X
    Categories: LOVEทดลองอ่านเจรจาต่อ-ตาย ตอน ราคะ

ทดลองอ่านนิยาย เจรจา-ต่อ-ตาย ตอน ราคะ บทที่ 2

หน้าที่แล้ว1 of 9

บทที่ 2

 

ภายในห้องใต้บันไดหนีไฟซึ่งถูกต่อเติมขึ้นใหม่นั้นมีเสียงเพลงจังหวะหนักๆ ดังอยู่ มันน่ารำคาญมากกว่าจะฟังสบายในขณะทำงาน แต่ดูเหมือนคนที่อยู่ในห้องนั้นจะพึงพอใจกับมัน ชายร่างตุ้ยนุ้ยคนหนึ่งกำลังหยิบแซนด์วิชอกไก่อันแสนเย็นชืดเข้าปากขณะที่สายตาก็เพ่งมองไปที่จอคอมพิวเตอร์ซึ่งอยู่เบื้องหน้า เขาหัวเราะเสียงดังเมื่อตัวการ์ตูนกระโดดโลดเต้นไปมา ใบหน้าอวบอิ่ม หนวดเคราขึ้นหร็อมแหร็ม และผมทรงรังนกทำให้เขาดูเหมือนตัวตลก

“ทำไมไม่เปิดเสียงแล้วปิดเพลงซะล่ะรุสก์ ถ้านายจะดูน่ะ”

คนถูกทักหันมาทางด้านหลัง ชายอีกคนกำลังแผ่เอกสารไว้เต็มโต๊ะประชุมกลางห้อง หลอดไฟที่อยู่เหนือศีรษะช่วยทำให้จุดกึ่งกลางของโต๊ะสว่างเป็นพิเศษ

“ไม่ต้อง ผมชอบแบบนี้”

“ประหลาด”

วุฒิภาศส่ายหน้าแล้วยิ้มมุมปากก่อนที่จะก้มหน้าลงไปสนใจเอกสารอีกครั้ง เขาเป็นชายร่างสูงโปร่งที่มีสีหน้าครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา เขามีหน้าที่จดบันทึกเหตุการณ์การเจรจาต่อรองที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้งไว้อย่างละเอียด แล้วยังต้องทำรายงานสรุปเหตุการณ์ไว้ด้วยไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะสำเร็จหรือล้มเหลวก็ตาม เพราะสิ่งที่เขาบันทึกจะกลายเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถนำมาปรับใช้ในการทำงานได้

วุฒิภาศจบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจและรับราชการมาหลายปีก่อนที่จะมาพบหัสยุทธ หัวหน้าของเขาในเวลานี้ ทันทีที่เขาได้รู้จักหัสยุทธ เขาก็รู้ทันทีว่าชีวิตการทำงานของเขาต้องการผู้นำแบบไหน และการตัดสินใจในวันนั้นทำให้เขาต้องมานั่งทำงานในห้องใต้บันไดหนีไฟในเวลานี้พร้อมกับเพื่อนร่วมห้องประหลาดๆ อย่างปารุสก์

“แล้วนี่อาสไปไหน”

“หืม…”

คนถูกถามดึงความสนใจของตนออกจากหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วหันไปมองกระดานดำซึ่งแขวนไว้ด้านหน้าห้องทำงาน บนนั้นมีตัวหนังสือใหญ่มากปรากฏอยู่ ปารุสก์แกล้งอ่านเสียงดัง

“ขึ้นไปข้างบน”

วุฒิภาศเงยหน้าขึ้นมองกระดานดำบ้าง เขาเพิ่งเห็นตัวหนังสือนั่นตอนนี้เอง อาสดาคงเขียนไว้ก่อนที่จะออกไปข้างนอก นี่เขามัวแต่สนใจงานของตัวเองจนไม่ได้ใส่ใจเพื่อนร่วมห้องถึงขนาดนี้เชียวหรือ และคำว่า ‘ข้างบน’ ของอาสดาก็คงหมายถึง ‘บนอาคาร’ นั่นเอง เพราะอาสดาเป็นหนุ่มสังคมจัด ถ้าให้อยู่เฉยๆ ในห้องทั้งวันก็คงจะคลั่งตาย ไม่เหมือนเขากับปารุสก์ที่ถึงแม้จะถูกปล่อยให้อยู่ในห้องนี้ทั้งวันทั้งคืนก็จะหากิจกรรมอะไรทำได้เสมอไม่มีวันเบื่อ

เสียงโทรศัพท์ดังคล้ายเสียงไซเรนซึ่งปารุสก์เป็นคนตั้งระบบส่งสัญญาณพิเศษนี้ไว้ ชายหนุ่มทั้งสองสะดุ้งพร้อมกัน มืออวบของปารุสก์เลื่อนไปปิดเพลงแล้วห้องทั้งห้องก็อยู่ในความเงียบ มีเพียงเสียงไซเรนเท่านั้นที่ดังอยู่ วุฒิภาศเป็นคนพุ่งไปที่เครื่องตอบรับแล้วกดปุ่มเปิดเสียง

“หน่วยเจรจาต่อรองครับ”

“มีเหตุจี้ตัวประกันขึ้นในธนาคารพาณิชย์…”

ปารุสก์ทำปากขมุบขมิบ “พี่โอบ”

“ผมต้องการครบทีมนะ” โอบเกียรติเน้นย้ำหลังจากที่แจ้งสถานที่เกิดเหตุไปแล้ว “ด่วนเลย!”

“ครับผม”

สายโทรศัพท์ถูกตัดฉับ ท่าทางทีมของโอบเกียรติเองก็จะอยู่ในภาวะคับขันเหมือนกัน วุฒิภาศหันมาสั่งงานปารุสก์ที่นั่งมองเขาตาแป๋วอยู่

“ตามอาสสิ เดี๋ยวฉันตามหัวหน้าเอง บอกให้อาสตามไปที่รถภายในห้านาที แล้วนายหยิบเครื่องมือสื่อสารของเขาติดกระเป๋าไปด้วย”

“รับทราบครับท่านนนน”

ปารุสก์ลากเสียงยาวแล้วทำตามคำสั่งนั้นทุกประการ นอกจากจะต้องหยิบเครื่องมือเครื่องใช้ไปให้อาสดาแล้ว ปารุสก์ก็ต้องเก็บโน้ตบุคส่วนตัวเข้ากระเป๋าเป้ด้วย ชีวิตของเขามีแค่เจ้าเครื่องนี้ก็เอาตัวรอดได้แล้ว

 

โทรศัพท์มือถือของหัสยุทธทั้งส่งเสียงร้องทั้งสั่นจนเขาสะดุ้ง ด้วยความที่กำลังใช้สมาธิในการขับรถอยู่บนทางด่วน เขาจึงต้องชะลอความเร็วของรถลงแล้วล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง เมื่อเห็นว่าใครโทรเข้ามาก็รับสายพร้อมกับกดปุ่มเปิดลำโพง

“ว่าไงวุฒิ”

“หัวหน้าครับ มีเหตุด่วน”

“ที่ไหน”

“ธนาคารครับ…” วุฒิภาศบอกพิกัดกับหัวหน้าอย่างละเอียด “สารวัตรโอบเกียรติกำชับมาว่าขอครบทีม”

“โอเค ผมจะลงจากทางด่วน แล้วเจอกันที่นั่นเลย บอกทุกคนเตรียมตัวให้พร้อมด้วย”

“รับทราบครับ”

หัสยุทธเป็นชายวัยสี่สิบใบหน้ายาว แก้มตอบ คางบุ๋มนิดๆ คิ้วเรียว ดวงตาคมกริบ ริมฝีปากบางเฉียบ และจอนผมตรงข้างหูเริ่มเป็นสีเทา หากเพิ่งพบกันอาจบอกได้ยากว่าเขาเป็นคนประเภทไหน เพราะบางครั้งดวงตาคมก็ดูซุกซน ริมฝีปากบางอาจจะกระตุกเหมือนกำลังยิ้มล้อ และคางนั้นก็อาจจะทำให้ผู้หญิงบางคนนึกหลงใหลได้เพียงแค่พบกันชั่วขณะ หากแต่ในตอนนี้ที่เขาเริ่มมีความเครียดเข้ามาเกาะกุม เครื่องหน้าทุกอย่างส่งสัญญาณไปในทำนองเดียวกัน นั่นคือความเด็ดเดี่ยวและมุ่งมั่น สิ่งที่กำลังจะตกตะกอนอยู่ในความคิดถูกปิดตายลง รอเวลาว่างที่มันจะก่อตัวฟุ้งขึ้นมากระทบความคิดและจิตใจของเขาอีกครั้ง…

 

ปารุสก์หิ้วสายสะพายเป้ขึ้นพาดหัวไหล่ ในมือมีเครื่องมือสื่อสารทั้งวิทยุและโทรศัพท์อยู่อีกสี่เครื่อง ปากคาบปากกาไว้ ดังนั้นเสียงที่เขาพยายามจะพูดออกมาจึงฟังไม่ได้ศัพท์

“เอี้ยบอ๊อย อิดอะอูไอ้เอย” (เรียบร้อย ปิดประตูได้เลย)

“อะไร ฟังไม่รู้เรื่อง นายไปที่รถก่อน ฉันจะปิดประตูห้อง”

“อ้ออั้นแอะอี้อะออก” (ก็นั่นแหละที่จะบอก)

วุฒิภาศส่ายหัวแล้วหันไปปิดประตูห้องทำงาน ปารุสก์โผล่ออกมาตรงหน้าประตูซึ่งเป็นทางออกจากบันไดหนีไฟของตัวอาคาร ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงคนวิ่งลงมาจากบันไดเหล็กพอดี

“อี้อาด” (พี่อาส)

“เอ้อ ไป! กุญแจรถอยู่ไหน”

ชายร่างกลมหมุนตัวแล้วหันก้นเข้าหาอาสดา คนผิวขาว หน้าตี๋ แถมขี้หลีนั่นถึงกับงง

“หันตูดมาหาข้าทำไมตอนนี้”

“ไอ้อ้ายยยย อุนแออู่ไออูด” (ไม่ใช่ กุญแจอยู่ในตูด)

“อ้อ กุญแจอยู่ในตูด เดี๋ยวนะ อยู่นิ่งๆ” อาสดาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงด้านหลังของปารุสก์ คนถูกล่วงละเมิดพื้นที่ส่วนตัวดิ้นขลุกขลักด้วยความจั๊กจี้ “นิ่งๆ สิวะ เจอแล้ว! ไปที่รถเลย”

“แอ๊วไอ้อ้วยอื๋ออ๋องเอยเอ๋อ” (แล้วไม่ช่วยถือของเลยเหรอ)

อาสดาผลักประตูเหล็กซึ่งเป็นประตูสุดท้ายก่อนที่จะออกไปสู่โลกภายนอก ประตูนี้สามารถเปิดเข้าและออกได้ตลอดเวลา มันไม่มีกุญแจล็อกไว้ทั้งด้านนอกและด้านในเหมือนประตูอื่น เพราะถ้าหากเกิดเพลิงไหม้ในตัวอาคารเมื่อใด ประตูนี้จะเป็นประตูที่ช่วยให้ทุกคนหนีออกไปจากอาคารได้อย่างปลอดภัย

อาสดาพุ่งตัวไปที่รถของหน่วยซึ่งจอดไว้ในที่จอดรถข้างอาคารสำนักงาน รถของหน่วยเจรจาต่อรองมีสองคัน คันที่อาสดากำลังจะใช้นั้นเป็นรถตู้ขนาดสิบห้าที่นั่งซึ่งถูกดัดแปลงด้านในให้เหมาะกับเป็นห้องทำงานภาคสนาม เก้าอี้พับถูกถอดออกไปทั้งหมดจนเกิดเป็นพื้นที่ว่าง คอมพิวเตอร์สี่ตัวถูกนำไปฝังไว้ข้างผนังห้องโดยสาร ปารุสก์จะมีเก้าอี้ส่วนตัวซึ่งถูกล็อกไว้ให้ติดกับพื้นรถ ส่วนวุฒิภาศจะต้องใช้เก้าอี้สำรองที่ถูกติดไว้กับผนังรถฝั่งตรงข้าม เขาต้องดึงมันออกมาจากที่เก็บแล้วจึงหย่อนก้นลงไป นอกจากรถตู้แล้ว พาหนะอีกคันของหน่วยจะเป็นรถเก๋งซึ่งตอนนี้หัสยุทธกำลังใช้งานอยู่

วุฒิภาศตามปารุสก์มาทันก่อนที่เขาจะขึ้นรถ วุฒิภาศอาสาเปิดประตูรถตู้ให้ ปารุสก์พุ่งตัวเข้าไปได้แล้ววางข้าวของในมือลงบนเคาน์เตอร์เล็กๆ ทันที เขารีบเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในรถให้สามารถใช้งานได้ทุกเครื่อง ส่วนวุฒิภาศเมื่อปิดประตูสนิทก็ตะโกนผ่านกระจกที่เชื่อมระหว่างห้องคนขับกับห้องผู้โดยสารเพื่อให้อาสดาออกรถ

“ออกรถเลย”

“ตั้ง GPS* ให้ด้วย” อาสดาสั่งลอยๆ

“ครับเจ้านาย” ปารุสก์รับคำแล้วเริ่มคีย์ข้อมูลในคอมพิวเตอร์ของตน “เปิดหน้าจอได้เลย ไปแล้ว”

แผนที่ เส้นทางการเดินรถ ระยะทาง และเวลาที่ใช้ในการเดินทางไปถึงจุดหมายถูกดาวน์โหลดขึ้นบนหน้าจอเครื่องรับสัญญาณขนาดเท่าฝ่ามือตรงหน้าคอนโซลรถซึ่งเป็นตำแหน่งที่คนขับสามารถมองเห็นได้ชัดเจนที่สุด อาสดาขับรถตู้ขึ้นสู่ถนนใหญ่แล้วมุ่งหน้าไปตามทิศทางที่ GPS บอกไว้ว่าเขาสามารถไปถึงหน้าธนาคารพาณิชย์แห่งนั้นได้เร็วที่สุด

ช่วงเวลาระหว่างเดินทางปารุสก์ไม่ได้นิ่งเฉย เขาเริ่มค้นหาข้อมูลโดยการออนไลน์คอมพิวเตอร์ในรถตู้เข้าสู่เครือข่ายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีข้อมูลส่วนกลางหลายอย่างที่เจ้าหน้าที่ระดับหน่วยงานของ NIC สามารถเข้าถึงได้ และที่สำคัญที่สุดก็คือการหาข้อมูลของสถานที่เกิดเหตุ ปารุสก์เชื่อมโยงภาพดาวเทียมจาก Google Maps เพื่อหาอาคารสิ่งปลูกสร้าง ถนน ตรอก ซอกซอยที่อยู่ใกล้เคียงกับสถานที่เกิดเหตุ แม้ข้อมูลในนั้นจะไม่ได้เป็นข้อมูลที่ถูกต้อง ณ วันที่ค้นหา แต่มันก็เป็นข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือได้มากที่สุดในเวลานี้ พวกเขาต้องรู้จักพื้นที่เป้าหมายให้มากที่สุดเพื่อหาโอกาสและลดข้อผิดพลาดที่จะเกิดขึ้น

“โห อยู่หน้าโรงเรียนอนุบาลเลย” ปารุสก์บ่น

วุฒิภาศยกนาฬิกาข้อมือของตนขึ้นมาดู “ซวยแน่ เวลาโรงเรียนเลิกด้วย”

“มันตั้งใจ งานนี้ต้องอาศัยทีมพี่โอบเคลียร์สถานที่แล้ว ข้างหลังเป็นตลาดด้วยพี่…”

* GPS – Global Positioning System: GPS คือระบบบอกตำแหน่งของวัตถุบนพื้นผิวโลก โดยอาศัยการคำนวณจากความถี่สัญญาณนาฬิกาที่ส่งมาจากดาวเทียมซึ่งโคจรอยู่รอบโลก ทำให้ระบบนี้สามารถบอกตำแหน่ง ณ จุดที่สามารถรับสัญญาณได้ โดยเครื่องรับสัญญาณจีพีเอสรุ่นใหม่ๆ จะสามารถคำนวณความเร็วและทิศทางนำมาใช้ร่วมกับโปรแกรมแผนที่เพื่อใช้ในการนำทางได้

วุฒิภาศจดรายละเอียดลงในสมุดบันทึกเล่มเล็กของเขา ปารุสก์ยังคงจดจ่อกับภาพในคอมพิวเตอร์ เขาหมุนจอยสติ๊กอย่างรวดเร็วเพื่อดูภาพให้ละเอียด หากใครไม่คุ้นเคยแล้วมองภาพบนหน้าจอนั่นตามเขาคงได้อาเจียนแน่

“อาคารพาณิชย์อ่ะ ไม่ชอบเลย”

“กี่ห้อง”

“ติดกันเจ็ดห้อง ธนาคารอยู่ห้องที่สามกับสี่ ตรงกลางเลย โอ๊ย รวมความยากทุกอย่างในสากลโลกไว้ด้วยกัน”

“ดึงข้อมูลผู้บริหารของธนาคาร รายชื่อพนักงานในสาขานั้น แล้วหาว่าใครเป็นเจ้าของอาคารพาณิชย์ ฉันอยากได้แผนที่โครงสร้างอาคาร”

“ครับผม”

ปารุสก์ใช้ช่องทางที่ถูกกฎหมายเพื่อหาข้อมูลมาตอบสนองความต้องการของเพื่อนร่วมทีม เขาเข้าไปในเวบไซต์หลักของธนาคารเพื่อเชื่อมโยงไปยังสาขาที่ต้องการ จากนั้นก็ส่งข้อมูลเข้ายังมือถือส่วนตัวของวุฒิภาศ นายตำรวจหนุ่มยกหน้าจอขึ้นมาอ่าน

“ห้าคน แล้วไม่มีรายชื่อพนักงานเหรอ”

“มี แต่คิดว่าไม่อัพเดตแล้ว เพราะข้างล่างระบุว่าเป็นข้อมูลตั้งแต่ปี 2556”

“ใช้ไม่ได้ งั้นต้องรอหน้างาน นายหาข้อมูลของอาคารพาณิชย์ไปเถอะ เดี๋ยวฉันจะดูข้อมูลของธนาคารเอง”

“ได้เลยครับลูกพี่”

ปารุสก์หันกลับไปสนใจจอคอมพิวเตอร์ของตนอีกครั้ง เขาพยายามเพ่งหาป้ายชื่ออาคารหรือชื่อโครงการที่ระบุความเป็นเจ้าของอาคารพาณิชย์แห่งนั้นใน Google Maps เพราะถ้ามีชื่อแล้ว การหาว่าชื่อนั้นถูกขึ้นทะเบียนโดยใครหรือใครเป็นเจ้าของก็สามารถทำได้ง่ายขึ้น

 

ผ่านไปไม่นานอาสดาก็เอียงหน้ามาทางด้านหลังแล้วตะโกนรายงานความคืบหน้า “ถึงแล้ว คนมุงเต็มเลย”

“เดี๋ยวฉันโทรหาสารวัตรโอบเกียรติเอง”

วุฒิภาศบอกแล้วรีบกดโทรศัพท์ เสียงเรียกเข้าดังแค่ครั้งเดียวสายก็ถูกรับ

“พวกนายถึงรึยัง”

“ถึงแล้วครับ ให้ผมเข้าทางไหน”

“สุดอาคารพาณิชย์ เคลียร์สถานที่ไว้ให้แล้ว แล้วหัวหน้าพวกนายล่ะอยู่ไหน”

“กำลังมาครับ”

“ช้าตลอด เร็วเข้า!”

สายถูกตัดฉับ วุฒิภาศผู้มีอารมณ์เย็นที่สุดของหน่วยไม่ได้สนใจกับอาการกระโชกโฮกฮากของโอบเกียรติ เพราะเห็นเป็นเรื่องปกติ นายตำรวจหนุ่มหันไปตะโกนบอกคำตอบให้อาสดารู้ “เข้าทางด้านข้างของอาคาร มีเจ้าหน้าที่รออยู่”

“รับทราบ”

รถตู้ได้รับการอำนวยความสะดวกจากเจ้าหน้าที่ภาคสนามของโอบเกียรติ พวกเขาเปิดทางกลุ่มฝูงชนที่ยืนมุงดูเหตุการณ์อยู่รอบๆ เพื่อให้รถของหน่วย NIC เข้าไปจอดในตำแหน่งที่โอบเกียรติกำหนดไว้ เมื่ออาสดาจอดรถเรียบร้อยแล้วก็ยื่นมือผ่านช่องกระจกที่สามารถเปิดปิดได้เพื่อขอเครื่องมือสื่อสารของตนจากปารุสก์ จากนั้นก็ลงจากรถแล้วเข้าไปพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ภาคสนามที่เขาคุ้นเคย

วุฒิภาศออกจากรถอีกทางเพื่อไปหาโอบเกียรติ เขาทิ้งให้ปารุสก์ประจำอยู่ในรถตู้ตามลำพังเพื่อคอยประสานงานเรื่องการค้นหาข้อมูล โดยทุกคนจะมีวิทยุติดตามตัวเครื่องเล็กเสียบพ่วงกับหูฟังเพื่อใช้ในการสื่อสารระหว่างกัน โอบเกียรติกับการุณและพิบูลย์ยังคงซุ่มตัวอยู่ด้านหลังรถกระบะ เวลานี้เป็นเวลาที่โรงเรียนอนุบาลเลิกแล้ว ผู้ปกครองต่างก็มารับลูกหลานของตนตามเวลา ส่วนใหญ่จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับธนาคารที่อยู่ฝั่งตรงข้ามถนน แต่พวกเขารับทราบเหตุการณ์หลังจากที่มีการบอกเล่าแบบปากต่อปาก และส่วนใหญ่สมัครใจที่จะอยู่รอดูเหตุการณ์ ซึ่งนั่นยิ่งทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานได้ยากขึ้น

ขณะนี้เป็นเวลาสิบหกนาฬิกาห้านาที โอบเกียรติมองเห็นวุฒิภาศกำลังเดินฝ่าเชือกกั้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เขาจึงรีบวิ่งสวนออกไปหา

“มีเสียงปืนดังขึ้นสองถึงสามนัดก่อนที่เราจะเข้ามา” โอบเกียรติพูดเร็วๆ

“กี่นาทีแล้วครับ”

“เกือบชั่วโมงแล้ว ไม่มีคนเข้าออกธนาคารตลอดเวลาที่เกิดเหตุ มีการเจรจาไปหนึ่งรอบแต่ไม่มีการตอบรับ เราพยายามจะเข้าไปใกล้กว่านี้ แต่เกิดเสียงปืนดังขึ้นอีกนัดซะก่อนเลยต้องเรียกพวกนายมา”

“ยังไม่มีการเรียกร้องอะไรเลยเหรอครับ”

โอบเกียรติส่ายหน้า “วิญญูบอกว่าทางด้านหลังอาคารเป็นตลาด ตอนนี้ฉันให้คนดักทางเข้าออกทุกทางไว้แล้ว”

 

ทางฟากอาสดา เขาพยายามเดินหาตัววิญญูจนพบ คนทั้งคู่ยืนคุยกันข้างกำแพงซึ่งอยู่ด้านหลังอาคารพาณิชย์ วิญญูอยู่ในชุดพร้อมรบ ทั้งเสื้อกันกระสุน แว่นตา ถุงมือ และอาวุธปืน แม้จะยังไม่ได้ขึ้นลำกล้อง แต่ก็เตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นมากทีเดียว อาสดารู้สึกทุกครั้งว่ามันดูเป็นเรื่องที่เกินกว่าเหตุ

“นายคิดว่าเรื่องมันจะใหญ่ขนาดนั้นเลยเหรอ นี่คนในตลาดไม่เป็นอันทำมาหากินกันแล้ว”

“แล้วนายจะเสี่ยงให้มันใหญ่ก่อนไหมล่ะ งานของฉันคือป้องกันและจัดการ เพราะฉะนั้นการเตรียมตัวคือหัวใจสำคัญ…รู้ไว้ซะด้วย”

“ครับๆๆ แล้วนี่เป็นทางออกทางเดียวเหรอ”

“ใช่ ปกติแต่ละห้องจะมีทางออกสองทางคือด้านหน้าและตรงจุดนี้” วิญญูชี้มือไปที่กำแพง “มันเป็นทางออกด้านหลังไว้สำหรับกรณีฉุกเฉิน แต่บางบ้านเขาปิดตายด้านหลังของอาคารตัวเองไว้เลย ก็จะทำให้มีทางเข้าออกได้แค่ทางเดียว”

“ทำไมล่ะ” อาสดาสงสัยว่าทำไมผู้คนจึงไม่อยากมีทางออกฉุกเฉินเผื่อไว้ในกรณีที่อาจจะเกิดอันตรายขึ้นภายในอาคาร

“ก็กลัวคนจากตลาดปีนเข้ามาปล้นไง”

“เอ้า เวรกรรม” เขาส่ายหน้า “แล้วนี่นายคุยกับเจ้าของห้องคนอื่นรึยัง”

“ยังไม่ลงรายละเอียดมาก แต่เอาตัวออกมาจากอาคารหมดแล้ว และก็กันพวกเขาออกจากฝูงชนไว้แล้วด้วย รอพวกนายมาทำงานต่อ”

“แท้งกิ้ว” อาสดาตบบ่าวิญญูเบาๆ แต่ฝ่ายนั้นกลับหลบแบบเนียนๆ

เสียงในหูของอาสดาดังขึ้น นายตำรวจหนุ่มจึงหันความสนใจไปที่เสียงของปารุสก์แทน

“เจ้านายเข้ามาแล้ว ได้ชื่อเจ้าของอาคารมาแล้วด้วย ถ้าต้องการให้ประสานงานอะไรบอกได้เลย”

“โอเค รับทราบ เดี๋ยวไปเจอหัวหน้าก่อน”

อาสดายกมือขึ้นโบกลาวิญญูโดยไม่ได้พูดอะไร เขาวิ่งเหยาะๆ กลับไปทางด้านหน้าของอาคารพาณิชย์

รถเก๋งของหน่วยเจรจาต่อรองมาจอดตรงท้ายรถตู้ซึ่งปารุสก์นั่งทำงานอยู่ด้านใน หัสยุทธเปิดประตูเข้าไปทักทายลูกน้องคนสุดท้องของเขาก่อน จากนั้นก็หยิบเสื้อกันกระสุนขึ้นมาสวม ปารุสก์ยื่นหูฟังประจำตัวให้เจ้านายพร้อมกับรายงานสั้นๆ เท่าที่เขาพอจะรู้

“มีปืนครับ”

“อืม…รอฟังคำสั่งนะ”

“ครับผม”

หัสยุทธปิดประตูรถตู้แล้วเดินไปสมทบกับโอบเกียรติและวุฒิภาศ โดยอาสดาได้เดินตามเขามาอีกทอดหนึ่ง หัสยุทธเห็นสายตาขวางๆ ของโอบเกียรติที่ส่งมาให้ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก

“ไปไหนมา คิดว่าตัวเองเป็นพระเอกรึไงถึงโผล่มาซะคนสุดท้าย”

หัสยุทธยิ้มมุมปาก “หน้าตาแบบนี้ถ้าเป็นแค่พระรองคงเสียของแย่”

โอบเกียรติเกือบจะเผลอถุยออกมาแล้ว ดีที่ยังยั้งไว้ทัน ส่วนวุฒิภาศหลุดฮึออกมาคำเดียวแล้วก็รีบหุบยิ้มทันทีก่อนจะยื่นสมุดบันทึกให้หัวหน้าตัวเองแล้วรอตอบคำถาม หัสยุทธไม่ได้สนใจโอบเกียรติอีก เขายืนอยู่หลังรถกระบะพร้อมกับอ่านสิ่งที่วุฒิภาศบันทึกไว้

“ยังไม่เรียกร้องอะไรเลยใช่ไหม”

“ครับ”

“สัญญาณเตือนของธนาคารไม่ดังรึไง ทำไมมีโทรศัพท์แจ้งเข้าไปในสายด่วนก่อนที่สำนักงานใหญ่ของธนาคารจะรู้”

“ครับ ไม่มีรายงานว่าสัญญาณเตือนภายในธนาคารดังจนกระทั่งถึงตอนนี้”

“ควบคุมแบบเบ็ดเสร็จ” หัสยุทธสบตากับวุฒิภาศแวบหนึ่งแล้วยกนาฬิกาข้อมือของตัวเองขึ้นมาดู “ชั่วโมงหนึ่งแล้วแต่ไม่พูด ไม่คุย ไม่แสดงตัว แสดงว่าไม่ได้ตั้งใจจะเผชิญหน้าตั้งแต่แรก คิดว่าในนั้นมีกี่คน”

ประโยคสุดท้ายหัสยุทธตั้งใจถามโอบเกียรติ ซึ่งคนถูกถามได้ประเมินคร่าวๆ ไว้แล้ว

“พนักงานธนาคารห้าคน แม่บ้านหนึ่ง รปภ. อีกหนึ่ง คอนเฟิร์มกับต้นสังกัดแล้ว ตอนนี้ผู้จัดการเขตกำลังจะมาที่นี่ ส่วนลูกค้ายังไม่รู้จำนวน”

หัสยุทธกวาดสายตามองอาคารพาณิชย์ขนาดสองชั้นจำนวนเจ็ดห้องซึ่งวางตัวเป็นแนวระนาบตรงหน้า ห้องริมสุดซ้ายมือเป็นห้องสไตล์โฮมออฟฟิศ ถัดมาเป็นร้านอาหาร ตรงกลางเป็นธนาคารต้นเรื่องจำนวนสองห้อง ห้องถัดไปเป็นร้านเครื่องเขียน ส่วนห้องสุดขวามือเป็นร้านสะดวกซื้อจำนวนสองห้อง มันดูเหมือนเป็นชุมชนธรรมดาๆ แต่ถ้าหากเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นก็ยากที่จะควบคุมความเสียหายไว้ได้ จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองจุดสูงสุดของอาคาร ซึ่งนั่นทำให้ทั้งวุฒิภาศ อาสดา โอบเกียรติ การุณ และพิบูลย์ต่างก็ทำตามเขาไปด้วย

“มีดาดฟ้าไหม”

“ไม่มีทางขึ้นโดยตรงจากแต่ละห้องครับ แต่มีบันไดหนีไฟริมอาคารสามารถไต่ขึ้นไปถึงดาดฟ้าได้ แล้วมีทางออกด้านหลังของอาคาร ตอนนี้วิญญูดักไว้แล้ว” อาสดาตอบ

หัสยุทธมองตรงไปยังกระจกของธนาคาร “ปิดไฟด้านใน…ถ้ามืดกว่านี้เราจะยิ่งแย่ ต้องจบเรื่องให้เร็วก่อนที่ท้องฟ้าจะมืด วุฒิ!”

“ครับ” วุฒิภาศรับสมุดบันทึกคืนจากหัสยุทธแล้วตั้งใจรอฟังคำสั่ง

“ผมจะใช้โทรศัพท์โทรเข้าไปข้างในธนาคาร ให้รุสก์อัดเทปการเจรจาไว้ด้วย หากผู้จัดการเขตมาถึงให้ดำเนินการเรื่องกล้องวงจรปิด ดึงภาพในธนาคารเมื่อชั่วโมงก่อนมาดู”

“ครับผม”

“ส่วนอาส นายไปติดต่อกับเจ้าของอาคารห้องอื่น ผมคิดว่าทุกห้องน่าจะมีกล้องวงจรปิดหน้าร้านของตัวเอง เราน่าจะได้ภาพคนร้ายก่อนที่มันจะเข้าไปในธนาคารเมื่อชั่วโมงก่อน”

“ได้ครับ”

หัสยุทธพยักหน้าแล้วปล่อยให้วุฒิภาศกลับไปหาปารุสก์ ส่วนอาสดาก็ต้องไปพบกลุ่มคนที่วิญญูกักตัวไว้ให้ เมื่อทุกคนแยกย้ายออกไปแล้วหัสยุทธก็ได้หันมาสนใจโอบเกียรติอีกครั้ง

“ไม่มีจุดซุ่ม?”

“อืม ด้านหน้าเป็นถนน ห้องอยู่กึ่งกลางอาคาร ด้านหลังติดตลาด”

“แล้วถ้าจำเป็นต้องบุก นายจะเข้าทางไหน”

“พังประตูด้านหลัง”

“นายคิดว่าคนร้ายจะมีระเบิดไหม”

“ไม่รู้ ก็รอนายมาคุยกับมันก่อนนี่ไง”

“ถ้ามี ไอ้เจ็ดห้องนี่อาจจะไม่เหลือนะ ไปหาทางเข้าใหม่เผื่อไว้ก็ดี”

“เออ” โอบเกียรติรับคำสั้นๆ แล้วหันไปพูดคุยกับการุณและพิบูลย์

 

วุฒิภาศกลับไปที่รถตู้อีกครั้ง เขาสั่งงานที่ได้รับมอบหมายต่อไปยังปารุสก์ เพราะปารุสก์ต้องทำหน้าที่หาหมายเลขโทรศัพท์ในสถานที่เกิดเหตุเพื่อทำการต่อสายไปให้หัสยุทธอีกทอดหนึ่ง จากนั้นเขาก็กลับมาหาเจ้านายอีกครั้งพร้อมกับสายไมค์เล็กๆ ซึ่งต้องพ่วงเข้ากับหูฟังของหัสยุทธอีกที วุฒิภาศจัดเครื่องมือให้พร้อมกับรายงานไปด้วย

“รุสก์เตรียมอัดเทปแล้วครับ เขารอให้หัวหน้าพร้อมแล้วจะโทรเข้าธนาคารให้ทันที”

“ขอบใจ นายเข้าไปนั่งในรถกับฉันด้วย”

“ครับ”

สภาพการณ์ภายนอกอาคารและบริเวณโดยรอบขณะนี้เต็มไปด้วยผู้คนแต่กลับเงียบกริบ ไทยมุงถูกควบคุมให้อยู่ในความสงบหากต้องการจะลอบสังเกตการณ์พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่พวกเขาก็ไม่ได้อยู่ใกล้สถานที่เกิดเหตุมากจนเกินไป ถนนใหญ่หน้าธนาคารไม่ได้ถูกปิด รถรายังคงเคลื่อนที่ได้ตามปกติ นักเรียนอนุบาลทยอยออกจากโรงเรียนจนเกือบหมดแล้ว ซึ่งนั่นเป็นความต้องการของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เหลือไว้ก็เพียงรถกระบะของตำรวจซึ่งจอดเยื้องหน้าประตูกระจกของธนาคารออกไปเล็กน้อย แต่ก็ถือว่าอยู่ใกล้บริเวณที่เกิดเหตุมากที่สุด

ด้านหน้ารถหันเข้าธนาคาร หัสยุทธเลือกขึ้นไปนั่งตรงตำแหน่งคนขับ โดยมีวุฒิภาศซึ่งตอนนี้สวมเสื้อเกราะเรียบร้อยแล้วเช่นกันนั่งอยู่ด้านข้าง ชายหนุ่มยื่นกล้องส่องทางไกลขนาดเล็กให้ผู้เป็นเจ้านาย จังหวะที่หัสยุทธรับมาถือไว้ก็มีเสียงคนเคาะกระจกตรงด้านหลังเบาะของเขาพอดี และเมื่อเจ้าหน้าที่ของหน่วยเจรจาต่อรอง ทั้งสองหันกลับไปดูก็พบโอบเกียรติทำสัญญาณมือให้รู้ว่าเขาจะช่วยสังเกตการณ์อยู่ด้านหลัง หัสยุทธพยักหน้ารับทราบ

เวลาที่ผ่านไปในแต่ละนาทีเพิ่มความเครียดให้กับเจ้าหน้าที่ซึ่งอยู่ภายนอกอาคาร เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ รู้เพียงแค่ได้ยินเสียงปืนและมีคนติดอยู่ด้านในนั้นด้วย หากทุกอย่างเรียบร้อยมันก็ควรจะมีคนเดินออกมาจากอาคารบ้าง แต่ตลอดหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาไม่มีสัญญาณความเคลื่อนไหวใดๆ จากธนาคารเลย นอกจากเสียงปืน…

“ฮัลโหล รุสก์…ได้ยินไหม” หัสยุทธทดสอบเสียงกับไมค์ของเขา

“ได้ยินครับ เจ้านายพร้อมรึยัง”

“พร้อม ต่อสายเข้ามาเลย”

“ครับผม”

ปารุสก์เชื่อมต่อสัญญาณหมายเลขโทรศัพท์ของธนาคารเข้าไปยังเครื่องรับซึ่งติดไว้ที่ตัวของหัสยุทธเรียบร้อยแล้ว ซึ่งทุกคนในทีมของ NIC ก็จะสามารถรับฟังการเจรจาต่อรองระหว่างเจ้านายของพวกเขากับคนร้ายได้ด้วย เสียงเรียกเข้าดังเป็นสัญญาณยาวๆ อยู่หลายครั้ง และยังไม่มีใครรับ…

ตื๊ดดดดดดดดด ตื๊ดดดดดดดดด ตื๊ดดดดดดดดดด

หัวใจของหัสยุทธเต้นแรง แม้จะทำหน้าที่นี้มาหลายครั้ง แต่เขาก็ตื่นเต้นทุกครั้งเมื่อรู้ว่ามีคนที่กำลังรอความช่วยเหลือจากเขาอยู่ อาจจะเป็นหนึ่งคน สองคน หรือแม้กระทั่งหลายคนอย่างในกรณีนี้ พวกเขาเป็นคน เป็นสิ่งมีชีวิต มีลมหายใจที่ต้องการจะออกมาจากสถานการณ์ที่คับขันนั่นอย่างปลอดภัย

“ไม่มีคนรับ” วุฒิภาศพูดเสียงเบา

“อื้ม ให้เวลามันหน่อย” หัสยุทธพูด “รุสก์วางสาย นับหนึ่งถึงห้าสิบแล้วโทรเข้าไปใหม่”

ปารุสก์รับคำแล้วปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด

“มันอาจจะกำลังไม่แน่ใจหรือเกี่ยงกันอยู่”

“หัวหน้าคิดว่ามันมีมากกว่าหนึ่งคนเหรอครับ”

“แน่นอน ควบคุมแบบเบ็ดเสร็จได้ต้องมีคนมากกว่าหนึ่ง นายอย่าลืมสิว่าพนักงานไม่มีเวลาแม้กระทั่งจะกดกริ่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ”

“จริงด้วย”

“แต่ฉันคิดว่าพวกมันคงไม่อยากเผชิญหน้ากับตำรวจหรอก”

“แสดงว่าสถานการณ์ตอนนี้มันเลยเถิดเหรอครับ”

วุฒิภาศขอความเห็นของผู้บังคับบัญชา และหัสยุทธก็พยักหน้ารับ เขายกกล้องส่องทางไกลในมือขึ้นมาทาบกับดวงตา มันไม่ช่วยให้มองทะลุเข้าไปด้านในได้ชัดเจน แต่เขารู้สึกเห็นแสงวูบวาบในนั้น

“หากเกิดการตอบโต้ นั่นจะเป็นเพราะอารมณ์และความพยายามเอาตัวรอด เพราะฉะนั้นเราต้องใจเย็นให้มากที่สุด ต้องรู้ให้ได้ว่าเสียงปืนที่ดังขึ้นก่อนหน้าทำให้มีคนเจ็บหรือคนตายรึเปล่า”

เสียงนับเลขเบาๆ ของปารุสก์กระตุ้นทุกคนให้เตรียมตัวอีกครั้ง เพราะมันใกล้จะถึงห้าสิบแล้ว และเมื่อมันสิ้นสุดปารุสก์ก็เตือนให้ทุกคนรู้ว่าเขาจะกดเรียกหมายเลขเดิมอีกครั้ง หัสยุทธภาวนาให้คนในนั้นรับสายเพื่อเจรจากับเขา

ตื๊ดดดดดดดดด ตื๊ดดดดดดดดด ตื๊ดดดดดดดดดด

กึก…

“รับแล้ว” วุฒิภาศพูดเสียงเบาแล้วบันทึกเวลาที่มีคนรับสายไว้ในสมุดของเขา

หัสยุทธสูดลมหายใจลึกก่อนพูด “ฮัลโหล”

ยังไม่มีเสียงตอบ แต่ในสายสามารถได้ยินเสียงบางอย่างค่อนข้างชัดเจน มันคล้ายกับเสียงจากโฆษณาในโทรทัศน์

“…”

เหมือนเวลาจะผ่านไปนานกว่าสิบนาที ทั้งที่มันเพิ่งพ้นไปแค่สิบวินาที ไม่มีเสียงพูดของคนนอกจากเสียงลมหายใจ หัสยุทธตัดสินใจพูดอีกครั้ง

“ฮัลโหล ผมต้องการพูดสายกับคนที่ควบคุมสถานการณ์ภายในธนาคารอยู่ตอนนี้”

…แกร๊ก…

ทันทีที่หัสยุทธพูดจบ ฝ่ายนั้นก็วางสายลงทันที

“ไอ้…” เขาสบถ “มันไม่เจรจา”

“เอาไงครับ” เสียงจากปารุสก์ถามมาในสาย

“รอก่อน”

วุฒิภาศออกความเห็นบ้าง “ได้ยินเหมือนเสียงจากโทรทัศน์”

“น่าจะใช่ แสงวูบวาบที่เกิดขึ้นในธนาคารน่าจะเป็นแสงจากโทรทัศน์”

มีแต่ความอึดอัดที่เกิดขึ้นในหน่วยงานของ NIC หัสยุทธเริ่มคิดหาหนทางใหม่…

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

หน้าที่แล้ว1 of 9

Comments

comments

Jamsai Editor: