X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักยอดหญิงเซียนเครื่องหอม

ยอดหญิงเซียนเครื่องหอมเล่มห้า บทที่สาม

หน้าที่แล้ว1 of 7

บทที่สาม

 

“…ไยพี่สามเพิ่งกลับมา” พอหร่วนอวี้เข้าประตูมา หลิ่วเฟิ่งที่รออยู่ที่จวนผู้บัญชาการก็โผเข้าหาทันที

หร่วนอวี้ร่างชะงักไป แต่แล้วก็กอดนางไว้ “อาเฟิ่งมาแล้วหรือ”

“ข้ารอพี่สามนานแล้ว” ในน้ำเสียงแฝงการออดอ้อนไว้หลายส่วน

หร่วนอวี้ยิ้มบางๆ ในขณะที่กอดนางไว้หลวมๆ

ทำสงครามเย็นมานานก็เพิ่งจะมาคืนดีกัน ทั้งสองคนจึงล้วนระวังตัว ตั้งใจหลบเลี่ยงคำพูดใจดำทำร้ายความรู้สึก ในคำพูดล้วนแฝงความหมายที่ต้องการเอาใจอีกฝ่ายพลางเดินเคียงกันเข้าห้องไป

มองดูท่าทางสนิทสนมของคนทั้งสอง องครักษ์ที่อยู่ด้านหลังหร่วนอวี้ก็โล่งอก ก่อนจะค่อยๆ เดินจากไป

“พี่สามไปตรวจนับเครื่องบรรณาการที่เมืองต้าเยี่ยเตรียมไว้สำหรับองค์หญิงหมิงอวี้หรือ” นั่งนิ่งแล้ว หลิ่วเฟิ่งก็เอ่ยถาม “กลับ…” เสียงนั้นขาดห้วงไป เพียงคิดว่าพวกตนเพิ่งจะดีกัน ยากนักที่จะมานั่งพูดคุยกันอย่างสบายใจเช่นนี้ คำพูดรุนแรงที่ท่านพ่อใช้กับหร่วนอวี้จึงติดอยู่ที่ลำคอ นางกระแอมแล้วเปลี่ยนประเด็นพูด “ตอนเช้าได้รับข่าวจากพี่สาม ข้าก็ไปหาปรมาจารย์กู่ทันที…”

“ของขวัญที่เตรียมสำหรับองค์หญิงหมิงอวี้ ข้าไม่กล้าละเลยหรอก” หร่วนอวี้พยักหน้า เขาพูดเรื่องนี้เพียงผ่านๆ แล้วเปลี่ยนประเด็นพูดไป “ที่อาเฟิ่งไปพบปรมาจารย์กู่มาตอนเช้า นางพูดอะไรบ้างหรือ” เห็นองครักษ์ยกชาเข้ามา เขาจึงยื่นมือไปรับมาเทให้หลิ่วเฟิ่งถ้วยหนึ่ง

รับน้ำชามาแล้ว หลิ่วเฟิ่งก็ยิ้มหวานให้ “ปรมาจารย์กู่พักฟื้นมาตลอด ถ้าไม่ได้พี่สามช่วยเตือนสติ นางคงถูกปิดหูปิดตาอยู่…” แล้วพูดอย่างเอาใจ “พี่สามเหมือนเทพจริงๆ พี่รู้ได้อย่างไรว่าร้านหลีจี้แอบทำเครื่องหอมอีกชุดหนึ่ง”

หร่วนอวี้ยิ้มอย่างได้ใจ “ข้าเพิ่งชิงเม็ดหอมชุดหนึ่งมาจากตระกูลหลี…” เขาเล่าเรื่องผลการตรวจสอบออกมาหนึ่งรอบ “เป็นผู้นำวงการปรุงเครื่องหอมมาหลายปี ตระกูลหลีจะถวายเครื่องหอมชั้นสองอย่างนั้นให้องค์หญิงหมิงอวี้ได้อย่างไร” เขาส่ายหน้า “หากทำเช่นนั้น มิสู้ถวายโบยบินเคียงคู่หรือกระวานหอมบุปผาสวรรค์ที่พวกเขาเพิ่งทำออกมาเมื่อต้นปีเสียยังดีกว่า ไม่ว่าอันใดก็ล้วนดีกว่าอันนี้” แล้วหันมองไปทางหลิ่วเฟิ่ง “จริงสิ อาเฟิ่ง…”

เขาอยากจะถามนางว่าเครื่องหอมที่ส่งออกจากตระกูลหลีเมื่อตอนพลบค่ำชุดนั้นอาจารย์ไป๋เป็นคนปรุงจริงหรือ

คำพูดมาถึงริมฝีปาก คิดว่าทุกครั้งที่เขาสองคนทะเลาะกันล้วนเป็นเพราะนาง หร่วนอวี้จึงปิดปากลงอีกครั้ง

รออยู่นานไม่ได้ยินคำพูดต่อไป หลิ่วเฟิ่งจึงพูดกับเขาเสียงเบา “พี่สามคิดจะพูดอะไรหรือ”

“ข้าให้หร่วนซีไปปล้นเครื่องหอมชุดนั้นมาแล้ว” หร่วนอวี้พูดออกมา “ให้พวกเขาไม่เหลือทิ้งไว้สักเม็ด ปล้นกลับมาให้หมด!” น้ำเสียงเด็ดขาดเป็นพิเศษ

“พี่สามรู้แล้วหรือว่านั่นเป็นเครื่องหอมชั้นเลิศ” ดวงตาหลิ่วเฟิ่งพลันเปล่งประกายขึ้นมา นางมองหร่วนอวี้อย่างสงสัย

…เครื่องหอมชั้นเลิศ?! หร่วนอวี้ตกใจ อาเฟิ่งรู้ได้อย่างไร

เห็นหลิ่วเฟิ่งมองหน้าตนอยู่ หร่วนอวี้จึงพูดอีกว่า “ข้าเดาว่าเครื่องหอมชุดนี้เป็นเครื่องหอมที่ตระกูลหลีจะถวายจริงๆ ดังนั้นจึงให้คนไปปล้น…”

ด้วยประสบการณ์นานปีตระกูลหลีจะยอมแพ้โดยง่ายได้อย่างไร

“ที่แท้เป็นเช่นนี้เองหรือ” หลิ่วเฟิ่งพยักหน้าอย่างผิดหวัง “ข้าคิดว่าพี่สามรู้แล้วเสียอีกว่านั่นเป็นเครื่องหอมชั้นเลิศ” และพูดอีกว่า “ตอนพลบค่ำปรมาจารย์กู่แอบขโมยตัวอย่างเครื่องหอมชุดนั้นที่ตระกูลหลีแอบทำออกมา…”

“อาเฟิ่งได้ตัวอย่างมาแล้วหรือ” หร่วนอวี้พลันนั่งตัวตรงทันที

“เป็นเม็ดหอมเศร้าอาดูรเช่นกัน” หลิ่วเฟิ่งหยิบเม็ดหอมเม็ดหนึ่งในแขนเสื้อออกมายื่นไปให้ “ไม่ด้อยไปกว่าสูตรลับของปรมาจารย์กู่เลย ทั้งยัง…” นางกัดริมฝีปาก “ท่านพ่อบอกว่ายังเหนือกว่าหนึ่งขั้น ถ้าไม่ใช่ปรมาจารย์กู่ส่งออกมาเอง ท่านพ่อคงสงสัยว่านางเหยียบเรือสองแคมใช่หรือไม่!” ในดวงตานางฉายแววเหี้ยมโหด

ตระกูลหลิ่วเสียแรงกายแรงเงินไปมากมายถึงเพียงนี้แล้ว เกียรติยศของการเป็นผู้ชนะเครื่องหอมที่ใช้ในงานพระราชพิธีอภิเษกองค์หญิงหมิงอวี้จะปล่อยให้ตกเป็นของคนอื่นได้อย่างไร!

หากไม่ใช่เป็นเพราะเครื่องหอมชุดนี้ชนะสูตรลับในมือของนาง มีหรือที่นางจะมาก้มหัวให้เขาและขอร้องให้เขาปล้นเครื่องหอมของตระกูลหลีชุดนี้

รับเม็ดหอมมาแล้ว หร่วนอวี้ก็โบกมือสั่งให้องครักษ์ถือเตากำยานเข้ามา

หลับตาลงแล้ว ท่ามกลางกลิ่นหอมโชยเอื่อยดวงตาลึกล้ำคู่นั้นก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าอีกครั้ง ความรู้สึกกลัดกลุ้มของการอยากได้แต่ไม่ได้ อยากเลิกก็ไม่ได้วนเวียนอยู่ภายในใจ ทำให้หัวใจของหร่วนอวี้พลันรู้สึกว่างเปล่า

คิดถึงเพียงนิดก็แทบขาดใจ ที่แท้ความเศร้าอาดูรอย่างแท้จริงนั้นมิใช่การลาจาก แต่เป็นความคิดถึงจนใจแทบขาดนี้เอง…รู้สึกราวกับอวัยวะภายในเหมือนกำลังแตกสลาย หัวใจว่างเปล่าของหร่วนอวี้คล้ายถูกมีดกรีด ถูกขวานจาม ถูกมดงูกัดกินในทันที เขาอยากจับเงาร่างคนตรงหน้ามากอดแน่นไว้ในอ้อมกอด แยกชิ้นส่วนของนางบีบให้ละเอียดแล้วกลืนลงท้องไปทีละคำ นั่นจึงจะคลายความทุกข์จากความคิดถึง และความเจ็บปวดแทบขาดใจได้

“พี่สาม…” รับรู้ถึงบรรยากาศหนักอึ้งไหลเวียนอยู่รอบตัว กดจนหลิ่วเฟิ่งรู้สึกหายใจไม่ออก นางจึงกุมมือหร่วนอวี้ไว้ทันทีแล้วเอ่ยเรียกเสียงเบา

รู้สึกคล้ายว่ามือเล็กอ่อนนุ่มของมู่หวั่นชิวยื่นมา หร่วนอวี้จึงดึงมากอดแน่นในอ้อมกอด สองมือลูบมือเล็กไปมาอย่างแรงพลางก้มลงมาจุมพิตอย่างรวดเร็วราวลมฝนโปรยปรายลงมา

ร่างหลิ่วเฟิ่งพลันสั่นเทา นางตะลึงไปชั่วครู่ก่อนจะครางออกมา แล้วโผเข้าหาหร่วนอวี้ “พี่สาม…” นางหายใจหอบพึมพำเสียงเบา มือเล็กไล้ตามสาบเสื้อเลื่อนเข้าไปตรงแผ่นอกของเขา

หร่วนอวี้สั่นสะท้านไปทั่วร่าง กระชากเปิดเสื้อของหลิ่วเฟิ่ง เนินเนื้อขาวราวหิมะคู่หนึ่งพลันปรากฏให้เห็นในทันที เขาส่งเสียงคำรามเบาๆ แล้วงับเม็ดสีแดงที่สั่นระริกเม็ดนั้นเอาไว้

แรงกระตุ้นลึกถึงกระดูกพลันซาบซ่านไปทั่วร่างในทันที หลิ่วเฟิ่งครางออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ “อย่านะ…” แม้ปากจะบอกว่าอย่า ทว่ามือกลับจับร่างของหร่วนอวี้แน่นขึ้น นางอยากให้เขาทำอะไรสักอย่างเพื่อมาเติมเต็มความว่างเปล่าที่ส่งมาจากส่วนล่าง

หร่วนอวี้ปล่อยยอดทรวงอกแล้วก็จูบแก้มของนาง “อาชิว…” เขาเอ่ยเรียกเสียงเบา “จะให้ข้าทำอย่างไร เจ้าจึงจะยอมแต่งงานกับข้า” รู้สึกว่าร่างในอ้อมกอดแข็งแกร่ง หร่วนอวี้ก็ตกใจพลันได้สติคืนมาเช่นกัน “อาเฟิ่ง…”

เขาผลักตัวหลิ่วเฟิ่งที่กึ่งเปลือยออกจากอ้อมกอด ตกใจจนพูดอะไรไม่ออก

ดวงตางามเบิกโต หลิ่วเฟิ่งจ้องตรงไปที่หร่วนอวี้

ผ่านไปครู่ใหญ่ นางกระโดดลงมายืนบนพื้นทันที

เพียะๆ นางตบหน้าหร่วนอวี้อย่างแรง แล้วรวบปิดเสื้อวิ่งออกไป

ถูกหญิงสาวตบหน้าเช่นนี้ ผ่านไปนาน หร่วนอวี้ที่เอามือทาบหน้าก็ดึงสติคืนมา เขามีสีหน้าลำบากใจ มือกำเป็นหมัดแน่น เส้นเลือดหลังมือขึ้นนูนออกมา ทว่าเมื่อได้ยินเสียงร้องไห้อันเศร้าสลดของหลิ่วเฟิ่งดังลอยมาจากนอกประตูแล้ว เขาก็คลายมือออกอย่างไร้เรี่ยวแรง

“อาเฟิ่ง…” เขาเรียกเสียงเบาพลางยื่นมือออกไป แต่กลับไม่ได้ไล่ตามไป

เวลาผ่านไปครู่ใหญ่

หร่วนอวี้จึงค่อยๆ หยิบเม็ดหอมครึ่งเม็ดบนโต๊ะขึ้นมา ห้านิ้วขยับเบาๆ เม็ดหอมก็แหลกกลายเป็นผงในทันที ร่วงไหลออกมาตามร่องนิ้วอย่างช้าๆ ลงไปในไฟเทียน พลันเปลี่ยนเป็นควันในทันใด

กลิ่นควันหอมกรุ่นราวกับดอกไม้ไฟยามเที่ยงคืน…

มิน่าเล่าหลีจวินจึงปกป้องนางถึงเพียงนั้น มิน่าเล่าตนเองเอ่ยปากขอนางหลายครั้งแล้ว หลีจวินกลับใช้สาวงามมากถึงสิบคนมาแลกเปลี่ยนอย่างไม่เสียดาย มิน่าเล่าหลีจวินจึงเป็นปรปักษ์กับเขาโดยไม่เสียดาย ไม่ว่าอย่างไรก็จะคุ้มครองความปลอดภัยของนางให้ได้ ที่แท้…เขาควรรู้แต่แรกแล้วว่านางเป็นอัจฉริยะคนหนึ่ง!

หร่วนอวี้ที่รู้ว่าหลีจวินชอบคนมีความสามารถมากเพียงใด คิดเรื่องราวมากมายออกในทันที

กู่ฉินเคยพูดว่าที่นางแสดงความโดดเด่นครั้งหนึ่งในงานประชันเครื่องหอมที่เมืองซั่วหยางได้นั้นเป็นเพราะนางขโมยสูตรลับคนอื่นมาสร้างชื่อเสียง นางเป็นเพียงคนโง่เขลาไร้ปัญญา ทว่าแท้จริงแล้วสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นหลีจวินที่ทำให้คิดไปทั้งสิ้น

หลีจวินอาจจะพบการทรยศของกู่ฉินนานแล้ว ขณะเดียวกันก็พบว่ามู่หวั่นชิวเป็นอัจฉริยะคนหนึ่งจึงตั้งใจจะดึงนางออกจากกำมือของกู่ฉิน แอบคุ้มครองบ่มเพาะไว้ก็เพื่อเตรียมป้องกันการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นเช่นในวันนี้

กู่ฉินเป็นหมากที่ถูกตระกูลหลีโยนทิ้งนานแล้ว

มู่หวั่นชิวต่างหากจึงจะเป็นหมากลับแท้จริงของตระกูลหลี เป็นดวงดาวที่โผล่ขึ้นมาในวันพรุ่งนี้!

คิดถึงหลีจวินแย่งนางไปจากมือตนเองหลายครั้ง คิดถึงนางที่เคยบอกว่าชอบหลีจวิน เพียงชั่วครู่หลังกำปั้นของหร่วนอวี้ก็ขึ้นเป็นเส้นเขียว กล้ามเนื้อข้างแก้มกระตุก เขาพรวดพราดยืนขึ้นมาแล้วรีบเดินออกไป…

หร่วนอวี้มาถึงหน้าประตูคฤหาสน์ตระกูลไป๋โดยไม่รู้ตัว เขายกมือคิดจะเคาะประตู แต่นึกถึงการตัดไมตรีที่มู่หวั่นชิวมีต่อตนเองก็พลันลดมือลง เขาเหม่อมองประตูสองบานที่ดำมืดอยู่ภายใต้แสงจันทร์ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงถอยหลังตึงๆๆ ไปหลายก้าว เห็นซ้ายขวาไม่มีคนจึงลอยตัวขึ้นไปบนหลังคาคฤหาสน์ตระกูลไป๋

หร่วนอวี้เดินไปบนแนวหลังคามองหาห้องหลักทางตะวันออกอย่างรวดเร็ว ตอนที่เขากำลังจะกระโดดลงไป บริเวณด้านหลังก็มีเสียงพิณดังลอยมาเบาๆ หร่วนอวี้จึงหันหน้าไป ใต้เงาไม้พลิ้วไหวที่ลานหลังบ้านเขาเห็นมู่หวั่นชิวสวมชุดผ้าบางสีขาวนวลกำลังนั่งคุกเข่าอยู่หลังโต๊ะตัวเตี้ยจดจ่ออยู่กับการดีดพิณ ผมดำสลวยราวหมึกสยายลงถึงเอวอยู่ภายใต้แสงจันทร์สลัว ร่างนั้นดูเลือนรางราวกับนางฟ้านางสวรรค์…

เสียงพิณราวเสียงร่ำไห้บรรเลงออกมาด้วยฝีมืออันยอดเยี่ยม ราวกับกำลังเล่าเรื่องราวของความรักที่โศกเศร้าฉากหนึ่ง ความเจ็บปวดที่คอยไล่ตามค้นหามาชั่วชีวิตนั้นทำให้คนเจ็บปวดใจแทบขาดรอนจนต้องหลั่งน้ำตาออกมา เสียงพิณดังเบาสลับกัน ในใจของหร่วนอวี้ก็เหมือนว่าจมอยู่ในห้วงทะเลรักที่ยากลำบาก จนกระทั่งเสียงสุดท้ายหยุดลง เขาจึงค่อยหายใจโล่งขึ้น

เสียงพิณเช่นนี้…คนงามเช่นนี้…ในเมื่อชาตินี้ได้เจอแล้วจะให้เขาปล่อยมือได้อย่างไร

มองดูใบหน้างามใต้แสงจันทร์ที่เห็นได้ไม่ชัดเจน หัวใจหร่วนอวี้ก็บีบแน่นเป็นก้อน ความเจ็บปวดราวดอกไม้ที่ถูกบีบเละแหลกเหลวอยู่ภายในมือทำให้เขาอยากเงยหน้าตะโกนขึ้นฟ้า

ไม่! เขาส่ายหน้าอย่างแรง ข้ายอมให้เจ้าเกลียดข้า แต่จะไม่ยอมปล่อยมือจากเจ้า และไม่มีทางปล่อยให้เจ้าอยู่ข้างกายเขาจนทำให้งานใหญ่ของอิงอ๋องเสียหายได้! ความคิดแล่นผ่าน หร่วนอวี้พลันสูดหายใจเข้าลึกกำลังจะลงมือก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ เขาจึงหันหน้าไป

เห็นเสื้อสีดำตัวโคร่งพลิ้วไหว หลีจวินยืนอยู่ด้านหลังตัวเขาและมองเขาอย่างสบายอารมณ์

หร่วนอวี้ร่างกระตุก ก่อนรีบกระโดดลอยห่างไปกว่าหนึ่งจั้ง หลังจากยืนนิ่งแล้วเขาก็ตกใจจนเหงื่อผุด แอบคิดในใจว่าเขามาตั้งแต่เมื่อใด ไยข้าจึงไม่รู้ตัว ในใจรู้สึกหวาดกลัวยิ่งนัก หากเป็นศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้ ป่านนี้เขาคงตายไปแล้ว

เขายกมือขึ้นเช็ดเหงื่อ ก่อนจะมองหลีจวินอย่างเย็นชา

หลีจวินไม่พูดอะไรเพียงส่งสัญญาณมือให้เขา แล้วชี้ออกไปนอกคฤหาสน์ตระกูลไป๋

หร่วนอวี้ก้มหน้าลงมองสาวงามที่นั่งนิ่งอยู่ในลานบ้าน หากยังมีหลีจวินอยู่เช่นนี้ แม้คืนนี้เขาคิดจะปล้นตัวมู่หวั่นชิวไปก็คงเป็นไปไม่ได้แล้ว เขาจึงกระโดดลอยตัวออกไปนอกคฤหาสน์อย่างรวดเร็ว

เห็นท่าทีของหร่วนอวี้แล้ว หลีจวินก็ลอยตัวตามไป

จนกระทั่งถึงป่าชานเมืองตะวันตก หร่วนอวี้จึงหยุดยืน หันกลับไปไม่เห็นหลีจวินตามมา ในดวงตาเขาพลันฉายรอยยิ้มเย็นเยือก แต่จู่ๆ ร่างก็พลันชะงักงัน เขาหมุนตัวกลับมาช้าๆ

หลีจวินมือตบพัดเสียงดังทีหนึ่ง และกำลังมองเขาโดยที่ท่าทียังสบายอารมณ์เช่นเดิม

“คุณชายหลีเคลื่อนไหวว่องไวเสียจริง…”

หลีจวินยิ้มสบายใจ “เมื่อครู่ใต้เท้าหร่วนคิดจะลักพาตัวแม่นางไป๋หรือ”

หร่วนอวี้มีท่าทางอึดอัดใจ ก่อนจะพูดว่า “ข้าคิดจะทำอะไรยังต้องรายงานคุณชายหลีด้วยหรือ” น้ำเสียงที่ใช้ดุดันอย่างมาก ในดวงตาของเขาฉายความอิจฉาแค้นเคืองอย่างรุนแรง

หลีจวินหน้านิ่งไปพลางประกบมือพูดว่า “ต้องทำอย่างไรหรือใต้เท้าหร่วนจึงจะยอมปล่อยนาง”

ไม่ใช่ว่าต้องทำอย่างไรเขาจึงจะยอมปล่อยนาง

แต่เป็นเขาต้องทำอย่างไรนางจึงจะยอมแต่งกับเขา!

คำพูดประโยคเดียวถอนหนามที่ฝังอยู่ในใจหร่วนอวี้ออก ใจของเขาเจ็บแปลบ แววตามองหลีจวินอย่างโหดเหี้ยม…

“ใต้เท้าทำร้ายนางยังไม่พออีกหรือ” เห็นหร่วนอวี้ไม่พูดจา หลีจวินก็พูดอีกว่า “ในเมื่อชอบพอนาง เหตุใดใต้เท้าจะต้องทำร้ายทั้งสองฝ่ายจนไม่เหลือชิ้นดีเช่นนี้ด้วย จนถึงขั้นพบหน้ากัน…สองฝ่ายเป็นต้องแค้นกัน”

ไม่ใช่เพราะกลัวหร่วนอวี้ทำการเหี้ยมโหดหรือลงมืออำมหิตทำให้คนยากที่จะป้องกัน ยิ่งถ้าให้หลีจวินนึกถึงแต่ตนเองก็ว่าไปอย่าง แต่ที่เขามาพูดเช่นนี้เป็นเพราะมู่หวั่นชิวถูกหร่วนอวี้เฝ้าคิดถึงตามติด ซึ่งในความคิดเขานี่มิใช่เรื่องที่ดีเลย

ที่สำคัญที่สุดคือชื่อเสียงมู่หวั่นชิวถูกหร่วนอวี้ทำลายไปแล้ว นางทุกข์มามากพอแล้วกระมัง เขาย่อมไม่อยากเห็นนางได้รับอันตรายใดๆ อีก

“พบหน้ากัน สองฝ่ายเป็นต้องแค้นกัน…” หร่วนอวี้พึมพำซ้ำอีกรอบ ความเกลียดแค้นล้นฟ้าในดวงตามู่หวั่นชิวพลันปรากฏต่อสายตาเขาอีกครั้ง เขาแอบคิดว่า…ถ้าวางความเกลียดแค้นลง บางทีนางอาจจะเห็นว่าข้าดีกับนาง แล้วมาดูแลหัวใจข้าอย่างดีกระมัง

แต่ว่าข้าต้องทำอย่างไรจึงจะทำให้นางปล่อยวางความเกลียดแค้นล้นฟ้านั้นลงได้

คิดถึงเรื่องเหล่านี้หัวใจหร่วนอวี้พลันปวดหนึบอีกครั้ง ปากก็พูดว่า “เรื่องของข้า ไม่ต้องให้เจ้ายุ่ง!” ในดวงตาฉายความสิ้นหวัง เขาหมุนตัวจะเดินจากไป

บุกเข้ามาในใจเขา กลับไม่ต้องการเขา

ทุกอย่างระหว่างเขากับนางจะปล่อยให้นางเป็นคนตัดสินใจทั้งหมดได้อย่างไร

กักขังนางทั้งชาติแล้วอย่างไร ในเมื่อไม่สามารถทำให้นางปล่อยวางความแค้นในใจลงได้ เช่นนั้นก็ให้นางเพิ่มความแค้นขึ้นไปอีกก็แล้วกัน แม้ไม่ได้หัวใจของนาง…เขาก็ต้องได้ตัวนาง!

หลีจวินขยับตัวไปขวางหน้าเขาไว้

หร่วนอวี้ไม่คิดอะไรอีก เขายกมือซัดออกไป หลีจวินก็ไม่พูดอะไรเช่นกันหากวาดฝ่ามือปะทะเข้าหา จากทุ่งโล่งจนลึกเข้าไปในเขา แล้วไล่ตามจากตีนเขาไปถึงบนยอดเขา ทั้งสองไม่อาจแยกความเหนือชั้นกันได้ เมื่อเห็นว่าใช้ความพยายามจนสุดความสามารถแล้วก็ยังสลัดหลีจวินไม่หลุด หร่วนอวี้จึงหยุดชะงักทันใด

“เจ้าจะเอาอย่างไรกันแน่!”

“ข้าชอบนาง!” ตรงข้ามกับความสบายอารมณ์ที่ผ่านมา หลีจวินมีสีหน้าขึงขัง “มีข้าอยู่ ข้าไม่อนุญาตให้ใครทำร้ายนาง! ถ้าใต้เท้าหร่วนชอบนางเช่นกัน พวกเรามาแข่งขันกันอย่างยุติธรรมได้ ใต้เท้าหร่วนมีวิธีอะไรก็พุ่งมาที่ข้าคนเดียวเถอะ หวังว่าใต้เท้าหร่วนจะไม่ใช้วิธีร้ายกาจกับนางอีก อย่า…” น้ำเสียงนั้นกลายเป็นเข้มขึ้น เขาพูดต่อทีละคำ “ทำร้าย…นาง…อีก”

เขาชอบนาง!

ไม่ใช่เพียงเพราะนางเป็นอัจฉริยะเท่านั้น!

ได้ยินผู้ที่เสมือนเทพหยิ่งยโสยอมรับว่าชอบมู่หวั่นชิว หร่วนอวี้ก็เชื่อว่านี่เป็นเรื่องจริงทันที ที่ผ่านมาหลีจวินนั้นเย่อหยิ่งไม่สนใจสตรีมาตลอด ชอบแต่ผู้มีความสามารถ เขายอมใช้เงินจำนวนมากและไม่เลือกวิธีที่จะดึงตัวคนเอาไว้ แต่จะไม่พูดว่าชอบเด็ดขาด ยิ่งไม่มีทางลดตัวมาเจรจากับตนเองเช่นนี้

สำหรับสตรีผู้หนึ่งหากหลีจวินสามารถพูดคำว่า ‘ชอบ’ ออกจากปากได้ก็ย่อมต้องชอบจริงๆ

นึกถึงมู่หวั่นชิวที่เคยบอกกับตนเองว่านางชอบหลีจวิน ความอิจฉาล้นฟ้าพลันเอ่อล้นเต็มอกในทันที

การแข่งขันอย่างยุติธรรมอะไรกัน!

ต่อหน้าคนงามคู่นี้ หากเขาไม่ใช้วิธีที่เด็ดขาดยังจะมีโอกาสอีกหรือ!

หร่วนอวี้สบถเสียงเย็นชาพลางก้าวเท้าเดินไป

หลีจวินขยับตัวมายืนตรงหน้าหร่วนอวี้อีกครั้ง มองเขาด้วยสายตาเยือกเย็น

จ้องใบหน้างามสง่าเหนือคนทั่วไปตรงหน้าแล้ว ความโมโหก็ทะลักล้นในใจหร่วนอวี้ทันที เขามีสีหน้าเขียวคล้ำ ยกฝ่ามือขึ้นเดินพลังจนเต็มเปี่ยมแล้วก็ซัดไปยังคนตรงหน้า ทว่าน่าแค้นใจนักที่ไม่สามารถทำให้ต้นไม้หยกลู่ลมตรงหน้าต้นนี้สลายกลายเป็นเนื้อบดได้

แทบจะเป็นเวลาเดียวกัน หลีจวินพลันยกมือขึ้นตั้งรับ เมื่อสี่ฝ่ามือประสานกันก็เกิดเป็นเสียงดังสนั่นราวกับเขาถล่มแผ่นดินแยก ยอดเขาสูงใต้ฝ่าเท้าถูกแรงกระแทกกลายเป็นที่ราบในทันที ฝ่ามือทั้งสี่แนบติดกันแน่นสนิท ขณะเดียวกันร่างของคนทั้งสองก็ค่อยๆ ลอยขึ้น ก่อนจะพุ่งตรงไปที่แนวสันเขาท่ามกลางฝุ่นควันที่คลุ้งปกคลุมไปทั่ว

ฝุ่นควันจางลงไปบ้างแล้ว รอบข้างพลันเงียบสงบราวกับป่าช้า คนสองคนยืนเผชิญหน้าอย่างเงียบงันห่างกันราวหนึ่งจั้งแล้ว ทั้งหลีจวินและหร่วนอวี้ก็ล้วนไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง สายตาที่มองอีกฝ่ายมีความนับถือและชื่นชมเพิ่มเข้ามา นั่นเป็นความรู้สึกที่วีรบุรุษเสียดายวีรบุรุษ ต่างชื่นชมอีกฝ่ายอย่างจริงใจ…

น่าเสียดาย…พวกเขากลับถูกกำหนดให้ต้องเป็นศัตรูกัน

ผ่านไปครู่ใหญ่หร่วนอวี้ก็หมุนตัวก้าวยาวลงเขาไป

หลีจวินยืนนิ่งไม่ขยับเพียงตะโกนไล่หลังหร่วนอวี้ “นางเป็นหญิงดีที่ควรค่าให้รักถนอมไปชั่วชีวิต และเป็นหญิงที่หัวแข็งดื้อรั้น ถ้าใต้เท้าหร่วนคิดจะใช้วิธีเด็ดขาดจริง ท่านต้องจำไว้ว่านางยินดีตาย แต่จะไม่ยอมทรยศหัวใจตนเอง!”

แม้จะวางคนจากหน่วยเงาที่ดีที่สุดของตระกูลหลีไว้ข้างกายนาง แม้จะมีเขาคอยคุ้มครองนางไม่ห่างกาย แต่ก็มีเวลาที่คนเราสะเพร่ากันได้ เพื่อป้องกันเรื่องที่ไม่คาดคิด เขาก็จำต้องตัดความคิดเลวร้ายของหร่วนอวี้ทิ้งไปเสียก่อน!

‘…นางยินดีตาย แต่จะไม่ยอมทรยศหัวใจตนเอง!’

‘…นางยินดีตาย แต่จะไม่ยอมทรยศหัวใจตนเอง!’

‘…นางยินดีตาย แต่จะไม่ยอมทรยศหัวใจตนเอง!’

เสียงหนักแน่นราวระฆังเตือนตีลงข้างหูของหร่วนอวี้ สะเทือนจนหูของเขาอื้อ ตรงหน้าพลันปรากฏภาพของมู่หวั่นชิวยกกระบี่จ่อคอในวันนั้น ท่าทีของนางตัดสินใจแล้วที่จะเชือดคอตนเอง ร่างหร่วนอวี้ก็สั่นเทา ตัวเซจนแทบจะล้มลงทั้งยืน

หลีจวินพูดไว้ไม่ผิด หากเขากักขังนาง บังคับเพื่อจะให้ได้ตัวนาง ชั่วขณะต่อมานางก็จะตายต่อหน้าเขา

เมื่อคิดว่านางอาจจะตาย คิดว่าเขาอาจจะเสียนางไปตลอดกาล ความกลัวอันไร้ขอบเขตก็พุ่งขึ้นมาภายในใจ เขาเกิดความรู้สึกสิ้นหวังในหัวใจทันที เพียงชั่วครู่ต้นไม้ข้างหลังหร่วนอวี้ก็ลู่ไปด้านหลังพร้อมกัน รอยแตกกว้างหนึ่งชุ่นใต้ฝ่าเท้าของเขาก็กระจายตัว แตกยาวกลายเป็นวงกว้างในทันที…

เสียงคำรามเสียงหนึ่งดังยาวก้องฟ้า หร่วนอวี้พลันหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในพริบตา เหลือทิ้งไว้เพียงหลุมใหญ่ลึกสองฉื่อครึ่ง…

ผ่านไปครู่ใหญ่รอบด้านก็เงียบสงบลง

ชายเสื้อสีดำพลิ้วไหว หลีจวินยืนนิ่งเงียบอยู่กลางสายลม มองไปทางทิศที่หร่วนอวี้หายตัวไปแล้ว เขาจึงผ่อนลมหายใจยาว เขาปล่อยวางความคิดเลวร้ายนั้นไปได้จะดีที่สุด

เมื่อครู่บนหลังคาบ้านเขารับรู้ได้ถึงรังสีความคิดเลวร้ายที่รุนแรง

ในตอนนั้นหร่วนอวี้คงคิดจะชิงตัวนางไป จากนั้นก็กักขังตัวนางไว้ชั่วชีวิตกระมัง

หลีจวินคิดอย่างหวาดกลัว เพียงโบกมือตรงจุดที่หร่วนอวี้ยืนอยู่เมื่อครู่ ไม่ว่าจะหลุมใหญ่หรือรอยแยกก็ล้วนประสานกลับเป็นดังเดิมในทันที ราวกับไม่เคยมีใครยืนอยู่มาก่อน

จนกระทั่งท้องฟ้าสว่าง หร่วนอวี้จึงปรากฏตัวที่หน้าประตูจวนผู้บัญชาการ เพียงชั่วข้ามคืนเขาดูเหมือนจะแก่ลงไปมาก บนใบหน้าคมคายได้รูปดูห่อเหี่ยวมากขึ้น

“ใต้เท้าไปที่ใดมาทั้งคืนขอรับ” หร่วนซีที่รออยู่หน้าประตูจวนผู้บัญชาการพอเห็นหร่วนอวี้ก็รีบเดินมาหา เห็นสีหน้าผิดปกติของอีกฝ่าย เขาก็กลั้นลมหายใจเดินตามหลังหร่วนอวี้ไปอย่างเงียบๆ

“เครื่องหอมปล้นกลับมาหมดแล้วหรือ…” เดินตรงเข้าห้องแล้ว หร่วนอวี้จึงเอ่ยปากถาม

มือที่เทชาอยู่ชะงักไป หร่วนซีวางกาน้ำชาลงแล้วทรุดตัวลงคุกเข่า “ข้าน้อยไร้ความสามารถ เมื่อคืนทำพลาดแล้ว…”

ทำพลาด?!

นิ่งอึ้งไปชั่วครู่หร่วนอวี้จึงพรวดพราดลุกขึ้นมา “ทำพลาดได้อย่างไร” แล้วตบโต๊ะอย่างแรง “…พวกเศษสวะ!”

“ข้าน้อยไร้ความสามารถ…” หร่วนซีตัวสั่น “ข้าน้อยประมาทเองที่ประเมินองครักษ์ตระกูลหลีต่ำเกินไป…” เห็นหร่วนอวี้มองด้วยสายตาดูหมิ่น เขาจึงพูดอีกว่า “องครักษ์ที่คุ้มกันเครื่องหอมชุดนี้ไม่เหมือนกับครั้งก่อน ทุกคนล้วนเป็นยอดฝีมือ รุกเข้ามาโดยไม่ห่วงชีวิต พวกเราเสียพี่น้องไปห้าหกคนก็ยังชิงไม่ได้แม้แต่ตัวอย่าง ข้าน้อยเห็นว่าถ้ายังยืดเยื้อต่อไปจะยิ่งเสียหายจึงสั่งให้ถอนกำลังกลับมา…” แล้วพูดพึมพำว่า “ข้าน้อยสงสัยว่าคนกลุ่มนี้คือหน่วยเงาที่ตระกูลหลีแอบชุบเลี้ยงเช่นที่ผู้คนเล่าลือกัน…

ข้างนอกเล่าลือกันว่าตระกูลหลีแอบซ่องสุมนักฆ่าหน่วยเงาไว้กลุ่มหนึ่ง ทุกคนล้วนมีวรยุทธ์ล้ำเลิศ เป็นมารที่ฆ่าคนโดยไม่กะพริบตา

ภายในห้องเงียบเสียงลง

เหงื่อเม็ดโตไหลลงมาตามหน้าผากของหร่วนซี เขาได้ยินกระทั่งเสียงหยดเหงื่อที่ตกลงกระทบพื้นหิน หัวใจพลันรัดแน่นเป็นก้อน

“เจ้าลุกขึ้นเถอะ” ผ่านไปครู่ใหญ่ หร่วนอวี้จึงถอนหายใจ

“ใต้เท้า…” หร่วนซีแทบจะทรุดนั่งบนพื้น เขาเงยหน้าขึ้นอย่างยากจะเชื่อ

หร่วนอวี้ทำการใดล้วนเด็ดเดี่ยวเหี้ยมโหด ให้รางวัลลงโทษอย่างชัดเจนไม่แบ่งแยกคนสนิท แล้วครั้งนี้เหตุใดจึงไม่ลงโทษเขาเล่า

“ข้าประมาทเอง…” ราวกับล่วงรู้ความคิดในใจของหร่วนซี หร่วนอวี้จึงพูดทอดถอนใจ

เครื่องหอมชุดนี้เกี่ยวพันถึงชะตาชีวิตของคนตระกูลหลี หากถูกปล้นชิงไปผลลัพธ์คงยากจะคาดคิดได้ แล้วเหตุใดตระกูลหลีจะไม่ส่งหน่วยกล้าตายมือดีที่สุดมาเล่า เป็นเขาเองที่รีบร้อนให้หร่วนซีนำองครักษ์ที่เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันไปปล้นชิงเครื่องหอม ซึ่งเป็นเพราะเมื่อวานเขาถูกฉินต้าหลงและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงทำให้เกิดความงุนงง

“ขอบคุณใต้เท้าที่ไม่เอาผิดขอรับ!” ผ่านไปครู่ใหญ่หร่วนซีจึงรู้สึกตัว เขาโขกหัวขอบคุณไม่หยุด

“เจ้าลุกขึ้นเถอะ…” หร่วนอวี้ยกถ้วยชาบนโต๊ะขึ้นมา

หร่วนซีรับคำแล้วลุกขึ้นยืน “ข้าน้อยเหลือคนไว้สะกดรอยตามสินค้าชุดนั้น ใต้เท้า…” อยากจะพูดว่าใต้เท้าวางใจได้ คืนนี้ข้าน้อยไม่พลาดอีกแน่นอน แต่คำพูดมาถึงริมฝีปาก เขาก็นึกถึงการสู้ศึกอันยากลำบากเมื่อคืนนี้ขึ้นมา ความบ้าดีเดือดสู้ไม่คิดชีวิตขององครักษ์ตระกูลหลีเหล่านั้น เพียงแค่คิดก็ทำให้หัวใจเขาสั่นไม่หยุด เสียงพูดจึงขาดห้วงไป

แม้จะทำการปรับแผนกันทั้งวัน หรือเตรียมการมาพร้อมสรรพเพียงใด แต่คืนนี้จะสำเร็จได้แน่หรือ

แม้แต่เมื่อคืนบุกโจมตีโดยไม่ให้ตั้งตัวแล้วแท้ๆ ก็ยังไม่สำเร็จเลย คืนนี้ตระกูลหลีจะต้องเพิ่มการป้องกันมากขึ้นอย่างแน่นอน!

“รีบไปที่ค่ายกองกำลังลับรวบรวมกำลังคนมาสามสิบคน…” ดื่มน้ำชาทีละอึกๆ จนกระทั่งเห็นก้นถ้วยชา หร่วนอวี้จึงเงยหน้าขึ้น มือหนึ่งหยิบป้ายหยกสีเขียวเข้มจากข้างเอวโยนไปให้หร่วนซี

“ใต้เท้าจะโยกกำลังหน่วยกล้าตายของตระกูลหร่วนหรือขอรับ…” รับป้ายหยกมาแล้ว หร่วนซีก็มองหน้าหร่วนอวี้อย่างตกใจ

ค่ายกองกำลังลับเป็นค่ายซ่องสุมของตระกูลหร่วน ก่อตั้งเมื่อสิบปีก่อน คนที่ชุบเลี้ยงเอาไว้ล้วนจงรักภักดีต่อหร่วนอวี้ เป็นคนเก่งที่ไม่กลัวตาย ค่ายซ่องสุมนั้นถือเป็นค่ายลับสุดยอดของหร่วนอวี้ที่แม้แต่หลิ่วอู่เต๋อก็ยังไม่รู้ แต่เพียงเพื่อจะต่อกรกับตระกูลหลีแล้ว หร่วนอวี้กลับจะโยกกำลังลับส่วนตัว!

“ใต้เท้า…” เห็นหร่วนอวี้นิ่งเงียบไม่พูดจา หร่วนซีจึงเรียกเขาแล้วเทน้ำชาใส่ถ้วยชาในมือหร่วนอวี้จนเต็มอย่างระวังตัว

อิงอ๋องกับหลิ่วอู่เต๋อต่างก็ล้วนจับจ้องเครื่องหอมของตระกูลหลีชุดนี้อยู่ หร่วนอวี้โยกกำลังลับส่วนตัวเช่นนี้ หากถูกอิงอ๋องกับหลิ่วอู่เต๋อพบและเพ่งเล็งเข้า ภายหน้าคงไม่มีคนมาคอยสนับสนุนแล้ว

หากเป็นจริงดังนี้วันหน้าหร่วนอวี้โกรธเคืองกับอิงอ๋องและหลิ่วอู่เต๋อขึ้นมาจะทำเช่นใดเล่า

คิดถึงความสัมพันธ์ที่กำลังอยู่ในขั้นวิกฤตของหร่วนอวี้กับหลิ่วเฟิ่งแล้ว หร่วนซีก็รู้สึกขนลุกชัน เขามองหน้าหร่วนอวี้อย่างตึงเครียด

“ให้พวกเขาสวมชุดองครักษ์จวนผู้บัญชาการทั้งหมด ก่อนยามสามคืนนี้ไปซุ่มที่เขาชังเหยียน” หร่วนอวี้ครุ่นคิดอย่างจริงจัง “จากนั้นซีเอ๋อร์ค่อยนำองครักษ์สามสิบคนไปทำเช่นนี้…” หร่วนอวี้โน้มตัวลงมาพูดเสียงเบา

หร่วนซีตั้งใจฟัง ก่อนจะเบิกตาโตอย่างตกใจ “ใต้เท้าจะลงมือเองเลยหรือ ให้ข้าน้อยคอยคุ้มกันเท่านั้น ทำให้นายท่านกับอิงอ๋องสับสน?” ดวงตาเปล่งประกายขึ้นมา “แผนดีๆ…ใต้เท้าลงมือเอง ครั้งนี้ตระกูลหลีก็หนีไม่พ้นแล้ว และกำลังคนสองทางที่ซุ่มซ่อนอยู่ที่เดียวกันมาปลอมตัวแล้วเปลี่ยนกันโจมตีเช่นนี้ ต่อให้หลิ่วอู่เต๋อกับอิงอ๋องสายตาแหลมคมเพียงใดก็ดูไม่ออกแน่ว่าคนที่ลงมือปล้นสินค้าคือคนมีฝีมืออีกกลุ่มหนึ่งของตระกูลหร่วน!”

หร่วนซีพยักหน้ารับคำ มองหร่วนอวี้อย่างนับถือ

น้ำชาในมือค่อยๆ มีควันลอยขึ้นมา ในดวงตาหร่วนอวี้ฉายความโหดเหี้ยม

“หลีจวิน นี่เจ้าทำให้ข้าต้องต่อกรกับเจ้าเองนะ!”

มีเพียงตระกูลหลีล่มสลาย หลีจวินตายแล้ว มู่หวั่นชิวจึงจะยอมหันมามองหน้าเขาอย่างจริงจังกระมัง

วาดขีดสุดท้ายเสร็จ มู่หวั่นชิวก็ผ่อนลมหายใจยาว วางพู่กันลงแล้วบิดขี้เกียจ ก่อนที่นางจะหยิบภาพที่เพิ่งวาดเสร็จขึ้นมาตรวจสอบอย่างจริงจัง

กินระยะเวลานานถึงสามวัน ในที่สุดภาพหม้อกลั่นลำดับส่วนภาพนี้ก็วาดเสร็จแล้ว

รอให้หอเสวียนจีทำออกมาตามแบบ นางก็สามารถเปลี่ยนขี้ผึ้งเหลวกลิ่นดอกไม้กองนั้นให้กลายเป็นของล้ำค่าได้แล้ว!

เพียงแค่คิดมู่หวั่นชิวก็รู้สึกลิงโลดอย่างมาก คันในหัวใจจนยากจะทนไหว

วางภาพลงแล้ว นางก็ก้าวออกจากห้องรองทางตะวันออก รีบรุดไปที่ห้องหลักทางตะวันออก

อาการบาดเจ็บของหลีจวินหายพอสมควรแล้ว แต่ว่าเขายังดึงดันใช้ข้ออ้างว่าคฤหาสน์ตระกูลไป๋อยู่ใกล้ฝ่ายรังสรรค์กลิ่นที่เขาเพิ่งเปิดใหม่ และภายในร้านหลีจี้ทุกที่ล้วนเป็นเส้นสายของกู่ฉิน เขาจึงยังอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลไป๋โดยไม่ยอมไปที่ใด เวลาที่เขาเข้าออกนั้นล้วนใช้การลอยตัวไปมาตามใจชอบ ไม่เคยใช้ประตูใหญ่ มู่หวั่นชิวย่อมทำอะไรเขาไม่ได้ ทำได้เพียงลืมตาข้างหนึ่งปิดตาข้างหนึ่งตามใจเขาไป

ตอนนี้นับว่าใช้งานเขาได้พอดี

นางอยากจะดึงตัวหลีจวินไปหอเสวียนจีในทันที

พอผลักเปิดประตูก็พบว่าข้างในว่างเปล่า มีเงาของหลีจวินเสียที่ใด

มองดูหนังสือบนโต๊ะที่ยังไม่ทันปิด มู่หวั่นชิวก็ขมวดคิ้ว “เขาไปที่ใดอีก”

หมุนตัวเดินมาถึงลานบ้านกำลังจะไปตามหาที่ฝ่ายรังสรรค์กลิ่นใหม่ของตระกูลหลีที่อยู่ข้างบ้านตนเอง เสียงโม่เสวี่ยก็ดังแว่วๆ จากห้องทางตะวันตกดึงดูดใจนางเข้าเสียก่อน นางกลั้นลมหายใจครู่หนึ่งแล้วก้าวเท้าเดินไป

ในห้องทางตะวันตกโม่เสวี่ยกำลังอบรมพวกเฉินเซียงหลันเซียงอย่างเคร่งเครียด “จำเอาไว้ ทุกคนระวังปากตัวเองให้ดี ใครกล้าพูดแพร่งพรายให้คุณหนูรู้ ข้าจะถลกหนังคนผู้นั้น!”

รับรู้ถึงบรรยากาศผิดปกติ โม่เสวี่ยจึงหันหน้ามาอย่างช้าๆ “คุณหนู…” สองขานางสั่นเทาพลางทรุดลงคุกเข่า

มู่หวั่นชิวกำลังปั้นหน้าเครียดยืนอยู่ข้างหลังนาง

“เสวี่ยเอ๋อร์จะปิดบังข้าเรื่องอะไรหรือ” แม้น้ำเสียงยังคงนุ่มนวลดุจเดิม อ่อนโยนราวกับนกขมิ้น แต่กลับมีพลังอันน่ากลัวที่ทำให้บรรดาสาวใช้น้อยใหญ่ที่มีโม่เสวี่ยเป็นหัวหน้าตกใจจนทรุดลงคุกเข่าตาม

“คุณหนู” เสียงของโม่เสวี่ยสั่นเครืออย่างห้ามไม่อยู่

“เสวี่ยเอ๋อร์…” มู่หวั่นชิวเรียกอีกครั้ง หางเสียงสูงขึ้น

โม่เสวี่ยตัวสั่น เสียงพูดอ้อนวอนแฝงเสียงสะอื้น “คุณหนู…” ยังคิดจะพูดเฉไฉ แต่พอเห็นท่าทางเคร่งขรึมของมู่หวั่นชิวที่น้อยนักจะได้เห็นมีหรือที่นางจะกล้าพูดเฉไฉ เพียงพูดอึกอักว่า “พี่เจี้ยนเพิ่งจะตามตัวคุณชายหลีไป บอกว่า…บอกว่า…” นางขบกรามแน่น “บอกว่าเม็ดหอมเศร้าอาดูรที่คุณหนูปรุงให้ตระกูลหลีเมื่อคืนถูกปล้นชิงไปแล้ว!”

“เจ้าว่าอะไรนะ!” เท้าพลันสะดุดก้อนหิน มู่หวั่นชิวร่างโอนเอนจนแทบจะล้มลง

“คุณหนู…” โม่เสวี่ยเรียกอย่างเศร้าใจ แล้วคลานเข่าเข้ามาประคองมู่หวั่นชิวไว้ เห็นคุณหนูมองนางเหมือนคนไม่รู้จักกันจึงพูดอย่างหนักแน่นว่า “เครื่องหอมที่ตระกูลหลีเตรียมสำหรับองค์หญิงหมิงอวี้ถูกปล้นชิงไปแล้ว”

“…เป็นไปได้อย่างไร” เรื่องเหนือความคาดหมายนี้มู่หวั่นชิวได้ยินแล้วก็พยายามคิดตาม “พี่หลีบอกข้าว่าเขาล่อองครักษ์ที่เฝ้าดูหน้าร้านหลีจี้ทั้งหมดไปแล้ว แล้วใช้หน่วยเงาที่เป็นกำลังลับของร้านหลีจี้คุ้มกันส่งไปด้วยตัวเอง…” นางส่ายหน้า “เพิ่งสองวันเท่านั้น เครื่องหอมยังไม่ได้ออกจากเขตเมืองต้าเยี่ยเลยนี่นา เป็นไปได้อย่างไร…เป็นไปได้อย่างไร” นางพึมพำไม่หยุด ในสมองมึนงงเหมือนไม่มีสติ

เขตเมืองต้าเยี่ยเป็นเขตอำนาจของตระกูลหลีนะ!

“คุณหนู…” โม่เสวี่ยกอดนางเอาไว้ “คุณหนูพูดถูก บ่าวอาจจะฟังผิดไป ที่ถูกปล้นชิงไปเป็นเครื่องหอมชุดที่อาจารย์หลี่เป็นคนปรุง…”

“อย่างนั้นหรือ” ดวงตาเปล่งประกายแวบหนึ่ง สมองมู่หวั่นชิวพลันปลอดโปร่งขึ้นมาก นางผลักตัวโม่เสวี่ยออกทันใด “ข้าจะไปถามพี่หลี” เสียงพูดสงบนิ่งมาก นางผลักเปิดประตูเดินออกไปอย่างรวดเร็ว

โม่เสวี่ยเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาในใจ

“คุณหนู…” นางรีบลุกขึ้น วิ่งตามไปพร้อมเสียงสะอื้น

“อาชิว…” หร่วนอวี้ที่กำลังจะเคาะประตูหน้าคฤหาสน์ตระกูลไป๋เห็นมู่หวั่นชิวออกมา เขาจึงเรียกอีกฝ่ายอย่างยินดี “อาชิว”

มู่หวั่นชิวมองหร่วนอวี้ที่มีชีวิตชีวาคล้ายว่าไม่รู้จัก นางพลันเข้าใจกระจ่างขึ้นมา…เครื่องหอมของข้าถูกเขาปล้นชิงไปแล้ว! เพื่อให้หลิ่วเฟิ่งมีชื่อเสียง เพื่อถอนรากถอนโคนตระกูลหลี อยู่ในเขตเมืองต้าเยี่ยเช่นนี้มีเพียงเขาที่มีความสามารถและกล้าไปลงมือปล้นชิงเครื่องหอมของตระกูลหลี! ความคิดมาถึงตรงนี้ มู่หวั่นชิวก็ผลักหร่วนอวี้ออกทันที “ไสหัวไป!”

พอคำพูดออกจากปาก แม้แต่มู่หวั่นชิวก็ยังตกตะลึง

“อาชิว…” ราวกับสัตว์ที่ได้รับบาดเจ็บ หร่วนอวี้มีเส้นเลือดปรากฏในดวงตาทันใด เขามองหน้ามู่หวั่นชิวอย่างฉุนเฉียว

โม่เสวี่ยที่วิ่งตามออกมาตกใจจนตัวสั่น “ใต้เท้าหร่วนอย่าถือสาเลยเจ้าค่ะ…” นางพูด “ได้ยินว่าเครื่องหอมที่ทำออกมาสำหรับงานพระราชพิธีอภิเษกขององค์หญิงหมิงอวี้ถูกปล้นชิงไป คุณหนูจึงอารมณ์ไม่ดี”

นางดึงตัวมู่หวั่นชิวที่กำลังจ้องตาหร่วนอวี้อย่างเคียดแค้นเย็นชา ปากก็พูดปลอบ

“บางทีนี่อาจจะเป็นแค่ข่าวลือ คุณหนูตามบ่าวกลับไปเถอะ บ่าวกำลังจะส่งคนไปถามคุณชายหลีให้ชัดแจ้ง…” นางพยายามซ่อนตัวมู่หวั่นชิวไว้ด้านหลัง หลบหลีกสายตาบีบบังคับของหร่วนอวี้

เครื่องหอมถูกปล้นชิงไป!

เมื่อได้ฟังคำพูดนี้ และมองดวงตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดแค้นตรงหน้าคู่นี้แล้ว ในใจหร่วนอวี้ก็เจ็บปวดรวดร้าว ใช่แล้วๆ เครื่องหอมที่ข้าปล้นชิงไปชุดนั้นออกมาจากมือนาง! นางที่หลงใหลการปรุงเครื่องหอม สิ่งที่นางปรารถนาที่สุดคงเป็นการที่เครื่องหอมของตนเองได้รับการยอมรับจากคนทั้งใต้หล้ากระมัง องค์หญิงหมิงอวี้ทรงเลือกเครื่องหอมมาจากทั่วแคว้น สิ่งนี้สำหรับนักปรุงเครื่องหอมแล้วถือเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง แต่ว่าข้ากลับขัดขวางอนาคตของนาง…

ความฉุนเฉียวหายไปอย่างรวดเร็ว มองดูดวงตาลึกล้ำตรงหน้าคู่นี้แล้ว มีอยู่แวบหนึ่งที่หร่วนอวี้อยากจะบอกนางเหลือเกินว่าเครื่องหอมชุดนั้นเขาเป็นคนปล้นชิงไปเอง ทว่าไม่ได้พุ่งเป้าไปที่ตัวนาง แต่พุ่งเป้าไปที่ตระกูลหลี หากนางพอใจแล้ว เขาก็จะคืนเครื่องหอมชุดนั้นให้นางตอนนี้เลย!

แต่ว่าคำสั่งลับของอิงอ๋องเขาจะกล้าขัดได้อย่างไร!

“อาชิว…” หร่วนอวี้เรียกอีกฝ่ายเสียงเบา เมื่อประสานเข้ากับดวงตาที่มีความแค้นล้นฟ้าและร่างที่ไหวเอนของมู่หวั่นชิวแล้ว ร่างเขาก็ราวกับจะไหวเอนล้มลงไปด้วยเช่นกัน เขาไม่ได้คิดเช่นนั้นเลย เขาหวังจากใจจริงว่านางจะมีชีวิตที่ดี แต่ทุกครั้งที่เจอนางเขาล้วนทำร้ายนางอย่างไม่ตั้งใจ ผลักนางให้ไปไกลกว่าเดิมทุกครั้ง

มู่หวั่นชิวผลักตัวโม่เสวี่ยที่ขวางตรงหน้าออกพลางจ้องตรงไปที่หร่วนอวี้

นางอยากจะถามเขาว่าเครื่องหอมชุดนั้นถูกเขาปล้นชิงไปใช่หรือไม่

เหตุใดเขาจึงเห็นนางได้ดีไม่ได้!

หากบอกว่านางเป็นศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกับเขาได้ ในชาติก่อนเขาก็ได้แก้แค้นนางเป็นสิบเท่าร้อยเท่าแล้วมิใช่หรือ นี่เขายังกลั่นแกล้งนางไม่พออีกหรือไร

ชาตินี้ก็ยังจะทำเช่นนี้ ค่อยๆ บีบบังคับนาง!

หรือแค้นนี้จะต้องให้นางชดใช้ไม่หยุดหย่อนไปทุกชาติเลยหรือ

เช่นนั้น…บัญชีเลือดทั้งตระกูลของนางจะให้ไปขอคืนจากใครเล่า

ริมฝีปากขยับ มู่หวั่นชิวอ้าปาก แต่เศษเสี้ยวของสติที่เหลืออยู่ในใจคอยย้ำเตือนนางไว้

นางไม่อยู่ในฐานะที่จะสอบถามหร่วนอวี้ได้!

เวลาผ่านไปเนิ่นนาน

มู่หวั่นชิวจึงเดินผ่านเขาไปอย่างช้าๆ ตรงไปข้างหน้า

หร่วนอวี้หันไปคว้าตัวนางไว้ แล้วเอ่ยปากเรียก “อาชิว…”

“…ปล่อยมือ!” มู่หวั่นชิวสลัดตัวออกจากเขา ดวงตาลึกล้ำปกคลุมด้วยม่านเลือด นางมองหร่วนอวี้อย่างดุร้าย

“อาชิว…ข้า…” ในใจสั่นไหว หร่วนอวี้ขยับริมฝีปาก แต่ไม่รู้ว่ายามเผชิญหน้ากับมู่หวั่นชิวที่เป็นเช่นนี้ เขายังจะพูดอะไรได้อีก

“ใต้เท้าหร่วน…” ขณะกำลังนิ่งเงียบกันอยู่นั้น เสียงของหลีจวินก็ดังขึ้นด้านหลัง

หร่วนอวี้ร่างเกร็งไปทันที เขาหมุนตัวไปอย่างช้าๆ

ร่างในชุดขาวปลิวพลิ้วล่องลอยราวกับยืนอยู่บนปุยเมฆนุ่มบนฟ้าสูง สงบนิ่งเป็นธรรมชาติ ทำให้ทุกสิ่งรอบข้างมืดมนไร้สีสันไปโดยพลัน นั่นคือหลีจวิน เขากำลังเคาะพัดพับในมือเดินเร็วเข้ามา

“พี่หลี…” ทันทีที่เห็นว่าเป็นเขา มู่หวั่นชิวก็เดินเข้าไปหาอย่างตื่นเต้นยินดี “เครื่องหอมชุดนั้นถูกปล้นชิงไปจริงหรือ”

ในใจเพียงคำนึงถึงเรื่องเครื่องหอมถูกปล้นชิงไปหรือไม่ มู่หวั่นชิวถึงกับลืมไปว่าหร่วนอวี้ยังอยู่ที่ข้างหลัง

“ข้าก็เพิ่งได้ข่าว…” หลีจวินสายตาเย็นเยือกขณะมองเลยตัวนางไปทางหร่วนอวี้

“เป็นเรื่องจริงหรือ…” ภาพตรงหน้ามู่หวั่นชิวพลันดำมืด ร่างอ่อนพับลง

“อาชิว…” หลีจวินกอดนางเอาไว้

“อาชิว…” เห็นหลีจวินอุ้มมู่หวั่นชิวมาหยุดยืนข้างกายตนเองพลางมองมาด้วยสายตาเย็นชาแล้ว หร่วนอวี้ที่ยื่นมือออกไปก็ค่อยๆ วางมือลง ปล่อยให้หลีจวินอุ้มมู่หวั่นชิวเดินผ่านเขาไปอย่างช้าๆ ก้าวทีละก้าวไปยังคฤหาสน์ตระกูลไป๋ที่อยู่ด้านหลังตัวเขา

หร่วนอวี้ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างนิ่งเงียบโดยไม่ขยับเขยื้อน จนกระทั่งได้ยินเสียงประตูด้านหลังปิดดังปัง เขาจึงหมุนตัวกลับทันที เหม่อมองประตูสองบานที่ยังคงสั่นเบาๆ หลังหมัดที่กำแน่นของเขาขึ้นนูนเป็นเส้นเขียว ข้อนิ้วลั่นกร๊อบๆ เสียงดัง…

หน้าที่แล้ว1 of 7

Comments

comments

Editor Jamsai: