายแล้ว…ท่านพ่อข้าก็ตายแล้ว”
จากที่เพียงหลั่งน้ำตาเงียบๆ เด็กชายก็เริ่มร้องไห้โฮออกมา สุดท้ายร่ำไห้เหมือนใจจะขาด เสียงของเขาทำลายความเงียบยามวิกาลลงจนสิ้น
ด้วยเก็บเกี่ยวผลผลิตไม่ได้ทำให้พวกเขาจนปัญญาส่งส่วย แต่หากไม่ส่งส่วย ขุนนางผู้ใหญ่พวกนั้นก็จะยึดที่ดินทำกินของพวกเขา เพื่อรักษาที่ดินไว้พ่อแม่ของเขาจึงได้แต่ต้องขายผู้เป็นน้องสาว
ปีที่สองเพราะภัยพิบัติจากฝูงตั๊กแตนทำให้เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย หลังส่งส่วย พวกเขาก็แทบไม่มีอันใดเหลือให้พอยาไส้ เปลือกไม้ในหมู่บ้านล้วนถูกลอกออกมาต้มกินจนหมดสิ้น แม้แต่ดินก็ยังถูกขุดใช้ประทังความหิวโหย
เพราะไม่อาจใช้ชีวิตเช่นนี้ได้อีกต่อไป พอมีคนพูดว่าให้ไปแย่งของกินจากมือพวกเศรษฐีมีเงิน พวกเขาก็ตัดสินใจลงมือแย่งชิงทันที สุดท้ายทางการก็ประกาศบอกว่าพวกเขาก่อกบฏ ตอนนั้นพวกเขาไม่สนอะไรทั้งสิ้น รู้เพียงแต่ต้องมีชีวิตต่อไปให้ได้ จะเรียกกบฏหรืออะไรก็ช่าง! ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังทยอยตายกันไปทีละคนจนไม่มีเหลือ…
“ทำไมพวกเจ้าถึงมีกิน ทำไมพวกเราถึงไม่มีกิน ท่านแม่บอกว่านี่เป็นชะตาลิขิต! แต่ข้าไม่เชื่อ ใครกันเป็นคนกำหนด!”
เด็กชายใบหน้าอาบไปด้วยน้ำตา สายตากวาดมองไปตามใบหน้าของพวกเขาทีละคนๆ แต่กลับไม่มีผู้ใดตอบคำถามของเขา
“อาจารย์สอนหนังสือที่ร่วมก่อกบฏกับพวกเราบอกว่านี่เป็นความผิดขององค์จักรพรรดิ เพราะจักรพรรดิเอาแต่ทำสงคราม เพื่อทำสงครามเขาถึงต้องการเงินจำนวนมาก และด้วยเหตุนี้ส่วยที่เรียกเก็บจึงมีแต่เพิ่มไม่มีลด ชาวบ้านที่ส่งส่วยไม่ไหว สุดท้ายถูกยึดที่ดินทำกินกลายเป็นคนเร่ร่อน เพื่อปราบปรามคนพวกนี้การลงโทษจึงหนักขึ้นทุกวัน แม้แต่ความผิดเล็กน้อยก็ยังลากเอาคนทั้งตระกูลไปรับโทษด้วย ในเมื่อเป็นความผิดขององค์จักรพรรดิ แล้วทำไมพวกเราจะเป็นกบฏต่อองค์จักรพรรดิไม่ได้ ทำไมถึงบอกว่าการก่อกบฏเป็นความผิด”
จ้าวพั่วหนูรีบพูดตัดบท “เลิกพูดได้แล้ว เงียบซะ” แต่ก็ไม่อาจปรามอีกฝ่ายได้สำเร็จ
จริงๆ แล้วอวิ๋นเกอก็ฟังคำพูดของอีกฝ่ายไม่ค่อยเข้าใจนัก นางรู้ก็แต่เพียงเด็กชายคนนี้น่าสงสาร ดังนั้นจึงได้แต่ฟังพลางพยักหน้าพลาง “เวลาข้าทำผิด ท่านแม่ก็ลงโทษให้ข้ายืน ถ้าเป็นความผิดขององค์จักรพรรดิ จะก่อกบฏก็เป็นเรื่องที่สมควร พวกเจ้าไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย”
จ้าวพั่วหนูไม่กล้าหันไปสังเกตดูสีหน้าของจ้าวหลิง สิ่งที่เขาอยากทำในยามนี้มีแต่แหงนหน้ามองฟ้าร่ำไห้ออกมายาวๆ ด้วยความจนใจ หรือเขาสังหารผู้คนมากเกินไป วันนี้สวรรค์ถึงได้ตัดสินใจลงโทษเขา
สายตาของจ้าวหลิงจับจ้องไปยังกองไฟ เขาพูดช้าๆ “ขุนนางบีบบังคับชาวบ้านให้ก่อกบฏ ไม่ใช่ความผิดของพวกเจ้า”
เด็กชายพูด “บุญคุณช่วยชีวิตไม่อาจลืม ได้ยินทุกคนเรียกเจ้าว่าอวิ๋นเกอ คุณชายน้อย แล้วท่านล่ะชื่ออะไร”
จ้าวหลิงพูด “เจ้าไม่ได้ติดค้างอะไรข้า เพราะฉะนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรู้ชื่อข้า”
เด็กชายไม่ถามอะไรอีก เขากอดขนมปิ่งกับถุงน้ำแน่น ลุกขึ้นเดินลึกเข้าไปในความมืดมิด “พวกเจ้าเป็นคนรวย ข้าเป็นคนจน ชะตาชีวิตของพวกเราไม่เหมือนกัน จริงอยู่ข้าควรขอบใจที่พวกเจ้าช่วยข้าไว้ แต่ก็เพราะคนรวยเช่นพวกเจ้าพ่อแม่ข้าถึงต้องตาย เพราะฉะนั้นข้าจึงเอ่ยปากขอบคุณพวกเจ้าไม่ได้ ข้าชื่อเยวี่ยเซิง บุญคุณช่วยชีวิตนี้ข้าจะจำมันไว้ วันหน้าหากมีโอกาส ข้าย่อมต้องทดแทน”
“นี่ เจ้าคิดจะไปไหน” อวิ๋นเกอร้องถาม
“ไม่ต้องเป็นห่วง อย่างไรข้าก็ต้องมีชีวิตต่อไปให้ได้ ข้ายังต้องไปตามหาน้องสาวของข้า” เด็กชายหันกลับมาแล้วจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาของอวิ๋นเกอ ก่อนจะเดินกะโผลกกะเผลกหายลับไปในความมืด
ผู้คนที่นั่งห้อมล้อมอยู่รอบกองไฟได้แต่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้มีคนกระซิบเสียงพูด “พวกขุนนางท้องถิ่นส่วนใหญ่ล้วนทำตัวไม่ต่างอะไรกับทหารที่พวกเราพบเจอในวันนี้ รังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า กลัวผู้ที่แข็งแกร่งกว่า กลั่นแกล้งคนดี หวาดกลัวคนเลว เห็นเงินแล้วตาโต ประจบประแจงคนที่เหนือกว่า กดขี่ข่มเหงผู้ที่ต่ำต้อยกว่า ใช้วาทกรรมเต็มไปด้วยเหตุผลความถูกต้องอ้างว่าปฏิบัติตามกฎหมายต้าฮั่น มิอาจปล่อยคน แต่พอเจอกับผู้มีอิทธิพล พวกเขาก็กลัวจนยอมปล่อยคนไป”
จ้าวพั่วหนูไม่มีเรี่ยวแรงเหลือพอจะปรามผู้ใดอีก เขาทำได้ก็แค่เพียงตะโกนร้องเสียงดัง “ค่ำแล้ว ทุกคนแยกย้ายไปพักผ่อนได้แล้ว!”
จ้าวหลิงลุกเดินออกไปด้านนอก จ้าวพั่วหนูคิดจะตามไป แต่จ้าวหลิงเอ่ยขึ้นโดยไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมามอง “ข้าอยากไปเดินเล่นตามลำพัง”
จ้าวพั่วหนูได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่ รู้สึกลำบากใจ อวิ๋นเกอไล่ตามจ้าวหลิงไป นางชี้มือชี้ไม้ไปที่เสวี่ยหลาง เหมือนจะบอกจ้าวพั่วหนูว่าไม่ต้องเป็นกังวล
หลังจากเดินไปได้ประมาณหนึ่ง จ้าวหลิงก็นั่งลงบนพื้นหญ้า ไม่สนใจอวิ๋นเกอที่ตามมาอยู่ทางด้านหลัง สายตาจ้องนิ่งเข้าไปในความมืดมิด
อวิ๋นเกอยืนอยู่ข้างกายเขาเป็นนาน จ้าวหลิงเองก็เอาแต่นิ่งไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว
อวิ๋นเกอใช้พู่กันวาดตาคิ้วจมูกลงบนมือของตัวเอง ใบหน้าของคนบนมือข้างหนึ่งมีหนวด ส่วนใบหน้าบนมืออีกข้างมีดอกไม้ปักอยู่
อวิ๋นเกอยื่นมือไปตรงหน้าจ้าวหลิงก่อนจะเริ่มแสดงละครมือ เสียงของนางประเดี๋ยวก็คล้ายเด็กสาว ประเดี๋ยวก็คล้ายคนชรา
“ทำไมเจ้าถึงไม่สบายใจ”
“ข้าไม่ได้ไม่สบายใจสักหน่อย”
“เจ้าโกหก หลอกตัวเองว่าสบายใจใช่ว่าจะช่วยให้สบายใจได้เสียหน่อย”
ใบหน้าชราบึ้งตึงไม่พูดตอบ ใบหน้าที่มีดอกไม้ปักประดับถามขึ้นอีกครั้ง “ทำไมเจ้าถึงปั้นหน้าเย็นชาอยู่ตลอดเวลา”
“เพราะข้ารู้สึกว่าทำเช่นนี้แล้วข้าจะดูสุขุมลุ่มลึก แตกต่างจากผู้อื่น”
“ถึงตอนทำหน้าปั้นปึ่งเย็นชา ใบหน้าเจ้าจะน่าดูอยู่ไม่น้อย แต่ยังไงข้าก็รู้สึกว่าเวลาเจ้ายิ้มนั้นน่ามองกว่าเป็นไหนๆ…”
“อวิ๋นเกอ!” จ้าวหลิงหันหน้ากลับมาอย่างหมดความอดทน แต่สิ่งที่เขาเห็นกลับเป็นใบหน้าที่เปี่ยมด้วยรอยยิ้มสว่างไสวยิ่งกว่าดวงดาวบนฟากฟ้า
ปลายจมูกต่อปลายจมูก พวกเขาต่างสัมผัสถึงลมหายใจของแต่ละฝ่าย
อวิ๋นเกอพูดเบาๆ “พี่หลิง พรุ่งนี้ข้าก็จะไปแล้ว”
อวิ๋นเกอเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ น้ำเสียงของนางถึงได้แหบพร่าขึ้นมาเช่นนี้
บางทีอาจเพราะจ้าวหลิงที่นางเห็นเสมือนเป็นพี่ชายผู้นี้เป็นคนแรกที่ยอมฟังนางพูดเรื่อยเปื่อย และเข้าใจว่านางพูดถึงสิ่งใด แม้นางจะมีพี่ชายอยู่ถึงสองคน แต่เพราะท่านพ่อเพิ่งจะมีนางตอนอายุสี่สิบกว่า พี่รองจึงมีอายุห่างจากนางมาก ถึงจะรักเอ็นดูนางสักเพียงใด แต่เรื่องที่จะคุยกันได้ก็มีน้อยเต็มที
พี่สามอายุห่างจากนางน้อยลงมาหน่อย แต่ก็ไม่มีทางที่จะอดทนฟังนางพล่ามเรื่องต่างๆ ไม่มีหยุด เมื่อคืนหากเปลี่ยนเป็นพี่สาม เขาคงคว้าคอเสื้อของนางแล้วจับไปโยนทิ้งกลางทะเลทรายนานแล้ว
จ้าวหลิงอึ้งไปชั่วขณะด้วยเพิ่งตระหนักได้ จริงสิ! นางก็แค่เด็กผู้หญิงที่เขาเพิ่งจะรู้จักเท่านั้น ไม่ใช่คนที่จะตามเขากลับไปถึงฉางอันเสียหน่อย แต่รอยยิ้มงดงามเช่นนี้…
เขารู้สึกเหมือนรู้จักกับนางมานาน คุ้นเคยกับคำพูดเจื้อยแจ้วของนางเป็นอย่างดี หรือว่านี่คือ ‘คบหานานเนิ่นเสมือนเพิ่งรู้จัก แค่เพียงพบพักตร์ประหนึ่งสหายเก่า’*?
อวิ๋นเกอมองดูจ้าวหลิงที่กำลังจ้องมองนางนิ่ง นางยิ้ม กระเถิบเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าเขาแล้วเป่าปากพ่นลมใส่ “ข้าต้องไปแล้ว ห้ามท่านคิดเรื่องอื่น คิดได้ก็แต่เรื่องข้าเท่านั้น”
อวิ๋นเกอยิ้มซื่อไร้เดียงสา ส่วนจ้าวหลิงกลับใจเต้นระรัว เขารีบเบือนหน้าหนี “อวิ๋นเกอ เจ้าจะเล่านิทานให้ข้าฟังอีกครั้งได้หรือเปล่า”
เด็กชายที่เหมือนจะเกียจคร้านพูดคุยกับผู้คน จู่ๆ ก็ขอให้นางเล่านิทานให้ฟัง อวิ๋นเกอนึกดีใจ รีบเอ่ยปากร้องตะโกน “นอนลงๆ ท่านดูดาวไปพลาง ฟังข้าเล่านิทานไปพลาง ข้ามีเรื่องสนุกๆ จะเล่าให้ท่านฟังเยอะแยะ”
ไม่ทันรอให้จ้าวหลิงตอบรับ อวิ๋นเกอก็ดันไหล่เขาให้นอนลง หลังจากนั้นนางก็ล้มตัวลงนอนข้างๆ เขา จ้าวหลิงอดไม่ได้ที่จะขยับตัวเว้นระยะห่างไว้เล็กน้อย แต่อวิ๋นเกอกลับไม่รู้เรื่องรู้ราว ถือโอกาสขยับเข้าไปนอนอยู่ข้างๆ อีกฝ่าย เบียดตัวชิดกับไหล่ของจ้าวหลิง “ท่านอยากฟังเรื่องอะไร”
* ‘คบหานานเนิ่นเสมือนเพิ่งรู้จัก แค่เพียงพบพักตร์ประหนึ่งสหายเก่า’ สำนวนหมายถึงความลึกซึ้งของความรู้สึกไม่อาจวัดได้ด้วยระยะเวลา
แม้เนื้อตัวจะแข็งทื่อ แต่เขากลับไม่คิดกระเถิบออก จ้าวหลิงพูดน้ำเสียงราบเรียบ “เล่าให้ข้าฟังก็แล้วกันว่าทำไมเจ้าถึงได้หน้าหนาเช่นนี้”
“เอ๋? อะไรนะ อืม! ข้าหน้าหนากระนั้นหรือ…” อวิ๋นเกองึมงำพึมพำอยู่พักใหญ่ ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเหมือนคนหมดความมั่นใจ “หน้าข้าหนาเสียที่ไหนกัน คนที่หน้าหนาที่สุดในบ้านข้าคือพี่สามต่างหาก…ไม่ใช่! เขาไม่มีหน้าให้หนาหรือบางมากกว่า เพราะนอกจากเรื่องกินแล้วพี่สามก็ไม่เคยสนใจอะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว ความจริงหน้าข้าบางออก…”
พูดอยู่ดีๆ อวิ๋นเกอก็หัวเราะออกมา เสียงหัวเราะของนางราวกับกระดิ่งเงิน ดังกังวานอยู่ท่ามกลางดวงดาวบนฟากฟ้า เสียงหัวเราะของนางทำให้จ้าวหลิงอดใจลอยหวนนึกถึงตำหนักอันกว้างใหญ่ที่มืดมิดเงียบเหงาในฉางอันไม่ได้ บางทีหากมีเสียงหัวเราะของอวิ๋นเกอ ตำหนักแห่งนั้นอาจเปลี่ยนเป็นอบอุ่นสดใส งดงามเหมือนใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้มของนางก็เป็นได้ บางทีหากเขาเดินไปตามรอยเท้าที่นางเคยก้าวผ่าน ไม่แน่ว่าเขาอาจสามารถปล่อยกายให้ลอยละล่องอยู่ระหว่างท้องนภาและผืนปฐพี หรืออย่างน้อยก็ปล่อยใจของเขา
ตอนจ้าวพั่วหนูมาเรียกเด็กทั้งสองเข้านอน เขาก็เห็นภาพจ้าวหลิงกับอวิ๋นเกอกำลังนอนเคียงไหล่อยู่ใต้ท้องฟ้าที่ดารดาษไปด้วยดวงดาววับวาว
อวิ๋นเกอพิงอยู่กับไหล่ของจ้าวหลิง พึมพำพูดไม่หยุด จ้าวหลิงแม้จะไม่พูดไม่จา แต่สีหน้ากลับดูอบอุ่นอย่างที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน
จ้าวพั่วหนูแอบนึกประหลาดใจ เขาทำใจกล้าขยับตัวไปด้านหน้าแล้วพูดว่า “นี่ก็ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้พวกเรายังต้องรีบออกเดินทางอีก รีบพักผ่อนเถอะ!”
แววตาคมกริบของจ้าวหลิงที่กวาดมองมาทำเอาจ้าวพั่วหนูรู้สึกเหมือนถูกอีกฝ่ายมองทะลุเข้าไปถึงความคิดต่างๆ ที่เก็บงำอยู่ในใจ จู่ๆ ขาของเขาก็อ่อนระทวยจนเกือบคุกเข่าลงกับพื้น
“อวิ๋นเกอ ข้ารู้สึกกระหายน้ำ เจ้าช่วยไปเอาน้ำมาให้ข้าหน่อย แล้วก็เอาผ้าห่มมาอีกสักสองผืนด้วย” จ้าวหลิงบอกกับอวิ๋นเกอ อวิ๋นเกอพยักหน้ายิ้มก่อนจะรีบสาวเท้าวิ่งไปเอาของ
จ้าวหลิงยังคงนอนนิ่งไม่ขยับ สายตาจับจ้องอยู่ที่ท้องฟ้าเบื้องบน “พ่อแม่ของอวิ๋นเกอคือใคร”
ถึงจะรู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งใจ แต่จ้าวพั่วหนูก็ไม่กล้าแสดงสีหน้าผิดปกติอันใดออกมาแม้เพียงเศษเสี้ยว เขาตอบกลับอย่างนบนอบ “ข้าไม่รู้”
“ไม่รู้กระนั้นหรือ อูฐหิมะเทียนซานกับอาชาเหงื่อโลหิตล้วนถูกขนานนามว่าเป็นสมบัติวิเศษสองอย่างแห่งดินแดนตะวันตก เพื่อให้ได้มาซึ่งอาชาเหงื่อโลหิต อดีตจักรพรรดิถึงกับทรงกรีฑาทัพส่งทหารฮั่นหลายสิบหมื่นบุกโจมตีต้าฉิน กว่าจะได้อาชาวิเศษมาครอบครองก็บาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน ส่วนอูฐหิมะเทียนซาน โลกนี้มีสักกี่คนที่จะมีอูฐหิมะเทียนซานไว้ใช้ หนำซ้ำยังมีอินทรีขนขาวราชันแห่งท้องนภากับหมาป่าหิมะเจ้าแห่งทะเลทรายอยู่เป็นเพื่อนเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นนางยังบอกว่าท่านกับท่านแม่ของนางรู้จักกัน ในบรรดาผู้คนที่ท่านรู้จักจะมีคนเช่นนี้อยู่สักกี่มากน้อยกัน”
“ข้าไม่รู้จริงๆ พวกเขาช่วยชี้ทางออกจากทะเลทรายให้พวกเราด้วยเพราะมีน้ำใจ ไฉนต้องซักไซ้ประวัติความเป็นมาของพวกเขาด้วยเล่า”
จ้าวหลิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสบายๆ “ข้าไม่ได้คิดอยากซักไซ้ไล่เลียงประวัติความเป็นมาของพวกเขา ข้า…ข้าก็แค่อยากให้อวิ๋นเกออยู่ด้วย”
จ้าวพั่วหนูตกใจหน้าถอดสี ทรุดตัวคุกเข่าลงกับพื้น “ไม่ได้! ไม่ได้เด็ดขาด! ท่านพ่อกับท่านแม่ของอวิ๋นเกอไม่มีทางเห็นด้วย!”
“ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่ท่านจะมาคุกเข่า ลุกขึ้นเถอะ” มุมปากของจ้าวหลิงยกขึ้นเล็กน้อย เหมือนยิ้มแต่ก็เหมือนไม่ยิ้ม “ท่านนึกเป็นกังวลแทนท่านพ่อท่านแม่ของนาง หรือนึกเป็นกังวลแทนข้ากัน ข้าเพียงแค่คิดอยากพบหน้าพวกเขาเท่านั้น ขอเพียงรั้งตัวอวิ๋นเกอไว้ได้ ต่อให้พ่อแม่ของนางเป็นเทพมังกรก็ย่อมต้องปรากฏตัว…”
อวิ๋นเกอกระโดดหย็องแหย็งมาแต่ไกล มีหลิงตังบรรทุกผ้าห่มเดินตามมาอยู่ข้างๆ “พี่หลิง น้ำมาแล้ว”
จ้าวหลิงโบกมือเป็นสัญญาณบอกจ้าวพั่วหนูให้ถอยออกไป
จ้าวพั่วหนูลุกขึ้นเดินจากไปสีหน้าเคร่งเครียด หากอวิ๋นเกอเป็นลูกของ ‘นาง’ จริง ตอนนั้น…ตกลงในเวลานั้นมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
เขาไม่กล้าคิดต่อ แอบนึกตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นตายเช่นไร เขาก็จะไม่มีทางให้อวิ๋นเกอถูกกักตัวไว้เป็นอันขาด
จ้าวหลิงห่มผ้าคลุมร่างพวกเขาสองคนไว้
หมาป่าหนึ่งตัว กับอูฐอีกหนึ่งนอนหมอบอยู่ด้านหลัง ส่วนนกอินทรีสองตัวก็นอนอยู่บนหลังอูฐ
ท้องฟ้ายามราตรีเหนือทุ่งหญ้าแลดูต่ำและเวิ้งว้าง ดวงดาวกระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมด ผนวกกับการรวมตัวกันของกลุ่มที่ประกอบกันขึ้นอย่างแปลกประหลาดเช่นพวกเขาด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้บรรยากาศดูงดงามเงียบสงบอย่างน่าอัศจรรย์
“พี่หลิง ท่านยังจะมาแดนตะวันตกอีกหรือไม่ จะไปไซ่เป่ย หรือจะออกทะเลหรือเปล่า ได้ยินว่าหนานเจียง เหมียวหลิ่งน่าเที่ยวมาก ข้ายังไม่เคยไป พวกเราไปเที่ยวที่นั่นด้วยกันได้”
“เกรงว่าคงจะไม่มีหวัง กว่าข้าจะคว้าโอกาสเดินทางคราวนี้เอาไว้ได้ก็ทุ่มเทแรงกายแรงใจไปไม่ใช่น้อย บางทีนี่อาจจะเป็นการเดินทางที่ไกลที่สุดในชีวิตข้าก็เป็นได้ เจ้าอายุน้อยกว่าข้า แต่ดินแดนที่เจ้าไปถึงกลับไกลกว่าข้ามากมายนัก”
ทั้งสองต่างพากันนิ่งเงียบ แต่แล้วจู่ๆ จ้าวหลิงก็เอ่ยปากถาม “อวิ๋นเกอ เรื่องที่เจ้าเล่าไม่มีสักเรื่องที่พูดถึงฉางอัน เจ้าเคยคิดจะไปเที่ยวฉางอันบ้างหรือไม่”
อวิ๋นเกอถอนหายใจเบาๆ “ท่านพ่อท่านแม่ข้าคงไม่มีทางรับปาก ท่านพ่อกับท่านแม่ไม่ยอมให้ข้ากับพี่สามเหยียบเท้าเข้าดินแดนต้าฮั่น ยิ่งไปกว่านั้นข้าเองก็ต้องกลับบ้าน แต่ว่า…” จู่ๆ นัยน์ตาของนางก็เป็นประกาย “ท่านพ่อเคยบอกว่าพวกเราเหมือนลูกอินทรี เมื่อเติบใหญ่ก็ต้องบินออกจากรัง ท่านพ่อท่านแม่ไม่เคยสนใจว่าพี่รองจะเดินทางไปไหน อีกสองสามปี พอข้าเติบใหญ่ รอให้ข้าบินเองได้ก่อน ถึงตอนนั้นข้าจะไปหาท่านที่ฉางอัน”
จ้าวหลิงมองดูดวงตาแวววับเป็นประกายของนาง เขาจะปล่อยให้ดวงตาเช่นนี้ถูกปกคลุมด้วยเงามืดได้อย่างไรกัน
หลังจากนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พยักหน้าช้าๆ “ได้ ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่ฉางอัน”
อวิ๋นเกอปรบมือยิ้ม “พวกเราเกี่ยวก้อยกัน ไม่ว่าใครก็ห้ามผิดคำพูด พอข้าไปถึงฉางอัน ท่านต้องทำตัวเป็นเจ้าภาพที่ดี ต้อนรับข้าให้เต็มที่!”
จ้าวหลิงไม่เข้าใจ “อะไรคือเกี่ยวก้อย”
อวิ๋นเกอสอนพลางเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย “แม้แต่เกี่ยวก้อยก็ยังไม่เป็น? ตกลงตอนเด็กๆ ท่านทำอะไรบ้าง”
นิ้วก้อยของพวกเขาเกี่ยวกันแน่น เสียงของอวิ๋นเกอดังกระจ่างเสนาะหู “เกี่ยวนิ้ว แขวนคอ หนึ่งร้อยปี ห้ามกลับคำ!” ทันทีที่นิ้วโป้งของพวกเขาแนบเข้าหากัน อวิ๋นเกอก็ยิ้มกว้างพูดเพิ่มอีกประโยค “ใครกลับคำคนนั้นเป็นหมู!”
รอยยิ้มของจ้าวหลิงปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรก ยามไม่ยิ้มนัยน์ตาของเขาดูหม่นหมองอึมครึม ครั้นแย้มยิ้มก็ประหนึ่งหลอมเอาดวงดาราเต็มฟากฟ้ามาเก็บไว้ภายใน นัยน์ตาดำสุกสกาวเป็นประกาย
อวิ๋นเกอตะลึงมอง เผลอหลุดปากพูด “ท่านยิ้มได้น่ามองมากจริงๆ สวยยิ่งกว่าดวงดาวบนท้องฟ้าเสียอีก”
จ้าวหลิงรีบเก็บยิ้ม นานแค่ไหนแล้วนะที่เขาไม่ได้ยิ้มออกมาจากใจเช่นนี้ นับแต่คืนนั้น คืนที่เขาหลบอยู่หลังม่าน ได้ยินท่านพ่อสั่งประหารท่านแม่กระนั้นหรือ ทั้งๆ ที่เขาอยากลืมเลือนมันยิ่งนัก และพยายามลืมมันให้สิ้นแล้วแท้ๆ แต่พวกมันก็รังแต่จะปรากฏชัด…
จ้าวหลิงล้วงเอาของชิ้นหนึ่งออกจากคอเสื้อ แขวนลงบนคออวิ๋นเกอ “พอไปถึงฉางอันเจ้าจงเอาของสิ่งนี้แสดงให้ยามเฝ้าประตูดู เพียงแค่นั้นพวกเราก็จะได้พบกัน”
อวิ๋นเกอก้มหน้าพิจารณาดูโดยละเอียด เชือกที่ดูคล้ายถักทอด้วยเส้นไหมสีดำ หากมองเพียงผ่านคงไม่เห็นว่ามันมีอันใดพิเศษ แต่ครั้นจับดูจะพบว่ามันให้สัมผัสดีเลิศ ส่วนของที่แขวนอยู่บนนั้นก็งามเด่น คล้ายต่างหูของสตรี
จ้าวหลิงอธิบายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ท่านแม่ข้าใช้เส้นผมของนางถักเป็นเชือกเส้นนี้ขึ้นในคืนก่อนที่นางจะจากไป นางทำไว้ให้ข้าเป็นที่ระลึก”
ได้ยินเช่นนั้นอวิ๋นเกอก็กุลีกุจอจะถอดออก “ท่านแม่ท่านจากไปไหน นี่เป็นของที่ท่านแม่ท่านทำ ข้ารับไว้ไม่ได้หรอก หากท่านกลัวว่าถ้าไม่มีของต่างหน้าแล้วข้าจะหาท่านไม่พบ ก็เอาหยกประดับที่อยู่ข้างเอวนั่นให้ข้าก็ได้!”
จ้าวหลิงกดมือนางไว้ “ไว้คราวหน้าตอนพบกันเจ้าค่อยคืนข้า แม้สำหรับข้ามันจะเป็นของที่ล้ำค่าที่สุด แต่บางครั้งข้าเองก็ไม่อยากเห็นมัน แขวนอยู่บนอกเช่นนี้ หลายครั้งที่มันทำให้ข้าหายใจไม่ออก ส่วนหยกประดับนี่…” ปลายนิ้วเล็กๆ ของจ้าวหลิงเขี่ยหยกประดับบนเอวไปมา ยามต้องแสง ภาพมังกรสลักที่อยู่ด้านบนพลันดูราวกับมีชีวิต “แม้แต่ข้าเองยังชิงชัง แล้วมีหรือจะยอมให้เจ้าพกมันติดตัว”
ถึงจะฟังคำพูดของอีกฝ่ายไม่เข้าใจ แต่พอเห็นดวงตาดำขลับของจ้าวหลิงแอบมีน้ำตาเอ่อคลอ ใจของอวิ๋นเกอก็นึกเป็นทุกข์อย่างไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ นางพยักหน้ารับเชือกที่ถักจากเส้นผมนั้นไว้แต่โดยดี
อวิ๋นเกอลูบผมตัวเอง บนนั้นมีก็แต่เพียงผ้าไหมที่นางใช้รวบผมเท่านั้น ส่วนที่คอก็มีนกหวีดไม้ไผ่ที่ใช้สื่อสารกับเสี่ยวเชียนเสี่ยวเถา ในมือไม่มีเครื่องประดับอะไรสักชิ้น ตรงเอวก็มีแต่ถุงใส่แผ่นขิง พริกไทย พุทราเปรี้ยว ของพวกนี้ใช้มอบให้กับคนเขาได้ที่ไหนกัน…นางคลำหาตั้งแต่หัวจรดเท้า ทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีอะไรที่พอจะใช้แลกเปลี่ยนกับจ้าวหลิงได้สักอย่าง
เห็นอวิ๋นเกอสีหน้าร้อนรนเช่นนั้น จ้าวหลิงก็พูดออกมาเนือยๆ “เจ้าไม่จำเป็นต้องมอบอะไรให้ข้า”
อวิ๋นเกอขมวดคิ้ว “เป็นผู้รับอยู่ฝ่ายเดียวมิใช่เรื่องพึงกระทำ! อา…ใช่แล้ว! ตอนพบกันใหม่ๆ ท่านมองรองเท้าข้าตาเขม็ง ดูเหมือนจะชอบมันมาก เช่นนั้นข้ายกรองเท้าข้างหนึ่งให้ท่านก็แล้วกัน ท่านว่าดีหรือไม่” ยังไม่ทันพูดจบ อวิ๋นเกอก็ถอดรองเท้าออกเป็นที่เรียบร้อย หลังปัดฝุ่นทรายออกแล้วนางก็ยื่นส่งให้จ้าวหลิง
จ้าวหลิงอึ้งไปชั่วขณะ ไม่รู้จะยิ้มหรือร้องไห้ดี “เจ้ารู้หรือไม่ว่าสตรีมอบรองเท้าให้บุรุษมีความหมายเช่นไร”
อวิ๋นเกอมองหน้าจ้าวหลิงงงๆ ดวงตากะพริบปริบๆ
จ้าวหลิงมองดูนางอยู่ครู่หนึ่ง มุมปากยกยิ้มขึ้นช้าๆ เขารับเอารองเท้าที่มีขนาดประมาณฝ่ามือตนมาเก็บไว้ในอกเสื้อ สีหน้าท่าทางจริงจัง ก่อนจะพูดชัดถ้อยชัดคำ “ข้ารับมันไว้แล้ว อวิ๋นเกอ เจ้าจงจำไว้ให้ดี!”
อวิ๋นเกอพยักหน้าขึงขัง “ท่านพ่อเคยพูดกับข้าถึงความหมายของคำสัญญา นี่เป็นคำสัญญาของข้า ข้าย่อมไม่มีทางผิดคำพูด รับรองว่าข้าต้องไปหาท่านแน่ ท่านเองก็ต้องรอข้าเหมือนกัน”
นัยน์ตาของอวิ๋นเกอมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว จ้าวหลิงรู้ แม้นางจะยังเด็ก แต่กลับมีปณิธานมุ่งมั่นเกินวัย คำพูดของนางนี้ย่อมต้องเป็นจริงเข้าสักวัน เขาตบมือสัญญากับนางสามครั้ง “ดวงดาวเป็นพยาน สัญญาที่ให้ไม่มีวันเปลี่ยน”
นับเป็นครั้งแรกที่มีคนปฏิบัติต่อนางด้วยท่าทีให้เกียรติราวกับนางเป็นผู้ใหญ่เช่นนี้ อวิ๋นเกอยิ้มปลื้ม แต่แล้วจู่ๆ นางก็คิดถึงเรื่องเมื่อคืน “พี่หลิง ท่านฝันร้ายบ่อยๆ กระนั้นหรือ”
จ้าวหลิงไม่ตอบ
อวิ๋นเกอลูบคิ้วของอีกฝ่ายที่กำลังขมวดเป็นปมแน่น “เวลาข้าฝันร้าย หรือไม่มีความสุข ท่านแม่มักร้องเพลงให้ข้าฟังเสมอ วันหน้าหากท่านฝันร้าย ข้าก็จะร้องเพลงให้ท่านฟัง ข้าร้องเพลงเป็นตั้งหลายเพลง หนำซ้ำยังมีนิทานเล่าให้ท่านฟังอีกมากมาย”
อวิ๋นเกอกระแอมเรียกเสียง หลังจากนั้นนางก็ร้องเพลงออกมา
“เมื่อความมืดมิดมาเยือน
ดาวกระจ่างเกลื่อนเต็มท้องนภา
แมลงน้อยบินวนไปมา
ใจเจ้าเรียกหาผู้ใด
ดวงดาวน้ำตาไหลหลั่ง
ดอกไม้ใบหญ้าล้วนเหี่ยวเฉา
ลมหนาวพัดโชยเบาๆ
หวังแค่มีเจ้าข้างเคียง
แมลงบินดอกไม้หลับใหล
เคียงคู่ดูไปก็งามสม
มืดค่ำไม่กลัวกลัวช้ำตรม
เหนื่อยล้าแม้นซานซมไม่เกรง
ไม่สนแห่งหนทางใด”
เสียงของอวิ๋นเกอยังคงเป็นเด็ก ท่วงทำนองเชื่องช้าอบอุ่นลอยละล่องอยู่ท่ามกลางความมืดมิดของท้องฟ้ายามราตรี ชวนให้ผู้ที่ได้ยินรู้สึกเบิกบาน
เห็นจ้าวหลิงยิ้ม อวิ๋นเกอก็เป็นสุขยิ่งนัก
ถึงแม้จะเป็นบทเพลงพื้นเมืองของเด็ก เนื้อหาไม่ได้ลึกล้ำอะไรนัก อวิ๋นเกอเองก็ไม่เข้าใจเนื้อหาถ่องแท้ลึกซึ้ง แต่ถึงกระนั้นใจของจ้าวหลิงกลับรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง เขาจ้องมองดูอวิ๋นเกอนิ่ง
บทเพลงของอวิ๋นเกอไม่ได้ทำให้จ้าวหลิงหลับ ตรงกันข้ามกลับกล่อมนางหลับเสียเอง
อวิ๋นเกอทึ่ม สิ่งที่ขับไล่ฝันร้ายได้ใช่เสียงเพลงเสียเมื่อไหร่กัน หากแต่เป็นความรักที่แฝงอยู่ในบทเพลงอันเกิดจากใจปรารถนาจะปกปักรักษาบุคคลอันเป็นที่รักของผู้ขับขานบทเพลงต่างหาก
เพราะรู้ว่านางนอนดิ้น จ้าวหลิงจึงโอบนางไว้ในอ้อมแขนแผ่วเบา พร้อมกระชับผ้าห่มคลุมร่างพวกเขาไว้แน่น
นับแต่แปดขวบเป็นต้นมา นี่เป็นครั้งแรกที่เขายอมชิดใกล้กับผู้อื่นมากมายเยี่ยงนี้ ยามเขาใช้ร่างกายมอบความอบอุ่นให้กับนาง ใจเขากลับอบอุ่นยิ่งกว่า
ครั้นพระอาทิตย์ขึ้น อวิ๋นเกอถึงได้งัวเงียตื่น พอตั้งสติได้นางก็ตะโกนร้องหงุดหงิด “แย่แล้ว! ทำไมข้าถึงผล็อยหลับไปได้ พี่หลิง ทำไมท่านถึงไม่ปลุกข้า ข้ายังเล่านิทานไม่จบเลย! ข้ายังเล่าเรื่องลูกหมาป่าของบ้านข้าที่ชอบขโมยอัญมณีไม่จบเลย”
จ้าวหลิงอุ้มอวิ๋นเกอวางลงบนหลังอูฐ “ค่อยเล่าตอนพวกเราพบกันคราวหน้าก็ยังไม่สาย รอเจ้ามาถึงฉางอันก่อน ถึงตอนนั้นเจ้าจะมีเวลาเล่านิทานให้ข้าฟังอีกมากมาย”
เสียงนกอินทรีร้องดังก้องอยู่กลางอากาศสองสามครั้ง เสี่ยวเถากับเสี่ยวเชียนบินร่อนขึ้นไปยังฟ้าสูง ตรงเข้าไปหานกอินทรีขนาดใหญ่สองตัวที่กำลังบินฉวัดเฉวียนอยู่ด้านบน
อวิ๋นเกอฉีกยิ้มหัวเราะ “แย่แล้ว! ไม่รู้ท่านพ่อจะพาท่านแม่ไปไหนอีก ถึงได้ให้พี่สามมารับข้า พี่สามเป็นคนใจร้อน ไม่ชอบรอ ข้าต้องไปแล้ว”
จ้าวหลิงพยักหน้าน้อยๆ อวิ๋นเกอโบกไม้โบกมือให้กับเขาพร้อมควบอูฐจากไป
ภายใต้กระโปรงสีเขียว เท้าเล็กๆ แกว่งไกวไปมา ข้างหนึ่งขาวสะอ้าน ข้างหนึ่งเขียวสดใส
จู่ๆ จ้าวหลิงก็นึกขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง เขาร้องตะโกน “จ้าวเป็นแซ่ของท่านแม่ข้า ที่ฉางอันข้าแซ่หลิว…” พอเห็นจ้าวพั่วหนูกับคนอื่นๆ กำลังเดินมาแต่ไกล จ้าวหลิงก็ได้แต่เก็บกลืนคำพูดที่ยังพูดไม่จบกลับลงท้อง
อวิ๋นเกอหันกลับมาป้องปากตะโกนตอบ “ข้าจำได้แล้ว!”
จ้าวพั่วหนูไม่ได้หลับตลอดทั้งคืน เขาเฝ้าครุ่นคิดว่าควรทำเช่นไรถึงจะให้จ้าวหลิงล้มเลิกความตั้งใจที่จะรั้งตัวอวิ๋นเกอไว้ แต่นึกไม่ถึงว่าเช้าขึ้นมาเขาจะเห็นภาพเด็กทั้งสองบอกลากันเช่นนี้
เขานึกโล่งอกได้เพียงไม่นาน ความรู้สึกหดหู่ก็พลันก่อเกิดขึ้นในใจ
หากจ้าวหลิงรั้งอวิ๋นเกอไว้ได้จริง เช่นนั้นเขาก็คงมีโอกาสได้พบกับท่านพ่อท่านแม่ของนาง
ยังนึกไม่ทันจบ จ้าวพั่วหนูก็แอบประณามตนเอง นี่เขากำลังนึกถึงแต่ตัวเองจนลืมคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวมกระนั้นหรือ ยิ่งไปกว่านั้นจ้าวหลิงกับพวกเขาอาจยังมีบุญคุณความแค้นหลงเหลืออยู่ การจากลาอย่างสงบไม่มีสัมพันธ์อันใดเกี่ยวข้องกันอีกในภายหน้าเช่นนี้ต่างหากที่น่าจะเป็นการดีที่สุด
ทันทีที่เสวี่ยหลางคุ้มกันอวิ๋นเกอไปจนถึงนอกตลาดนัด มันก็หยุดฝีเท้าลง
อวิ๋นเกอยิ้มบอกลาหมาป่าหิมะ “พี่เสวี่ย ขอบคุณมาก”
หมาป่าหิมะหันหลังเดินจากไปเงียบๆ ด้วยท่วงท่าสง่างาม
อวิ๋นเกอสำรวจดูตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง เสื้อผ้าอาภรณ์นางยับย่น เท้าข้างหนึ่งมีรองเท้าสวมใส่ ส่วนอีกข้างเปลือยเปล่า นางอดนึกขำไม่ได้ มิน่าตอนพี่รองบอกว่าที่บ้านมีกุลสตรีจิตใจงดงาม พี่สามถึงได้ส่งเสียงประชดเย็นชา กระแหนะกระแหนไม่เห็นด้วย
‘บ้านเรามีกุลสตรีอยู่หนึ่ง แต่ไม่ใช่ที่พี่รองพูดถึง หากแต่เป็นพี่เสวี่ยต่างหาก อวิ๋นเกอเป็นได้อย่างมากก็แค่ปีศาจน้อยโง่ๆ กิริยาท่าทางแปลกประหลาดเท่านั้น’
ทันทีที่มาถึงพื้นที่สีเขียวรอบนอกตลาดนัด นางก็มองเห็นพี่สาม
พี่สามผู้งดงาม หยิ่งทะนง และหลงตัวเองไม่ต่างอะไรกับนกยูง กำลังนั่งแหงนหน้ามองท้องฟ้าอยู่บนยอดต้นอวี๋
ใต้ต้นอวี๋ ขอทานสองสามคนกำลังรุมทุบตีเด็กชายที่อายุห่างจากพี่สามไม่กี่ขวบคนหนึ่งอยู่ เส้นผมของเด็กคนนั้นถูกห่อหุ้มอยู่ภายใต้หมวกสักหลาดเก่าๆ ขาดๆ เขานอนขดตัว ปล่อยให้เท้าของคนพวกนั้นถีบเตะไปบนร่างของตนเองตามอำเภอใจ ไม่ว่าคนพวกนั้นจะทุบตีหนักหน่วงแค่ไหนก็ไม่ส่งเสียงร้องแม้เพียงสักคำ หากไม่เพราะมือเท้าของเขาขยับไปมาบ้างเป็นบางคราว นางคงเข้าใจว่าอีกฝ่ายสิ้นลมหายใจไปแล้ว
อวิ๋นเกอถอนหายใจเบาๆ พี่สามบอกว่านางเป็นปีศาจกิริยาท่าทางแปลกประหลาด แต่นางกลับรู้สึกว่าการกระทำของพี่สามประหลาดเสียยิ่งกว่า ด้านล่างจวนเจียนจะฆ่ากันตายอยู่แล้ว แต่พี่สามกลับทำทีราวกับมองไม่เห็น ยังคงตั้งอกตั้งใจชมท้องฟ้าเมฆขาวเบื้องบนเหมือนเดิม
ต่อให้ไม่พูดถึงเรื่องคนมากรังแกคนน้อย ก็ควรเห็นแก่อายุที่ห่างกันไม่มาก ‘เด็ก’ ยังไงก็ควรช่วย ‘เด็ก’!
“ท่านอาทั้งหลาย อย่าทุบตีเขาอีกเลย” อวิ๋นเกอยิ้มกริ่มพลางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ขอทานพวกนั้นกำลังทุบตีอีกฝ่ายอย่างมันมือ ไหนเลยจะสนใจคำพูดของเด็กหญิงตัวน้อยๆ
“ท่านอาทั้งหลาย อย่าทุบตีเขาอีกเลย” อวิ๋นเกอพูดดังขึ้น ขอทานพวกนั้นยังคงไม่สนใจ
“ท่านอาทั้งหลาย อย่าทุบตีเขาอีกเลย” อวิ๋นเกอพูดดังขึ้นอีก พวกขอทานยังคงทุบตีอีกฝ่ายไม่หยุด
…
“ท่านอาทั้งหลาย เลิกทุบตีเขาได้แล้ว!” เสียงคำรามราวหมาป่าดังลั่นไปทั้งป่า สั่นสะเทือนเสียจนใบไม้ร่วงกราว
คนพวกนั้นตกใจหยุดมือทันที ขอทานขวัญอ่อนสองคนรู้สึกราวกับวิญญาณถูกกระชาก เนื้อตัวแข็งทื่อ ไม่ว่าจะน่องหรือลำไส้ต่างพากันตั้งตรง
อวิ๋นเกอหรี่ตายิ้มน้อมคำนับให้กับขอทานพวกนั้น ลักยิ้มของนางดูอ่อนช้อยน่ารักประหนึ่งดอกไม้ แต่น้ำเสียงกลับดุดันกังวานดุจเสียงสุนัขป่า “ท่านอาทั้งหลาย ต้องขอโทษจริงๆ ข้าไม่รู้ว่าต้องพูดเสียงดังเช่นนี้ ท่านอาทั้งหลายถึงจะได้ยิน เมื่อครู่ข้าพูดเบาเกินไปหน่อย”
ขอทานหนุ่มคนหนึ่งนึกโมโห ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากด่าอวิ๋นเกอที่ทำหูเขาลั่นดังวิ้ง ขอทานเฒ่าอีกคนที่นึกถึงตำนานเล่าขานบนทุ่งหญ้ากว้างเรื่องหญิงสาวหมาป่าผู้อยู่บนหลังฝูงสุนัขป่าขึ้นได้ก็รีบปรี่เข้าไปขวางขอทานหนุ่มคนดังกล่าวพร้อมส่งยิ้มให้กับอวิ๋นเกอ “แม่หนูน้อย หูของพวกเราเป็นปกติดี ได้ยินที่เจ้าพูดทุกอย่าง เจ้าไม่ต้องพูดด้วยน้ำเสียงเช่นนี้ก็ได้ เกิดฝูงหมาป่าโผล่มาคงไม่ดีแน่! พวกเราล้วนน่าเวทนา กลางค่ำกลางคืนต้องอาศัยนอนอยู่ข้างนอก จะกลัวก็พวกมันนี่แหละ”
อวิ๋นเกอพยักหน้ายิ้ม ท่าทางเสมือนเด็กว่านอนสอนง่าย เสียงของนางเปลี่ยนกลับเป็นเสียงเด็กแทบจะในทันที “ที่แท้หูของพวกท่านอาก็ล้วนปกติดี ท่านอา อย่าทุบตีพี่ชายตัวน้อยผู้นี้อีกเลย”
ขอทานเฒ่ารีบตอบรับ ส่งสัญญาณบอกให้ขอทานคนอื่นๆ ถอยห่าง
“เจ้าตัวเสนียด! ไอ้ตัวพันทาง!” ขอทานหนุ่มขัดใจ เตะเด็กหนุ่มที่นอนอยู่บนพื้นซ้ำ ก่อนจะพิจารณาดูอวิ๋นเกอ เผยให้เห็นถึงสีหน้าผิดหวัง ขณะที่กำลังจะจากไปก็ชำเลืองเห็นไข่มุกที่ประดับอยู่บนรองเท้าของอวิ๋นเกอ นัยน์ตาเขาพลันเป็นประกาย กลืนน้ำลายดังเอื๊อก ขอทานหนุ่มไม่สนสายตาของขอทานเฒ่าแม้แต่น้อย กลับหน้าด้านพูด “แม่นางน้อย เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของพวกข้า เจ้าพันทางนี่…เจ้านี่ขโมยเงินของพวกเรา…”
เสียงประชดเย็นชาดังลอยมาจากบนต้นอวี๋ “อวิ๋นเกอ เจ้าเสร็จธุระของเจ้าหรือยัง ข้าไปล่ะ”
พี่สามผิวปาก ทะยานร่างลงมาจากต้นอวี๋ไปนั่งนิ่งอยู่บนหลังม้าที่โผล่ออกมาเงียบเชียบจากไหนก็ไม่รู้พอดิบพอดี
อวิ๋นเกอรู้ว่าพี่สามของนางเป็นคนพูดจริงทำจริง ไม่ได้ขู่นาง
ม้าของพี่สามคืออาชาเหงื่อโลหิตที่พี่รองมอบให้ ทันทีที่มันชักเท้าออกวิ่ง หลิงตังที่ยังไม่โตเต็มวัยของนางย่อมไม่มีทางไล่ตามได้ทัน ดังนั้นอวิ๋นเกอจึงรีบเอ่ยปากร้องตะโกน “พี่สาม รอข้าด้วย รอข้าก่อน!”
เด็กชายอายุประมาณสิบขวบที่อยู่ตรงหน้าสวมใส่อาภรณ์หรูหรา กิริยาท่าทางสูงส่ง นั่งวางท่ายโสอยู่บนหลังม้าราวกับนกยูงรำแพน เคลื่อนไหวเงียบเชียบไม่ต่างอะไรกับปีศาจร้าย
ขอทานเหล่านั้นแม้จะไม่เข้าใจว่าอะไรคือวรยุทธ์สูงส่ง แต่การใช้ชีวิตเป็นขอทานมานานแรมปีก็ทำให้พวกเขาพอดูคนออกอยู่บ้าง ขอทานหนุ่มเองก็เข้าใจดีว่าผลประโยชน์วันนี้คงได้มาไม่ง่าย หากแม้ไม่ระวัง เกรงว่าจะเอาชีวิตไปทิ้งเสียเปล่าๆ ดังนั้นจึงไม่กล้าส่งเสียงอะไรอีก ส่วนขอท่านเฒ่าหลังจากก้มคำนับอวิ๋นเกอติดๆ กันเสร็จก็รีบพาคนอื่นๆ จากไป
เดิมทีอวิ๋นเกอตั้งใจจะรีบออกเดินทาง แต่พอเห็นเลือดของเด็กชายที่นอนอยู่บนพื้น นางก็วางใจไม่ลง รีบกระโดดลงจากหลังอูฐตรงไปพยุงอีกฝ่าย “พี่ชาย เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
พอได้ยินเสียง เด็กชายที่นอนอยู่บนพื้นก็ลืมตาขึ้น
ดวงตางดงามดำขลับราวหินโมรา ใสกระจ่าง สดสวยงดงามยิ่งกว่าฟ้าหลังฝน เพียงแต่นัยน์ตาของเขาไม่ได้แวววาวเป็นประกายเฉกเช่นอัญมณี แต่กลับแฝงไว้ซึ่งความเงียบงันว่างเปล่าราวกับทะเลทรายเวิ้งว้าง
ใจของอวิ๋นเกอสั่นสะท้าน นางไม่เคยเห็นดวงตาของผู้ใดงดงามเช่นนี้มาก่อน และก็ไม่เคยเห็นแววตาของใครสิ้นหวังเยี่ยงนี้เช่นกัน
เด็กชายเช็ดเลือดบนใบหน้า มองดูอวิ๋นเกอที่กำลังจ้องหน้าเขานิ่ง ในใจแอบนึกยิ้มหยัน เขาดึงหมวกออก ปล่อยเส้นผมยาวสลวยสีดำที่มีเส้นผมสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนปะปนอยู่ไหลลู่สะบัดไหวอยู่กลางแรงลม เส้นผมสองสีทั้งเข้ากันและขัดแย้งกันอย่างเด่นชัด ดวงตาดำขลับราวกับหินโมรานั้นดูเปี่ยมเสน่ห์ยากจะบรรยาย
เขายิ้มให้อวิ๋นเกอ รอยยิ้มนั้นทั้งชั่วร้าย ถากถาง เหยียดหยัน “คุณหนูผู้สูงศักดิ์ จิตใจอันงดงามบริสุทธิ์ของท่านได้เผยให้ผู้คนทั่วทั้งโลกได้ประจักษ์แล้ว ข้าเองก็ซาบซึ้งในความเมตตาการุณย์ของท่านเป็นยิ่งนัก ข้าขอจดจำบุญคุณท่านใส่ใจไม่มีวันลืม เชิญท่านขี่อูฐของท่านไปได้แล้ว”
ใบหน้าของเด็กชายยังคงเต็มไปด้วยคราบเลือด แต่ถึงกระนั้นก็ไม่อาจปกปิดความงามบนใบหน้าได้สนิท
องคาพยพบนหน้าของเขาผสมผสานไว้ซึ่งจุดเด่นของชาวฮั่นและชนต่างเผ่า เค้าโครงแม้เด่นชัด แต่ก็ดูนุ่มนวล สมบูรณ์ราวหยกสลัก ผนวกกับเส้นผมขาวครึ่งดำครึ่ง ทำให้ใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นดูเจนจัดร้ายกาจชวนหลงใหล
แม้เสื้อผ้าเขาจะขาดวิ่น นอนอยู่กลางดินโคลนเฉอะแฉะ แต่สีหน้าท่าทางกลับดูสูงส่งอวดดีจนอวิ๋นเกอรู้สึกเหมือนกับว่าเขาเป็นองค์ชายองค์หนึ่ง เพียงแต่…เป็น…องค์ชายของจอมปีศาจ
อวิ๋นเกอทำแก้มป่อง กลอกตาไปมา หลังจากนั้นก็แย้มยิ้ม “เจ้าคิดยั่วโมโหข้า แต่ข้าไม่โกรธหรอก! เจ้าน่าจะไปหาหมอเสียหน่อย เลือดเจ้าออกมากเหลือเกิน”
ปฏิกิริยาของอวิ๋นเกอไม่ได้เป็นเหมือนอย่างที่เขาคิด เด็กชายจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของอวิ๋นเกอ ก่อนจะมองไปยังพี่สามพี่ชายของนางที่อยู่ห่างออกไปบนหลังม้า เขาหัวเราะเสียงดัง “คุณหนูผู้สูงศักดิ์ หาหมอเป็นเรื่องของคนมีเงิน คนต่ำต้อยเช่นข้า ไม่มีความจำเป็นอันใดที่จะต้องเสียเวลาไปกับเรื่องเช่นนี้ แต่ว่าคนเรายิ่งต้อยต่ำก็ยิ่งต้องมีชีวิตต่อไป สวรรค์ยังปรารถนาจะเห็นคนเช่นพวกข้าสร้างความบันเทิงให้พวกเขาอยู่! ข้าไม่มีทางตายง่ายๆ เชิญท่านไปตามทางของท่านเถอะ”
“อวิ๋นเกอ!” พี่สามแหงนหน้ามองฟ้า คิ้วขมวดเป็นปม เขากระตุ้นท้องม้า อาชาเหงื่อโลหิตเริ่มทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว
อวิ๋นเกอรีบร้องตะโกน “พี่สาม ข้าจะทำ ‘หยาดน้ำค้างกลางบัว’ อาหารจานพิเศษที่ข้าคิดขึ้นใหม่ให้ท่านกิน!”
เวลานี้แม้แต่สิ่งล้ำค่าที่สุดในใต้หล้าหรือหยกเหอซื่อ* ที่ใช้ทำตราราชลัญจกรของแผ่นดินต้าฮั่นก็ล้วนเป็นเพียงเรื่องใต้เกือกม้าของพี่สาม หากเขาคิดจะไปย่อมควบทะยานไปโดยไม่ลังเล มีเพียงแต่เรื่องกินเท่านั้นที่จะเรียกให้เขาหยุดม้าได้
พี่สามดึงบังเหียนม้า “ยี่สิบเสียง”
อวิ๋นเกอพยักหน้า นี่เป็นวิธีนับเวลาที่นางและพี่สามใช้กันมาตั้งแต่ยังเล็ก ยี่สิบเสียงก็คือนับหนึ่งถึงยี่สิบ หากเกินไปแม้เพียงหนึ่งจะไม่มีการรั้งรอ
อวิ๋นเกอยิ้มถามเด็กชาย “ถ้ามีเงิน เจ้าจะยอมไปหาหมอใช่หรือไม่”
นัยน์ตาของเด็กชายฉายแววเยาะหยันตัวเอง เขาเจตนาวางมือดำๆ ของตนกุมเทียบกับมือของอวิ๋นเกอ มือหนึ่งดำสกปรกราวดินโคลน มือหนึ่งขาวสะอ้านราวเมฆขาว ความต่างระหว่างเมฆขาวกับดินโคลน หาได้สร้างความรู้สึกอันใดให้กับอวิ๋นเกอแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามนางกลับจับมือเขาไว้ เอ่ยปากถามซ้ำอีกครั้ง “ถ้ามีเงิน เจ้าจะยอมไปหาหมอใช่หรือไม่”
เด็กชายมองดูมือของอวิ๋นเกอที่ฉุดดึงมือเขา ตะลึงงันไปชั่วขณะ ไม่พูดไม่จา
อวิ๋นเกอยิ้มพูด “ในเมื่อไม่พูด เช่นนั้นก็ถือว่าเจ้าตกลงรับปากแล้ว พี่สาม ท่านมีเงินหรือไม่”
พี่สามพูดโดยไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมามอง “ข้าไม่ได้พกเงินออกจากบ้าน คนอย่างข้าไม่มีวันถูกหลอก ในบ้านมีคนโง่คนเดียวก็พอแล้ว และต่อให้มีเงิน ข้าก็ไม่มีทางมอบมันให้กับผู้ชายไม่เอาไหนเด็ดขาด”
เด็กชายที่อยู่บนพื้นไม่เพียงไม่โกรธ ตรงกันข้ามกลับยิ้ม เขาปล่อยมือของอวิ๋นเกอ ทิ้งตัวกลับลงไปนอนบนพื้น ท่าทางราวกับกำลังนอนอยู่บนตั่งเตียงแสนสบาย ยิ้มเกียจคร้านพึงพอใจ รอยยิ้มเย้ยหยันตรงมุมปากไม่รู้กำลังยิ้มเยาะผู้อื่น หรือกำลังยิ้มเยาะตนเอง ดูราวกับเต็มเปี่ยมไปด้วยความโศกเศร้า
อวิ๋นเกอที่ยิ้มแย้มอยู่เสมอเก็บรอยยิ้ม พูดน้ำเสียงจริงจัง “ถูกขอทานรังแกไม่ได้แปลว่าไม่เอาไหน อาศัยใหญ่รังแกเล็ก มากรังแกน้อยเช่นนี้ พวกเขาทำไม่ถูก”
เด็กชายที่นอนอยู่บนพื้นยังคงยิ้มไม่ใส่ใจ นัยน์ตาดำขลับราวกับหินโมราวับวาวเป็นประกายเย็นเยียบดุจคมมีด
พี่สามส่งเสียงประชดออกมาคำหนึ่ง พูดน้ำเสียงราบเรียบ “สิบห้า สิบหก…”
ขณะที่อวิ๋นเกอกำลังนึกร้อนใจ เด็กชายบนพื้นกลับพูดจาเย้ยหยันนาง “คุณหนูผู้สูงศักดิ์ หากท่านไม่มีเงินก็มอบไข่มุกบนรองเท้าท่านให้กับข้าแทนสิ! ข้าจะได้เอามันไปแลกเงินหาหมอ” ไหนๆ ก็ถูกเห็นเป็นพวกต้มตุ๋นแล้ว เช่นนั้นก็หลอกเอาเงินจริงเสียเลยจะเป็นไร มุกเม็ดนั้นไม่ว่าจะสีหรือขนาด อย่าว่าแต่หมอเลย ต่อให้ซื้อโรงหมอทั้งโรงก็ยังได้
“มันแลกเปลี่ยนเป็นเงินได้ด้วยกระนั้นหรือ” อวิ๋นเกอแค่รู้สึกว่าหากบนรองเท้ามีมุกประดับอยู่คงน่าดูมากก็เท่านั้น ด้วยเหตุนี้นางถึงได้ขอให้ท่านแม่หาคนช่วยทำรองเท้าแบบนี้ให้ ตอนนี้นางถึงเพิ่งจะรู้ว่ามันสามารถแลกเป็นเงินได้ด้วย นางพยักหน้ายิ้ม รีบก้มลงดึงมุกออก แต่เพราะถูกร้อยไว้แน่นหนาด้วยด้ายทองจึงไม่อาจดึงออกได้โดยง่าย
“สิบแปด สิบเก้า…”
อวิ๋นเกอรีบถอดรองเท้า วางมันไว้ที่ข้างมือของอีกฝ่าย หลังจากนั้นก็หันหลังวิ่งขึ้นอูฐ ไล่ตามหลังพี่สามไปพลางตะโกนร้องกำชับอยู่ไกลๆ “จำไว้ว่าต้องไปหาหมอ สุภาพชนพูดแล้วไม่คืนคำ!”
เด็กชายนอนอยู่บนพื้น สายตามองไปยังร่างในอาภรณ์สีเขียวบนหลังอูฐขาวที่กำลังห่างออกไปทุกที
ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันน้อยๆ รอยยิ้มยังคงแลดูเกียจคร้านเหมือนเก่า
* หยกเหอซื่อ (เหอซื่อปี้) เป็นชื่อหยกที่ได้รับการขนานนามว่างามที่สุดและไม่อาจประเมิณค่าได้ ในสมัยชุนชิวเปี้ยนเหอแห่งแคว้นฉู่ผู้ขุดค้นพบได้นำหินหยกสีขาวขุ่นขึ้นถวายฉู่อ๋อง ตอนแรกถูกเข้าใจผิดเห็นเป็นหินธรรมดาจึงถูกลงโทษให้ตัดขาทั้งสองข้าง ภายหลังเมื่อเป็นที่ยอมรับว่าเป็นหยกจริงจึงได้ตั้งชื่อว่าหยกเหอซื่อตามชื่อของเขา
ภายในดวงตา สิ่งที่ซุกซ่อนอยู่หลังความเงียบงันว่างเปล่ากลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่ดำมืดเสียยิ่งกว่าความมืดยามวิกาล
เขากุมรองเท้าปักลายข้างมือไว้ช้าๆ รอยยิ้มเย้ยหยันชั่วร้ายทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกที
ที่แท้ของที่ผู้อื่นเห็นว่าสามารถสร้างชีวิตอันมั่งคั่งสมบูรณ์พูนสุขได้ สำหรับนางแล้วก็แค่ไข่มุกที่เอาไว้ใช้เล่นสนุกเม็ดหนึ่งเท่านั้น
“แต่ไหนแต่ไรข้าก็ไม่ใช่สุภาพชน! และไม่คิดจะเป็นสุภาพชนอะไรทั้งนั้น!”
เขาออกแรงโยนรองเท้าของอวิ๋นเกอออกไป แหงนหน้าระเบิดเสียงหัวเราะใส่ท้องฟ้าเบื้องบนที่ไม่มีวันรู้สึกทุกข์ร้อนโศกาอาดูรอันใด
นี่คงเป็นชะตาชีวิตกระมัง
สวรรค์ใช้อะไรเป็นเครื่องตัดสินว่าผู้ใดควรมั่งมี ผู้ใดควรต้อยต่ำ ผู้ใดควรตาย ผู้ใดควรอยู่ ชะตาชีวิตผู้ใดมีค่ากว่ากัน
สวรรค์บัดซบ! ข้าไม่มีวันยอมให้ท่านเป็นคนกำหนดชะตาชีวิตข้าเด็ดขาด สิ่งที่ท่านแย่งชิงไปจากมือข้า ข้าจะเอามันกลับคืนเป็นทวีคูณ! ใครขวางข้า ไม่ว่าจะเทพหรือปีศาจ ข้าจะฆ่ามันให้สิ้น!
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments