บทที่สี่
“…คิดไม่ถึงว่าไป๋ชิวคนนี้จะเป็นอัจฉริยะ เป็นพ่อที่ประมาทเอง” หลิ่วอู่เต๋อตรวจดูเม็ดหอมเศร้าอาดูรแต่ละหีบที่หร่วนอวี้ปล้นชิงกลับมา บนหน้าผากก็มีเหงื่อผุดซึม “โชคดีที่อวี้เอ๋อร์ระวังตัว พบแผนการของหลีจวินได้เร็ว ไม่เช่นนั้นกำลังกายกำลังความคิดกว่าครึ่งปีของพ่อคงต้องไหลลงทะเลแน่นอน”
มองดูเม็ดหอมแต่ละเม็ดตรงหน้า หลิ่วอู่เต๋อก็รู้สึกกลัว
สิ่งที่หลิ่วเฟิ่งทนไม่ได้ที่สุดคือการได้ยินคนอื่นชื่นชมมู่หวั่นชิว นางที่กำลังถือเม็ดหอมได้ยินคำพูดนี้แล้วก็ชักสีหน้าในทันที กำลังจะอ้าปาก พอเห็นหลิ่วอู่เต๋อส่งสายตาเตือนมาจึงรีบปิดปากลง สายตาเหลือบมองไปทางหร่วนอวี้เห็นเขาพลิกเลือกเม็ดหอมด้วยท่าทางเคร่งเครียด ไม่ได้สนใจนางเลยจึงแอบโล่งอก
หลังจากวันนั้นพวกเขาก็ทำสงครามเย็นต่อกัน หร่วนอวี้ยอมลงมือปล้นชิงเครื่องหอมของมู่หวั่นชิว แย่งโอกาสที่อีกฝ่ายจะได้มีหน้ามีตาในงานพระราชพิธีอภิเษกองค์หญิงหมิงอวี้มา นี่ก็หมายความว่าในช่วงเวลาสำคัญในใจเขาคนที่สนใจที่สุดยังคงเป็นตัวนาง
เขายอมส่งเม็ดหอมเหล่านี้มาให้ก็แสดงว่าตั้งใจจะขอคืนดี นางจะทำเหมือนหลายครั้งก่อนไม่ได้ที่พูดสามประโยคก็ทำให้เขาโมโหหนีไปแล้ว คิดถึงคำพูดกำชับของท่านพ่อ หลิ่วเฟิ่งจึงพยายามกลืนคำพูดร้ายกาจที่ปลายลิ้นลงไปแล้วพูดอย่างน่ารักว่า “เม็ดหอมนี้ดีกว่าของปรมาจารย์กู่จริงหรือ”
มีกลิ่นหอมสดชื่นอ่อนๆ เพียงแค่มีกลิ่นเปรี้ยวๆ เผ็ดๆ มากกว่าที่กู่ฉินปรุงเล็กน้อยเท่านั้น เพียงรู้สึกหอมกว่าเล็กน้อย แต่นอกจากนี้แล้วนางก็ดูไม่ออกเลยว่าเม็ดหอมนี้มีดีเหมือนที่ท่านพ่อพูดตรงที่ใด
ไม่แน่ว่าองค์หญิงหมิงอวี้อาจจะเกลียดชังความรู้สึกเจ็บปวดเช่นนี้ก็ได้!
ปากพูดถามบิดา แต่ดวงตาหลิ่วเฟิ่งกลับเหลือบไปที่หร่วนอวี้
หลิ่วอู่เต๋อยิ้มส่ายหน้าแล้วมองไปทางหร่วนอวี้ “อวี้เอ๋อร์ลองว่ามาสิ”
“เม็ดหอมนี้ในด้านรายละเอียดเหนือกว่าสูตรลับในมือของอาเฟิ่งอยู่หนึ่งขั้น…” หร่วนอวี้พูดอย่างจริงจัง “เทียบกันแล้วเม็ดหอมนี้ใกล้เคียงธรรมชาติมากกว่า ทำให้คนเกิดความรู้สึก…” เขาเว้นคำพูด “ความรู้สึกเผ็ดๆ แสบๆ อย่างหนึ่งได้จริง…” แต่ก็เหมือนมิใช่ หร่วนอวี้จึงส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ เขาไม่รู้ว่าจะใช้คำพูดใดมาบรรยายความรู้สึกนั้นเช่นกัน
ดูเหมือนว่าใต้หล้านี้จะไม่มีคำพูดใดที่สามารถมาบรรยายสภาพจิตใจที่เขารู้สึกนั้นได้…
หลิ่วเฟิ่งเบ้ปาก “แต่ข้ากลับรู้สึกว่าเป็นกลิ่นเปรี้ยวๆ เผ็ดๆ…” แล้วพูดพึมพำ “ก็ไม่เห็นมีอะไรแปลกเป็นพิเศษ ท่านพ่อทำเป็นกระต่ายตื่นตูมไปได้ ทำให้คนตกใจ…”
หร่วนอวี้ส่ายหน้าโดยไม่ได้พูดอะไร
“สภาพจิตใจไม่เหมือนกัน ความรู้สึกของแต่ละคนก็ย่อมแตกต่างกัน อวี้เอ๋อร์กับอาเฟิ่งล้วนพูดถูก แต่ถูกเพียงคนละครึ่ง…” หลิ่วอู่เต๋อบิเม็ดหอมในมือออกแล้วบี้จนแหลก ยังไม่ทันจะทำอะไรมากก็เห็นกลางฝ่ามือเขามีควันสีดำลอยออกมา กลิ่นหอมสดชื่นอ่อนๆ พลันกระจายตัวออกไปในทันที
ภายในห้องเงียบเสียงลงทันใด
ทุกคนหลับตาลง ตั้งใจดมกลิ่นหอมสดชื่นอ่อนๆ ที่จู่ๆ ก็ลอยออกมานี้
“อาจารย์ของตระกูลหลิ่ววิเคราะห์แล้ว…” ท่ามกลางความเงียบหลิ่วอู่เต๋อพูดขึ้นอย่างช้าๆ “จุดเด่นใหญ่สุดของเครื่องหอมนี้คืออาจารย์ไป๋กล้าที่จะเติมไขชะมดเช็ดลงไปข้างใน…”
ไขชะมดเช็ด!
ไขชะมดเช็ดทำให้คนเกิดแรงกระตุ้นทางอารมณ์ได้ง่ายที่สุด พูดให้เข้าใจง่ายก็คือมันเป็นยากระตุ้นอารมณ์ชนิดหนึ่งที่คล้ายกับยาปลุกกำหนัด
มิน่าเล่าวันนั้นเขาดมแล้วจึงได้เสียอาการ!
ได้ฟังคำพูดนี้แล้ว หร่วนอวี้กับหลิ่วเฟิ่งก็ลืมตาขึ้น มองไปทางหลิ่วอู่เต๋อพร้อมกัน เมื่อสายตาประสานกันทั้งสองก็มีนิ่งงันไป ก่อนจะเลื่อนสายตาหนีทันที
มั่นใจในท่าทีของคนทั้งสองแล้ว หลิ่วอู่เต๋อก็พยักหน้า “เป็นไขชะมดเช็ด สำหรับคืนแต่งงานวันแรกคงไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้ว กู่ฉินก็เคยลองทำเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่นางไม่อาจขจัดกลิ่นคาวในชะมดเช็ดได้ เว้นเสียแต่เครื่องหอมที่ปรุงออกมานั้นมีกลิ่นเข้มข้นพอที่จะสามารถกลบกลิ่นคาวนั้นได้ ทว่าจุดเด่นใหญ่ที่สุดของเม็ดหอมเศร้าอาดูรก็คือมีกลิ่นหอมสดชื่นอ่อนๆ เหมือนมีแต่ก็เหมือนไม่มี ถ้าหากมีกลิ่นคาวออกมาเพียงเล็กน้อยก็จะทำลายกลิ่นโดยรวมไปหมด ทดสอบไปเกือบร้อยครั้ง สุดท้ายกู่ฉินก็จำต้องทิ้งความคิดนี้…” สายตาหลิ่วอู่เต๋อค่อยๆ ลึกซึ้งขึ้น แอบคิดในใจว่าอาจารย์ไป๋จัดการจุดด้อยจุดนี้ของไขชะมดเช็ดได้อย่างไร
นี่ก็เป็นข้อสงสัยของอาจารย์หลายคนที่ตระกูลหลิ่วจ้างมาในราคาสูง
“ที่แท้เป็นอย่างนี้เอง…” หลิ่วเฟิ่งกับหร่วนอวี้พยักหน้าพร้อมกัน แต่ว่าหร่วนอวี้ฝืนใจมองหน้าหลิ่วเฟิ่ง แล้วเปลี่ยนประเด็นพูด “ข้าได้ยินว่าไขชะมดเช็ดนี้หากดมมากเกินไปจะทำให้ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ มอบสิ่งนี้ให้องค์หญิงหมิงอวี้…” เสียงพูดขาดห้วงไป
นึกถึงว่าเครื่องหอมนี้มู่หวั่นชิวเป็นคนปรุง หัวใจหร่วนอวี้ก็สั่นไม่หยุด แอบคิดว่าโชคดีที่เม็ดหอมชุดนี้ถูกเขาปล้นชิงมาได้ก่อน ไม่เช่นนั้นแม้นางจะชิงตำแหน่งที่หนึ่งมาได้ในที่สุด ต่อไปหากถูกคนที่คิดร้ายใช้จุดด้อยข้อนี้มาเป็นประโยชน์ เกรงว่ามู่หวั่นชิวคงจะมีความผิดถึงขั้นถูกประหารในข้อหาคิดทำร้ายองค์หญิง!
คนที่คอยปรนนิบัติรับใช้เชื้อพระวงศ์เช่นเขาย่อมรู้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะล้อเล่นได้
“ถ้ารู้เช่นนี้แต่แรก พี่สามไม่ปล้นชิงเม็ดหอมนี้มาก็ดี…” เพียงชั่วครู่หลิ่วเฟิ่งก็คิดถึงจุดนี้ขึ้นมาเช่นกัน จึงพูดพึมพำ “ให้ตระกูลหลีส่งเครื่องหอมนี้ไป จากนั้นพี่สามค่อยยื่นถวายฎีกา ต่อให้มีสิบตระกูลหลีก็ต้องพ่ายแพ้!”
ในดวงตานางฉายความโหดเหี้ยม
ที่สำคัญไปกว่านั้น มู่หวั่นชิวยังสามารถหายสาบสูญไปจากโลกนี้ได้ด้วย!
เมื่อก่อนหร่วนอวี้อ่อนโยนและรักใคร่นางยิ่งนัก ต่อให้ตนเองจะเอาแต่ใจเพียงใด เขาก็จะยอมถอยให้บ้าง แต่นับจากเกิดความคิดจะรับสตรีผู้นั้นมาเป็นอนุภรรยา สำหรับความเอาแต่ใจของนางนั้นเขาก็ไม่ยอมรับเหมือนเมื่อก่อนอีก ทั้งยังเผยความดื้อรั้นที่น้อยนักจะได้เห็น เวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่เดือนจำนวนครั้งในการทำสงครามเย็นระหว่างคนทั้งสองรวมกันแล้วยังมากกว่าสิบปีที่ผ่านมาเสียอีก และระยะเวลาในการทำสงครามเย็นก็ยาวขึ้นทุกที
เหล่านี้ล้วนมีต้นเหตุมาจากสตรีผู้นั้น มีเพียงอีกฝ่ายตายเท่านั้น นางจึงจะดึงหัวใจของหร่วนอวี้กลับมาได้!
ได้ฟังคำพูดร้ายกาจอย่างยิ่งของหลิ่วเฟิ่งแล้ว นิ้วมือของหร่วนอวี้ก็สั่นเทา เขาบิเม็ดหอมในมือออกเป็นสองส่วน แล้วบี้เป็นผงเล่นในมือ
“…อาเฟิ่งคิดง่ายเกินไปแล้ว ด้วยความฉลาดของหลีจวินจะทำผิดง่ายๆ เช่นนี้ได้อย่างไร” หลิ่วอู่เต๋อจ้องบุตรสาวอย่างรักใคร่แวบหนึ่ง
“พ่อบุญธรรม…” หร่วนอวี้เงยหน้าขึ้นอย่างสงสัย
“ไขชะมดเช็ดมีจุดอ่อนข้อนี้ แต่หนึ่งคือใช้ปริมาณน้อย สองคือใช้เพียงในงานมงคล คงไม่กระทบถึงการตั้งครรภ์ขององค์หญิง…”
“แต่ว่า…” หลิ่วเฟิ่งเงยหน้าขึ้นอย่างไม่ยินยอม
“อาเฟิ่งไม่ได้สกัดด้วยตัวเอง ถึงไม่ได้ตั้งใจอ่านกฎการเข้าแข่งขันที่ฝ่าบาททรงร่างไว้…” หลิ่วอู่เต๋อหยิบสมุดสีเหลืองอ่อนเล่มหนึ่งออกมาจากท้องแขนเสื้อยื่นให้หลิ่วเฟิ่ง “อาเฟิ่งดูเองสิ กฎการคัดเลือกในครั้งนี้ ไขชะมดเช็ดสามารถเอามาใช้ได้ แต่ว่าจำกัดในด้านของปริมาณ…” ตอนแรกที่ได้ยินปรมาจารย์กู่บอกว่าในเม็ดหอมเศร้าอาดูรของตระกูลหลีมีไขชะมดเช็ดอยู่ด้วย เขาก็คิดถึงสิ่งเหล่านี้ หากไม่ได้ตรวจดูกฎของราชสำนัก เขาคงจะยับยั้งการกระทำของหร่วนอวี้ในคืนนี้ไปแล้ว
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง…” เพียงพลิกดูหน้าหนึ่ง หลิ่วเฟิ่งก็โยนสมุดไปด้านข้างอย่างเศร้าใจ
หร่วนอวี้ขมวดคิ้ว ยื่นมือไปหยิบมาแล้วก้มหน้าลงพลางพลิกเล่น
“เม็ดหอมนี้แค่ดมกลิ่นก็ดูเป็นธรรมชาติมากกว่าสูตรของกู่ฉินแล้ว และมี…” หลิ่วอู่เต๋อพยายามค้นหาคำในสมอง “สิ่งที่มีชีวิตชีวาเพิ่มยิ่งกว่า…” แล้วส่ายหน้าอย่างแรงอีกครั้ง “ใช่ เป็นจิตวิญญาณ ถ้าเปรียบเครื่องหอมเป็นเหมือนสาวงาม ความงามที่กู่ฉินสลักออกมาก็สวยดี แต่ยังขาดจิตวิญญาณ…”
หลิ่วเฟิ่งเบ้ปาก เบือนหน้าหนีไป
“พ่อบุญธรรมพูดถูก เครื่องหอมของอาจารย์ไป๋ชนะก็ตรงที่มีจิตวิญญาณเพิ่มเข้ามา เม็ดหอมนี้ถ้าถูกส่งไปถึงโต๊ะขององค์หญิงหมิงอวี้ คงต้องเป็นนางชนะโดยไม่มีตัวเลือกที่สองแน่!” คิดถึงกลิ่นหอมประหลาดอ่อนๆ บนตัวมู่หวั่นชิวเป็นครั้งแรก เม็ดหอมนั่นต้องเป็นสิ่งที่นางปรับแก้เองแน่นอน หร่วนอวี้แอบคิดอย่างทอดถอนใจ ด้วยวิชาฝีมือ…นางสูงส่งกว่ากู่ฉินจริงๆ นอกจากตกใจแล้วก็คิดถึงความไร้หัวใจของนาง หร่วนอวี้มีสีหน้าเศร้าสลดลงทันที
“อวี้เอ๋อร์พูดถูก ถ้าเม็ดหอมนี้ถูกตระกูลหลีส่งออกไปจริง ผลลัพธ์คงยากจะคาดคิด…” หลิ่วอู่เต๋อพยักหน้าแล้วพูดทอดถอนใจ “โชคดีที่มีอวี้เอ๋อร์…” เขาหรี่ตาลงเป็นเส้นตรง “ใช้เม็ดหอมเศร้าอาดูรที่อาจารย์หลี่ทำเบี่ยงเบนสายตาของอวี้เอ๋อร์ก่อน แล้วใช้เรือบรรณาการห้าลำของใต้เท้าฉินจงใจตั้งขบวนให้เป็นที่สงสัย ดึงตัวคนครึ่งหนึ่งของอวี้เอ๋อร์ให้อยู่ในเมืองต้าเยี่ย สุดท้ายใช้หน่วยเงาที่มีฝีมือดีที่สุดของตระกูลหลีลอบคุ้มกันส่งไป…ครั้งนี้ตระกูลหลีนับว่าได้ลงทุนคิดหาวิธีกันสุดชีวิตแล้ว” เขาหัวเราะเสียงดัง แล้วเปลี่ยนประเด็นพูดไป “น่าเสียดายที่เขาได้พบกับอวี้เอ๋อร์ของพวกเรา…” คิดถึงตอนที่สายลับของตนเองกลับมาบรรยายภาพอันน่าอนาถในคืนนั้น หลิ่วอู่เต๋อก็หัวเราะเย็นชาอย่างร้ายกาจ “ในครั้งนี้ตระกูลหลีนับว่าบาดเจ็บเสียหายหนักเลยนะ”
หร่วนอวี้เส้นเลือดบนหน้าผากเต้นตุบๆ
ทำร้ายศัตรูหนึ่งพันตัวเองเสียหายแปดร้อย ไม่เพียงหน่วยเงาของตระกูลหลีเท่านั้น ทหารมือดีของเขาก็เสียหายไปกว่าครึ่ง
เม็ดหอมเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ใช้ทหารมือดีของตระกูลหร่วนแลกมา!
ในคืนนั้นเลือดนองเป็นแม่น้ำจนสามารถใช้คำว่าน่าอนาถมาบรรยายได้ทีเดียว คิดว่าอีกฝ่ายคงได้รับคำสั่งตายมา คนของตระกูลหลีแต่ละคนจึงปกป้องสินค้าไว้โดยไม่คำนึงถึงชีวิต หากเขาไม่ได้อยู่ควบคุมเองในตอนนั้นแล้วเปลี่ยนเป็นคนอื่นแทน เม็ดหอมนี้คงจะชิงมาไม่ได้แม้แต่เม็ดเดียว คิดถึงมือดีตระกูลหร่วนที่ตายไปเหล่านั้นแล้ว เขาก็รู้สึกอึดอัดใจ
“จวนผู้บัญชาการก็เสียหายหนักเช่นกัน…” เขาพูดพึมพำ น้ำเสียงฉายความเจ็บปวดอย่างมาก
“แค่องครักษ์ไม่กี่คน เดี๋ยวพ่อจะชดเชยให้เจ้าเอง…” รู้ว่าเขามีใจรักคนใต้บัญชา สงสารคนที่ตายไปเหล่านั้น หลิ่วอู่เต๋อจึงส่ายหน้าอย่างไม่ใส่ใจ แล้วเปลี่ยนประเด็นพูดไป “ว่ากันว่าหลีจวินเป็นอัจฉริยะจากฟ้า วันนี้ดูไปแล้วก็แค่นี้เอง!”
ในดวงตาฉายแววดูแคลน เม็ดหอมครึ่งเม็ดในมือหลิ่วอู่เต๋อถูกบีบเป็นผุยผงในทันที ผงละเอียดค่อยๆ ไหลลงจากฝ่ามือของเขา ละอองเล็กๆ ปลิวลอยอยู่ใต้แสงตะวัน ดูเหมือนแสงเลือนราง บางเบา ไม่ชัดเจน…
“หลีจวินก็แค่นี้เอง…” หร่วนอวี้พึมพำอย่างเหม่อลอย ก่อนที่ตัวเขาจะสะดุ้งอย่างแรง
“…อวี้เอ๋อร์เป็นอะไรไป” หลิ่วอู่เต๋อเงยหน้าขึ้น
“เม็ดหอมนี้ได้มาง่ายเกินไป!” หร่วนอวี้พูด
หลิ่วอู่เต๋อสีหน้าตื่นตระหนก “ความหมายของอวี้เอ๋อร์คือ…”
กล้ามเนื้อข้างแก้มเขากระตุกอย่างห้ามไม่อยู่
“หลีจวินเป็นคนเจ้าเล่ห์ ทำการใดมักจะอยู่เหนือความคาดหมาย เขาจะปล่อยให้ข้าชิงเครื่องหอมมาง่ายอย่างนี้ได้อย่างไร”
“ง่ายเสียที่ใด พี่สามบอกว่าคืนนั้นเลือดไหลเป็นแม่น้ำเลยมิใช่หรือ” หลิ่วเฟิ่งพูดประชด “พี่สามได้เม็ดหอมเหล่านี้มาเพราะหลีจวินประมาทเกินไป คิดว่าหน่วยเงาของตระกูลหลีไร้คู่ต่อสู้ ประเมินกำลังของพี่สามต่ำเกินไป!”
หร่วนอวี้ส่ายหน้า เบื้องหน้าปรากฏภาพตอนที่ประสานสายตากับหลีจวินหน้าประตูคฤหาสน์ตระกูลไป๋
หลีจวินในตอนนั้นสีหน้าหดหู่ ไม่สิ พูดให้ถูกยิ่งขึ้นก็คือจริงจัง ในชั่วขณะนั้น…
ในชั่วขณะนั้นนอกจากเขาจะเห็นความสงสารและความเย็นชาอย่างมากในดวงตาของหลีจวินแล้ว ก็ไม่เห็นความสิ้นหวังแต่อย่างใด
ทั้งที่เครื่องหอมถูกปล้นชิงไปแล้ว หลีจวินควรจะรู้ว่าต่อไปตระกูลหลีจะต้องเผชิญหน้ากับอะไร ในเวลาเช่นนี้เหตุใดเขายังมาเป็นห่วงเพียงหญิงในอ้อมกอดเท่านั้น
หลีจวินไม่ใช่คนที่หลงใหลสตรีมาแต่ไหนแต่ไรนี่
ความคิดแล่นผ่าน หร่วนอวี้จึงส่ายหน้าอย่างแรง เขาจ้องตรงไปที่หลิ่วอู่เต๋อ “ถ้าเป็นพ่อบุญธรรม ท่านจะเอาไข่ไก่ทั้งหมดวางไว้ในตะกร้าหรือไม่”
จากนั้นก็ถูกคนยกไปทั้งหม้อน่ะหรือ
“ไม่!” หลิ่วอู่เต๋อตบโต๊ะอย่างแรง “อวี้เอ๋อร์พูดได้ถูกต้อง ในเมื่อเขาสามารถลอบชุบเลี้ยงใช้งานอาจารย์ไป๋ได้ ก็หมายความว่าสมองของเขาคงไม่คิดง่ายดายเช่นนี้ นี่คงจะมีแผนลับรับมือเรื่องนี้ไว้แล้ว!” เขายังคงขมวดคิ้ว “อวี้เอ๋อร์ลองคิดดูสิ นอกจากเครื่องหอมชุดนี้แล้ว ตระกูลหลียังสามารถใช้วิธีใดส่งเครื่องหอมอื่นไปข้างนอกได้อีกบ้าง” แล้วพูดพึมพำ “ขบวนเรือที่ทางการต้าเยี่ยจัดเตรียมเครื่องบรรณาการชุดนั้นเพื่อองค์หญิงหมิงอวี้ถือเป็นพิรุธใหญ่ที่สุด แต่วันนั้นอวี้เอ๋อร์ได้ตรวจดูอย่างละเอียดทั้งหมดแล้วนี่นา…”
คิดถึงภาพตรวจนับของในวันนั้น หร่วนอวี้ก็พยักหน้า แม้ว่าการตรวจผ้าไหมต่วนบนเรือลำสุดท้ายนั้นจะทำอย่างลวกๆ แต่เขาก็ให้องครักษ์เขย่าดูเป็นพับๆ แล้ว ข้างในไม่มีทางสอดแทรกของส่วนตัวเอาไว้ได้แน่นอน
“เรือเหล่านั้นข้าปิดผนึกหมดแล้ว และกำชับซุนเตี่ยนว่าตลอดทางต้องระวังสินค้าที่ขึ้นเรือมาระหว่างทางเป็นพิเศษ ของอื่นๆ ก็ช่างเถอะ แต่เครื่องหอมห้ามเด็ดขาด…” เขาพูดพึมพำแล้วส่ายหน้าอย่างมั่นใจ “ถึงแม้บนเรือบรรณาการจะเป็นคนของจวนว่าการเจ้าเมืองคอยดูแล แต่ขบวนคนที่คุ้มกันส่งของเป็นคนสนิทของข้า ตระกูลหลีไม่กล้าเสี่ยงแน่นอน!”
“อวี้เอ๋อร์พูดถูก ขอเพียงอวี้เอ๋อร์รับรองได้ว่าก่อนถอนสมอสินค้าของหลีจวินไม่ได้อยู่บนเรือ หลังจากนั้นเขาคงไม่กล้ามีความคิดนี้อีก” หลิ่วอู่เต๋อพยักหน้า หัวคิ้วขมวดแน่นยิ่งขึ้น
หลิ่วเฟิ่งก็หลับตาลงเงียบๆ
ภายในห้องเงียบสงบลง ได้ยินกระทั่งเสียงเข็มตกลงพื้น
“สินค้าชุดแรก!” ทันใดนั้นหร่วนอวี้ก็ตบหน้าตักตนเองอย่างแรง “ปัญหาอยู่ที่สินค้าชุดแรกที่ขนส่งออกไปเมื่อหลายวันก่อน!” พูดจบ เขาก็ก้าวยาวออกไป
“สินค้าชุดแรกหรือ” หลิ่วอู่เต๋อขมวดคิ้ว “สินค้าชุดแรกจะมีปัญหาอะไร” ปากพูดพึมพำไป เขาก็เงยหน้าขึ้นเพื่ออยากจะถามให้ชัดเจน ทว่าหร่วนอวี้กลับหายตัวไปเสียแล้ว
หลิ่วอู่เต๋อส่ายหน้าพลางหันไปสั่งการ “ปิดผนึกเม็ดหอมเหล่านี้ให้ดี แล้วขนไปเก็บในห้องลับ รอกู่ฉินมาศึกษา…”
“อาชิวตื่นแล้ว…”
เห็นมู่หวั่นชิวลืมตา หลีจวินที่เฝ้าอยู่ข้างเตียงก็ตื่นเต้นยินดี
กลอกตาไปหนึ่งรอบ สุดท้ายมาตกอยู่ที่ตัวหลีจวิน มู่หวั่นชิวก็นึกถึงเรื่องเครื่องหอมที่เข้าร่วมคัดเลือกของนางถูกปล้นชิงไปขึ้นมาทันใด นางลุกพรวดขึ้นมานั่ง “พี่หลี…”
“อาชิวระวัง…” หลีจวินประคองตัวนางไว้
“เครื่องหอมของข้าถูกปล้นชิงไปจริงหรือ” มู่หวั่นชิวจับตัวหลีจวินไว้แน่นแล้วเอ่ยถาม
หลีจวินพยักหน้า ในดวงตาฉายการตำหนิตนเอง เขาพลิกมือกลับมากุมมือมู่หวั่นชิว “อาชิววางใจได้ ข้าส่งคนออกไปสามทาง มีเพียงทางเดียวที่ถูกปล้นชิง ที่เหลืออีกสองทางยังปลอดภัยไร้เรื่องราว…”
หร่วนอวี้เป็นคนเฉลียวฉลาด มีหูตาไปทั่ว ยิ่งไปกว่านั้นยังมีอิงอ๋องคอยจับจ้องไม่วางตา ต่อให้มีหลายทางแล้วจะอย่างไร มู่หวั่นชิวส่ายหน้าอย่างเหม่อลอย นางเข้าใจในที่สุด
ครั้งนี้อิงอ๋องต้องการเอาสิทธิ์การเป็นวาณิชหลวงของตระกูลหลีไปให้ได้ ทั้งยังต้องได้โดยไม่เลือกว่าจะต้องใช้วิธีการใดบ้าง
เห็นร่างมู่หวั่นชิวสั่น หลีจวินจึงยื่นมือไปกอดนางไว้ ปากก็พูดปลอบ “อาชิวเชื่อข้าเถอะ ข้าจะต้องส่งเครื่องหอมของเจ้าไปอยู่บนโต๊ะขององค์หญิงหมิงอวี้ได้แน่นอน” จนกระทั่งรู้สึกว่านางสงบลง หลีจวินจึงปล่อยมือ แล้วยกยาบนโต๊ะมา “อาชิวดื่มยาก่อนเถอะ”
ดื่มยาหมดแล้ว หลีจวินก็วางถ้วยเปล่าลงบนโต๊ะ ปากก็พูดว่า “ข้าเพิ่งเห็นว่าอาชิววาดภาพหม้อกลั่นลำดับส่วนเสร็จแล้ว ตอนบ่ายข้าจะพาเจ้าไปที่หอเสวียนจีแล้วกัน จากนั้นไปหย่อนใจที่เขาอวิ๋นไป่…”
เครื่องหอมเข้าร่วมแข่งขันถูกปล้นชิงไปเช่นนี้ นางจะมีอารมณ์ไปเที่ยวเล่นอีกได้อย่างไร
รู้ว่าหลีจวินหวังดี แต่มู่หวั่นชิวยังคงส่ายหน้า ไม่ได้พูดจา
ภายในห้องเงียบเสียงลง
ทันใดนั้นมู่หวั่นชิวก็เอ่ยปากเรียก “พี่หลี…”
“อืม…” หลีจวินตอบรับคำ
มู่หวั่นชิวหมุนตัวมาทันใด มองเขาอย่างจริงจัง “พี่หลี…”
หลีจวินยื่นมือปัดผมงามที่ตกปรกหน้าผากนางไปด้านหลัง “อาชิวมีอะไรพูดมาได้เลย”
“พี่หลีรับปากข้า…” มือที่จับแขนหลีจวินสั่นอย่างห้ามไม่อยู่
หลีจวินท่าทางจริงจัง มองนางอย่างเงียบงัน
“พี่หลีต้องรับปากข้า…” มู่หวั่นชิวพูดอีกรอบ “ถ้า…ถ้า…” ลมหายใจของนางเร็วแรง “ถ้าเครื่องหอมของตระกูลหลีถูกคัดทิ้ง พี่หลีต้องฆ่าปรมาจารย์กู่ทันที!” มู่หวั่นชิวพูดรวดเดียวจนจบ นางมองหน้าหลีจวินตาไม่กะพริบ ในใจเต้นโครมคราม
ในชาตินี้แม้จะเป็นเหมือนชาติก่อนที่ปล่อยให้หลิ่วเฟิ่งชิงตำแหน่งที่หนึ่งไป แต่ในมือของอีกฝ่ายไม่มีตำราวิชาปรุงเครื่องหอมตระกูลเว่ย และหากไม่มีกู่ฉินคอยให้การสนับสนุน หลิ่วเฟิ่งก็จะเป็นดั่งดอกถานที่บานในช่วงสั้นๆ สุดท้ายแม้ตระกูลหลีจะไม่มีสิทธิ์การเป็นวาณิชหลวง แต่ยังมีนางที่เป็นผู้สืบทอดของตระกูลเว่ย ตระกูลหลีจะยังคงยืนตระหง่านอยู่ในวงการเครื่องหอมได้โดยไม่ล้ม ขณะเดียวกันนางที่เป็นดั่งดอกทู่ซือซึ่งต้องพึ่งพิงต้นไม้ใหญ่อย่างตระกูลหลีก็จะมีชีวิตที่ดีต่อไปได้!
และมีชีวิตที่สดใสยิ่งขึ้นอีกด้วย!
อย่างไรเสียสิทธิ์การเป็นวาณิชหลวงก็เป็นเพียงแค่สิทธิ์ ในฐานะแคว้นใหญ่แห่งการปรุงเครื่องหอม ตั้งแต่เชื้อพระวงศ์ไปจนถึงชาวเมืองสิ่งที่พวกเขาต้องการจริงๆ ยังคงเป็นเครื่องหอมยอดเยี่ยมเหล่านั้น!
ภายในห้องเงียบงันราวสุสานโบราณ
อย่างไรเสียกู่ฉินก็เป็นเสมือนเทพในวงการปรุงเครื่องหอม ใครเล่าจะกล้ามาแบกรับความผิดนี้ ต้องถูกคนนับหมื่นรุมด่า
จ้องมองสายตาแปลกประหลาดของหลีจวินแล้ว มู่หวั่นชิวก็หัวใจเต้นรัว
“พี่หลี ข้า…” นางอยากอธิบาย แต่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไร
“อาชิววางใจได้ ข้าจะส่งเครื่องหอมของเจ้าเข้าวังให้ได้อย่างแน่นอน!” หลีจวินพูดรับรองด้วยสีหน้าจริงจัง
มู่หวั่นชิวในดวงตาฉายความสิ้นหวัง แอบพูดในใจ…ข้าเสนอเรื่องนี้ขึ้นมา เขาคงคิดว่าข้าใจแคบ อิจฉากู่ฉินแน่นอนกระมัง เพียงความคิดแล่นผ่าน มู่หวั่นชิวก็ค่อยๆ ปล่อยมือ
รับรู้ว่ามือของนางเย็นเฉียบในทันใด หลีจวินก็ใจสั่น เขากอดมู่หวั่นชิวที่จะลุกขึ้นเดินจากไปไว้ “อาชิว…”
“ข้าเหนื่อยแล้ว…” มู่หวั่นชิวนิ่งปล่อยให้เขากอดอย่างนั้นแล้วพูดเสียงเรียบ “พี่หลีออกไปก่อนเถอะ”
รับรู้ว่าร่างของนางเย็นเฉียบ หลีจวินจึงเรียกนางเสียงเบา “อาชิว…”
ราวกับได้ตัดสินใจครั้งใหญ่ เขาโน้มตัวลงแนบใบหน้าข้างหูมู่หวั่นชิว ใช้เสียงที่ได้ยินกันเพียงสองคน พูดว่า “ข้อเสนอของอาชิวเมื่อครู่นี้เป็นแผนร้ายที่สุดที่ข้ากับท่านพ่อคิดกันไว้แต่แรกแล้ว ท่านหมอที่รักษากู่ฉินเป็นหน่วยกล้าตายของตระกูลหลี ถ้าเครื่องหอมของอาชิวพ่ายแพ้ กู่ฉินก็จะ ‘ตายเพราะบาดเจ็บสาหัส’…”
“พี่หลี…” มู่หวั่นชิวสะดุ้ง เงยหน้าขึ้นอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“วันนั้นได้ฟังคำของอาชิว ข้าก็แอบปล้นชิงเครื่องหอมของร้านอี้เหอที่จะส่งเข้าร่วมแข่งขันแล้ว ผลปรากฏว่าเป็นเม็ดหอมเศร้าอาดูรของตระกูลหลีจริง กู่ฉินทำออกมาและขายให้คนอื่นไปแล้ว…ที่ตระกูลหลิ่วลงมือร้ายแรงต่อนางอย่างนั้น หนึ่งคือยับยั้งไม่ให้นางเหยียบเรือสองแคม แต่ที่สำคัญที่สุดคือ…พวกเขาทำเพื่อปูทางให้หลิ่วเฟิ่ง”
“ปูทางเพื่อหลิ่วเฟิ่งหรือ” มู่หวั่นชิวกะพริบตาอย่างสงสัย
“เครื่องหอมของร้านอี้เหอส่งออกไปในนามหลิ่วเฟิ่ง…” หลีจวินพยักหน้า “แต่นางปรุงเครื่องหอมไม่เป็น ถ้าได้ชัยชนะมาต่อไปก็ต้องเผชิญหน้ากับการท้าทายมากมายและการจับตามองของราชสำนัก หากเบื้องหลังนางไม่มีอาจารย์ฝีมือล้ำเลิศคอยหนุนอยู่จะได้อย่างไร แต่ว่า…” เขาเปลี่ยนประเด็นพูดไป “กู่ฉินใจแคบและหลงใหลในชื่อเสียง นางจะยอมอยู่เบื้องหลังคนอื่นอย่างเงียบๆ ได้หรือ” หลีจวินพูดทีละคำๆ “…นอกเสียจากนางเสียโฉม ไม่อาจเผยหน้าต่อหน้าผู้คนได้!” เขาส่ายหน้า “น่าเสียดายตระกูลหลิ่วคำนวณผิดพลาดไป แม้จะใช้วิธีการเหี้ยมโหดเช่นนั้นแล้ว แต่กลับคาดไม่ถึงว่ากู่ฉินรักโฉมหน้ามากกว่าชีวิตตนเอง ทั้งที่ถูกไฟไหม้ไปครึ่งร่าง กลับมีเพียงใบหน้าที่ถูกปกป้องไว้อย่างดี…”
“ที่แท้เป็นอย่างนี้เอง…” มู่หวั่นชิวเข้าใจในทันที ปากก็พึมพำ “ความคิดพี่หลีรวดเร็วเสียจริง ข้ามีชีวิตมาสองชาติยังคิดไม่ถึงขั้นนี้เลย” จริงสิ ชาตินี้ไม่เหมือนกับชาติก่อน เพราะตอนนั้นในมือหลิ่วเฟิ่งมีสุดยอดตำราลับอยู่เล่มหนึ่งแล้ว ย่อมไม่กลัวว่ากู่ฉินจะไม่เอาใจนาง ทว่าในชาตินี้นางไม่มีหลักรับรองอะไรเลยสักอย่างจึงต้องใช้วิธีรุนแรงนี้
“อาชิวพูดอะไรนะ” หลีจวินฟังไม่ชัดเจนจึงเอ่ยปากถาม
มู่หวั่นชิวสะดุ้ง ก่อนจะพบว่าตนเองเพิ่งหลุดปากพูดออกไป นางหน้าแดงพลางแอบมองไปทางหลีจวิน เขาก็กำลังมองนางไม่วางตา สายตาประสานกัน มู่หวั่นชิวพลันตัวสั่น
“ข้า…ข้า…” นางพูดอ้ำอึ้ง “เมื่อครู่ข้าคิดว่าพี่สงสัยว่าข้าใจแคบ อยากจะมีชื่อเสียงจึงไม่ยอมรับปากข้าเรื่องปรมาจารย์กู่…” แล้วยิ้มอย่างเอาใจ “ตอนนี้รู้ว่าพี่หลีไม่ได้คิดเช่นนั้น ข้าก็วางใจแล้ว”
“…อาชิวคิดเช่นนี้ได้อย่างไร” หลีจวินถลึงตามองนางอย่างโมโห “ถ้าอาชิวใจแคบ อยากจะมีชื่อเสียงจริง แล้วจะยอมทิ้งตำแหน่งอันดับหนึ่งในงานประชันเครื่องหอมไปได้อย่างไร อาชิวรู้นานแล้วว่ากู่ฉินทรยศตระกูลหลี ต้องการฆ่านางก็เพื่อให้ตระกูลหลีสามารถกู้สถานการณ์ที่พ่ายแพ้กลับมาได้…” เขาเชื่อแล้วว่าใบสนหอมและธูปพระพยักหน้าในงานประชันเครื่องหอมแห่งเมืองซั่วหยางนั้นมาจากมือของนาง ทั้งนางยังมอบสูตรเหล่านั้นให้กับเฮยมู่โดยไม่เก็บไว้เลย
หลีจวินค่อยๆ จมอยู่ในความคิด เสียงพูดจึงขาดห้วงไป…
ภายในห้องได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของคนทั้งสอง
“พี่หลีคิดอะไรอยู่” ท่ามกลางความเงียบมู่หวั่นชิวเอ่ยปากถาม
“ข้ากำลังคิดว่า…” ดึงสติคืนมาแล้ว หลีจวินก็พูดอย่างเหม่อลอย “อาชิวอยากปกป้องผลประโยชน์ของตระกูลหลี ทำเพื่อตระกูลหลี ทำเพื่อข้าด้วยใจจริง และทำดีต่อข้าอย่างจริงใจ แต่ว่า…” เขาขมวดคิ้วแน่น มองมู่หวั่นชิวอย่างเงียบๆ “…ไยเจ้าไม่ยอมแต่งงานกับข้า”
คาดไม่ถึงว่าหลีจวินจะถามคำถามเช่นนี้ออกมา มู่หวั่นชิวรู้สึกงุนงง
นี่มันความคิดอะไรกัน ดีต่อใครคนหนึ่งก็ไม่ได้เชียวหรือ
จะต้องแต่งงานกับคนคนนั้นด้วย?
นางไม่เคยคิดเช่นนี้มาก่อน นี่เป็นสองเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลยจึงพูดโพล่งออกไป “ที่ข้าดีต่อพี่หลีก็เป็นเพราะข้าใช้ประโยชน์ในตัวท่านเพื่อต่อกรกับใต้เท้าหร่วน เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับการแต่งงานด้วย”
รู้สึกว่าแขนที่กอดตนเองแน่นขึ้น บีบรัดจนนางหายใจไม่ออก มู่หวั่นชิวจึงพบว่าตนเองพูดผิดไป นางสลัดหลุดจากหลีจวินแล้วก็รีบขยับไปที่มุมเตียง มองดูหลีจวินพลางยิ้มสดใสอยู่ไกลๆ
“พี่หลี ข้า…”
หลีจวินปั้นหน้านิ่งมองนาง อยากจะดึงตัวนางมาตีแรงๆ สักครั้ง
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่
สีหน้ามู่หวั่นชิวก็เปลี่ยนเป็นจริงจังมาก “ข้าใช้ประโยชน์พี่จริงๆ…”
นางใช้ประโยชน์เขาแก้แค้นบัญชีเลือดของตระกูล
ท่าทางแข็งกระด้างค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเศร้าสลด หลีจวินพูดทอดถอนใจอย่างหงอยเหงา “…อาชิวไม่ยอมพูดแม้กระทั่งคำโกหกกับข้าแล้ว” รู้แต่แรกว่านางใช้ประโยชน์เขาอยู่ แต่ว่าพอได้ฟังมู่หวั่นชิวพูดตามตรงเช่นนี้ มุมหนึ่งในหัวใจหลีจวินก็อดรู้สึกว่างเปล่าไม่ได้
อากาศภายในห้องอึดอัดจนทำให้คนหายใจแทบไม่ออก ในตอนที่มู่หวั่นชิวตัดสินใจว่าจะหนีออกไปก่อนเพื่อความปลอดภัย นางกลับเห็นหลีจวินยิ้มเจ้าเล่ห์ “อาชิวใช้ประโยชน์ข้าได้ แสดงว่าข้ายังมีประโยชน์อยู่” เขาเดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าว โน้มตัวลงมองดูมู่หวั่นชิวที่อ้าปากกว้างด้วยความตกใจ “แต่อาชิวอย่าลืมนะ คิดจะใช้ประโยชน์ใครก็ต้องลงทุนก่อน”
มองดูประกายที่วาดผ่านในดวงตาเขาแล้ว มู่หวั่นชิวก็ตัวสั่น
“ท่าน…” นางส่งเสียงเรียก อยากถามเขาว่าคิดจะวางแผนทำอะไรนางใช่หรือไม่ หลีจวินก็หมุนตัวก้าวยาวออกไปแล้ว
มือกุมใบหน้าครึ่งซีกที่ร้อนผ่าวไว้ บนนั้นยังทิ้งไออุ่นจากลมหายใจที่หลีจวินพ่นออกมาเมื่อครู่นี้ ในดวงตามู่หวั่นชิวก็แสดงความรู้สึกสับสน
เขาคงไม่ได้เริ่มคิดวางแผนทำอะไรข้าจริงๆ กระมัง
จิตใจนางเดิมทีก็หมกมุ่นอยู่แต่กับการปรุงเครื่องหอม อย่าว่าแต่นางขี้เกียจจะคิดแผนการเลย แม้อยากจะต่อกรกับหลีจวินที่มีความคิดเจ้าเล่ห์เพียงใด นางก็ไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ด้วยได้ “ถ้ารู้แต่แรก ข้าโกหกเขาเสียก็ดี…” มองดูประตูที่เพิ่งถูกปิดยังสั่นอยู่เล็กน้อย มู่หวั่นชิวก็พูดพึมพำอย่างหงุดหงิด
Comments
comments