X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักย้อนกาลสารทวสันต์

ทดลองอ่านนิยาย ย้อนกาลสารทวสันต์ เล่ม 1 บทที่ 5 – บทที่ 6

บทที่ห้า ปราบยง

 

เชียนโม่มองคนอารมณ์ไม่อยู่กับร่องกับรอยผู้นี้ จำต้องเดินเข้าไปนั่งลงที่ข้างกายเขา ยื่นมือไปตรวจอุณหภูมิของร่างกายให้

แตะลงไปครั้งแรก หน้าผากของเขาค่อนข้างเย็น เชียนโม่ใช้มืออีกข้างหนึ่งทดสอบที่หน้าผากตนเอง ผ่านไปครู่หนึ่งเมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีอะไรแตกต่างก็เอามือออก

“ต้าหวังตัวไม่ร้อน หากรู้สึกหนักศีรษะ คงเพราะเพิ่งหายป่วยร่างกายยังอ่อนแอ ทั้งมีเรื่องให้ห่วงกังวลมากจึงได้เป็นเช่นนี้” เชียนโม่พูดไปเรื่อยเปื่อยตามความเข้าใจของตนเอง

ฉู่หวังแค่นเสียงฮึออกมาคำหนึ่ง ไม่รู้หมายถึงไม่มีค่าควรแก่การใส่ใจหรือหมายถึงรู้แล้ว

เชียนโม่เห็นเขาหลับตาก็คิดว่าเขาคงต้องการพักผ่อน จึงค่อยๆ ขยับตัวออกจะลุกขึ้น

“ปู่กับย่าของเจ้า คนหนึ่งรู้จักพูดเหตุผล คนหนึ่งรู้จักรักษาโรค นับว่าน่าสนใจยิ่ง” จู่ๆ ฉู่หวังก็เอ่ยขึ้น “พวกเจ้าอยู่ด้วยกันหรือ”

เชียนโม่เห็นเขาลืมตาขึ้นมาอีก จำต้องพูดขึ้น “เพคะ พวกท่านเลี้ยงข้าโตมา”

“พ่อแม่ของเจ้าเล่า”

เชียนโม่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “พวกท่านต่างมีบ้านของตน”

ฉู่หวังประหลาดใจ รู้สึกสนใจขึ้นมา

“พ่อแม่ของเจ้าไม่ปรองดองกัน ต่างแต่งงานใหม่ พ่อของเจ้ากระทั่งเจ้าก็ไม่เลี้ยงดู มอบเจ้าให้กับปู่ย่าหรือ” เขาถาม

“ก็ไม่ใช่ไม่เลี้ยง” เชียนโม่กล่าว “เพียงแต่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน”

“เขาไม่ชอบเจ้าหรือ”

“ไม่ใช่” เชียนโม่ตอบ “เขาแต่งงานใหม่ มีลูกสาวลูกชาย ข้าไม่ชอบอยู่ด้วยกันกับพวกเขา”

ฉู่หวังยิ่งประหลาดใจมากขึ้น มองเชียนโม่แล้วก็ยิ่งไม่อาจเข้าใจ เจ้าผู้ครองแคว้นทั้งหลายในเขตจงหยวนต่างบอกว่าพวกเขาคนฉู่ไม่มีระเบียบแบบแผนธรรมเนียมประเพณี เขาเคยรู้สึกว่านี่คือข้อบกพร่อง แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเวลานี้กลับมาพบเรื่องที่ไม่มีระเบียบแบบแผนยิ่งกว่า

“ดูเจ้าก็ไม่คล้ายชาวบ้านทั่วไป พ่อของเจ้าต้องเป็นผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ ถึงกับยอมให้บุตรธิดาทำตามอำเภอใจเช่นนี้หรือ” เขาย่นหัวคิ้ว “ปู่ของเจ้าก็ไม่มีข้อคิดเห็นแย้งหรือ ผู้ใหญ่ในวงศ์สกุลก็ไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยหรือ”

เชียนโม่หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ไม่มี ปู่กับย่าของข้าต่างชอบข้ามาก คนอื่นก็ไม่มีใครมายุ่งด้วย” เธอไม่คิดจะอธิบายอะไรกับเขาอีก จึงว่า “ต้าหวัง ประเพณีของพวกเราทางโน้นเป็นเช่นนี้ จะใช้ชีวิตเช่นไร ไม่มีรูปแบบตายตัว”

ฉู่หวังสีหน้าท่าทางดูประหลาดใจมาก ผ่านไปครู่หนึ่งก็ถอนสายตากลับ

“ออกไปเถิด” เขาเอ่ยเสียงเรียบแล้วหลับตาลง

 

ฉู่หวังมีคำสั่งให้โต้วเจียวกับจื่อเป้ยนำกองกำลังทหารและรถศึกเคลื่อนทัพไปตามเส้นทางหลัก คนหนึ่งไปสือซี คนหนึ่งไปเริ่น กำลังพลที่เหลือติดตามฉู่หวังไปซุ่มซ่อนตัวอยู่ในป่าลึกของเมืองจวี้ซื่อชั่วคราว

ท้องทุ่งป่าเขารอบด้านตรวจดูแล้วไม่มีผู้คนอยู่อาศัย ต้นไม้สูงใหญ่สามารถบดบังร่องรอยทั้งหมด ชาวฉู่เดิมก็ใช้ชีวิตอยู่ในป่าเขาลำน้ำอยู่แล้ว จึงไม่หวาดกลัวต่อสภาพแวดล้อมเช่นป่าดงดิบเช่นนี้

พวกเขาตั้งค่ายที่พัก ตัดต้นไม้มาสร้างที่พักชั่วคราว ทำเป็นเพิงไม้ง่ายๆ คล้ายที่เคยเห็นที่ถงซาน เสบียงกรังของพวกเขาขาดแคลน ในป่าแห่งนี้กลับเหมือนคลังอาหารธรรมชาติ ทุกวันทหารที่ออกไปล่าสัตว์ก็จะแบกสัตว์ต่างๆ ที่ล่าได้กลับมา มีกวาง มีหมูป่า ยังมีสัตว์อื่นๆ ที่เรียกชื่อไม่ถูก เชียนโม่กินเนื้อสัตว์ที่ย่างสุก ในใจกลับคาดเดาไปว่านี่เป็นสัตว์สงวนระดับไหนกันหนอ

ฉู่หวังแม้จะเพิ่งหายจากการล้มป่วย แต่ก็ยังแสดงฝีมือออกมาให้ประจักษ์ เชียนโม่เห็นเขาหยิบธนูและคันศรเดินไปที่ริมทะเลสาบ ตอนกลับมา ผู้ติดตามก็หิ้วเป็ดป่าตัวอ้วนมาด้วยหลายตัว

จย่าเองก็มีความสามารถ จับงูบนต้นไม้มาได้ตัวหนึ่งแล้วถลกหนังอย่างชำนิชำนาญ โยนลงไปในหม้อดินเผาทำน้ำแกง เขาใจกว้างตักมาให้เชียนโม่กิน เชียนโม่กระโดดหนีด้วยสีหน้าหวาดกลัว จย่ามองนางด้วยความแปลกใจ ท่าทางดูเสียใจ

ในกองทัพฉู่ คนที่อ่อนแอที่สุดคงหนีไม่พ้นเชียนโม่

เธอไม่มีทักษะใดๆ ในการล่าสัตว์ อีกทั้งมีความหวาดกลัวโดยธรรมชาติต่อแมลงหนอนและสัตว์เลื้อยคลานทุกชนิด ทั้งยังเคยถูกมดฝูงหนึ่งที่แบกซากกบเน่าเปื่อยทำให้ตกใจกรีดร้องเสียงดังมาแล้ว

คนรอบข้างอดมองท่าทางเช่นนี้ของเธอด้วยสีหน้าดูถูกดูแคลนไม่ได้ ทหารซุกซนคนหนึ่งยังจงใจเอาหนอนแก้วมาวางบนเสื้อของเธอ กว่าเชียนโม่จะรู้ตัว หนอนแก้วก็คลานไปถึงคอเสื้อแล้ว เธอตกใจกลัวจนแทบจะร้องไห้ออกมา

ฉู่หวังได้ยินเสียงก็เดินออกจากกระโจมมา เห็นเชียนโม่หลบอยู่หลังจย่าตาแดงก่ำก็ทั้งขำทั้งจนปัญญา ทหารผู้นั้นไม่คิดว่าจะทำให้ฉู่หวังตกใจ ถูกเขากวาดสายตามองมาก็รีบฟุบลงหมอบกราบกับพื้นขออภัยโทษ ฉู่หวังเอ่ยออกมาคำเดียว “ไม่มีครั้งหน้าอีก” แล้วก็ให้คนที่มาชมเรื่องสนุกแยกย้ายกันไป

“เจ้าไม่ใช่บอกว่ามาจากทางใต้หรือ เหตุใดจึงกลัวหนอนยิ่งกว่าคนฉู่อีกเล่า” กลับเข้ามาในกระโจม เขาก็ถามขึ้น

เชียนโม่ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี ได้แต่ทำตาปริบๆ

ฉู่หวังเคยชินกับเรื่องมากมายที่หญิงผู้นี้อธิบายไม่ได้แล้วก็ไม่สนใจนางอีก ให้นางไปยกน้ำมา ตนเองก็นั่งลงบนตั่ง ผ่านไปไม่นานพอเขาชำเลืองตามองไปอีกครั้งก็พบว่านางเอาแต่เกาคอ

“เป็นอะไรไป” เขาถาม

“ไม่เป็นไร” เชียนโม่บอกแล้วหยุดการกระทำ

ฉู่หวังไม่สนใจ ยื่นมือมาเชยคางนางขึ้น

เชียนโม่ตกใจ ขณะจะเบี่ยงหลบ ฉู่หวังก็เอ่ยเสียงต่ำ “อย่าขยับ!”

มือข้างหนึ่งของเขาจับคางนางไว้เบาๆ อีกข้างหนึ่งก็จับคอเสื้อกว้างของนางแหวกออกเล็กน้อย ไม่ผิดจากที่คิด ผิวบริเวณนั้นบวมแดงขึ้นเล็กน้อย

นิ้วมือของเขาแห้งและอุ่นเล็กน้อย เชียนโม่อึ้งตะลึง เบนสายตาไปด้านข้าง เพียงเห็นสีหน้าเขาดูจดจ่อ แสงอาทิตย์ส่องผ่านหลังคากระโจม ตกกระทบคิ้วและดวงตาที่เปี่ยมพลังฮึกเหิมคู่นั้น ทำให้ดูอ่อนโยนลง

“รู้สึกแสบคันหรือไม่” เขาถาม

เชียนโม่พยักหน้า

ฉู่หวังไม่ได้พูดต่อ หันไปเรียก “ซื่อเหรินฉวี!”

ซื่อเหรินฉวีได้ยินเสียงเรียกก็รีบเข้ามาในกระโจม “ต้าหวัง”

“เจ้าเอายาแก้แมลงกัดต่อยมาด้วยมิใช่หรือ แบ่งมาสักหน่อยซิ”

ซื่อเหรินฉวีมองๆ เชียนโม่แล้วรับคำ ไม่นานก็เอาตลับเล็กๆ ตลับหนึ่งมามอบให้

ฉู่หวังเปิดออก ใช้นิ้วแตะยาขี้ผึ้งเล็กน้อย ขณะจะทาให้ เชียนโม่ก็รีบบอก “ข้าทาเอง”

“ไม่ได้ มือของเจ้าก็อาจแตะถูกพิษของแมลง” ฉู่หวังกล่าวเสียงเรียบ พูดแล้วก็เอาขี้ผึ้งทาลงไปที่ผิวหนังบริเวณนั้น

เชียนโม่เพียงรู้สึกเย็นๆ ผ่านไปครู่หนึ่งอาการแสบคันก็ลดน้อยลงมาก

ฉู่หวังดึงมือกลับ รับผ้าที่ซื่อเหรินฉวีส่งให้มาเช็ดๆ นิ้วมือ

เชียนโม่มองเขา ครู่หนึ่งจึงเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ขอบพระทัยต้าหวัง”

ฉู่หวังไม่ได้ตอบคำ ผ่านไปพักหนึ่งก็หยิบกระบี่สั้นจากข้างตั่งมายื่นให้

เชียนโม่งงงันแล้วรับเอามา พบว่าเป็นกระบี่เล่มที่ฉู่หวังยึดคืนไป

“กระบี่เล่มนี้เจ้ายังต้องเก็บไว้ให้ดี” เขาพูดอย่างแฝงความหมายลึกซึ้ง “ข้ารู้สึกว่าเจ้านอกจากรักษาโรคไข้จับสั่นได้แล้วก็ทำอะไรไม่เป็นเลย”

คำพูดนี้เป็นความจริง เชียนโม่ยิ้มเหย ได้แต่กล่าวขอบคุณอีกครั้งแล้วเก็บกระบี่ไว้

เธอกำลังจะเดินออกไป เสี่ยวเฉินฝูก็เข้ามาในกระโจม ทำความเคารพฉู่หวัง “ต้าหวัง จัดเตรียมรถเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ฉู่หวังรับคำ ให้ซื่อเหรินฉวีเอาหมวกเหล็กกับเสื้อเกราะมาสวมให้เขา

เชียนโม่มองดูก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย พอออกมานอกกระโจม เธอก็อดใจไม่ไหวถามผู้ติดตามฉู่หวัง “ต้าหวังจะไปล่าสัตว์หรือ”

ผู้ติดตามยิ้มๆ “ใช่แล้ว ล่าสัตว์ ไปล่าคนยง!”

เชียนโม่ถึงได้พบว่าทหารทั้งหลายต่างจัดเตรียมกันพร้อมแล้ว คล้ายจะออกเดินทางในทันที

เรื่องนี้มาอย่างฉับพลันกะทันหัน เชียนโม่จำได้ เมื่อวานฉู่หวังยังพาคนไปล่าสัตว์ คงจะไปกระทบถูกความเย็นเข้าจึงเป็นหวัดเล็กน้อย ตอนนี้เขาก็จะออกเดินทางไปปราบแคว้นยงแล้วหรือ

เชียนโม่กำลังใจลอย ฉู่หวังก็ออกจากกระโจมมา สวมชุดเกราะทั้งตัว เอวสะพายกระบี่ยาว แลสง่าน่าเกรงขามยิ่ง เขาสั่งกำชับเสี่ยวเฉินฝูหลายประโยค พอหันมาพบว่าเชียนโม่ยังยืนอยู่ที่เดิมก็เอ่ยสั่ง

“เจ้าไม่ต้องติดตาม รั้งอยู่ที่นี่”

เชียนโม่คิดจะเอ่ยถึงเรื่องนี้อยู่แล้ว ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ก็วางใจลง รีบรับคำ

ฉู่หวังมองนาง ขณะจะเดินไปกลับชะงักเท้าแล้วหันกลับมา

“กว่าเหรินจำได้ เจ้ายังต้องให้กว่าเหรินสั่งคนส่งเจ้ากลับซู ไม่ผิดกระมัง” เขากล่าว

เชียนโม่งงงันแล้วรีบพยักหน้า “ไม่ผิด” ในใจอดดีใจไม่ได้ คิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น…

ฉู่หวังกลับหยักยกมุมปากขึ้น “เช่นนั้นทางที่ดีเจ้าจงไปวิงวอนเทพซือมิ่งทุกวัน ให้คนฉู่ได้รับชัยชนะ อย่าเพิ่งเอาตัวกว่าเหรินกลับไป” พูดจบเขาก็ยืดอกหมุนตัว ก้าวอาดๆ ออกไป

 

ความมืดโรยตัวลงมา ในเมืองฟางเฉิงของแคว้นยงแสงเทียนสว่างไสว

ในท้องพระโรง ยงป๋อประทานสุรารสเลิศให้ผู้มีความชอบในการออกทำศึกด้วยตนเอง เสียงบรรเลงสังคีตดังอึกทึก เหล่าขุนนางนั่งล้อมรอบอยู่ในท้องพระโรง ทางหนึ่งชื่นชมท่วงท่าการร่ายรำ ทางหนึ่งก็คุยกันถึงเรื่องการศึก พูดคุยหัวเราะกันอย่างกลมเกลียวโอนอ่อนผ่อนตามกัน

ชาวฉู่ยกทัพมาปราบยง หลูจี๋หลีนำทัพฉู่มาโจมตีเมืองของแคว้นยง หลายวันก็ตีไม่แตก กลับถูกชาวยงจับตัวซือหม่าฝ่ายซ้ายมาเป็นเชลย หลังจากนั้นชาวฉู่ก็ถอนทัพ ชาวยงไล่ตามไป ปะทะกันถึงเจ็ดครั้ง ชาวฉู่กลับไม่ต่อสู้ เอาแต่ผลุนผลันหนีไป ทำให้ชาวยงมีความฮึกเหิมเพิ่มพูน ดีใจจนเหลิง

“คนฉู่ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล!” ขุนนางชั้นสูงคนหนึ่งหัวเราะแล้วกล่าวขึ้น “คนฉู่ประสบภัยแล้งอดอยาก เดินทางนับพันลี้เพื่อจะมาทำศึก หิวโหยจนไม่มีแรงแล้ว จะตีแคว้นยงให้แตกได้อย่างไร”

“ข้าได้ยินว่าฉู่จื่อ* ยังติดโรคไข้จับสั่นมิใช่หรือ”

“ใช่ สวรรค์ช่วยคนยงกำจัดฉู่!”

“คนฉู่เหล่านั้นหนีหัวซุกหัวซุนราวกับหนูป่า คิดว่าคงจะรีบกลับไปทำศพให้ฉู่จื่อกระมัง!”

ทุกคนต่างหัวเราะฮ่าๆ

ที่นั่งด้านล่างกลับมีคนผู้หนึ่งไม่ได้หัวเราะ นั่งอยู่ที่โต๊ะดื่มสุรา คล้ายคิดอะไรในใจ

“ชางซู่” คนที่อยู่ด้านข้างถือจอกสุรามากล่าวยิ้มๆ “ท่านตามโจมตีคนฉู่ ตามสามครั้งชนะสามครั้ง มา ดื่มหนึ่งจอก!”

ชางซู่กลับไม่ได้ตอบคำ มองไปทางยงป๋อพลันลุกขึ้น

ยงป๋อกำลังพูดคุยหัวเราะกับเหล่าขุนนาง เห็นชางซู่เดินมาก็ยิ้ม “ชางซู่ เจ้าสร้างความชอบใหญ่หลวง ข้าจะปูนบำเหน็จเจ้าอย่างไรดี”

ชางซู่ทำความเคารพยงป๋อแล้วว่า “กระหม่อมใคร่จะขอให้ส่งกองทัพออกไป แบ่งกองกำลังทหารเป็นสามกอง หนึ่งเฝ้าระวังด้านตะวันตกเฉียงเหนือ หนึ่งเฝ้าระวังด้านตะวันออกเฉียงใต้ หนึ่งตามโจมตีคนฉู่ กวาดล้างภัยพิบัติอันจะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าให้หมดสิ้น”

ยงป๋อกับทุกคนต่างงงงัน

“คนฉู่ล่าถอยไปแล้ว” ยงป๋อเอ่ยขึ้น

“คนฉู่แม้จะล่าถอย แต่กำลังของพวกเขายังอยู่” ชางซู่กล่าว “คนฉู่บุกมาโจมตีในครั้งนี้ การสู้รบที่ดุเดือดรุนแรงที่สุดคือตอนโจมตีเมือง ตามที่กระหม่อมจับตาดู กองทัพของพวกเขาไม่ได้รับความบอบช้ำหนัก หลังจากนั้นคนฉู่หลบหนี เจอกันหลายครั้งก็ไม่ได้เข้าปะทะกับเรา สู้รบกันหลายครั้ง ทัพฉู่กลับไม่ได้บาดเจ็บล้มตายมาก เรายังคงรอบคอบระมัดระวังสักหน่อยจะดีกว่า”

“ต้าฟูกังวลมากเกินไปแล้ว!” คนผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น “คนฉู่หากไม่ใช่เพราะสู้ไม่ได้ จะหนีทำไม”

“ใช่แล้ว ต้าฟูไม่ได้ยินข่าวหรือ ฉู่จื่อล้มป่วยด้วยโรคไข้จับสั่น ไม่แน่อาจจะตายแล้วก็ได้!”

ยงป๋อมองชางซู่ แล้วให้คนนำสุรามาหนึ่งจอก

“ท่านเหนื่อยยากเพื่อบ้านเมือง จงรักภักดีสมควรแก่การชื่นชม” เขากล่าว “บัดนี้คนฉู่ล่าถอยไปแล้ว ยังมีชาวปี้ ชาวสู ชาวอวี๋ตามรุกไล่โจมตี ท่านไม่จำเป็นต้องห่วงกังวล ดื่มสุราชมการร่ายรำไปเถิด!”

ชางซู่เห็นยงป๋อไม่ปรารถนาจะฟัง จำต้องรับสุรามา ประสานมือขอบพระทัยแล้วแหงนหน้าดื่มลงไป

 

ฉู่หวังนำทัพทหารเดินเท้าออกมาจากในป่า เส้นทางเดินคับแคบ รถศึกที่กว้างใหญ่ไม่อาจสัญจรผ่านได้ รถเล็กเบาๆ แบบรถรื่อ* จึงจะวิ่งได้พอเหมาะพอดี

ตอนอยู่เมืองจวี้ซื่อ หลูจี๋หลีส่งข่าวมาแจ้ง ชาวยงเข้าใจว่าทัพฉู่พ่ายแพ้ยับเยินจึงหยิ่งผยองและผ่อนคลายความระแวดระวังลง โอกาสในการตอบโต้มาถึงแล้ว ตามแผนการที่ปรึกษาหารือกันไว้ก่อนหน้านี้ ฉู่หวังต้องรีบนำทัพออกเดินทาง เร่งรุดไปหลินผิ่นซึ่งอยู่ห่างออกไปหนึ่งร้อยลี้ คนฉู่คุ้นเคยกับการบุกเข้าจู่โจมในป่าเขาลำน้ำ ไม่นานกองทัพฉู่หวังก็มาถึงสถานที่นัดหมาย

หลูจี๋หลีท่าทางเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า เห็นฉู่หวังเสด็จมาถึงก็รีบออกมาต้อนรับ

บนเนินสูง เขาได้รายงานต่อฉู่หวัง “สามสิบลี้ข้างหน้า ทัพเรากับข้าศึกคุมเชิงกันโดยมีแม่น้ำกั้นกลาง”

“ข้าศึกมาจากทางไหน” ฉู่หวังถาม

“ชาวปี้ ชาวสู ชาวอวี๋ ส่วนชาวยงยังมาไม่ถึง ทัพข้าศึกสับสนปนเปไม่เป็นระเบียบ”

ฉู่หวังมองภูเขาแม่น้ำที่อยู่ไกลออกไป ใบหน้ามีรอยยิ้มหยันผุดขึ้น

 

น้ำในแม่น้ำไหลรินเงียบๆ ทัพหมานที่ไล่ตามโจมตีทัพฉู่ว่ายน้ำข้ามแม่น้ำ ริมน้ำฝั่งตรงข้ามเงียบสงบยิ่ง ท่อนไม้และของสิ่งอื่นที่ชาวฉู่ใช้ข้ามแม่น้ำมาทิ้งเกลื่อนกลาดอยู่บนฝั่ง บนพื้นดินมีรอยเท้าอยู่เต็มไปหมด คล้ายเพิ่งหนีไปได้ไม่นาน

ชาวหมานพากันไล่ตามร่องรอยไป จิตใจเปี่ยมด้วยความฮึกเหิม ตามรอยเท้าและต้นหญ้าที่หักราบต่อไป เนินเขาขึ้นๆ ลงๆ ติดต่อกันยาวเหยียด ต้นไม้ใบหญ้าเจริญงอกงาม บนพื้นดินมีธง ห่อสัมภาระสิ่งของของชาวฉู่ตกหล่นกระจัดกระจาย ชาวหมานเก็บมาตลอดทาง จิตใจก็ยิ่งฮึกเหิมขึ้น ไล่ตามมาจนถึงกลางหุบเขาแห่งหนึ่ง

ฉับพลันนั้นเองเสียงเป่าเขาสัญญาณก็ดังขึ้น ห่าธนูปลิวลงมาจากเนินเขาสองฟาก ชาวหมานต่างตื่นตระหนกตกใจ คิดจะหลบก็ไม่มีหินก้อนใหญ่ต้นไม้สูง คิดจะตอบโต้ เนินเขาทั้งสองฟากก็มีต้นไม้ขึ้นหนาแน่น มองไม่เห็นร่างศัตรูว่าอยู่ที่ใด

เสียงร้องครวญครางดังไปทั่วหุบเขา ท่ามกลางความลนลาน หัวหน้าเผ่ารีบร้องตะโกนให้ล่าถอย

ชาวฉู่มาเพื่อจะปราบแคว้นยง กลับต้องแสร้งแพ้มาตลอด เหล่าทหารหาญทั้งหลายสั่งสมความโกรธแค้นไว้เต็มอกมานานแล้ว เมื่อเสียงรัวกลองดังขึ้น ทหารหาญทั้งหลายก็พุ่งออกจากเนินเขาและป่าทึบ ทัพหมานแต่ละกลุ่มแตกระส่ำระสาย ต่างคนต่างแยกตัวเป็นอิสระ เดิมทีก็ไม่มีผู้นำทัพ จู่ๆ มาเจอชาวฉู่หวนกระโจนเข้าใส่ กองทัพที่สับสนอลหม่านอยู่แล้ว อีกทั้งชาวฉู่ก็ยึดครองชัยภูมิที่ดีไว้หมด ทัพหมานจึงไม่มีโอกาสที่จะตอบโต้ได้ ตกเป็นฝ่ายถูกกระทำในทุกด้าน ในหุบเขามีซากศพคนหมานนอนเรียงรายเต็มไปหมด ที่บาดเจ็บก็นอนร้องครวญครางอยู่กับพื้น โลหิตอาบย้อมน้ำในลำธารจนกลายเป็นสีแดง

ทัพหมานหลายพันคนที่ตามรุกไล่โจมตีชาวฉู่ สุดท้ายก็เหลืออยู่เพียงสองสามร้อยคน รีบร้อนหนีกลับกันไปหมด

หลูจี๋หลีกำลังจะสั่งการให้ไล่ตามไป ฉู่หวังกลับสั่งให้หยุด

“คนจนตรอกไม่มีค่าพอแก่การไล่ตาม!” พูดจบเขาก็มองไปที่หุบเขา “ตรวจนับชาวฉู่ที่บาดเจ็บล้มตาย ส่งไปที่กองหลัง อย่าให้ตกหล่น”

ข่าวแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว โต้วเจียวกับจื่อเป้ยได้รับคำสั่งก็แยกเป็นสองทางบุกเข้าโจมตีแคว้นยงทันที

 

ยงป๋อถูกปลุกขึ้นมาจากการเมาหลับฝันหวาน เพิ่งจะสวมเสื้อผ้าเสร็จก็ได้รับรายงานว่าคนฉู่ยึดครองดินแดนในรัศมีสองร้อยลี้ไว้หมดแล้ว ชาวฉิน ชาวปาก็ช่วยเหลือชาวฉู่ทัพพันธมิตร อยู่ห่างจากเมืองฟางเฉิงเพียงไม่กี่สิบลี้เท่านั้น

ยงป๋อตื่นตระหนกอย่างใหญ่หลวง รีบสั่งการให้เรียกประชุมเผ่าหมานทั้งหลายเพื่อร่วมกันต้านฉู่

ผู้ส่งข่าวเพิ่งออกจากเมืองไปไม่นานก็รีบร้อนกลับเข้ามารายงานว่าเผ่าหมานทั้งหลายหวาดกลัวอานุภาพของทัพพันธมิตร ได้บากหน้าไปพึ่งพาชาวฉู่แล้ว

ในท้องพระโรงที่เมื่อคืนยังขับร้องร่ายรำเฉลิมฉลองความสงบสุข เวลานี้กลับกลายเป็นว่าจิตใจของผู้คนเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นขวัญผวา

ยงป๋อนั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะ สีหน้าซีดขาว

บนท้องฟ้ามีเมฆดำทะมึนไปหมด ไม่มีแสงอาทิตย์แม้แต่น้อย

เมืองฟางเฉิงของแคว้นยงตั้งตระหง่านอยู่กลางหมู่เขา ล้อมรอบด้วยชัยภูมิที่เต็มไปด้วยอันตราย กำแพงเมืองแข็งแรงแน่นหนา

ทว่าเวลานี้ทัพใหญ่ที่บุกเข้าโจมตีเมืองไหลทะลักเข้ามาดุจกระแสน้ำ เมืองฟางเฉิงคล้ายเกาะเล็กกลางทะเลที่กำลังจะจมหาย โดดเดี่ยวไร้คนช่วยเหลือ

ชาวฉู่ ชาวปา ชาวฉินกรูกันเข้ามา บันไดยาว เชือกจำนวนนับไม่ถ้วนพาดขึ้นมาบนกำแพงเมือง ไม่ว่าทหารแคว้นยงที่รักษากำแพงเมืองจะทุ่มก้อนหิน ยิงธนูใส่ หรือพยายามเข่นฆ่าสังหารเช่นไร ก็ไม่อาจยับยั้งการบุกเข้าโจมตีระลอกแล้วระลอกเล่าได้

ชาวฉู่มีขวัญกำลังใจเต็มเปี่ยม หลายคนได้รับบาดเจ็บแต่ยังคงไล่สังหารข้าศึกจนนัยน์ตาแดงฉาน ปีนป่ายขึ้นไปบนกำแพงภายใต้ห่าธนูที่คอยคุ้มกันอยู่ ท่อนไม้ใหญ่กระแทกชนประตูเมืองที่แข็งแรง ทุกครั้งที่มีเสียงดังขึ้นผืนแผ่นดินก็คล้ายจะสั่นคลอน ทำให้คนที่อยู่ในเมืองอกสั่นขวัญแขวน

ยงป๋อเห็นว่าเข้าตาจน ไม่มีหวังที่จะรักษาเมืองไว้ได้แล้วจึงผูกคอตาย

ไท่จื่อไม่อยากให้อาณาประชาราษฎร์ต้องลำบาก จึงยื่นหนังสือขอยอมแพ้และมอบเมืองให้ฉู่หวัง

ฉู่หวังมีคำสั่งให้หยุดการโจมตี ยืนอยู่บนรถท่ามกลางการรุมล้อมของชาวฉู่มาถึงหน้าประตูเมือง

ไม่นานประตูเมืองก็เปิดออก ไท่จื่อนำศพผู้เป็นบิดาใส่โลงตั้งอยู่บนรถเทียมวัว สวมชุดผ้าดิบไว้ทุกข์ พันธนาการร่างกายตัวเองออกมา ชาวยงที่อยู่เต็มเมืองคุกเข่าหมอบกราบอยู่สองข้างทาง ส่งเสียงพิลาปร่ำไห้ไม่หยุด

“แคว้นยงกระทำการกำเริบเสิบสาน ล่วงละเมิดต่อแคว้นท่าน ความผิดอยู่ที่กระหม่อมแต่เพียงผู้เดียว วันนี้ต้าหวังมาถึง แคว้นยงยินดีจะอยู่ภายใต้แคว้นฉู่ หวังว่าต้าหวังจะรับผืนแผ่นดินสร้างความผาสุกให้ราษฎร กระหม่อมแม้ต้องตายหมื่นครั้งก็ยังระลึกถึงบุญคุณ!” ไท่จื่อคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าฉู่หวัง เอ่ยเสียงต่ำ

ฉู่หวังมองเขา เอ่ยเสียงก้องกังวาน “ฉู่ยงดินแดนอยู่ชิดติดกัน นับแต่นี้ไปแผ่นดินยงคือแผ่นดินของข้า ชาวยงคือราษฎรของข้า ขอมอบหมายให้ท่านอยู่ที่เดิม ส่งส่วยภาษีและแรงงานเกณฑ์ให้แคว้นฉู่ ไม่อาจทรยศฝ่าฝืน!”

ไท่จื่อโขกศีรษะกับพื้น กล่าวยอมรับผิดและขออภัยโทษเสียงดัง

ฉู่หวังให้โต้วเจียวประคองเขาขึ้นมา ปลดเชือกที่มัดตัวออก แล้วสั่งให้นำยงป๋อไปฝัง เข้ายึดเมืองฟางเฉิงและวังหลวง ตรวจนับทรัพย์สิน สิ่งของ บ้านเรือน และจำนวนราษฎร

หน้าวังหลวง ฉู่หวังได้พบกับกงซุนหรงที่เพิ่งเข้าเมืองมาและลงจากรถมาทำความเคารพ

กงซุนหรงเวลานี้เป็นต้าซู่จั่งของทัพฉิน บังคับบัญชากองกำลังทหารทั้งหมด หมวกเหล็กและเสื้อเกราะที่หนาหนักของคนฉินสวมใส่อยู่บนร่างของเขา ดูไม่รุ่มร่ามเทอะทะ กลับขับดุนร่างของเขาให้ดูเข้มแข็งทรงพลัง

“คารวะต้าหวัง” เขาทำความเคารพแล้วกล่าว

ฉู่หวังมองเขา บนใบหน้าที่เหน็ดเหนื่อยอ่อนล้ามีรอยยิ้มผุดขึ้น “กงซุนมาตามนัดหมาย คุณธรรมของฉินป๋อ ชาวฉู่จารึกอยู่ในใจ”

กงซุนหรงกล่าวคำพูดตามพิธีรีตอง ไม่นานนักเสียงโหยไห้ก็ดังมาเข้าหู มองตามเสียงไปก็เห็นสตรีหลายสิบคนสวมชุดไว้ทุกข์ ถูกทหารคุมตัวเดินมา

“ต้าหวัง” ต้าฟูที่ทำหน้าที่ตรวจนับเดินเข้ามา ทำความเคารพแล้วว่า “สตรีเหล่านี้ล้วนเป็นภรรยาและอนุของยงป๋อกับบุตรหลานของเขา ต้าหวังจะพากลับแคว้นด้วยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

ฉู่หวังมองไป สตรีเหล่านั้นยืนเรียงรายกันหน้าสลอน มีหญิงสาวหน้าตาสะสวยงดงามอยู่ไม่น้อย

“ไม่ต้อง จะอยู่หรือไปแล้วแต่พวกนาง หากจะกลับบ้านฝ่ายแม่ก็คืนทรัพย์สินและสิ่งของให้พวกนาง” ฉู่หวังเอ่ยขึ้น

ต้าฟูรับคำ

กงซุนหรงรู้สึกแปลกใจ ตอนอยู่แคว้นฉินเขาเคยได้ยินว่าฉู่หวังผู้นี้ชอบเสพสุข ในวังมีหญิงงามมากมาย คิดไม่ถึงว่าวันนี้ได้มาเห็น ฉู่หวังกลับควบคุมตนเองได้ดีเช่นนี้

“ต้าหวังเปี่ยมคุณธรรมอันดีงาม” กงซุนหรงกล่าว

ฉู่หวังมองเขาพลางยิ้มบาง “กงซุนชมเกินไปแล้ว”

กงซุนหรงตามฉู่หวังไปตระเวนสังเกตการณ์ยังที่ต่างๆ รอบหนึ่ง พบว่าฉู่หวังเป็นคนรู้คุณค่าของสิ่งของดีผู้หนึ่ง

แคว้นยงมีกษัตริย์ปกครองมายาวนาน แม้จะตั้งอยู่กลางภูเขาสูง แต่ไม่ว่าจะเป็นพระราชวังหรือข้าวของเครื่องใช้ล้วนไม่ด้อยกว่าทางจงหยวน หนึ่งในนั้นฝีมือในการก่อสร้างยอดเยี่ยมเป็นพิเศษ ตอนชาวโจวก่อตั้งราชวงศ์โจวเคยเชิญชาวยงไปช่วยสร้างเมือง และสิ่งล้ำค่าที่สุดของแคว้นยงก็คือบ่อเกลือ

ฉู่หวังไม่สนใจหญิงงามและสิ่งของล้ำค่าในเมืองฟางเฉิง แต่กลับมีบัญชาให้พาช่างก่อสร้าง ช่างทำภาชนะเครื่องใช้ต่างๆ กลับไปแคว้นฉู่ด้วย ส่วนหน่วยงานต่างๆ ที่เคยควบคุมดูแลบ่อเกลือและเส้นทางขนเกลือ ฉู่หวังก็ให้คงไว้ดังเดิมและปฏิบัติต่อด้วยเป็นอย่างดีเพื่อไว้ใช้เอง สิ่งที่เป็นความภาคภูมิใจของชาวยง มาบัดนี้ได้ตกอยู่ในมือของชาวฉู่ทั้งหมด

“จิงหมาน!” ตอนออกจากเรือนพักในวังหลวง ต้าฟูของแคว้นยงคนหนึ่งพอเห็นฉู่หวังก็พุ่งเข้ามาชี้หน้าด่าทอ “แคว้นยงก่อตั้งแคว้นสืบทอดกันมาแต่สมัยดึกดำบรรพ์ ตอนก่อตั้งบ้านเมือง พวกเจ้ายังไม่รู้ว่าอยู่ที่ใดเสียด้วยซ้ำ! ตอนโอรสสวรรค์พระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็นป๋อ พวกเจ้ายังเป็นทาสคอยย่างแพะย่างวัวทำพิธีเซ่นไหว้อยู่เลย กระทั่งเจ้าศักดินาก็ยังไม่ใช่! พวกเจ้าก็แค่พวกมดปลวก ถึงกับกล้าข่มเหงดูหมิ่นแคว้นที่เหนือกว่า ไม่กลัวฟ้าดินจะลงโทษหรืออย่างไร”

ชาวฉู่ที่อยู่รอบข้างต่างโกรธแค้น กำลังจะลงมือ ฉู่หวังกลับห้ามไว้

“เจ้าเป็นใคร” ฉู่หวังเอ่ยถามเสียงเรียบ

คนผู้นั้นผลักคนที่อยู่ซ้ายขวาออก ยืดศีรษะที่สวมหมวกขุนนางบิดเบี้ยวขึ้น “ข้าคืออาลักษณ์ฝ่ายซ้าย!”

ฉู่หวังพยักหน้า “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าแคว้นยงก่อตั้งมาแต่สมัยดึกดำบรรพ์ ได้รับบรรดาศักดิ์จากโอรสสวรรค์ ส่วนแคว้นฉู่มาจากพวกจิงหมาน ไม่ต่างอะไรกับพวกมดปลวก ใช่หรือไม่”

อาลักษณ์ฝ่ายซ้ายผู้นั้นมองประสานสายตากับฉู่หวัง สีหน้าไม่หวั่นเกรง “ใช่!”

ฉู่หวังสีหน้าสงบนิ่ง “ตามที่ข้ารู้มา ตอนแคว้นยงก่อตั้งบ้านเมือง อย่าว่าแต่ชาวฉู่ ชาวโจวเองก็ไม่รู้อยู่ที่ใด ตามคำพูดของเจ้า ชาวโจวก็ต้องเป็นพวกมดปลวกด้วย แต่ต่อมาชาวโจวขึ้นเป็นเจ้า ชาวยงไม่เพียงไม่ถือสา ยังอิ่มอกอิ่มใจที่ได้รับบรรดาศักดิ์ ถือเป็นเกียรติยศ แล้วมาดูถูกชาวฉู่

ชาวปี้ ชาวซู ชาวอวี๋ก็มาจากพวกหมานฮวง** ก็เป็นพวกมดปลวก แต่ชาวยงก็ยังต้องการเป็นพันธมิตรและเกี่ยวดองกันด้วยการสมรส ร่วมกันข่มเหงแคว้นฉู่” ฉู่หวังมองเขาแล้วยิ้มหยัน “เห็นได้ว่าในสายตาชาวยง ก็แค่พูดอย่าง ทำอีกอย่าง”

อาลักษณ์ฝ่ายซ้ายใบหน้าแดงฉาน ถลึงตาใส่ฉู่หวัง แต่กลับพูดอะไรไม่ออก

ฉู่หวังไม่ได้สนใจเขาอีก สั่งทหารให้คุมตัวเขาออกไป ไม่ไกลจากที่นั่น หลูจี๋หลีกำลังพูดคุยกับต้าฟูสองท่าน สีหน้าดูไม่ค่อยดีนัก

“มีเรื่องอะไร” ฉู่หวังเดินเข้าไปถาม

หลูจี๋หลีทำความเคารพแล้วว่า “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรพ่ะย่ะค่ะ ชาวยงที่ถูกจับเป็นเชลยบอกว่ามีต้าฟูผู้หนึ่งชื่อชางซู่ ก่อนหน้านี้เขาเข้าใจว่าต้าหวังติดโรคไข้จับสั่น จึงนำกำลังทหารสี่ร้อยนายบุกไปที่จวี้ซื่อโดยพลการแล้ว”

“จวี้ซื่อ?” ได้ยินสองคำนี้ ฉู่หวังสีหน้าแปรเปลี่ยนทันที

“พ่ะย่ะค่ะ” หลูจี๋หลีตอบ “กระหม่อมสอบถามไปยังหน่วยต่างๆ ยังไม่มีใครพบ กำลังจะส่งคนนำกองกำลังไปไล่ตาม…”

เขาพูดยังไม่ทันจบก็เห็นฉู่หวังหมุนตัวเดินออกไปด้วยฝีเท้ารีบเร่ง

 

ในป่าเขาเงียบสงบยิ่ง

จะว่าเงียบสงบก็ไม่เงียบสงบเสียทีเดียว เพราะมีเสียงนกเสียงแมลงดังอยู่ทั่วทุกหนแห่ง บรรดาทหารขับรถเทียมวัวแล่นไปตามเส้นทางที่บุกเบิกไว้ช่วงก่อนหน้านี้

ฉู่หวังไม่ได้พาคนไปทั้งหมด ทหารหาญทั้งหลายต้องเข้าสู่สนามรบด้วยเนื้อตัวที่เบา จึงทิ้งสัมภาระไว้ ฉู่หวังแบ่งกองกำลังเล็กไว้กองหนึ่ง เพื่อนำสิ่งของเหล่านี้กลับไปเมืองหลัว เชียนโม่ก็อยู่ในกลุ่มกองทหารนี้ด้วย

ขบวนเดินทางไม่เร็วนัก ทหารทั้งหลายต่างก็มีท่าทีผ่อนคลาย มีคนพูดคุยกัน มีคนฮัมเพลง เชียนโม่นั่งอยู่บนรถ ใช้กระบี่สั้นของฉู่หวังเหลากิ่งไม้กิ่งหนึ่ง

จย่าเดินทางมาด้วยกันกับเธอ เมื่อวานเขามองนกบนท้องฟ้า พูดด้วยความอิจฉาว่าถ้าเขามีปีกคงจะดี จะได้บินขึ้นไปบนท้องฟ้า วันหนึ่งไปได้ไกลพันลี้ ไม่นานก็ถึงบ้าน เชียนโม่คิดไปคิดมา เห็นว่าเธอเองก็ไม่มีอะไรทำ นึกสนุกขึ้นมาเลยว่าจะทำของเล่นสักอย่าง นั่นก็คือเครื่องร่อน วัสดุก็หาไม่ยาก ในป่าเขามีพืชประเภทต้นกล้วยอยู่มากมาย ตัดใบมาทำเป็นปีกได้ ใช้ไม้มาเหลาทำเป็นตัวลำ แต่เธอไม่เคยทำของเล่นประเภทนี้ด้วยตัวเองมาก่อน ได้แต่ทำตามแบบโมเดลที่อยู่ที่บ้านเหล่านั้น ไม่รู้เพราะตัวลำหนักเกินไปหรือรูปร่างลักษณะของปีกไม่ถูกต้อง เธอแก้ไขอยู่หลายครั้งก็ยังไม่อาจร่อนได้เบาและคล่องแคล่ว

จย่าสนอกสนใจของสิ่งนี้มาก แต่ก็แสดงท่าทีสงสัยว่ามันจะบินได้หรือไม่

“ถ้าคนบินอยู่ในอากาศได้คงดี” เขามีสีหน้าเพ้อฝัน “แม่ของข้าบอกว่าในก้อนเมฆมีเทพเมฆาอาศัยอยู่ ไปดูว่าเขารูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไรก็ดีเหมือนกัน”

เชียนโม่หัวเราะ

เธอนึกถึงแต่ก่อน ตอนเธอขึ้นเครื่องบินเป็นครั้งแรกก็เฝ้าหวังว่าในก้อนเมฆจะมีนางฟ้าถือกระเช้าดอกไม้เหาะไปมา พูดขึ้นมาแล้ว เมื่อก่อนเธอไม่เคยรู้สึกว่าการที่คนสามารถบินอยู่บนท้องฟ้าได้เป็นเรื่องวิเศษวิโสอะไร แต่เวลานี้เมื่อมาอยู่ในที่แห่งนี้ ได้มาสัมผัสกับการใช้สองขาของตนเดินเป็นระยะทางหลายสิบลี้ หลายร้อยลี้ว่ามีรสชาติเช่นไรแล้ว จึงได้เข้าใจว่านั่นเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมเพียงใด ถ้าเธอสามารถกลับไปได้ ก็อาจจะตั้งใจไปนั่งเครื่องบินโดยเฉพาะ เพื่อหวนนึกถึงความลำบากที่เคยได้รับในโลกยุคโบราณนี้ และตระหนักว่าชีวิตที่สุขสบายในปัจจุบันได้มาไม่ง่ายเลย เชียนโม่คิดแล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้

กระบี่ในมือคมมาก เชียนโม่ปรับแต่งลำตัวของเครื่องร่อนอย่างละเอียด ขณะเป่าๆ เศษไม้เธอพลันพบว่าที่ตัวกระบี่มีตัวอักษรเล็กสลักอยู่ เธอเพ่งมองดู เป็นตัวอักษรสามตัว…ฉู่หวังหลี่ว์

‘กระบี่เล่มนั้นหลอมขึ้นตอนกว่าเหรินขึ้นสืบทอดตำแหน่ง’ คำพูดในตอนนั้นของฉู่หวังผุดขึ้นมาในหัว เชียนโม่มองดูกระบี่ในมือ พูดตามตรง กระบี่เล่มนี้งดงามยิ่ง เธอเองก็ชอบมาก อดคิดในใจไม่ได้ว่าข้าวของทุกชิ้นของฉู่หวังหากมาอยู่ในยุคปัจจุบันคงจะมีค่าควรเมืองเลยกระมัง แต่พอคิดต่อไปก็รู้สึกว่าของสิ่งนี้แลใหม่เอี่ยมเช่นนี้ ใครจะเชื่อว่ามันเป็นของโบราณจริงกันเล่า ตัวเองเก็บไว้คงไม่ดี คืนให้ฉู่หวังไปจะเหมาะสมกว่า

ในสมองมีความคิดโน่นนี่ผุดขึ้นมามากมาย เชียนโม่ปรับแต่งเครื่องร่อนเสร็จแล้วจึงลงจากรถ เรียกจย่าให้มาด้วยกัน หาทุ่งหญ้ากว้างๆ แห่งหนึ่งเตรียมทำการทดลอง เธอออกแรงขว้างเครื่องร่อนออกไป เหนือความคาดหมาย มันไม่ได้ปักหัวลงมา หากแต่บินฉวัดเฉวียนอยู่กลางอากาศอย่างคล่องแคล่ว

“อา!” จย่านัยน์ตาเป็นประกาย มองดูด้วยความตื่นเต้นดีใจ ไม่นานก็เห็นมันร่วงลงมา เขารีบไปไล่ตาม

เชียนโม่มองตามด้วยสีหน้ายิ้มกริ่ม ฉับพลันนั้นเองเธอก็เหลือบไปเห็นป่าทางด้านโน้นมีเงาร่างหลายสายวิ่งผ่านไป ในมือถือธนูและคันศร เชียนโม่ใจหายวาบ รีบร้องตะโกนเสียงดัง “จย่า!”

เสียงยังไม่ทันขาดหาย ธนูดอกหนึ่งก็พุ่งเข้ามาตรงหน้า เชียนโม่รีบล้มตัวนอนลง

เสียงสวบๆ แหวกอากาศดังติดๆ กัน ชาวฉู่คาดคิดไม่ถึงว่าจะถูกลอบโจมตี โกลาหลอลหม่านขึ้นมาทันที ทางหนึ่งก็หาที่หลบ ทางหนึ่งก็หยิบอาวุธขึ้นมาตอบโต้

หลังจากเชียนโม่หลบธนูดอกนั้นได้ก็รีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นมา เข้าไปหลบอยู่ในพุ่มไม้ เธอชักกระบี่ของฉู่หวังออกมากุมไว้ในมือแล้วมองไปยังจุดที่จย่าอยู่เมื่อครู่ เขาหายตัวไปแล้ว

หนีไปแล้วหรือ ในใจรู้สึกโล่งใจขึ้น เธอกำลังคิดจะหนีให้ลึกเข้าไปอีก ลำคอพลันเย็นวาบ

คมดาบที่เย็นยะเยือกแนบติดอยู่กับผิวหนัง เชียนโม่แข็งทื่อไปทั้งตัว

ครู่เดียวกระบี่ในมือก็ถูกชิงเอาไป

“กระบี่ประจำตัวฉู่จื่อ” เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นช้าๆ “เจ้าเป็นใคร สนมคนโปรดของฉู่จื่อหรือ”

 

ชาวฉู่ในกองกำลังเล็กมีจำนวนไม่มาก ข้าศึกกลับมีหลายร้อย ไม่นานนักบรรดาทหารหากไม่ถูกสังหารก็ถูกจับเป็นเชลย คนเหล่านั้นลากศพออกมาวางเรียงรายเกลื่อนกลาด ภาพที่เห็นเต็มไปด้วยกลิ่นคาวโลหิตน่าสยดสยอง ในใจของเชียนโม่รู้สึกหวาดกลัวเป็นที่สุด ไม่อาจแข็งใจมองดูได้

เธอกับผู้ที่ถูกจับเป็นเชลยหลายคนอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม เชียนโม่สังเกตดูอย่างละเอียด นอกจากทหารที่ได้รับบาดเจ็บหลายคนแล้วก็ยังมีซื่อเหรินฉวี

คนที่คุมตัวพวกเธอปากพึมพำภาษาที่เธอฟังไม่ออก ไม่นานคนที่จับตัวเชียนโม่ผู้นั้นก็เดินเข้ามา ดูเหมือนเขาจะเป็นหัวหน้า สีหน้าของเขาดูเคร่งขรึม

“ฉู่จื่ออยู่ที่ใด” เขาใช้ภาษาฉู่ถามขึ้น

ไม่มีใครตอบ

คนผู้นั้นสีหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก คว้าตัวทหารบาดเจ็บคนหนึ่งออกมา

ทหารผู้นั้นถูกธนูยิงเข้าที่ท้องได้รับบาดเจ็บ มือถูกมัดอยู่ แต่กลับไม่มีท่าทีหวาดกลัว จู่ๆ ก็ถ่มน้ำลายที่มีโลหิตปะปนอยู่ใส่หน้าคนผู้นั้นแล้วหัวเราะฮ่าๆ

คนผู้นั้นสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน เสือกกระบี่ในมือแทงเข้าใส่ร่างทหารผู้นั้นทันที

เชียนโม่รีบหลับตาลง ได้ยินเสียงโลหะทิ่มแทงเข้าไปในกระดูกและเสียงร่างคนตกกระทบพื้น ความหวาดกลัวพุ่งเข้ามาจับหัวใจ เธอหนาวสั่นไปทั้งร่างราวกับถูกสาดรดด้วยน้ำเย็น

เห็นชัดว่าคนผู้นั้นถูกยั่วให้โมโหแล้ว ครู่เดียวก็เดินมาทางด้านนี้ เอากระบี่ที่มีคราบโลหิตติดอยู่พาดขวางไปที่ลำคอของซื่อเหรินฉวี

“เจ้าพูด!” เขากล่าวเสียงเย็น

ซื่อเหรินฉวีสั่นระริกไปทั้งร่าง เสียงพูดราวกับเสียงร้องไห้ “ผู้น้อย…ผู้น้อยไม่ทราบจริงๆ…ต้าหวังล้มป่วยลง ได้ยินว่าหมอผีที่หลินผิ่นรักษาไข้จับสั่นได้ ทัพใหญ่จึงรีบคุ้มกันต้าหวังส่งตัวไปในคืนนั้น…”

เชียนโม่อยู่ด้านข้างได้ยินคำพูดเหล่านี้แล้วก็อดแปลกใจไม่ได้

เห็นอยู่ว่าฉู่หวังไปปราบยง เพราะเหตุใดซื่อเหรินฉวีจึงไม่พูดไปตามความเป็นจริง หรือว่า…เชียนโม่มองซื่อเหรินฉวี ใบหน้าของเขาเหยเก แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ขยิบตาให้

เชียนโม่เข้าใจขึ้นมาในทันที

คนที่มาปรากฏตัวขึ้นที่นี่และจู่โจมพวกเธอเฉกเช่นศัตรูได้ เป็นไปได้มากว่าจะต้องเป็นชาวยง คนเหล่านี้มาถามหาฉู่หวัง นั่นก็หมายความว่าพวกเขาไม่รู้ว่าฉู่หวังไปปราบยงแล้ว หากแต่เข้าใจว่าฉู่หวังยังอยู่ที่จวี้ซื่อ ด้วยเหตุนี้จึงได้เร่งรุดมาเพื่อจะสังหารฉู่หวัง ถ้ารู้ว่าฉู่หวังไปปราบยงแล้ว จุดประสงค์ที่พวกเขามาที่นี่ย่อมสูญเปล่า ไม่แน่ยังอาจทำให้เดือดดาลและสังหารคนที่อยู่ในที่นี้ทั้งหมด ซื่อเหรินฉวีพูดปด บอกพวกเขาว่าฉู่หวังล้มป่วย ทั้งยังชี้ทางให้พวกเขา ก็เพื่อจะปกป้องพวกตนที่เหลืออยู่เหล่านี้!

หัวใจของเชียนโม่เต้นตึกตัก หัวสมองตรึกตรองไปมาอย่างเร็วรี่ ความคิดนี้แม้จะเสี่ยง แต่ก็เฉียบแหลมและกล้าหาญ ทว่าดูเหมือนจะยังไม่พอ…

“หลินผิ่น” คนผู้นั้นสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ไม่ได้ขยับกระบี่ออก “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเจ้าจะไปที่ใด เพราะเหตุใดจึงไม่ตามฉู่จื่อไป”

ใบหน้าของซื่อเหรินฉวีแข็งค้าง พูดอ้ำๆ อึ้งๆ “นั่นเพราะ…”

“นั่นเพราะสาเหตุจากข้า” เชียนโม่พลันเอ่ยปากขึ้น

ซื่อเหรินฉวีตะลึงงัน มองมาที่นาง

เชียนโม่มองคนผู้นั้นแล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ “ข้าตั้งครรภ์ ต้าหวังเกรงข้าจะติดโรค เป็นอันตรายต่อเด็กในท้อง จึงให้คนส่งตัวข้าไปเสีย”

คนผู้นั้นก็จ้องมองเชียนโม่อย่างจับผิด

ในใจของเชียนโม่เต็มไปด้วยความหวั่นหวาด แต่ก็รู้ว่าในเวลาเช่นนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจเผยท่าทีหวาดกลัวออกมา

เห็นเขายังมีสีหน้าสงสัย เธอจึงตัดสินใจจะใส่สีตีไข่เพิ่มเข้าไป ยิ้มหยันแล้วว่า “ต้าหวังรักข้าที่สุด กระทั่งยกทัพออกมาก็ไม่อาจให้ข้าอยู่ห่างกาย ทางที่ดีพวกเจ้าจงปล่อยพวกข้าไปเสีย หาไม่ต้าหวังหายประชวรและได้ทราบเรื่องนี้ จะต้องกำจัดแคว้นยงทิ้งแน่นอน!”

คนยงที่อยู่ด้านข้างเดือดดาลขึ้นมา พูดพึมพำพลางเดินเข้ามาจะสั่งสอนเชียนโม่ กลับถูกคนห้ามไว้

“นางยังมีประโยชน์” เขาพูด มองเชียนโม่ แล้วมองคนที่อยู่รอบข้าง “ซื่อเหรินผู้นั้นก็เอาไว้ คนอื่นที่เหลือสังหารทิ้งให้หมด”

 

คนยงไม่ได้มาเพื่อจะปล้นสะดม สัมภาระของคนฉู่เพียงเอาไปแค่หนึ่งคันรถม้า เชียนโม่ถูกมัดมือมัดเท้าโยนตัวขึ้นไปบนรถ ซื่อเหรินฉวีถูกผูกด้วยเชือก โยงไว้กับหลังรถม้าแล้วให้เดินตาม

เชียนโม่รู้ คำโกหกเมื่อครู่ของตนได้ผลแล้ว พวกเขาให้เธอนั่งรถก็เพราะเห็นว่าเธอตั้งครรภ์ เธอแอบสังเกตการณ์เงียบๆ แยกแยะทิศทาง ที่พวกเขาไปเป็นถนนอีกสายหนึ่ง ไม่รู้ว่าใช่ไปหลินผิ่นที่ซื่อเหรินฉวีบอกหรือไม่ ในใจเต็มไปด้วยความกระสับกระส่ายกังวล ก่อนหน้านี้ฉู่หวังไปหลินผิ่นจริง แต่เธอจำได้ว่าที่นั่นเป็นเพียงจุดรวมพล พวกเขาไปถึงที่นั่น ฉู่หวังไม่แน่ว่าจะอยู่ ถึงตอนนั้นจะทำอย่างไร

เธอนึกถึงภาพน่าสังเวชใจที่ทหารเหล่านั้นถูกสังหารทิ้งเมื่อครู่แล้วได้แต่หลับตาลง

ต้องหาทางหนีไประหว่างทาง เชียนโม่พูดอยู่ในใจ

ทว่าชาวยงเหล่านี้ตื่นตัวมาก พวกเขาจะเดินมาตรวจดูเชือกที่มัดเชลยว่าแน่นหนาดีหรือไม่อยู่เสมอ พอเห็นว่าคลายออกก็จะมัดใหม่ทันที

เชียนโม่คิดจะใช้ก้อนหินถูเชือกให้ขาดแล้วหนีไป แต่ดูแล้วตอนกลางวันอาจถูกจับได้ง่าย ได้แต่ต้องรอให้ถึงกลางคืน

หลังจากเดินทางมาหนึ่งวัน ความมืดก็โรยตัวลงมา ชาวยงก็อ่อนล้าแล้ว พวกเขาหาที่เหมาะ เอาเชลยมัดไว้ด้วยกัน ก่อกองไฟแล้วพักผ่อน

เชียนโม่ยังคงถูกมัดมือมัดเท้า นั่งอยู่บนรากไม้ของต้นไม้ต้นหนึ่ง ด้านหลังก็คือลำต้นของต้นไม้

ไม่ไกลจากตรงนั้น ทหารของแคว้นยงนั่งล้อมวงอยู่ข้างกองไฟ พูดคุยเล่นกัน เดี๋ยวๆ ก็มีคนมองมาที่เธอ ไม่รู้กำลังพูดเรื่องอะไรกัน

เชียนโม่ก้มศีรษะ ใบหน้าสงบนิ่ง ในมือกำหินก้อนหนึ่งไว้ แอบใช้เหลี่ยมมุมที่คมถูกับเชือกบนข้อมือ

ทันใดนั้นเธอก็สังเกตเห็นว่ามีคนเดินตรงมาที่เธอ จึงหยุดการเคลื่อนไหว แล้วก็เห็นคนที่มาคือทหารของแคว้นยง เขาคล้ายเพิ่งดื่มสุรามาเล็กน้อย นั่งยองๆ ลงตรงหน้าแล้วมองหน้าเธอ

สายตามองสบประสานกัน ทหารผู้นั้นยิ้มแล้วยื่นมือมาลูบหน้าเธอ

เชียนโม่รีบเบี่ยงตัวหลบ มีเสียงหัวเราะครื้นเครงของผู้คนดังมาจากทางกองไฟ ทหารผู้นั้นกระชากเสื้อผ้าของเชียนโม่ ดึงเธอให้นอนลงกับพื้น เชียนโม่กรีดร้องพลางดิ้นรน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะมือเท้าถูกมัดอยู่ ทหารผู้นั้นกำลังจะกระชากเสื้อผ้าเธอออกก็มีเสียงตวาดดังมาจากด้านหลัง

ทหารผู้นั้นตกใจจนหยุดชะงัก

เชียนโม่มองไป เห็นคนที่เป็นหัวหน้าผู้นั้นเดินเข้ามาด้วยสีหน้าแข็งกระด้าง ส่งเสียงจีลีกัวลาด่าว่าทหารผู้นั้นอยู่พักหนึ่ง

ทหารผู้นั้นมีสีหน้าไม่พอใจ ไม่นานก็เดินจากไป

เชียนโม่สะอื้น ไม่อาจคำนึงถึงความหวาดกลัว รีบขดร่างซุกตัวไปอยู่ด้านหนึ่ง

คนผู้นั้นมองๆ เธอ ครู่หนึ่งก็หมุนตัวเดินจากไป

 

“พวกเขาก็แค่อยากลองลิ้มรสชาติสนมคนโปรดของฉู่จื่อ” กลับมาถึงข้างกองไฟ ต้าฟูจื่อหมิ่นที่นำกองกำลังทหารออกมาด้วยกันกับชางซู่เอ่ยขึ้น “เดินทางมาไกล ยากนักจะได้พบหญิงงามสักคน เจ้าน่าจะให้คนเหล่านี้ได้ผ่อนคลายบ้าง”

“เช่นนั้นคนผู้นี้ก็ยิ่งไม่ควรแตะต้อง” ชางซู่นั่งลงมา “หากได้พบฉู่จื่อ นางก็คือตัวประกัน”

จื่อหมิ่นมองเขาพลางสั่นศีรษะ “เจ้าน่ะ ถึงเวลาเสพสุขก็ควรเสพสุข มิน่าท่านเจ้าแคว้นมักบอกว่าเจ้าคร่ำครึ”

ชางซู่ยิ้มเหมือนเยาะหยันตนเอง ไม่ได้ต่อปากต่อคำอะไรอีก

‘คร่ำครึ’ เป็นคำวิจารณ์ที่คนอื่นว่าเขามาโดยตลอด แต่ชางซู่กลับไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น เขาเห็นว่าคนยงป่วย ป่วยด้วยโรคที่อันตรายมากโรคหนึ่ง พวกเขาหลอมสิ่งของที่สวยงามที่สุดออกมา มีเพลงและการร่ายรำที่สวยงามที่สุด ยังมีน้ำพุเกลือที่ทุกแว่นแคว้นต่างปรารถนาจะได้ครอบครอง ของล้ำค่าบนโลกนี้ล้วนอยู่ในเทือกเขาของแคว้นยง พวกเขาโอ้อวดว่ากำแพงเมืองของตนมั่นคงแข็งแรง สามารถต้านทานศัตรูจากภายนอกได้ทั้งหมด แต่กลับไม่รู้ว่าศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอาจจะเป็นพวกเขาเองก็ได้ ไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อใดที่คนยงจมอยู่กับความฟุ้งเฟ้อที่ทรัพย์สินเงินทองและสิ่งสวยงามนำพามา กระทั่งแคว้นฉู่ที่อยู่ติดกันเติบโตขึ้นทุกวันก็ไม่ยอมเปิดตามอง หลังจากถูกแคว้นฉู่กดดันวันละน้อยๆ ในที่สุดยงป๋อก็ปลุกเร้าใจให้ฮึกเหิมขึ้นมา ร่วมผนึกกำลังกับพวกหมานรับมือกับแคว้นฉู่ แต่เพียงได้รับชัยชนะเล็กน้อย ยงป๋อก็โอหังอวดดีขึ้นมาอีก จัดงานเฉลิมฉลองกับเหล่าขุนนางใหญ่

ชางซู่รู้ ตนเองออกมาในครั้งนี้ กลับไปจะต้องถูกลงโทษ จื่อหมิ่นเองก็รู้ถึงเรื่องนี้ดี แต่กลับเต็มใจที่จะตามเขาออกมา

เขาตบๆ บ่าจื่อหมิ่น หยิบถ้วยไม้ออกมาแล้วเทน้ำแกงจากหม้อใส่ถ้วย ครู่หนึ่งก็หันไปมองหญิงสาวผู้นั้น

นางคงตกใจกลัวมาก ซุกตัวอยู่ใต้ต้นไม้ไม่ขยับ

คิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วชางซู่ก็เดินไปยังหญิงผู้นั้น

เห็นเขาเดินกลับมา นางก็ดูตื่นตัว ขดตัวแน่น นัยน์ตาทั้งสองจ้องมองเขาเขม็ง

ชางซู่ไม่ใส่ใจ มือข้างหนึ่งดึงกระบี่สั้นออกมา

นางมีสีหน้าตื่นตระหนกหวาดกลัว เห็นเขาเดินเข้ามาก็เอ่ยวิงวอน “ไม่…ได้โปรด ท่าน…ท่าน…” พูดยังไม่ทันจบก็เห็นชางซู่ใช้กระบี่ตัดเชือกที่มัดมือออก นางงงงันไปชั่วขณะ

ชางซู่ยื่นน้ำไปให้ “ดื่ม”

นางมองเขาด้วยความฉงนสงสัย ผ่านไปครู่หนึ่งจึงยื่นมือไปรับเอามา

เขามองออกว่านางหวาดกลัวมาก ตอนรับถ้วยไม้ไปมือทั้งสองยังคงสั่นระริก

ชางซู่นั่งลงบนก้อนหินที่อยู่ตรงหน้านาง มองดูนาง

 

สายตาที่จับจ้องทำให้เชียนโม่รู้สึกไม่สบายไปทั้งร่าง ผ่านไปครู่หนึ่งเธอก็จำต้องก้มหน้า จิบน้ำอุ่นๆ ในถ้วยไปคำหนึ่ง

เหนือความคาดหมาย นี่ไม่ใช่น้ำต้มธรรมดา หากแต่มีรสชาติบางอย่าง คล้าย…น้ำชา

เชียนโม่แปลกใจ เธอจำได้ ในยุคนี้น่าจะยังไม่มีความเคยชินในการดื่มน้ำชา ขณะกำลังครุ่นคิด พลันได้ยินคนผู้นั้นเปิดปากขึ้น “กลัวหรือ”

คำพูดนี้รู้ทั้งรู้ยังจะถาม เชียนโม่ผงกศีรษะ

“ตอนเจ้าถูกจับกลับมองไม่ออกว่ากลัว”

เชียนโม่ไม่รู้ว่าคำถามนี้มีจุดประสงค์อะไร จึงตอบอย่างระมัดระวัง “ตอนนี้กับตอนนั้นไม่เหมือนกัน”

ชางซู่ไม่แสดงท่าทีใดๆ กลับถือกระบี่ของฉู่หวังไว้ในมือ แกว่งไปแกว่งมา

“กระบี่นี่เป็นของดี” เขาพูดแล้วมองเชียนโม่ “ฉู่จื่อคงรักชอบเจ้ามาก ใช่หรือไม่”

เชียนโม่ลังเลอยู่ชั่วขณะแล้วตอบ “ใช่”

แคว้นฉู่ไม่พอใจที่ตนมักถูกชาวจงหยวนดูถูก นับแต่ฉู่อู่หวังเป็นต้นมา เจ้าผู้ครองแคว้นทุกรุ่นทุกสมัยล้วนเรียกหวัง ทว่าคำเรียกหานี้เพียงมีผลในเขตแดนของแคว้นฉู่เท่านั้น แคว้นอื่นยังคงเรียกเจ้าผู้ครองแคว้นฉู่ว่าฉู่จื่อ ไม่ใช่ฉู่หวัง ก่อนหน้านี้เชียนโม่พูดปดว่าตนเป็นสนมคนโปรดของฉู่หวัง นับว่าโชคดีที่มีกระบี่ประจำตัวของฉู่หวังเล่มนี้เป็นหลักฐานยืนยัน เวลานี้เมื่อชางซู่ถามซ้ำอีกก็ได้แต่เออออต่อไป

“ในเมื่อเป็นสนมคนโปรด เพราะเหตุใดจึงสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบเช่นนี้” ชางซู่ชำเลืองมองเสื้อผ้าของเชียนโม่แวบหนึ่ง

เชียนโม่สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน “ต้าหวังบอกว่าออกมาทำศึกข้างนอก ไม่อาจโอ้อวด”

ชางซู่ไม่ได้พูดอะไร มองเชียนโม่ หญิงผู้นี้หน้าตางดงามยิ่ง ผมดำผิวขาว เหมือนคนที่ใช้ชีวิตอยู่ดีกินดี ฉู่หวังชื่นชอบอิสตรี ทุกคนต่างรู้กันทั่ว เขาพาสนมคนโปรดมาออกศึกด้วย กลับไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

“ได้ยินว่าฉู่จื่อติดโรคไข้จับสั่น อาการป่วยเป็นอย่างไรบ้าง” เขาถาม

คำพูดนี้นับว่าถามถูกคนแล้ว เชียนโม่ตอบ “ต้าหวังเดี๋ยวก็ตัวร้อนสูงไม่หยุด เดี๋ยวก็หนาวสั่นทนไม่ไหว ได้ยินคนพูดกันว่าโรคนี้รักษายาก ต้าฟูทั้งหลายปรึกษากันแล้วรีบออกเดินทางไปหลินผิ่น”

ชางซู่เคยเห็นคนเป็นไข้จับสั่น อาการของโรคเป็นเช่นนี้จริง จึงไม่สงสัย

“ต้าฟูปล่อยพวกข้าไปเถิด” เชียนโม่เห็นเขามีท่าทีอ่อนลงก็เอ่ยเสียงแผ่ว “พวกข้าก็แค่คนดูแลปรนนิบัติ ทั้งยังมีคนได้รับบาดเจ็บ อยู่ในป่าเขาเช่นนี้อะไรก็ทำไม่ได้ ยงและฉู่ทำศึกกัน พวกข้าล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์”

“ใครบ้างไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์” ชางซู่เหลือบตาขึ้น แววตาลุ่มลึก “แคว้นยงรุกรานฉู่ก็เพื่อจะมีชีวิตรอด” เขาพูดจบก็ลุกขึ้นเดินจากไป

 

เชียนโม่ก็ไม่ได้คาดหวังว่าคนผู้นี้จะปล่อยตนไป เห็นเขาเดินจากไปก็ไม่ท้อแท้ใจ ตอนที่มือทั้งสองถูกจับมัดอีกครั้ง กลางฝ่ามือได้กุมก้อนหินที่คมกว่าเดิมไว้แล้วก้อนหนึ่ง และเริ่มเอามาถูกับเชือกอีกครั้ง

เวลาผ่านไปช้าๆ เชือกถูกถูสึกไปไม่เท่าไร เชียนโม่กลับเหนื่อยมากแล้ว เธออยากนอน แต่มือเท้าถูกมัดอยู่ ได้แต่เอนพิงต้นไม้ใหญ่ซึ่งก็มีแต่เทพเซียนเท่านั้นที่จะนอนสบายได้ ความง่วงจู่โจมเข้ามา ทำให้คนทุกข์ทรมานยิ่ง

“โม่…” ฉับพลันนั้นเองเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังของเธอ

เชียนโม่พลันตื่นตัว ความง่วงหายไปไม่เหลือหลอ

เธอกวาดตามองไปรอบด้าน แน่ใจแล้วว่าไม่มีใครสนใจทางด้านนี้

“จย่า” ผ่านไปครู่หนึ่งเธอก็เอ่ยเสียงแผ่วออกมา

“โม่…ข้าหาตัวเจ้า หาด้วยความยากลำบาก…” จย่าซ่อนตัวอยู่ในเงามืดของต้นไม้ใหญ่ด้านหลังเชียนโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเจือสะอื้น

ในใจของเชียนโม่ทั้งตื่นเต้นทั้งดีใจ ต้นหลิวผลิใบร่มรื่น บุปผาผลิบานสะพรั่ง* คิดไม่ถึงว่าจย่าจะตามมา

“ข้าจะช่วยแก้เชือกให้เจ้า” จย่าบอก

“ไม่ อย่าขยับ…” เชียนโม่รีบกล่าว เธอมองไปรอบทิศ เค้นเสียงออกมาจากไรฟัน “จย่า ข้าจะแก้เชือกเอง เจ้ามีมีดหรือไม่”

“ข้า…ข้าเก็บหัวธนูมาหลายอัน…”

“ก็ได้ ให้ข้าอันหนึ่ง” เชียนโม่กล่าว ครู่เดียวก็มีเสียงดังขึ้นเบาๆ หัวธนูอันหนึ่งร่วงมาที่ข้างกายเชียนโม่ เธอรีบเอาเท้าเหยียบไว้แล้วมองไปรอบๆ ด้านอีกครั้ง ไม่มีใครใส่ใจเธอ

“เจ้าดูซิว่าจะเอาไปให้ซื่อเหรินฉวีได้หรือไม่”

“ได้น่ะได้” จย่าดูลังเล “แต่เจ้า…”

“ข้าไม่เป็นไร เจ้ารีบไป! ระวังด้วย!” เชียนโม่กำชับ

จย่ารับคำ ครู่เดียวก็ไม่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหว

หัวธนูนั่นทำด้วยทองแดง เชียนโม่ลองดูแล้วคมมาก ไม่นานเชือกก็ถูกเฉือนขาดไปไม่น้อย ซื่อเหรินฉวีถูกมัดอยู่ห่างจากเชียนโม่ไม่กี่เมตร เชียนโม่เหลือบตามองไปทางเขาบ่อยๆ ใจเต้นระรัว ภาวนาให้จย่าทำสำเร็จ ขณะเดียวกันก็กลัวว่าจย่าจะถูกคนจับได้

ป่าในยามค่ำคืนรอบด้านมีแต่ความมืดมิด มีเสียงสัตว์ป่าที่ออกหากินตอนกลางคืนดังมาเป็นระยะ ยังมีเสียงลม คนยงคล้ายเคยชินเห็นเป็นเรื่องปกติ พากันนอนหลับอยู่ข้างกองไฟ มีเพียงไม่กี่คนที่คอยเฝ้าเชลย

ผ่านไปพักใหญ่เชียนโม่เห็นซื่อเหรินฉวีพยักหน้าน้อยๆ ให้เธอก็เบาใจขึ้นมาก เธอรู้ เวลานี้เพียงรอโอกาสเท่านั้น

แม้ว่าชาวยงส่วนใหญ่จะกำลังพักผ่อน แต่ทหารที่อยู่เวรยามกลับไม่ได้งีบหลับ เชียนโม่ประเมินดูแล้ว จะย่องหนีไปเงียบๆ ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้…

ตอนท้องฟ้าเริ่มทอแสงสว่างจางๆ จู่ๆ ก็มีเสียงสัตว์ร้องดังขึ้นมาจากในป่า พร้อมด้วยเสียงกึงกังคล้ายเสียงล้อรถกำลังแล่น

ชาวยงที่กำลังหลับตกใจตื่นขึ้น รีบคว้าอาวุธ

“มีเรื่องอะไร” ชางซู่ถาม

“ไม่รู้…” จื่อหมิ่นยังดูมึนเมา นัยน์ตาทั้งสองฉงนงงงวย

ชางซู่มองไปยังที่ไกล คล้ายมีแสงไฟ บรรดาชาวยงต่างตื่นตัว เกรงว่าคนฉู่จะบุกมาโจมตี ชางซู่รีบสั่งให้คนดับกองไฟแล้วพาคนมุ่งหน้าไปทางด้านนั้น

พอไปถึงตรงจุดที่มีแสงไฟ ทุกคนต่างตะลึงงัน เพียงเห็นวัวสองตัวมีคบไฟผูกติดอยู่ที่หาง ลากรถวิ่งวุ่นไปมาอยู่ในป่า

จื่อหมิ่นไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “นี่คือ…”

ชางซู่ขมวดหัวคิ้ว สีหน้าพลันแปรเปลี่ยน

 

ในป่าอากาศชื้นเย็น ร่างกายที่หนาวเย็นมาทั้งคืนออกจะเคลื่อนไหวไม่คล่องแคล่ว แต่เชียนโม่ก็ใช้ทั้งมือทั้งเท้า กลัวจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

เธอไม่นึกไม่ฝันว่าซื่อเหรินฉวีที่ปกติดูเหมือนคนที่รู้จักแต่เออๆ ออๆ ผู้นี้ก็มีฝีมือพอตัว เมื่อครู่ชาวยงส่วนใหญ่ถูกเสียงเคลื่อนไหวนั่นดึงดูดไปหมด เหลือเพียงสองคนเฝ้าอยู่ที่นี่ ซื่อเหรินฉวีรีบฉวยโอกาสนี้เข้าจู่โจมสังหารหนึ่งในนั้นทันที แย่งเอาอาวุธมาแล้วสังหารอีกคนที่เหลือ

ท้องฟ้ายังไม่สว่าง พวกเธอก็ไม่มีคบไฟ แต่การเคลื่อนไหวของซื่อเหรินฉวีและจย่ากลับว่องไวมาก ไม่ต่างอะไรกับสัตว์ที่ใช้ชีวิตอยู่ในป่า

จย่าให้เชียนโม่จับเสื้อเขาไว้แล้วพาเธอหนี รูปร่างของเขาแม้จะบอบบาง แต่กลับคล่องแคล่วว่องไวราวกับลิงก็ไม่ปาน

“ดียิ่งนัก โม่ เราหนีออกมาได้แล้ว!” เขาพูดด้วยความดีใจ ดึงเครื่องร่อนออกมาจากเอว “เจ้าดู ของสิ่งนี้ข้าก็หาพบแล้ว!”

เชียนโม่มองไป เพียงเห็นใบกล้วยที่นำมาทำปีกฉีกขาดไปหมดแล้ว เหลือแต่ลำตัว

เธอไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “อย่าพูดมาก ระวังใต้ฝ่าเท้า!”

ขณะกำลังพูดอยู่นั้นจู่ๆ ก็มีเสียงพูดดังมาจากด้านหลัง พอหันกลับไปมองก็เห็นแสงไฟวิบวับ เป็นชาวยงไล่ตามมาแล้ว!

“เร็ว!” ซื่อเหรินฉวีบอก

แต่อยู่ในป่า ต่อให้เร็วเพียงใดก็เร็วไปได้ไม่ถึงไหน ธนูดอกหนึ่งเฉียดผ่านใบหูเชียนโม่ เธอซวนเซไปชั่วขณะ มองไปข้างหลังก็เห็นใบหน้าของคนเหล่านั้นได้แล้ว

ในเวลานี้เองก็มีเสียงเป่าเขาสัญญาณดังก้องกังวานและยาวนาน

ไม่ว่าจะเป็นชาวยงที่กำลังไล่ตามหรือชาวฉู่ที่กำลังหลบหนีต่างตกตะลึงพรึงเพริด

“ทัพฉู่!” ซื่อเหรินฉวีคลี่ยิ้มด้วยความดีใจ “เป็นทัพฉู่!”

ชางซู่คิดไม่ถึงว่าจะพบกับเหตุพลิกผันเช่นนี้ รีบสั่งให้ชาวยงหยุดฝีเท้าแล้วกลับมารวมตัวกัน

เสียงร้องสังหารดังขึ้นแล้ว ลูกธนูปลิวมาดังสวบๆ ชาวยงรีบล่าถอย ชางซู่มองหาที่หลบธนู พลันมีคนผู้หนึ่งลงมาจากเนินเขาข้างหน้า แสงอรุโณทัยส่องกระทบประกายเยียบเย็นของกระบี่คมกริบที่ฟาดฟันลงมาตรงหน้าเขา!

ชางซู่รีบตวัดกระบี่เข้าต้านรับ อาวุธกระทบกัน ข้อมือของเขาสั่นสะเทือนจนรู้สึกชา ต้องผงะถอยไปก้าวหนึ่ง

เขาเขม้นตามองไป เพียงเห็นคนผู้นั้นสวมเสื้อเกราะ ภายใต้หมวกเหล็กเป็นใบหน้าที่หนุ่มแน่น องคาพยพทั้งห้าเคร่งขรึมเย็นชา ท่าทางดุดันเหี้ยมเกรียม

คนผู้นั้นสีหน้าเคียดขึ้ง ไม่รอให้ชางซู่ได้หายใจก็ตวัดกระบี่จู่โจมเข้ามาอีก เขาพละกำลังเต็มเปี่ยม เพลงกระบี่คล่องแคล่วว่องไวยิ่ง ประมือกันมาหลายเพลง ชางซู่ยังหาจังหวะตอบโต้ไม่ได้ ในใจอดแปลกใจไม่ได้

“ต้าหวัง!” ทหารฉู่เร่งรุดตามมาถึง พากันเข้ามาให้ความช่วยเหลือ

ต้าหวัง! ชางซู่ตระหนกวาบในใจ พลันได้สติกลับคืนมา เขามองไปที่คนผู้นั้น ที่แท้อีกฝ่ายก็คือฉู่จื่อ

จิตใจพลันพลุ่งพล่าน ชางซู่ไม่คำนึงถึงอะไรมากมาย กวัดแกว่งกระบี่ตรงเข้าใส่ฉู่หวัง

“ชางซู่!” จื่อหมิ่นเห็นสภาพการณ์ก็รีบพาคนมาช่วย “ชาวฉู่มากเกินไป! รีบหนี!” จื่อหมิ่นกวัดแกว่งขวานสองคมเล่มยาวพลางตะโกนขึ้น

“เจ้าหนีไปก่อน!” ชางซู่กำลังต่อสู้พันพัวกับฉู่หวังยากจะผละไปได้ และไม่ยินดีจะปล่อยโอกาสนี้ไป

จื่อหมิ่นกำลังจะพูดต่อ พลันได้ยินเสียงแหวกอากาศดังมา

“ระวัง!” เขากระแทกร่างชางซู่ออก หน้าอกกลับถูกลูกธนูคมปักทะลุ

ชางซู่ตกตะลึง กลับเห็นจื่อหมิ่นนัยน์ตาแดงฉาน ข่มกลั้นความเจ็บปวดกวัดแกว่งขวานสองคมขวางอาวุธของชาวฉู่ไว้ เบิ่งขอบตาแทบฉีกขาด “รีบไป!”

ศีรษะคล้ายถูกน้ำเย็นราดรด ชางซู่มองไปรอบด้าน ซากศพของชาวยงเรียงรายเต็มไปหมด ชาวฉู่กำลังกรูกันมาเพิ่มจำนวนมากขึ้น

“ไป!” เสียงตวาดของจื่อหมิ่นดังก้องหู

น้ำตาไหลทะลักออกจากขอบตา ชางซู่มองหน้าผากของจื่อหมิ่นถูกลูกศรพุ่งทะลุแล้วร้องตะโกนขึ้น “ถอย!” เขาพยุงทหารบาดเจ็บนายหนึ่งวิ่งเข้าไปในป่าทึบที่มืดมิด แสงรุ่งอรุณยังส่องมาไม่ถึง

 

การสู้รบอย่างดุเดือดไม่นานก็ยุติลง ฉู่หวังทางหนึ่งสั่งให้คนตรวจนับผู้บาดเจ็บล้มตาย ทางหนึ่งก็ออกตรวจดูไปรอบๆ สิ่งที่ปรากฏต่อสายตามีเพียงซากศพของชาวยง คนที่เขาต้องการหาไม่ได้อยู่ในนั้น

บนพื้นชาวยงที่ต่อสู้ด้วยความห้าวหาญจนตายเมื่อครู่ก่อนผู้นั้นนอนหงายหน้า ในมือยังกำขวานสองคมเล่มยาวอยู่ ฉู่หวังเดินเข้าไป ลูบดวงตาเบิกโพลงของเขาให้ปิดลง

ทหารสองนายเดินเข้ามา ฉู่หวังกล่าว “คนผู้นี้มีคุณธรรมน้ำมิตร แยกฝังเดี่ยว”

ทหารรับคำ หามคนผู้นั้นออกไป

ตอนเคลื่อนย้ายศพ ฉู่หวังพลันเห็นในกองใบไม้ใต้ร่างคนผู้นั้นมีกระบี่โผล่ออกมาเล่มหนึ่ง เขารีบหยิบขึ้นมาก็เห็นเป็นกระบี่สั้นที่เขามอบให้เชียนโม่ ครั้นดึงออกจากฝัก ตัวกระบี่เงาวาวใหม่เอี่ยม เห็นชื่อของเขาที่สลักอยู่อย่างชัดเจน

…เจ้านอกจากรักษาโรคไข้จับสั่นได้แล้ว ก็ทำอะไรไม่เป็นเลย

ในหัวรู้สึกวิงเวียนตาลายเล็กน้อย ฉู่หวังลุกขึ้นมาสะบัดๆ ศีรษะ ยืนพิงต้นไม้ ตัวเสื้อด้านหลังมีเหงื่อซึมออกมา สายลมยามเช้าพัดผ่านทำให้รู้สึกเย็น

‘…ทางที่ดีเจ้าจงไปวิงวอนเทพซือมิ่งทุกวัน ให้คนฉู่ได้รับชัยชนะ อย่าเพิ่งเอาตัวกว่าเหรินกลับไป’

เขายังจำได้ถึงแววตากึ่งผิดหวังกึ่งสับสนในดวงตาของหญิงผู้นั้นตอนที่ตนเอ่ยคำพูดเหล่านี้ออกมา ดวงตาของนางคล้ายพูดได้ ทำให้คนเห็นแล้วใจอ่อน เขายอมรับ เขารั้งตัวนางไว้ด้วยความคิดที่เห็นแก่ตัว สุดท้ายแล้วคนที่ถูกเทพซือมิ่งเอาตัวไปคือนางเช่นนั้นหรือ…

ฉู่หวังมองซากศพที่นอนเรียงรายอยู่ทั่วไปหมด พลันรู้สึกว่าหมวกเหล็กกดทับอยู่บนศีรษะ ออกจะรู้สึกหนัก

เขาถอดหมวกเหล็กลงมา เอนพิงต้นไม้ที่อยู่ด้านหลังแล้วหลับตาลง คงเพราะตนเร่งรุดมาตลอดทางไม่ได้หยุดพัก เขารู้สึกในเปลือกตาร้อนผะผ่าว…

“ต้าหวัง” ในเวลานี้เองทหารนายหนึ่งเดินเข้ามา เห็นท่าทางของฉู่หวังก็มีท่าทีลังเล

ฉู่หวังสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่งแล้วลืมตาขึ้น “มีเรื่องอะไร”

“ต้าหวัง” ทหารผู้นั้นกล่าว “พวกกระหม่อมพบซื่อเหรินฉวีกับแรงงานหญิงโม่อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือ ยังมีชีวิตอยู่…”

เขาพูดยังไม่ทันจบก็เห็นนัยน์ตาทั้งสองของฉู่หวังเปล่งประกายเจิดจ้าขึ้นทันที ก่อนจะวิ่งไปทางด้านนั้นโดยไม่รอช้า

 

แสงสว่างส่องลอดเข้ามาในป่า นำพาไอหมอกมาด้วย เสียงนกร้องเจื้อยแจ้ว ฉู่หวังวิ่งห้อตะบึง ใต้ฝ่าเท้าคล้ายมีลมช่วยพัด

ทหารหาญทั้งหลายพอเห็นฉู่หวังก็พากันทำความเคารพ

ฉู่หวังกลับไม่หยุดฝีเท้า วิ่งตรงไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ เขาใช้กระบี่ฟาดฟันกิ่งไม้ที่ขวางหน้า ไม่นานเงาร่างคนผู้หนึ่งที่ใต้ต้นไม้ไกลออกไปก็ปรากฏขึ้นมาในสายตาของเขา

เชียนโม่กำลังช่วยพันแผลที่แขนให้ทหารนายหนึ่ง เป็นเด็กหนุ่มที่อายุไล่เลี่ยกันกับจย่า ทหารผู้นั้นมองเชียนโม่แล้วคลี่ยิ้มอย่างขวยอาย

ที่ข้างกายนาง ซื่อเหรินฉวีกำลังพูดโขมงโฉงเฉงอยู่กับคนอื่น ฉับพลันนั้นซื่อเหรินฉวีก็ร้องเรียกเสียงดัง “ต้าหวัง!”

เชียนโม่ตื่นตะลึง หันหน้ามองไป เป็นฉู่หวังจริงๆ

เขายังสวมเสื้อเกราะอยู่บนร่าง กำลังสาวเท้าเร็วๆ เข้ามา

“ต้าหวัง! ต้าหวัง!” ซื่อเหรินฉวีทั้งตื่นเต้นทั้งดีใจ รีบเดินเข้ามารับหน้าแล้วคุกเข่าลงตรงหน้าเขา กอดขาเขาไว้แล้วร้องไห้เสียงดัง “ต้าหวัง! ในที่สุดท่านก็มาแล้ว!”

ฉู่หวังกล่าวปลอบโยนไปสองคำ คิดจะเดินไปข้างหน้า ซื่อเหรินฉวีกลับยังไม่ยอมปล่อยมือ พูดทั้งน้ำหูน้ำตา “กระหม่อมสมควรตายหมื่นครั้ง! ถึงกับต้องลำบากต้าหวังมาช่วยด้วยตนเอง! ต้าหวัง! ชาวยงช่างชั่วร้ายนัก! ทหารเหล่านั้นตายอย่างน่าเวทนายิ่ง!”

ฉู่หวังอับจนปัญญา จำต้องเอ่ยปลอบโยนซื่อเหรินฉวีต่อไป ดวงตากลับมองไปที่เชียนโม่

เชียนโม่เองก็มองเขา นัยน์ตาทั้งสองแดงระเรื่อ ใบหน้ากลับมีรอยยิ้ม

ในใจกระตุกไหว ฉู่หวังพยุงซื่อเหรินฉวีให้ลุกขึ้น ไม่นานก็เดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าเชียนโม่

“เจ้า…ไม่เป็นไรกระมัง” ฉู่หวังเอ่ย

เชียนโม่รีบยกชายแขนเสื้อขึ้นเช็ดๆ ดวงตาแล้วพยักหน้า “ข้าไม่เป็นไร”

ในใจของเธอก็รู้สึกดีใจ เมื่อครู่ตอนเห็นฉู่หวัง เธอเพียงรู้สึกว่าฉู่หวังไม่เคยดูเจิดจ้าสว่างไสวเช่นวันนี้มาก่อน เดิมทีเธอคิดว่าหนีไปได้ไกลแค่ไหนก็แค่นั้น ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้พบฉู่หวังพากำลังทหารมากมายเช่นนี้มาช่วย ความรู้สึกรอดตายหลังประสบภัยพิบัติ ไม่ใช่เพียงคำว่าโชคดีสองคำจะสามารถสรุปรวบยอดได้

ฉู่หวังมองเชียนโม่ ใบหน้าดวงนั้นกับเสื้อผ้าที่อยู่บนร่างล้วนสกปรกมอมแมม เส้นผมก็ค่อนข้างยุ่งเหยิง แต่กลับไม่อัปลักษณ์ ในดวงตาทั้งสองยังมีหยาดน้ำตาขังคลอแต่กลับมีรอยยิ้ม ยิ่งดูงดงามชวนมอง

เขาอยากจะพูดอะไรมากกว่านี้ เผยอปากขึ้น แต่กลับเอ่ยออกมาเพียง “ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”

“ต้าหวัง ครั้งนี้ดีที่แรงงานหญิงโม่มีปฏิภาณเฉียบไว กระหม่อมสองคนถึงรักษาชีวิตมาได้!” ซื่อเหรินฉวีเดินเข้ามากล่าวชม

“อ้อ” ฉู่หวังยากนักที่จะมีความอดทนฟัง เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “มีปฏิภาณเฉียบแหลมอย่างไรหรือ”

เชียนโม่ได้ยินแล้วกลับรู้สึกอึดอัดขัดเขิน กลัวเขาจะบอกเรื่องสนมคนโปรดอะไรออกมาจึงรีบเอ่ยขึ้น “ครั้งนี้ความชอบไม่ได้อยู่ที่ข้า ดีที่ได้จย่ามาช่วย!” พูดจบก็ดึงจย่าออกมาจากด้านหลังตน กล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “จย่าเสี่ยงภัยตามมา พวกข้าถึงได้หนีรอดมาได้”

ซื่อเหรินฉวีก็รู้สึกว่าใช่ จึงกล่าวชมจย่า ทำเอาจย่าหน้าแดงก่ำ

พวกเขาพูดคุยกันจีๆ จาๆ เชียนโม่ช้อนตาขึ้น พลันพบว่าฉู่หวังมองตนไม่วางตา

สายตาทั้งสองคู่มองสบประสานกัน ฉู่หวังกลับไม่มีทีท่าจะเบนสายตาหลบ ยังคงจ้องมองเชียนโม่อยู่เช่นนั้น

เชียนโม่อึ้งตะลึง ครู่หนึ่งก็เดินเข้าไปหา

ฉู่หวังเห็นนางเดินเข้ามาใกล้ ในใจสะท้านหวั่นไหว กำลังจะก้าวออกไปก้าวหนึ่ง กลับเห็นนางยื่นมือออกมาคลำที่หน้าผากของตน

“…” ฉู่หวังงงงัน

“ร้อนถึงเพียงนี้!” เชียนโม่ย่นหัวคิ้ว รีบกล่าว “ซื่อเหรินฉวี ต้าหวังตัวร้อนอีกแล้ว!”

 

ฉู่หวังล้มป่วยอีกแล้ว

ครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งที่แล้ว ฉู่หวังไม่ได้ป่วยด้วยโรคไข้จับสั่น หากแต่เป็นไข้หวัดอย่างแท้จริง ตอนเขาออกเดินทางจากจวี้ซื่อก็มีเค้าจะเป็นหวัดอยู่แล้ว ยกทัพไปปราบปรามมารอบหนึ่ง ได้รับข่าวจากทางนี้ก็เร่งรุดจากเมืองฟางเฉิงย้อนกลับมา ตลอดทางไม่ได้หยุดพักเลย รอจนเรื่องทุกอย่างเสร็จสิ้น เขาก็ล้มป่วยลงในที่สุด

บรรดาชาวฉู่กลับไม่ร้อนใจ เพราะมีเชียนโม่อยู่ แรงงานหญิงโม่ผู้นี้แม้แต่โรคไข้จับสั่นยังรักษาได้ ในสายตาของพวกเขาย่อมเทียบได้กับหมอเทวดาอย่างไม่ต้องสงสัย

เชียนโม่อับจนปัญญา โชคดีที่เป็นไข้หวัดเพราะถูกลม ไม่ใช่โรคหนักหนาอะไร ซื่อเหรินฉวีเองก็พอรู้ตำรายาที่ใช้รักษาอยู่บ้าง เธอจดชื่อยาแต่ละตัวไว้ กำลังจะไปเก็บยากับจย่า ชายแขนเสื้อกลับถูกดึงรั้งไว้

“แรงงานหญิงโม่…” ฉู่หวังนอนอยู่บนเตียง จับไข้จนเลอะๆ เลือนๆ ปากกลับไม่ลืมออกคำสั่ง “กว่าเหรินจะดื่มน้ำ…”

ทุกคนต่างแปลกใจ ซื่อเหรินฉวีมองๆ เชียนโม่ ยิ้มอย่างมีเลศนัยแล้วพาจย่าเดินออกไป

เชียนโม่มองมือฉู่หวังที่กำเสียจนแน่น จำต้องรั้งอยู่

เธอยกน้ำมานั่งลงที่ข้างเตียงฉู่หวัง น้ำเป็นน้ำอุ่น เชียนโม่ใช้ช้อนไม้ป้อนให้ถึงปากเขา ฉู่หวังให้ความร่วมมืออย่างดี อ้าปากน้อยๆ แล้วกลืนลงไป เชียนโม่ป้อนอีก แต่กลับถูกเขาคว้ามือเอาไว้

“ชาม…” ฉู่หวังลืมตา ยกศีรษะขึ้นเล็กน้อย

เชียนโม่รีบยกชามเข้าไปชิดริมฝีปาก มองเขาดื่มน้ำอึกๆ ลงไป

รอจนดื่มหมด ฉู่หวังก็กลับนอนลงไป ระบายลมหายใจออกมายาว

“แรงงานหญิงโม่…” เขาพึมพำ “เจ้ารั้งอยู่ที่นี่…”

คำพูดนี้ไม่มีอะไรแตกต่างจากตอนที่เขาเป็นไข้มาลาเรีย เชียนโม่ชินเสียแล้ว เธอหยิบผ้าเปียกที่หน้าผากเขาออก เปลี่ยนผืนใหม่ที่เย็นกว่าแล้วตอบคำ “อืม ทราบแล้ว”

ฉู่หวังได้ยินคำตอบแล้ว หัวคิ้วพลันคลายออก เขาทำท่าเหมือนยังอยากพูดอะไรอีก มุมปากขยับเล็กน้อย แต่กลับหลับตาลงแล้วหลับไป

 

ยาของซื่อเหรินฉวีได้ผลดียิ่ง หลังจากเคี่ยวเสร็จ ฉู่หวังดื่มลงไปชามหนึ่ง ไม่นานก็เหงื่อออกทั้งตัว

วันรุ่งขึ้นตอนตื่นขึ้นมา เขาลืมตาขึ้นก็รู้สึกสดชื่นแจ่มใส

ในใจพลันนึกอะไรขึ้นมาได้ ฉู่หวังรีบหันไปมอง แล้วก็เห็นหญิงสาวผู้นั้นหลับสนิทอยู่ข้างเตียง สมดังใจปรารถนา

พวกเขาอยู่ด้วยกันในสภาพเช่นนี้ไม่ใช่เป็นครั้งแรก ฉู่หวังกลับรู้สึกว่าถ้าเป็นเช่นนี้อีกหลายๆ ครั้งได้คงดี

เขาจ้องมองนางเงียบๆ จากหน้าผาก มาถึงคิ้ว ดวงตา และมาถึงริมฝีปากแดงสดใส…เขาเคยถามตัวเอง เพราะเหตุใดจึงได้ทุ่มเทสุดชีวิตเช่นนี้ หลังจากได้ยินข่าวก็ไม่วางใจใครทั้งสิ้น ต้องเร่งรุดมาด้วยตัวเอง

กระทั่งพริบตาที่พบว่านางหายไป…

ฉู่หวังหายใจเข้าลึกๆ อย่างไร้สุ้มเสียง พลันรู้สึกว่าตนเองเป็นเช่นนี้ออกจะน่าขัน คล้ายกับ…อืม คล้ายกับเด็กหนุ่มที่เพิ่งรู้จักความรักคนหนึ่ง

เขาดึงสายตากลับ ไม่นานก็อดใจไม่อยู่ชำเลืองมองไปอีก

ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็พลิกตัวนอนตะแคงหันหน้าไปหานางเสียเลย

เชียนโม่ยังคงหลับสนิท เส้นผมปอยหนึ่งห้อยลงมาปิดหน้า ออกจะเกะกะตา ฉู่หวังเห็นแล้วคันมืออยากไปช่วยเกลี่ยออก แต่ตอนเขายื่นมือไป ชายแขนเสื้อกลับไปเกี่ยวถูกโต๊ะไม้เล็กๆ ข้างเตียงล้มลงเกิดเสียงดังตึง

ฉู่หวังชะงักค้าง เห็นเชียนโม่ลืมตาก็รีบนอนลง ยังไม่ทันได้หลับตา สายตาของทั้งสองก็ประสานกันแล้ว

“ต้าหวังตื่นแล้วหรือเพคะ…รู้สึกอย่างไรบ้าง” ในน้ำเสียงของเชียนโม่ยังมีความงัวเงียกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่ พูดพลางยื่นมือมาคลำหน้าผากเขา

ฝ่ามือนั้นนุ่มนิ่ม ฉู่หวังนอนนิ่งไม่ขยับ สบายอกสบายใจ มุมปากหยักโค้งขึ้นน้อยๆ

 

แคว้นฉู่กำจัดแคว้นยง หลูจี๋หลีรั้งอยู่เมืองฟางเฉิงจัดการเรื่องที่จะตามมาในภายหลัง โต้วเจียวและจื่อเป้ยนำทัพกลับนครอิ่งตู ฉู่หวังหลังจากหยุดพักผ่อนที่จวี้ซื่อสองวัน เหว่ยจย่าก็นำขบวนเรือจากเมืองหลัวมารับกลับนครอิ่งตู

เพราะการโจมตีก่อกวนของชาวยงในช่วงก่อนหน้านี้ทำให้รถและม้าขาดแคลน เชียนโม่จำต้องกลับมานั่งรถเทียมวัวของจย่าคันนั้น

ความจริงแล้วกลับสนุกกว่านั่งรถคันก่อนหน้านี้มาก เชียนโม่สวมหมวกไม้ไผ่ที่พวกทหารสานให้ นั่งคุยไปตลอดทาง ฟังทหารทั้งหลายตะโกนร้องเพลง จย่าเอาเครื่องร่อนลำนั้นออกมา ขอให้เชียนโม่ช่วยทำให้เขาใหม่อีกครั้ง

ฉู่หวังนั่งอยู่บนราชรถตามลำพังคนเดียว รู้สึกเบื่อหน่ายมาก พลันได้ยินเสียงหัวเราะสนุกสนานดังมาจากทางด้านหลัง เขาหันหน้ามองไปก็เห็นของสิ่งหนึ่งไม่รู้ว่าคืออะไรกำลังบินวนเวียนไปมาอยู่บนท้องฟ้า เด็กหนุ่มที่ชื่อจย่าผู้นั้นวิ่งไล่ตามอยู่ข้างหลังอย่างสนุกสนาน บนรถเทียมวัวเชียนโม่ก็กำลังหัวเราะอย่างเบิกบานสดใส

ความจริงแล้วเวลานางยิ้มหัวเราะน่ามองมาก คล้ายเปล่งประกายระยิบระยับ

แต่นางกลับไม่เคยยิ้มหัวเราะเช่นนี้ต่อหน้าเขา

ฉู่หวังมองอยู่ครู่หนึ่งก็หันหน้ากลับมา

จย่าชอบของเล่นชิ้นนี้มาก เล่นไม่ยอมวางมือ แม้แต่ตอนพักก็ยังเล่น เครื่องร่อนอาศัยแรงลมแฉลบผ่านยอดไม้ บินวนไปรอบหนึ่งแล้วร่วงลงสู่พื้น เขาวิ่งไปเก็บ เพิ่งจะก้มตัวลง เครื่องร่อนก็ถูกมือข้างหนึ่งเก็บขึ้นไปแล้ว จย่าเงยหน้าขึ้น แล้วก็ต้องตกใจยืนตัวแข็ง

ฉู่หวังถือเครื่องร่อนอยู่ในมือแล้วมองดู “ของเจ้าหรือ”

“พ่ะย่ะค่ะ” จย่าหน้าแดง เหลือบมองสีหน้าของฉู่หวังแล้วรีบเอ่ยเสริม “แรงงานหญิงโม่เป็นคนทำพ่ะย่ะค่ะ”

ในเวลานี้เองเชียนโม่มองมาเห็นฉู่หวังถือเครื่องร่อนกำลังพูดคุยอยู่กับจย่าก็แปลกใจ จึงเดินเข้ามา

ฉู่หวังชำเลืองมองนาง คล้ายเต็มไปด้วยความสนอกสนใจ “ของสิ่งนี้น่าสนุกยิ่งนัก”

เชียนโม่ยิ้ม “ก็แค่ของเล่นเพคะ”

“กว่าเหรินก็อยากได้”

เชียนโม่อึ้งตะลึง

ฉู่หวังกลับไม่พูดอะไรมาก หมุนตัวไป ครู่เดียวก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน “แรงงานหญิงโม่ กว่าเหรินเหนื่อยแล้ว มาทุบหลังหน่อย”

 

ขบวนทะลุผ่านป่าทึบ ข้ามผ่านเนินเขา มุ่งหน้าไปทางทิศใต้

จวี้ซื่อมีสายน้ำทอดยาว ไม่นานก็มองเห็นแม่น้ำใหญ่ บนริมฝั่งน้ำที่นัดหมาย เรือใหญ่ของชาวฉู่จอดเรียงรายเป็นแถวหน้ากระดานดูยิ่งใหญ่เกรียงไกร เหว่ยจย่ารออยู่ที่นี่นานแล้ว พอเห็นฉู่หวังมาถึงก็รีบเข้ามาถวายบังคม “คารวะต้าหวัง”

ฉู่หวังจับคานรถม้าพยุงตัวรับการคารวะ มองไปทางแม่น้ำ เพียงเห็นแม่น้ำกว้างใหญ่ คลื่นในแม่น้ำเป็นระลอกริ้ว เรือใหญ่จอดอยู่บนผิวน้ำประหนึ่งเกาะภูเขาที่ตั้งตระหง่านอยู่อย่างมั่นคง

ฉู่หวังอดที่จะภาคภูมิใจ จิตใจเร่าร้อนฮึกเหิมไม่ได้ ถ่ายทอดคำสั่งให้ทหารหาญทั้งหลายขึ้นเรือ ตัวเขาเองก็ลงจากรถม้า ก้าวอาดๆ ออกไป

ฉับพลันนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงคนร้องเรียก “โม่! โม่!”

เขาหันไปมองแล้วก็เห็นเรือลำหนึ่ง มีคนหลายคนยืนอยู่ที่หัวเรือกำลังโบกแขนเสื้อมาทางนี้

ครั้นหันกลับมาก็เห็นเชียนโม่เองก็มีสีหน้าดีใจ กำลังโบกมือให้พวกเขา

ฉู่หวังงงงัน

“คนพวกนั้นคือผู้ใด” เขาถาม

“คนพวกนั้นก็คือชาวซูที่ครั้งก่อนต้าหวังจับเป็นเชลยพ่ะย่ะค่ะ” เสี่ยวเฉินฝูรีบบอก “ต้าหวังทรงลืมแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ ก่อนหน้านี้ทรงให้กระหม่อมพาพวกเขามา หลังจากปราบยงได้แล้วก็จะส่งพวกเขากลับซูพร้อมแรงงานหญิงโม่”

 

บทที่หก ชางซู่

 

ฉู่หวังตะลึงงัน รอยยิ้มค่อยๆ แข็งค้าง

‘…ก่อนหน้านี้ต้าหวังเคยให้คำมั่นกับข้า หากข้ารักษาโรคไข้จับสั่นได้ก็จะส่งข้ากับพวกอีกสิบหกคนกลับซู บัดนี้ข้ารักษาโรคไข้จับสั่นเรียบร้อยแล้ว ต้าหวังโปรดปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาด้วย…’

คำพูดที่นางมาขอร้องเมื่อไม่นานมานี้ดังอยู่ข้างหู

ฉู่หวังมองไปทางด้านนั้นอีกครั้ง เชียนโม่อยู่กับคนเหล่านั้น ท่าทางดูดีใจมาก

เสี่ยวเฉินฝูสังเกตสีหน้าของฉู่หวัง รู้สึกเห็นท่าไม่ดีจึงรีบชำเลืองตาไปทางซื่อเหรินฉวี

ซื่อเหรินฉวีสีหน้าเหยเก เกาๆ ศีรษะ

จิตใจของฉู่หวัง สองวันมานี้ซื่อเหรินฉวีก็พอมองออก และอดหงุดหงิดกับการรับรู้ที่เชื่องช้าของตนเองไม่ได้

พูดไปแล้วก็แปลก ตอนอยู่ถงซาน พวกเขาต่างคิดว่าฉู่หวังจะรับแรงงานหญิงโม่ผู้นี้เป็นอนุแล้ว แต่ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น ทว่าเวลานี้พวกเขาต่างเข้าใจว่าฉู่หวังเรียกใช้แรงงานหญิงโม่ดั่งคนงาน แต่ฉู่หวังกลับคล้ายจิตใจหวั่นไหวเข้าแล้วจริงๆ

ซื่อเหรินฉวีมองๆ เรือทางด้านโน้น พูดด้วยใจเป็นธรรม แรงงานหญิงโม่ผู้นี้รูปร่างหน้าตาไม่เลวเลย สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบ ไม่ได้แต่งหน้าแต่งตัวก็ยังมองออกว่าเป็นหญิงงามคนหนึ่ง ถ้าพาไปอยู่ในวัง ไม่แน่ยังอาจทำให้เจิ้งจีเยวี่ยจีต้องอับแสงลง แต่เฝ้าสังเกตมาสองวัน เขาก็รู้สึกว่าฉู่หวังปฏิบัติต่อแรงงานหญิงโม่ค่อนข้างแตกต่างจากสตรีอื่น ทว่าไม่เหมือนกันที่ตรงไหน เขาเองก็พูดไม่ถูก…

เสี่ยวเฉินฝูเห็นฉู่หวังไม่พูดไม่จาก็แข็งใจกระแอมไอออกมาคำหนึ่ง “ต้าหวัง…”

“ขึ้นเรือ” ฉู่หวังถอนสายตากลับพลางเอ่ยเสียงราบเรียบ หมุนตัวเดินไป

 

เชียนโม่คิดไม่ถึงว่าคนซูเหล่านั้นก็อยู่บนเรือ ตอนเห็นพวกเขา เธอดีใจจนออกนอกหน้า

เธอวิ่งขึ้นไปบนเรือ เห็นพวกเขาล้วนสบายดี ไม่ได้เจ็บไม่ได้ป่วย และไม่ได้ถูกมัดด้วยเชือกเช่นแต่ก่อน พอเห็นเชียนโม่ พวกเขาก็โอบล้อมเข้ามาพูดจีลีกัวลากันใหญ่

เชียนโม่ฟังไม่ค่อยเข้าใจ ในใจกลับเต็มไปด้วยความดีใจ ฉู่หวังพาพวกเขามาที่นี่ย่อมหมายความว่าจะทำตามสัญญาจริง จะส่งพวกเธอกลับซูแล้ว!

ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้ม อดที่จะมองไปทางฉู่หวังด้านนั้นไม่ได้ กลับพบว่าบนฝั่งที่เขายืนอยู่เมื่อครู่เวลานี้ไม่มีคนอยู่แล้ว

“แรงงานหญิงโม่!” ซื่อเหรินคนหนึ่งเดินมาที่ด้านล่างของลำเรือแล้วพูดกับเธอ “ต้าหวังมีรับสั่งหาเจ้า!”

เชียนโม่รับคำแล้วลงจากเรือ ตามซื่อเหรินผู้นั้นไปที่เรือของฉู่หวัง

ครั้งนี้ฉู่หวังแสดงออกถึงความจริงใจเช่นนี้ทำให้เธออารมณ์ดีอย่างมาก ระหว่างเดินไปเธอก็คิดการว่าจะกล่าวขอบคุณด้วยความจริงใจ แต่พอนึกถึงท่าทางสูงส่งเหนือผู้คนของฉู่หวังก็รู้สึกว่าเขาคงไม่สนใจความรู้สึกอบอุ่นอ่อนโยนเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้แบบคนในสมัยปัจจุบันกระมัง อยู่ต่อหน้าเขา หมอบกราบขอบพระทัยจึงจะเป็นแนวทางที่ถูกต้อง

ความคิดเวียนวนอยู่ในใจ เธอก้าวขึ้นเรือของฉู่หวัง เตรียมพร้อมเต็มที่ นายเรือสั่งการให้ทหารทั้งหลายค้ำถ่อเรือออกจากฝั่ง ตะโกนบอกคำสั่ง พายยาวสองฟากชูขึ้น แหวกคลื่นสีเขียวครามออกไป

ฉู่หวังนั่งอยู่ในห้องโดยสาร กำลังอ่านหนังสือที่เขียนลงบนแผ่นไม้ไผ่ ดูเหมือนกำลังจดจ่ออย่างยิ่ง เชียนโม่เดินเข้ามาเขาก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้น

เชียนโม่ก็ไม่ส่งเสียงรบกวน เดินเข้าไปยืนอยู่ข้างหนึ่ง

แต่เธอยืนอยู่พักใหญ่ ฉู่หวังก็ไม่มีทีท่าจะสนใจเธอ

เชียนโม่รู้สึกแปลกใจ หากเป็นช่วงก่อนหน้านี้เขาต้องเรียกเธอทำโน่นทำนี่ไปนานแล้ว ไม่มีทางปล่อยให้เธอยืนทึ่มทื่อเช่นนี้ ตอนนี้เป็นอะไรไปแล้ว…เธอชายตาไปยังซื่อเหรินฉวีที่ยืนอยู่อีกข้างหนึ่ง เขาทำหน้า ‘อย่าถามข้า’ แล้วเบือนหน้าหนีไป

เชียนโม่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เห็นที่นี่ไม่มีอะไรให้เธอทำจึงคิดจะล่าถอยออกไปเงียบๆ

เพิ่งจะถึงหน้าประตูก็ได้ยินเสียงฉู่หวังเอ่ยขึ้นช้าๆ “จะไปไหน”

เชียนโม่งงงัน หันหน้าไป

ฉู่หวังวางม้วนหนังสือในมือลงบนโต๊ะ มองนางแล้วหยิบม้วนหนังสืออีกม้วนหนึ่ง

“เอาน้ำมา กว่าเหรินกระหายแล้ว” เขากล่าว

เชียนโม่รู้สึกประหลาดใจ หันไปมองซื่อเหรินฉวีอีกครั้ง เขากลับทำตาวิบวับมองไปทางอื่น เชียนโม่นึกสงสัยอยู่ในใจ แต่ก็ได้แต่รับคำ เดินไปรินน้ำให้ฉู่หวัง

“ต้าหวัง” ในเวลานี้เองจู่ๆ ซื่อเหรินฉวีก็เปิดปากกล่าวอย่างนอบน้อม “ยามอู่พอดี ต้าหวังยังไม่ได้เสวยอะไรเลย จะให้ยกอาหารมาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

ฉู่หวังขานรับคำหนึ่ง

“พ่ะย่ะค่ะ” ซื่อเหรินฉวีมองเชียนโม่อย่างแฝงความหมายลึกซึ้งแล้วเดินออกไป

เชียนโม่มองตามหลังเขาไปด้วยความสงสัย คนผู้นี้พักนี้ดูมีท่าทีแปลกประหลาดเป็นพิเศษ ที่แท้แล้วมันเรื่องอะไรกัน

ในห้องโดยสารเรือเหลือเธอกับฉู่หวังเพียงสองคน เชียนโม่ยกน้ำมาวางไว้บนโต๊ะ ถ้วยน้ำรินน้ำไว้ค่อนข้างเต็ม ยังไม่ทันวางดี จู่ๆ เรือก็สั่นโคลงจนน้ำกระฉอกออกมาหกรดแขนเสื้อของฉู่หวัง

เชียนโม่รีบกล่าวขอโทษ แล้วไปหยิบผ้ามาช่วยเช็ดให้เขา

ฉู่หวังไม่ได้ตอบคำและไม่ได้ขยับ นั่งอยู่กับที่มองเชียนโม่เช็ดคราบน้ำที่แขนเสื้อของตนและที่โต๊ะมือไม้พันกันยุ่ง แสงแดดส่องลอดหน้าต่างเข้ามากระทบใบหน้าขาวผ่องของนางให้ดูนุ่มนวลละมุนละไม แก้มทั้งสองมีประกายแดงระเรื่อจางๆ

ตรงใต้ตะขอสายรัดเอวก็มีคราบน้ำอยู่เล็กน้อย เชียนโม่กำลังจะเช็ด มือพลันถูกกุมไว้

เธอตกตะลึง เงยหน้าขึ้น เห็นฉู่หวังมีสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ข้าเช็ดเอง” พูดจบเขาก็คว้าผ้าในมือของเธอไปเช็ดน้ำจนสะอาด

เชียนโม่ทำหน้าเหย ได้แต่ปล่อยให้เขาทำ

ซื่อเหรินฉวียังไม่กลับมา ในห้องโดยสารเงียบสงัด เชียนโม่มองประเมินสีหน้าของฉู่หวัง ดูเหมือนไม่ได้มีท่าทีไม่พอใจอะไร เธอรวบรวมความกล้าขึ้นมา เห็นว่าเวลานี้เป็นโอกาสเหมาะจึงถอยหลังไปเล็กน้อย ลงหมอบกราบเขาอย่างเป็นทางการ “ขอบพระทัยต้าหวัง”

ฉู่หวังมองนางด้วยท่าทีแปลกใจเล็กน้อย

“เมื่อครู่ข้าได้พบคนซูกลุ่มนั้นแล้ว” เชียนโม่พูดขึ้นเบาๆ “ขอบพระทัยต้าหวังที่พาพวกเขา…”

“แรงงานหญิงโม่ เครื่องอะไรที่บินได้ของเจ้าทำเสร็จแล้วหรือยัง” ไม่รอให้นางพูดจบ ฉู่หวังก็ตัดบทขึ้น

เชียนโม่งงงัน เงยหน้าขึ้น กลับเห็นเขาสีหน้าไร้คลื่นไร้ลม ไม่รู้เจตนา

“ยังไม่…”

“ไปทำ ออกไปเถิด” ฉู่หวังเอ่ยเสียงเรียบ พูดจบก็ยกม้วนหนังสือขึ้นอ่านต่อ

 

ฉู่หวังเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายไม่อยู่กับร่องกับรอย ตอนเชียนโม่เดินออกจากห้องโดยสารมายังคงรู้สึกมึนงงไปหมด

เขาทำเรื่องดี เธอกล่าวขอบคุณ ท่าทางเช่นนั้นของเขาคล้ายไม่ยินดี นี่มันเหตุผลแบบไหนกัน

หรือเธอทำผิดอะไรที่ชาวฉู่ถือเป็นพิเศษหรือ หรือว่าเดิมทีเขาก็เป็นคนถ่อมตนอยู่แล้ว เชียนโม่ครุ่นคิด รู้สึกอึดอัดใจ แต่ก็ไม่อยากไปแตะเรื่องที่อาจทำให้โชคร้าย จึงเดินออกไปแต่โดยดี

ทำเครื่องร่อนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อันที่จริงเธอก็คิดจะให้ของที่ระลึกอะไรสักอย่างกับฉู่หวังด้วยความจริงใจ ไม่ว่าอย่างไรก็ได้รู้จักและคลุกคลีอยู่ด้วยกันมาระยะหนึ่ง ความประทับใจที่เชียนโม่มีต่อฉู่หวังผู้นี้ก็นับว่าไม่เลวร้าย จากกันครั้งนี้ ไม่ว่าเธอจะกลับไปได้หรือไม่ก็คงไม่มีโอกาสได้พบกันอีกแล้ว

เชียนโม่ยิ่งคิดก็ยิ่งตื่นเต้นคึกคัก คิดการว่าจะสลักชื่อของเธอลงบนตัวเครื่องร่อนด้วย

ในเมื่อเป็นของที่มีความหมายยาวไกลเช่นนี้ เชียนโม่จึงคิดจะทำให้ดูเข้าทีสักหน่อย เธอต้องการแผ่นไม้บาง โชคดีที่บนเรือมีแผ่นไม้ไผ่เปล่าสำหรับเขียนตัวอักษรอยู่มากมาย มีทั้งแบบสั้นแบบยาว เธอใช้คำพูดน่าฟังโอ้โลมปฏิโลม กึ่งขอกึ่งแย่งจากซื่อเหรินฉวีมาจำนวนหนึ่ง

เสียดายกระบี่สั้นเล่มนั้นของฉู่หวังไม่มีแล้ว เชียนโม่จำต้องขอยืมดาบทองแดงจากทหาร ไม่ว่าจะเป็นความคมหรือรูปแบบล้วนเทียบไม่ได้กับกระบี่เล่มนั้นของฉู่หวัง

นึกถึงกระบี่เล่มนั้นเธอก็อดใจฝ่อไม่ได้ เธอยังไม่ได้เอ่ยถึงกระบี่เล่มนั้นกับฉู่หวัง ไม่รู้หลังจากเขารู้เข้าจะบันดาลโทสะหรือไม่ เชียนโม่พึมพำอยู่ในใจ บันดาลโทสะก็ช่วยอะไรไม่ได้ หลังจากการต่อสู้ตะลุมบอนกันครั้งนั้น เธอเคยไปเดินหาแล้ว แต่หาจนทั่วก็ไม่พบ เธอพยายามเต็มที่แล้ว

อากาศดียิ่ง เรือใหญ่แล่นไปในแม่น้ำ ปุยเมฆลอยละล่อง ดวงอาทิตย์ค่อยๆ ย้ายตำแหน่ง เชียนโม่นั่งอยู่ใต้ร่มเงาห้องโดยสาร ค่อยๆ ปรับแต่งลำตัวเครื่องร่อน เธอได้ยินเสียงฉู่หวังกำลังปรึกษาหารือราชกิจอยู่กับขุนนางในห้องโดยสารผ่านแผ่นไม้หนาๆ ที่กั้นผนังอยู่ บางครั้งก็คุยกันเบาๆ บางครั้งก็ดุเดือด เสียงของฉู่หวังสอดแทรกอยู่ในนั้น ไม่สูงไม่ต่ำ แต่กลับทำให้คนไม่อาจมองข้าม

ไม่รู้เสียงถกปัญหาข้างในเงียบไปตั้งแต่เมื่อไร เชียนโม่ก้มหน้าเป่าเศษผงของไม้ ทันใดนั้นแสงแดดที่ส่องมากระทบปลายเท้าก็ถูกเงาคนผู้หนึ่งบดบังไป

เธอเงยหน้าขึ้น ฉู่หวังยืนอยู่ที่นั่น เรือนร่างสูงสง่าหันหลังให้แสงสว่าง มองเห็นสีหน้าไม่ชัด

เธอกำลังจะลุกขึ้นมาทำความเคารพ ฉู่หวังกลับยื่นของสิ่งหนึ่งมาให้ เชียนโม่มองไปแล้วก็เห็นกระบี่สั้นเล่มนั้น

เชียนโม่ประหลาดใจเป็นที่สุด “กระบี่นี้…”

ฉู่หวังไม่ได้ตอบ กลับบอก “สิ่งของมีไว้ใช้ เจ้าเป็นคนพูด”

เชียนโม่มองเขา ครู่หนึ่งก็คลี่ยิ้มออกมา

เธอรับกระบี่ไปแล้วชักออกมา เพียงเห็นตัวกระบี่ไม่มีอะไรบุบสลาย ยังคงใหม่เอี่ยมแวววาว

ฉู่หวังมองแผ่นไม้บนพื้นที่ทำเป็นรูปร่างไว้แล้วเหล่านั้นพลางเอ่ยถาม “พวกนี้คืออะไร”

“ลำตัวกับปีกของเครื่องร่อน” เชียนโม่ทางหนึ่งเอ่ยตอบ ทางหนึ่งก็ใช้คมกระบี่เหลาไม้ คล่องมือขึ้นมากจริงๆ

“ลำตัวกับปีกของเครื่องร่อน? ของอะไรกัน” ฉู่หวังไม่เข้าใจ

เชียนโม่อยากอธิบาย แต่ในเวลาอันสั้นก็อธิบายไม่ถูก จึงบอกเพียงว่า “อีกประเดี๋ยวต้าหวังก็จะทราบ”

ฉู่หวังขยับมุมปากอย่างไม่เห็นด้วย ผ่านไปครู่หนึ่งจึงนั่งลงข้างเชียนโม่เสียเลย

เชียนโม่มองเขาด้วยความแปลกใจ

“อย่าว่อกแว่ก เหลาไป!” เขากล่าว

เชียนโม่จำต้องทำต่อไป

รูปทรงนี้ความจริงแล้วก็ทำไม่ยาก เธอได้วาดแบบลงบนแผ่นไม้ก่อนแล้ว เพียงเหลาไปตามเส้นที่วาดไว้ก็ใช้ได้ เสียดายฝีมือเธอไม่ดี จำเป็นต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก หาไม่เหลาพลาดก็ต้องทำใหม่

ฉู่หวังออกจะทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว

เขาจับตามองท่าทางงุ่มง่ามของเชียนโม่ด้วยความอดทน หัวคิ้วขมวดมุ่น

“วางมีดราบลงหน่อย”

“นิ้วมือวางแนบกับคมมีด วางไว้บนแผ่นไม้จะถูกบาด…”

“เร็วอีกหน่อย!”

ผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็ทนต่อไปไม่ไหว

เชียนโม่กำลังตั้งอกตั้งใจทำ ทันใดนั้นกระบี่กับแผ่นไม้ก็ถูกคว้าเอาไป

“เหลาอย่างไร” ฉู่หวังมองดูแผ่นไม้ในมือ “เหลาไปตามเส้นทึบใช่หรือไม่”

เชียนโม่หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ได้แต่ส่งเสียงอืมคำหนึ่ง

ฉู่หวังไม่พูดไม่จา หยิบกระบี่ขึ้นมาเหลาอย่างคล่องแคล่ว ไม่นานบนพื้นก็มีเศษไม้กองหนึ่ง และลำตัวเครื่องร่อนก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว

เชียนโม่มองดูอยู่ข้างๆ นัยน์ตาพลันเบิกกว้าง

หลังจากทำเสร็จแล้ว ฉู่หวังก็ถามขึ้น “จากนั้นทำอย่างไรอีก”

“อืม…เจาะตรงนี้ให้เป็นร่อง เล็กหน่อย ยังมีตรงนี้อีก…” เชียนโม่พูดตะกุกตะกัก ชี้ไปตรงเส้นที่ขีดไว้

ฉู่หวังดูๆ แล้วใช้ปลายกระบี่เจาะเบาๆ ครู่เดียวร่องเสียบหลายร่องก็เสร็จเรียบร้อย

“จากนั้นเล่า”

เชียนโม่รีบหยิบปีกเครื่องร่อนบนพื้นที่ทำเสร็จแล้วขึ้นมาเสียบเข้าไป ไม่นานเครื่องร่อนลำหนึ่งก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา

“เหตุใดจึงดูไม่เหมือนกับของพลทหารผู้นั้น” ฉู่หวังมองดู ออกจะนึกสงสัย

เชียนโม่กลับยิ้มๆ พูดด้วยความมั่นอกมั่นใจ “ของต้าหวังลำนี้ดีกว่ามาก” เธอพูดพลางเหลียวมองไปรอบๆ ลำเรือ หาลานกว้างได้แห่งหนึ่ง ยืนห่างไปหน่อยแล้วขว้างเครื่องร่อนออกไป

สายลมพัดโชยมา เครื่องร่อนเหินไปในอากาศ บินไปแล้วค่อยๆ เลี้ยวโค้ง ลอยตัวอยู่ครู่ใหญ่ท่ามกลางเสียงชื่นชมของทุกคนแล้วจึงร่อนต่ำลง

ตอนแรกเชียนโม่รู้สึกกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่พอเห็นเครื่องร่อนโฉบไปทางกราบเรือก็แอบร้องในใจว่าแย่แล้ว ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปและรับไว้ได้ในพริบตาที่เครื่องร่อนกำลังจะปลิวออกนอกลำเรือพอดี

ในเวลานี้เองเสื้อผ้าของเธอก็ถูกดึงรั้งไว้ทันที เชียนโม่ถูกคนดึงตัวไว้ แทบจะพากันล้มลงกับพื้น

“เจ้าจะหาที่ตายอีกแล้วหรือ!” ฉู่หวังสีหน้าเขียวคล้ำ พูดด้วยความโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ

เชียนโม่อึดอัดขัดเขิน รีบดึงเสื้อผ้าให้ดี “ไม่ตกลงไปหรอก…” พูดจบก็เห็นฉู่หวังถลึงตามาอีกจึงรีบยิ้ม กวัดแกว่งเครื่องร่อนในมือไปมา พูดอย่างเอาใจ “ข้าทำไปเพราะต้องการจะช่วยรักษาสิ่งของของต้าหวัง หากมันตกลงไป งานที่ทำไปในวันนี้ก็ต้องสูญเปล่าแล้ว”

ฉู่หวังมองแล้วสีหน้าดูผ่อนคลายลง แต่กลับแค่นเสียงฮึออกมาคำหนึ่ง “กว่าเหรินเป็นคนทำครึ่งหนึ่ง ถ้าจะสูญเปล่าก็เป็นแรงงานของกว่าเหริน”

เชียนโม่ไม่โต้เถียงกับเขา แต่กลับนั่งลงที่ข้างกราบเรือ หยิบกระบี่ออกมาอีกครั้ง

“เจ้ายังจะทำอีก?” ฉู่หวังแปลกใจ

“อืม” เชียนโม่ท่าทางคึกคักฮึกเหิม “ยังไม่ดีพอ ต้องซ่อมแซม จะได้บินได้สูงได้ไกลกว่านี้” พูดจบเธอพลันนึกถึงคำกล่าวแต่โบราณที่ว่า ‘ครั้นร้องผู้คนตกใจ’ นั่น จึงอดใจไม่อยู่หันไปยิ้มกับฉู่หวังอย่างแฝงความหมายลึกซึ้ง “ของสิ่งนี้แฝงความหมายที่ดีมาก เรียกได้ว่าพอบินก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า”

ฉู่หวังมีสีหน้าประหลาดใจ มองนางโดยไม่ได้พูดอะไร แววตาค่อนข้างลึกล้ำ

ตะวันยามสายัณห์อาบย้อมผิวน้ำให้กลายเป็นสีแดง นกน้ำที่กลับรังยามเย็นบินอยู่เหนือศีรษะ เสียงนกร้องดังระงม ไม่ห่างออกไปเท่าไร นายเรือร้องตะโกนสั่งให้เข้าฝั่งพักผ่อน

“แรงงานหญิงโม่ เจ้าอยากจะกลับบ้านมากจริงหรือ” ผ่านไปพักใหญ่ฉู่หวังพลันเอ่ยขึ้น

เชียนโม่ชะงักอึ้งไปชั่วขณะ เงยหน้าขึ้น

ฉู่หวังมองนาง สีหน้าไม่โกรธแต่ก็ไม่ยิ้ม คล้ายกำลังถามอย่างจริงจัง

เชียนโม่พยักหน้า “เพคะ”

แสงอาทิตย์ยามเย็นส่องสะท้อนใบหน้าฉู่หวังให้ดูแดงระเรื่อสดใส ประกายในดวงตาทั้งสองของเขาคล้ายเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น และคล้ายระยิบระยับไม่อยู่นิ่ง

“เพราะเหตุใด” เขาเอ่ยเสียงต่ำ “ที่นี่ไม่ดีหรือ…” หยุดนิ่งไปชั่วขณะแล้วเอ่ยเสริมขึ้น “กว่าเหรินจะบอกว่ากว่าเหรินสามารถยกเลิกความเป็นทาสของเจ้า เมื่อก่อนเจ้าใช้ชีวิตอย่างไร อยู่แคว้นฉู่เจ้าก็ใช้ชีวิตเช่นนั้นได้ แรงงานหญิงโม่ ถ้าเป็นเช่นนั้นเจ้ายังจะกลับไปอีกหรือไม่”

เชียนโม่แปลกใจเป็นที่สุด

เธอมองเขา นัยน์ตาคู่นั้นเปล่งประกายเจิดจ้าแวววาว คล้ายมีความเร่าร้อนบางอย่างเจืออยู่

ใจคล้ายถูกอะไรบางอย่างแตะกระทบ ใบหูของเชียนโม่พลันร้อนผะผ่าวขึ้นมา

ฉู่หวังมองนางก้มศีรษะลง ในใจเฝ้ารอคอย เพียงรู้สึกคล้ายความคิดกำลังจะกลายเป็นความจริง…

“ต้าหวัง ข้าต้องกลับไป” ผ่านไปครู่หนึ่งก็ได้ยินนางเอ่ยขึ้นเบาๆ

ฉู่หวังชะงักอึ้ง

“เจตนาดีของต้าหวัง ข้าขอรับไว้ด้วยใจ” เชียนโม่เงยหน้าขึ้นมองดวงตาของเขา พูดด้วยความสัตย์ซื่อและจริงใจ “แต่ข้าไม่ใช่ชาวฉู่ ที่นี่ไม่ใช่บ้านของข้า”

ความเร่าร้อนในใจคล้ายกองไฟถูกน้ำสาดรดลงมา มอดดับเย็นยะเยือกไปในทันที

ฉู่หวังมองนางด้วยสีหน้าแข็งค้าง แสงเงินแสงทองบนท้องฟ้ายังคงสว่างไสว ส่องสะท้อนใบหน้าของเขาให้เห็นเส้นสายคมชัดราวกับสลักด้วยมีดด้วยขวาน ประกายในดวงตาคู่นั้นกลับหม่นขรึมลง

“เช่นนั้นหรือ” ฉู่หวังกล่าว

เขาผงกศีรษะ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เบนสายตาไปมองทางอื่นขณะเอ่ยด้วยเสียงที่ไร้คลื่นลม “ดี” พูดจบก็ไม่ได้มองเชียนโม่อีก หมุนตัวเดินจากไป

มีเสียงดังตึง ฝักกระบี่ของกระบี่สั้นทำให้เขาสะดุดเล็กน้อยและถูกเขาเตะกระเด็นไปไกล ทำให้คนรอบข้างต่างตกใจ

เชียนโม่ยืนตะลึงงันอยู่ข้างหลัง เห็นคนอื่นๆ ต่างมองมา เธอเม้มๆ ปากด้วยท่าทางกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

ครู่หนึ่งเธอก็กลับมานั่งลง ซ่อมเครื่องร่อนต่อไป การเคลื่อนไหวกลับช้าลงมาก แสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ยามสายัณห์ส่องกระทบคมกระบี่ ตรงบริเวณใกล้ด้ามกระบี่ ตัวอักษรแบบนกหนอน* เล็กๆ สามตัวดูสะดุดตาเป็นพิเศษ

มือของเชียนโม่ชะงักไปชั่วขณะ ครู่เดียวก็พลิกกระบี่ไปอีกด้านหนึ่งแล้วจับกระชับมั่นซ่อมแซมต่อไป

 

ขบวนเรือไม่ได้เร่งรีบกลับนครอิ่งตู ความมืดโรยตัวลงมาก็เข้าเทียบริมฝั่งเพื่อพักผ่อน ทหารทั้งหลายพอจอดเรือมั่นคงดีแล้วก็ขึ้นฝั่ง ทั้งตั้งค่ายทั้งก่อไฟ ยุ่งวุ่นวายไม่รู้อะไรเป็นอะไร

ฉู่หวังลงจากเรือ เข้าไปในกระโจมที่พักแล้วก็ไม่ได้ออกมาอีก และไม่ได้เรียกเชียนโม่เข้าไปปรนนิบัติ

เชียนโม่ซ่อมจุดบกพร่องของเครื่องร่อนเสร็จ นิ้วมือก็ทั้งแดงทั้งเจ็บ จย่าเดินเข้ามาดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น เอาเครื่องร่อนของตนมาเปรียบเทียบแล้วถามเชียนโม่อย่างอ้อมค้อมว่าเปลี่ยนกันได้หรือไม่

“นี่เป็นของต้าหวัง เจ้าไปถามต้าหวังดู” ซื่อเหรินฉวีเดินเข้ามาเคาะๆ ศีรษะของเขา

จย่าลูบคลำศีรษะที่โดนเคาะ หน้าแดงแล้วแลบลิ้น ก่อนจะหมุนตัววิ่งออกไป

เชียนโม่หัวเราะออกมา กลับเห็นซื่อเหรินฉวีจ้องหน้าเธอ สีหน้าดูแปลกๆ

“มีอะไรหรือ” เธอถาม

“แรงงานหญิงโม่” ซื่อเหรินฉวีถามอย่างแฝงความหมายลึกซึ้ง “บ้านเจ้าอยู่ที่ใด”

เชียนโม่งงงัน คำถามนี้เธอจำได้ว่าตนเองเคยตอบไปหลายครั้งแล้ว

“ทางใต้”

“ที่ใดของทางใต้”

“ก็ทางใต้”

ซื่อเหรินฉวีทำตาปะหลับปะเหลือก

“ข้าจะเปลี่ยนคำถามใหม่” เขาพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “แรงงานหญิงโม่ เจ้าจะให้ต้าหวังส่งเจ้ากลับซู เมื่อถึงซูแล้วเจ้าจะกลับบ้านอย่างไร”

เชียนโม่อึกอักอยู่ครู่หนึ่ง “อาจจะ…อืม เดินกลับไป”

“แรงงานหญิงโม่!” ซื่อเหรินฉวีออกจะโกรธ “เจ้าข้าก็นับว่าร่วมเป็นร่วมตายกันมาครั้งหนึ่ง กระทั่งความจริงก็ยังไม่ยอมพูด ซู สถานที่แห่งนั้นข้าก็เคยไป ภูเขาสูงทอดยาวเหยียด น้ำลึกคลื่นแรง เดิน? เจ้าจะเดินไปไหน”

“ข้าไม่เคยโกหกเจ้า จะกลับบ้านอย่างไรเป็นเรื่องของข้า ไม่ต้องให้เจ้ามากังวล!” เชียนโม่ก็โมโหขึ้นมา “ซื่อเหรินฉวี เจ้าไม่มีบ้านหรือ หากวันใดเจ้าออกจากบ้านเดินทางไปไกล มองไปทางไหนก็ไร้ญาติมิตร ยังต้องใช้ร่างกายตนเองทดสอบเรื่องต่างๆ ตลอดเวลา เจ้าก็ไม่รู้สึกหวาดกลัว ไม่เคยคิดถึงบ้านเช่นนั้นหรือ ในสายตาของพวกเจ้า ข้าเป็นเพียงแรงงานหญิงคนหนึ่ง แต่ข้าก็มีพ่อแม่ มีญาติมิตร ข้าอยากพบหน้าพวกเขาอีก ข้าผิดด้วยหรือ เพราะเหตุใดพวกเจ้าแต่ละคนจึงไม่เข้าใจเหตุผล กระทั่งข้าจะกลับบ้านก็ต้องมาซักถาม”

เชียนโม่ยิ่งพูดก็ยิ่งสะเทือนใจ นัยน์ตาแดง สุดท้ายน้ำเสียงก็เจือสะอื้นแล้ว

“เอ่อ…” ซื่อเหรินฉวีคิดไม่ถึงว่าจะทำให้นางร้องไห้ เขาชะงักอึ้งไปแล้วรีบผ่อนคลายน้ำเสียงลง “แรงงานหญิงโม่ เจ้าอย่าร้องไห้…เจ้าอย่าร้องไห้สิ!”

เขาไม่ปลอบยังพอว่า พอเอ่ยปลอบ เชียนโม่ก็รู้สึกว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างแท้จริง น้ำตาร่วงเผาะๆ ลงมาทันที จึงยกชายแขนเสื้อขึ้นเช็ดดวงตา

ซื่อเหรินฉวีมือไม้อ่อนทำอะไรไม่ถูก “เอ่อ แรงงานหญิงโม่…”

“ถอยไป” มีเสียงทุ้มหนักดังมาจากด้านหลัง ซื่อเหรินฉวีตะลึงงัน หันกลับไปมองก็เห็นฉู่หวัง

เขาเพิ่งออกมาจากในกระโจม มีเสื้อคลุมคลุมร่างอยู่

ฉู่หวังมองหน้านาง ท่ามกลางแสงจากกองไฟ ที่แก้มของนางยังมีน้ำตาติดอยู่

“แรงงานหญิงโม่” ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็เอ่ยขึ้น น้ำเสียงสงบนิ่ง “กว่าเหรินได้แบ่งเรือออกมาลำหนึ่งแล้ว พรุ่งนี้พวกเจ้าก็กลับซูได้”

เชียนโม่มีท่าทีตะลึงงัน พรุ่งนี้ เร็วเพียงนี้… ในใจไม่รู้ว่าดีใจหรือตื่นเต้น หัวใจเต้นตึกตัก มองเขาดึงสายตากลับแล้วหมุนตัว เชียนโม่จึงได้สติว่าควรจะกล่าวขอบคุณเขา

“ขอบพระทัยต้าหวัง…” เชียนโม่ยังพูดไม่ทันจบ ฉู่หวังก็เดินจากไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงเงาด้านหลังที่องอาจผึ่งผาย

 

ข่าวเรื่องเชียนโม่จะจากไปแพร่กระจายออกไป หลายต่อหลายคนต่างรู้สึกประหลาดใจยิ่ง

ช่วงที่ผ่านมาเชียนโม่กับซื่อเหรินและทหารข้างกายฉู่หวังต่างอยู่ร่วมกันได้ไม่เลว เมื่อพวกเขาได้ทราบข่าวนี้ก็พากันมาหาเชียนโม่ โดยเฉพาะจย่าดูอาลัยอาวรณ์เป็นพิเศษ ตามซักไซ้ว่าบ้านเธออยู่ที่ไหน ยังจะกลับมาอีกหรือไม่

เชียนโม่ฝืนยิ้ม ปลอบใจเขาไปตามเรื่อง บอกว่าวันหน้าถ้ามาแคว้นฉู่อีกจะไปหาเขาที่อิ่งตูแน่นอน

“แรงงานหญิงโม่จะจากไป” เสี่ยวเฉินฝูได้ยินข่าวก็อดแปลกใจไม่ได้ ถามซื่อเหรินฉวี “ต้าหวังไม่ใช่รู้สึกต่อนาง…หืม?”

ซื่อเหรินฉวีฝืนยิ้ม “ผู้น้อยก็ไม่ทราบ”

เสี่ยวเฉินฝูคล้ายคิดอะไรในใจ ครู่หนึ่งหัวคิ้วก็คลายออก “ข้าว่านะ ต้าหวังคงไม่ได้ชอบแรงงานหญิงโม่ผู้นี้มากมายอะไร หาไม่ เหตุใดจึงยอมให้นางจากไป”

ซื่อเหรินฉวีอึ้งตะลึงไปแล้วรีบยิ้มแย้มเออออ “ขอรับๆ…” เขาพูดพลางชำเลืองตามองเชียนโม่ทางด้านโน้น แล้วก็มองกระโจมของฉู่หวัง ลอบทอดถอนใจอยู่ในใจ

เหนือทะเลสาบกว้างใหญ่ ท้องฟ้ายามราตรีลึกล้ำ ดวงดาวดวงจันทร์ทอแสงกระจ่าง

 

กองไฟของชาวฉู่ลุกไหม้มาทั้งคืน เมื่อแสงอรุโณทัยย่างกรายมาถึง ไอหมอกที่แผ่คลุมลงมามีกลิ่นควันไฟที่เหลือจากกองไฟเจืออยู่ ค่ายที่พักมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง ทหารทั้งหลายต่างเก็บข้าวของ ขึ้นเรือ

ตามคำบัญชาของฉู่หวัง เชียนโม่กับชาวซูได้แบ่งเรือที่ค่อนข้างเล็กมาลำหนึ่ง ชาวซูทั้งหลายต่างดีใจมาก พูดจีจีจาจากันไม่หยุด เชียนโม่เดินไปที่เรือลำนั้น แต่กลับเหลียวกลับมามองไม่หยุด

ไกลออกไป ทหารทั้งหลายกำลังขนกระโจมที่พักของฉู่หวังขึ้นไปบนเรือ ฉู่หวังคงอยู่บนเรือแล้ว มองไปไม่เห็นเงา

เชียนโม่ครุ่นคิด ผ่านไปครู่หนึ่งก็กัดๆ ริมฝีปาก บอกให้คนเรือรอสักประเดี๋ยว แล้ววิ่งไปที่เรือของฉู่หวัง

พระอาทิตย์โผล่ขึ้นมาช้าๆ แสงอาทิตย์ส่องลอดสายหมอกยามเช้า เปล่งประกายสีทองจางๆ

ทหารกำลังเตรียมเก็บกระดานพาดเรือ พลันได้ยินเสียงมีคนร้องเรียก มองไปก็เห็นเชียนโม่

“ต้าหวังอยู่บนเรือหรือไม่” เธอถาม

“อยู่!” ทหารผู้หนึ่งร้องตอบ

เชียนโม่เอาเครื่องร่อนที่ถืออยู่ในมือกับกระบี่สั้นยื่นให้เขา “รบกวนเจ้าช่วยมอบให้ต้าหวังด้วย”

ทหารผู้นั้นมีสีหน้าประหลาดใจ รับคำแล้วรับเอามา

เชียนโม่กล่าวขอบคุณแล้วมองไปบนเรือ เห็นว่าไม่มีอะไรต้องฝากบอกแล้ว เธอเม้มปากก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็พลันได้ยินเสียงคนเรียกชื่อเธอ

หันกลับไปก็เห็นฉู่หวังกำลังเดินจากกระดานพาดเรือลงมา จังหวะก้าวสุขุมมั่นคง

เธอยืนนิ่ง

ดวงตาสองคู่สบประสานกัน ฉู่หวังมองนาง อาจเพราะเมื่อครู่วิ่งมา สีหน้าของนางจึงดูไม่สงบนิ่ง ครู่หนึ่งเขาก็ยื่นกระบี่สั้นในมือให้นาง

เชียนโม่แปลกใจ รีบกล่าว “ต้าหวัง ข้าจะไปแล้ว”

“เพราะเจ้าจะไปแล้วถึงให้เจ้า” ฉู่หวังกล่าว ชายตามองนาง “เจ้าก็นับว่าเคยช่วยกว่าเหรินไว้ กระบี่นี่ให้เจ้าแล้วก็เป็นของเจ้า”

อะไรคือนับว่าเคยช่วย…เชียนโม่คิดในใจ

“ต้าหวังก็เคยช่วยข้า เรื่องนี้นับว่าไม่ติดค้างกันแล้ว” เชียนโม่กะพริบๆ ตา บอกด้วยท่าทีผ่อนคลาย

ฉู่หวังกลับไม่มีทีท่าจะรับกลับคืนไป ยังคงกล่าวต่อ “วันหน้าถ้าเจ้ามาแคว้นฉู่ เอากระบี่เล่มนี้มาด้วย ไม่ว่าไปการแห่งไหน พวกเขาก็จะช่วยส่งเจ้าไปที่อิ่งตู” เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ “เจ้าพาปู่กับย่าของเจ้ามาด้วยก็ได้”

เชียนโม่ตะลึงงัน

เขา…กำลังเชิญเธอให้กลับมาเที่ยวหรือ

เชียนโม่ในใจรู้สึกอึดอัดลำบากใจ เธอเอ่ยเสียงแผ่ว “ขอบพระทัยต้าหวัง ปู่ย่าของข้าถึงแก่กรรมแล้ว”

ฉู่หวังงงงัน แววตาเปล่งประกายขึ้น “เช่นนั้นที่โน่นก็เหลือเพียงพ่อแม่ของเจ้า”

เชียนโม่คิดแล้วพยักหน้า “เพคะ”

ฉู่หวังสังเกตสีหน้าของนาง สีหน้าของนางไม่มีท่าทีว่าจะเปลี่ยนแปลง

“ต่อให้เป็นเช่นนั้น เจ้าก็ยังอยากจะกลับไป” เขาเอ่ยช้าๆ “เจ้าเคยบอกว่าเจ้าไม่ชอบอยู่กับพวกเขา”

“ข้าอยู่ของข้าเอง” เชียนโม่กล่าว เผยรอยยิ้มเจื่อนออกมาจางๆ “ต้าหวัง ข้าจากมานานเกินไป ย่อมต้องกลับไป”

ฉู่หวังนิ่งเงียบ ครู่หนึ่งก็พยักหน้า

 

ไอหมอกถูกแสงอาทิตย์ไล่จนจางไป เรือใหญ่เคลื่อนตัวช้าๆ ออกจากริมฝั่ง

เรือของชาวฉู่มีจำนวนหลายสิบลำ แล่นออกจากท่ามาก็เรียงรายเป็นแถวยาว เบิ่งตามองไปแยกไม่ออกว่าลำไหนเป็นลำไหน

‘…แรงงานหญิงโม่ เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือว่าต้าหวังคิดอย่างไร’

คำพูดที่ซื่อเหรินฉวีพูดกับเธอเมื่อคืนผุดขึ้นมาในหัว

ที่ข้างกองไฟ เชียนโม่มองเขา เพียงเห็นใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความฉงน

เธอไม่ได้ตอบ คิดอยู่ครู่หนึ่งกลับบอกว่า ‘ซื่อเหรินฉวี เจ้าเห็นว่าข้าเป็นอย่างไร’

ซื่อเหรินฉวีไม่เข้าใจ ‘อะไรเป็นอย่างไร’

‘รูปโฉม ความสามารถ อะไรทำนองนี้’ เชียนโม่เอาท่อนไม้เขี่ยๆ กองไฟ ‘อย่างเช่นข้ารูปร่างหน้าตางดงามมาก ทำให้ต้าหวังลุ่มหลง ใช่หรือไม่’

‘มีใครที่ไหนโอ้อวดตนเช่นนี้บ้าง’ ซื่อเหรินฉวีด่ายิ้มๆ

เชียนโม่เองก็ยิ้ม ‘ซื่อเหรินฉวี ความคิดของต้าหวัง ข้ารู้หรือไม่ กับข้าจะจากไปหรือไม่ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน’

ซื่อเหรินฉวีมองนางด้วยความประหลาดใจ

‘เจ้าจะบอกว่าเจ้าไม่ชอบต้าหวังเช่นนั้นหรือ’ เขามีท่าทีหงุดหงิดคล้ายไม่ได้ดังใจ สีหน้าจริงจังยิ่ง ‘แรงงานหญิงโม่ ข้าเห็นว่าการใคร่ครวญเช่นนี้ออกจะไม่ถูกต้อง เจ้าดูพวกวงศ์สกุลสูงศักดิ์เหล่านั้น หรือแม้แต่หญิงงามในจงหยวน หญิงสาวบ้านไหนบ้างออกเรือนเพียงอาศัยคำว่าชอบ ฟังข้าพูดสักคำ เจ้าคิดถึงบ้าน ข้ารู้ แต่เจ้ากลับไปบ้านแล้วอย่างไร เจ้ายังไม่ได้แต่งงานใช่หรือไม่ จะอย่างไรเจ้าก็ต้องแต่งงาน เจ้าดู ในบรรดาแว่นแคว้นต่างๆ รวมถึงไป่เยวี่ย ไป่ผู เผ่าต่างๆ เชื้อพระวงศ์สกุลสูงศักดิ์ เจ้าผู้ครองแคว้นขุนนางต่างๆ ต้าหวังคือผู้โดดเด่นเหนือใคร เจ้าไม่รู้หรอกว่ามีเจ้าผู้ครองแคว้นมากมายเพียงใดที่อยากแต่งพระธิดาให้กับต้าหวัง เจ้าไปบอกพ่อของเจ้า เขาจะต้องอยากให้เจ้าอยู่ต่อแน่นอน’ พูดจบเขาก็ชายตามองไปรอบด้าน ทำท่าทางลึกลับ ‘ข้าว่าต้าหวังปฏิบัติต่อเจ้าไม่ธรรมดา หากเจ้าอยู่ต่อ ไม่แน่วันหน้าเขาอาจให้เจ้าเป็นซู่ฟูเหริน*!’

เชียนโม่หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก

ซื่อเหรินฉวีคารมยอดเยี่ยม เธอเข้าตาฉู่หวังเพียงนี้ ฉู่หวังปฏิบัติต่อเธอไม่ธรรมดา ที่แท้กระทั่งภรรยาหลวงก็ยังเป็นไม่ได้ เป็นได้เพียงซู่ฟูเหริน

เธอชายตามองซื่อเหรินฉวี ‘ซู่ฟูเหรินหรือ นับว่าไม่เลว ไม่ทราบฟูเหรินคือใครหรือ’

‘ต้าหวังยังไม่ได้อภิเษกสมรส จะเอาฟูเหรินมาจากไหน’ ซื่อเหรินฉวีคิดไปคิดมาพลางลูบๆ ปลายคาง ‘มู่ฟูเหรินมีประสงค์ให้ต้าหวังอภิเษกสมรสกับธิดาแคว้นไช่ ทว่าต้าหวังกลับไม่เคยตอบรับ ครั้งนี้แคว้นปากับแคว้นฉินส่งกองกำลังมาช่วยเหลือ ไม่แน่อาจอภิเษกสมรสกับหญิงงามแคว้นปาหรือแคว้นฉิน…’

ตัวเลือกมีมากมายจริงๆ

เชียนโม่ฟังแล้วทำหน้าไม่ถูก ความรู้สึกไม่สบายใจในช่วงก่อนหน้านี้มลายหายไปหมด

ซื่อเหรินฉวีเห็นเชียนโม่ไม่ส่งเสียง เข้าใจว่านางหวั่นไหวแล้วก็ยิ้มกริ่มแล้วว่า ‘อย่างไรก็อยู่ต่อเถิด อย่ากลับไปเลย!’

เชียนโม่สั่นหัว บอกอย่างแน่วแน่ ‘ข้าจะกลับบ้าน’

ซื่อเหรินฉวีลมหายใจติดขัด

‘…’

เชียนโม่หวนนึกถึง มุมปากกลับอดมีรอยยิ้มผุดขึ้นมาไม่ได้

เธอมองไปที่มือ กระบี่ของฉู่หวังยังอยู่ในฝัก ลวดลายที่ด้ามกระบี่ประณีตงดงามแวววาว เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เมื่อนึกขึ้นมาในเวลานี้คล้ายความฝัน คล้ายภาพลวงตา มีเพียงเห็นกระบี่เล่มนี้เท่านั้นจึงทำให้รู้สึกว่าเป็นเรื่องจริงขึ้นมาบ้าง

เรือของฉู่หวังเบิ่งตามองไปไม่เห็นแล้ว ไม่นานสายน้ำก็ไหลไปบรรจบแม่น้ำใหญ่ เส้นทางที่ไปซูต่างจากเส้นทางที่จะไปนครอิ่งตู เรือเล็กแยกจากขบวนเรือ แล่นไปอีกด้านหนึ่งของแม่น้ำ

มีคนกำลังร้องเพลง เนิบช้าและแผ่วโผย คล้ายคนเรือท่านใดกำลังคิดถึงคนรักของตน เหนือผิวน้ำยังมีไอหมอกจางๆ เชียนโม่มองเงาร่างของเรือต่างๆ เหล่านั้นที่ดูเล็กลงทุกที เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ แล่นไปไกลจากเธอ

ดุจดั่งเรื่องในอดีตช่วงหนึ่ง

* ฉู่จื่อ หมายถึงฉู่หวัง เจ้าผู้ครองแคว้นฉู่ได้ตั้งตนขึ้นเป็นกษัตริย์ จึงไม่ใช้บรรดาศักดิ์ที่ราชวงศ์โจวมอบให้อีก แต่คนแคว้นอื่นไม่เรียกเจ้าผู้ครองแคว้นฉู่ว่าฉู่หวัง แต่เรียกว่าฉู่จื่อ

* รถรื่อ คือรถเทียมม้าตัวเดียวที่จุดพักม้าใช้กันในสมัยโบราณ

** หมานฮวง เป็นคำเรียกชนกลุ่มน้อยที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล และไร้อารยธรรม

* ต้นหลิวผลิใบร่มรื่น บุปผาผลิบานสะพรั่ง หมายถึงทัศนียภาพที่งดงามในฤดูใบไม้ผลิ เป็นคำอุปมายามตกอยู่ในความยากลำบาก เหตุการณ์พลันพลิกผันดุจเห็นภาพที่งดงามอยู่เบื้องหน้า

* ตัวอักษรแบบนกหนอน เป็นตัวอักษรจีนโบราณที่ใช้ในยุคชุนชิวไปจนถึงยุคจั้นกั๋ว ลักษณะตัวอักษรแลคล้ายนกคล้ายหนอน เป็นตัวอักษรที่มีความพิเศษและสวยงาม มักสลักบนเครื่องสำริดโดยเฉพาะศัสตราวุธ

* ซู่ฟูเหริน เป็นคำเรียกอนุภรรยา

 

โปรดติดตามตอนต่อไป..

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: