บทที่หก
ดวงตาดำเรียวยาวเปล่งประกายออกมาในทันที หร่วนอวี้มองกระดานหมากขนาดใหญ่ตาไม่กะพริบ มือกำเป็นหมัดแน่น บนนั้นมีเส้นเลือดเขียวปรากฏจางๆ
“ได้ยินบ่อยครั้งว่าใต้เท้าหร่วนเป็นยอดฝีมือเดินหมาก ข้ายังไม่มีโอกาสรับคำชี้แนะเลย…” มองดูดวงตาเปล่งประกายของหร่วนอวี้แล้ว หลีจวินจึงผ่อนเสียงพูดลง “คืนนี้มีแสงจันทร์พอดี พวกเราใช้หินเป็นกระดาน ใช้พลังปราณเป็นตัวหมาก พนันกันสักตาเป็นอย่างไร”
พนันสักตา?
หร่วนอวี้หันหน้ามาทันใด “…พนันอะไร”
เขานั้นชอบเดินหมากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอเห็นกระดานหมากเขาก็รู้สึกคันยุบยิบในหัวใจจนยากจะทนไหว ยิ่งไปกว่านั้นเคยได้ยินมานานแล้วว่าหลีจวินเป็นอัจฉริยะอายุน้อย เป็นยอดฝีมือในการเดินหมากที่พบเจอได้ยาก แต่เนื่องจากนายของทั้งสองเป็นศัตรูกันมานาน เขาจึงได้แต่สะกดใจตนเองไว้ไม่ให้ไปท้าอีกฝ่ายประลอง
ตอนนี้หลีจวินมาท้าประลองด้วยตัวเองแล้ว เขาจะไม่อยากประลองได้อย่างไร
หากไม่ใช่กลัวว่าหลีจวินเป็นคนมีแผนการมากมาย เขาคงรับปากไปนานแล้ว
“พนันด้วยเครื่องหอมที่ใต้เท้าปล้นชิงไป…”
“ท่าน…” หร่วนอวี้แววตาเย็นชา สีหน้าดำคล้ำ
หลีจวินไม่ได้สนใจเขา เพียงพูดต่อไปว่า “ถ้าข้าน้อยแพ้ เม็ดหอมเศร้าอาดูรจะถอนตัวออกจากการคัดเลือกเครื่องหอมในงานพระราชพิธีอภิเษกขององค์หญิงหมิงอวี้…” ชะงักไปสักครู่ “ถ้าใต้เท้าหร่วนแพ้ก็เอาเครื่องหอมที่ปล้นชิงไปเหล่านั้นคืนให้แก่ข้าน้อย และห้ามขัดขวางเครื่องหอมของตระกูลหลีที่จะเข้าร่วมการคัดเลือกเครื่องหอมในงานพระราชพิธีอภิเษกองค์หญิงหมิงอวี้…” เขามองหร่วนอวี้ไม่วางตา “เป็นอย่างไร”
เส้นเลือดบนหน้าผากหร่วนอวี้เต้นกระตุกหลายที
นี่เป็นแรงยั่วยวนอันยิ่งใหญ่!
ไม่ต้องพูดถึงการเดินหมากกับหลีจวินที่ได้ฉายาว่าอัจฉริยะที่เป็นแรงยั่วยวนมหาศาลทำให้ใจเขาอยากจนยากจะทนไหวเลย สำหรับเดิมพันครั้งนี้แม้ปากจะบอกว่าถอนตัวจากการคัดเลือก แต่นั่นเป็นแค่คำพูดบังหน้า ความหมายที่อยู่เบื้องหลังคำพูดนี้ก็คือ…
หากเขาแพ้ก็จะประเคนสิทธิ์การเป็นวาณิชหลวงของตระกูลหลีให้!
พูดให้ชัดเจน เดิมพันครั้งนี้คือสิทธิ์การเป็นวาณิชหลวงของตระกูลหลี!
วางแผนอย่างยากลำบากมาเกือบหนึ่งปี สิ่งที่อิงอ๋องต้องการก็คือสิทธิ์การเป็นวาณิชหลวงของตระกูลหลี หากสามารถชนะพนันกลับไปได้ สถานการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไปเล่า
มีอยู่ชั่วครู่หนึ่งที่หร่วนอวี้นึกอยากให้หลีจวินเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรในทันที
แต่ว่าหร่วนอวี้อย่างไรก็เป็นหร่วนอวี้ แม้เขาจะหลงใหลการเดินหมากเพียงใด แต่ก็ไม่ใช่คนที่เอาแต่เล่นจนเสียงาน เมื่อเผชิญกับท่าทีที่สบายอารมณ์ของหลีจวินแล้ว เขาก็สงบใจลงได้อย่างรวดเร็ว
ที่หลีจวินกล้าพนันก็หมายความว่าอีกฝ่ายมั่นใจว่าจะชนะตนอย่างแน่นอน
ไม่ต้องพูดเรื่องอื่น แค่พูดถึงกลหมื่นเคราะห์ที่แม้จะมาถึงมือเขาได้หลายเดือนแล้วก็จริง แต่ว่ากลนั่นกลับอยู่ในบ้านตระกูลหลีมาแล้วหลายปีหรืออาจจะหลายรุ่น หลีจวินจะไม่เรียนรู้จนทะลุปรุโปร่งได้อย่างไร
ขอเพียงใช้กลหมื่นเคราะห์นี้เป็น กระทั่งมู่หวั่นชิวที่เป็นหญิงยังเอาชนะเขาได้ แล้วนับประสาอะไรกับหลีจวินเล่า
สำหรับสิทธิ์การเป็นวาณิชหลวงของตระกูลหลีนั้น ดูไปแล้วเหมือนเป็นแรงยั่วยวนอันยิ่งใหญ่ แต่น่าเสียดายที่งานนี้เขาจะแพ้ไม่ได้!
“เครื่องหอมเหล่านั้นเป็นแรงกายแรงใจของอาชิวที่ไม่ได้นอนหลายวัน อาชิวคาดหวังทั้งวันคืนว่านางสามารถอาศัยสิ่งนี้สร้างชื่อและยืนมั่นอยู่ในวงการปรุงเครื่องหอมนับแต่นี้ได้ ใต้เท้าหร่วนจะยอมให้นางแพ้ไปเช่นนี้จริงหรือ” เห็นสีหน้าหร่วนอวี้สลดลงในทันใด หลีจวินจึงพูดยั่วอารมณ์ขึ้นมา
“อาชิว…” หร่วนอวี้พูดพึมพำออกมา
ภาพเหตุการณ์วันนั้นที่มู่หวั่นชิวได้ยินว่าเครื่องหอมถูกปล้นชิงไป ทำให้นางโมโหมากจนหมดสติปรากฏขึ้นตรงหน้าอีกครั้ง คิดถึงดวงตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดแค้นสิ้นหวังคู่นั้นแล้ว หัวใจหร่วนอวี้ก็เจ็บจนถึงกระดูก
มีชั่วครู่หนึ่งที่เขารู้สึกเหมือนว่าสิ้นหวัง
ตระกูลหลีพ่ายแพ้แล้วอย่างไร
อิงอ๋องชนะแล้วอย่างไร
หากชาตินี้ไม่มีนาง แม้จะได้ขึ้นไปอยู่บนตำแหน่งสูงแล้วจะมีความหมายอะไร
“ได้!” เขาพยักหน้าทันที “วันนี้ข้าจะพนันกับคุณชายหลีสักกระดาน…” เขามองหลีจวินอย่างเย็นชา “ถ้าข้าแพ้ก็จะเอาเครื่องหอมตัวอย่างที่ปล้นชิงมาวันนี้คืนให้ครบจำนวน และสัญญาว่าจะไม่ปล้นชิงเครื่องหอมของตระกูลหลีอีก แต่ถ้าท่านแพ้…” เขาชะงักไปสักครู่ พูดออกมาทีละคำ “ตระกูลหลีนอกจากจะต้องถอยออกจากการคัดเลือกเครื่องหอมในงานพระราชพิธีอภิเษกขององค์หญิงหมิงอวี้แล้ว ท่านยังต้องมอบอาชิวให้ข้า และสัญญาว่าต่อไปจะไม่พบนางอีก…” พูดจบ เขาก็ยกมือขึ้น ได้ยินเพียงเสียงดังสนั่น มุมซ้ายบนของกระดานหมากตรงหน้ามีหลุมขนาดเท่าฝ่ามือเพิ่มขึ้นมาในทันที มองจากที่ไกลราวกับมีหมากตัวหนึ่งวางลงไปบนกระดาน
วางหมากตัวแรกแล้ว หร่วนอวี้ก็หันมามองหลีจวินเงียบๆ
เห็นอีกฝ่ายไม่ขยับอยู่นาน เขาจึงหรี่ตาเป็นเส้นตรง “เป็นอะไร นี่ท่านกลัวหรือ…”
“ไม่ได้กลัว…” หลีจวินส่ายหัว
หร่วนอวี้หัวคิ้วกระตุก “เช่นนั้นเพราะอะไร”
“อาชิวมิใช่สิ่งของ และไม่ใช่คนของใคร ข้าไม่สามารถเอานางมาเป็นเดิมพันได้!” หลีจวินน้ำเสียงจริงจังมาก
“เอ่อ…” แม้หร่วนอวี้จะอึดอัดใจ แต่ก็พูดอย่างดื้อรั้นว่า “เหตุใดคุณชายหลีจึงพูดจาโอหังเช่นนี้เล่า หากตระกูลหลีต้องเสียสิทธิ์การเป็นวาณิชหลวงไปเพราะนาง ท่านก็ยินยอมหรือ”
“เป็นเช่นนั้นแล้วอย่างไร” หลีจวินยิ้มเยาะ “ถ้าใต้เท้าหร่วนชอบนางจริง ก็ควรจะคิดเพื่อนางให้มาก!”
“เสแสร้ง!” ความโกรธเกรี้ยวทะลุขึ้นกลางใจหร่วนอวี้ “เมื่อครู่ที่ท่านพูดถึงนางก็ตั้งใจเอานางมาหลอกล่อข้ามิใช่หรือ!” พูดจบ หร่วนอวี้ก็ยกมือขึ้น กระดานหมากตรงหน้าถูกลบจนสะอาดในทันที ราบเรียบราวกับกระดาษขาวแผ่นหนึ่ง ก่อนจะตามด้วยเสียงคำรามยาวแล้วหมุนตัวลงหน้าผาไปอย่างรวดเร็ว
หลีจวินนั่งเงียบไม่ขยับ ราวกับหุ่นสลักงดงามท่ามกลางแสงยามค่ำคืน
หร่วนอวี้เพิ่งกลับถึงที่พัก หร่วนซีก็ออกมารับ
“ดึกป่านนี้แล้วใต้เท้าไปที่ใดมาหรือขอรับ ใต้เท้าอู่เพิ่งจะกลับไป”
“เขามาทำอะไร” หร่วนอวี้ขมวดคิ้ว
“ได้ยินว่าใต้เท้ามา พ่อค้าอำเภอฉี่หลิงจึงรวมตัวกันจัดงานเลี้ยงต้อนรับท่านที่หอจุ้ยเซียนขอรับ…” หร่วนซีพูด “ใต้เท้าอู่บอกจะรอท่าน แต่ข้าน้อยเห็นว่าดึกเกินไปแล้วจึงให้เขากลับไป”
หร่วนอวี้ไม่ได้พูดอะไร เขาก้าวเท้าเข้าห้อง กำลังจะนั่งลงก็ชะงักกลางคัน “พ่อค้าเหล่านั้นรู้ได้อย่างไรว่าข้ามา” ทั้งยังคิดรวมตัวกันจัดงานเลี้ยงต้อนรับเขาอีกด้วย
มาเมืองต้าเยี่ยแค่เพียงหนึ่งปี เขาเชื่อว่าตนเองไม่ได้มีอัธยาศัยที่ดีถึงเพียงนั้น ยิ่งไปกว่านั้นการมาของเขาครั้งนี้ก็เป็นความลับ
หลีจวินอีกแล้ว!
ข่าวนี้ต้องเป็นเขาที่ปล่อยออกไปแน่นอน
ตระกูลหลีเป็นผู้นำวงการค้าของเมืองต้าเยี่ย มีเพียงหลีจวินที่จะรวบรวมพ่อค้ามีชื่อเสียงในวงการค้าอำเภอฉี่หลิงให้มาเชิญเขาได้ในระยะเวลาอันสั้น
หลีจวินทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร
จะให้พวกเขามาเป็นคนเจรจา หรือว่าปล่อยข่าวอะไรมาทำลายเป้าหมายในการเดินทางมาครั้งนี้ของเขา
ความคิดนี้แล่นผ่าน หร่วนอวี้ก็พูดอย่างเยาะหยัน “เช่นนี้แล้วอย่างไร”
ปลุกระดมพ่อค้าไม่รู้เรื่องราวกลุ่มหนึ่งมาหาเรื่อง พวกเขาจะทำอะไรเขาหร่วนอวี้ได้เล่า
“ข้าน้อยก็ไม่รู้ขอรับ…” หร่วนซีส่ายหน้า “อำเภอฉี่หลิงลือกันไปทั่วแล้วว่าท่านยึดเครื่องหอมที่ตระกูลหลีจะถวายให้แก่องค์หญิง” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกังวล “หรือว่าจะให้ข้าน้อยลองไปสืบข่าวดู”
เขารู้สึกรางๆ ว่านี่เป็นหลุมพราง
“ไม่ต้อง…” หร่วนอวี้ส่ายหน้า “สั่งการลงไป ให้ออกเดินทางทันที”
รับคำแล้ว หร่วนซีที่กำลังจะหมุนตัวก็มีองครักษ์มารายงาน “เนี่ยเทามาแล้วขอรับ”
เนี่ยเทาเป็นสายลับที่รับหน้าที่ในการจับตาดูตระกูลหลี คอยติดต่อกับสายภายในร้านหลีจี้โดยตรง
หร่วนอวี้ดวงตาเปล่งประกาย “ให้เขาเข้ามา…”
“ใต้เท้า…” เนี่ยเทาคารวะหร่วนอวี้
หร่วนอวี้ทำสัญญาณมือให้เขาลุกขึ้น แล้วเอ่ยปากถาม “ตระกูลหลีมีความเคลื่อนไหวอะไรบ้าง”
“ข้าน้อยเพิ่งได้รับข่าว…” เนี่ยเทาโน้มตัวไปข้างหน้าพลางลดเสียงพูดลง “ครั้งนี้ตระกูลหลีแบ่งส่งของออกเป็นสามทาง ขนเครื่องหอมออกไปทั้งหมดสามชุดขอรับ”
สามชุด!
หร่วนอวี้ดีดตัวยืนขึ้นทันที
“ใต้เท้า…” หร่วนซีตกใจ หันหน้าไปถามเนี่ยเทา “เจ้ามั่นใจหรือ ข่าวนี้เชื่อได้หรือไม่”
“เชื่อได้แน่นอน…” เนี่ยเทาพยักหน้าจริงจัง “ข่าวนี้มาจากคลังสินค้าของร้านหลีจี้ อาจารย์ไป๋ปรุงเม็ดหอมเศร้าอาดูรทั้งหมดห้าหมื่นเม็ด แบ่งขนออกจากร้านหลีจี้ไปสามครั้ง เม็ดหอมที่ใต้เท้าปล้นชิงมาได้ครั้งก่อนคงจะเป็นเม็ดหอมที่ออกจากคลังเป็นชุดสุดท้าย บ่ายวันเดียวกันนั้นก็ได้ขนสินค้าอีกชุดหนึ่งออกไป สำหรับเรื่องที่สินค้าสองชุดนี้ออกจากคฤหาสน์ตระกูลหลีได้อย่างไรนั้น คนของพวกเราก็ไม่รู้แน่ชัด…”
“ห้าหมื่นเม็ด?” หร่วนซีมองไปทางหร่วนอวี้ “เม็ดหอมที่ใต้เท้าปล้นชิงมาครั้งก่อนมีเพียงสองหมื่นเม็ด ครั้งนี้ก็แค่หนึ่งพันเม็ด…” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง “หมายความว่ายังมีอีกสองหมื่นเก้าพันเม็ดอยู่ข้างนอกนั่น”
“ใช่แล้ว…” เนี่ยเทาพยักหน้า “ถ้าออกจากคฤหาสน์มาพร้อมกับชุดก่อน คำนวณตามเวลาแล้ว สินค้าตระกูลหลีชุดนั้นคงไปถึงชายแดนเมืองต้าเยี่ยแล้ว หรืออาจจะออกไปจากเขตเมืองต้าเยี่ยแล้วก็ได้…” เขาเงยหน้าขึ้นมองหร่วนอวี้ ” พวกเราจะทำอย่างไรดีขอรับ”
หากสินค้าตระกูลหลีออกนอกเขตเมืองต้าเยี่ย หร่วนอวี้ก็คงเอื้อมมือไปแตะต้องไม่ได้
ภายในห้องเงียบเสียงลง เนี่ยเทากับหร่วนซีล้วนมองหร่วนอวี้ด้วยความหวาดหวั่นไม่สบายใจ
“หลีจวินเจ้าเล่ห์จริง!” ผ่านไปครู่ใหญ่หร่วนอวี้จึงตบโต๊ะอย่างแรง
วันนั้นองครักษ์แทบทั้งหมดในจวนผู้บัญชาการถูกหร่วนอวี้พาไปตรวจนับสินค้าในเรือบรรณาการห้าลำนั้นแล้ว ซึ่งเป็นวันที่เขาป้องกันตระกูลหลีหละหลวมที่สุด เขาเดาได้ว่าหลีจวินคงใช้โอกาสนี้ขนสินค้าออกมา แต่เดาไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะส่งสินค้าออกมาพร้อมกันถึงสองชุด!
เรื่องนี้ก็แล้วมันไปเถอะ แต่เมื่อครู่นี้ตอนที่เขาแอบเข้าคฤหาสน์พักร้อนตระกูลหลียามวิกาล หลีจวินยังทำท่าทางฉุนเฉียวอับจนหนทางให้เขาเห็น ที่แท้ก็เพราะเห็นแต่แรกแล้วว่าเขาไปที่คฤหาสน์พักร้อน จึงจงใจแสดงละครให้เขาติดเบ็ด และไม่ละอายที่จะลดศักดิ์ศรีมาพูดประนีประนอม หวังใช้หมากล้อมมาพนันทำให้เขาเชื่อว่าอีกฝ่ายมาถึงขั้นอับจนหนทางแล้วจริงๆ
แต่ที่แท้ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นวิธีพรางตาของหลีจวิน!
หร่วนซีสะดุ้งตัวสั่นเทาทันที “ใต้เท้า พวกเรา…”
เขามองหร่วนอวี้อย่างตื่นกลัว
พวกเราจะทำอย่างไรดี
เพื่อปล้นชิงเครื่องหอมตระกูลหลี ทุกด่านตลอดทางที่ผ่านมาล้วนได้รับคำสั่งอย่างเข้มงวด ไม่ว่าจะใช้วิธีใดขอเพียงพบเครื่องหอมที่ขนไปเมืองอันคัง ต้องตรวจสอบอย่างเข้มงวดทั้งหมด
เม็ดหอมเกือบสามหมื่นเม็ด…สินค้าจำนวนมากเช่นนี้จะไม่มีเอกสารผ่านด่านไม่ได้เด็ดขาด
แต่ว่าสินค้าของตระกูลหลีขนออกมานานเช่นนี้แล้ว สายลับของแต่ละด่านกลับไม่ส่งข่าวอะไรมาเลย ก็หมายความว่าที่เขียนไว้บนเอกสารผ่านด่านของสินค้าตระกูลหลีชุดนี้ต้องไม่ใช่เครื่องหอมแน่นอน!
นี่เป็นความสะเพร่าใหญ่ที่สุดของพวกเขา ตลอดทางให้แต่ละด่านตรวจค้นเพียงเครื่องหอม สำหรับสินค้าอื่นกลับปล่อยผ่านไปหมด พบว่าตนเองหลงลืมความสะเพร่าใหญ่อย่างนี้ไป หร่วนซีก็มองไปทางหร่วนอวี้อย่างหวาดหวั่น
“หลีจวินจะใช้วิธีใดส่งสินค้าชุดนี้” ทรุดนั่งลงบนเก้าอี้แล้ว หร่วนอวี้ก็พูดพึมพำ
เนี่ยเทากับหร่วนซีส่ายหน้าพร้อมกัน
“รีบไปแจ้งทุกด่าน สินค้าที่ผ่านด่านตรวจสอบทั้งหมด ถ้าพบว่าสินค้ากับเอกสารผ่านด่านไม่ตรงกัน ไม่ว่าเป็นของใครก็ยึดมาให้หมด!” ทันใดนั้นหร่วนอวี้ก็สั่งอย่างเด็ดขาด
“ขอรับ…” รับคำแล้ว หร่วนซีก็ขยับริมฝีปาก
บางทีสินค้าชุดนี้อาจจะออกจากเขตเมืองต้าเยี่ยไปแล้ว
ราวกับล่วงรู้ความคิดของเขา หร่วนอวี้จึงสั่งการอีก “รีบแจ้งข่าวนี้ให้แก่อิงอ๋อง…”
หร่วนซีมีท่าทางตกใจ “…ขอรับ!” แล้วมองหน้าหร่วนอวี้อย่างเอาใจ “เชื่อว่าได้อิงอ๋องลงมือด้วยตัวเองแล้ว แม้แต่แมลงวันสักตัวของตระกูลหลีก็อย่าคิดจะบินเข้าเมืองอันคังเลย!”
หร่วนอวี้มองดูหน้าต่างดำมืดอย่างเงียบๆ โดยไม่ได้พูดอะไร ดวงตาเรียวยาวหรี่ลงเป็นเส้นตรง
หลีจวิน เจ้าดูถูกวิธีการของข้ากับอิงอ๋องมากเกินไป แม้จะขนออกมาอีกสิบชุด ข้าก็จะทำให้เจ้ามีแต่ได้ไปไม่ได้กลับ!
เมืองอันคัง ในตำหนักพักร้อนของอิงอ๋อง
ได้ฟังรายงานของสายลับจูชุนแล้ว อิงอ๋องก็ตบโต๊ะอย่างแรง
“อะไรนะ! ซ่งเสียงถูกคนช่วยไปได้หรือ แล้วหร่วนอวี้ล่ะ” สีหน้าเขาโกรธเกรี้ยว เส้นเลือดบนหน้าผากปูดโปน “ข้าจะสับเขาให้แหลกเป็นหมื่นๆ ชิ้น!”
โมโหดุจสายฟ้าฟาด อิงอ๋องเดินวนไปมาพลางด่าหร่วนอวี้ยกใหญ่ว่าเป็นเศษสวะ
ฉางหมิ่นแอบผลิตอาวุธถือเป็นความลับสุดยอด หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เกรงว่าหัวของเขาผู้เป็นอ๋องที่จ่อจะได้แต่งตั้งขึ้นเป็นองค์รัชทายาทนั้นคงต้องย้ายที่เช่นกัน!
ที่ปรึกษาชุยเจี๋ยและที่ปรึกษาสื่อเหวินทั้งสองยืนแขนตกอยู่ด้านข้างโดยไม่กล้าส่งเสียงดัง
“ทั้งที่สืบหาที่ซ่อนตัวของซ่งเสียงได้แล้ว ผู้บัญชาการหร่วนก็ไปที่เมืองสุ่นเหอด้วยตนเอง กลับคิดไม่ถึงว่าจะช้าไปหนึ่งก้าว ซ่งเสียงถูกชายชุดดำกลุ่มหนึ่งพาตัวไปแล้ว…” จูชุนพูดต่อไปอย่างหวาดหวั่น “ทหารของผู้บัญชาการหร่วนกับฉางหมิ่นแบ่งเป็นสองทางตามไปล้อมเอาไว้ สุดท้ายไปปะทะกันตรงเขตใกล้เมืองต้าเยี่ย…” เสียงพูดเบาลง “คนผู้นั้นช่วยคนไปได้ภายใต้ศรปลิดชีพของผู้บัญชาการหร่วน”
“มีคนหนีพ้นศรปลิดชีพของหร่วนอวี้ได้ด้วยหรือ” ปากพึมพำพูดซ้ำหนึ่งรอบ อิงอ๋องเหม่อลอยไปชั่วครู่ สุดยอดวิชาประจำสำนักของหร่วนอวี้ร้ายกาจเพียงใดนั้น ในฐานะศิษย์พี่ร่วมสำนักอย่างอิงอ๋องย่อมรู้ชัดแจ้งดีที่สุด เขาคิดว่าใต้หล้านี้ไม่มีใครสามารถหลบศรปลิดชีพที่ปลิวราวดอกไม้ร่วงนั้นได้
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ…” จูชุนพยักหน้า “ดูจากวรยุทธ์แล้ว คนผู้นั้นใช้วิชาพลังเก้าหยาง…”
“พลังเก้าหยาง?” อิงอ๋องเลิกคิ้ว
ที่ปรึกษาชุยเจี๋ยอธิบาย “พลังเก้าหยางเป็นเคล็ดวิชาประจำสำนักของชิวฉางเฮ่อคนประหลาดแห่งยุทธภพ ฝึกง่ายชำนาญยาก ผู้เฒ่าชิวมีนิสัยประหลาดไม่มีความอดทนกับลูกศิษย์ คนที่ฝึกสำเร็จสามารถนับนิ้วได้เลย…” เขานิ่งเงียบไปชั่วครู่ “ตามที่กระหม่อมรู้มา ตอนนี้ในยุทธภพมีเพียงสามคนที่ฝึกพลังเก้าหยางสำเร็จ หวงเจี๋ยฉายาเทพคำนวณ สือเค่อที่เก็บตัวอยู่ในเขาชุ่ยซิ่ว อีกคนก็คือหลีจวินคุณชายใหญ่ตระกูลหลีที่ได้ฉายาว่าเป็นอัจฉริยบุรุษ ได้ยินว่าพลังเก้าหยางของเขาฝึกไปถึงขั้นสุดยอดแล้ว เหนือกว่าหวงเจี๋ยกับสือเค่อ…”
“หลีจวิน!” อิงอ๋องเงยหน้าขึ้นทันใด “คนผู้นั้นอายุเท่าใด”
“ราวยี่สิบพ่ะย่ะค่ะ” จูชุนตอบ “ผู้บัญชาการหร่วนสงสัยเช่นกันว่าคนผู้นั้นจะเป็นหลีจวิน ยังเคยไปสืบความมาด้วยตนเอง”
“แล้วมิใช่หรือ” ทุกคนเลื่อนสายตาไปรวมที่ตัวจูชุนพร้อมกัน
“มิใช่พ่ะย่ะค่ะ…” จูชุนส่ายหน้า ก่อนจะเล่าเรื่องที่หร่วนอวี้ไปทดสอบหลีจวินให้ฟัง “ภายหลังผู้บัญชาการหร่วนได้ตรวจสอบแล้ว ช่วงนั้นหลีจวินไปที่เมืองผู่หยาง”
“เขาไปทำอะไรที่เมืองผู่หยาง” ชุยเจี๋ยถาม
“หาซื้อวัตถุดิบเครื่องหอม ครึ่งปีมานี้ตระกูลหลีนำเข้าวัตถุดิบเครื่องหอมจากเมืองผู่หยางมาสามชุด…” ชะงักไปสักครู่ก็พูดอีกว่า “กระหม่อมสงสัยว่าตระกูลหลีจะเริ่มป้องกันตระกูลเหยาแล้ว”
“หลีจวินเป็นคนเจ้าเล่ห์ ทำอะไรมักเหนือความคาดหมาย ผู้บัญชาการหร่วนเป็นคนตรงไปตรงมาและเป็นคนซื่อ ถูกคนเขาหลอกหรือไม่ก็ยากจะพูดได้…” ชุยเจี๋ยมองไปทางอิงอ๋อง “ท่านอ๋องจะประมาทไม่ได้เด็ดขาด”
จูชุนขยับริมฝีปาก แต่ไม่ได้พูดอะไร
หากคนที่ช่วยซ่งเสียงไปเป็นคนอื่นก็แล้วไปเถอะ แต่หากถูกคนตระกูลหลีช่วยไป เช่นนั้นผลลัพธ์ก็…
สื่อเหวินไม่กล้าคิดต่อไป หน้าผากเขามีเหงื่อผุดออกมาทันที เอ่ยปากพูดว่า “พี่ชุยพูดไม่ผิด สือเค่อนิสัยหยิ่งทะนงจึงเอาแต่ซ่อนตัว เทพคำนวณหวงเจี๋ยแม้จะชอบท่องเที่ยวเพียงใด แต่ก็ไม่เคยยุ่งเกี่ยวเรื่องในใต้หล้านี้ คนที่ฝึกพลังเก้าหยางจนแก่กล้าสามารถชิงตัวซ่งเสียงไปจากศรปลิดชีพของผู้บัญชาการหร่วนได้นั้น เห็นจะมีเพียงหลีจวินที่ถือเป็นคนน่าสงสัยที่สุด…” เห็นจูชุนท่าทางหลุกหลิก สื่อเหวินจึงพูดอีกว่า “ไม่แน่ว่าหวงเจี๋ยสือเค่อถูกเงินจำนวนมากซื้อตัวไปหรือไม่นั้นก็พูดได้ยาก…” น้ำเสียงเขาเบาหวิว เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อว่ามีความเป็นไปได้นี้
อิงอ๋องพยักหน้าพลางมองหน้าจูชุน “สั่งการโฉวจิ่วให้เขาร่วมมือกับสมาคมกิจการเครื่องหอมแห่งเมืองผู่หยาง คุมร้านวัตถุดิบเครื่องหอมรายใหญ่ในพื้นที่เอาไว้ ไม่ว่าอย่างไรต้องควบคุมตลาดวัตถุดิบเครื่องหอมเมืองผู่หยางให้ได้ รอคำสั่งจากข้า หลังจากนั้นค่อยร่วมกับตระกูลเหยาเมืองซั่วหยางขึ้นราคาวัตถุดิบเครื่องหอม…”
โฉวจิ่วเป็นผู้ใต้บัญชามากความสามารถของอิงอ๋อง สองเดือนก่อนเพิ่งถูกส่งไปที่เมืองผู่หยางเพื่อทำหน้าที่แทนหวังเฟิ่งเจ้าเมืองผู่หยาง
พูดจบ อิงอ๋องก็กำหมัดขยำสารลับในมือเป็นก้อนกลม
จะปล่อยตระกูลหลีไว้ไม่ได้เด็ดขาด!
รับรู้ถึงรังสีสังหารอันแรงกล้า จูชุนก็ตัวสั่นเทา เขารีบพยักหน้ารับคำ
“อีกอย่าง!” อิงอ๋องสั่งการต่ออีก “ส่งคนออกไปอีกสองสามเส้นทางช่วยเหลือหร่วนอวี้กับฉางหมิ่น ไม่ว่าอย่างไรต้องสืบที่อยู่ซ่งเสียงให้ได้ สืบได้แล้วก็ฆ่าอย่าให้เหลือ…” อิงอ๋องสีหน้าเคร่งขรึม สั่งการทีละคำอย่างชัดเจน “จำไว้ว่าภารกิจนี้เป็นความลับ ต้องตัดรากถอนโคน ยอมฆ่าคนผิด แต่จะปล่อยคนที่รู้เรื่องนี้หนีรอดไปไม่ได้แม้แต่คนเดียว!”
“พ่ะย่ะค่ะ…” จูชุนยืดอกขึ้นทันใด
“ส่งสารให้ฉางหมิ่น ให้เขาระวังตัวหน่อย…” น้ำเสียงอิงอ๋องผ่อนคลายลง ก่อนจะพูดอีกว่า “ปิดโรงผลิตอาวุธทหาร แล้วขนอาวุธที่ผลิตเสร็จแล้วออกไปทันที”
“วิธีการนี้ของท่านอ๋องยอดเยี่ยมมาก…” ชุยเจี๋ยพยักหน้าหงึกๆ พูดยกยอต่ออีก “ซ่งเสียงถูกช่วยไปเช่นนี้ คนที่น่าสงสัยที่สุดก็คือหลีจวิน แต่คิดจะจัดการกับตระกูลหลีไม่ใช่เรื่องง่ายภายในวันสองวัน ให้ฉางหมิ่นเตรียมการไว้ดีที่สุด เช่นนี้แล้วแม้เรื่องจวนหม่าหนิงจะแดงออกมา แต่หากตรวจสอบแล้วไม่มีหลักฐานใดๆ ท่านอ๋องก็สามารถกล่าวหากลับไปว่าเขาใส่ร้ายได้!”
สื่อเหวินพยักหน้าตามไปด้วย “ท่านอ๋องทำเช่นนี้เยี่ยมมาก แต่ว่า…” เขาเปลี่ยนประเด็นพูดไป “หลีจวินฉลาดเกินใคร ความคิดเจ้าเล่ห์ ถ้าให้โอกาสเขาได้หายใจ ผลลัพธ์คงยากจะคาดคิด…” ในดวงตาของเขาฉายแววโหดร้าย “รับมือกับตระกูลหลี ท่านอ๋องจะทรงออมมือไม่ได้ หากใช้น้ำอุ่นต้มกบ* มิสู้ลงมือเช่นสายฟ้าฟาดดีกว่า!”
“ใครว่าไม่ใช่เล่า” อิงอ๋องพยักหน้าแล้วก็ส่ายหน้า “อย่างไรเสียตระกูลหลีก็เป็นตระกูลดังมานาน ทั้งยังคอยควบคุมการค้าของต้าโจวไว้อยู่ ในสายตาเสด็จพ่อเสด็จแม่แล้วพวกเขามีบารมีสูงมาก ถ้าหากข้าทำอะไรตระกูลหลีมากเกินไป กระทั่งเสด็จพ่อทรงเห็นพิรุธเข้า…” คิดถึงที่พระบิดาทรงเกลียดการทำลายรากกำจัดฐานเช่นนี้ที่สุด อิงอ๋องจึงส่ายหน้าอีกครั้ง
หากเป็นพ่อค้าทั่วไปเขาคงกำจัดไปนานแล้ว เหตุใดต้องเสียเวลามากเช่นนี้ด้วย
ภายในห้องเงียบสงบลง ได้ยินแม้แต่เสียงเข็มตกลงพื้น
“กระหม่อมได้ยินว่าที่ตระกูลหลียืนหยัดมาได้เป็นเวลานาน ก็เพราะคางคกหยกที่ถือเป็นสัตว์วิเศษโบราณตกไปอยู่ในตระกูลหลี ถูกวางเซ่นไหว้อยู่ในหอบรรพชนตระกูลหลี…” เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ สื่อเหวินจึงพูดทำลายความเงียบ “จะกำจัดตระกูลหลี เหตุใดท่านอ๋องจึงไม่ส่งคนไปขโมยคางคกหยกนี้ออกมาเล่า ทำลายหลักภูมิพยากรณ์การเงินของตระกูลหลีนี้เสีย…” ลือกันว่าคางคกหยกนี้เป็นหยกงามตามธรรมชาติก้อนหนึ่งที่ตกทอดมาแต่โบราณ รูปร่างเหมือนกับคางคกแบกกลุ่มดาวกระบวยใหญ่เหยียบเงินอยู่ทั้งสองข้าง สามารถกักลมเก็บพลังได้ และสามารถเรียกทรัพย์ได้ดี
ที่ต้องการกำจัดตระกูลหลี สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะของล้ำค่านี้ ได้ฟังคำของสื่อเหวินแล้ว อิงอ๋องก็ส่ายหน้า “หร่วนอวี้เคยลอบเข้าไปในหอบรรพชนตระกูลหลี ไม่มีคางคกหยกอะไรเลย เหล่านั้นเป็นเพียงคำเล่าลือ” เห็นสื่อเหวินจะพูดต่อ อิงอ๋องจึงหันไปทางจูชุน “…รายงานลับบอกว่ายังมีเครื่องหอมอีกชุดหนึ่งอยู่ข้างนอก มีความคืบหน้าบ้างหรือยัง”
ของล้ำค่านี้ค่อยๆ หาไปก็ได้ แต่หากจะจัดการกับตระกูลหลีให้ได้โดยเร็ว งานพระราชพิธีอภิเษกขององค์หญิงหมิงอวี้ครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญ และต้องสำเร็จเท่านั้น จะพลาดไม่ได้เด็ดขาด!
“กระหม่อมกำลังเร่งตรวจสอบพ่ะย่ะค่ะ…” จูชุนปาดเหงื่อ
“เครื่องหอมที่ผู้บัญชาการหร่วนได้มา กระหม่อมได้ดูแล้วเหนือกว่าของร้านอี้เหอไม่ใช่น้อย…” พูดถึงตรงนี้ ชุยเจี๋ยก็พูดอย่างจริงจังว่า “ถ้าร้านอี้เหอใช้ชื่อของปรมาจารย์กู่ก็ว่าไปอย่าง แต่กลับใช้ชื่อหลิ่วเฟิ่งคุณหนูใหญ่ตระกูลหลิ่วซึ่งไม่เป็นที่รู้จักในวงการปรุงเครื่องหอม เทียบกับอาจารย์ไป๋ที่ร้านหลีจี้ยกขึ้นมาแม้จะไม่มีชื่อเสียง แต่อย่างไรก็มีชื่อของร้านหลีจี้ค้ำอยู่ตรงนั้น” เขาเปลี่ยนประเด็นพูดไป “ไม่ต้องพูดถึงเครื่องหอมเหนือชั้นกว่า แค่พูดถึงเรื่องชื่อเสียง เมื่อเครื่องหอมร้านหลีจี้ชุดนั้นถูกนำขึ้นบนโต๊ะขององค์หญิง เกรงว่า…” เขาส่ายหน้า น้ำเสียงเคร่งเครียดเป็นพิเศษ “ความพยายามมานานหลายปีของท่านอ๋องคงต้องไหลลงสู่ทะเลอย่างสูญเปล่าแล้ว…”
สื่อเหวินพยักหน้าเห็นด้วย
“เศษสวะจริงๆ!” อิงอ๋องตบโต๊ะอย่างแรง คำพูดแสดงความไม่พอใจต่อหร่วนอวี้ “ข้าให้เขาไปที่เมืองต้าเยี่ย ต้องการเงินให้เงิน ต้องการคนให้คน หนึ่งปีมานี้ไม่มีอะไรเจริญงอกงามก็ไม่ว่า แต่ข้ากำชับแล้วกำชับอีกถึงความสำคัญในการคัดเลือกเครื่องหอมงานพระราชพิธีอภิเษกขององค์หญิงหมิงอวี้ครั้งนี้ ให้เขาประมาทไม่ได้เด็ดขาด แต่เขาก็ยังปล่อยให้เครื่องหอมของตระกูลหลีออกมาจากเมืองต้าเยี่ยได้อีก ทำให้ข้าต้องคอยตามเช็ดก้น!”
อันที่จริงหากพูดไปแล้วนี่จะโทษหร่วนอวี้ฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ เป็นเพราะคู่ต่อสู้ของเขาแข็งแกร่งเกินไป หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นไปเฝ้าเมืองต้าเยี่ย เกรงว่าเครื่องหอมตระกูลหลีคงจะขนมาถึงเมืองอันคังนานแล้ว เห็นอิงอ๋องก่นด่าหร่วนอวี้ไม่แบ่งดำขาวเช่นนี้ จูชุนริมฝีปากขยับ แต่มีหรือจะกล้าพูดแทนหร่วนอวี้ ทำได้เพียงก้มหัวต่ำติดคอ
“ท่านอ๋องอย่ากริ้วเลยพ่ะย่ะค่ะ…” ชุยเจี๋ยพูดเกลี้ยกล่อม “เรื่องสำคัญตอนนี้คือจะหาเครื่องหอมชุดนั้นเจอและยึดมาได้อย่างไร”
ใครว่าไม่ใช่เล่า!
แต่จากเมืองต้าเยี่ยมาถึงเมืองอันคังนั้นมีทั้งทางบกทางน้ำทางเล็กทางใหญ่ หนทางมากมายเช่นนี้ คิดจะยึดเม็ดหอมหลายหีบที่ตั้งใจปกปิดเอาไว้จะเป็นเรื่องง่ายได้อย่างไร
ได้ฟังคำพูดนี้แล้ว อิงอ๋องก็สีหน้าเคร่งเครียด ไม่ได้พูดอะไร
“จากเมืองต้าเยี่ยถึงเมืองอันคัง มีพ่อค้าวาณิชอยู่มากมายและมีหนทางที่หลากหลาย หากคิดจะยึดเครื่องหอมที่ตระกูลหลีตั้งใจปกปิดก็เหมือนกับงมเข็มในมหาสมุทร…” ผ่านไปครู่ใหญ่สื่อเหวินก็พูดทำลายความเงียบ “ท่านอ๋องทรงระดมกำลังเฝ้าประตูเมืองอันคังทั้งสี่ด้านจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ เครื่องหอมในงานพระราชพิธีอภิเษกขององค์หญิงจะเริ่มคัดเลือกพรุ่งนี้แล้ว อีกสามวันก็เป็นกำหนดวันสุดท้าย ขอเพียงถ่วงเวลาให้พ้นสามวันนี้ไป แม้เครื่องหอมตระกูลหลีจะเข้าเมืองมา ท่านอ๋องก็สามารถใช้ข้อหาทะนงตนเพราะมีความชอบดูหมิ่นพระราชโองการ ยื่นฎีกาทูลขอฝ่าบาทให้ยกเลิกสิทธิ์การเข้าร่วมคัดเลือกของตระกูลหลี…”
โดยปกติเมื่อการคัดเลือกเริ่มขึ้น พระราชวังชั้นในจะหยุดรับเครื่องหอม แต่ตระกูลหลีเป็นวาณิชหลวงมานานหลายปี ด้วยเป็นผู้นำวงการปรุงเครื่องหอมจึงได้รับอนุญาตเป็นพิเศษให้เข้ารอบชิงชนะเลิศได้เลย และยังล่าช้าได้ถึงสามวัน
“พูดก็พูดได้ แต่อย่างไรเสียตระกูลหลีก็มีชื่อเสียงโด่งดัง เครื่องหอมของเขาองค์หญิงจะไม่คะนึงหาได้อย่างไร” จูชุนพูดพึมพำเสียงเบา “ขอเพียงองค์หญิงพอพระทัย ช้าไปวันครึ่งวันเกรงว่าฝ่าบาทคงไม่ใส่พระทัย…”
“พูดเช่นนี้ก็ไม่ถูกนัก…” สื่อเหวินพูดด้วยรอยยิ้ม “ถ้าเป็นเมื่อก่อนเพราะมีบารมีของปรมาจารย์กู่ แม้จะช้าไปสามวันองค์หญิงก็ทรงรอ” เขาเปลี่ยนประเด็นพูดไป “แต่ปีนี้ไม่เหมือนเดิม ล้วนรู้กันว่าปรมาจารย์กู่บาดเจ็บหนัก ปรุงเครื่องหอมไม่ได้แล้ว…”
“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว…” จูชุนเข้าใจทันที “องค์หญิงรู้แล้วว่าเครื่องหอมร้านหลีจี้ที่เข้าร่วมแข่งขันมาจากฝีมืออาจารย์ที่ไม่มีชื่อเสียง เกรงว่าคงไม่ได้ตั้งความหวังอะไรแล้ว…” ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่ามีเหตุผล เขาจึงพยักหน้าเห็นด้วย “ไม่เช่นนั้นคงไม่เริ่มคัดเลือกเร็วขึ้นเช่นนี้ องค์หญิงคงคิดว่าเครื่องหอมของตระกูลหลีไม่มีหวังแน่นอนแล้ว จึงได้ลองดูเครื่องหอมที่ส่งมาจากทุกที่ก่อนว่ามีที่แปลกใหม่หรือไม่”
“ถูกต้อง เป็นเหตุผลนี้ล่ะ…” สื่อเหวินหันไปทางอิงอ๋อง “ขอเพียงพระองค์ทรงคิดวิธีให้องค์หญิงทรงดมกลิ่นเม็ดหอมเศร้าอาดูรของร้านอี้เหอก่อน เชื่อว่าองค์หญิงคงไม่คาดหวังกับเครื่องหอมของร้านหลีจี้อีก…”
“ท่านสื่อพูดมีเหตุผล…” อิงอ๋องพยักหน้า กำลังจะสั่งจูชุนก็ได้ยินชุยเจี๋ยพูดขวาง “ท่านอ๋องอย่าประมาท…” เขามองสื่อเหวินแวบหนึ่ง “พี่สื่อวิเคราะห์ได้ถูกต้องก็จริง แต่ว่า…” เขาเปลี่ยนประเด็นพูดไป “ตอนนี้ใช้ไม่ได้แล้ว…”
“เพราะเหตุใด” สื่อเหวินถาม
“ตระกูลหลีส่งเครื่องบรรณาการเข้าวังทุกปี คิดว่าคงซื้อตัวคนข้างกายองค์หญิงไว้แล้ว ถึงแม้สิทธิ์การเข้าคัดเลือกจะถูกยกเลิก แต่ขอเพียงเครื่องหอมของตระกูลหลีเข้าวัง คนเหล่านี้ก็จะมีวิธีทำให้องค์หญิงได้ดมกลิ่นมัน ถึงตอนนั้น…”
ถึงตอนนั้นอิงอ๋องผู้ที่ทำเรื่องเลวร้ายมาแต่แรกจะต้องถูกตำหนิ และยังทำให้ฝ่าบาททรงหวาดระแวงอีกด้วย
ชุยเจี๋ยส่ายหน้า ไม่ได้พูดต่อไป เขาครุ่นคิดก่อนจะพูดอีกว่า “ที่สำคัญที่สุดข้าน้อยได้ยินว่าก่อนที่เครื่องหอมตระกูลหลีจะออกจากเขตเมืองต้าเยี่ย เคยถูกผู้บัญชาการหร่วนยึดไว้ที่อำเภอฉี่หลิงสองวัน ด้านนอกพากันนินทาว่านี่เป็นเพราะผู้บัญชาการหร่วนกับหลีจวินแย่งชิงหญิงสาวคนหนึ่ง จึงจงใจสร้างความลำบากใจให้ตระกูลหลี” เสียงพูดของเขาผ่อนลง แต่พูดอย่างชัดเจนทุกคำ “ท่านอ๋องตำหนิว่าเครื่องหอมตระกูลหลีมาล่าช้า ตระกูลหลีจะไม่ใช้ข้ออ้างนี้กล่าวโทษผู้บัญชาการหร่วนหรอกหรือ”
คำพูดนี้พูดได้ถูกต้องมาก สื่อเหวินพยักหน้านิดๆ พลางแอบปาดเหงื่อ
“เจ้าเศษสวะคนนี้!” อิงอ๋องโกรธจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ข้าให้เขาไปจัดการตระกูลหลี ไม่ได้ให้เขาไปแย่งชิงหึงหวงใคร!” ดวงตาหรี่ลงเป็นเส้นตรง น้ำเสียงของเขาผ่อนลง “หนึ่งปีมานี้ไม่มีผลงานใด เขาควรจะขยับรังได้แล้ว…”
ทุกคนพากันตัวสั่น ชุยเจี๋ยกับสื่อเหวินต่างรีบก้มหน้าลง
“ท่านอ๋องอย่าเพิ่งกริ้ว ผู้บัญชาการหร่วนทำเพื่อตรวจสอบเครื่องหอมที่ซุกซ่อนไว้จึงได้คิดแผนนี้ออกมา…” จูชุนกับหร่วนอวี้เคยเสี่ยงชีวิตมาด้วยกัน เห็นอิงอ๋องโมโห เขาจึงบากหน้าเล่าเหตุการณ์ที่หร่วนอวี้แอบเปลี่ยนเครื่องหอมตัวอย่างที่อำเภอฉี่หลิง “เรื่องนี้เดิมทีเป็นความลับ แต่ไม่ถึงครึ่งวันหมู่พ่อค้าอำเภอฉี่หลิงก็ลือกันไปทั่ว กระหม่อมสงสัยว่านี่เป็นแผนยุแยงของหลีจวินอีกครั้ง จุดประสงค์ก็เพื่อยุแยงท่านอ๋องกับผู้บัญชาการหร่วน ให้ไล่เขาออกจากเมืองต้าเยี่ย…”
อิงอ๋องสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย ถามอย่างช้าๆ “ลือกันว่าเขากับหลีจวินแย่งชิงหึงหวงเพราะสตรีคนหนึ่ง เป็นเรื่องจริงหรือไม่”
“หญิงคนนั้นก็คืออาจารย์ไป๋ที่ตระกูลหลีเพิ่งยกเชิดขึ้นมา ชื่อไป๋ชิว…” จูชุนแอบปาดเหงื่อ “ใต้เท้าหร่วนหมายตานางตั้งแต่งานประชันเครื่องหอมที่เมืองซั่วหยางแล้วพ่ะย่ะค่ะ…” เขาเล่าเรื่องมู่หวั่นชิวที่เป็นม้ามืดในงานประชันเครื่องหอมออกมา “พอพบว่านางเป็นอัจฉริยะในการปรุงเครื่องหอม ใต้เท้าหร่วนก็อยากจะดึงนางมาเป็นพวกทันที…” เขาถอนหายใจ “แต่น่าเสียดายตระกูลหลีทำสัญญาขาดกับนางไว้ก่อนแล้ว…”
“ที่แท้เป็นอย่างนี้เอง…” ชุยเจี๋ยเข้าใจเรื่องราว ก่อนจะมองไปทางอิงอ๋อง “พวกเราเข้าใจผิดเอง เป็นผู้บัญชาการหร่วนที่คิดเผื่อท่านอ๋อง ถ้าไป๋ชิวเป็นอัจฉริยะจริง ท่านอ๋องจะทรงประมาทไม่ได้เด็ดขาด…” เขาชะงักไปสักครู่ “ยังไม่ต้องพูดถึงใบสนหอมกับธูปพระพยักหน้าเลย ดูแค่เพียงเม็ดหอมเศร้าอาดูรที่นางปรุงในครั้งนี้ก็เอาชนะปรมาจารย์กู่ได้ขั้นหนึ่งแล้ว ถ้านางได้รับการอบรมบ่มเพาะสักระยะหนึ่งจะต้องมีอนาคตไม่มีสิ้นสุดแน่ เรื่องล้ำหน้าปรมาจารย์กู่ก็เป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น มีนางคอยทำเครื่องหอมชั้นเลิศอย่างเช่นใบสนหอมให้กับตระกูลหลีอย่างไม่สิ้นสุดเช่นนี้ ถึงแม้ปรมาจารย์กู่จะยอมตามพวกเรามา หรือสิทธิ์การเป็นวาณิชหลวงของตระกูลหลีจะถูกยกเลิก ตระกูลหลีก็ยังไม่อยู่ในฐานะที่ล่มสลาย…”
ใช่แล้ว ถึงจะไม่มีสิทธิ์การเป็นวาณิชหลวง ตระกูลหลีก็แค่ขาดตลาดเครื่องหอมไปเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ที่เชื่อมั่นว่าจะล้มตระกูลหลีได้นั้นมาจากการทรยศของกู่ฉิน ทว่าตอนนี้จู่ๆ กลับมีคนมีฝีมือที่อาจจะเหนือกว่ากู่ฉินโผล่ออกมา
ความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ไม่อาจคาดการณ์ได้เลยจริงๆ!
อิงอ๋องนิ่งเงียบ ผ่านไปครู่ใหญ่เขาจึงพูดว่า “บอกว่าใบสนหอมกับธูปพระพยักหน้ามาจากฝีมือของเฮยมู่มิใช่หรือ” เขาขมวดคิ้วเป็นปม “เหตุใดจึงมีไป๋ชิวออกมาอีกคน ไป๋ชิวคนนี้…” เขาชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วเงยหน้ามองจูชุน “เป็นอัจฉริยะจริงหรือ”
ก่อนหน้านี้บอกว่าเฮยมู่เป็นอัจฉริยะ เขาจึงได้ยกธูปพระพยักหน้าขึ้นเป็นธูปบรรณาการ อยากจะดึงใจโรงธูปไป่เยี่ยไว้ ตอนนี้เหตุใดจึงมีไป๋ชิวโผล่ขึ้นมาอีกเล่า แคว้นต้าโจวเป็นอะไรไปแล้ว
หลายปีมานี้ไม่เห็นมีอัจฉริยะเลยสักคน พอจะมีขึ้นมาก็มีโผล่ติดๆ กันไม่ขาดเลยหรือ
“ผู้บัญชาการหร่วนสงสัยว่านี่เป็นข่าวลือที่หลีจวินจงใจสร้างขึ้นเพื่อป้องกันปรมาจารย์กู่…” จูชุนอธิบาย “พอเห็นเม็ดหอมเศร้าอาดูรของอาจารย์ไป๋ ผู้บัญชาการหร่วนจึงไปตรวจสอบสมาคมกิจการเครื่องหอมแห่งเมืองซั่วหยางใหม่อีกครั้ง ก่อนจะทราบว่าผลนั้นล้วนถูกเปลี่ยนแปลงทั้งสิ้น ใต้เท้าเฉียนเจ้าเมืองซั่วหยางเป็นพยานว่าใบสนหอมกับธูปพระพยักหน้ามาจากฝีมือของอาจารย์ไป๋จริง เขายังบอกอีกว่าตอนนั้นปรมาจารย์กู่ก็คิดอยากฆ่าอาจารย์ไป๋แล้ว…” จูชุนส่ายหน้า เขาก็ไม่เข้าใจว่าหลังงานประชันเครื่องหอมเหตุใดสูตรลับเหล่านี้จึงกลายเป็นของเฮยมู่ไปเสียได้ เกี่ยวกับข่าวที่หร่วนอวี้รายงานมาเขาก็มีข้อสงสัยมากมายเช่นกันจึงพูดไปอย่างคลุมเครือว่า “ที่บอกว่าเป็นของคุณชายเฮย คงเป็นเพราะอาจารย์ไป๋กลัวว่าหากตนเผยคมมีดมากเกินไปจะทำให้ปรมาจารย์กู่อิจฉาจนนึกทำลายตนเอง…อายุยังน้อยก็มีความชาญฉลาดเช่นนี้แล้ว ช่างหาได้ยากจริงๆ”
อิงอ๋องลองคิดดูแล้ว หญิงสาวคนหนึ่งที่มีสุดยอดฝีมือทว่ากลับไม่มีอำนาจและไร้ซึ่งบารมีนั้น เมื่อเผชิญหน้ากับกู่ฉินที่มีจิตใจคับแคบแต่มีชื่อเสียงราวตะวันบนฟ้าและยังถูกวงการปรุงเครื่องหอมขนานนามว่าเป็นเทพ หากไม่ระวังตัวก็อาจไม่มีชีวิตรอดจริงๆ หากเปลี่ยนเป็นเขาก็คงทำอย่างมู่หวั่นชิว ชื่อเสียงนั้นแม้จะสำคัญเพียงใด แต่การมีชีวิตย่อมมีค่ายิ่งกว่า ในสภาพที่ไม่สามารถมีสองอย่างพร้อมๆ กันได้ สามารถรักษาชีวิตไว้ได้ย่อมเป็นผู้ชนะ
ได้ฟังคำพูดนี้แล้ว อิงอ๋องก็พยักหน้าทันที “มีสุดยอดฝีมือเช่นนี้ แต่กลับมีชีวิตรอดมาได้นานอย่างนี้ นางไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ” เขาเงยหน้าขึ้นทันใด “บอกหร่วนอวี้ ไม่ว่าจะใช้วิธีการใดต้องดึงตัวนางมาให้ได้!”
“เรื่องนี้…” จูชุนลังเลสักครู่
เชื่อว่าวิธีการที่สามารถใช้ได้นั้นหร่วนอวี้ล้วนใช้ไปหมดแล้ว หากดึงตัวคนมาได้จริงคงดึงตัวมานานแล้ว จะมีเรื่องกับหลีจวินจนถึงขั้นนี้ได้อย่างไร
แต่คำพูดนี้ไม่อาจบอกกับอิงอ๋องได้
ทว่าท่าทีลังเลใจนี้ทำให้อิงอ๋องเข้าใจความหมายของจูชุน ครุ่นคิดสักครู่เขาก็ผ่อนเสียงพูดว่า “บอกหร่วนอวี้ ถ้านางไม่เชื่อฟังก็ฆ่าทิ้งเสีย” ในดวงตาฉายความโหดเหี้ยม
อัจฉริยะแล้วอย่างไร
ในเมื่อไม่สามารถเอามาใช้งานเองได้ก็ต้องฆ่าทิ้ง!
* ใช้น้ำอุ่นต้มกบ คือการลงมือจัดการอย่างช้าๆ โดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว เหมือนกับการเอากบแช่ในน้ำอุ่นให้เคยชินกับสภาพ แล้วค่อยๆ เร่งไฟจนน้ำเดือด กว่ากบจะรู้ตัวก็ถูกต้มจนตายแล้ว
Comments
comments