บทนำ
ฉันจะไม่ยอมแพ้
หญิงสาวบอกตัวเองด้วยสติอันเลือนราง รู้สึกเหมือนจะบ่นพึมพำออกไปมากมายตามที่ใจคิด แต่กลับไม่มีสิ่งใดหลุดลอดออกจากปาก ท่ามกลางความเงียบงันได้ยินเพียงเสียงหอบถี่กระชั้นของตัวเอง เรี่ยวแรงที่เหลือเพียงพอแค่หายใจเข้าออกเท่านั้น แม้อยากจะสูดลมหายใจเข้าแรงๆ ให้ออกซิเจนชุ่มปอดแต่ก็ไม่อาจทำได้ เพราะหน้าอกหนักอึ้งราวกับถูกบางสิ่งหนาหนักทับเอาไว้ทั้งที่บนตัวมีเพียงผ้าห่มผืนเดียวเท่านั้น
ปลายนิ้วมือเรียวขยับหมายจะเอื้อมไปเปิดโคมไฟที่หัวเตียง หากแขนกลับไม่อาจเขยื้อนตามใจคิด สุดท้ายก็ต้องละความพยายาม…ครู่หนึ่งจึงได้ยินเสียงกุกกักอยู่บริเวณประตูห้องนอน
เป็นเขาใช่ไหม คนที่เธอคิดถึงอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกคนนั้น
ชายหนุ่มหมุนลูกบิดประตูด้วยความเร่งรีบจนสองมือสั่นเทา…ร้อนใจเพราะการยืนอยู่ด้านนอกเช่นนี้กลับสัมผัสได้ถึงกลิ่นบางอย่างแทรกซึมผ่านช่องประตู เป็นกลิ่นเหม็นไหม้ที่เหมือนจะอบอวลอยู่ภายในห้องมานาน ครั้นประตูบานใหญ่แสนหนักอึ้งในความรู้สึกเปิดอ้า กลิ่นนั้นก็ยิ่งคละคลุ้งพุ่งออกมา เมื่อหลงสูดเข้าไปโดยไม่ทันตั้งตัวแล้วทำเอารู้สึกอยากอาเจียนขึ้นมาทันที
สัญชาตญาณระวังภัยของเขาเริ่มทำงานเต็มที่เพราะรู้ได้ว่ามี ‘บางสิ่งที่ไม่ปกติ’ อยู่ภายในนั้น
ภายในห้องไร้ซึ่งแสงไฟจึงทำให้บรรยากาศดูเลือนราง ราวกับยืนอยู่ในค่ำคืนที่มืดมิดไม่มีแม้แต่แสงจันทร์ส่อง ร่างสูงใหญ่เอื้อมมือไปเปิดไฟในห้องโดยอัตโนมัติ ปรากฏแสงไฟสว่างวาบขึ้นมาทันทีพร้อมกับที่เขาได้ ‘เห็น’ ต้นเหตุของกลิ่นเหม็นไหม้ตลบอบอวลนั้นเอง!
เรือนร่างบอบบางทอดกายอยู่บนเตียงอย่างสงบนิ่ง มีผ้าห่มคลุมร่างเอาไว้ให้เห็นเพียงใบหน้า ช่วงอก และท่อนแขนเรียวทั้งสองข้างที่โผล่พ้นผ้าออกมา ให้ความรู้สึกเหมือนอีกฝ่ายจะสามารถจมหายไปในที่นอนหนานุ่มได้อย่างไรอย่างนั้น…ทว่ากลิ่นเหม็นอันโดดเด่นนั้นกลับไม่ได้มาจากตัวเธอ มันมาจากเงาดำทะมึนที่คร่อมทับอยู่บนหน้าอกต่างหาก
คนมองอยากจะให้คำจำกัดความมันว่าเป็นโครงกระดูก แม้จะไม่ใช่โดยสิ้นเชิงทว่าก็ไม่ต่างอะไรเลย เพราะผิวเนื้อล้วนไหม้เกรียม…ที่พอเหลืออยู่ก็ติดกระดูกเป็นตะปุ่มตะป่ำ บางส่วนที่ไร้เนื้อหนังยังเห็นกระดูกขาวๆ โผล่ออกมา
ร่างดำเป็นตอตะโกนั้นนั่งทับหญิงสาวเอาไว้ มือทั้งสองข้างที่เหลือแต่ข้อกระดูกกลับมีเล็บยาวงอกออกมากดท่อนแขนทั้งสองข้างของคนที่นอนอยู่บนเตียง ชายหนุ่มเห็นภาพนั้นแล้วต้องรีบหลับตาเพื่อข่มกลั้นโทสะ เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งจึงประสานสายตากับนัยน์ตาแดงก่ำซึ่งเรืองรองดั่งลูกไฟเล็กๆ คู่หนึ่ง
แต่ใครเลยจะคาดคิด…เจ้าของดวงตาสีแดงมีท่าทีผงะไปในทันทีทันใด คล้ายดั่งพานพบกับอะไรบางอย่างที่เปี่ยมพลังจนน่ากลัวเสียยิ่งกว่าภูตผีเช่นมันเสียอีก
“ออกไป!”
น้ำเสียงเปี่ยมอำนาจตวาดก้อง วินาทีที่เจ้าตัวเอ่ยประโยคนั้นพลันบังเกิดแสงสีขาวกระจ่างพุ่งออกไปโดยที่คนพูดไม่ทันได้รู้ตัวด้วยซ้ำ ก่อนจะกระแทกเอาโครงกระดูกที่เป็นสีเขม่ากระเด็นกระดอนตกจากเตียงไป บางสิ่งที่ไร้ชีวิตทำท่าจะถอยจากด้วยความหวาดผวาแต่ก็ต้องชะงักเมื่อนึกได้ว่าหากถอยก็เท่ากับต้องเผชิญแรงเกรี้ยวกราดจากผู้ที่น่ากลัวยิ่งกว่าคนตรงหน้านี้หลายเท่านัก
พริบตาต่อมา…เงาร่างดำทะมึนพุ่งตัวเข้ามาหาเรือนกายแกร่งด้วยความเร็วสูง ชายหนุ่มยกแขนขึ้นป้องกันด้วยสัญชาตญาณแล้วปัดเงานั้นออกไป วิญญาณร้ายสัมผัสร่างกายเขาได้เพียงแผ่วๆ เสียงกรีดร้องของมันก็ดังโหยหวนขึ้นมาอย่างยาวนานราวกับเจ็บปวดและทรมานอย่างถึงที่สุด
น่าเสียดาย…มีเพียงเขาเท่านั้นที่ได้ยิน
โครงกระดูกสีดำถูกปัดกระเด็นไปทางมุมห้องเพียงแวบเดียวแล้วมันก็หายไป หลงเหลือเพียงกลิ่นเหม็นจางๆ ร่างสูงรีบเดินไปที่เตียงนอนเพื่อให้เห็นหญิงสาวชัดเจนขึ้น เมื่อฝ่ามือสัมผัสที่แก้มและหน้าผากอีกฝ่ายก็รู้สึกถึงความร้อนจัด เจ้าของวงหน้ารูปไข่ที่ดูซูบลงเป็นอย่างมากเปิดเปลือกตาขึ้นมาด้วยความยากลำบาก ครั้นเห็นว่าเป็นใครที่บุกเข้ามาในยามวิกาลเช่นนี้ก็บีบเค้นเสียงให้หลุดลอดออกมาอย่างอ่อนแรง
“ช่วย…ด้วย”
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวยังมีสติรับรู้ที่ดีอยู่ หัวใจของเขาที่เต้นรัวเร็วเพราะความกดดันจึงผ่อนคลายลง บอกเสียงเข้มด้วยหางเสียงเจือแววกรุ่นโกรธ
“ผมก็ช่วยคุณมาตั้งนานแล้วไง…”
ริมฝีปากบางที่แสนซีดเซียวคลี่ยิ้มออกมาน้อยๆ
“ตั้งแต่นี้ต่อไปผมขอสั่งห้ามคุณอยู่ห่างจากผมแม้แต่วินาทีเดียว”
พูดจบจึงช้อนเรือนร่างบอบบางไว้แนบอก โอบอุ้มอีกฝ่ายออกไปจากห้องโดยไม่ทันได้ยินถ้อยคำแผ่วเบาที่ปลิวมากับสายลม
“สูกึ๊ดว่าจะช่วยได้ตลอดไปก็คอยดู!”
บทที่ 1
สามเดือนก่อน…
กลางป่าเขาสีเขียวครึ้ม พืชพันธุ์ไม้เจริญเติบโตเบียดแน่น ทั้งต้นหญ้า ดอกไม้ป่า ต้นไม้ใหญ่น้อยขนาดต่างๆ กันไป มีบ้างที่สูงตระหง่านจนต้องแหงนมองคอตั้งบ่าหรือใหญ่โตขนาดหลายคนโอบ เสียงนกและสัตว์ป่าตัวเล็กดังแว่วอยู่ไกลๆ หลายอย่างล้วนบ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ของป่าแห่งนี้
ถนนแสนคดเคี้ยวตัดผ่านป่าแคบพอให้รถแล่นไปได้เพียงคันเดียวเท่านั้น ตลอดเส้นทางค่อนข้างลาดชัน มีบางช่วงที่ฝั่งหนึ่งเป็นเขาฝั่งหนึ่งเป็นหุบเหว ต้องใช้ความระมัดระวังในการขับขี่อย่างมาก เสียงเครื่องยนต์ของรถเก๋งคันหนึ่งดังอื้ออึงอย่างน่าหวาดเสียวเมื่อต้องเร่งส่งให้รถโจนทะยานผ่านถนนที่ชันเกือบสี่สิบห้าองศาแล้วยังต้องหักโค้งอีกด้วย ยิ่งเข้าใกล้จุดหมายปลายทางมากเท่าไหร่เส้นทางก็ยิ่งสูงชันมากขึ้นเท่านั้น
รัตน์สิกากดลดกระจกหน้าต่างลงส่งผลให้สายลมเย็นเฉียบพัดมาปะทะใบหน้า ดวงตาสดใสเป็นประกายจ้องมองธรรมชาติอันงดงามจับตา ริมฝีปากบางยกยิ้มจนเห็นแก้มทั้งสองข้างได้อย่างชัดเจน เส้นผมสีน้ำตาลที่ถูกซอยสั้นประบ่าแล้วดัดลอนเป็นทรงสวยวันนี้กลับถูกมัดรวบไว้อย่างเรียบร้อย มีเพียงไรผมข้างแก้มและหน้าม้าที่ถูกลมพัดกระจาย
ครู่หนึ่งหญิงสาวจึงหันไปบอกเพื่อนสนิทที่ขับรถอยู่
“ฉันว่าเอากระจกลงเถอะ อากาศเย็นสบายกว่าเปิดแอร์ซะอีก” พูดจบเธอก็ยื่นมือไปกดปิดเครื่องปรับอากาศในรถ อีกฝ่ายจึงลดกระจกหน้าต่างฝั่งของตนเองลงบ้าง
ใบหน้าหวานของจิตตามีร่องรอยความสงสัย เธอกล่าวกับเพื่อนที่เป็นตัวตั้งตัวตีในการเดินทางมาครั้งนี้ “ไม่นึกเลยนะว่ากว่าจะถึงวัดมันจะยากเย็นขนาดนี้”
“บอกแล้วไงว่าทางมันยาก แกก็ยืนยันว่าไหว”
“ตอนนี้ก็ไหว เพียงแต่ตึงมือมากกว่าที่คิดต่างหาก” คนพูดถอนหายใจหนักๆ ทีหนึ่งเมื่อมองเป้าหมายซึ่งก็คือยอดเขาไกลลิบโน่น
“ของดีก็ต้องฝ่าฟันอุปสรรคสักหน่อยสิ เดี๋ยวพอถึงที่นั่นแกจะหายเหนื่อยแน่นอน ฉันรับรอง!”
“แล้วแกมาเจอวัดกลางป่ากลางเขาอย่างนี้ได้ยังไงกัน”
“เคยมีญาติพามานานแล้ว และก็รู้สึกถูกใจกับความสงบมาก…” รัตน์สิกายืนยันท้ายประโยคด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“จะคอยดูละกันว่าจะดีอย่างที่ว่าไว้รึเปล่า วัดใกล้บ้านมีเป็นร้อยๆ จะเอาโดดเด่นมีชื่อเสียงหรือสงบเงียบยังไงก็ได้ ดันจำเพาะเจาะจงว่าต้องการมาบวชวัดนี้”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม…”
หญิงสาวตอบสั้นๆ เพราะเธอเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงรู้สึกผูกพันกับวัดแห่งนี้ การสนทนาขาดตอนเพราะฝ่ายหนึ่งจมอยู่ในห้วงความคิด ส่วนอีกฝ่ายก็ต้องทุ่มเทสมาธิกับการขับรถ
เหตุการณ์ก่อนสองสาวจะบุกป่าฝ่าดงไปยังวัดกลางป่าที่แสนห่างไกลมันเริ่มจากในวันหนึ่ง…
รัตน์สิกานัดกับจิตตาซึ่งเป็นเพื่อนสนิทไปดื่มกาแฟที่ร้านประจำ หลังจากจัดการสั่งเครื่องดื่มและของว่างแล้ว จิตตาที่สังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างของเธอก็เอ่ยทักขึ้น
“ไม่ได้เจอหน้ากันแค่ไม่นานทำไมแกเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้ ดูสิ…ใบหน้าหมอง ขอบตาดำคล้ำ แววตาดูเหนื่อยๆ แล้วยังรอยช้ำตามตัวอีก ถ้าไม่ใช่เพราะฉันรู้ว่าแกยังไม่มีแฟนก็จะนึกว่าแกเพิ่งอกหักจนกินไม่ได้นอนไม่หลับและทำร้ายตัวเองนะเนี่ย”
หญิงสาวกล่าวพลางจับใบหน้าและเนื้อตัวอีกฝ่ายประกอบการสนทนา แต่ก็ต้องถูกปัดมือออกพร้อมเสียงตวาดแหว
“แกจะบ้าเหรอ ฉันยังไม่เคยมีแฟนแล้วจะอกหักได้ยังไง”
“เออ…นั่นสินะ ขนาดมีผู้ชายดีๆ เข้ามามากมาย คุณหนูใบบุญก็ยังไม่เลือกใครเลย”
“แกก็รู้นี่ว่าคนอย่างฉันมีแค่รักหรือเกลียด ไม่มีคำว่า…ก็โอเคนะ แล้วในเมื่อไม่รักจะคบกันไปทำไม” รัตน์สิกาให้เหตุผลในการครองคานมาอย่างยาวนาน
“ก็อาจจะมีบางคนที่ไม่ใช่รักแรกพบ แต่พัฒนาความสัมพันธ์ไปด้วยกันได้”
“คนเราถ้าไม่ใช่ตั้งแต่แรก อนาคตมันก็ยังคงไม่ใช่หรือเปล่าแก”
“เอาเถอะ เรื่องนั้นช่างมัน ฉันขี้เกียจจะเถียงเรื่องนี้กับแก ประเด็นคือมันเกิดอะไรขึ้น…ตอบ!”
คนถูกถามมีสีหน้าหนักอกหนักใจ พยายามเรียบเรียงเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นไว้ในหัวก่อนจะเล่าออกมาตามลำดับ
“แกก็รู้ใช่ไหมว่าช่วงก่อนฉันไม่สบายน่ะ”
“ใช่ แต่ตอนที่โทรไปหา น้ำเสียงแกก็โอเคอยู่นะ ฉันก็เลยไม่ได้ห่วงเพราะคิดว่าไม่เป็นอะไรมาก”
“ฉันป่วยอยู่นานเลย ที่แกโทรมาแล้วเสียงฉันยังดูดีอยู่นั่นก็เพราะมันเป็นช่วงกลางวัน”
“แล้วกลางวันกับกลางคืนมันต่างกันยังไง” คนฟังถามแบบงงๆ
“อาการป่วยของฉันมันจะมีไข้สูงเฉพาะตอนกลางคืน ตั้งแต่ช่วงหัวค่ำไปจนฟ้าสว่าง แล้วตอนกลางวันก็เป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเสียอย่างนั้น”
“แล้วได้ไปหาหมอใช่ไหม…หมอเขาว่ายังไงบ้าง” จิตตาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง กลัวว่านั่นอาจเป็นอาการบ่งบอกโรคภัยต่างๆ ที่แฝงอยู่ในร่างกาย
“หมอก็บอกว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ ให้ยามากินแต่ก็ไม่ดีขึ้นเลย เป็นอยู่ตั้งนานหลายเดือน”
“แล้วยังไงต่อ ทำยังไงถึงหาย”
“ไม่รู้เหมือนกัน จู่ๆ มันก็หายไปเอง”
“อ้าว…อะไรว้า”
รัตน์สิการู้สึกขำที่เห็นใบหน้าฉายแววงุนงงของเพื่อน แล้วรอยยิ้มเพียงจางๆ ก็เจื่อนลง
“ป่วยอยู่นาน กินก็ไม่ได้นอนก็ไม่หลับ สุขภาพฉันก็เลยทรุดโทรม หน้าตาโทรมอย่างที่แกเห็นนี่แหละ ส่วนรอยช้ำตามเนื้อตัวนี่ก็…หลังจากป่วยก็มีอุบัติเหตุนั่นนี่ไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งโดนรถเฉี่ยวชน ตกบันไดไปสามสี่ขั้น ชนโน่นนี่ตลอด เมื่อวานสดๆ ร้อนๆ เลยแก ฉันเปิดตู้เก็บของในครัว…ตู้ที่ติดผนังไว้ด้านบนเคาน์เตอร์อ่ะ…แกนึกภาพออกใช่ไหม”
หญิงสาวเว้นระยะนิดหนึ่ง เมื่อเห็นคนฟังที่กำลังพยายามกลั้นขำสุดฤทธิ์พยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจถึงได้เล่าต่อ
“แล้วหม้อที่เก็บไว้ในตู้ก็หล่นลงมาใส่หัวฉันเต็มๆ เลย ดีนะที่มันเป็นแค่ใบเล็ก ไม่งั้นคงหัวแตกได้เข้าโรงพยาบาลเย็บหลายเข็มแน่ๆ แต่ถึงหัวไม่แตกก็โนเท่าลูกมะนาวเลย แกลองคลำดูสิตอนนี้ก็ยังบวมปูด กะโหลกฉันนี่แทบจะร้าว” เธอพยายามยื่นหัวไปให้เพื่อน แต่นอกจากอีกฝ่ายจะไม่สนใจคลำแล้ว ยังหลุดเสียงหัวเราะออกมาอย่างไม่เกรงใจคนเล่าและลูกค้าคนอื่นในร้านกาแฟเลย
“เบาๆ หน่อยสิ จะหัวเราะอะไรกันนักหนา”
“โอเค…โอเค ขอฉันพักหายใจก่อน”
“ที่นัดมาเจอวันนี้ก็เพราะมีเรื่องจะพูด มันเกี่ยวกับความโชคร้ายที่ฉันได้เจอนี่แหละ”
“มีอะไรเหรอ” จิตตาถามหลังจากพยายามหยุดหัวเราะเพราะใบหน้าตูมๆ ของเพื่อน
“ขนาดแกเพิ่งมาเจอยังเห็นความผิดปกติของฉันขนาดนี้ แล้วพ่อกับแม่ที่อยู่กับฉันตลอดจะขนาดไหน พวกท่านรู้สึกแปลกๆ ตั้งแต่เรื่องอาการป่วยของฉัน พอหายป่วยก็ซวยนั่นนี่ตลอด มีรอยช้ำบนตัวไม่เคยขาดหาย พวกท่านจึงพากันเป็นห่วงมาก ประกอบกับแม่ฉันไปอ่านหนังสือดูดวงแล้วพบว่าปีนี้เป็นปีชงของฉันก็เลยแนะนำว่าลองไปบวชชีดูไหม โชคร้ายอาจจะเบาบางลง”
“โอ้โห นี่แกจะไปเป็นนางชีน้อยงั้นเหรอ”
“ก็พูดเกินไป แค่บวชเนกขัมมะ…ฉันหมายถึงบวชชีแบบไม่ปลงผมน่ะ นี่…ตา”
“อะไร” คนฟังถามแบบหวาดระแวงเมื่อได้ยินเสียงเรียกหวานหยดย้อยจากเพื่อนสนิท
“ไปด้วยกันสิ”
“ฉันก็อยู่ของฉันดีๆ แล้วทำไมจะต้องไปด้วย” เจ้าตัวถามแบบขำๆ
“จริงๆ ฉันจะไปคนเดียวมันก็ได้แหละ แต่ก็อยากชวนเพื่อนไปสร้างบุญกุศลด้วยกัน แกก็เพิ่งเลิกกับแฟน ฉันแอบเห็นนะว่าเฟซบุ๊กมีแต่สเตตัสดราม่าทุกวันทุกคืน จิตใจแกก็ไม่ได้สงบเท่าไหร่หรอก”
คำพูดของรัตน์สิกาแทงใจดำของคนฟังดังฉึก! รอยยิ้มที่ค้างอยู่บนใบหน้าของจิตตาจึงเหี่ยวเฉาลง
“นี่คือใกล้ถึงแล้วใช่ไหม”
หญิงสาวผู้ทำหน้าที่เป็นสารถีเอ่ยทำลายความเงียบ รัตน์สิกาหลุดจากห้วงภวังค์แล้วจึงสอดส่ายสายตามองเส้นทางข้างหน้า
“น่าจะใช่แล้วนะ”
รถแล่นเข้าสู่ยอดเขาที่สูงที่สุดในบรรดาเทือกเขาบริเวณนั้น มองจากทางฝั่งซ้ายมือที่เป็นหุบเหวจึงเห็นเส้นทางคดเคี้ยวที่ได้เดินทางผ่านมาอยู่ไกลลิบโน่น สองฟากฝั่งที่เคยมีแต่ป่าก็เริ่มกลายเป็นชุมชนเล็กๆ ซึ่งอยู่กันอย่างเรียบง่าย เนื่องจากเป็นพื้นที่สูง สวนของชาวบ้านตามไหล่เขาจึงมีทั้งสวนชาพันธุ์อัสสัมที่ทางภาคเหนือใช้ทำเมี่ยงและสวนลูกพลับ เป็นต้น
ถนนสายนั้นสิ้นสุดที่วัดซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางพอดิบพอดี รถแล่นผ่านซุ้มประตูที่กำลังก่อสร้างยังไม่แล้วเสร็จ กลับคล้ายดั่งแบ่งแยกโลกอันสับสนวุ่นวายไว้ภายนอก คงเหลือเพียงความสงบเงียบและบรรยากาศแสนร่มรื่น จิตใจของรัตน์สิกาที่มีแต่ความว้าวุ่นอยู่ตลอดเวลาพลันสงบลงได้อย่างน่าประหลาด
ยานพาหนะจอดลงตรงลานวัดที่กว้างขวาง ร่างในชุดขาวทั้งสองร่างจึงก้าวลงจากรถ
เบื้องหลังเป็นทางเข้าวัดที่ผ่านเข้ามา ขวามือคือตำแหน่งของวิหารหลังเล็กเก่าคร่ำคร่า ลึกเข้าไปด้านหลังวิหารเป็นเขตที่ตั้งของกุฏิพระสงฆ์ ส่วนเบื้องหน้า…ตรงกันข้ามกับที่สองสาวยืนอยู่ตอนนี้มีต้นโกสนปลูกเรียงราย บดบังอาคารสีขาวขุ่นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าและเรือนพักหลังเล็กอันเป็นที่พำนักของผู้มาปฏิบัติธรรม
ถือได้ว่าเป็นสถานที่อันสงบเหมาะแก่การบำเพ็ญเพียรภาวนาอย่างมาก จิตตาเหลียวมองโดยรอบก็รู้สึกชอบใจในความเงียบสงบขึ้นมาทันที
“ใบบุญ…ฉันพอจะรู้แล้วล่ะว่าทำไมแกถึงศรัทธาวัดนี้”
หญิงสาวร่างบางยิ้มรับถ้อยคำนั้น แล้วจึงเดินนำทางเพื่อนไปอย่างคนคุ้นเคยสถานที่…
เมื่อเดินตัดผ่านอาคารทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าไปทางด้านหลังก็พบกับโรงครัวของวัด มีแม่ชีทั้งวัยกลางคนและสูงวัยอยู่สามท่าน เนื่องจากใกล้เวลาเพลแล้วจึงกำลังวุ่นวายอยู่กับการเตรียมอาหารให้พระสงฆ์ หญิงสาวทั้งสองแจ้งความจำนงให้ทราบ แม่ชีผู้สูงวัยที่สุดในกลุ่มจึงวางจานชามที่อยู่ในมือลงแล้วก้าวออกมาคุยกับผู้มาใหม่ทั้งสองอย่างมีเมตตา
“เดี๋ยวรอพระฉันเพลก่อนแล้วค่อยรับศีลละกันนะลูก” อีกฝ่ายรับคำอย่างนอบน้อม ท่านจึงกล่าวต่อ “แล้วมีดอกไม้ธูปเทียนมารึยังล่ะ”
“เอ่อ…ยังเลยค่ะ” ผู้อ่อนวัยพากันตอบเสียงอ่อย
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวแม่จะหาให้แล้วกัน”
แม่ชีสูงวัยยืนหันรีหันขวางเตรียมจะไปหาสิ่งของมาให้ แต่ก็ลังเลเพราะกังวลเรื่องอาหารที่ยังจัดเตรียมไม่เสร็จ เมื่อเห็นว่าห่างออกไปไม่ไกลนักมีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังเดินผ่านจึงเรียกหาคนคนนั้นแทน
“ศีล…มาทางนี้หน่อย”
รัตน์สิกาหันไปตามผู้สูงวัย…หรี่ตามองฝ่าแสงแดดอันเจิดจ้าของยามเพล เห็นร่างสูงสวมชุดสีขาวบริสุทธิ์หยุดยืนอยู่ห่างออกไปครู่หนึ่งก่อนจะก้าวเดินเข้ามาหาตามเสียงเรียก เธอจึงสามารถมองเห็นชายผู้มีใบหน้าที่จัดได้ว่าดูดีคนหนึ่ง…แต่ออกจะดูดีแบบแปลกๆ ด้วยริมฝีปากบางเฉียบ สันจมูกโด่งหนา ดวงตาทั้งคู่มีลักษณะเรียวรี ทว่านัยน์ตากลับฉายแววคมกล้านัก…จัดจ้าดั่งประกายของเพชรที่สะท้อนแสงออกมา
ด้วยคิ้วเข้มพาดเฉียงเหนือดวงตาบวกกับประกายตานั้นแล้วจึงกลบเครื่องหน้าทุกอย่างไปเสียสิ้น หากมองจับจุดเป็นชิ้นๆ ไปอาจไม่ได้ดูดีสักเท่าไหร่ แต่พอมันมารวมอยู่บนใบหน้านี้แล้วกลับดูลงตัวอย่างน่าแปลกประหลาด
ร่างสูงเปี่ยมรัศมีบางอย่างที่คนมองต้องระย่นย่อ เป็นคนแบบที่ว่า…เมื่อได้รู้จักแล้วจะไม่มีใครจดจำเขาไม่ได้อย่างแน่นอน หญิงสาวรู้ดีว่าเธอกับเขาย่อมไม่เคยพบกันมาก่อน ทว่า…ยิ่งอีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้ ความรู้สึกนึกคิดทั้งหมดทั้งมวลล้วนสูญสิ้นไป สิ่งต่างๆ รอบกายถูกปกคลุมด้วยม่านหมอกจางๆ ที่โดดเด่นที่สุดในคลองจักษุมีเพียงเขาผู้เดียวเท่านั้น!
ทุกย่างก้าวของชายหนุ่มที่เพิ่งได้พบหน้ากันเป็นครั้งแรกนี้นำพาความรู้สึกบางอย่างซึมซาบเข้าสู่จิตใจ…อบอุ่นเหมือนแสงแดดอ่อนๆ ตอนหน้าหนาว…และหวานล้ำยิ่งกว่าของหวานชนิดไหนในโลกที่เธอเคยลิ้มชิมรส ริมฝีปากบางจึงส่งยิ้มให้เขาอย่างเลื่อนลอยโดยไม่ทันรู้ตัว
ลึกลงไปในหัวใจนั้นราวกับว่าบางสิ่งที่หายไปเนิ่นนานแล้วได้ย้อนกลับคืนมาอีกครา…เหมือนของที่หายไปกลับได้คืน
แต่แล้วรอยยิ้มก็ไม่สามารถคงอยู่ได้นาน บัดนั้นความอ่อนหวานพลันแปรเปลี่ยนไป คลื่นความปวดร้าวถาโถมเข้ามาใส่ ซัดเข้ามาจนร่างบางซวนเซ ความเจ็บปวดที่ยิ่งกว่ารวบรวมเอาความทุกข์ ความเศร้า และความผิดหวังทั้งหมดทั้งมวลในชีวิตที่เคยได้รับ ก็ยังไม่อาจเปรียบได้สักเสี้ยวของความรู้สึกในตอนนี้
ใบหน้างามกลายเป็นบิดเบี้ยว เหมือนหัวใจถูกตอกลิ่มซ้ำๆ ครั้งแล้วครั้งเล่าจนเลือดไหลรินไม่ขาดสาย
จิตตาสังเกตเห็นความผิดปกติของเพื่อนจึงรีบประคองเอาไว้แล้วถามอย่างร้อนใจ
“เป็นอะไรรึเปล่า หน้าแกดูซีดไปนะ เมื่อกี้ยังดูดีๆ อยู่เลย” เจ้าตัวว่าพลางคว้าเก้าอี้พลาสติกที่อยู่ใกล้มือมาให้เพื่อนนั่ง จังหวะเหมาะเจาะกับที่อีกฝ่ายขาอ่อนจนทรุดตัวลงพอดี เจ้าของวงหน้าซีดเซียวจึงนั่งอย่างหมดเรี่ยวแรง
ราวกับอะไรบางอย่างซัดกระแทกทำให้อ่อนล้าทั้งร่างกายและจิตใจ โลกทั้งใบล้วนพร่ามัว เจ้าตัวไม่รู้เลยว่าเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะมีหยดน้ำเอ่อคลออยู่เต็มดวงตา ปริ่มๆ จนเกือบล้นออกมาอยู่แล้ว แต่กระนั้นก็ยังสามารถมองเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจของชายหนุ่มผู้นั้น
“ไหวไหมลูก ไม่สบายรึเปล่า” แม่ชีสูงวัยเห็นอาการที่ดูไม่ดีก็กล่าวอย่างเป็นห่วงพลางจับกระเป๋าเสื้อสะเปะสะปะเพื่อควานหายาดมที่พกติดตัวไว้แล้วยื่นมาให้
“สงสัยเพราะเมารถค่ะ” รัตน์สิกาเค้นเสียงตอบ
ชัชพลยืนมองอีกฝ่ายเงียบๆ ความรู้สึกหลากหลายแล่นขึ้นมาจุกอกจนรู้สึกอึดอัดไปหมด ยากที่จะบรรยาย แต่ที่แน่ชัดคือรู้สึกไม่ค่อยดีนักเมื่อเห็นหน้าของผู้หญิงคนนั้น ‘อีกครั้ง’ แม้ในขณะที่เห็นได้ว่าร่างบางซวนเซจะล้มลง ใบหน้าซีดขาวไร้สีเลือด ฝ่ามือกว้างก็ยังกำแน่นอยู่ข้างตัว กลายเป็นคนไร้น้ำใจเพราะไม่อาจตัดความรู้สึกแล้วเข้าไปช่วยเหลือได้
เมื่อชายหนุ่มเห็นว่าหญิงสาวจ้องมองอยู่…ทุกสิ่งที่ฉายจากนัยน์ตาคู่นั้นก็เลือนหายไป เหลือเพียงความว่างเปล่า ดวงตาคมดุจ้องมองเธออย่างเย็นชาแล้วจึงเบนสายตาไปทางผู้สูงวัยที่สุดในกลุ่ม
“ทางขึ้นวัดเราใช่ย่อยเสียที่ไหนกันล่ะครับคุณแม่ ขนาดผมขับเองก็ยังเวียนหัวเลย”
“นั่นสินะ คงจะไม่ค่อยได้นั่งรถเข้าป่าเข้าดอยแบบนี้สินะลูก ถ้าอย่างนั้นแม่จะไปหาผลไม้เปรี้ยวๆ มาให้ เดี๋ยวอาการดีขึ้นก็กินข้าวด้วยกันให้เสร็จก่อนเพล”
“ว่าแต่ เมื่อกี้เรียกผมมีอะไรเหรอครับ”
“เออ แม่ก็เกือบลืมไป มัวแต่เป็นห่วงหนูเขา ไปหาธูปเทียนมาให้น้องหน่อยนะลูก เพิ่งมาใหม่แล้วยังไม่ได้เตรียมดอกไม้ธูปเทียนมารับศีลแปด ถ้าในห้องเก็บของไม่มีก็ลองถามพระอาจารย์มนูแล้วกันนะ”
“ครับ” ชัชพลรับคำสั้นๆ แล้วหันกายจากไป
รัตน์สิกามองตามแผ่นหลังของเขา เมื่อสติค่อยกลับคืนมาก็เพิ่งรู้ตัวว่าเมื่อสักครู่เกิดอะไรที่ผิดปกติอย่างมาก หญิงสาวไม่เข้าใจตัวเองและไม่สามารถหาเหตุผลใดมาเป็นคำตอบจึงได้แต่มองร่างสูงที่ห่างออกไปเรื่อยๆ ความคิดวนเวียนไปมา ไม่อาจสลัดความสงสัยออกจากใจ
เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้นกัน
พระอาจารย์มนูเป็นภิกษุสงฆ์วัยค่อนไปทางชราแล้ว ทว่าใบหน้าที่อิ่มเอิบเต็มไปด้วยความเมตตานั้นทำให้ดูหนุ่มกว่าที่ควรจะเป็น หลังจากพูดคุยทำความรู้จักและสอบถามความเป็นมาของรัตน์สิกากับจิตตาเล็กน้อยก็ให้รับศีลแปดแล้วบอกเวลาทำวัตรเช้าและเย็นให้ทั้งสองรับทราบ
“ทำวัตรเช้าก็ตอนตีห้า ส่วนทำวัตรเย็นหนึ่งทุ่ม ระหว่างนั้นโยมทั้งสองจะปฏิบัติยังไงกันก็ตามอัธยาศัยนะ วัดเราไม่ได้มีกฎเกณฑ์ตายตัว ให้ปฏิบัติตามแนวทางของตนเอง…เอาที่เราถนัด”
หญิงสาวทั้งสองรับคำอย่างสงบเสงี่ยม…สอบถามเรื่องการปฏิบัติตัวระหว่างอยู่ในวัดอีกเล็กน้อยก็ขอตัวออกมา
เมื่อเวลาทำวัตรเย็นมาถึง ในวิหารไม้หลังเล็กมีผู้คนที่มาถือศีลปฏิบัติธรรมรวมตัวกันอยู่แน่นขนัด ทั้งที่จริงมีการแบ่งเป็นฝั่งชาย-หญิงออกจากกัน แต่ที่ว่างที่เหลือสำหรับรัตน์สิกาและจิตตากลับจำเพาะเจาะจงให้ได้นั่งบริเวณใกล้กับชายหนุ่มที่ช่วยหาดอกไม้ธูปเทียนมาให้พวกเธอทั้งสอง หนังสือมนต์พิธีเล่มสีเหลืองถูกแจกจ่ายโดยทั่ว หลังจากนั้นเสียงสวดมนต์จึงดังอย่างพร้อมเพรียงกัน ช่วงแรกรัตน์สิกาและจิตตาก็ยังพอสวดตามได้บ้าง แต่พอเริ่มนานเข้าก็แทบไม่รู้แล้วว่าคนอื่นเขากำลังสวดบทไหนกันอยู่ ต้องเปิดหน้าหนังสือกันพึ่บพั่บ
โชคยังดีว่าชัชพลที่นั่งเยื้องอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเห็นท่าทางเก้ๆ กังๆ นั้นแล้วจึงเปิดหนังสือและพลิกหน้ากระดาษหาบทสวดมนต์ที่กำลังสวดกันอยู่ เบี่ยงเลขหน้าให้อีกฝ่ายแลเห็นตัวเลขได้ชัดๆ เพื่อจะได้เปิดตาม ทั้งที่ตัวเขาเองจดจำบทสวดมนต์ได้เกือบหมดโดยไม่ต้องพึ่งหนังสือ และเป็นอย่างนั้นไปตลอดการทำวัตรเย็น
หลังจากสวดมนต์แล้วก็เข้าสู่ช่วงนั่งวิปัสสนากรรมฐาน แสงไฟที่คอยให้ความสว่างถูกดับลงเหลือเพียงความมืดมิด แม้ตอนแรกจะหลับตาอยู่ก็ว่ามืดแล้ว แต่พอไฟดับพรึบเท่านั้นเอง รัตน์สิกาก็รู้สึกราวกับว่ามันเป็นความมืดสนิทอย่างที่เธอไม่เคยเจอมาก่อน ในใจอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสั่นไหว แม้แต่เสียงลมพัดใบไม้แห้งเสียดสีกันก็สามารถได้ยินชัดเจนขึ้นมาทันที
หญิงสาวพยายาม ‘ฝึกจิต’ ไปทีละนิดๆ อย่างคนที่ไม่รู้ความอะไร เหมือนเด็กน้อยที่เริ่มหัดเดินก็เป๋ไปเป๋มา ค่อนข้างยากลำบากพอสมควร
แต่หลังจากการนั่งวิปัสสนาแล้วเธอจึงได้รับรู้ถึงบางสิ่ง เพียงแค่เล็กน้อยแต่ก็สัมผัสได้…ความรู้สึกสงบนิ่งและเย็นชุ่มฉ่ำในหัวใจ เหมือนต้นไม้เหี่ยวเฉาได้รับหยาดน้ำทิพย์ชโลมหัวใจ ราวกับว่าบางอย่างในตัวเธอได้เปลี่ยนไปแล้ว คงเป็นความงดงามเหมือนอย่างกิ่งก้านที่เคยแห้งแล้งของต้นไม้ได้แตกหน่อผลิใบ…
คืนแรกและครั้งแรกในชีวิตที่ต้องนอนอยู่ในอาณาเขตของวัด สองสาวต่างก็เกรงว่าจะนอนไม่หลับ แต่อาจเป็นเพราะความเหนื่อยอ่อนจากการเดินทางหรือเหตุใดก็มิอาจรู้ได้ พอหัวถึงหมอนก็พากันหลับใหลไปได้อย่างรวดเร็ว แม้แต่รัตน์สิกาที่ปกติมักจะประสบปัญหานอนไม่หลับอยู่เสมอก็หลับสนิทตั้งแต่ห้านาทีแรกที่ล้มตัวลงนอน หญิงสาวเข้าสู่ห้วงนิทราอันแสนสงบซึ่งเนิ่นนานมาแล้วไม่ได้สัมผัสถึง จนกระทั่งกลางดึก…
ปัง!
“ระวัง! มันถึงเวลาแล้ว…”
เสียงที่คล้ายฝ่ามือใหญ่เท่าใบตาลตบลงบนกระจกหน้าต่างบนหัวนอนดังขึ้น ตามด้วยน้ำเสียงอันยากจะแยกแยะว่าเป็นชายหรือหญิง หนุ่มหรือแก่
รัตน์สิกาเปิดเปลือกตาขึ้นมาช้าๆ ก่อนจะลุกขึ้นจากที่นอนอย่างเงียบเชียบ จิตตายังคงนอนหลับสนิทดีอยู่ในขณะที่ร่างบางยืนนิ่งอยู่ภายในห้อง นัยน์ตาดูล่องลอย…ไม่ใช่อย่างเช่นคนง่วงงุนที่เพิ่งตื่นขึ้นมา หากเป็นความมึนเบลอไร้สติ
คล้ายจะมีเสียงเรียกหาอะไรบางอย่าง อึดใจต่อมาหญิงสาวจึงมีการเคลื่อนไหว อากาศแสนเหน็บหนาวกรูเข้ามาทางประตูที่เปิดออกราวกับจะต่อสู้แย่งชิงความเป็นใหญ่กับความอบอุ่นด้านในห้อง แรงลมพัดใบไม้เสียดสีก่อเกิดเป็นเสียงหวีดหวิว ท่ามกลางป่าเขาเช่นนี้ย่อมบาดลึกเข้าไปถึงในจิตใจของทุกผู้คนที่ได้ยิน แต่ราวกับว่าเธอจะไม่ได้ยินอะไรเลย มีเพียงหางตาที่เหลือบเห็นการเคลื่อนไหวบางอย่าง…ดูเหมือนจะเป็นชายผ้าสีขาวที่ลับมุมอาคารด้านหน้า
ไร้ความคิดความอ่านใดๆ ทั้งสิ้น รัตน์สิกาเดินตามสิ่งนั้นไป…มุ่งไปยังทิศทางที่เห็นมีการเคลื่อนไหว
เสียงรองเท้าแตะเหยียบลงบนใบไม้แห้งที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นก่อเกิดเป็นเสียงดังสวบสาบชวนให้รู้สึกวังเวงและน่าขนลุก
เมื่อเลี้ยวตรงมุมอาคารซึ่งเห็นชายผ้าสะบัดพลิ้วก่อนจะลับหายไปแล้วออกไปยืนในที่โล่งด้านหน้าเขตที่พักหญิงสาวจึงเริ่มรู้สึกตัว เหมือนคนที่ถูกสะกดจิตแล้วจิตแพทย์ดีดนิ้วดังเบาๆ ให้ตื่นขึ้นมาสู่โลกความเป็นจริง…
เธอมาทำอะไรที่นี่!
เป็นคำถามที่ถามตัวเองแล้วก็ไร้ซึ่งคำตอบ ความทรงจำขาดๆ หายๆ เพราะดูเหมือนว่าตัวเธอเองจะหลับไปแล้ว แต่เหตุใดพอรู้สึกตัวอีกทีกลับมายืนอยู่คนเดียวเช่นนี้ได้…
หรือจะเป็นเพราะเสียงบอกให้ระวังอะไรสักอย่างที่ได้ยินนั่น ทว่ามันไม่ใช่ความฝันหรอกหรือ ความทรงจำค่อยกลับคืนมาช้าๆ พบว่าเป็นเธอเองที่เดินออกมาจากห้อง แล้วยังมีภาพของร่างสีขาวโพลนในความมืดเดินลับมุมตึกไป
ท่ามกลางอากาศเย็นจัด ร่างบางชะงักนิ่งคล้ายถูกสาปให้กลายเป็นรูปปั้น จุดที่ยืนอยู่นั้นยังพอมีแสงไฟ ทว่าเมื่อสายตาทอดมองออกไปพบกับความมืดมิด…ไร้วี่แววของสิ่งมีชีวิตใดๆ เหลียวซ้ายแลขวา…หญิงสาวมั่นใจว่ามีเพียงเธอผู้เดียวเท่านั้น ความรู้สึกหวาดกลัวก็คืบคลานเข้ามาเกาะกุมหัวใจเช่นเดียวกับความหนาวเหน็บที่ทำให้ตัวเธอเย็นเฉียบ หัวสมองของรัตน์สิกาขาวโพลน ขนลุกยะเยือกขึ้นมาทันทีทันใด พร้อมกันกับที่เหล่าบรรดาหมาวัดซึ่งมองไม่เห็นตัวว่าไปรวมกลุ่มกันอยู่ตรงไหนพลันหอนรับกันเกรียว…ดังกรีดแหลมสะท้อนก้องท่ามกลางความเงียบเหงาวังเวง
บัดนั้นหญิงสาวรับรู้ถึงความรู้สึกชาซ่านไปทั่วทั้งหัว อาจเพราะความตกใจหรือเหตุใดก็ไม่ทราบได้ แม้อยากจะวิ่งหนีกลับที่พักให้เร็วที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้แต่สองขาพากันก้าวไม่ออก ไม่ยอมขยับตามที่สมองสั่ง ต่อให้อยากกรี๊ดดังๆ สักแค่ไหนก็ไร้เสียงหลุดลอดออกมา!
บทที่ 2
เป็นเวลาตีสองกว่าแล้วแต่ชัชพลเพิ่งหยุดพักจากการนั่งวิปัสสนา ร่างสูงเดินมาจากหอพระซึ่งอยู่ติดกับวิหารเพื่อมุ่งไปยังเขตที่พักด้วยความคุ้นชิน มีเพียงแสงจันทร์และไฟฉายกระบอกเล็กในมือช่วยนำทาง แต่แล้วเขาก็ต้องชะงักเมื่อสายตาคมกล้าที่ชินกับความมืดมองเห็นคนชุดขาวสองคนอยู่ไกลลิบโน่น ไม่คาดคิดว่าเวลานี้นอกจากตนเองแล้วยังจะเหลือใครที่ไม่นอนอยู่อีก
แต่เมื่อระยะห่างถูกลดทอนลง…ได้เห็นเงาร่างทั้งสองอย่างชัดเจนจึงรู้สึกผิดคาดขึ้นมาทันที ชายหนุ่มสาวเท้าเข้าไปหาร่างบางที่กำลังมีสีหน้าหวาดหวั่นขวัญผวา เมื่ออีกฝ่ายหันมาประสานสายตากับเขาและรับรู้ว่าเธอไม่ได้อยู่เพียงคนเดียวอีกต่อไปก็เผยรอยยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจ
“มีอะไรรึเปล่าครับ” ชัชพลถามลอยๆ ไม่เจาะจงว่าเอ่ยคำถามนั้นกับใคร
แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นย่อมเป็นรัตน์สิกา แต่อีกร่างหนึ่งนั้นเล่า…ชายหนุ่มเพ่งมองเลยไปทางเบื้องหลังของหญิงสาวเล็กน้อย ในเงามืดของต้นไม้มีเพียงแสงสลัวราง แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับการมองเงาร่างหนึ่งซึ่งยืนนิ่งเงียบอยู่ แม้ไม่ได้มุ่งหมายในด้านร้ายแต่อย่างใดทว่าก็สะกิดความสงสัยใคร่รู้ขึ้นในใจของผู้มองเห็น
ร่างสูงใหญ่รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายเป็น ‘ของดี’ ของวัดแห่งนี้ แต่สิ่งที่เขาไม่รู้คือความต้องการที่แท้จริง คำถามที่เอ่ยจึงอยากส่งไปถึงฝ่ายนั้นด้วย
“เมื่อกี้นี้…เป็นคุณนี่เอง” รัตน์สิกากล่าวพร้อมเสียงถอนหายใจยาวๆ พลางลูบหน้าลูบตาตัวเอง เหมือนพยายามปลุกความมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้งหลังจากที่ช็อกจนร่างกายเย็นเฉียบ
“เมื่อกี้ทำไม” ชัชพลละสายตาจากอีกจุดหนึ่งมามองคนตรงหน้า
“ฉันได้ยินเสียงแล้วก็เห็นหลังแวบๆ คงเป็นคุณนี่เอง ตอนแรกที่ไม่เห็นใครก็ตกใจแทบแย่”
“ผมนั่งสมาธิเสร็จก็เพิ่งกลับมานี่เอง” เมื่อเขากล่าวเช่นนั้น รอยยิ้มที่เบ่งบานบนใบหน้าของอีกฝ่ายจึงหุบลงทันที…ชายหนุ่มหันไปมองผู้เป็นต้นเหตุแล้วจึงเอ่ยถามผ่านทางกระแสจิต
“มีอะไรครับ เธอทำอะไรให้ท่านไม่พอใจรึเปล่า”
อีกฝ่ายค่อยๆ หันไปมองทางร่างบางด้วยแววตาบางอย่างที่เขาไม่เข้าใจนัก แล้วหันกลับมามองเขาพลางส่ายศีรษะน้อยๆ
“หากเธอทำอะไรล่วงเกินสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในวัด ผมจะเตือนเธอให้”
ยังคงไม่มีคำตอบใดๆ ได้ยินเพียงเสียงถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนตัวต้นเหตุจะหายวับไปต่อหน้าต่อตา ไม่ยอมพูดอะไรสักคำ
หญิงสาวรู้สึกว่าเขาชักจะมองเลยไปทางเบื้องหลังเธอนานแล้ว ขณะที่กำลังจะหันไปมองตามสายตาของอีกฝ่ายหูก็ได้ยินเสียงถอนหายใจแผ่วๆ ทั้งยังรู้สึกได้ถึงลมที่พัดมากระทบท้ายทอยวูบหนึ่ง หัวใจดวงน้อยเหมือนหยุดเต้นไปชั่วขณะ…ตัวแข็งค้าง ไม่กล้าหันกลับไปมองทางด้านหลัง ขนแขนยังลุกซู่ขึ้นมาทันทีทันใด ถ้าหากไม่ใช่เพราะมีร่างสูงยืนอยู่ตรงหน้าเธอก็คงจะกรี๊ดแตกไปแล้ว
“ขะ…ข้างหลังฉัน” ร่างบางเค้นเสียงลอดผ่านลำคอ
“ทำไม” ชัชพลถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย รัตน์สิกาจึงฮึดด้วยแรงเฮือกสุดท้ายหันขวับไปมองข้างหลังแล้วสายตาก็พบเพียงความว่างเปล่า
เกินไปแล้ว…วันนี้มีเรื่องเกิดขึ้นกับเธอมากเกินไปจริงๆ ตั้งแต่เกิดมาเธอไม่เคยเฉียดใกล้เหตุการณ์อะไรที่ถือว่าหลอนขนาดนี้มาก่อน หญิงสาวคิดกับตัวเองในใจ ขณะที่อีกฝ่ายพยายามปลอบ
“คงไม่มีอะไรแล้ว คุณไปนอนเถอะ”
“แต่ฉันได้ยินเสียง แล้วยัง…” คนตัวเล็กกว่าหันกลับมาแย้งแต่ก็ไม่กล้าพูดออกมาจนหมด เพราะถ้าไม่พูดก็ยังอาจจะหลอกตัวเองได้ หากพูดออกมาเมื่อไหร่…ก็ไม่สามารถปฏิเสธความจริงได้อีกแล้ว
“นี่คุณครับ กลางค่ำกลางคืนขนาดนี้ถึงจะได้ยินเสียงอะไรคุณก็ไม่ควรออกมาเดินข้างนอกนะ”
เธออยากจะบอกนักว่าเธอไม่ได้อยากออกมา เพียงแต่รู้สึกตัวอีกทีก็มายืนอยู่ที่นี่แล้ว ทว่าก็กลัวอีกฝ่ายจะหาว่าโตจนอายุปูนนี้แล้วยังนอนละเมออีกจึงเสกล่าวไปว่า
“ทีคุณยังกลับมาที่พักซะเวลานี้เลย”
“ผมเต็มใจกลับมาเวลานี้ ไม่ใช่คนที่เข้าใจว่าตัวเองถูกเรียกแล้วออกมายืนอยู่คนเดียวซะหน่อย ไม่เคยมีใครบอกคุณเหรอ กลางค่ำกลางคืนใครเรียกอย่าขานรับ…ถ้ามีอะไรค้างคาใจพรุ่งนี้เช้าค่อยถามคนอื่นให้หายข้องใจก็ได้”
คิ้วเรียวของหญิงสาวขมวดทันทีกับคำต่อว่ากลายๆ นั้น
“โอเคค่ะ ไม่มีอะไรแล้ว จบเรื่องแล้วฉันก็จะไปนอนต่อล่ะนะ”
“เดี๋ยวก่อน คุณบอกว่ามาบวชเป็นครั้งแรกก็ขอให้ระวังการกระทำต่างๆ ด้วย ถึงคุณไม่ตั้งใจก็อาจจะไปล่วงเกินอะไรเข้า วัดเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์จึงมีผู้ดูแลอยู่”
“หมายความว่า…”
“ผมแค่เตือนเอาไว้…ไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวต้องตื่นขึ้นมาทำวัตรเช้าอีก” คราวนี้กลับเป็นเขาที่ตัดบท
ร่างบางผละจากโดยไม่เอ่ยอะไรอีก แต่พอลับมุมอาคารก็ต้องชะงักเพราะรู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมาทันที เสียงใบไม้กรีดกรายเป็นเสียงแปลกๆ เห็นเงาไม้ไหววูบวาบทางหางตา ความหนาวเย็นกัดกินเข้าไปถึงในกระดูกแล้วสั่นสะท้านไปถึงจิตใจ
หญิงสาวก้มหน้าก้มตาก้าวฉับๆ หากจะบอกว่าเธอเกิด ‘ป๊อด’ ขึ้นมาก็คงไม่ผิด เดินไปได้สักพักก็หันมองทางที่เดินจากมาด้วยใจระทึก พบว่าร่างสูงยืนมองอยู่ด้วยอากัปกิริยาคล้ายรอให้เธอเข้าที่พักไปก่อนจึงจะวางใจ เมื่อพบว่าไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยวหัวใจที่เย็นเฉียบคล้ายถูกแช่กลางหิมะก็กลับมาเต้นเป็นปกติตามเดิม เธอจึงรีบสาวเท้าไปยังเรือนพักหลังน้อย ในขณะที่กำลังเปิดประตูเพื่อเข้าไปด้านในก็หันมากวาดสายตามองหาอีกฝ่ายโดยอัตโนมัติและยังเห็นเงาร่างของเขายืนหยัดอยู่ที่เดิม
เมื่อประตูปิดสนิทลงแล้วหญิงสาวจึงรับรู้ได้ถึงความรู้สึกบางอย่าง หัวใจของเธอนั้นรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาด…พยายามบอกกับตัวเองว่าคงเป็นเพราะอากาศอุ่นๆ ในห้องที่ทำให้เป็นเช่นนั้น
ชัชพลยังยืนนิ่งค้างอยู่ที่เดิมแม้รัตน์สิกานั้นหายลับไปแล้ว เขากวาดตามองหาผู้เป็นต้นเหตุของเหตุการณ์ครั้งนี้แต่ก็ไม่พบอะไรหรือใครอีก จึงมีแต่ความค้างคาว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรกันแน่ และเหตุใดต้องให้หญิงสาวเดินออกมาประจวบเหมาะกับตอนที่เขากลับมาพอดี…นั่นเป็นแค่เรื่องบังเอิญใช่ไหม
รัตน์สิกากลับมานอนกระสับกระส่ายอยู่จนถึงรุ่งสาง หญิงสาวเชื่อว่าตนเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งเพราะเกิดมาไม่เคยสัมผัสถึงสิ่งลี้ลับได้เลย แต่กับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ ต่อให้พยายามบอกว่ามันไม่มีอะไรหากก็หาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้
แม้ว่าเรื่องนั้นจะส่งผลต่อจิตใจมากมายขนาดไหนแต่เธอก็ไม่ยอมปริปากเล่าให้เพื่อนฟัง เพราะไม่ทราบว่าจะเริ่มต้นยังไง สิ่งต่างๆ ล้วนไม่มีเหตุและผล
ช่วงเวลาในการทำวัตรเช้าของวันนั้นหญิงสาวจึงค่อนข้างจะเบลอๆ ไปบ้าง ทั้งจากการไม่ได้พักผ่อนและจิตใจที่ล่องลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เมื่อเสร็จจากการทำวัตรเช้าถึงได้เริ่มกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
ตอนสายๆ ของวันเป็นช่วงที่แต่ละคนแยกย้ายกันไปช่วยทำความสะอาดบริเวณต่างๆ ของวัด ขณะที่จิตตากำลังใช้ไม้กวาดดอกหญ้าที่เก่าจนไม่รู้ว่าผ่านการใช้งานมาแล้วกี่ปีนั้นกวาดพื้นวิหารอยู่ รัตน์สิกาก็กำลังซักผ้าถูพื้นตระเตรียมจะเช็ดหลังจากเพื่อนกวาดเสร็จ แต่การกระทำทั้งหมดต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นร่างสูงเดินผ่านมา
ชายหนุ่มยังคงเฉยชาดุจเดิม…คล้ายดั่งขุนเขาที่หนักแน่นมั่นคงแต่ก็ให้ความรู้สึกหนาวเย็นจับใจ เขาเดินผ่านไปโดยไม่เหลือบมองเธอด้วยซ้ำ ทว่าหญิงสาวกลับเหม่อมองตามอย่างไม่อาจละสายตาได้
ชัชพลได้นำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไปเล่าให้พระอาจารย์มนูฟัง ท่านจึงเอ่ยประโยคแรกออกมาหลังจากรับฟังเรื่องทั้งหมดจนจบ
“เป็นห่วงเขาล่ะสิ”
“ผมแค่อยากรู้”
ชายหนุ่มทอดสายตามองผ่านลูกกรงเหล็กของหน้าต่างกุฏิ เสียงพูดคุยที่จับใจความไม่ได้และเสียงหัวเราะของสองสาวแว่วมาตามสายลม
“ไม่มีอะไรหรอก ถ้าอย่างที่เล่ามาก็คงจะเป็นเสื้อวัดน่ะ” ภิกษุสูงวัยกล่าวสั้นๆ พลางค้นของในถุงย่ามกุกๆ กักๆ เสื้อวัดนั้นเป็นคำเรียกที่หมายถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ซึ่งปกปักรักษาวัดวาอารามอยู่ ยิ่งทำให้ชายหนุ่มสงสัยใคร่รู้มากกว่าเดิม
“เสื้อวัดท่านอยากจะบอกอะไรหรือครับ”
“ก็คงเป็นห่วงน่ะ”
“เป็นห่วง?”
คราวนี้ผู้สูงวัยหันมามองเขาตรงๆ ก่อนจะบอก
“เป็นเรื่องอะไรนั้นอย่าสงสัยไปเลย อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด เสื้อวัดห่วงแล้วจะไปห่วงตามอีกทำไม…ปล่อยวาง”
เพียงสองคำสุดท้ายที่พระอาจารย์กล่าวอย่างหนักแน่น คำถามอีกมากมายจึงค้างอยู่ในลำคอต่อไป
“พอจะรู้อยู่ไม่ใช่รึว่ามีกรรมเกี่ยวพันกันมา อยากจะตัดกรรมที่มีกับเขา แต่หากเรื่องเพียงแค่นี้ก็ยังห่วงพะวงถึงขนาดนี้ บอกเลยว่าตัดไม่ขาดหรอก”
ดวงตาที่มีริ้วรอยด้วยผ่านกาลเวลามายาวนานทว่าแววตากลับยังมีประกายแจ่มใสเต็มไปด้วยพลังแห่งชีวิตจ้องมองชายหนุ่มที่นั่งก้มหน้ามองพื้น หวนนึกถึงเมื่อหลายปีก่อนที่อีกฝ่ายเคยมาขอคำปรึกษาบางอย่าง…
การสนทนาที่มีหัวข้อเกี่ยวกับรัตน์สิกาจึงจบลงที่ตรงนั้น ชัชพลพูดคุยกับพระอาจารย์มนูอีกพักหนึ่งก็กลับออกไป เจ้าของกุฏิหลังเล็กมองตามอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพึมพำกับตัวท่านเอง
“เฮ้อ…สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม”
ออกมาจากกุฏิพระอาจารย์มนูแล้วชายหนุ่มจึงตั้งใจกรวดน้ำให้รัตน์สิกาเป็นพิเศษ โดยถือว่าเพื่อความสบายใจของตนเอง ก่อนจะกล่าวสิ่งที่ตั้งจิตเจตนา
“บ่วงกรรมของเราสองคน หากคุณทำผิดต่อผม ผมก็ขออโหสิให้คุณ หากผมทำผิดต่อคุณ ก็หวังว่าคุณจะอโหสิกรรมให้ผมเช่นกัน”
เมื่อนำน้ำไปรดต้นไม้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย ร่างสูงพลันถอนหายใจด้วยความโล่งอก ความกังวลที่หน่วงๆ อยู่ในอกก็ปลาสนาการไปสิ้น
“ฮึ”
เสียงบางอย่างดังมากระทบจิตของชัชพล เป็นเสียงของชายหนุ่มผู้หนึ่งที่เขาคุ้นชินและจดจำได้ดี…เสียงแค่นลมเชิงหมั่นไส้ เยาะเย้ย ถางถาง หรือล้อเลียนผสมกันอย่างยากจะจำกัดความได้แต่ก็เป็นเอกลักษณ์โดยที่อีกฝ่ายไม่ต้องปรากฏตัวให้เห็นเขาก็นึกรู้ได้ทันทีจุดรอยยิ้มขึ้นที่ริมฝีปากบางเฉียบ
“หนีอะไรก็หนีได้ แต่หนีหัวใจตัวเองน่ะหนีไม่พ้นหรอก” เสียงปริศนากล่าวเย้ยหยัน
“หัวใจของผมก็อยู่ที่หน้าอกข้างซ้ายนี่ไง ยังเต้นตุบๆ อยู่เลย จะหนีไปได้ยังไงล่ะครับ” ชัชพลพูดล้อเล่น รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาทันที
“พวกมนุษย์ก็เป็นเสียแบบนี้ ปากกับใจไม่ตรงกัน”
“ว่าแต่พี่เถอะ เข้ามาในวัดได้ด้วยเหรอครับ” ชายหนุ่มพยายามเปลี่ยนเรื่อง แล้วก็ได้ผลเสียด้วย ถึงเขาจะมองไม่เห็นตัวตนของอีกฝ่ายแต่ก็เดาได้ว่าคงกำลังโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่
“เจ้าคิดว่าเราเป็นใครถึงจะเข้าวัดไม่ได้! เรานี่…ฮึ ไม่อยากจะอวดอ้างตัวเองหรอกนะ”
“ผมก็แค่ล้อเล่นน่า ไม่ได้เจอกันตั้งนานคิดว่าลืมผมแล้วซะอีก…ไม่ยักรู้ว่าเวลาผ่านไปนานๆ พี่ก็จะอารมณ์อ่อนไหวเหมือนมนุษย์สูงวัยไปได้”
“คำพูดคำจาเจ้านี่มันน่านัก ปากคอเราะราย ระวังตัวไว้ให้ดีเถอะ…”
“กับคนอื่นผมก็ไม่เป็นแบบนี้นะ แต่พอคุยกับพี่แล้วมันอดไม่ได้เท่านั้นเอง” คนพูดลอยหน้าลอยตาตอบ ไร้ความเกรงกลัว “แล้วไม่ใช่เพราะแบบนี้รึไง พวกที่ไม่มีใครคบและไม่กล้าคบ…แบบเราถึงได้มาสนิทกันได้น่ะ”
“เฮอะ ช่างเถอะๆ เราจะปล่อยให้เจ้าหัวเราะนำไปก่อนแล้วกัน”
“พูดจาแบบนี้นี่จะสื่อถึงอะไรครับพี่”
“เคยได้ยินไหมหัวเราะทีหลังดังกว่าน่ะ ตอนนี้เจ้าหัวเราะให้เต็มที่ล่ะ พอถึงคราวที่เจ้าหัวเราะไม่ออกบ้างก็เป็นตอนที่เราจะนั่งหัวเราะแทน”
“คราวที่หัวเราะไม่ออก?” คราวนี้คิ้วเข้มหนาของคนพูดขมวดขึ้นมาทันที
“อือ นั่นแหละ เดี๋ยวก็รู้เอง หากเจ้าเจอเรื่องยุ่งขึ้นมามันจะลำบากใครเสียอีกนอกจากเรานี่แหละ คราวนี้จะนั่งกระดิกเท้ารอคนมากราบกรานร้องขอ…ฮึ!”
มีเพียงเสียงหัวเราะแฝงนัยบางอย่าง แลดูสะใจยิ่งนัก ก่อนที่ฝ่ายนั้นจะจากไป
“อ้าว มาแค่นี้เองเหรอครับ”
ไม่มีคำตอบ แต่ชัชพลรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายจากไปแล้วจึงอดไม่ได้ที่จะส่ายศีรษะน้อยๆ
“พวกไร้กายหยาบนี่เขาชอบกันจริงๆ มาแป๊บเดียวแล้วก็แวบหายเนี่ย”
ช่วงเวลาหลังจากนั้นรัตน์สิกามีชีวิตอยู่อย่างสงบ ตื่นตั้งแต่เช้ามืดเพื่อทำวัตรเช้าซึ่งจะแล้วเสร็จตอนฟ้าสว่าง พอมีเวลาว่างก็ใช้ไปกับการร่วมดูแลพื้นที่ส่วนต่างๆ ของวัด ระหว่างทำความสะอาดก็ฝึกจิตใจไปด้วยในตัว นอกจากนี้เป็นเวลาพักผ่อนแล้วทำวัตรเย็น ก่อนจะนอนหลับสนิทแล้วตื่นขึ้นในเช้าวันถัดไป
หญิงสาวมีแต่ความรู้สึกสบายอกสบายใจเมื่อได้ทำบุญและปฏิบัติธรรม…เป็นความรู้สึกที่ห่างเหินไปจากชีวิตของเธอมานานเต็มที ใบหน้าที่ซีดเซียวจึงมีสีสันขึ้นจนจิตตาที่เห็นความเปลี่ยนแปลงของเพื่อนพลอยสุขใจตามไปด้วย
แล้วก็ถึงกำหนดวันกลับ เวลาได้ผ่านไปอย่างรวดเร็วจนน่าใจหาย แม้รัตน์สิกายังอยากจะอยู่ต่ออีกสักหน่อย แต่เพราะจิตตาลางานมาได้ไม่นานแล้วก็ต้องรีบกลับไปทำงานต่อ เธอเองเลยต้องกลับด้วย กระนั้นก็ตั้งใจไว้ว่าจะกลับมาอีกแน่นอน
เมื่อพระฉันอาหารเช้าเสร็จแล้ว หญิงสาวทั้งสองจึงเข้าไปพบพระอาจารย์มนูเพื่อลาศีลที่วิหารไม้หลังเดิม แต่ที่น่าแปลกใจก็คือมีร่างสูงซึ่งเริ่มจะคุ้นชินตานั่งอยู่ที่นั่นก่อนแล้ว
“กลับพร้อมกันพอดีเลยนะ” ใบหน้าที่เปี่ยมด้วยความเมตตามองมายังคนสวมชุดขาวทั้งสาม
ในตอนนั้นรัตน์สิกาจึงได้รู้ว่าชัชพลก็มาลาศีลเช่นกัน พวกเธอมาอยู่แค่ห้าวันแต่ไม่ทราบว่าอีกฝ่ายอยู่มานานแค่ไหนแล้วเพราะดูสนิทกับทั้งพระอาจารย์และแม่ชีอาวุโส ซึ่งพอเธอและเพื่อนหย่อนกายลงนั่ง เขาก็เป็นฝ่ายลุกขึ้น คุกเข่าแล้วกราบลา
“ถ้าอย่างนั้นผมลาเลยนะครับ”
“เดินทางปลอดภัยนะ”
“ขอบคุณครับพระอาจารย์”
รัตน์สิกานั่งเงียบแล้วมองตามคนที่เดินออกไปจากประตูวิหาร เบื้องหลังของเขาที่มองเห็นสวนทางกับแสงอาทิตย์ซึ่งส่องเข้ามาด้านในเกิดเป็นภาพที่งดงามจับใจ เพราะในขณะที่ร่างสูงกลายเป็นเงาสีเทาด้วยไร้แสงมากระทบและมีเพียงแสงเจิดจ้าล้อมกรอบเอาไว้นั้นราวกับเกิดประกายสว่างออกมาจากตัว…ต่อเมื่อเขาเดินจากไปแล้ว บางสิ่งก็คล้ายจะปลิดปลิวตามไปด้วย
กว่าร่างบางจะรู้สึกตัวอีกครั้งก็ตอนที่จิตตาสะกิด เธอจึงหันมาถวายดอกไม้ธูปเทียนให้พระ หลังจากทำพิธีลาศีลเรียบร้อยแล้วพระอาจารย์มนูจึงเอ่ยขึ้น
“เห็นเด็กวัยแบบพวกโยมมุ่งทางธรรมะแบบนี้อาตมาก็ดีใจ”
‘เด็กๆ’ ทั้งสองมีสีหน้าเปื้อนยิ้ม เงยหน้าตั้งใจมองผู้พูดที่นั่งตำแหน่งสูงกว่า ท่านจึงกล่าวต่อ
“อาตมาไม่รู้ว่าที่มานี่มีจุดประสงค์อย่างไรกันหรอกนะ แต่เห็นความมุ่งมั่นเช่นนี้ก็ดีมากแล้ว ปฏิบัติเอาตอนที่อายุยังน้อยๆ นี่แหละดี แล้วก็ไม่ต้องไปสนใจถ้าคนอื่นจะพูดว่ายังสาวยังแส้เข้าวัดทำบุญเหมือนคนแก่ รอแก่ก็ค่อยสะสมบุญเถอะ แต่พอแก่ตัวไปจะลุกก็โอยจะนั่งก็โอยเสียแล้วล่ะโยม”
รอยยิ้มที่ปรากฏตรงริมฝีปากของพระอาจารย์มนูอยู่เนืองนิตย์นั้นคลายออก แล้วจึงบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ตอนนี้เราอยู่ในสมัยกึ่งกลางพุทธกาล บ้านเมืองมันวุ่นวายร้อนร้าย เวลาคนมีปัญหาอะไรเขาไปนึกถึงโน่น…เจ้าพ่อเจ้าแม่ทั้งหลายเป็นที่พึ่งพิงเพราะมันเห็นผลทันตามากกว่าการทำความดีที่เห็นผลช้า อยากรู้อนาคตตัวเองก็ไปถามร่างทรงเอา แต่จะอยากรู้อนาคตไปทำไม รู้แล้วได้อะไรขึ้นมา”
คำว่า ‘ร่างทรง’ สะกิดใจรัตน์สิกาจนต้องก้มหน้างุด หญิงสาวพยายามจะคิดว่าพระอาจารย์เพียงแค่ต้องการพูดโดยรวมเท่านั้น แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียวสันหลัง เพราะถึงเธอจะไม่ได้เกี่ยวโดยตรงแต่ก็โดยอ้อม และอ้อมแบบใกล้ชิดสุดๆ เลยด้วย
“อาตมาอยากจะบอกนะ ถ้าเจอปัญหา…หากไม่คิดช่วยเหลือตัวเองก่อน เทพที่ไหนจะมาช่วยได้ อยากร่ำรวยเงินทองแต่ไม่ดิ้นรนขวนขวาย ไม่ลงมือทำงานทำการ เทพก็บันดาลความร่ำรวยให้ไม่ได้หรอก ดังนั้นการกระทำของตัวเองนี่แหละสำคัญที่สุด”
เมื่อสิ้นกระแสเสียงก็พบว่าบรรยากาศรายรอบตัวมีเพียงความเงียบแบบนิ่งสนิท เงียบจนไม่มีแม้แต่เสียงลมพัดสักนิด สุดท้ายก็มีเสียงทอดถอนหายใจแผ่วเบาดังขึ้นก่อนที่ภิกษุสูงวัยจะเอ่ยว่า
“เกรงว่าพุทธศาสนามีแต่จะเสื่อมถอยลง ก็ได้แต่ฝากความหวังไว้กับพวกโยมนี่แหละนะ”
“ขอบคุณพระอาจารย์ที่สั่งสอนค่ะ” หญิงสาวทั้งสองพูดออกมาแทบจะพร้อมกัน
พระอาจารย์มนูหันมามองรัตน์สิกา อีกฝ่ายรู้สึกราวกับว่าสายตาที่เพ่งมานั้นมองลึกเข้าไปในตัวเธอแล้วเลยผ่านไปยังที่ไกลแสนไกล สถานที่นั้นจึงมีเพียงความเงียบ พักหนึ่งก็ได้ยินน้ำเสียงเรียบทว่าทำให้คนฟังชุ่มชื่นในหัวใจได้
“หมั่นสร้างบุญบารมีนะโยม…ประกอบทานศีลภาวนาบารมีของเราก็จะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีดวงตาเห็นธรรม สายตาไม่มืดมัวด้วยมิจฉาทิฐิ โลภะ โมหะ โทสะใดๆ ก็ไม่อาจครอบงำเราได้”
สายตาที่มองมาคล้ายแฝงความนัย เอ่ยจบท่านก็หลับตาลงเป็นเชิงบอกว่าหมดเรื่องพูดแล้ว ทั้งสองจึงก้มลงกราบลา จิตตาเพียงแค่น้อมรับคำสั่งสอนแล้วไม่ติดใจอะไรอีก มีเพียงรัตน์สิกาที่ต้องนำคำพูดของพระอาจารย์มนูมาทบทวนครั้งแล้วครั้งเล่า
สองสาวกลับออกมาจากวิหารไม้ ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นปกติก่อนจะไปอำลาแม่ชีอาวุโสที่คอยดูแลให้คำแนะนำตลอดเวลาที่อยู่วัด เมื่อหิ้วสัมภาระออกมาก็ยังทันได้เห็นท้ายรถยนต์คันที่จำได้ว่าเป็นของชัชพลแล่นออกจากวัดไปไกลลิบๆ โน่น ร่างบางมองตามไปจนลับสายตา หัวใจก็รู้สึกวูบโหวงแปลกๆ
ชายหนุ่มที่กำลังขับรถออกไปมองผ่านกระจกมองหลัง เห็นสองสาวกำลังเก็บของขึ้นรถกันอยู่ หวังเพียงว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้เจอกัน จึงเอ่ยเบาๆ ราวกับเป็นถ้อยคำสั่งลาแม้จะรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่มีทางได้ยิน
“หวังว่าเราจะสามารถตัดกรรมที่มีต่อกันแล้วไม่ต้องพบเจอกันอีก…อย่าได้เจอะเจอกันอีกเลยนะคุณ”
รถคันงามแล่นฉิวไปตามถนนที่ทอดยาวคดเคี้ยว ทิ้งหญิงสาวคนนั้นเอาไว้เบื้องหลัง
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments