X
    Categories: กลรักดอกท้อทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่านนิยาย กลรักดอกท้อ เล่ม 1 บทที่ 1

หน้าที่แล้ว1 of 10

บทที่ 1

 

“โปรดรับข้าเป็นอนุภรรยาด้วย”

อวี๋เสี่ยวเถารู้ดีว่าเมื่อถ้อยคำไม่กี่คำนี้ออกจากปากนางไปยังต้วนฉางยวนซึ่งนั่งอยู่บนเบื้องสูงแห่งที่นั่งประมุข นั่นคือช่วงเวลาที่ผู้คนกว่าร้อยในโถงแห่งนี้จะดูหมิ่นดูแคลนนางอย่างสาดเสียเทเสีย

สถานที่ที่นางอยู่ในตอนนี้คือปราสาทเขาชิงอวี้ (หยกคราม) ซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือระบือไกลในยุทธภพ เมื่อเอ่ยถึงปราสาทเขาชิงอวี้ เสียงยกย่องสรรเสริญใดๆ ที่ได้รับจากผู้คนนั้นล้วนไม่เกินจริงเลย

อาทิถ้อยคำเชิดชูด้านผดุงคุณธรรม ความห้าวหาญ หรือเป็นหนึ่งในใต้หล้า ล้วนตกอยู่ในครอบครองของปราสาทเขาชิงอวี้ สิ่งปลูกสร้างใดๆ ในปราสาทเขาแห่งนี้ล้วนดูใหญ่โตมโหฬาร มิใช่หรูหรางดงามเพียงธรรมดา ทว่าเป็นความสง่างามซึ่งแต่งแต้มด้วยกลิ่นอายกระจ่างสดชื่นเป็นพิเศษดั่งท่วงท่าเพริศแพร้วแห่งเทพธิดา

เมื่อเข้าสู่บริเวณปราสาทเขาชิงอวี้ก็เห็นทิวทัศน์งดงามตระการตา ต้นไม้โบราณสูงเสียดฟ้าเรียงรายสองข้างทาง สี่ทิศปกคลุมด้วยเมฆพยับหมอก เปรียบประดุจเขตแดนแห่งเทพเซียนบนโลกียภพ

ทุกคนในปราสาทเขา สูงสุดคือประมุข ต่ำสุดคือบริวารข้ารับใช้ ล้วนแต่มีรูปร่างลักษณะไม่ธรรมดา กล่าวได้ว่าบุรุษสูงตระหง่านกำยำ สตรีงามเลิศล้ำ

ถึงขนาดทุกหย่อมหญ้า ต้นไม้ทุกต้น ศิลาทุกก้อน กระเบื้องทุกแผ่น ล้วนเปี่ยมด้วยพลังแห่งชีวิตประหนึ่งได้รับการสัมผัสจากเทพเซียนเยี่ยงไรเยี่ยงนั้น มิเสียแรงที่ได้รับขนานนามว่าเป็นหนึ่งในใต้หล้า

ผู้คนที่ก้าวย่างอย่างสำราญใจในที่แห่งนี้เริ่มอดเชื่อไม่ได้ว่าขอเพียงตนเองเหยียบเข้าสู่ปราสาทเขาชิงอวี้ พวกเขาก็จะซึมซับพลังอันยอดเยี่ยมแห่งสุริยันจันทรา คลุกคลีกลิ่นอายแห่งเทพเซียนจนแตกต่างจากผู้คนทั่วไป ยามเยื้องย่างดังเหาะเหิน น่าเสียดายว่าหากล่วงล้ำเข้าสู่เขตหวงห้ามในปราสาทเขาย่อมถูกเด็ดหัว…แต่สำคัญคือที่นางมาที่นี่หาใช่เพื่อพรรณนาความงามของสถานที่ไม่ นางมาด้วยเพราะกุมจุดอ่อนของต้วนฉางยวนประมุขแห่งปราสาทเขาชิงอวี้ไว้ต่างหาก ฮึๆ…ไม่ถูกต้อง ยามนี้มิใช่เวลาแอบหัวร่อ บัดนี้นางเป็นเป้าแห่งเกาทัณฑ์ ควรเคร่งขรึมระแวดระวังจึงจะถูก

ไม่เพียงแต่ผู้คนโดยรอบจะแสดงท่าทีดุร้ายต่อนาง แม้แต่ท่านประมุขอย่างต้วนฉางยวนก็มีทีท่าหยิ่งทะนงดูแคลน ใช้สายตาคมกริบราวอาบยาพิษคู่นั้นจ้องมองนาง

ช่างหล่อเหลา ทรงอานุภาพ และน่าครั่นคร้ามอย่างยิ่ง!

“ฮึ! เจ้าช่างกล้ามาก ถึงขั้นข่มขู่ท่านประมุขของพวกข้า! ไม่ต้องการชีวิตแล้วใช่หรือไม่”

ที่เอ่ยปากคือชายผู้หนึ่งซึ่งอยู่ข้างกายท่านประมุข ดูเป็นผู้เป็นคนอยู่หรอก แม้ไม่หล่อเหลาดังต้วนฉางยวน ทว่าลักษณะหาใช่ธรรมดา อวี๋เสี่ยวเถาจำได้ว่าชายผู้นี้คือพ่อบ้านใหญ่แห่งปราสาทเขาชิงอวี้ นามว่าหมี*อะไรนะ…ใช่แล้ว นามว่าหวังสยง

“มีเพียงข้าที่รักษาโรคประหลาดของคุณหนูใหญ่ได้ หมอยาเรียกร้องค่ารักษาย่อมเป็นสัจธรรมแห่งฟ้าดิน ส่วนค่ารักษาที่ข้าต้องการก็เพียงขอเป็นอนุภรรยาของท่านประมุข มิได้ร้องขอเป็นภรรยาเอก นับว่าเสียเปรียบยิ่งแล้ว” นางกล่าวเตือนอีกฝ่ายอย่างจริงใจ

หากกล่าวตามจริง การที่นางขอเป็นอนุภรรยาของผู้อื่นนับว่าไม่เป็นธรรมต่อตนเองอย่างยิ่ง! ทว่านางรู้ดีว่าการข่มขู่ผู้อื่นไม่ถูกต้อง เพื่อมิให้รู้สึกผิดมโนธรรม จึงลดข้อแม้ยอมเป็นเพียงอนุภรรยา

“ทำไมถึงมีหญิงไร้ยางอายเช่นนี้ ถึงขนาดใช้วิธีการนี้เพื่อแต่งให้ท่านประมุขต้วน”

* คำว่าหมีในสำเนียงจีนกลางออกเสียงว่าสยง (熊) ซึ่งพ้องเสียงกับคำว่าสยง (雄) ที่แปลว่าองอาจเกรียงไกร

“อย่างนางคู่ควรด้วยรึ! ไม่ไปส่องกระจกดูบ้าง!”

“ช่างไร้ยางอายเสียจริง! ข้าไม่เชื่อหรอกว่านางจะมีวิธีรักษาคุณหนูใหญ่ให้หายได้ ท่านประมุขต้วนไม่มีทางรับปากนางแน่”

สดับเสียงก่นด่าเสียดหูจากบริเวณโดยรอบ เห็นสายตาดังมีดดาบหลายคู่แทบจะถลกเนื้อเถือหนังจนนางอดรู้สึกเย็นวาบไม่ได้

ใช่ว่านางไม่รู้จักอับอายหรือไร้จิตใจ ถ้อยคำประณามว่าต่ำช้าแพศยามุ่งดูหมิ่นดูแคลนมาที่ตัวนาง ต่อให้นางหน้าหนา แต่ใจย่อมเจ็บช้ำ เพียงแต่บุคคลที่มีสติปัญญาย่อมไม่ถูกตีพ่ายได้โดยง่าย ดังนั้นเพื่อแสดงให้เห็นว่านางเป็นคนประเภทนี้ จึงได้แต่เพียงตากหน้ายืนตรงฝืนทนต่อไป

อย่างไรเสียรูปโฉมของนางในตอนนี้ก็มิใช่หน้าตาที่แท้จริง เนื่องจากถูกพิษ รูปโฉมจึงกลับกลายเป็นอัปลักษณ์ ใบหน้าเป็นหลุมเป็นบ่อ หน้ารูปผลแตงแต่เดิมก็กลายเป็นบวมเป่ง สีหน้าดำคล้ำ เส้นผมดำสลวยสูญเสียความเงางาม ผลดีเพียงประการเดียวคือในภายภาคหน้าหากมีใครคิดตามแก้แค้นนาง ต่อให้ขุดดินลึกสามฉื่อ* ก็หาไม่พบ เมื่อประหวัดถึงคนพวกนั้นที่ต้องกัดฟันกรอดเพราะตามหานางไม่พบ อารมณ์จึงดีขึ้น

ต้วนฉางยวนอิดเอื้อนไม่ให้คำตอบ นับแต่นางเข้ามาในโถงจนถึงบัดนี้ล้วนมีคนเปิดปากแทนเขา นางอดคาดเดาไม่ได้ว่าบุรุษผู้นี้กำลังปล่อยให้นางยืนอยู่กลางโถงให้ผู้อื่นก่นด่า เป็นกลยุทธ์เพื่อถ่วงเวลาประการหนึ่ง คิดอาศัยพลังการประณามของทุกคนมาทำให้นางล่าถอยด้วยรู้สึกยากลำบาก!

น่าเสียดายที่เขาต้องผิดหวังเสียแล้ว เพราะว่าคำขอที่เสนอให้เขาต่อหน้าธารกำนัลนั้นนางวางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว

บัดนี้มีผู้คนกว่าร้อยในเหตุการณ์ ผู้คนในยุทธภพยึดมั่นในสัจจะมากที่สุด ประมุขใหญ่ซึ่งมีฐานะและตำแหน่งในยุทธภพเช่นต้วนฉางยวนหากรับปากแล้วยิ่งมิอาจคืนคำ การกระทำในครานี้ยังบีบให้เขามิอาจไม่เห็นด้วย

ลองคิดดู ชายชาติอาชาไนยมีภรรยาสามอนุสี่ รับหญิงหนึ่งนางเพื่อช่วยชีวิตน้องสาว ไม่ว่าจะคำนวณเช่นไรก็ไม่เสียเปรียบ! หากเขาปฏิเสธ ผู้คนในโลกหล้าอาจหยามเหยียดว่าไร้ศักดิ์ศรี แม้แต่เรื่องเล็กอย่างการรับอนุภรรยาก็ไร้ความกล้า ไม่แยแสกระทั่งชีวิตน้องสาวตนเอง ชื่อเสียงอันเกรียงไกรห้าวหาญของเขาในชาตินี้คงถูกทำลายลงย่อยยับ

นางคิดถึงจุดนี้ได้ บุรุษผู้นั้นย่อมคิดได้เช่นกัน ดังนั้นสายตาของเขาจึงเย็นเยียบถึงเพียงนั้น

หลังจากประมุขต้วนฉางยวนประกาศไปทั่วหล้าเพื่อให้รางวัลแก่ผู้รักษาชีวิตของน้องสาวเขาจากโรคประหลาด หมอจากทั่วทุกแคว้นและผู้ครอบครองยาขนานวิเศษจากทั่วทุกสารทิศต่างเร่งรุดมาแออัดรวมกันที่โถงใหญ่

ผู้คนเหล่านี้มีทั้งมาเพื่อช่วยรักษาชีวิตอย่างแท้จริง มีทั้งมาเพื่อชื่อเสียงเงินทอง และมีทั้งมาเพื่อกระชับมิตรกับปราสาทเขาชิงอวี้ ด้วยรู้กันว่าหากรักษาต้วนชิงหลิงน้องสาวที่ต้วนฉางยวนรักและทะนุถนอมมากที่สุดให้หายได้ย่อมเท่ากับเป็นผู้มีบุญคุณต่อปราสาทเขาชิงอวี้ นอกจากนั่งรับทรัพย์ก้อนโตแล้วยังได้รับความเลื่อมใสจากจอมยุทธ์ในยุทธภพ รักษาคราวเดียวโด่งดังทั่วหล้า

ผู้ที่มาเพื่อประโยชน์การนี้ต่างมารวมตัวกันที่ปราสาทเขาชิงอวี้ ทำให้โรงเตี๊ยมใกล้ๆ แออัดยัดทะนานไปด้วยผู้คนในชั่วพริบตา หอสุราร้านอาหารก็พลอยได้รับผลดีนี้ไปด้วย กิจการเจริญรุ่งเรืองทุกวี่วัน

หลายเดือนมานี้ชาวบ้านบนถนนใหญ่ในตรอกซอยย่อยต่างถกกันถึงเรื่องนี้ ยามจิบชาหลังอาหารล้วนสนทนาว่าวันนี้ผู้ขันอาสาคนใดล้มเหลวไม่เป็นท่า เงินรางวัลยิ่งเพิ่มมากขึ้นเพียงใด สุดท้ายสนทนาไปสนทนามา แม้แต่บรรพบุรุษแปดชั่วโคตรก็ขุดออกมาพูดถึงด้วย

* ฉื่อ (เชียะ) เป็นหน่วยวัดความยาวของจีน สมัยโบราณเทียบระยะประมาณ 10 นิ้ว หรือหนึ่งส่วนสามเมตร ปัจจุบันยังใช้คำนี้ในความหมายว่า ‘ฟุต’

เมื่อนางได้ยินข่าว จึงวางแผนเข้าช่วยรักษาด้วย

นางคืออวี๋เสี่ยวเถา ก่อนถูกพิษนางคือสาวงามเลื่องชื่อในยุทธภพ กล่าวกันว่ามารดาของนางก็ได้สมญานามว่าเป็นสาวงามอันดับหนึ่งในยุทธภพ และนางก็ได้รับถ่ายทอดความงามเพริศแพร้วจากมารดามาพอดิบพอดี

บิดามารดาของนางถอนตัวเร้นกายจากยุทธภพมานานแล้ว มีบุตรสาวคือนางเพียงคนเดียว จึงรักและถนอมเป็นอย่างยิ่ง มารดานางกล่าวว่าสตรีใดเกิดมางามเฉิดฉันใช่ว่าเป็นเคราะห์ดี ดังนั้นจึงถ่ายทอดศาสตร์โอสถประจำสกุลแก่นาง ด้วยเหตุนี้นางจึงรู้รอบพิษประหลาดพิสดาร

ตอนนั้นนางให้ยาเม็ดหนึ่งแก่ต้วนชิงหลิง ทำให้อาการบรรเทาลงชั่วคราว จึงอาศัยสิ่งนี้เป็นข้อต่อรองกับต้วนฉางยวน

นางต้องใช้โอกาสที่หล่นมาจากสวรรค์นี้เพื่อช่วยชีวิตตนเอง เพราะนางมาที่นี่เพื่อเอาชีวิตรอด

ใช่แล้ว เอาชีวิตรอด หากไม่แต่งให้ต้วนฉางยวน นางอาจถึงแก่ชีวิตได้ มิใช่เพราะรักเขาแทบล้มประดาตาย แต่นอกจากแต่งให้เขาแล้ว นางก็หาวิธีอื่นที่จะถอนพิษราคะในร่างไม่พบ

นางถูกพิษชนิดหนึ่งนามว่า ‘น้ำตาสะกดวิญญาณ’ เป็นพิษราคะที่แพร่มาจากดินแดนซีอวี้* ทำให้กระแสพลังอิน** หนาวสะท้าน จำต้องหาชายผู้ฝึกวิทยายุทธ์ที่มีกระแสพลังหยาง*** แรงกล้ามาเพื่อช่วยถอนพิษ ในเมื่อเป็นพิษราคะ วิธีถอนพิษแน่นอนว่าต้องอาศัยการร่วมอภิรมย์ของบุรุษสตรีมาระงับไอพิษเย็นเยียบในร่างของนาง

เอ่ยถึงบุรุษสตรีร่วมอภิรมย์นางก็หน้าแดง สตรีเยาว์วัยในโลกหล้าล้วนคิดเรื่องคู่ครอง นางซึ่งยังบริสุทธิ์ผุดผ่องก็เคยฝันหวานถึงว่าที่สามีซึ่งจะเข้าหอกับนางเข้าสักวันในอนาคตว่าต้องเป็นบุรุษแสนดีองอาจห้าวหาญ รักใคร่นางอย่างลึกล้ำ อยู่ด้วยกันจนชั่วชีวิต…

ทว่าบัดนี้เกิดเรื่องผิดพลาด นางไม่อาจรอให้บุรุษแสนดีผู้นั้นมาเยือนถึงประตูได้ ก่อนถึงวันขึ้นสิบห้าค่ำซึ่งเป็นคืนพระจันทร์เต็มดวงและเป็นวันสิ้นสุดกำหนด หากนางไม่อาจหาบุรุษที่เหมาะสมมาร่วมอภิรมย์ได้ พิษจะกำเริบจนสิ้นชีวิต ดับสูญไปดั่งความหอมมลายสิ้น หยกงามร่วงหล่นแตกสลาย

ความบริสุทธิ์ของสตรีเป็นเรื่องใหญ่ ต่อให้ถูกพิษก็ต้องตบแต่งก่อนร่วมหอ ดังนั้นนางจึงเลือกต้วนฉางยวน ไม่ว่าจะพิจารณาเงื่อนไขใดเขาล้วนประเสริฐอย่างยิ่ง ให้บังเอิญที่เขากำลังหาคนช่วยชีวิตน้องสาวอยู่พอดี กล่าวได้ว่าช่างประจวบเหมาะทั้งเวลา สถานที่ และตัวบุคคล ซึ่งหมายความว่าทั้งสองช่างมีวาสนาต้องกัน!

ยังมีเหตุผลที่สำคัญอีกประการนั่นก็คือเมื่อพิษราคะในร่างถูกขับออกไปแล้ว นางต้องการสถานที่ปลอดภัยเพื่อหลบซ่อนการตามล่าจากทหารของเหยียนจิ่ว ฉวยโอกาสนี้ฟื้นฟูและบำรุงรักษาร่างกาย ปราสาทเขาชิงอวี้นี้ช่างเหมาะเป็นโพรงให้นางกระต่ายเจ้าเล่ห์เยี่ยงนางซ่อนตัวเสียจริง

เอ่ยถึงเหยียนจิ่วคุณชายแห่งซีอวี้ นางก็เคียดแค้นจนกัดฟันกรอด เหยียนจิ่วคือคุณชายลำดับที่เก้าของสำนักสกุลเหยียนแห่งซีอวี้ สกุลเหยียนแห่งซีอวี้ถือเป็นพรรคใหญ่ในยุทธภพ มิรู้ว่าผู้ใดวาดภาพเหมือนของนาง จนภาพนี้ตกไปสู่เงื้อมมือของเหยียนจิ่ว ทำให้เขามาพบนางเพราะความชื่นชม

เหยียนจิ่วผู้นี้หน้าตาขาวสะอาดเป็นปัญญาชน ต่อหน้านอบน้อมมีมารยาท ดีดพิณไพเราะเพื่อเอาอกเอาใจ ผนวกกับบิดามารดาของนางเสียชีวิตไปเมื่อหนึ่งปีก่อน นางอยู่เพียงลำพัง จู่ๆ ปรากฏบุรุษซึ่งปกป้องดูแลนางดังพี่ชาย ทำให้นางปลดความระแวง ยอมใกล้ชิดเขา ไหนเลยจะคิดว่ารู้หน้าไม่รู้ใจ เมื่อนางปฏิเสธที่จะตบแต่งให้ เขากลับวางยาพิษ ทำทุกวิถีทางให้ได้ตัวนางมา

* ดินแดนซีอวี้ เป็นคำที่ชาวจีนสมัยฮั่นใช้เรียกดินแดนนอกด่านทางตะวันตก ซึ่งได้แก่บริเวณซินเจียงไปจนถึงแถบตะวันออกกลาง

** อิน คือพลังลบ เป็นพลังเพศหญิงมีลักษณะสีดำ พบในทุกสิ่งที่ให้ความหนาวเย็น ความมืด อ่อนนุ่ม ชื้นแฉะ ลึกลับ และเปลี่ยนแปลง

*** หยาง คือพลังบวก เป็นพลังเพศชายมีลักษณะสีแดง พบในทุกสิ่งที่ให้ความอบอุ่น สว่างไสว มั่นคง สดใส

เพื่อระงับมิให้พิษกำเริบ นางกลืนยาพิษที่ปรุงขึ้นเองเพื่อใช้พิษต้านพิษ นับว่าควบคุมพิษราคะไว้ได้ชั่วคราว

สองพิษเชือดเฉือนกันย่อมได้รับบาดเจ็บ กำลังภายในของนางอ่อนแอเกินไปจึงสูญเสียวรยุทธ์ชั่วคราว และยังต้องแลกด้วยรูปโฉมที่แปรเปลี่ยนไปสิ้นเชิง

ด้วยใบหน้าอัปลักษณ์เยี่ยงนี้ จึงได้แต่เพียงใช้กลอุบายบีบให้ต้วนฉางยวนเข้าหอพร้อมนางแล้ว…

“หน้าตาอัปลักษณ์เยี่ยงนี้ยังกล้าให้ท่านประมุขของพวกเรารับเป็นอนุอีก!”

“ไม่ประเมินฐานะของตนเองบ้าง เจ้าคู่ควรหรือ!”

“ช่างหน้าด้านไร้ยางอายเสียจริง!”

เสียงก่นด่าของผู้คนยังดำเนินต่อไป บุรุษผู้นั่งหลังตรงบนที่นั่งประมุขผู้นั้นตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ใบหน้ายังคงเคร่งขรึม โครงหน้าหล่อเหลาคมคาย คิ้วคมเข้มพาดเฉียง จมูกโด่งงุ้มปลายดังจะงอยปากพญาอินทรี ท่ามกลางท่วงท่าเย็นชาแฝงด้วยความลุ่มลึกงามสง่า

ดวงตาดำขลับดั่งท้องฟ้ายามราตรีของเขาคู่นั้นยะเยือกเย็นกว่าเกล็ดหิมะในรัตติกาลแห่งเหมันต์ กระแสคมกริบในแววตาทำให้ผู้คนขวัญหนีดีฝ่อยิ่งกว่าโทสะที่สำแดงอยู่ภายนอก

อวี๋เสี่ยวเถาถูกเขาจ้องจนละอายแก่ใจ หดศีรษะเหมือนลูกเต่าแล้วเบือนหน้าหนี เหงื่อเย็นผุดขึ้นจนแผ่นหลังชุ่มโชก หากให้เขารู้ว่าตนเองคิดจะหลอกใช้เพื่อเก็บพลังหยางมาถอนพิษราคะ คงถูกแยกร่างออกแปดส่วนเป็นแน่!

นี่ก็ไม่น่าแปลกใจ แต่ไหนแต่ไรมามีเพียงบุรุษใช้กำลังแย่งตัวสตรีที่หมายปอง ไหนเลยจะได้ยินว่าสตรีใช้กำลังแย่งตัวบุรุษ และที่สำคัญผู้ถูกแย่งคือประมุขผู้หล่อเหลาไม่ธรรมดาแห่งปราสาทเขาชิงอวี้ บุรุษที่สตรีทั่วโลกหล้านับถือเลื่อมใส ทำให้ทุกคนชิงชังเคืองแค้นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน คิดอยากทำลายนางให้ย่อยยับดับสูญ

เหงื่อเย็นของนางไหลหลั่งอย่างเงียบงัน สะกดจิตตนเองในใจ มองไม่เห็น มองไม่เห็น ข้ามองไม่เห็น…

ขณะที่น้ำลายของทุกคนกำลังทำให้นางสำลักตาย ต้วนฉางยวนก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง ในโถงใหญ่พลันเงียบกริบ ทุกคนรู้ดีว่าท่านประมุขจะให้คำตอบนาง

“ข้าตกลง”

คำสั้นๆ เพียงไม่กี่คำ มั่นคงทรงพลัง ทำให้เกิดเสียงอื้ออึงคัดค้านขึ้นอีกครา

“ไม่ได้เด็ดขาด! ท่านประมุข!”

“หญิงไร้ยางอายเยี่ยงนี้ ไฉนเลยจะเสียเปรียบให้นาง!”

“มิสู้จับกุมนางไว้แล้วเค้นเอาวิธีรักษาจากนาง!”

“ใช่! ใช่! เค้นเอาจากนาง!”

อวี๋เสี่ยวเถาแอบยินดีที่ต้วนฉางยวนตกลง แต่พอได้ยินคำพูดของคนเหล่านั้นก็นึกโกรธกรุ่นอยู่ในใจ ไม่จำเป็นต้องรังแกกันถึงขั้นนี้ก็ได้

อย่าคิดว่ามีเพียงสาวงามที่ใช้รูปโฉมเป็นอาวุธ หญิงอัปลักษณ์ก็กระทำได้ นางเงยหน้าแล้วจ้องผู้คนที่เอ่ยวาจาไม่เป็นศัพท์พลางกุมทรวงอก ออกแรงขมวดคิ้ว

ซีซือกุมอก* ทำให้ผู้คนใจแตกสลาย แต่นางกุมทรวงอกทำให้ผู้คนกระอักโลหิตเจียนตาย

ผู้คนไม่น้อยเมื่อเห็นแล้วต่างสูดหายใจเข้าเสียงดังไม่ขาดสายตามคาด แล้วรีบหลับตาเบือนหน้าหนี แต่ละคนทำท่าพะอืดพะอมราวกับจะอาเจียน

* ซีซือกุมอก หมายถึงหญิงงามแม้ในยามเจ็บปวดก็กลับยิ่งดูงดงาม เป็นสำนวนมาจากตำนานของซีซือ หนึ่งในสี่ยอดหญิงงามซึ่งป่วยเป็นโรคหัวใจ เมื่ออาการกำเริบจะขมวดคิ้วเอามือกุมอกไว้อย่างทรมาน แต่ผู้พบเห็นกลับรู้สึกว่าเป็นภาพที่งดงามชวนมอง

เชอะ! ให้พวกเจ้าสะอิดสะเอียนจนตายไปเลย!

เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้ใครรั้งนางให้ถอยหลัง อวี๋เสี่ยวเถาสำทับอีกประโยคสำคัญว่า

“ทุกท่านอย่าได้บีบคั้นข้าอีกเลย หากบีบคั้นต่อไป ข้าจะแย่งตำแหน่งภรรยาเอก ให้หญิงอื่นเป็นได้แต่เพียงอนุเท่านั้น”

เมื่อทำให้บรรดาบุรุษสะอิดสะเอียนเสร็จสิ้นก็ถึงคราวขู่ขวัญบรรดาสตรีบ้าง ครั้นเอ่ยวาจาออกจากปากไป แต่ละนางต่างหน้าม้าน ใบหน้าแดงก่ำด้วยโทสะ เรี่ยวแรงในการด่าประณามผู้อื่นเริ่มอ่อนลง เกรงกลัวเสียเหลือเกินว่านางจะแย่งตำแหน่งภรรยาเอก ให้พวกนางไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะฝัน

ได้เห็นสตรีพวกนั้นโมโหจนแทบสำลัก อารมณ์ของอวี๋เสี่ยวเถาก็ดีขึ้นไม่น้อย

บัดนี้ต้วนฉางยวนลุกขึ้นยืน เนื่องจากกิริยาเช่นนี้ทำให้ทุกคนสงบเงียบในฉับพลัน บุคคลที่เปี่ยมสง่าราศีอย่างยิ่งก็คือผู้ที่พร้อมด้วยพลังควบคุมความสนใจของทุกผู้คน อวี๋เสี่ยวเถาแอบเลื่อมใสอยู่ในใจอย่างเงียบๆ

“ข้าฉางยวนตัดสินใจแล้ว นี่คือข้อตกลงระหว่างข้ากับนาง ใช้ฐานะอนุภรรยาแลกกับชีวิตของชิงหลิง”

น้ำเสียงก้องกังวานทรงพลังแม้ไม่ดังมาก ทว่ากำลังภายในอันลุ่มลึกส่งให้เสียงกระจายไปทั่วทุกซอกมุมในโถงใหญ่

ในที่สุดประสาทที่เครียดขมึงของอวี๋เสี่ยวเถาก็ได้รับการปลดปล่อย นางลอบระบายลมหายใจเฮือก

“หวังสยง!” ต้วนฉางยวนออกคำสั่งพ่อบ้านใหญ่

“ข้าน้อยอยู่นี่” หวังสยงก้าวมาเบื้องหน้า โค้งกายคำนับ

“จัดพิธีรับอนุภรรยาโดยเร็ว ให้เสร็จสิ้นในวันนี้”

“น้อมรับคำสั่ง”

เมื่อทิ้งคำสั่งแล้วต้วนฉางยวนไม่มองหน้าผู้ใดในโถงใหญ่อีก รีบหมุนกายจากไป หลังเขาจากไปแล้วในโถงใหญ่ก็เต็มไปด้วยเสียงดังระงมขึ้นอีกครา

ต้วนฉางยวนจะรับอนุภรรยาในวันนี้ เรื่องนี้ตัดสินใจแน่วแน่เด็ดขาดแล้ว

ในโถงใหญ่ยังมีคนก่นด่าประณาม บางคนไม่อาจยอมรับการเสียสละของท่านประมุข ที่มากกว่านั้นคือมีคนไม่น้อยแอบถอยออกจากห้องโถง ปล่อยพิราบสื่อสารส่งข่าวคราวออกไป

หลังวันพรุ่งเรื่องนี้คงแพร่ไปทั่วยุทธภพ อวี๋เสี่ยวเถานามอันเหม็นบูดของนางจะเป็นที่รู้จักของทุกคน แต่นางไม่กลัวหรอกเพราะรูปโฉมของนางเป็นของปลอม นามอวี๋เสี่ยวเถานี้ก็เป็นนามปลอมด้วย ฮ่าๆ…

อวี๋เสี่ยวเถาถูกพาไปยังลานบ้านส่วนใน ห่างจากโถงใหญ่สถานที่แห่งความขัดแย้ง เมื่อออกจากโถงใหญ่ ก้าวข้ามประตูโค้งซึ่งเชื่อมต่อไปยังลานบ้านส่วนใน เสียงอื้ออึงเสียดหูของผู้คนก็ค่อยๆ ห่างออกไป

อวี๋เสี่ยวเถาก้าวตามคนรับใช้ผู้นำทางอยู่เบื้องหน้า รู้ดีว่าตนเองยังมิอาจผ่อนคลายความระแวดระวัง แม้ต้วนฉางยวนจะรับปากนางแล้ว แต่ก็ต้องป้องกันมิให้เกิดเรื่องไม่คาดคิด

นางมิได้มองข้ามความดุดันในดวงตาของต้วนฉางยวน นับจากนี้ไปทุกย่างก้าวของนางต้องเดินอย่างระมัดระวัง เพราะนางไม่เคยดูเบาต้วนฉางยวน ข่มขู่เขาย่อมต้องสูญเสียบางอย่างเป็นการตอบแทน

ดังนั้นนางต้องระวังให้มาก ระวังอย่างยิ่ง โดยเฉพาะคืนแห่งเทียนมงคลในห้องหอคืนนี้…คิดมาถึงตรงนี้นางก็หน้าแดงขึ้นอีกครา…

แม้ต้วนฉางยวนจะเป็นจอมยุทธ์ ต้องเป็นตัวอย่างจอมยุทธ์พูดจริงทำจริง แต่พอตกปากรับคำแล้วกลับเลือกใช้พิธีรับอนุภรรยาอย่างรีบร้อน

ในสภาพที่ถูกบีบให้รับอนุภรรยาย่อมไม่จัดการอย่างใส่ใจเป็นแน่ เพียงแขวนผ้าแดงพอเป็นพิธีและกำหนดให้แขวนเฉพาะบริเวณ ‘เรือนเซียงสุ่ย (แม่น้ำเซียง)’ เท่านั้น ที่นี่คือสถานที่ที่เขาให้นางพำนัก

แม้แต่ฤกษ์ยามก็งดเว้นเสีย หลังเตรียมการอย่างขอไปทีแล้วก็ให้คนหามเกี้ยวมารับนางเข้าไป ถือว่ารับอนุภรรยาเสร็จสิ้น

อวี๋เสี่ยวเถาซึ่งนั่งอยู่บนเตียงในห้องใหม่ไม่รอให้เจ้าบ่าวเป็นผู้เปิดผ้าคลุมหน้า จัดแจงปลดผ้าคลุมหน้าออกเอง

การกระทำของนางเยี่ยงนี้ทำให้หรูฉิงและหรูอี้สองสาวใช้ซึ่งมีหน้าที่ปรนนิบัติดูแลต่างตกตะลึง

“แม่นาง เจ้าห้ามปลดผ้าคลุมหน้าออก”

“นี่ไม่ถูกขนบธรรมเนียม”

สองสาวใช้เอ่ยปากเตือนนาง แม้เป็นการเตือนแต่น้ำเสียงเย็นชาอย่างยิ่ง สำหรับอนุภรรยาคนใหม่นี้พวกนางย่อมไม่ศิโรราบให้

อวี๋เสี่ยวเถาเก็บความดูแคลนบนใบหน้าของพวกสาวใช้ไว้ในสายตา รู้แน่แก่ใจว่าตัวนางคงเป็นศัตรูร่วมของสตรีทั่วหล้าไปเสียแล้ว

ต้วนฉางยวนเป็นที่เลื่อมใสจากทุกคน คนผู้นี้อายุสิบหกก็เป็นผู้นำนักรบผู้ไม่เกรงกลัวความตายแห่งปราสาทเขาบุกทำลายล้างโจรร้ายที่ปิดล้อมหุบเขา อายุสิบเจ็ดกวาดล้างลัทธิมารซึ่งใช้ศาสนาบังหน้าหลอกลวงชาวบ้าน อายุสิบแปดกระทำเพื่อราชสำนักด้วยการเป็นหัวหอกนำบริวารช่วงชิงเสบียงและสารลับจากพวกหมาน* ทางเหนือ ยับยั้งการรุกรานของพวกหมานได้สำเร็จ

เขาองอาจห้าวหาญเชี่ยวชาญกลยุทธ์ ใจกล้าแต่ละเอียดอ่อน โอบอ้อมอารีต่อผู้อื่น กระทำการใดเป็นระบบระเบียบ แม้สนิทสนมกับผู้มีอำนาจราชศักดิ์ในราชสำนัก แต่ไม่ยอมเป็นขุนนางเด็ดขาด วางตัวเป็นกลางอยู่เหนือข้อพิพาทใดๆ ขอเพียงเกี่ยวพันถึงผลประโยชน์แห่งราษฎรทั่วหล้า เขาย่อมไม่ปฏิเสธด้วยเห็นแก่คุณธรรม หลังเสร็จสิ้นภารกิจกลับไม่ถือตนว่ามีความดีความชอบ ถอนตัวกลับคืนยุทธภพ ปฏิบัติตามโอวาทของบรรพบุรุษ ทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ใส่ใจความทุกข์ของผู้คนในใต้หล้า

หลังเขาเข้าพิธีสวมหมวก* แล้วก็รับตำแหน่งประมุขจากบิดามาอย่างเป็นทางการ ประมุขคนก่อนพาฮูหยินเร้นกายจากยุทธภพ มอบเรื่องใหญ่ทุกอย่างภายในปราสาทเขาให้บุตรชายคนโตดูแล ต้วนฉางเหวินน้องรองและต้วนฉางอู่น้องสามซึ่งเป็นประมุขรองและประมุขสามกลายเป็นผู้ช่วยสำคัญเคียงข้างเขา คอยจัดการดูแลเรื่องต่างๆ ในปราสาทเขา

นี่เป็นเพียงคุณูปการด้านหน้าที่การงานเพียงเท่านั้น เล่าขานกันว่าด้านอารมณ์และจิตใจเขายิ่งเป็นหนึ่งไม่เป็นรองใคร เขาเอ่ยอย่างกระจ่างชัดแจ้งแล้วว่าชั่วชีวิตนี้ขอแต่งกับสตรีที่เขาเลื่อมใสเท่านั้น ไม่แต่งเพื่อผูกสัมพันธ์ฉันญาติ ไม่รับอนุภรรยา ขอตัดสินเรื่องการแต่งงานด้วยตัวเขาเอง คำประกาศนี้กลายเป็นที่โจษจันในยุทธภพ คุณูปการของเขาเป็นที่แซ่ซ้อง การตัดสินใจเรื่องคู่ครองยิ่งทำให้เขากลายเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งในใจของสตรีทั่วบ้านทั่วเมือง

ลองคิดดู บุรุษผู้พร้อมด้วยทรัพย์และอำนาจผู้ใดบ้างไม่มีภรรยาสามอนุสี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุรุษที่คุณูปการหาใช่สามัญ มีภรรยาสามอนุสี่เพื่อแตกกิ่งก้านขยายใบ ยิ่งมีลูกหลานมากย่อมเป็นสิริมงคลมาก แต่เขากลับปฏิบัติในทางกลับกัน คิดเพียงได้ครองคู่กับสตรีที่เขารักอย่างลึกซึ้งเพียงผู้เดียว

* พวกหมาน เป็นคำเรียกชนเผ่ารอบนอกที่ไม่ใช่ชาวฮั่น หมายถึงพวกป่าเถื่อน ไร้อารยะ

* พิธีสวมหมวก ชาวจีนในสมัยโบราณเมื่อผู้ชายอายุครบยี่สิบต้องเข้าพิธีสวมหมวกเพื่อแสดงถึงความเป็นผู้ใหญ่

ต้วนฉางยวนยิ่งแสดงท่าทีว่าผู้รับตำแหน่งประมุขแห่งปราสาทเขาในภายภาคหน้าไม่จำเป็นต้องมาจากผู้สืบสายจากภรรยาเอกของเขา แต่จะคัดเลือกผู้ที่มีความสามารถมีคุณธรรมจากบรรดาลูกหลานสกุลต้วนให้เป็นผู้สืบทอดของปราสาทเขา

ผู้ที่องอาจกล้าหาญเชี่ยวชาญกลยุทธ์ มีจิตใจกว้างขวางเยี่ยงนี้ช่างสมบูรณ์แบบเสียนี่กระไร

แต่บุรุษสมบูรณ์แบบถึงเพียงนี้กลับต้องแหวกกฎเกณฑ์เพราะนาง ถูกบีบจนต้องรับนางเป็นอนุ สำหรับผู้คนทั่วบ้านทั่วเมืองแล้ว อวี๋เสี่ยวเถานางคือนางโจรที่ไม่รู้จักยางอาย

อวี๋เสี่ยวเถาไม่แยแสคำเตือนของพวกสาวใช้ ลุกขึ้นยืนแล้วมองปราดการตกแต่งภายในห้องนี้ ที่นี่คือสถานที่ที่นางต้องอยู่ต่อไปในวันหน้า ภารกิจแรกก็คือทำความรู้จักสภาพแวดล้อมเสียก่อน

เมื่อมั่นใจว่าสำรวจทุกซอกทุกมุมแล้วก็หยิบห่อสัมภาระของตนเองออกมา ห่อสัมภาระนี้คือ ‘สินเดิม’ ของนาง

หยิบผ้าคลุมบางออกจากห่อสัมภาระสวมทับลงบนใบหน้า ผ้าคลุมหน้านี้นางตระเตรียมไว้นานแล้ว นางสวมมันเพื่อปิดบังรูปโฉมอัปลักษณ์ เผยเพียงสองตาเพื่อสะดวกในการมอง

เมื่อสวมผ้าคลุมหน้าเรียบร้อย นางก็หมุนกายก้าวไปยังประตูห้อง เห็นได้อย่างชัดแจ้งว่าจะออกไปด้านนอก สองสาวใช้เห็นเข้าก็รีบขวางไว้

“เจ้าห้ามออกไป”

“ทำไมเล่า”

ทำไมหรือ นี่ยังต้องถามอีกรึ

เจ้าสาวควรอยู่รั้งภายในห้องหออย่างสงบเสงี่ยมเพื่อรอเจ้าบ่าวเข้าห้องมาเปิดผ้าคลุมหน้ามิใช่หรือ นางไม่อยู่บนเตียงอย่างว่าง่าย เปิดผ้าคลุมหน้าด้วยตนเองก็ช่างเถิด แต่จะออกจากห้องด้วยหรือ

“ไม่ถูกขนบประเพณี” หรูอี้เอ่ยขึ้น น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเย็นชาและเหลืออด สตรีผู้นี้ช่างบังอาจเสียเหลือเกิน

อวี๋เสี่ยวเถายิ้มตอบนางว่า “พวกเจ้าวางใจ หากไม่ถึงยามราตรีท่านประมุขไม่มีทางมาหรอก ตอนนี้ฟ้ายังสว่างจ้าคาตาอยู่ ให้นั่งเหี่ยวแห้งอยู่ในห้องมิสู้ออกไปรับอากาศ ส่วนพิธีการนี้ก็ไม่ต้องเน้นหนัก ข้าไม่ถือสา เชื่อว่าท่านประมุขของพวกเจ้ายิ่งไม่ถือสา”

พูดจบอวี๋เสี่ยวเถาก็อ้อมผ่านพวกนางก้าวข้ามไปเปิดประตูด้วยตนเอง สองสาวใช้ต่างตะลึงงัน รีบเร่งติดตามไป เข้าขวางอยู่ตรงหน้านางอีกครา

“เจ้าห้ามออกไปเถลไถล ในฐานะอนุภรรยาของท่านประมุขหากให้ผู้อื่นเห็นว่าเจ้าไม่ยึดถือประเพณีเยี่ยงนี้ ย่อมทำให้ท่านประมุขของพวกเราขายหน้า”

ท่านประมุขถูกนางผู้นี้บีบให้รับเป็นอนุภรรยาก็เป็นเรื่องน่าอัปยศอดสูเพียงพอแล้ว บัดนี้ยังไม่ปฏิบัติตามประเพณีอีก ช่างไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตาเอาเสียเลย

เผชิญหน้ากับความโกรธของสองสาวใช้ อวี๋เสี่ยวเถายังคงแย้มยิ้ม ตอบพวกนางอย่างไม่รีบไม่ร้อน

“หากข้าเดาไม่ผิดเรือนเซียงสุ่ยแห่งนี้น่าจะตั้งอยู่ในที่ลับตาผู้คนที่สุดในปราสาทเขา ท่านประมุขของพวกเจ้าถูกบีบให้รับข้าเป็นอนุอย่างไม่เต็มอกเต็มใจ คาดว่าคงจัดข้าให้อยู่ในที่ที่ห่างจากเขามากที่สุด นับจากนี้ไปขอเพียงดวงตาไม่แลเห็นถือว่าสะอาด จึงเอาข้ามาเลี้ยงทิ้งไว้ที่นี่”

พอได้สดับคำพูดของนางเยี่ยงนี้ ทั้งสองสาวใช้ต่างเงียบงันไร้วาจา ดั่งยอมรับกลายๆ อวี๋เสี่ยวเถาเม้มปากยกยิ้ม จากนั้นก็เอ่ยต่อว่า “ต่อให้ข้าเดินเตร่อย่างไรก็ไม่พ้นลานบ้านส่วนหลัง อีกอย่างท่านประมุขไม่ได้จัดงานเลี้ยงเชิญแขกเหรื่อ ไม่ต้องกังวลว่าข้าจะพบใครเข้าสักนิด พวกเจ้าว่าใช่หรือไม่”

ถ้อยคำสุดท้ายทำให้สองสาวใช้ชาวาบ คาดไม่ถึงว่าอวี๋เสี่ยวเถาจะเดาถูก ท่านประมุขไม่มีความคิดจะรับนางเป็นอนุภรรยาแม้เพียงนิด ในเมื่อถูกนางบีบให้รับเป็นอนุภรรยา ไยต้องจัดงานเลี้ยงเชื้อเชิญแขกเหรื่อ เอ่ยแทงใจดำก็คือเป็นเพียงใช้พิธีการอย่างเรียบง่ายจัดวางนางไว้ที่ลานบ้านส่วนหลังเพื่อแลกเปลี่ยนกับยาของนาง

อวี๋เสี่ยวเถาเชื่อว่าในใจของต้วนฉางยวนไม่ยอมรับนางสักนิด ถือว่านี่คือการแลกเปลี่ยนทางการค้าเพียงเท่านั้น

หรูอี้ร้องฮึ “เจ้าก็รู้ตัวดีนี่”

“พวกเราตกลงกันเถิด ข้ารู้ว่าพวกเจ้าถูกส่งมาที่ลานบ้านแห่งนี้ ในใจย่อมไม่ยินยอมอย่างแน่แท้ ส่วนข้านั้นขอเพียงมีที่ซุกหัวนอนเป็นหลักแหล่ง ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องคิดว่าข้าเป็นฮูหยินรอง ให้ถือเสียว่าข้าเป็นแขก! ไม่ว่าอย่างไรข้าและท่านประมุขของพวกเจ้ายังมีการค้าต้องเจรจากันอีก คุณหนูใหญ่ของพวกเจ้ารอข้ารักษาอยู่” ไม่รอให้พวกสาวใช้แสดงอากัปกิริยาใดๆ นางอ้อมผ่านสาวใช้ทั้งสองอีกคราเพื่อเดินเตร่ด้วยตนเอง

หรูฉิงและหรูอี้สบตากันปราดหนึ่ง คิดในใจว่าที่เอ่ยมาก็มีเหตุผล ขอเพียงไม่ออกจากลานหลังบ้านนี้ก็พอ พวกนางเองก็คร้านจะทำตาโตจ้องเขม็งอยู่ภายในห้อง

อวี๋เสี่ยวเถาเห็นว่าสาวใช้ทั้งสองเพียงเดินตาม ไม่ห้ามปรามอีก มุมปากจึงฉายยิ้มอ่อนบาง ท่าทีของข้ารับใช้สะท้อนถึงความคิดจิตใจของเจ้านาย นางเข้าใจกระจ่างด้วยเหตุนี้

ที่นางเลือกเป็นเพียงอนุภรรยาของต้วนฉางยวน ไม่เป็นภรรยาเอกเพราะเหตุผลที่สำคัญอีกประการหนึ่ง นั่นคือสถานะอนุภรรยาจะร้องขอจากไปได้ทุกเมื่อ หากในช่วงที่นางพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บ ต้วนฉางยวนยินยอมดีต่อนาง นางก็รั้งอยู่ต่อ หากเขาไม่ดีต่อนาง นางก็จะจากไป

นางชื่นชมลานบ้านไปพลาง พิจารณาสิ่งปลูกสร้างและภูมิลักษณะของที่นี่ไปพลาง คิดจะรู้ให้แน่ชัดว่าบริเวณที่ตนเองเคลื่อนไหวได้มีขนาดกว้างเพียงใด เช่นนี้ดีต่อการจัดวางทางหนีทีไล่ของนางเอง

บุรุษผู้ปกครองสมุนบริวารหลายพันคนในปราสาทเขา บุกทลายรังโจร ช่วงชิงเสบียงจากเผ่าหมานทางตอนเหนือ แต่ผู้สามารถก่อการใหญ่ย่อมใช้วิธีการผิดมนุษย์อยู่บ้าง ถึงคงสัมพันธ์อันดีกับผู้มีอำนาจราชศักดิ์ในราชสำนักและรักษาฐานะอยู่เหนือข้อพิพาทใดๆ ได้ ตามรูปการณ์แล้วใช่จะต่อกรได้ง่าย

คิดถึงคืนแห่งเทียนมงคลในห้องหอ นางก็กำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ รีบสูดหายใจเข้าออกลึกๆ เพื่อปลุกปลอบตนเองว่ากว่าจะก้าวมาถึงขั้นนี้ไม่ง่ายเลย นางต้องยืนหยัดต่อไป

ใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วยามถึงเดินสำรวจได้รอบลานส่วนหลัง นางก้าวต่อไปยังหุบเขาด้านหลัง

“แม่นางกรุณายั้งฝีเท้าด้วย”

อวี๋เสี่ยวเถาหันกลับไปมองหรูฉิงผู้เอ่ยปากห้าม “อย่างไรกัน เขาด้านหลังไปไม่ได้หรือ”

“ที่นั่นคือสถานที่ล่าสัตว์ส่วนตัวของท่านประมุข หากไม่ได้รับอนุญาตจากท่านประมุขก็เข้าไปไม่ได้” หรูฉิงเอ่ยอธิบาย

“อ้อ?” ดวงตาของนางส่องประกาย มองไปทางหุบเขาด้านหลัง ที่แท้ยังมีเขาด้านหลัง ช่างประเสริฐเหลือเกิน ต้องหาโอกาสลองเข้าไปเดินชมให้ได้

เมื่อจิตใจตั้งมั่นแล้ว หลังทำความเข้าใจพอคร่าวๆ ถึงความกว้างใหญ่ของบริเวณที่ถูกกักขังในวันหน้า นางก็ไม่ทำให้สาวใช้ลำบากใจ หมุนตัวเดินกลับไปยังเรือนเซียงสุ่ย

กลับมาถึงในห้อง สีฟ้าเริ่มมืดมิด โคมไฟบริเวณโดยรอบถูกจุดขึ้น

นางถามสาวใช้ “ข้าหิวแล้ว เมื่อใดถึงกินอาหารได้”

“แม่นางอดทนไว้ก่อน พิธีการยังไม่เสร็จสิ้น เจ้าสาวหาอะไรกินประทังหิวมีที่ไหนกัน”

หมายความว่าไม่มีอะไรให้กิน พวกนางจงใจให้อวี๋เสี่ยวเถาหิวจนท้องกิ่ว

อวี๋เสี่ยวเถาไม่โกรธ กุมศีรษะแสร้งทำท่าอ่อนล้า “ข้าคนนี้ทนหิวไม่ได้ พอหิวแล้วก็วิงเวียนตาลาย พอวิงเวียนแล้วก็ลืมวิธีช่วยคุณหนูใหญ่…”

“ประเดี๋ยวจะให้ทางครัวส่งอาหารมาให้” หรูอี้กัดฟันพูด

“เช่นนั้นก็รบกวนเจ้าทั้งสองช่วยแจ้งให้ด้วย” นางปล่อยมือที่กุมศีรษะลง ยิ้มหยดย้อย หมุนตัวกลับไปนั่งลงบนเตียง เอนตัวลงนอนรออย่างสบาย

หรูฉิงและหรูอี้จ้องนางเขม็ง หากมิใช่เพื่อคุณหนูใหญ่ เกรงว่าจะทำให้เสียการ ทั้งสองปรารถนาจะตบนางผู้นี้สักฉาด

หรูอี้หมุนตัวเพื่อไปกำชับพ่อครัว ส่วนหรูฉิงอยู่จับจ้องสตรีผู้นี้ นางและหรูอี้ไม่ไว้หน้าสตรีผู้นี้อย่างเด็ดขาด พวกนางปฏิบัติตามคำสั่งของท่านประมุขเท่านั้น ให้อวี๋เสี่ยวเถาได้กินดีอยู่ดี ถือเสียว่าเลี้ยงสุนัขไว้ตัวหนึ่ง! คิดมาถึงตรงนี้หรูฉิงแสยะยิ้มเย็นชาออกมาคราหนึ่ง

ไม่นานนักอาหารก็ส่งเข้ามา จัดวางมาเพียงชามหนึ่งใบตะเกียบหนึ่งคู่ เห็นได้ชัดว่าให้นางกินข้าวเพียงลำพัง ท่านประมุขไม่มาร่วมด้วย อวี๋เสี่ยวเถามองแวบหนึ่ง พลางก้มหน้าลงไปดม จากนั้นหยิบขวดใบหนึ่งออกจากห่อสัมภาระ เทผงในขวดลงไปในข้าวและกับข้าว แล้วใช้ตะเกียบคลุกเคล้าอยู่พักหนึ่งก่อนพินิจอย่างละเอียด นั่งรออยู่อีกครู่ใหญ่ถึงเริ่มลงมือกินข้าว

การกระทำแปลกประหลาดของนางทำให้สองสาวใช้รู้สึกแปลกใจ หรูอี้อดถามไม่ได้ว่า “เจ้าทำอะไรน่ะ”

“ปรุงรสอย่างไรเล่า!” อวี๋เสี่ยวเถาตอบอย่างไม่ยินดียินร้าย

ใบหน้าของสาวใช้ทั้งสองสาดประกายเย็นชา มีแต่คนบ้านนอกถึงปรุงรสในอาหารเพิ่ม

อวี๋เสี่ยวเถาไม่ใส่ใจการดูแคลน ที่นางเพิ่มลงไปในอาหารแท้จริงแล้วมิใช่เครื่องปรุงรส แต่เป็นยาถอนพิษ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเล่นลูกไม้อะไรบนตะเกียบ ชามหรือในอาหาร ขอเพียงโปรยผงยานี้ก็ถอนพิษได้ราบคาบ นี่เป็นตำรับลับประจำสกุลของนางทีเดียว

นับแต่ถูกพิษของเหยียนจิ่ว ไม่ว่านางกระทำการใดล้วนยิ่งระแวดระวัง นางศึกษาเรื่องยามาตั้งแต่เล็ก จมูกไวดังจมูกสุนัข ยาไร้รสไร้สีใดๆ บนพื้นพิภพเป็นเพราะจมูกของคนทั่วไปไม่ได้กลิ่นเพียงเท่านั้น สรรพสิ่งล้วนมีกลิ่น จมูกของนางสามารถแยกแยะกลิ่นที่มนุษย์บนโลกแยกแยะไม่ได้ คราวนั้นเป็นเพราะป่วยจากกระแสลมเย็น นางจึงดมกลิ่นยาที่เหยียนจิ่ววางไม่ออก หลังผ่านเรื่องนั้นมาแล้วนางจึงโปรยผงยานี้ไว้บนอาหารจนเคยชิน

เมื่อดื่มกินอาหารเสร็จสิ้นจนอิ่มหนำ นางก็ออกคำสั่งกับสองสาวใช้อีกครา “ข้าจะอาบน้ำ”

สองสาวใช้ไม่ออกความเห็นอะไรมาก อาจเพราะรู้ว่าค้านไปก็ไม่มีประโยชน์ สุดท้ายก็จะถูกนางยกเอาคุณหนูใหญ่มาเป็นข้ออ้างเพื่อข่มขู่อีก ดังนั้นจึงยอมรับชะตากรรมพานางไปยังห้องอาบน้ำ แน่นอนทั้งสองสาวใช้ไม่ปรนนิบัตินาง นางเองก็ไม่เห็นเป็นเรื่องแปลก

หลังอาบน้ำแล้วนางสวมเสื้อตัวหลวม จากห้องอาบน้ำเมื่อเดินกลับมาถึงห้อง เพียงแวบเดียวนางก็รู้ว่าห่อสัมภาระถูกรื้อค้น มุมปากฉีกยิ้มด้วยปรายตามองก็เข้าใจ

นางใช้ผ้าผืนใหญ่เช็ดผม แล้วถอนหายใจเอ่ยแก่พวกนางว่า “ลืมบอกพวกเจ้าไป ยารักษาคุณหนูใหญ่ยังไม่ได้ปรุง พวกเจ้าหาไม่พบหรอก และด้วยเหตุนี้ท่านประมุขถึงได้ตกปากรับคำขอของข้า ขอเพียงคืนนี้เขาเข้าหอกับข้า ข้าจะช่วยปรุงยาให้คุณหนูใหญ่”

สีหน้าของหรูฉิงและหรูอี้ซีดเผือดดังซากศพ พวกนางฉวยโอกาสยามที่อวี๋เสี่ยวเถาอาบน้ำ คนหนึ่งไปรื้อค้นห่อสัมภาระ ส่วนอีกคนติดตามอวี๋เสี่ยวเถา เมื่อนางถอดเสื้อผ้าออกหมดแล้วก็ฉวยโอกาสพลิกหา คาดไม่ถึงว่าผู้อื่นรู้ซึ้งถึงแผนการของพวกนางทั้งหมดทั้งสิ้น

อวี๋เสี่ยวเถาเอ่ยอีกว่า “ยังมีอีก ช่วยบอกท่านประมุขด้วย อย่าวางยาในอาหารของข้าอีก เขาเองก็รู้ดีว่าจะมาไม้แข็งหรือไม้อ่อนก็ไร้หนทางบังคับข้าให้มอบยารักษา ถึงได้ตกลงรับข้าเป็นอนุ เรื่องมาถึงขั้นนี้ ก็ร่วมมือกระทำตามเงื่อนไขของพวกเราเถิด!”

วาจานี้พอเอ่ยออกไป ทั้งสองคนต่างเงียบงันจนด้วยคำพูด ได้แต่เพียงยิ่งมองนางอย่างแค้นเคือง

อวี๋เสี่ยวเถาถอนหายใจ เตือนพวกนางด้วยความหวังดี “ข้าไม่ถูกพิษ แต่พวกเจ้ารื้อค้นข้าวของส่วนตัวของข้า กลับถูกพิษของข้าเข้าเสียแล้ว”

จนถึงยามนี้ ในที่สุดสีหน้าของสาวใช้ทั้งสองก็แปรเปลี่ยนไป

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

หน้าที่แล้ว1 of 10

Comments

comments

Jamsai Editor: