บทที่สิบ
หน้าประตูจวนว่าการเจ้าเมือง มีผู้คนมารออย่างล้นหลาม
หญิงชาวบ้านในขบวนขอฝนวันนั้นจูงเด็กหญิงเด็กชายหน้าตาน่ารักคู่หนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าแถว พอเห็นมู่หวั่นชิวออกมากับใต้เท้าสวี ก็รีบพูดกับลูกๆ ว่า “เร็วเข้า…รีบโขกหัวขอบคุณผู้มีคุณ”
ปลายตาเหลือบเห็นใต้เท้าสวีชักสีหน้า มู่หวั่นชิวจึงก้าวขึ้นหน้าผ่านตัวเขา คิดจะไปยับยั้ง แต่ใครจะรู้ว่า พอเห็นนางเดินมา เด็กน้อยหน้าตาน่ารักคู่นั้นก็ถูกหญิงชาวบ้านคนนั้นเร่งให้ลงไปคุกเข่าบนน้ำฝนเสียแล้ว
“ขอบคุณผู้มีคุณที่ช่วยเหลือ โม่เสวี่ยยินดีเป็นวัวเป็นม้ารับใช้ข้างกายผู้มีคุณ!”
“ขอบคุณผู้มีคุณที่ช่วยเหลือ โม่อวี่ยินดีเป็นวัวเป็นม้ารับใช้ข้างกายผู้มีคุณ!”
เสียงเล็กๆ ถูกกลืนหายไปท่ามกลางเสียงอึกทึกของกลุ่มคน แต่มู่หวั่นชิวกลับอ่านปากของพวกเขาได้อย่างเข้าใจ และนั่นทำให้นางตกตะลึง
เป็นวัวเป็นม้า?
เด็กทั้งสองหมายความว่าอย่างไร อยากจะติดตามนางหรือ…
นางเข้าไปประคองเด็กทั้งสองขึ้นมา แล้วมองไปทางหญิงชาวบ้าน ในวันทำพิธีขอฝน เสียงร้องแทบขาดใจของหญิงผู้นี้ยังดังก้องอยู่ข้างหู ในเมื่อเป็นห่วงเด็กสองคนถึงเพียงนี้แล้ว จะตัดใจลงได้อย่างไร
“พระโพธิสัตว์หญิงผู้มีเมตตา ท่านช่วยชีวิตอวี่เอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์เอาไว้ ท่านก็คือพ่อแม่ที่ให้ชีวิตใหม่ของพวกเขา หากท่านไม่รังเกียจ ข้าขอมอบพวกเขาให้กับท่าน ไม่ขอให้มีเสื้องามกินดีเหมือนอย่างท่าน แค่ขอท่านให้อาหารพวกเขาแค่พออิ่มก็พอ”
เนื่องจากเสียงของหญิงผู้นี้ดังเป็นพิเศษ ทำให้กลุ่มคนพลันเงียบเสียงลงทันที สายตาทุกคนจึงไปรวมกันที่ตัวของหญิงชาวบ้าน
หญิงชาวบ้านจับแขนเสื้อของมู่หวั่นชิวไว้แน่น งอเข่าทำท่าจะคุกเข่าลงไป มู่หวั่นชิวเห็นบนพื้นเต็มไปด้วยน้ำฝน จึงรั้งตัวอีกฝ่ายไว้ อย่างไรเสียนางก็ได้ฝึกวรยุทธ์มาบ้าง แม้หญิงชาวบ้านจะพยายามออกแรงจนหน้าแดงแล้วก็ยังคุกเข่าไม่ลง
คาดไม่ถึงว่าหญิงสาวที่ดูอ่อนแอจะมีแรงมากเช่นนี้ ในแววตาหญิงชาวบ้านแฝงด้วยความตกใจ ก่อนจะถูกความยินดีเข้ามาแทนที่อย่างรวดเร็ว
หญิงสาวผู้นี้ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ลูกน้อยทั้งสองของนางได้ติดตามแม่นางน้อยเช่นนี้เป็นการตัดสินใจไม่ผิดแน่นอน!
“ท่านน้าพูดเกินไปแล้ว บุญคุณช่วยชีวิตข้าไม่อาจรับได้…” รอจนเสียงรอบข้างเงียบลง มู่หวั่นชิวจึงค่อยพูดด้วยเสียงราบเรียบ “ข้าเพียงแค่เดินทางผ่านเมืองผิงเฉิงเท่านั้น การเดินทางครั้งนี้ยากลำบาก กระทั่งข้าจะดูแลตัวเองก็แทบไม่ไหว จะพาพวกเขาไปด้วยได้อย่างไร หวังว่าท่านน้าจะเก็บคำพูดคืนกลับไป…”
ตัวนางยามนี้กำลังตกอยู่ในอันตรายที่จวนว่าการเจ้าเมือง เผชิญหน้ากับใต้เท้าสวีสองพ่อลูกที่จ้องราวกับเสือจ้องเหยื่อ จะมีชีวิตรอดออกไปหรือไม่นั้นยังนับว่าเป็นปัญหา แล้วจะดูแลเด็กสองคนนี้ได้อย่างไร
“พระโพธิสัตว์หญิงอย่าพูดแบบนี้เด็ดขาด” คาดไม่ถึงว่าตนจะถูกปฏิเสธ หญิงชาวบ้านจึงมีสีหน้าซีดขาวในทันที พยายามจะสลัดให้หลุดจากมือมู่หวั่นชิวเพื่อคุกเข่าให้ได้ “ท่านอยู่นอกบ้านตัวคนเดียว ข้างกายขาดคนคอยปรนนิบัติ พวกเขาอาจทำอะไรไม่เป็น แต่ยกน้ำชา เทน้ำ เฝ้ายามให้ท่านนั้นไม่มีปัญหาแน่นอน” เมื่อเห็นว่าสู้หญิงสาวไม่ได้ นางจึงหันไปเรียกโม่อวี่ โม่เสวี่ย “รีบคุกเข่าโขกหัวให้ผู้มีคุณเร็วเข้า ขอร้องให้นางรับพวกเจ้าไว้”
“ขอร้องผู้มีคุณรับอวี่เอ๋อร์ไว้ด้วย…”
“ขอร้องผู้มีคุณรับเสวี่ยเอ๋อร์ไว้ด้วย…”
เด็กสองคนที่เพิ่งถูกประคองขึ้นมาเมื่อครู่ทรุดตัวคุกเข่าลงไปบนพื้นที่เต็มไปด้วยน้ำฝนอีกครั้ง
มู่หวั่นชิวตกใจ จึงคลายมือจากหญิงชาวบ้าน จะเข้าไปประคองตัวเด็กน้อยทั้งสอง เมื่อทางด้านหญิงชาวบ้านเป็นอิสระแล้ว นางก็คุกเข่าลงเช่นกัน กอดขามู่หวั่นชิวเอาไว้ไม่ยอมปล่อย “พระโพธิสัตว์หญิงผู้มีเมตตา ขอท่านโปรดเมตตารับเด็กสองคนนี้ไว้ด้วยเถอะ ความเมตตากรุณาของท่าน ชาติหน้าต่อให้เกิดเป็นวัวเป็นม้าข้าก็จะตอบแทนท่านแน่นอน”
มู่หวั่นชิวตะลึงไป ขอฝนได้แล้ว เด็กสองคนนี้ก็ไม่มีอันตรายใดๆ อีก เหตุใดหญิงชาวบ้านผู้นี้ต้องพูดแบบนี้ด้วยเล่า
กลุ่มคนที่เงียบสงบกลับส่งเสียงดังขึ้นอีกครั้ง
“แม่นางไป๋ ท่านรับพวกเขาไว้เถอะเจ้าค่ะ” เสียงพูดแผ่วเบาของชุ่ยหงดังลอยมาที่ข้างหู “เด็กสองคนนี้กราบไหว้ในวัดเจ้ามังกร ถูกมองเป็นเทพบุตรเทพธิดาแล้ว จะช้าหรือเร็วก็ต้องถูกเจ้ามังกรรับตัวไปอยู่ดี”
จะช้าหรือเร็วก็ต้องถูกรับตัวไปหรือ
มู่หวั่นชิวขมวดคิ้ว นี่หมายความว่าอย่างไร…
“ทั่วหัวมุมถนนเมืองผิงเฉิงล้วนลือกันว่าท่านกับเจ้ามังกรเป็นสหายกัน นักพรตผู้นำพิธีบอกว่าเด็กสองคนนี้มีเพียงต้องติดตามท่านไปเท่านั้น จึงจะรักษาชีวิตเอาไว้ได้” เห็นมู่หวั่นชิวดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัย หญิงอ้วนขาวผู้หนึ่งที่อยู่ด้านหลังนางจึงช่วยพูดอธิบาย
“มิน่าล่ะ…” มู่หวั่นชิวพยักหน้าเข้าใจ ปากก็พร่ำบ่น
สายตาเลื่อนไปตกลงที่ตัวเด็กน้อยหน้าตาน่ารักทั้งสองคน ในใจครุ่นคิดไปมา นางไม่ขาดเงิน หากจะรับพวกเขาไว้นั้นมิใช่เรื่องยาก แต่หนทางข้างหน้าของนางยังรางเลือนนัก ทั้งยังไม่รู้โชคชะตา จะไปรับรองความปลอดภัยของพวกเขาได้อย่างไร
เพียงความคิดแล่นผ่าน นางก็ส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด
“พระโพธิสัตว์หญิงผู้มีเมตตา…”
เห็นนางส่ายหน้าเช่นนี้ ไม่รอให้นางได้ทันเอ่ยปาก หญิงชาวบ้านก็พูดร้องขอขึ้นมาอีกครั้ง ผสานกับเสียงร้องขอเล็กๆ ของเด็กน้อยสองคน ฟังแล้วในใจของมู่หวั่นชิวก็เกิดความรู้สึกสับสนขึ้นมา นางแอบเหลือบมองใต้เท้าสวีที่อยู่ด้านหลัง
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใด ชาวเมืองที่ส่งเสียงอึกทึกอยู่นั้นได้กั้นแบ่งพื้นที่ตัวนางกับใต้เท้าสวีให้แยกออกจากกัน จากที่ไกลนั้น ใต้เท้าสวีมองดูพวกนางด้วยสีหน้าบึ้งตึง โหวซานแนบข้างหูเขาพูดคุยอะไรบางอย่าง
นางเกิดความคิดในใจ เจ้ามังกรไม่มารับเด็กสองคนนี้หรอก กลัวแต่ว่าทันทีที่นางหนีไปแล้ว กุนซือปากแหลม หน้าคล้ายวานรผู้นั้นและใต้เท้าสวีจะไม่ปล่อยพวกเขาไป!
“ท่านน้า ข้างกายข้าไม่ขาดคน ท่านพาพวกเขากลับไปเถอะ” ครุ่นคิดสักครู่แล้ว มู่หวั่นชิวจึงพูดออกมาเสียงดัง แล้วหยิบตั๋วเงินออกมาแผ่นหนึ่ง “เงินเหล่านี้เอากลับไปใช้ที่บ้านเถอะนะ!”
“ไม่ ข้าไม่ต้องการเงิน…” หญิงชาวบ้านตกตะลึง แล้วส่ายหน้า จากนั้นก็ดึงตัวมู่หวั่นชิวไว้แล้วเริ่มโขกหัว “ขอให้ท่านเมตตา รับพวกเขาเอาไว้ บุญคุณของท่านข้าจะไม่ลืมไปชั่วชีวิต”
ถูกหญิงชาวบ้านดึงตัวไว้ มู่หวั่นชิวก็โน้มตัวลงโดยไม่ให้ผู้อื่นทันสังเกต นางเบี่ยงตัวเล็กน้อย ไม่ให้ใต้เท้าสวีเห็นการกระทำของนางได้อย่างชัดเจน นางรีบยัดตั๋วเงินใส่อกเสื้อของหญิงชาวบ้าน แล้วกระซิบข้างหูอีกฝ่ายหลายประโยค หญิงชาวบ้านผู้นั้นตะลึงไปในตอนแรก จากนั้นก็พยักหน้า พูดด้วยเสียงที่มีเพียงมู่หวั่นชิวเท่านั้นที่ได้ยิน “พระโพธิสัตว์หญิงโปรดวางใจ ข้าจะทำตามที่ท่านสั่งให้สำเร็จอย่างแน่นอน”
“พวกเขาเป็นคนที่เจ้ามังกรหมายตา ข้าจะรับส่งเดชได้อย่างไร!” รับรู้ได้ว่ารอบด้านเงียบเสียงลง สายตาทุกคู่จับจ้องมาที่พวกนาง มู่หวั่นชิวจึงพยักหน้านิดๆ ให้หญิงชาวบ้าน ส่งสายตาให้นางรีบกลับไป ปากก็ตะโกนพูดว่า “ท่านน้าทำเช่นนี้เท่ากับทำร้ายข้า!”
ทำร้ายนาง?
ทุกคนพากันตกใจ จากนั้นก็ส่งเสียงอื้ออึงขึ้นมาอีกครั้ง มีคนตะโกนสำทับว่า
“จริงด้วย! แม่นางไป๋รับเด็กเอาไว้ ก็เป็นการทำผิดต่อเจ้ามังกร!”
“ทำผิดต่อเจ้ามังกรไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลยนะ!”
“แม่นางไป๋รับไว้ไม่ได้นะ”
“รับไว้ไม่ได้เด็ดขาด!”
“นางหญิงคนนี้ รีบพาลูกของเจ้ากลับไป อย่ามาอยู่ขวางตาตรงนี้!”
กลุ่มคนที่เพิ่งจะเงียบเสียงลงส่งเสียงอึกทึกขึ้นมาในพริบตา พวกเขานับถือมู่หวั่นชิวมากจริงๆ นับถือผู้มีคุณที่ช่วยขอฝนให้พวกเขาได้ทันเวลา กระทั่งไม่ยอมให้ใครมาทำอันตรายหรือไม่เคารพนางแม้แต่น้อย
ใต้เท้าสวีที่อยู่นอกวงล้อมหน้าซีดแล้วซีดอีก หัวคิ้วขมวดเป็นปม
หญิงชาวบ้านค่อยๆ คลายมือจากมู่หวั่นชิว ตะลึงมองมู่หวั่นชิวอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงโน้มตัวจูงมือลูกทั้งสองเดินทะลุกลุ่มคนที่ส่งเสียงโห่ร้องไปโดยไม่หันหน้ามามองอีก
กลุ่มคนส่งเสียงเฮขึ้นมาทันที ต่างพากันเปิดทางให้
มองดูแผ่นหลังของพวกเขาหายไปในคลื่นฝูงชนแล้ว มู่หวั่นชิวก็ถอนหายใจยาว
“แม่นางไป๋ท่านดูคันฉ่องบานนี้สิเจ้าคะ ขัดได้เรียบและสว่างยิ่งนัก บ่าวเอาไปเปลี่ยนบานที่อยู่บนโต๊ะให้ ดีหรือไม่เจ้าคะ” มองดูของขวัญละลานตาที่อยู่เต็มห้องแล้ว ชุ่ยหงกับจางหมัวมัวก็จัดห้องให้มู่หวั่นชิวไปอย่างมีความสุข จางหมัวมัวหยิบรูปแกะสลักพระโพธิสัตว์ด้วยไม้แดงมาให้นางดู “ท่านดูพระโพธิสัตว์นี้สิเจ้าคะ แกะสลักได้ประณีตเหลือเกิน ได้ยินว่านายช่างคังที่ตำบลเฉิงตงเป็นผู้รับการขอร้องของชาวเมือง ตลอดเมื่อวานจึงเร่งแกะสลักทั้งคืน แล้วนำไปเบิกเนตรให้ที่วัดต้าอวิ๋น…” เห็นมู่หวั่นชิวไม่ได้พูดอะไร ชุ่ยหงจึงชี้ไปยังของเต็มห้องแล้วพูดว่า “แม้จะไม่ใช่ของมีค่าอะไร แต่ก็เป็นน้ำใจของชาวเมือง แม่นางไป๋ท่านควรจะพูดอะไรบ้างนะเจ้าคะ!”
ได้ฟังคำพูดนี้แล้ว มู่หวั่นชิวเพียงยิ้มบางๆ การที่ใต้เท้าสวีส่งพวกนางมาจัดห้องให้แต่เช้าเช่นนี้ก็เพื่อทดสอบนาง คงคิดจะให้นางอยู่ในจวนว่าการนี้ในระยะยาวกระมัง
รับพระโพธิสัตว์ไม้แกะสลักมาดูแล้ว มู่หวั่นชิวก็ชี้ไปที่โต๊ะไม้แดงตัวสูงที่ข้างผนังทางตะวันตก “วางไว้บนนั้นก็แล้วกัน” แล้วชี้ไปยังกระถางธูปหัวสัตว์ที่ประณีตอันหนึ่งในมือชุ่ยหง “วางพร้อมกับอันนี้ แล้วก็อย่าลืมจุดธูปสามดอกทุกวัน”
ได้ฟังคำพูดของนางแล้วเหมือนต้องการอยู่ในระยะยาว!
สบตากับจางหมัวมัวแล้ว ชุ่ยหงก็รับคำอย่างยินดี
ชี้โน่นชี้นี่อยู่นาน สุดท้ายก็เหลือเพียงชุ่ยหงกับจางหมัวมัวที่ยังคงจัดเก็บสิ่งของกันต่อไป มู่หวั่นชิวหาร่มมาคันหนึ่งแล้วเดินออกไปนอกห้อง พรุ่งนี้ฝนก็หยุดแล้ว นางต้องรีบพบกับหลีจวิน
ฝนตกหนักเพิ่งผ่านพ้นไป ตอนนี้ค่อยๆ เบาบางลงแล้ว
“แม่นางไป๋จะไปที่ใดขอรับ ข้าน้อยจะนำทางให้ท่านเอง ” ที่หน้าประตูเรือน มู่หวั่นชิวถูกทหารขวางเอาไว้
“ไม่มีอะไร ข้าแค่มาเดินเล่น” มู่หวั่นชิวพูดด้วยสีหน้าสงบนิ่ง แต่ไม่ได้ชะงักฝีเท้า
“ข้างหน้าล้วนเป็นทหารชาย เกรงว่าแม่นางไป๋จะไม่ค่อยสะดวก” ทหารขยับตัวมาขวางหน้านาง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ท่านมีเรื่องอะไรก็สั่งข้าน้อยได้ ข้าน้อยจะไปแจ้งแทนท่านเอง”
ใต้เท้าสวีเชิญนางไปพบดึกดื่นค่อนคืน…ก็เป็นเรื่องสะดวกอย่างนั้นหรือ
มู่หวั่นชิวหมุนตัวกลับอย่างช้าๆ หัวคิ้วขมวดแน่น ใต้เท้าสวีทำเช่นนี้เป็นการกักบริเวณนางอย่างชัดเจน
แต่หากออกจากเรือนนี้ไม่ได้ นางจะพบหลีจวินได้อย่างไรเล่า
ด้านหนึ่งครุ่นคิด ด้านหนึ่งเดินๆ หยุดๆ ไปตามทางเดินหินเล็กๆ จนมู่หวั่นชิวเดินมาถึงสถานที่ที่ดีดพิณในคืนนั้นโดยไม่รู้ตัว เดินผ่านประตูวงเดือนไป พอเงยหน้าขึ้น ก็เห็นแผ่นหลังของร่างในชุดขาวยืนหันหลังให้นางอยู่ในศาลารับลมแปดเหลี่ยมนั้น
ท่าทางสง่างามพลิ้วไหวนั้น ราวกับหลอมเป็นหนึ่งเดียวกับท้องฟ้าและผืนน้ำ
มู่หวั่นชิวรู้สึกประหลาดใจ ดวงตาพลันร้อนชื้น นางยืนอยู่ตรงนั้น แล้วฉีกปากยิ้มออกมา
ฝนตกต่อเนื่องกันสามวันจริงอย่างที่ว่าไว้
คำพูดของมู่หวั่นชิวได้รับการพิสูจน์แล้ว และไม่ผิดไปจากนั้นแม้แต่น้อย ในวันที่สี่ ยามที่ดวงอาทิตย์ค่อยๆ โผล่ขึ้นมา ทุกคนในจวนว่าการเจ้าเมืองล้วนเกิดความเลื่อมใสในตัวนาง ไม่กล้าล่วงเกินนางอีก
ในวันที่หก ท้องถนนถูกแดดส่องจนแห้งไปพอสมควรแล้ว มู่หวั่นชิวอาบน้ำล้างหน้าเปลี่ยนชุดใหม่ท่ามกลางสายตางุนงงของชุ่ยหง แล้วไปที่โถงด้านหลังเพื่อขอพบใต้เท้าสวีแต่เช้า
ใต้เท้าสวีกับหลีจวินกำลังคุยกันอยู่ในโถง ได้ยินเรื่องที่สวี่เจี่ยแจ้งแล้ว ก็หันมองหน้าหลีจวินแวบหนึ่ง แล้วพูดต้อนรับอย่างกระตือรือร้น “รีบเชิญนางเข้ามา”
“วันนี้ข้าน้อยจะไปแก้บนที่วัดเสียงอวิ๋นบนเขาเฟิ่งหวง…” ย่อคำนับใต้เท้าสวีกับหลีจวินแล้ว มู่หวั่นชิวก็พูดออกมาตามตรง “จึงตั้งใจมากล่าวลาใต้เท้า”
“แก้บน!”
ใต้เท้าสวีลุกขึ้นยืนทันที แต่คิดดูแล้วว่าไม่ถูกต้อง จึงนั่งกลับลงไปอีกครั้ง
“ข้าน้อยขอฝนได้ตามที่บอกไว้ ย่อมต้องไปแก้บนต่อหน้าพระโพธิสัตว์” ทำเป็นมองไม่เห็นความผิดปกติของใต้เท้าสวี มู่หวั่นชิวพูดอธิบายด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ข้ากำลังจะกลับเมืองต้าเยี่ยพอดี” หลีจวินพูดต่อ “แม่นางไป๋จะไปเขาเฟิ่งหวงก็ผ่านทางนั้นพอดี”
“คุณชายหลีจะเดินทางแล้วหรือ!” มู่หวั่นชิวดวงตาเต็มไปด้วยความตกใจ
“ท่านพ่อข้าจู่ๆ ก็มีเรื่องด่วนเร่งตามตัว ข้ากำลังอำลาใต้เท้าสวีอยู่” หลีจวินกวาดตามองใต้เท้าสวี
บังเอิญเพียงนี้เชียวหรือ หลีจวินเพิ่งมาบอกว่าจะจากไป นางก็มาบอกว่าจะไปแก้บน
ใต้เท้าสวีมองหน้าหลีจวิน ก่อนจะหันมองมู่หวั่นชิว เขามีความรู้สึกว่ามีสิ่งผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้น แต่ตอนนี้ก็พูดไม่ถูก เขาที่แต่ไรมาก็เป็นคนคิดช้า ในตอนนี้แม้แต่คำปฏิเสธก็ยังไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไร ในใจสับสนว้าวุ่นยิ่งนัก
“ตลอดทางหากได้คุณชายหลีช่วยคุ้มกันไปส่งย่อมไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว” รีบฉวยโอกาสตอนที่ใต้เท้าสวียังไม่ทันตั้งตัว มู่หวั่นชิวก็ย่อคำนับหลีจวิน “อาชิวขอขอบคุณ”
“ก็จริง…” กุนซือโหวซานแอบสะกิดตัวใต้เท้าสวีที่นิ่งเป็นไก่ไม้ แล้วเข้าไปพูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ผ่านพ้นภัยพิบัติแล้ว ไปกราบไหว้พระโพธิสัตว์ถือเป็นเรื่องที่สมควร…” แล้วหันหน้าไปทางใต้เท้าสวี ขณะที่หันหลังให้หลีจวินนั้นเขาก็ขยิบตาใส่ใต้เท้าสวี “คุณหนูใหญ่ก็ร่ำร้องอยากจะไปแก้บนแต่เช้ามิใช่หรือขอรับ ก็ให้นางไปกับแม่นางไป๋ได้พอดี”
คุณหนูใหญ่ร่ำร้องจะไปแก้บนอะไรกัน!
ใต้เท้าสวีตะลึงไป จากนั้นดวงตาปูดโปนทั้งสองก็เปล่งประกายขึ้นทันที “ใช่ๆ หากกุนซือไม่พูด ข้าก็ลืมเรื่องนี้ไปแล้วจริงๆ” เขารีบหันหน้าไปสั่งทหาร “เร็วเข้า! เตรียมม้า เตรียมรถ เรียกรวมกำลังคน คุ้มครองส่งคุณหนูใหญ่กับแม่นางไป๋ไปแก้บนที่วัดเสียงอวิ๋นบนเขาเฟิ่งหวง”
“ใต้เท้า…” มู่หวั่นชิวเรียกรั้งเขาทันที “มีคุณชายหลีไปส่ง ข้าน้อยต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน ใต้เท้าไม่ต้องลำบากรวบรวมคนหรอก”
“แม่นางไป๋คงไม่รู้…” ใต้เท้าสวีโบกมือ “เกิดภัยแล้งมากว่าครึ่งปี ในเมืองผิงเฉิงมีคนเร่ร่อนเข้ามามากมาย ครั้งนี้ไปที่เขาเฟิ่งหวง ไกลออกไปสามสิบลี้ นับว่าไม่ปลอดภัยอย่างมาก” จากนั้นจึงมองไปทางหลีจวิน “คุณชายหลีเพียงแค่คุ้มครองเจ้าไปส่ง ตอนที่แม่นางไป๋กลับมา อย่างไรก็ต้องมีคนคุ้มครอง”
เขาจงใจเน้นเสียงคำว่า ‘กลับมา’ สายตาจับจ้องตัวมู่หวั่นชิวไม่วางตา
หลีจวินก้มหน้าลง ใช้ฝาถ้วยเขี่ยใบชาที่ลอยอยู่ ไม่ได้พูดอะไร
“เช่นนั้นก็รบกวนใต้เท้าแล้ว” มู่หวั่นชิวยิ้มบางๆ พูดด้วยเสียงอ่อนโยน น้ำเสียงฉายความซาบซึ้งใจ
“ฮ่าๆๆๆ” เห็นอีกฝ่ายไม่ตอบโต้อะไร ใต้เท้าสวีจึงหัวเราะเสียงดังอย่างอารมณ์ดี “แม่นางไป๋เกรงใจเกินไปแล้ว เจ้าเป็นผู้มีคุณของชาวเมืองผิงเฉิง คุ้มครองความปลอดภัยของเจ้าเป็นหน้าที่ของข้าเช่นกัน” จากนั้นจึงหันไปสั่งการ “เวลานี้สายแล้ว รีบไปเชิญคุณหนูใหญ่เถอะ”
สวีหรูไม่ชอบวัดเสียงอวิ๋น ที่นั่นสกปรกแล้วก็เสียงดัง ทั้งยังเต็มไปด้วยคนชั้นต่ำ ทำให้นางแปดเปื้อน โดยเฉพาะกลิ่นหอมฉุนที่กระจายอยู่ทั่ววัด ทำให้นางยากจะทนไหวมากที่สุด แต่เพราะท่านพ่อบอกนางว่าหลีจวินจะคุ้มกันไปส่ง ทำให้นางอยากใช้โอกาสนี้เข้าใกล้ทำตัวสนิทสนมกับเขา นางจึงยอมทำตาม หนำซ้ำยังตั้งใจแต่งตัวมาเป็นพิเศษ
“เจ้ากับคุณชายหลีรู้จักกันมาก่อนจริงหรือ” ทว่าทุกอย่างกลับไม่เหมือนที่นางคาดเอาไว้ ระหว่างทางหลีจวินไม่ได้มาดูแลนางแม้แต่น้อย ทำให้สวีหรูผิดหวังมาก นางมองหน้ามู่หวั่นชิวที่หลับตาครุ่นคิดสงบนิ่งราวกับผืนน้ำอยู่ข้างกาย ก็ไล่ถาม “ทำไมเขาไม่มาพูดคุยกับพวกเราเลย” จากนั้นจึงพลิกเปิดมุมม่านรถ แอบมองรถม้าคันหน้าที่เคลื่อนไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน เสียงเอี๊ยดอ๊าดฟังเสนาะหู แล้วหันไปสั่งมู่หวั่นชิว “เจ้าไปตามเขามาที”
มู่หวั่นชิวขยับหัวคิ้ว แต่ไม่ได้พูดจา
“เจ้า…”
มานั่งรถม้าคันเดียวกับตนได้ ถือว่านางลดตัวให้มากแล้ว ก็แค่คนชั้นต่ำที่มีอาคมคาถาคนหนึ่ง กล้าไม่เห็นนางอยู่ในสายตาเช่นนี้หรือ!
เผชิญหน้ากับมู่หวั่นชิวที่นิ่งเงียบไม่พูดจา สวีหรูพลันสีหน้าแดงก่ำในทันที
ถลึงตามองด้วยความโกรธอยู่นาน นางจึงยกมือฟาดออกไป…
มือนั้นชะงักอยู่ตรงระยะห่างหนึ่งนิ้วจากแก้มของมู่หวั่นชิว ความรู้สึกที่ถูกห้านิ้วราวคีมเหล็กของมู่หวั่นชิวบีบอยู่นั้นยังคงปรากฏตรงหน้า นางถลึงตามองมู่หวั่นชิวด้วยความโกรธ พลางเม้มริมฝีปากแน่น
มู่หวั่นชิวลืมตาขึ้นในเวลาเดียวกัน สี่ตาสบประสาน มู่หวั่นชิวกวาดตามองมือของสวีหรูอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง สวีหรูจึงรีบดึงมือตัวเองไปซ่อนไว้ด้านหลังอย่างรวดเร็ว
มู่หวั่นชิวจึงค่อยๆ หลับตาลงอีกครั้ง ไม่ได้สนใจสวีหรูอีก
“เจ้าพูดบ้างสิ” คิดถึงคนในรถม้าข้างหน้าแล้ว สวีหรูพลันรู้สึกว้าวุ่นใจ นางทนไม่ไหวกับความเงียบอันไร้ขอบเขตภายในรถม้านี้ นั่งนิ่งได้ไม่ถึงครึ่งเค่อ ก็ส่งเสียงขึ้นมาอีกครั้ง
“คุณหนูพูดหนวกหูเกินไปแล้ว” มู่หวั่นชิวไม่ได้ขยับเปลือกตา
“เจ้า!” สวีหรูมองนางหน้าแดงก่ำ แต่ก็หัวเราะขึ้นมาอย่างทันที “เจ้าแอบรักเขาไปก็ไร้ประโยชน์ ท่านพ่อข้าบอกแล้วว่าอีกสักระยะจะพูดเรื่องแต่งงานของข้า จะให้ข้าแต่งงานกับเขา” สวีหรูพูดอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง
ท่านพ่อนางเป็นเจ้าเมือง เป็นขุนนางที่ใหญ่เทียมฟ้า ไม่มีสิ่งใดที่ทำไม่ได้
มุมปากขยับเล็กน้อย มู่หวั่นชิวพลางยิ้มเยาะในใจ การแต่งงานของเขาใช่ว่าจะขึ้นอยู่กับพ่อของเจ้าสักหน่อย…
“ข้าขอบอกเจ้า พอข้าแต่งเข้าบ้านแล้ว จะไม่ยอมให้เขาได้มีอนุเด็ดขาด!” ถลึงตามองมู่หวั่นชิวที่นิ่งไม่ไหวติงแล้ว สวีหรูก็พูดอย่างดุดัน
ในสายตานาง หญิงสาวผู้นี้ที่คิดหาทุกหนทางเพื่อแสดงฝีมือการเล่นพิณต่อหน้าหลีจวินในคืนนั้น ก็เพราะอยากปีนขึ้นเตียงของเขา อยากเป็นอนุของเขาเป็นแน่ สวีหรูคิดว่า มู่หวั่นชิวมีฐานะต่ำต้อยเช่นนี้ ตำแหน่งภรรยาเอกคงไม่กล้าคิดถึง
“ยินดีกับบุพเพมงคลของคุณหนูกับเขาด้วย” มู่หวั่นชิวพูดเสียงเรียบ เหมือนกับน้ำที่ไม่อุ่นไม่เย็น
เดิมเป็นคำอวยพรประโยคหนึ่ง แต่เพราะพูดอย่างสงบนิ่งเกินไป สวีหรูฟังแล้วจึงรู้สึกเสียดแทงหูอย่างยิ่ง ไม่รู้เพราะเหตุใด ทั้งที่คนตรงหน้าเป็นเพียงคนชั้นต่ำคนหนึ่ง เป็นหญิงสาวที่ทั้งดำและผอม ไม่อาจเทียบกับนางที่สูงศักดิ์กว่าได้เลย นางที่มีฐานะสูงไม่จำเป็นต้องใส่ใจแม้แต่น้อย ทว่านางกลับถูกความสงบนิ่งราวกับมองเห็นทุกสิ่งอย่างบนโลกนี้ และความไม่แยแสเหนือคนธรรมดาทั่วไปของอีกฝ่ายนั้นกระตุ้นให้นางรู้สึกโมโหขึ้นมา
นางไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า ที่แท้ความสงบนิ่งถึงขีดสุดนั้นก็เป็นการอวดอ้างอย่างหนึ่ง
เหตุใดมู่หวั่นชิวจึงไม่เหมือนคนข้างกายนางเหล่านั้นที่ยอมศิโรราบให้ ทั้งยังเชื่อฟังคำทุกอย่าง…
หรือเพราะมู่หวั่นชิวมีเงินมหาศาล?
ความคิดแล่นผ่านในหัว สวีหรูพลันคิดถึงคำสั่งของบิดาก่อนที่จะออกมา นางจึงหัวเราะอย่างเย็นชา “เจ้าอย่าได้ใจไป ท่านพ่อข้าบอกว่า…”
จู่ๆ เสียงพูดก็หยุดลง
บิดานางบอกว่าหลังจากส่งคุณชายหลีไปแล้ว ก็จะรับไป๋ชิวเป็นอนุ จึงอยากให้นางคอยจับตาดูมู่หวั่นชิวไว้ตลอดทาง แต่พอคำพูดมาหยุดอยู่ที่ริมฝีปาก สวีหรูจึงนึกถึงคำสั่งของบิดาได้ว่า… ‘จะให้ความลับรั่วออกไปมิได้’
หลังจากกลืนคำพูดลงท้องไปแล้ว สวีหรูก็ยังรู้สึกไม่สาแก่ใจ นางคิดถึงภาพเรือนด้านหลังจวนว่าการเจ้าเมือง ชีวิตรันทดของอนุที่บิดาของนางเบื่อแล้วก็กำหมัดแน่น แอบคิดในใจว่า ปล่อยให้เจ้าได้ใจไปก่อนเถอะ รอจนเจ้าไม่เป็นที่โปรดปรานแล้ว จะคอยดูว่าอย่างเจ้าน่ะหรือจะไม่มาคุกเข่าขอร้องข้า!
พอรับรู้ถึงความเย็นยะเยือก มู่หวั่นชิวจึงลืมตาขึ้นมาอย่างตกใจ ภาพที่สวีหรูกำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันก็ปรากฏแก่สายตา จึงแอบคิดในใจว่า…เห็นที ใต้เท้าสวีไม่คิดจะปล่อยข้าไปจริงๆ!
หน้าวัดเสียงอวิ๋น คนมาจุดธูปไหว้พระกันอย่างล้นหลาม
หลังลงจากรถม้า มู่หวั่นชิวก็เห็นรถม้าของหลีจวินจอดอยู่ตรงนั้นก่อนแล้ว เขายืนอยู่ข้างรถม้าอย่างเงียบๆ
มู่หวั่นชิวค่อยๆ เดินเข้าไปย่อตัวคำนับ
“นี่ก็คือวัดเสียงอวิ๋น แม่นางไป๋จะจุดธูปไหว้พระ ก็เข้าไปได้เลย” เขามองดูสวีหรูที่จับตัวสาวใช้ค่อยๆ เดินลงมาจากตัวรถ “ข้าลาก่อนล่ะ…”
สวีหรูเพียงแค่แต่งเติมหน้าในรถ เสียเวลาเพียงครู่เดียวเท่านั้น กลับคิดไม่ถึงว่าพอลงจากรถก็ได้ยินว่าหลีจวินจะจากไปแล้ว นางไม่สนใจความสำรวมอีก รีบก้าวขึ้นหน้าไปหลายก้าว “คุณชายหลีจะไปแล้วหรือ”
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความอาวรณ์
“ถึงวัดเสียงอวิ๋นแล้ว” หลีจวินพยักหน้าเล็กน้อย
“เอ่อ…” สวีหรูฉายความลังเลออกมาหลายส่วน “ในเมื่อมาแล้ว คุณชายหลีเข้าไปไหว้พระกับหรูเอ๋อร์สักนิดดีหรือไม่”
เสียงพูดของนางดูหวาดหวั่น ทั้งยังมีความสำรวมอยู่หลายส่วน ไม่ว่าชายคนใดได้ฟัง ล้วนไม่มีทางปฏิเสธ
“แม่นางไป๋เดินเข้าไปแล้ว” หลีจวินกวาดตามองมู่หวั่นชิวที่เดินใกล้จะถึงประตูวัดแล้ว
สวีหรูสะดุ้ง นางนึกถึงภารกิจสำคัญที่บิดามอบหมายมา จึงรีบส่งสายตาให้เฝ่ยชุ่ย เฝ่ยชุ่ยจึงรีบตามขึ้นไป สวีหรูนั้นหันมาย่อตัวคำนับหลีจวิน “หากคุณชายหลีไม่อยากเข้าไป ก็รออยู่ข้างนอกนี้สักครู่ก่อน หรูเอ๋อร์เข้าไปประเดี๋ยวก็ออกมา”
หลีจวินมองนางแวบหนึ่ง ไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธ
ลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์อย่างเขา ต้องมีความสำรวมอยู่บ้าง เขาไม่พูดอะไรแบบนี้ ก็คงตอบรับแล้ว… เห็นหลีจวินไม่พูดอะไร สวีหรูก็ได้แต่คิดเองเออเอง พลางส่งยิ้มให้เขา แล้วให้สาวใช้ช่วยประคองนางก่อนจะรีบเดินเข้าไปในวัด
ตรงข้ามกับความวุ่นวายนอกประตู ภายในวัดกลับเงียบสงบเป็นอย่างมาก เสียงเคาะเกราะปลาไม้*ไม่เร็วไม่ช้า ทว่ากลับไม่ผ่อนและตีไปอย่างต่อเนื่องนั้นยิ่งเพิ่มความเร้นลับ ความสงบ รวมถึงความน่าเกรงขามให้กับวัดมากขึ้นอีกหลายส่วน
เห็นมู่หวั่นชิวปักธูปสามดอกด้วยความศรัทธาแล้วลุกยืน สวีหรูก็ทำตามนางเช่นกัน แต่กลับปักธูปสามดอกไปอย่างไม่ตั้งใจ จากนั้นจึงหันมาดึงตัวมู่หวั่นชิวให้รีบเดินออกไปข้างนอก
คุณชายหลียังรออยู่ข้างนอก!
แต่สวีหรูกลับถูกมู่หวั่นชิวดึงตัวมาที่หน้าเณรน้อยตรงปากประตูแทน สองมือประนม “ขอเรียนถามเณรน้อย ในวัดนี้มีโถงธรรมหรือไม่ ข้าอยากจะสวดมนต์”
“อมิตตาภพุทธ…” เณรน้อยสองมือประนม “สีกาจะสวดมนต์ก็เชิญตามอาตมามา”
“ปักธูปแล้ว ยังจะสวดมนต์อะไรอีก!” สวีหรูน้ำเสียงหมดความอดทน นางดึงมู่หวั่นชิวจะลากออกไปข้างนอกให้ได้
“คุณหนูใหญ่ ต่อหน้าพระโพธิสัตว์ ต้องแสดงความเคารพ” สะบัดมือออกจากสวีหรูเบาๆ แล้ว มู่หวั่นชิวก็พูดอย่างสงบนิ่ง
“อมิตตาภพุทธ…” เณรน้อยโค้งตัวให้สวีหรู สองมือประนม “หากสีกาไม่ยินดี ก็เชิญไปเถิด”
ได้ยินน้ำเสียงดูแคลนของสวีหรู เณรน้อยจึงไล่นางโดยไม่ไยดี
ขวับๆๆ สายตาของคนที่มาจุดธูปไหว้พระก็ล้วนมองมาที่ตัวสวีหรูในพริบตา
สวีหรูโกรธเกรี้ยวหน้าคล้ำราวมะเขือม่วง ริมฝีปากขยับ นึกอยากจะพูดอะไร แต่คิดได้ว่าอย่างไรเสียที่นี่ก็คือวัด อยู่ต่อหน้าพระโพธิสัตว์ นางจะทำเกินเลยไม่ได้ คำพูดจึงติดอยู่ที่ลำคอ จึงหันหน้ามองออกไปทางประตูวัด ก่อนจะพบว่าคนที่มาจุดธูปไหว้พระเดินขวักไขว่ไปมาไม่ขาดสาย นางไม่อาจมองเห็นเงาร่างของหลีจวินได้เลย ทว่าพอหันหน้ากลับมาอีกครั้ง มู่หวั่นชิวก็หายตัวไปแล้ว สวีหรูพลันรู้สึกตกใจ
นางคงไม่ได้หนีไปทางประตูด้านหลังหรอกนะ!
ความคิดเพียงแล่นผ่าน สวีหรูก็ก้าวเท้าวิ่งตามไป ออกมาจากประตูด้านข้าง มองไกลๆ ออกไปก็เห็นมู่หวั่นชิวขาข้างหนึ่งอยู่ในประตู อีกข้างอยู่นอกประตู กำลังก้าวเข้าไปในโถงธรรมเล็กๆ แห่งหนึ่งในลานวัดด้านหลัง สวีหรูจึงค่อยถอนใจยาว
“ไร้อวิชชา และเมื่อไร้อวิชชา ย่อมไร้ความไม่เที่ยง เมื่อไร้ความไม่เที่ยงอย่างที่สุด ย่อมไร้ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ไร้ปัญญา ไร้การยึดถือ…” มู่หวั่นชิวคุกเข่าบนแท่นรองนั่งอย่างสงบ สองตาปิดสนิท ท่องบทสวดด้วยความศรัทธา
ราวกับมีหมัดไต่ไปมาอยู่เต็มตัว สวีหรูที่คุกเข่าข้างมู่หวั่นชิวจึงขยุกขยิกไม่หยุด นางหันหน้ามองลานเล็กที่เงียบสงบนอกโถงธรรมอยู่บ่อยครั้ง แล้วหันมองมู่หวั่นชิวที่ดูราวกับก้าวเข้าสู่ความเป็นอนัตตาไปแล้ว
นางเป็นแบบนี้ แล้วข้ายังต้องรอไปถึงเมื่อใดเล่า?!
ในที่สุด สวีหรูที่จิตใจว้าวุ่นก็ทนต่อไปไม่ไหว นางลุกขึ้นยืนทันใด
ก้าวเดินออกมานอกโถงธรรมแล้ว สวีหรูก็กวักมือเรียกเฝ่ยชุ่ยที่ยืนคอยอยู่ไกลๆ “คอยเฝ้าตรงนี้ไว้ให้ดี”
เฝ่ยชุ่ยรีบตอบรับคำ
เดินหาคนไปมาอยู่หลายรอบตรงที่หลีจวินจอดรถม้าไว้ก่อนหน้านี้ แต่สวีหรูก็ยังไม่เห็นเงาร่างของเขา แม้แต่รถม้าสีน้ำเงินที่ประดับอย่างหรูหราคันนั้นก็ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย นางกระทืบเท้าอย่างไม่พอใจ “เขาคงทนรอไม่ไหว ถึงได้จากไปเสียก่อน!”
สวีหรูหันหน้ามองขวับเข้าไปในวัด ขบฟันอย่างเคียดแค้น “ปล่อยให้เจ้าอวดดีไปก่อนสักพัก รอให้เงินของเจ้าหมด ท่านพ่อข้าเบื่อเจ้าเมื่อใด มาดูกันว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไรบ้าง!”
ดวงอาทิตย์ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นลูกกลมสีแดงสด ย้อมท้องฟ้าให้เปลี่ยนเป็นสีแดงไปครึ่งฟ้า
“นางยังสวดอยู่หรือ” เดินเตร่อยู่หลายก้าว สวีหรูจึงหันไปถามเฝ่ยชุ่ยที่เฝ้าอยู่ด้านข้าง น้ำเสียงหมดความอดทน
อาทิตย์จะตกดินแล้ว หากสายกว่านี้ คงกลับบ้านไม่ทันก่อนฟ้ามืด!
“เจ้าค่ะ” เฝ่ยชุ่ยยื่นหน้าเหลือบมองในโถงธรรมแวบหนึ่ง
ก้าวไปถึงหน้าประตู ยังคงเห็นร่างบางอยู่ตรงนั้น สวีหรูก็กำหมัดแน่น ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับมา
เดินวนเล่นไปอีกหลายรอบ เห็นลูกกลมสีแดงเพลิงทางทิศตะวันตกหายลับไปทางหลังเขากว่าครึ่งแล้ว รอบด้านเริ่มมีหมอกสีเทาขาวขมุกขมัวปกคลุม สวีหรูทนไม่ไหวอีกต่อไป ก้าวเท้าเข้าไปในโถงธรรม “เจ้าจะสวดไปถึงเมื่อ…” มือคว้าร่างบางนั้นไว้ สวีหรูก็เอ่ยถาม แต่พูดไปได้เพียงครึ่งเดียว นางก็ตกตะลึง ตรงหน้านางคือหญิงสาวหน้าตาหมดจดผู้หนึ่ง กำลังจ้องมองนางกลับมาด้วยสายตาหวาดกลัว
นี่…ใช่มู่หวั่นชิวเสียที่ไหนกัน!
“เจ้า…เจ้าเป็นใคร”
นางมองไปรอบๆ อีกครั้ง มีเงาร่างของมู่หวั่นชิวเสียที่ไหน
สวีหรูจึงหันมาจับตัวหญิงสาวคนนั้นไว้อีกครั้ง “เจ้าเป็นใคร แล้วคนที่นั่งสวดมนต์ก่อนหน้านี้ล่ะ?”
“เจ้าหมายถึงแม่นางที่ผิวดำๆ มีดวงตาโตสวยงามคู่หนึ่งน่ะหรือ” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นถามอย่างตื่นเต้นดีใจ
“นางนั่นล่ะ” สวีหรูพยักหน้า “นางไปที่ใดแล้ว เหตุใดเจ้าจึงสวมเสื้อผ้าของนาง”
“ในที่สุดเจ้าก็มาเสียที!” หญิงสาวยืนขึ้นอย่างตื่นเต้นยินดี แล้วทรุดตัวลงนั่งอีกครั้ง พลางก้มลงบีบนวดสองขาของตนไม่หยุด ปากก็พูดโอดครวญ “ข้าคุกเข่ามาตลอดทั้งบ่าย จนขาเป็นเหน็บไปหมดแล้ว ทำไมเจ้าถึงเพิ่งมาล่ะ”
“เจ้า…” สวีหรูยังไม่คลายสงสัย จึงจับตัวหญิงสาวขึ้นมาด้วยความโมโห “เจ้าบอกมา นี่มันเรื่องอะไรกันแน่!”
“นางให้เงินข้าก้อนหนึ่ง ให้ข้าสวมเสื้อผ้าของนางมาสวดมนต์ที่นี่แทนนาง จนกว่าสหายของนางจะมาเรียกจึงจะลุกขึ้นได้” หญิงสาวพูดด้วยรอยยิ้มสดใส “นางยังบอกว่า ถ้าข้าทำได้ดี แม้แต่เสื้อผ้าชุดนี้ก็จะยกให้ข้า…” นางลูบชุดกระโปรงผ้าโปร่งสีชมพูตัวใหม่เอี่ยมบนตัวอย่างชื่นชอบ “เพื่อชุดที่มีเนื้อผ้าชั้นเลิศนี้แล้ว ข้าสวดมนต์ตลอดบ่ายก็นับว่าคุ้มค่า”
หญิงสาวพูดพลางสะบัดตัวออกจากมือของสวีหรู แล้วก้มลงบีบนวดสองขาที่ยังคงเป็นเหน็บชาต่อไป “ในเมื่อเจ้ามาแล้ว ข้าก็ไปล่ะ ท่านแม่รอข้าอยู่ที่บ้านจะต้องร้อนใจมากเป็นแน่”
“เจ้า…” สวีหรูสีหน้าจากแดงกลายเป็นม่วง แล้วเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ เดินเข้าไปจับหญิงสาวเอาไว้ เงื้อมือจะตบลงไป
“อมิตตาภพุทธ…” เสียงดังกังวานเสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลัง “สีกา ต่อหน้าพระโพธิสัตว์ ได้โปรดสำรวมตนด้วย”
ฝ่ามือหยุดลงข้างแก้มของหญิงสาว สวีหรูถลึงตามองหญิงผู้นั้นที่มีใบหน้าตื่นตกใจ “นางไปไหนแล้ว!”
“นางออกไปทางนั้นแล้ว…” หญิงสาวชี้ไปทางด้านขวาของพระพุทธรูปในทันที
สวีหรูคลายมือจากหญิงสาว แล้วก้าวเท้าเดินไปทางด้านขวา
หลังจากถูกเหวี่ยงลงบนพื้น หญิงสาวก็ลุกขึ้นมาอย่างทุลักทุเล ก่อนจะหยิบหมวกติดผ้าคลุมบางสีดำที่มู่หวั่นชิวทิ้งไว้ข้างเบาะรองนั่งขึ้นมาลองสวมบนหัว จากนั้นเหลือบมองแผ่นหลังของสวีหรู ปากก็พร่ำบ่นไป “อะไรกัน ทั้งที่นางเป็นคนสุภาพเรียบร้อยแท้ๆ เหตุใดจึงมีสหายป่าเถื่อนอย่างเจ้าได้”
อ้อมหลังพระพุทธรูปแล้ว สวีหรูจึงพบว่า ที่แท้โถงธรรมแห่งนี้มีประตูด้านหลังอยู่ด้วย นางจึงก้าวออกประตูด้านหลังไป
นอกประตูลมเย็นโชยเอื่อย ดวงอาทิตย์สีแดงเพลิงลับไปหลังภูเขาซีซาน เหลือเพียงแสงบางๆ ที่ตกกระทบลงบนประตูวงเดือนบานเล็กสีแดงทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือของวัด ดูราวกับม่านหมอก มิต่างจากเลือด
* เกราะปลาไม้ คือเครื่องเคาะจังหวะ ทำด้วยไม้เนื้อแข็ง แกะสลักเป็นทรงกลม ภายในกลวง ใช้เคาะประกอบการสวดมนต์ ชาวแต้จิ๋วเรียกว่า ‘บั๊กฮื้อ’ แปลว่าปลาไม้ เพราะโดยมากจะแกะสลักเป็นรูปปลาซึ่งลืมตาอยู่ตลอดเวลา เป็นสัญลักษณ์ธรรม สื่อถึงผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
Comments
comments