บทที่ 7…เล่นละคร
มาเรียที่ยิ้มแย้มผิดไปจากเมื่อหัวค่ำเดินนำคนรับใช้ซึ่งถือถาดเข้ามาในห้อง คอนสแตนตินไม่มีทางเลือกนอกจากจะเดินตามมาสมทบ เพลงพิณเองก็รีบลุกขึ้นจากเตียง มองอย่างงงๆ ไปยังคนใช้ที่กำลังวางแก้วเครื่องดื่มลงบนโต๊ะเล็กก่อนจะค้อมกายจากไป
“อาเอานมสดกับช็อกโกแลตร้อนๆ มาให้จ้ะ อากาศเริ่มเย็นแล้ว หลานๆ จะได้นอนหลับสบาย…” มาเรียพูดยิ้มๆ แต่เพลงพิณงงมากกว่า…ผู้หญิงคนนี้ต้องการอะไรกันแน่ เมื่อก่อนมื้อค่ำยังทำท่าไม่ชอบหน้าและคลางแคลงความสัมพันธ์ของเธอกับคอนสแตนตินอยู่เลย
มาเรียเดินมาจนถึงกลางห้อง พอเห็นที่นอนชั่วคราวของคอนสแตนตินเข้าก็จ้องเขม็ง ก่อนจะสบตาอย่างรู้เท่าทันกับเพลงพิณ คนถูกมองก็ไม่คิดว่าจะต้องอธิบายก็เลยเฉยเสีย รอตอบโต้ในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมาจะดีกว่า
หากมาเรียหันหน้าไปหาคอนสแตนตินที่ยืนนิ่งอยู่แล้วถามเสียงเข้มนิดๆ “คอนจะออกไปไหนล่ะ อาเห็นไปยืนที่ประตู…อย่าบอกนะว่าจะออกไปเคลียร์งาน…อะไร้ เจ้าสาวเราอยู่ในห้องนี้นะ ทำตัวให้สมกับที่เพิ่งแต่งงานหน่อยสิ…จริงไหมจ๊ะเพลง” ดวงตาสีฟ้ามีแววยิ้มเยาะเมื่อมองมายังคนตัวเล็กอีกครั้ง…ชุดนอนตลกๆ ไร้รสนิยมแบบนี้คงไม่สามารถกระตุ้นอารมณ์โรแมนติกของผู้ชายคนไหนได้ทั้งนั้น…คิดจะตบตาเธออย่างงั้นเหรอ
เพลงพิณชักโมโห…เข้าห้องมาโดยไม่เคาะประตูแล้วยังมาวุ่นวาย จุ้นจ้านอีก “คอนเขากำลังเดินไป เอ่อ ล็อกประตูน่ะค่ะ…เรากำลัง เอ่อ ยุ่งกันนิดหน่อย” หญิงสาวพยักพเยิดไปยังที่นอนชั่วคราวหน้าเตียง ก่อนจะแสร้งทำเป็นเขินอาย “คอน…เขาชวนเปลี่ยนบรรยากาศน่ะค่ะ”
มาเรียยกมือทาบอกราวกับตกอกตกใจ แต่สายตายังคลางแคลง “แหม เล่นอะไรกัน พื้นแข็งแบบนี้เดี๋ยวก็ปวดหลังกันหรอก…ขึ้นไปนอนบนเตียงกันดีกว่า แล้วประตูก็ไม่ต้องล็อกนะจ๊ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้อากับคุณย่าจะเอาอาหารเช้ามาเสิร์ฟคู่แต่งงานใหม่ถึงเตียงตามธรรมเนียมในครอบครัวเรา”
เพลงพิณยิ้มแห้งๆ ตอบ แต่ในใจเดือดปุดๆ…ทำตามธรรมเนียมหรือตั้งใจมาจับผิดกันแน่ ดูสายตายิ้มเยาะนั่นแล้วหมั่นไส้ชะมัด พอมาเรียเดินออกไปพร้อมกับปิดประตูตามหลังแล้ว เพลงพิณก็เดินไปหยิบแก้วนมมาดื่มอั้กๆ อย่างมันเขี้ยว
หญิงสาววางแก้วแล้วเลียคราบนมที่เกาะริมฝีปาก “อาคุณต้องสงสัยพวกเราไปแล้วแน่ๆ เพราะที่นอนของคุณน่ะแหละ แล้วไอ้เรื่องเอาอาหารเช้ามาเสิร์ฟพรุ่งนี้ก็คงจะมาจับผิดแน่นอน” เสียงเล็กๆ บ่นออกมาเป็นชุด
“รู้…ไม่ใช่เด็กสามขวบถึงจะไม่เข้าใจ” คอนสแตนตินพูดอย่างไม่ยี่หระ ในใจนึกไปถึงงานที่รออยู่ สงสัยคงไปทำไม่ได้แล้ว
ปากเล็กเป็นกระจับบิดเบ้อย่างไม่ชอบใจ “หัดพูดอะไรให้มันยาวๆ ด้วยโทนเสียงดีๆ หน่อยก็ได้…ความจริงคุณก็เสียงทุ้มดีนะ แต่คำพูดมันขัดหูทู้กกกที”
“ผมไม่ชอบพูดมาก…และรำคาญคนพูดมากด้วย” คอนสแตนตินตอบเรียบๆ
คนถูกกระทบตาลุก “อ๊าย…นี่ อย่ามาว่าฉันนะ เราเป็นทีมเดียวกันหรือเปล่าเนี่ย…ชอบมาขัดคอกันเองตลอดเลย ยังงี้ที่ญาติๆ คุณไม่เชื่อว่าเรารักกันก็ไม่น่าแปลกหรอก”
คอนสแตนตินไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่คำว่า ‘เรารักกัน’ ที่เพลงพิณพูดออกมามันทำให้ใจเขาเต้นผิดจังหวะไปนิดหนึ่ง ร่างสูงเลยหันหลังให้คนตัวเล็กด้วยความรู้สึกรำคาญใจ เดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือเพื่อจะส่งอีเมลถึงผู้ช่วยเป็นการฆ่าเวลากว่าที่เขาจะรู้สึกง่วง
แต่แล้วความเคลื่อนไหวของคนเรื่องมากหัวฟูที่เห็นจากปลายหางตาก็ทำให้เขาต้องหันหลังกลับไปมอง เพลงพิณกำลังจัดการรวบผ้าปูเตียงขึ้นมาจากพื้นและโยนหมอนขึ้นไปบนเตียง
“นอนมันด้วยกันบนเตียงนั่นแหละ…คนอย่างเพลงพิณคิดจะทำอะไรไม่มีคำว่าแผนแตก…ฮึ…” หญิงสาวบ่นพึมพำ พอจัดการกับเรื่องที่นอนเสร็จ ก็หันมาหาสามีในนามที่ยืนกอดอกดูเธอนิ่ง
“ใต้ชุดคลุมนั่นน่ะ…ใส่อะไรไว้อีกหรือเปล่า” เสียงเล็กๆ ใสๆ ถามออกมาลุ่นๆ
คอนสแตนตินชะงักลมหายใจ ดวงตาสีน้ำเงินที่มีแววประหลาดๆ สบสายตาสงสัยใคร่รู้ ก่อนจะบิดยิ้มมุมปากแบบเยาะๆ มือจับที่สายรัดเสื้อคลุมแล้วกระตุกออก วินาทีเดียวกันนั้นเองเพลงพิณก็ร้องกรี๊ดด้วยความตกใจ แต่ดันเบิกตาซะกว้างจ้องมายังสิ่งที่ถูกเปิดเผยเขม็ง
หญิงสาวกรีดเสียง กระทืบเท้า “โธ่ มีบ็อกเซอร์อยู่นี่นา ทำเอาตกอกตกใจหมด…ทีหลังอย่ามาทำให้ฉันหัวใจจะวายอย่างนี้อีกนะ ถามอะไรดีๆ ก็ตอบดีๆ สิ…” ตาเล็กประเมินว่าบ็อกเซอร์สีดำนั้นไม่รัดรูปก็พยักหน้าหงึกหงัก “…โอเค มีอะไรใส่ไว้ก็ดี แค่นอนเตียงเดียวกันก็แย่แล้ว อย่ามาอุตริเปลือยกายเลย…ขอบอกไว้ก่อนด้วยว่านี่เป็นข้อตกลงที่เพิ่มขึ้นมา…ห้ามแก้ผ้า หรือทำอะไรที่ไม่เหมาะอย่าง เอ่อ…ที่พวกผู้ชายเขาทำกันเวลาว่างๆ น่ะ…” หญิงสาวหน้าแดงเมื่อคิดภาพตาม แต่ก็จำเป็นต้องพูดกันให้เข้าใจ “สรุปว่าห้ามทำอะไรประเจิดประเจ้อเด็ดขาด ฉันตั้งใจไว้แล้วว่าตลอดชีวิตนี้จะเห็นอะไรๆ ของสามีตัวเองเท่านั้น”
คอนสแตนตินทำท่าเกาคอแบบยั่วโทสะ… “แล้วผมไม่ใช่สามีคุณหรือไง”
ตาสีน้ำตาลอ่อนลุกวาบ “อ๊ายยย…อย่าพูดแบบนั้นนะ อะไรๆ ก็รู้กันดีอยู่…ฉันจะนอนแล้ว” หญิงสาวค้อนปะหลับปะเหลือกแล้วเดินอ้อมเตียงมายังฝั่งตัวเองก่อนปีนขึ้นไปบนเตียง ขยับไปขยับมาสักพักก็หาท่าที่ดีได้ก็คือการนอนคว่ำเอามือซุกอก…คนตัวโตที่ยังมองมาส่ายหน้ากับท่านอนที่ดูไม่สบายตัวนั้น แต่ดูเหมือนเพลงพิณจะไม่ติดขัดอะไรแม้แต่น้อย ยังคงผงกหน้าขึ้นมาพูดอีก
“เอ๊า…รีบนอนเข้าสิค้า…จะยืนนิ่งเป็นเสาอยู่ทำไม นอนดึกแก่เร็วรู้หรือเปล่า” หญิงสาวเทศนา แต่พอเห็นอีกฝ่ายยังนิ่งเฉยก็เสริมต่อไปอีกว่า “…แล้วไม่ต้องคิดทำแบบในละครนะ ประเภทเอาหมอนข้างมากั้นเตียงน่ะ บ้าออก…หมอนแค่นั้น ดึกๆ ฉันนอนดิ้นก็เตะกระจุยแล้ว”
“ไม่เสียเวลาดูเรื่องไร้สาระ” ชายหนุ่มพูด เดินเอื่อยๆ มาที่เตียง และถอดเสื้อคลุม…คิดในใจว่าคงไม่มีสมาธิทำงานแน่ น่าจะลองนอนเร็วสักวัน เผื่ออาการนอนไม่หลับจะค่อยยังชั่วขึ้น มือแข็งแรงที่มีไรขนประปรายดึงผ้าห่มที่คนตัวเล็กเอาไปครองไว้คนเดียวก่อนจะพูดฉุนๆ “ปล่อยผ้าห่มมาบ้างสิ…ไม่งั้นจะสลัดให้ตกเตียงเลย”
คอนสแตนตินได้ยินเสียงจิ๊จ๊ะ ก่อนที่เพลงพิณจะลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง แล้วตวัดผ้าห่มมาให้เขาอย่างกระแทกกระทั้น “เป็นผู้ชายประสาอะไรเนี่ย จ้องแต่จะทำร้ายร่างกายคนอื่น…ฮึ เรื่องเมื่อสองปีก่อนน่ะ ฉันยังไม่ลืมนะที่คุณมา…ตีก้นฉัน เอาไว้ฉันค่อยคิดบัญชีกับคุณที่ปราสาทดีกว่า อยู่ที่นี่สายตาดุๆ ของญาติคุณน่ะยังกับสับปะรด”
ชายหนุ่มรู้สึกขำขึ้นมาในรอบสิบปี…ยายไม้จิ้มฟันนี่นะจะมาคิดบัญชีกับเขา…ตลกตายล่ะ “นอนซะทีเถอะ…พูดมากน่ารำคาญ…แล้วตอนกลางคืนอย่ามาโดนตัวผม ผมเป็นคนรู้สึกตัวไวและหลับยาก ถ้าคุณมาทำให้ตื่นล่ะก็…น่าดู” พูดจบคอนสแตนตินก็ปิดไฟ แล้วทรุดตัวลงนอนบนเตียง
เพลงพิณรู้สึกแปลกๆ เมื่อได้ยินเสียงลมหายใจลึกๆ และได้กลิ่นโคโลญผู้ชายลอยมาในอากาศจากปกติที่เป็นคนหลับง่าย ก็ดูเหมือนตาจะค้างแข็งขึ้นมาทันที…ถึงเขาจะเป็นเกย์ ทำตัวเหมือนหมีเหมือนหมาป่าที่พูดไปคำรามไป แต่ยังไงเขาก็เป็นผู้ชายที่มีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ เจ้าของแผ่นท้องแน่นปั๋งดูไร้ไขมัน…ที่เธอพูดมากเมื่อครู่ก็เพราะกลบความตื่นเต้นประหลาดๆ เท่านั้น ไม่เห็นจะอยากต่อล้อต่อเถียงเสวนากับเขาสักนิด…รอให้เธอไปที่เกาะมิครอสเสียก่อนเถอะ เธอกับเขาจะอยู่คนละปีกปราสาท วันๆ ไม่ต้องเจอหน้ากันให้อารมณ์เสียเลย แต่ขณะอยู่ที่นี่เธอต้องอดทน พยายามอย่าให้ญาติขี้งกขี้ระแวงของเขาผิดสังเกตไปมากกว่านี้ ไม่อย่างนั้นกว่าจะครบกำหนดจ้างงาน สงสัยคอนสแตนตินจะเป็นกำพร้า เพราะเธอคงสติแตกฆาตกรรมหมู่ครอบครัวเขาซะเหี้ยน…เอ่อ อาจจะยกเว้นยอร์โก้ไว้สักคน เพราะเขาไม่มีพิษไม่มีภัยและอัธยาศัยดี
คอนสแตนตินนอนชิดริมเตียงและกำลังพยายามทำใจให้ว่าง ตัดเรื่องกังวล และบังคับตัวเองให้หลับ แต่จู่ๆ เพลงพิณก็ผุดลุกขึ้นนั่งแล้วเปิดไฟหัวเตียง…นี่เธอจะทำบ้าอะไรอีกวะ
“จะทำอะไรหา!” เสียงใหญ่ตะคอก
“จะเปลี่ยนชุดนอนใหม่ ไม่ชอบชุดนี้” เสียงเล็กๆ ตอบก่อนที่เจ้าตัวจะลงจากเตียงและเดินตรงไปยังห้องแต่งตัว
คอนสแตนตินได้ฟังคำตอบก็หรี่ตา…ฮึ เธอวุ่นวายได้วันนี้วันเดียวแหละ รอไปเกาะมิครอสเสียก่อนเถอะ เขาจะให้เธอไปอยู่อีกปีกปราสาท อยากจะทำอะไรก็ทำไปในที่ทางของตัวเอง แต่ถ้ายังกวนประสาท ยังกวนใจ เขาก็จะจับไปขังในหอคอยซะเลย…หมดเรื่อง
เพลงพิณมาที่เตียงอีกครั้งด้วยกางเกงนอนแบบเดิมแต่เสื้อเปลี่ยนจากเสื้อแขนผ่าหน้าติดกระดุมแถวมาเป็นเสื้อสายเดี่ยวตัวหลวม เธอยังหอบชุดนอนชุดเก่ามาด้วย คนที่นอนมองการกระทำบ้าๆ นั้นอยู่บนเตียง ไม่เข้าใจเหตุผลเลยสักนิดเดียว แต่ก็ไม่อยากถาม มองเธอยัดชุดเสื้อผ้าส่งๆ ไว้ที่ใต้เตียงก่อนจะปิดไฟและนอนลงอีกที
“จะลุกขึ้นเปลี่ยนอะไรอีกไหม” เสียงทุ้มๆ ถามแดกดันในความมืด
น่าแปลกที่เสียงที่ตอบกลับมากลับสดใสมีแววซุกซน “อื้อ…นอนได้แล้วน่า นอนน้อยหน้าแก่นะจะบอกให้”
คอนสแตนตินเม้มปากอยู่ในความมืด…เขาอายุสามสิบห้า…และไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองแก่ สงสัยเธอจะแกล้งกวนประสาทเขามากกว่า
“ไม่ได้แกล้งนะ…เริ่มแก่แล้วจริงๆ ตีนกาตรึมเลย” เพลงพิณกระซิบง่วงๆ ราวกับรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ พอชายหนุ่มหายใจฟึดฟัดด้วยความโกรธ หญิงสาวก็หัวเราะคิกๆ ตามด้วยเสียงหาวยาวๆ ก่อนจะเงียบไป
ฝ่ายคอนสแตนตินก็ทั้งโมโหทั้งหมั่นไส้สลับกันไปหมด รำคาญและเกะกะลูกตาที่มีก้อนอะไรกลมๆ มาอยู่บนเตียง ปกติถึงเขาจะมีความสัมพันธ์กับผู้หญิง เขาก็ไม่เคยต้องมานอนพูดนอนคุยอะไรแบบนี้ เสร็จกิจกรรมก็นอนหลับหรือทำงานต่อ ไม่สนใจสักนิดว่าอีกคนบนเตียงจะอยู่หรือไป จะนอนท่าไหน แค่ตลอดคืนอย่ามาก่ายกอดให้เขารำคาญจนนอนไม่สนิท และตอนเช้าไม่เปิดม่านให้แสงมาส่องตาเขาเป็นอันพอ
ความคิดยังไม่ทันจะหยุดลง เพลงพิณก็กลิ้งสองตลบมาแนบชิดเขาที่นอนนิ่งอยู่ ดวงหน้าเล็กๆ เข้ามาซุกอก ขาเรียวของเธอก็ก่ายลงมาบนตัวเขาเหนือผ้าห่ม คอนสแตนตินคำรามในคอเบาๆ ก่อนจะผลักออกโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้สึกตัวตื่นแม้แต่น้อย…ชายหนุ่มเม้มปากแล้วพลิกกายหันหลังให้คนกวนอารมณ์ ก่อนจะรู้สึกว่าหนังตาตัวเองเริ่มหนักอึ้งซึ่งใช้เวลาน้อยที่สุดในรอบหลายปี
เพลงพิณเป็นคนตื่นเช้าเสมอ ถ้าก่อนนอนเหนื่อยมากหน่อยก็จะตื่นเจ็ดโมงเช้า แต่ถ้าไม่ได้เหนื่อยอะไรนักเธอก็จะตื่นหกโมง แล้วหาน้ำดื่มหนึ่งแก้วก่อนจะเริ่มออกกำลังกายและกินข้าวเช้าในปริมาณมาก หลังจากนั้นถึงจะเริ่มทำงานที่ต้องทำในแต่ละวัน…
ตอนที่หญิงสาวลืมตาตื่นขึ้นมาห้องยังคงสลัวอยู่จากการกรองแสงของม่านหนาหนักรอบห้อง แต่เธอเดาว่าน่าจะเกือบเจ็ดโมงเช้าแล้ว เพราะรู้สึกตื่นเต็มที่และกระปรี้กระเปร่า…และเมื่อสติเธอมาครบถ้วนเข้าจริงๆ หญิงสาวก็สะดุ้งโหยง
“พระเจ้าช่วยกล้วยปิ้ง…อ๊ากกก” หญิงสาวอุทานแทบไม่เป็นภาษา กระเด้งตัวออกจากอกกว้างตึงแน่นด้วยกล้ามเนื้อของคอนสแตนติน…เธอทำบ้าอะไรลงไป ที่นอนตั้งกว้างแต่เธอกลับดิ้นมายังฝั่งเขา…แล้ว แล้ว…ไม่ใช่แค่แนบซบกันแบบในละคร แต่นี่เธอเล่นนอนอยู่บนตัวเขาเต็มๆ เลย…โอย พระเจ้า
เสียงแหวๆ ของหญิงสาวเรียกให้ร่างสูงที่นอนหลับสนิทรู้สึกตัวตื่นขึ้น พอลืมตาขึ้นมาแล้วเห็นเพลงพิณนั่งอยู่ข้างกายเขาในสภาพหัวฟู ตาเรืองๆ อยู่ในความสลัว ชายหนุ่มก็ถอนใจ เลื่อนตัวพิงหัวเตียง แล้วมองคนข้างๆ ที่เอาแต่เบิกตามองเขา
“เป็นอะไรฮึ…แล้วนี่มาอยู่ฝั่งผมทำไม โน่น ไปนอนฝั่งของตัวเองโน่นสิ”
เพลงพิณเบิกตาโต…เนี่ยนะ รู้สึกตัวตื่นง่าย…เธอไปนอนอยู่บนตัวเขาทั้งตัวยังไม่รู้สึกเลย…ถอดวิญญาณไปดูดเลือดใครหรือเปล่าเนี่ย ถึงได้ไม่รู้สึก…
แต่ไม่ทันที่ทั้งสองจะได้ลับฝีปากกันอีกก็ได้ยินเสียงฝีเท้าด้านนอก เพลงพิณตาลุก เพราะคิดถึงเหตุการณ์แบบนี้ไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว เลยรีบทำตามแผนที่คิดไว้ตั้งแต่ก่อนนอน ร่างเล็กกระโจนพรวดไปที่ปลายเตียง คว้าเสื้อคลุมผ้าไหมสีดำที่คอนสแตนตินพาดไว้โยนไปที่พื้น ก่อนจะพรวดมายังข้างเตียง เอื้อมมือลงไปควานหาชุดนอนที่ยัดไว้ใต้เตียงเมื่อคืน พอได้แล้วก็โยนจนเกลื่อนพื้น แล้วดึงเสื้อสายเดี่ยวของตัวเองออกทางหัวเผยให้เห็นเสื้อเกาะอกตัวเล็กด้านใน และเท่านั้นก็ยังไม่พอ คนตัวเล็กหัวหูยุ่งไปหมดก็ฉุดกระชากร่างใหญ่ให้มาอยู่กลางเตียง พร้อมกับตวัดผ้าห่มมาคลุมเธอและเขาเอาไว้
ดังนั้นพอมีเสียงเคาะและประตูเปิดออกในเวลาต่อมา มาเรียกับโซเฟียพร้อมกับสาวใช้อีกสองคนที่ถือถาดตามมาก็เห็นภาพบนเตียงอย่างที่เพลงพิณตั้งใจไว้ว่าจะให้เป็น
“อ๊าย…คุณย่า คุณอา…ตกใจหมดเลยค่ะ” เพลงพิณกรีดร้องเมื่อประตูเปิดและเห็นคนที่เข้ามา ร่างเล็กที่โผล่พ้นผ้าห่มเพียงหัวไหล่เปลือยขาวสะอาดกระถดตัวลงไปในผ้าห่มด้วยอาการเอียงอาย แต่มือไม้ยังคงเกาะกอดร่างใหญ่โตของสามีกำมะลอที่เปลือยท่อนบนอยู่เช่นกัน
มาเรียมองภาพที่คนตัวเล็กเหมือนอยู่ในสภาพทาบทับกับคนอยู่ในเตียงด้วยสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ก่อนจะมองสบตาวาวๆ สีน้ำตาลด้วยอาการรังเกียจ…แหม มันคงจะร้อนแรงมากสินะ อย่างนี้เองถึงแม้ไม่ได้รักคอนสแตนตินก็ยอมแต่งงานด้วย แม่นี่คงจะยิ่งกว่าบรรดานางแบบ ดารา ที่เขาเคยคบหาเป็นไหนๆ…เสื้อผ้ากระจายไปทั่วห้อง ยังกับอดใจกันไม่ไหว…ทุเรศจริงๆ
หากโซเฟียมองภาพตรงหน้าแล้วยิ้มน้อยๆ ก่อนจะบอกผู้มีศักดิ์เป็นหลานชายและหลานสะใภ้อย่างอ่อนโยน “อาหารเช้าจ้ะ…ตามธรรมเนียมของครอบครัวเรา…”
เพลงพิณพยักหน้า แต่เมื่อเห็นว่าคอนสแตนตินเอาแต่นอนนิ่งไม่ช่วยกันทำมาหากินบ้างเลย เธอก็ทำท่าเอาปากไปแนบกับแก้มของเขาคล้ายกับจูบ แต่กระซิบเบาๆ “ตาบ้า ขอบคุณญาติๆ ของคุณซะสิ…พวกเขาจะได้ออกไปเร็วๆ”
หากแต่คนตัวโตทำเหมือนแกล้งเพราะยังคงนอนนิ่งเฉย หญิงสาวหมั่นไส้ขึ้นมาติดหมัดเลยเลื่อนมือในผ้าห่มไปจิกเล็บเข้าที่เอวเขาเสียทีหนึ่ง แล้วก็ยิ้มตาวาวเมื่อได้ยินอีกฝ่ายสูดลมหายใจเฮือกและดวงตาสีน้ำเงินของเขาก็วาบวับขึ้น…ทีอย่างนี้ล่ะทำมาโกรธ อีตอนสั่งให้ทำอะไรก็ไม่ทำ เฮอะ
หญิงสาวเลยต้องหันไปขอบคุณทั้งสองด้วยตัวเอง ก่อนจะเสริมเสียงอายๆ อีกว่า “คือ คงอีกสักพักล่ะค่ะกว่าเราจะได้จัดการกับอาหารเหล่านั้น…เพราะตอนนี้เรายุ่งอยู่”
หญิงสาวแทบหลุดหัวเราะออกมาเมื่อหญิงชรามีสีหน้าเก้อกระดาก ฝ่ายลูกสาวทำเหมือนรับไม่ได้และมองเธออย่างดูถูก…ส่วนคนใช้ที่เดินตามมาก็เผ่นออกไปตั้งแต่แรกแล้ว
“ฮู้ววว…” เพลงพิณพ่นลมหายใจทันทีที่บานประตูปิดลง แต่ยังคงไม่ขยับจากท่าทางหมิ่นเหม่นั้น และเมื่อคอนสแตนตินทำท่าจะลุก มือเรียวๆ ก็กดหน้าอกเขาไว้ก่อน
“อีกแป๊บหนึ่งสิ…เกิดย่ากับอาคุณย้อนกลับมาจะว่าไง…อิๆๆ ว่าแต่เมื่อกี้ทั้งสองคนดูอึ้งไปเลยเนอะ คราวนี้คงไม่กล้าสงสัยอะไรแล้วล่ะ คิกๆๆ”
คอนสแตนตินมองใบหน้ารูปหัวใจด้วยดวงตาที่ลุกเรืองด้วยอารมณ์หลายอย่างที่คุโชน เขาไม่สนใจคำพูดของเธอ สลัดร่างเล็กออกจากตัวแล้วลงจากเตียง หมายจะเดินไปที่ห้องน้ำ แต่เมื่อเดินไปได้แค่สามสี่ก้าว เท้าข้างหนึ่งกลับเหยียบกางเกงนอนของเธอ กับอีกข้างเหยียบกางเกงในสีขาวลายลิงยิ้ม คอนสแตนตินก็เลยคำรามระเบิดอารมณ์ เตะชิ้นส่วนเหล่านั้นกระจายไป
เพลงพิณเห็นอาการเหมือนคนพาลแบบนั้นก็ย่นจมูก “ไม่ต้องทำท่าเหมือนรังเกียจขนาดนั้นก็ได้น่า ชุดชั้นในฉันยังไม่ได้ใส่เลยนะ เอามาประกอบฉากให้สมจริงเท่านั้นเอง”
คอนสแตนตินหันมาตวาดกลับ “เงียบไปเลย…ลุกขึ้นมาจัดการตัวเองซะ ออกไปซื้อข้าวของที่ต้องการให้เสร็จภายในเช้านี้…ตอนบ่ายคุณกับบอดี้การ์ดแล้วก็ผู้ช่วยลงเรือไปมิครอสเลย พรุ่งนี้ผมถึงจะตามไป”
คนที่เขาสั่งยังทำเป็นลอยหน้าลอยตาไม่กระตือรือร้นสักนิด…คอนสแตนตินเม้มปากแล้วหันหน้าเดินไปยังห้องน้ำ…เขาไม่น่าให้เธอค้างที่นี่เลย แค่กินอาหารค่ำกับครอบครัวก็น่าจะพอแล้ว ถ้าป่านนี้เธออยู่ที่มิครอส พยายามหาเรื่องซนให้ตัวเองคอหักตาย เรื่องบ้าๆ แบบเมื่อครู่นี้ก็คงไม่เกิดหรอก…ผู้หญิงบ้า ไม่รู้จักคิด สมองเท่าเม็ดถั่ว…ใครเขาสั่งเขาสอนกันบ้างให้มายุกยิกบนตัวผู้ชายและยังมาจิกเล็บลงกับหน้าท้องแบบนั้น…โว้ย เครียด…นี่เขาทำอะไรลงไปเนี่ย…หายนะ…หายนะ
บทที่ 8…ปราสาทของเจ้าชายอสูร
เพลงพิณกับคณะอันประกอบด้วยบอดี้การ์ดสี่คนและผู้ช่วยสองคนมาถึงเกาะมิครอสทางด้านตะวันออกในช่วงเย็น เรือซึ่งเป็นทรัพย์สินของบริษัทเดินเรืออันเกลอสใช้เวลาถึงสี่ชั่วโมงกว่าจะมาถึงท่าเรือที่อ่าวด้านล่างผาสูงซึ่งเป็นที่ตั้งของตัวปราสาท เพลงพิณซึ่งใช้เวลาบนเรือให้เป็นประโยชน์ด้วยการสอบถามข้อมูลต่างๆ ที่จำเป็นต้องใช้ในการติดต่อกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการขออนุญาตตกแต่งและบูรณะปราสาท รวมถึงวางแผนงานคร่าวๆ กับผู้ช่วยส่วนตัวถึงกับหน้าแหยเมื่อเห็นโขดหินมากมายและคลื่นที่ม้วนตัวกระแทกหินเหล่านั้นจนเกิดฟองคลื่นกระฉอกฉาน
ถ้าคนบังคับเรือไม่มีความชำนาญและไม่รู้ร่องน้ำแถวนี้ดีล่ะก็ คงได้ตายยกลำกันก็คราวนี้…ไม่รู้เลยว่าระหว่างขึ้นเฮลิคอปเตอร์ที่เธอกลัวนักหนากับนั่งเรือนี่ ทางไหนจะปลอดภัยกว่ากัน…คนตัวเล็กในชุดกางเกงยีนเสื้อยืดสีสดคิดและทำหน้าหวาดเสียวขณะมองภาพหน้าผาสูงที่ใกล้เข้ามา
จากท่าเทียบเรือมีสะพานยาวไปจนถึงตัวหาด คนงานชายสี่ห้าคนจากปราสาทมายืนประสานมือรออยู่แล้ว ทันทีที่เรือจอด ทั้งหมดก็ช่วยกันลำเลียงข้าวของสัมภาระของเพลงพิณที่ขนมาจากเมืองไทยและซื้อใหม่เมื่อช่วงเช้าในห้างหรูของเอเธนส์
เพลงพิณช่วยหิ้วของทั้งที่ทีมของเธอพากันคัดค้าน หญิงสาวเดินมาตามสะพานจนมาถึงตัวหาดที่เป็นทรายหยาบๆ สีดำปนกรวด ก่อนจะตรงไปยังทางเล็กๆ ซึ่งเป็นทางลดเลี้ยวเลียบเขาตรงขึ้นสู่เชิงเขาเหนืออ่าวซึ่งคนงานรายงานว่าจะมีรถมารอรับ…กันดารได้ใจจริงๆ เพลงพิณนึกอยู่ในใจ แต่เธอซึ่งชื่นชอบกีฬาทั้งขี่ม้า ว่ายน้ำและออกกำลังกายโดยการเต้นเสมอถือว่าเรื่องแค่นี้จิ๊บๆ
ทั้งคนทั้งข้าวของมาถึงเชิงเขาซึ่งเป็นต้นทางของถนนที่จะขึ้นไปสู่ปราสาทก็พบรถสเตชั่นแวกอนกับรถกระบะสองคันจอดอยู่ หลังจากนั้นไม่กี่นาทีการเดินทางโดยรถก็เริ่มต้นขึ้น โดยถนนเป็นถนนดินธรรมดาๆ ที่มีความกว้างเพียงเลนเดียว รถไต่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ด้วยความชำนาญของคนขับ สักพักหนึ่งราวยี่สิบนาที เพลงพิณก็เห็นสถานที่อยู่และสถานที่ทำงาน…เอ่อ หรือจะพูดให้ถูกก็คือสถานที่จะแสดงฝีมือการออกแบบตกแต่งของเธอต่อคนทั้งโลก…ได้ชัดเจนขึ้น และหญิงสาวก็ห่อปากพร้อมกับถอนหายใจ
สิบนาทีต่อมารถก็ชะลอความเร็วที่ด้านนอกกำแพงปราสาทที่เริ่มผุพังเป็นบางส่วน…จุดสังเกตนี้ทำให้สถาปนิกสาวคิดว่าผู้สร้างปราสาทหลังนี้เมื่อราวๆ ห้าร้อยปีก่อนคงจะทะนงในชัยภูมิที่ตั้งปราสาทซึ่งอยู่บนยอดผาที่สูงชันเหนือผืนน้ำทะเลกว้าง จึงไม่ลงทุนกับกำแพงปราสาทที่ปกติต้องหนาเป็นฟุตๆ และแข็งแรงมากเพื่อป้องกันการโจมตี
ด้วยความที่ด้านนี้เป็นด้านทิศตะวันออกของเกาะ เพราะฉะนั้นแม้จะเหลือเวลาอีกราวชั่วโมงกว่าพระอาทิตย์จะลับหายไปหมด แต่บรรยากาศก็เริ่มสลัวลงมาก ปราสาทหินสีเทาทึมๆ ที่ถูกพืชไม้เลื้อยหลายพันธุ์เลื้อยเกาะ แต่ก็พอมองเห็นรูปทรงว่าเป็นรูปสี่เหลี่ยมที่มีเชิงเทินโดยรอบกับหอคอยแบบยอดตัดสี่ทิศเลยดูน่ากลัวราวกับปราสาทร้าง…หรือไม่ก็ปราสาทของผีดิบดูดเลือดไร้รสนิยม
รถทั้งสามคันทยอยกันแล่นผ่านสะพานเหล็กซึ่งเชื่อมส่วนที่เป็นคลองขุดรอบปราสาทที่ตอนนี้แห้งขอดกับพื้นที่ตัวปราสาทด้านในที่ยังมีกำแพงชั้นในอีกที ประตูเหล็กเปิดรอท่าอยู่แล้วทั้งสองบาน รถทั้งสองจึงแล่นเข้าไปจอดยังลานดินกว้างหน้าตัวปราสาท ซึ่งตรงทางขึ้นเป็นทางเดินลดหลั่นกันเป็นขั้นบันไดทำจากหินอ่อน
เพลงพิณลงจากรถโดยไม่รอคนเปิดประตูให้ หญิงสาวยิ้มรับเหล่าคนงานที่มายืนเข้าแถวรอรับที่ลานกว้างหน้าปราสาท ก่อนจะหันมาหาบอดี้การ์ดและผู้ช่วยทั้งสองที่ยืนอยู่ข้างๆ
“เฮ้ ทีม…นี่คือบ้านของพวกเรานะ” หญิงสาวยิ้มให้พวกเขาทั้งหกที่ทั้งนั่งเรือ เดิน และนั่งรถมาด้วยกันเสียครึ่งค่อนวัน “…หวังว่าทุกคนคงมีความสุขที่นี่นะ”
ความรื่นเริงแจ่มใสและเป็นกันเองของนายหญิงทำให้เหล่าชายเงียบขรึมเฉยชาสมกับมีอาชีพรักษาความปลอดภัยที่ไม่ค่อยมีเรื่องราวรื่นรมย์ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่พากันยิ้มน้อยๆ มองคนตัวเล็กจิ๋วเมื่อเทียบกับร่างใหญ่อย่างกับกำแพงของพวกเขาอย่างเอ็นดู
ชายหญิงแต่งกายดีคู่หนึ่งซึ่งอยู่หัวแถวของคนงานอีกนับสิบชีวิตก้าวตรงมาหาผู้ที่เป็นนายหญิงคนใหม่ ใบหน้าที่ตอนแรกก้มอยู่อย่างสุภาพแหงนเงยเมื่อกล่าวทักทาย ทันใดนั้นเองเพลงพิณตาเบิกโพลงร้องอุทานออกมาอย่างคาดไม่ถึง
“เอวาน!” …นายพ่อบ้านผีดิบมาทำอะไรที่นี่เนี่ย
ใบหน้าเคร่งขรึมเจ้าระเบียบของพ่อบ้านวัยสี่สิบกลางๆ มีแววสมใจอะไรบางอย่าง แต่ก็ยังคงสุภาพกับนายหญิงคนใหม่ของปราสาท
“ท่านผู้หญิงโซเฟียกับคุณมาเรียสั่งให้ผมมาช่วยนายหญิงดูแลปราสาทน่ะขอรับ เพื่อที่นายหญิงจะได้มีเวลาอยู่กับนายท่านคอนสแตนตินได้เต็มที่สมกับที่เพิ่งแต่งงานกันใหม่ๆ ขอรับ”
นรกน่ะสิ!…เพลงพิณร้องอุทานอยู่ในใจ นึกว่าเธอโง่หรือไงที่จะดูเจตนาของสองแม่ลูกนั้นไม่ออก…คนตัวเล็กที่วางแผนจัดการกับชีวิตไว้มากมายถึงกับปวดขมับ ยกมือเกาหัว…อ๊ายยย เวียนเฮดจริงๆ…แล้วเธอจะต่างคนต่างอยู่กับสามีกำมะลอของตัวเองยังไงล่ะเนี่ย ในเมื่อคุณอาแสนเย็นชากับคุณย่าเจ้าระเบียบส่งสปายมาดูงานแทนแบบนี้…ว้อย กลุ้มใจจริงวุ้ย
ถึงจะเซ็งจิต แต่เพลงพิณก็พยายามปั้นหน้ายิ้มแย้ม…เธอผ่านเรื่องคับขันและก่อเรื่องน่าเหลือเชื่อมานักต่อนักแล้ว กับอีแค่พ่อบ้านแข็งทื่อ เจ้าระเบียบคนหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องใหญ่สักนิด… หญิงสาวอมยิ้ม หันไปหาผู้หญิงร่างอวบนิดๆ ที่ยืนอยู่ข้างเอวาน ไม่ทันจะทักอีกฝ่ายก็แนะนำตัวว่าชื่อไอริส เป็นหัวหน้าแม่บ้าน มีหน้าที่ดูแลด้านอาหารและความสะอาดทุกซอกทุกมุมของปราสาท…ไอริสยังฝากเนื้อฝากตัวอีกว่าต่อไปนี้คงต้องรับคำสั่งจากหญิงสาวในฐานะนายหญิงของปราสาท
เพลงพิณโบกไม้โบกมือเมื่อรู้สึกว่าเรื่องน่าจุกจิกเสียเวลาทำท่าจะหล่นลงมาใส่บ่า “อย่าลำบากเลยจ้ะไอริส…เคยอยู่ยังไงก็อยู่ไปแบบนั้นล่ะ ฉันไม่ใช่คนจู้จี้อะไร…ส่วนใหญ่ฉันก็จะวุ่นวายอยู่กับการตกแต่งปรับปรุงปราสาทน่ะ คงไม่มีเวลาดูแลเรื่องอื่นหรอก”
เพลงพิณเห็นจากหางตาว่าเอวานทำท่าสนใจที่เธอพูด พร้อมกับคิ้วสีน้ำตาลของเขาเลิกสูงขึ้นนิดหนึ่ง…สงสัยจะเก็บไปรายงานศูนย์บัญชาการล่ะมั้ง…หญิงสาวคิด แต่ก็ไม่สนใจอะไร หันไปตอบรับการทักทายจากคนงานคนอื่นๆ อีก ซึ่งมีทั้งเชฟชาวฝรั่งเศสกับผู้ช่วยอีกสาม นอกจากนั้นยังมีคนงานในหน้าที่ต่างๆ เกือบสี่สิบคน ซึ่งเพียงแต่ทักทายนายหญิงคนใหม่พร้อมๆ กัน แต่ไม่ได้รับการบอกบทให้แนะนำตัวเป็นรายคน
เอวานเริ่มทำหน้าที่ บงการเสียงเข้มงวดให้คนงานขนของเข้าไปในปราสาทพร้อมกับเดินตามไปควบคุมดูแล ส่วนไอริสก็ตามเพลงพิณที่กำลังเดินไปยังทางเข้าตัวปราสาทพร้อมกับบอดี้การ์ดและผู้ช่วย
“…ส่วนสาวใช้ส่วนตัวของคิริอาเพลงพิณ ดิฉันจะส่งเด็กสักสามคนขึ้นไปให้คิริอาสัมภาษณ์ดูนะเจ้าคะว่าถูกใจคนไหน”
เพลงพิณพยักหน้า ขณะสายตามองสถานที่โดยรอบ ซึ่งสิ่งที่เห็นก็ทำให้หนักใจอยู่นิดๆ ที่เคยเห็นเมื่อสองปีก่อน สภาพยังไม่แย่ขนาดนี้เลย คงต้องปรับปรุงกันขนานใหญ่เชียวล่ะ ถึงจะมีงบไม่อั้น แต่ไม่รู้เลยว่าสามปีจะเสร็จทั้งหมดหรือไม่ นับแต่นี้ต่อไปงานคงล้นมือเธอแน่ๆ
ดวงตารูปเม็ดอัลมอนด์ที่ยังคงสำรวจสิ่งต่างๆ เบิกโตขึ้นเมื่อเห็นคนงานหญิงคนหนึ่งที่ดูคุ้นตากำลังหิ้วกระเป๋าผ่านไป ปากเป็นกระจับยกขึ้นตามประสาคนอารมณ์ดีคลี่ยิ้ม ก่อนจะร้องเรียก
“อันน่า…อันน่าใช่ไหม”
คนงานหญิงวัยยี่สิบกว่าปีหยุดชะงัก ก่อนจะวางของลงและย่อกายทำความเคารพ แต่เพลงพิณปราดเข้าไปหาและจับแขนทักทายอย่างเป็นกันเอง “โอ๊ย อันน่าจริงๆ ด้วย…แหม เมื่อกี้ไม่ยอมทักทายกันเลยนะ…ฉันก็มัวแต่ยุ่งๆ น่ะ เลยลืมถามถึงอันน่าซะสนิทเลย แต่ลืมถามนะ ไม่ได้ลืมอันน่าหรอก…นี่ฉันยังซื้อของมาจากเมืองไทยเลย ซื้อมาทั้งที่ไม่รู้ว่าอันน่ายังทำงานอยู่ที่นี่หรือเปล่าน่ะ…ถามท่านเคานต์ เอ๊ย คุณคอน เขาก็บอกไม่รู้ ไม่รู้จัก จำหน้าไม่ได้…แย่จริงเนอะ”
อันน่าแก้มเป็นสีแดงด้วยความดีใจและเขินอาย ไม่คิดว่าแขกแสนซนที่เคยมาพักที่นี่เมื่อสองปีก่อนซึ่งกลายมาเป็นนายหญิงจะจำเธอได้ ทักทายอย่างสนิทสนมและยังซื้อของมาฝากอีกด้วย…น่ารัก มีน้ำใจจริงๆ
เพลงพิณหันไปถามแม่บ้าน “ฉันเลือกคนสนิทได้แล้วล่ะไอริส…นี่ไง โอเคไหม”
ไอริสยิ้ม ดีใจที่เพลงพิณถูกใจอันน่า เพราะหญิงสาวก็เป็นญาติห่างๆ ของเธอเอง “ได้สิเจ้าคะ”
เพลงพิณดีใจ หันไปหาบอดี้การ์ดและผู้ช่วย…ซึ่งเธอเรียกรวมกันว่า ‘ทีม’ “นี่นิค บุช ดอน สตีเฟ่นจ้ะ…เป็นบอดี้การ์ดของฉันเอง…ส่วนผู้ชายท่าทางเนี้ยบๆ สองคนนี้มากิสกับริคจ้ะ เป็นฝ่ายบุ๋น จะมาช่วยฉันทำงาน”
อันน่ายิ้มอายๆ ให้กับทุกคน จนกระทั่งถึงสตีเฟ่นที่มีรูปลักษณ์ค่อนข้างข่มขวัญ หญิงสาวก็หลบตาไม่กล้าจ้องดวงตาสีฟ้าเข้มนั้น ฝ่ายเพลงพิณก็หันไปมองชายหนุ่มเช่นกัน และก็ยิ้มให้พร้อมกับสั่งกึ่งขอร้อง “สตีฟ ตัวโตแข็งแรง…หิ้วของแทนอันน่าหน่อยได้ไหม เพลงมีอะไรจะคุยกับอันน่าเยอะแยะ…นะจ๊ะ”
สตีเฟ่นรับคำและเดินไปหยิบกระเป๋าใบโตที่วางอยู่บนพื้นใกล้กับหญิงสาวร่างโปร่งในชุดกระโปรงน้ำเงินและเสื้อขาว รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมานิดหนึ่งเมื่อคนตรงหน้าถอยหลังไปก้าวหนึ่งคล้ายกับตกใจที่เขาเข้าใกล้
เพลงพิณ ไอริส อันน่า และทีมงานของเพลงพิณเดินผ่านห้องโถงใหญ่และขึ้นบันไดกว้างมายังชั้นสอง ที่นั่นเอวานรออยู่แล้วพร้อมกับเชิญชายหนุ่มทั้งหกคนไปยังห้องพัก เพลงพิณโบกมือลาให้ทั้งหมดจัดการกับธุระส่วนตัว ก่อนจะนัดแนะเวลารับประทานอาหาร ขณะหญิงสาวกับอันน่าเดินตามไอริสขึ้นไปยังชั้นสามและชั้นสี่ซึ่งเป็นชั้นบนสุด หัวหน้าแม่บ้านก็บอกคร่าวๆ ว่าชั้นสองนั้นเป็นที่พักของผู้ช่วยทั้งสามและบอดี้การ์ดแต่ละชุดของคอนสแตนตินซึ่งมีครั้งละห้าคนและจะเปลี่ยนหน้ากันไปตามคำสั่งของเจ้าของปราสาท เพลงพิณพยักหน้าหงึกหงัก ตอนอยู่ในเรือทีมของเธอก็เล่าให้ฟังสั้นๆ ว่าพวกเขาสังกัดในบริษัทรักษาความปลอดภัยอันดับหนึ่งในอเมริกาซึ่งมีคอนสแตนตินเป็นหุ้นส่วนใหญ่ ทุกคนที่นั่นล้วนเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์นับสิบปี เคยทำหน้าที่คุ้มกันให้กับทั้งนักธุรกิจใหญ่ นักการเมือง รวมถึงเชื้อพระวงศ์มาแล้ว
ชั้นสามเป็นที่พักสำหรับแขก แต่ไม่เคยมีแขกมาที่ปราสาทสักครั้ง ที่มีมาบ้างก็คือย่าและครอบครัวของอาคอนสแตนตินซึ่งมาเพียงปีละสองสามครั้งเท่านั้น เพลงพิณได้ฟังก็ยิ้มดีใจและนึกกระหยิ่มใจว่าให้อะไรๆ เข้าที่เข้าทางและคอนสแตนตินตายใจสักพัก เธอจะชวนเพื่อนมาเที่ยวที่นี่แบบครบเซ็ต
พอมาถึงชั้นสี่ หญิงสาวก็รู้สึกถึงลมโชยมาเบาๆ และผิวกายก็เย็นวูบ…บรรยากาศแบบนี้ ที่นี่ต้องเป็นอาณาจักรส่วนตัวของคอนสแตนตินแน่ๆ เธอจำได้แล้ว เพราะคราวก่อนเธอก็พักที่ชั้นนี้ แต่โน่น…คอนสแตนตินให้เธอไปอยู่เสียด้านหลังโน่น จำได้ว่าอยู่ใกล้กับโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ด้วย
“ชั้นสี่นี่เป็นพื้นที่ของท่านคอนสแตนตินทั้งหมดเจ้าค่ะ” ไอริสรายงานเมื่อเดินผ่านห้องต่างๆ ที่บานประตูปิดสนิท “…ท่านปรับเป็นห้องทำงานเล็ก ห้องทำงานใหญ่ ห้องประชุม ห้องหนังสือ ห้องชมภาพยนตร์…ชั้นนี้มีห้องชุดสี่ห้อง แต่ละห้องก็กระจายไปตามมุมทั้งสี่ของปราสาท…ส่วนห้องชุดที่เป็นห้องของท่านกับคิริอาเพลงพิณอยู่ด้านที่เรากำลังไปกันนี่แหละเจ้าค่ะ อยู่เหนือจุดที่เป็นหน้าผาพอดี พอมองออกนอกหน้าต่างจะเห็นวิวมหาสมุทรและพระอาทิตย์ขึ้น สวยงามมากเจ้าค่ะ”
เพลงพิณยิ้มแห้งๆ ทำหน้าเออออไปกับอีกฝ่ายด้วย…เซ็งนิดๆ ที่ต้องอยู่ใกล้ท่านเคานต์แดร็กนั่น …เดินกันมาตามทางเดินยาวครู่หนึ่ง ทั้งสามก็มาหยุดที่หน้าห้องที่อยู่มุมสุด ไอริสส่งยิ้มและเปิดประตูไม้หนาหนักสีเข้มเข้าไปก่อน
“โอ้…” เพลงพิณร้องอุทานเบาๆ เมื่อก้าวเท้าตามไอริสเข้ามา ตื่นตาตื่นใจกับบรรยากาศด้านในห้องที่อบอุ่นด้วยแสงไฟสีทองอย่างที่สุด ห้องนี้ลักษณะการใช้สอยคงเป็นห้องนั่งเล่น ที่พื้นมีพรมผืนใหญ่ทอลวดลายแปลกตาสีน้ำเงิน ดำ แดง และทอง ประตูสองบานคู่เปิดอ้าไปสู่ระเบียงกว้างขวางที่เห็นวิวผืนน้ำสีน้ำเงินเข้มที่จวนจะเป็นสีดำเพราะความมืดอยู่ลิบๆ ลมกระโชกเข้ามาจนผมเป็นลอนๆ ปลิวระใบหน้า เพลงพิณมองไปรอบๆ ห้องอย่างรู้สึกเบิกบาน ออกแบบนั่นนี่ในใจให้วุ่นวายไปหมด
“นั่นบันไดอะไรจ๊ะ” เพลงพิณชี้ไปยังบันไดเวียนทำจากเหล็กหนาที่อยู่มุมห้อง ซึ่งทอดสูงขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง
“ทางลัดขึ้นหอคอยเจ้าค่ะ”
ในใจเพลงพิณร้องวี้ดว้าวคึกคัก…เธอแทบรอให้ถึงพรุ่งนี้ไม่ไหว อยากลงมือสำรวจให้ทั่วเต็มทีแล้ว อีกไม่นานเธอคงพบห้องลับที่คาใจมาตลอดสองปี หญิงสาวตัดใจกับหอคอยก่อนจะเดินลึกเข้ามาในห้องแล้วก็พบประตูอีกบานหนึ่ง
“อ๋อ ประตูนี้เปิดไปสู่ห้องท่านคอนสแตนตินกับคิริอาไงเจ้าคะ ข้างๆ ยังมีห้องอีกห้องหนึ่ง เป็นห้องว่างที่ประตูถึงกัน…เอ่อ เอวานน่ะเจ้าค่ะ รับคำสั่งจากคุณท่านโซเฟียมาจัดห้องให้คิริอาเพลงพิณพักอยู่ในห้องนอนใหญ่เลย…ไม่ทราบว่าคิริอาอยากใช้ห้องเล็กเป็นห้องนอนสำรองไหมเจ้าคะ ดิฉันจะได้จัดให้”
เธอคิดว่าไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าคนที่รักกันจะอยากห่างกันบางเวลาและมีโลกส่วนตัวบ้าง ก็เลยตอบไปสบายๆ “อยากจ้ะ…เอ้อ บางคืนคุณคอนเขาทำงานดึกน่ะ เขากลัวจะรบกวนฉัน…มีห้องพักผ่อนอีกห้องหนึ่งก็ดีเหมือนกัน”
ทั้งสามเดินเข้ามาในห้องนอนของคอนสแตนติน เพลงพิณสัมผัสได้ถึงความเป็นตัวตนของเขาที่อบอวลอยู่ในห้องนี้ ทั้งความเคร่งขรึม เงียบสงบ เย็นชาคละเคล้ากับเดียวดาย หญิงสาวมองช่องประตูที่เปิดออกสู่ระเบียงกว้างที่เห็นเพียงเวิ้งอากาศเหนือหน้าผา…หญิงสาวห่อไหล่นิดๆ หันมาสนใจกับหัวหน้าแม่บ้านที่รายงานถึงประตูอีกสองบานที่อยู่ในห้อง บานที่อยู่ตรงมุมห้องจะเปิดไปสู่ห้องอาบน้ำและห้องแต่งตัว ส่วนบานตรงหน้าเธอเป็นบานที่เปิดไปสู่ห้องนอนสำรอง เพลงพิณยิ้มและรีบเปิดสำรวจ
“แหม เหมาะเลย…ไอริสจัดห้องให้ฉันด้วยนะ” หญิงสาวสั่งการ รู้สึกชอบใจกับเตียงสี่เสาหลังใหญ่ที่อยู่กลางห้องจับใจ ไม้สีน้ำตาลแดงแกะลวดลายเครือเถาละเอียดยิบ เสาเตียงทั้งสี่แกะสลักเป็นรูปเทวดาน้อยตัวอ้วนกำลังถือเครื่องดนตรี ช่อดอกไม้ แก้วไวน์ และผลแอปเปิ้ล…นี่ถ้ามีที่นอนนุ่มๆ ผ้าปูฟูๆ สีพีชหรือชมพูและมีม่านรอบเตียงพลิ้วๆ คงดูไม่ต่างจากเตียงเจ้าหญิง…เพลงพิณหันไปขอสิ่งที่ต้องการกับแม่บ้านทันที
ไอริสรับคำ ก่อนจะแนะนำเสียงเกรงใจ “คิริอาเดินทางมาเหนื่อยๆ ให้อันน่าช่วยอาบน้ำนะเจ้าคะ… พรุ่งนี้ไอริสจะจัดการเรื่องห้องนอนสำรองให้เจ้าค่ะ”
ครอบครัวพิริยศิลป์ชอบแสดงออกทั้งคำพูดและการสัมผัส เพลงพิณจึงตรงเข้าไปบีบมือแม่บ้านเบาๆ “ขอบคุณมากจ้ะไอริส…แหม เพิ่มฉันกับทีมอีกหกคนมาอยู่ด้วย ไอริสคงวุ่นวายแย่เลย”
ไอริสยอบกายและรีบปฏิเสธ “ไม่ค่ะไม่…พวกเราดีใจกันมาตลอดทั้งเดือนเลยเจ้าค่ะตั้งแต่รู้ว่าจะมีนายหญิง…ที่นี่ เอ่อ เงียบเหงามากเจ้าค่ะ” แม่บ้านมองร่างเล็กในเครื่องแต่งกายของเด็กวัยรุ่นก่อนจะเอ่ยขึ้นเหมือนไม่แน่ใจ “แล้วพวกเราก็หวังอยากให้คิริอากับท่านคอนสแตนตินมีคุณหนูกันเร็วๆ ด้วยนะเจ้าคะ”
เพลงพิณหน้าแดง…อดเหลือบมองไปยังอีกห้องที่มีเตียงใหญ่มหึมาไม่ได้…แง้ว… “เอ้อ จ้ะ…ขอบใจทุกคนมากนะ…โอ้ว ชักเหนื่อยเหมือนกัน เดี๋ยวฉันขออาบน้ำก่อนก็แล้วกันนะ แล้วจะลงไปกินข้าวเลย…หิวมากๆ”
ไอริสทำท่าวุ่นวายใจ “ตายจริง ให้ดิฉันจัดของว่าง…”
เพลงพิณรีบโบกมือขัด “ไม่ต้องจ้ะ ไม่ต้อง…เดี๋ยวกินอาหารค่ำเลยทีเดียว…ถ้าไอริสจะลงไปข้างล่าง ฝากย้ำกับทีมฉันด้วยนะว่าอีกหนึ่งชั่วโมงกินข้าวกัน”
คืนนั้นเพลงพิณเข้านอนด้วยท้องที่อิ่มแปล้ เชฟของคอนสแตนตินฝีมือดีมากๆ มากจนไม่น่าเชื่อว่าจะมาอยู่ในที่ลึกลับ หมกตัวเป็นช้างเผือกในปราสาทมืดอย่างนี้…แต่คิดอีกทีการให้บริการนายผู้ชายและคนสนิทผู้ชายอีกเป็นโขยง ซึ่งดูแต่ละคนก็คงเป็นแบบไม่มีปากเสียง มีอะไรก็กิน ก็คงสบายใจดีไปอีกแบบ
เพลงพิณตามเข้าไปเยี่ยมเชฟและผู้ช่วยรวมถึงคนงานอีกหลายคนถึงในครัวเพื่อขอบคุณสำหรับอาหารมื้อพิเศษด้วยตัวเอง นอกจากนั้นผลพลอยได้ก็คือหญิงสาวได้เห็นครัวทันสมัยและกว้างขวางพอที่จะทำอาหารเลี้ยงรับรองแขกได้มากถึงร้อยคนเลยทีเดียว ตาเรียวๆ ของคนช่างกินเบิกกว้างนิดหนึ่งเมื่อเห็นตู้เย็นสีเงินแสนทันสมัยเรียงรายกันตลอดแนวผนังห้องครัว…ตู้เย็นมากก็แปลว่าอาหารต้องมากไปด้วย นายหญิงคนใหม่ร้องฮิฮะในใจและอุทาน…เยี่ยมกู้ด
แสงแดดในยามเช้าลอดผ่านรอยแยกของม่านหน้าต่างและประตูเข้ามาโลมเลียใบหน้ารูปหัวใจที่กำลังหลับตาพริ้ม ผิวขาวราวกับหิมะมีสีทองอ่อนๆ ของแดดมาแตะแต้ม ส่งผลให้แพขนตาที่สะท้อนเงาบ่งบอกถึงความมีสุขภาพดีเริ่มขยุกขยิก
“ตื่นก็ได้…ฮ้าววว” ปากบางเป็นกระจับหาวยาวเหยียด แขนเรียวบิดขี้เกียจไปซ้ายทีขวาที ก่อนจะรู้สึกว่าตัวเองนอนชิดริมเตียงมากๆ เพราะมือปัดไปถูกของบางอย่างที่โต๊ะเล็กข้างเตียง
เคร้งงง…เสียงวัตถุคล้ายระฆังเงินใบจิ๋วตกกระทบพื้นหินอ่อนทำให้ตาที่ยังปรือๆ ถึงกับเบิกโพลง
“เย้ยยย…อะไรวะนั่น” คนตัวเล็กในชุดนอนสายเดี่ยวกางเกงขายาวอุทานไม่สมเป็นหญิง ก่อนจะพลิกตัวเอาหัวห้อยไปใต้เตียง แล้วใช้มือควานๆ หาต้นกำเนิดเสียง
“แหม…เจ้านี่นี่เอง” หญิงสาวหยิบกระดิ่งเงินแท้สลักลวดลายแบบมีด้ามจับมาถือไว้ ส่งผลให้สิ่งในมือส่งเสียงกรุ๋งกริ๋งขึ้นมาอีก ยังไม่ทันที่จะทำอะไรกับมัน เสียงอันน่าก็ร้องทักทายรายงานตัวอยู่หน้าประตู
“ฉันตื่นแล้วอันน่า ห้องก็ไม่ได้ล็อก เข้ามาสิ” เพลงพิณวางกระดิ่งเจ้ายศเจ้าอย่างไว้ที่หัวเตียง…ไอริสรายงานว่าเธอกับคอนสแตนตินมีแบบนี้คนละอัน เอาไว้ส่งเสียงเรียกคนรับใช้ หญิงสาวบอกไปแล้วว่าไม่ต้องการ เธอทำอะไรด้วยตัวเองได้ แต่อีกฝ่ายก็ไม่ฟัง ยังดื้อเอามาวางไว้ใกล้มืออีก
อันน่าเข้ามาในห้องด้วยชุดแต่งกายเหมือนๆ กับคนงานหญิงคนอื่นๆ…กระโปรงแบบเรียบสีน้ำเงินกับเสื้อขาว…ไม่มีเอกลักษณ์อย่างแรงในความคิดของนายหญิงคนใหม่ สักวันเธอจะเปลี่ยนเครื่องแบบของคนที่นี่เป็นกางเกงยีนเสื้อยืดให้หมดเลย
“กาลีเมร่าเจ้าค่ะคิริอาเพลงพิณ…ตื่นเช้าจังนะเจ้าคะ” คนสนิททักทายยิ้มแย้ม
“จ้า…หวัดดีตอนเช้า…ก็เพราะแดดกับกระดิ่งของอันน่านั่นแหละ…” หญิงสาวนั่งห้อยขาลงข้างเตียง รอให้สมองเข้าที่เข้าทางค่อยเปลี่ยนอิริยาบถ
“คิริอาจะรับน้ำเปล่าหรือน้ำส้มคั้นสดดีเจ้าคะ ตื่นนอนใหม่ๆ แบบนี้” อันน่าถามเสียงใส มองเจ้านายสาวที่ดูตัวเล็กและอ่อนเยาว์ราวกับเด็กสาวๆ ด้วยสายตาละมุนละไม
โอ้ว มีอาหารให้กินตั้งแต่ลืมตาตื่นเลยวุ้ย…เพลงพิณคิดในใจ ก่อนจะตอบ “อืม สองอย่างเลยก็ดีจ้ะ…อย่างละนิดพอนะ…เดี๋ยวฉันไปจัดการตัวเองก่อน” พูดจบหญิงสาวก็เดินเกาสะโพกตรงไปยังห้องน้ำกว้างขวางที่เธอรู้จากอันน่าเมื่อค่ำวานว่าต้องใช้ร่วมกับคอนสแตนติน…เฮ้อ แย่จัง
เสร็จจากอาหารเครื่องดื่มเบาๆ ยามเช้า เพลงพิณก็เดินไปสูดอากาศบริสุทธิ์ที่หน้าต่าง รับลมเล่นสักพักก็หันมาหาอันน่าที่มีใบหน้ายิ้มตลอดเวลา
“ฉันอยากออกกำลังกายอ่ะอันน่า…ที่ไหนทำได้บ้างเนี่ย”
“ที่ชั้นล่างมีห้องออกกำลังกาย มีสระว่ายน้ำในร่ม สนามแบดมินตัน สระว่ายน้ำด้านนอกและสนามเทนนิส…และเอ่อ มีม้าสองตัวด้วยเจ้าค่ะ”
เพลงพิณหันขวับและตาเล็กเบิกโตเท่าไข่ห่าน “ม้า…ม้าที่ร้องฮี้ๆ น่ะนะ…” พออีกฝ่ายพยักหน้าและหัวเราะเบาๆ คนตัวเล็กก็ร้อง “เยี่ยมกู้ด”
เพลงพิณรักการขี่ม้ามาก…ทั้งที่ออกจะสงสารม้าที่ต้องแบกคนและวิ่งวนบ้าง วิ่งไปกลับบ้าง บางทีก็ต้องกระโดดข้ามสิ่งกีดขวางทั้งที่มีทางให้อ้อมไปได้ และยิ่งคนขี่ทำเท่เอาแฟนของตัวเองไปนั่งด้วยกันเลียนแบบพระนางในละครหญิงสาวก็ยิ่งแอนตี้ เพราะสงสารม้าที่ต้องรับน้ำหนักร้อยกว่ากิโลนั่น…แต่เธอก็รู้ดีว่าม้าดีๆ แข็งแรงๆ จำเป็นต้องวิ่งออกกำลังกายอย่างเพียงพอ
“เพอร์เฟ็กต์จริงๆ…ชีวิต…เอาล่ะ ถ้าเป็นชั้นล่าง ฉันขี้เกียจต้องแต่งตัวลงไปอ่ะ ขอเต้นแอโรบิกบนนี้ก่อนก็แล้วกัน นี่ฉันจะเปิดเพลงที่ไหนได้บ้างเนี่ย”
สิ่งที่จะตอบสนองในสิ่งที่เพลงพิณต้องการได้คือห้องดูหนัง ที่มีระบบเครื่องเสียงสุดยอดและมีให้เลือกระหว่างดังอยู่ภายในห้องหรือดังทั่วทั้งชั้นสี่…อันน่าเพิ่มเติมว่า บางทีคอนสแตนตินก็จะอารมณ์สุนทรีย์เปิดเพลงคลาสสิกหรือไม่ก็เพลงโหมโรงโอเปร่าให้ดังไปทั่วทั้งชั้นขณะนั่งทำงานอยู่ในห้อง
ด้วยความที่อยากเทสต์ความก้องกังวานของเสียง เพลงพิณจึงเลือกให้เพลงดังก้องไปทั่ว แล้วหญิงสาวก็ออกไปเต้นรับลมที่ระเบียงกว้างด้านตรงข้ามห้องชุด อันน่าและคนงานอีกนับสิบชีวิตที่กำลังทำความสะอาดชั้นสามกับชั้นสี่ได้ยินเพลงฮิพฮ็อพชื่อดังเป็นชุดเรียงกันไม่หยุด ขณะเสียงใสๆ ของนายผู้หญิงก็ร้องเพลงที่มีท่อนสบถบ้างสัปดนบ้างให้ลั่นไป
ปกติเวลานายท่านคอนสแตนตินอยู่ ปราสาทจะเงียบสงบชนิดที่ได้ยินเสียงลมเสียดแทรกช่องว่างของก้อนอิฐ พวกเขาซึ่งต้องทำงานในส่วนต่างๆ รู้กิจวัตรของนายท่านเป็นอย่างดี…ก่อนสิบโมงจะไม่มีการส่งเสียงใดๆ อย่างเด็ดขาด ถึงจะเลยสิบโมงพวกเขาก็ยังต้องระวัง ถ้าหลบได้ก็หลบ จะไม่มีการเพ่นพ่านให้นายท่านที่รักความเป็นส่วนตัวอย่างที่สุดต้องหงุดหงิดใจ
วันนี้นอกจากเสียงเพลงดังสนั่นก้องไปจนถึงชั้นล่างแล้ว เหล่าคนงานยังตะลึงกันไปเป็นพักๆ เมื่อนายหญิงร้องเพลงท่อนที่หมิ่นเหม่มาก
“ฉะ ฉัน อยากจะอยู่บนตัวเธอ…เธ้อ เธอ แค่เธอ…แค่บนตัวเธอ…โย้ว โย้ว…หนึ่ง สอง สาม” พอเสียงร้องเพลงเงียบไป พวกเขาก็ได้ยินนายหญิงร้องทักบอดี้การ์ดของเธอที่มาออกกำลังกายกันที่ระเบียงชั้นสอง…นายหญิงที่ตัวเล็กนักแต่พลังเสียงนั้นยิ่งใหญ่ เธอตะโกนอย่างร่าเริงลงไปว่า “เฮ้ ทีม…หลับสบายดีไหม…ออกกำลังกายกันเหรอ แมนจัง…โอ้ว สตีเฟ่น กล้ามโตมากอ่ะ”
แล้วเพลงใหม่ก็ดังขึ้นอีก พร้อมกับเสียงร้องเล็กใส “เชก ชะ เชก โว้ เย…ส่ายก้นของเธอ ส่ายเจ้าคู่โตของเธอเข้าสิ…โอ้ เยะ เยะ เยะ…ส่ายให้ระรัว ระรัว…”
เหล่าคนงานมองหน้าเพื่อนที่ทำงานอยู่ใกล้ๆ…พวกเขายังไม่รู้เลยว่านายท่านคอนสแตนตินกลับมาจะเป็นยังไง
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments