X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักยอดหญิงเซียนเครื่องหอม

ทดลองอ่าน ยอดหญิงเซียนเครื่องหอม เล่ม 6 ตอนที่ 1

หน้าที่แล้ว1 of 7

ตอนที่ 1

 

ขณะที่ดอกไม้บานและร่วงโรยลงไปนั้น ราวกับทุกคนได้ผ่านสังสารวัฏแห่งชีวิตมาด้วยตนเอง ไม่อาจใช้คำพูดใดมาบรรยายได้ ทุกคนในที่นั้นต่างก็มีความรู้สึกจากใจจริงถึงความอัศจรรย์และความสวยงามในชีวิตท่ามกลางธรรมชาตินี้ได้

ก่อนที่กลิ่นหอมของดอกไม้จะจางหายไป เหลือไว้เพียงความทรงจำ

ฝีมือของหญิงสาวผู้นี้สูงกว่าทุกคนมากเกินไป ทำให้คนไม่อาจเปรียบเทียบด้วยได้ ในใจคนส่วนใหญ่จึงไม่มีความอิจฉาใดเหลืออยู่ สายตาที่มองไปทางมู่หวั่นชิวมีเพียงความนับถือที่เพิ่มขึ้น

“แม่นางไป๋มีฝีมือปรุงเครื่องหอมเป็นอันดับหนึ่งต่อจากปรมาจารย์กู่ได้จริงๆ” หวงผู่อวี้ประกบหมัดพูดชมขึ้นมาก่อน “ไม่รู้ว่าดอกกุ้ยหมักนี้จะออกสู่ตลาดเมื่อใดกัน”

“คุณชายหวงผู่ชมเกินไปแล้ว” มู่หวั่นชิวค่อยๆ ยืนขึ้น แล้วย่อตัวคำนับทุกคน “ดอกกุ้ยหมักนี้กลิ่นธรรมดามาก แค่มาช่วยเพิ่มสีสันในงานเลี้ยงสุราเท่านั้น ตระกูลหลีไม่คิดจะผลักดันสิ่งนี้ออกสู่ตลาดหรอก” แล้วเปลี่ยนประเด็นพูดไป “สำหรับคำถามที่ว่าช่วงนี้ตระกูลหลีจะผลักดันอะไรออกสู่ตลาด วันนี้ข้าก็ได้เอาขี้ผึ้งเหลวกลิ่นดอกไม้ที่เพิ่งทำขึ้นใหม่กลิ่นหนึ่งมาด้วยแล้ว”

นางพูดพลางโบกมือไปทางด้านหลัง

มีสาวใช้ยกถาดสองถาดเข้ามาในทันที มู่หวั่นชิวค่อยๆ เปิดผ้าคลุมด้านบนออก ขวดแก้วเล็กแวววาวสดใสขนาดเท่าหัวแม่มือสูงครึ่งชุ่นซึ่งวางอยู่เต็มสองถาดปรากฏต่อหน้าทุกคนในทันที

ทุกคนพากันส่งเสียงอื้ออึง “นี่คืออะไร”

“นี่ก็คือขี้ผึ้งเหลวกลิ่นดอกไม้ที่ร้านหลีจี้กำลังจะผลักดันออกสู่ตลาด” มู่หวั่นชิวยื่นมือไปหยิบขึ้นมาหนึ่งขวดแนะนำให้กับทุกคน สุดท้ายจึงพูดว่า “นี่เป็นขี้ผึ้งหอมชนิดแรกที่ข้าผลิตขึ้นหลังจากได้รับเกียรติให้เป็นนักปรุงเครื่องหอมอันดับหนึ่งของร้านหลีจี้ ควรค่าแก่การเป็นที่จดจำยิ่งนัก เพื่อเป็นการฉลองแล้ว ข้าขอมอบให้แขกทรงเกียรติทุกคนในงานเลี้ยงชมดอกกุ้ยวันนี้ท่านละหนึ่งขวด ถ้าทุกคนชอบ วันหน้าก็ไปหาซื้อที่ร้านหลีจี้ได้”

สิ้นเสียงพูด โม่เสวี่ยก็เดินนำสาวใช้เดินไปวางตามลำดับจากที่นั่งอันดับหนึ่งทั้งชายและหญิง

ภายในโถงใหญ่มีเสียงดังอื้ออึ้งลอยมา

ใต้หล้านี้มีเครื่องหอมที่ไม่ต้องจุดควันด้วยหรือ

เต็มไปด้วยความประหลาดใจและดึงดูดใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอขี้ผึ้งเหลวมาถึงมือก็มีคนส่งเสียงร้องอย่างตกใจว่า “สวรรค์! เหตุใดจึงเนียนนุ่มเช่นนี้ แม้แต่ขี้ผึ้งหอมสี่ฤดูของปรมาจารย์หลิ่วก็ยังขาดความเนียนนุ่มนี้ไป ขี้ผึ้งนี้เนียนนุ่มกว่าขี้ผึ้งหอมสี่ฤดูถึงสิบเท่า!”

ภายในโถงค่อยๆ คึกคักขึ้นมา

“ขี้ผึ้งเหลวกลิ่นดอกไม้ของปรมาจารย์ไป๋จะออกสู่ตลาดเมื่อใด!” มีคนถามเสียงดัง

“อีกสามวัน!”

“ถึงตอนนั้นข้าจะไปซื้อเป็นคนแรก!”

มู่หวั่นชิวฉีกยิ้มบางๆ

จากนั้นก็มีคนถามว่า “ปรมาจารย์ไป๋จะผลักดันน้ำหอมสังสารวัฏออกสู่ตลาดเมื่อใด!”

“ปรมาจารย์ไป๋รีบผลักดันน้ำหอมสังสารวัฏออกมาเถอะ ร้านหลีจี้ต้องฟื้นจากความตายแน่นอน!”

เสียงโห่ร้องในโถงดังขึ้นเป็นระลอก

เดิมทีคนเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนถูกตระกูลหลิ่วซื้อตัวไว้แล้ว ปกติจึงทำตัวเป็นปรปักษ์กับตระกูลหลี ทั้งยังถูกข่าวลือมอมเมามาก่อนหน้า คนเหล่านี้จึงไม่ค่อยพอใจมู่หวั่นชิวเท่าใดนัก ดังนั้นพอวันนี้มู่หวั่นชิวเข้าประตูมาก็ถูกท้าทายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่หลังจากแสดงฝีมืออันสุดยอดแล้ว มู่หวั่นชิวก็เอาชนะใจทุกคนได้ ตอนนี้ผู้คนจึงโห่ร้องขึ้นมาอย่างไม่หวั่นเกรงใดๆ

มู่หวั่นชิวมองทุกคนด้วยรอยยิ้ม ทำสัญญาณให้เงียบเสียงอยู่หลายที กลุ่มคนที่ส่งเสียงอึกทึกจึงเงียบเสียงลง

“ที่น้ำหอมสังสารวัฏไม่ได้ออกสู่ตลาด เพราะน้ำหอมมีขั้นตอนในการทำที่ซับซ้อนและต้นทุนก็สูง เกรงว่าทุกคนจะซื้อไม่ไหว นายท่านหลีจึงลังเลตัดสินใจไม่ได้เสียที” มู่หวั่นชิวอธิบายด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็เปลี่ยนประเด็นพูดไป “แต่ถ้าสั่งจองถึงจำนวนหนึ่งแล้ว ไม่แน่ว่านายท่านหลีอาจพิจารณาผลักดันตามคำขอ”

นี่เป็นงานเลี้ยงแนวหน้าของเมืองต้าเยี่ย การที่พวกเขาสามารถได้รับเทียบเชิญของเจ้าเมืองต้าเยี่ยย่อมมีฐานะไม่ธรรมดา แล้วจะทนรับคำยั่วยุของมู่หวั่นชิวได้อย่างไร ผู้คนจึงพากันส่งเสียงดังขึ้นมาทันที ตะโกนให้ร้านหลีจี้รีบผลักดันน้ำหอมสังสารวัฏออกสู่ตลาด ถึงขั้นมีคนจัดการจะลงชื่อสั่งจองรวบรวมจำนวนคนที่อยู่ตรงนั้นเลย

ไม่ถามราคาก็ลงชื่อสัญญาไปแล้ว…

ทุกคนอยากจะแสดงอำนาจของตนเองต่อหน้าคนอื่น ขอเพียงสามารถซื้อและใช้น้ำหอมสังสารวัฏได้ก็ถือเป็นสัญลักษณ์แสดงฐานะของพวกเขาแล้ว ในเวลานี้หากใครรั้งท้ายก็จะอยู่ต่ำกว่าคนอื่นขั้นหนึ่ง

มองเห็นมู่หวั่นชิวถูกห้อมล้อมอยู่กลางผู้คนเหมือนดาวล้อมเดือน มองดูบ่าวตระกูลหลีที่มีเหงื่อท่วมหัวคอยลงชื่อสัญญากับทุกคน นายท่านหลีก็ตื่นเต้นจนใบหน้าร้อนผ่าว

สถานการณ์เช่นนี้เขาคาดไม่ถึงมาก่อน สายตาที่มองไปทางมู่หวั่นชิวจึงเพิ่มความหนักแน่นยิ่งขึ้น

อัจฉริยะเช่นนี้ตระกูลหลีจะปล่อยไปไม่ได้เด็ดขาด!

“ครั้งนี้ถือว่าคุณหนูกู้หน้าคืนมาได้แล้ว” โม่เสวี่ยนั่งอยู่บนรถม้า หน้าตาสดชื่นอย่างยิ่ง “เห็นท่านถูกทุกคนห้อมล้อมเช่นนี้ แม่นางหลิ่วก็แสดงใบหน้าโกรธเกรี้ยวออกมาเลย” คิดถึงหลิ่วเฟิ่งที่นั่งขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างโดดเดี่ยวอยู่ด้านข้างแล้ว โม่เสวี่ยก็หัวเราะคิกคัก

มู่หวั่นชิวส่ายหน้า “มีชื่อเสียงใช่ว่าจะเป็นเรื่องดี” นางเป็นบุตรสาวขุนนางต้องโทษจะมีชื่อเสียงยืนอยู่ต่อหน้าทุกคนอย่างนี้ไม่ได้ ที่นี่มิใช่เมืองซั่วหยาง แต่เป็นเมืองต้าเยี่ยซึ่งเป็นเมืองแห่งเครื่องหอม ยามที่เดินไปบนถนนใหญ่ล้วนสามารถเจอกับพ่อค้าหรือขุนนางจากเมืองอันคังได้

“คุณหนูเก็บตัวมากเกินไปแล้ว” โม่เสวี่ยพูดบ่น “บ่าวได้ยินคุณหนูหวงผู่พูดว่าท่านไม่เข้าร่วมงานเลี้ยงเช่นนี้เลย ทุกครั้งเป็นแม่นางหลิ่วที่นั่งตรงที่นั่งสำคัญตัวแรก ถูกคนห้อมล้อมเป็นดาวล้อมเดือน อยากมีหน้ามีตาเท่าใดก็มีได้เท่านั้น วันนี้ถูกท่านแย่งหน้าตาไป นางจึงไม่สนใจฐานะใดอีก เอาแต่ทำหน้าโกรธเกรี้ยวไม่ยอมมาพูดแสดงความยินดีกับท่านเลย” แล้วพูดด้วยรอยยิ้มสดใส “คุณหนูหวงผู่ยังพูดว่าเพียงได้ยินว่าท่านจะมาร่วมงานเลี้ยงชมดอกกุ้ยนี้ด้วย แม่นางหลิ่วก็ลงแรงไปมาก เตรียมเครื่องหอมมาตั้งหลายชนิดเพื่อจะสู้กับท่าน” นางพ่นหัวเราะออกมา “แต่แค่ขี้ผึ้งเหลวกลิ่นดอกไม้ของท่านเพียงขวดเดียวก็ทำนางตะลึงไปเลย สุดท้ายจึงไม่ได้เอาออกมาสักอย่าง”

พอคิดว่าแย่งหน้าตาของหลิ่วเฟิ่งมาได้อีกครั้ง มู่หวั่นชิวก็เม้มริมฝีปากแล้วฉีกยิ้ม

กำลังพูดอยู่ ด้านนอกก็มีเสียงดัง มู่หวั่นชิวยังไม่ทันรู้ตัว โม่เสวี่ยก็อุ้มนางออกจากที่นั่งแล้วชักกระบี่อ่อนที่เอวออกมา

ถึงโม่เสวี่ยจะไม่ช้า แต่อีกฝ่ายกลับเร็วมาก โม่เสวี่ยเพิ่งจะชักกระบี่ออกมาก็ได้ยินเสียงดังฉับ ตัวรถถูกคนผ่าออกด้วยกระบี่เดียว กระบี่เย็นเยือกเล่มหนึ่งกำลังแทงมาที่มู่หวั่นชิว ด้านบนก็ถูกกระบี่อีกเล่มหนึ่งปักลงมาเฉียดหัวของคนทั้งสองไป โม่เสวี่ยตกใจจนหลุดเสียงร้องออกมา รอจนนางยกกระบี่ขึ้นอีกครั้ง คนชุดดำสองคนนอกรถม้าก็เคลื่อนตัวไปอีกที่แล้ว

“คุณหนูไม่เป็นไรใช่หรือไม่” โม่เสวี่ยหันหน้ามาโดยที่ยังไม่หายตกใจ

“ข้าไม่เป็นไร” มู่หวั่นชิวส่ายหน้า เพิ่งสิ้นเสียงพูดก็ได้ยินเสียงดังฉับพร้อมกับที่กระบี่นอกตัวรถลอยมาอีกครั้ง ผ่าที่นั่งบนรถออกเป็นสองส่วน โม่เสวี่ยตกใจอุ้มมู่หวั่นชิวขยับไปที่นั่งฝั่งตรงข้ามทันที กระบี่นั้นราวกับมีตา ผ่าครึ่งแล้วก็ย้อนกลับมาตรงหน้ามู่หวั่นชิว เคลื่อนไหวเร็วราวสายฟ้า โม่เสวี่ยรู้สึกว่าภาพตรงหน้าลายตาไปหมด ไม่ทันเห็นกระบี่นั้นชัดเจนก็รู้สึกถึงความเย็นวาดผ่านตรงหน้า ประกายกระบี่ผ่านหัวไหล่นางตรงไปยังมู่หวั่นชิวที่อยู่ด้านหลัง เลือดสดพลันสาดออกจากหัวไหล่ของโม่เสวี่ย เสียงร้องเจ็บปวดดังขึ้น

ทว่ากระบี่ยังคงพุ่งต่อไป โม่เสวี่ยจะทนรับกระบี่เล่มนั้นไหวได้อย่างไรเล่า

“คุณหนู ระวัง!” โม่เสวี่ยรู้สึกราวกับหัวใจของนางหยุดเต้น

ขณะกำลังสิ้นหวัง มีดสั้นเล่มหนึ่งนอกตัวรถก็ลอยผ่านหน้ามู่หวั่นชิวไป ได้ยินเพียงเสียงดังติ๊ง ปัดคมกระบี่นั้นออกไปได้พอดี

คาดไม่ถึงว่าจะผิดพลาดเช่นนี้ คนชุดดำที่ถือกระบี่จึงตกตะลึงไปเช่นกัน กำลังจะพลิกกระบี่กลับไปอีกครั้งก็ถูกคนชุดดำที่ไล่ตามมาตวัดกระบี่กันไว้

คนผู้นั้นหันมาตะโกนใส่โม่เสวี่ย “รีบพาแม่นางไป๋ลงจากรถม้า หลบไปที่มุมกำแพง!”

ดึงสติคืนมาได้ โม่เสวี่ยก็ไม่มีเวลาสนใจความเจ็บจากบาดแผลที่หัวไหล่ตนเองอีก นางอุ้มมู่หวั่นชิวกระโดดออกไปนอกรถม้า ขาเพิ่งแตะพื้นก็ได้ยินเสียงดังครืน รถม้าด้านหลังถูกกระบี่ที่ลอยตรงมาผ่าครึ่ง ก่อนทำท่าจะเอียงล้มมาทางพวกนาง

โม่เสวี่ยร้องตกใจทีหนึ่ง แต่ไม่ได้หันหน้าไปมอง เพียงอุ้มมู่หวั่นชิววิ่งไปที่กำแพงตรงหน้าอย่างรวดเร็ว ได้ยินเสียงลมจากกระบี่พุ่งมาจากทางด้านหลัง ก่อนจะถูกขวางเอาไว้กลางทาง เกิดเป็นเสียงดังแสบแก้วหู โม่เสวี่ยรู้สึกเพียงว่าระยะทางแค่หนึ่งจั้งนี้ดูไกลราวพันลี้ ต่อให้นางใช้กำลังทั้งหมดที่มีก็ยังวิ่งไปไม่ถึง

ผ่านไปเพียงชั่วครู่แต่โม่เสวี่ยกลับรู้สึกราวผ่านมาเป็นพันปี รอจนวิ่งไปถึงกำแพงนางก็หมดเรี่ยวแรง รู้สึกเพียงสองขาอ่อนแรง ทั้งตัวไม่มีกำลังอะไรเหลือแล้ว

มีกำแพงให้พิงเป็นตัวยึด มู่หวั่นชิวกับโม่เสวี่ยต่างก็โล่งอก จ้องมองไปข้างหน้าก็มีคนชุดดำหกเจ็ดคนสู้กันอยู่ในที่แห่งหนึ่ง หนึ่งในสองคนที่ไม่ได้คลุมหน้ามู่หวั่นชิวรู้จักดี เขาก็คือหน่วยเงาหวังชี ไม่ต้องพูดถึง อีกคนที่ไม่ได้คลุมหน้านั้นต้องเป็นคนของตระกูลหลีแน่นอน ทั้งสองกำลังร่วมแรงกันช่วยยับยั้งคนที่ปิดบังใบหน้าสี่ห้าคนที่กำลังบุกเข้ามาหาพวกนาง

คนที่ปิดบังใบหน้าสี่ห้าคนนั้นก็ไม่ได้ยึดติดอยู่กับการต่อสู้เท่าใดนัก พยายามหาทางบุกตรงมาที่มู่หวั่นชิว เดิมทีศัตรูก็มีมากกว่าอยู่แล้ว กอปรกับอีกฝ่ายล้วนเป็นยอดฝีมือ เอาแต่จะพุ่งตรงไปทางมู่หวั่นชิวอย่างไม่คิดชีวิต พวกหวังชีเพียงสองคนจึงดูเหมือนว่าจะรับมือไม่ไหว ถูกบีบทีละก้าวจนใกล้ไปถึงริมกำแพง

เห็นตรงที่ไม่ไกลออกไปมีชายชุดดำซึ่งปิดบังใบหน้าโผล่ออกมาอีกคน มู่หวั่นชิวก็หลับตาลงอย่างสิ้นหวัง “คืนนี้ข้าต้องตายอยู่ที่นี่แน่แล้ว”

“คุณหนูไม่ต้องกลัว” โม่เสวี่ยกันมู่หวั่นชิวไว้ด้านหลังจนมิด กุมกระบี่ไว้แน่นขณะยืนขวางตรงหน้า “ขอเพียงบ่าวยังมีลมหายใจ ก็จะไม่ยอมให้ใครทำร้ายท่านเด็ดขาด!” โม่เสวี่ยพูดเสียงดังมาก ในน้ำเสียงแฝงความมุ่งมั่นดั่งผู้กล้าตัดข้อมือ* ทว่าดวงตาโตดำขลับคู่นั้นกลับฉายประกายสิ้นหวัง

สังเกตสถานการณ์ตรงหน้าอย่างตื่นตระหนกชั่วครู่ ทันใดนั้นดวงตาโม่เสวี่ยก็เปล่งประกาย “คุณหนู คนผู้นั้นมาช่วยพวกเราเจ้าค่ะ!” เสียงนั้นแฝงความยินดี “พวกเรามีทางรอดแล้ว!”

มู่หวั่นชิวลืมตาขึ้นทันใด เป็นอย่างนั้นจริงๆ พอมีคนชุดดำคนนั้นเพิ่มเข้ามา สถานการณ์ตรงหน้าก็เปลี่ยนไปทันที อีกฝ่ายมีคนถูกกระบี่ และเริ่มถูกบีบให้ถอยร่นออกไปแล้ว

นางรู้สึกยินดี จากนั้นก็ต้องตกใจ

หร่วนอวี้!

แม้จะปิดบังใบหน้าไว้ แต่ว่าคนที่เคยรักฝังลึกเข้ากระดูกมาแล้วถึงหนึ่งชาติ ต่อให้คนตรงหน้าจะสลายเป็นเถ้าถ่าน หรือสลายเป็นผุยผง นางก็ยังจำได้

เขายอมมาช่วยข้าหรือ

มู่หวั่นชิวตัวสั่นกระตุก นางต้องใช้แรงทั้งหมดที่มีจึงห้ามไม่ให้ตนเองตะโกนชื่อเขาออกมาได้ เพียงแค่เบิกตาโตตะลึงมองอยู่อย่างนั้น มองดูประกายดาบของคนหลายคนที่ต่อสู้กันตรงหน้าแล้ว ในชั่วขณะนั้นนางก็พูดไม่ออกว่าความขมขื่นที่ผุดขึ้นในใจนี้มันเป็นความรู้สึกใด

รับรู้ว่ามู่หวั่นชิวที่อยู่ด้านหลังกำลังสั่นเทา โม่เสวี่ยจึงถามว่า “คุณหนูเป็นอะไรไปเจ้าคะ”

“ไม่เป็นไร” ดึงสติคืนมาแล้ว มู่หวั่นชิวก็มองไปยังเงาร่างคุ้นตาที่หายไปในความมืดแล้วส่ายหน้า

“บ่าวไร้ความสามารถ ทำให้แม่นางไป๋ได้รับความตกใจ” เห็นคนปิดบังใบหน้าถอยไปแล้ว หวังชีจึงรีบมาหยุดที่ข้างกายมู่หวั่นชิวสองนายบ่าว

“ขอบคุณหวังชีที่ช่วยชีวิต” มู่หวั่นชิวเสียงสงบนิ่ง มองไม่ออกถึงความตกใจลนลานแต่อย่างใด

หวังชีในดวงตาฉายความชื่นชม

โม่เสวี่ยมองคนชุดดำที่จากไปแล้วถามว่า “พวกเขาเป็นใคร”

“คนที่ตามกลุ่มคนพวกนั้นไปคือน้องเก้า รับคำสั่งคุณชายให้คุ้มครองคุณหนู ส่วนอีกคนบ่าวก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร” หวังชีพูดไป เหมือนคิดอะไรขึ้นได้จึงหันหน้ามาตะโกนว่า “น้องเก้ากลับมา คุณชายใหญ่บอกให้คุ้มครองแม่นางไป๋อย่างเดียว ระวังจะหลงกลล่อเสือออกจากภูเขาของคนอื่น!”

เงาดำสองเงาตามกันไป จนกระทั่งออกจากเมืองต้าเยี่ยแล้วคนชุดดำด้านหน้าจึงหยุดยืน

หร่วนอวี้ที่ไล่ตามติดมาด้านหลังก็หยุดลงเช่นกัน

คนชุดดำค่อยๆ หันหน้ามา ถอดผ้าคลุมหน้าออกช้าๆ เขาคือจูชุนสายลับอันดับหนึ่งซึ่งเป็นผู้ใต้บัญชาของอิงอ๋อง

“พี่จู…” หร่วนอวี้คว้าผ้าคลุมหน้าออกพลางประกบหมัดคารวะ

“เจ้า!” จูชุนโมโหมาก “เจ้ายังนับถือข้าพี่ชายคนนี้อีกหรือ!”

“พี่จู ข้า…”

“เจ้าบังอาจขัดคำสั่งลับของนายท่าน ไม่กลัวนายท่านเอาโทษ คิดจะเอาหัวบนบ่าของเจ้าหรือ!” จูชุนพูดด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว

“ขอพี่จูให้เวลาข้าอีกสักนิด ข้าต้องดึงแม่นางไป๋มาได้แน่นอน” หร่วนอวี้ประกบหมัดพูด “แม่นางไป๋เป็นอัจฉริยะ ฆ่าตายไปเช่นนี้ถือเป็นความสูญเสียของต้าโจว หวังว่าพี่จูจะช่วยพูดคำดีๆ แทนข้าต่อหน้านายท่านด้วย”

“เจ้า!” จูชุนชี้หน้าเขา สีหน้าโกรธเกรี้ยว ผ่านไปครู่ใหญ่เขาจึงวางแขนลง “เจ้าทำให้นายท่านเสียการใหญ่!” เขาถอนหายใจ “นายท่านมีคำสั่งลับ ถ้าพบว่าไป๋ชิวยืนอยู่ข้างตระกูลหลีก็ให้ฆ่าได้เลย!” เขามองหน้าหร่วนอวี้ “ตระกูลหลีใกล้จะล่มสลาย การใหญ่ใกล้จะสำเร็จแล้ว แต่ไป๋ชิวคนนี้เพียงพลิกฝ่ามือก็ทำให้ตระกูลหลีฟื้นจากความตาย ถ้าเรื่องนี้ลอยไปเข้าหูนายท่าน…” เสียงพูดชะงักไป เขาส่ายหน้า ผ่านไปครู่ใหญ่จึงเงยหน้าขึ้นมองหร่วนอวี้ “วันนี้สวรรค์ให้โอกาสที่ดีลงมาแล้ว ขอเพียงไป๋ชิวตายหลังจากงานชมดอกกุ้ยของใต้เท้าฉินก็สามารถยิงธนูได้นกสองตัวแล้ว ให้นายท่านใช้โอกาสนี้สอบสวนลงโทษใต้เท้าฉินได้ด้วย…แต่เจ้า…เจ้าทำเสียการใหญ่จริงๆ!”

“ข้ารู้…” หร่วนอวี้พยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนประเด็นพูดไป “แม่นางไป๋เป็นสุดยอดอัจฉริยะที่ร้อยปีจะมีสักคน…” คิดถึงความโหดร้ายของอิงอ๋องแล้ว หร่วนอวี้จึงพูดขอร้องเสียงอ่อย “ขอร้องพี่จูให้เวลาข้าสักนิดเถอะ ข้าต้องดึงตัวนางมาได้แน่นอน”

“คืนนี้พลาดโอกาสอันดีไปแล้ว หากจะฆ่านางอีกครั้งคงไม่ง่าย” จูชุนพูดอย่างเจ็บใจ เขาจึงเงยหน้าขึ้น “ข้าจะรายงานเรื่องในวันนี้ให้นายท่านรู้ตามจริง ส่วนจะออกมาดีหรือร้ายก็อยู่ที่วาสนาของเจ้าแล้ว!”

คำพูดนี้คือเขาจะไม่ยุ่งกับมู่หวั่นชิวชั่วคราว

หร่วนอวี้รู้สึกยินดี ก่อนจะรีบประกบหมัด “ขอบคุณพี่จูที่รับปาก”

จูชุนแค่นเสียงสบถเย็นชา “สตรีเป็นภัยเช่นนี้ เจ้าระวังตัวให้ดีเถอะ!”

มองดูแผ่นหลังจูชุนหายไปกลางทุ่งโล่ง หร่วนอวี้ก็ยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผาก

วันนี้โชคดีที่ถูกเขาตามมาทันก่อน เนื่องจากข้างกายจูชุนล้วนเป็นยอดฝีมือในวังหลวง ขอเพียงอีกฝ่ายไม่ยอมปล่อยนางไป นางคงต้องตายแน่นอน

“เจ็บหรือไม่” ตรวจดูบาดแผลคมกระบี่บนหัวไหล่โม่เสวี่ย ปากมู่หวั่นชิวก็เอ่ยถาม

“ไม่เจ็บเจ้าค่ะ” โม่เสวี่ยขยับเสื้อปิด “แค่ผิวภายนอกเท่านั้น ท่านหมอบอกแล้วว่าไม่เป็นไร” นางเปลี่ยนประเด็นพูดไป “บ่าวฟังความคิดของนายท่านหลีมา เขาสงสัยว่าคนเหล่านี้จะเป็นคนของอิงอ๋อง” ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความกังวล

ไม่กลัวโจรขโมยแต่กลัวโจรหมายตา* มู่หวั่นชิวถูกอิงอ๋องที่มีอำนาจบารมีล้นฟ้าหมายตาเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย

“เสวี่ยเอ๋อร์แอบฟังเป็นแล้วหรือ” มู่หวั่นชิวในดวงตามีรอยยิ้ม

“มิใช่เสียหน่อย เป็นเพราะเสียงคุณหนูกับนายท่านหลีคุยกันดังเกินไปต่างหาก อยู่ห่างกันเพียงผนังกั้น เสียงจึงลอยมาเข้าหูของบ่าวเองเจ้าค่ะ” โม่เสวี่ยใบหน้าแดงก่ำ ปากก็เถียงเสียงแข็ง เห็นสายตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของมู่หวั่นชิวจึงโวยวายขึ้นมา “ทั้งที่คุณหนูเพิ่งถูกลอบฆ่ามา เหตุใดท่านยังดูเบิกบานใจเช่นนี้เล่า” แล้วยื่นมือไปลูบหน้าผากนาง “ใช่ท่านตกใจเกินไปหรือไม่เจ้าคะ” สงสัยว่ามู่หวั่นชิวตกใจจนสติเลอะเลือนไปแล้วใช่หรือไม่ ตนเองเป็นกังวลจะตายอยู่แล้ว ทว่านางกลับยังยิ้มอย่างเบิกบานเช่นนี้ได้อีก

“ข้าดีใจที่พี่หลีไม่ได้เข้าใจข้าผิด” มู่หวั่นชิวปัดมือของโม่เสวี่ยออก หมุนตัวไปนั่งลงบนเก้าอี้

“เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับคุณชายหลี” โม่เสวี่ยงุนงงยิ่งขึ้น

“ข้าคิดมาตลอดว่าพี่หลีเห็นว่าข้ากับคุณชายหวงผู่กับหร่วนอวี้อยู่ด้วยกันอาจจะเข้าใจผิด ดังนั้นจึง…” คิดได้ว่าวันนั้นหลีจวินจากไปโดยไม่ลังเล มู่หวั่นชิวจึงส่ายหน้า “ที่แท้เขาคาดไว้แต่แรกแล้วว่าอิงอ๋องคงไม่ยอมให้ข้ากับตระกูลหลีอยู่ข้างเดียวกันเด็ดขาด เขากลัวว่าหากข้าผูกติดกับตระกูลหลีก็จะเกิดเรื่องเหมือนในวันนี้ขึ้น”

ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ส่งอวี๋จิ่วมาคุ้มครองนางเพิ่มอีกคนกระมัง

ทันใดนั้นมู่หวั่นชิวเหมือนจะเข้าใจหลีจวินแล้ว เขาไม่เคยหมางเมินนางเลย เขาดีต่อนางด้วยความจริงใจ ไม่ได้คิดจะใช้ประโยชน์จากฝีมือของนางเท่านั้น ยิ่งคิดว่าเพื่อความปลอดภัยของนางแล้วเขาถึงกับยอมเสียสละผลประโยชน์ตระกูล หัวใจมู่หวั่นชิวก็ถูกความอบอุ่นโอบกอดเอาไว้

มุมหนึ่งในหัวใจคล้ายถูกอะไรบางอย่างมาเติมเต็ม จู่ๆ นางก็คิดถึงจูบนั้น มือพลันยกขึ้นแตะริมฝีปากอย่างไม่รู้ตัว สองแก้มค่อยๆ แดงเรื่อราวกับดอกตู้เจวียนที่แดงทั่วเขา

โม่เสวี่ยกลับมีความกังวลอยู่เต็มหัวปรากฏออกมาผ่านดวงตา “ไม่ว่าอย่างไรการที่ถูกอิงอ๋องหมายตาอย่างนี้ก็มิใช่เรื่องดี” ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเสียใจ “น่าเสียดาย บ่าวไม่ตั้งใจฝึกวรยุทธ์เหมือนกับพี่โม่อวี่ตั้งแต่แรก”

“คำพูดของเสวี่ยเอ๋อร์เตือนสติข้า” มู่หวั่นชิวดวงตาเปล่งประกาย “ข้าควรจะพกเครื่องหอมป้องกันตัวสักหน่อยแล้ว” ในตำราวิชาการปรุงเครื่องหอมมีสูตรเครื่องหอมหลับใหลกับเครื่องหอมพิษมากมาย ทำมาพกติดตัวไว้ย่อมสามารถใช้ป้องกันตนเองได้

หลีจวินคิดเผื่อนางทุกอย่าง นางจะปล่อยให้ความบุ่มบ่ามของตนเองทำให้เขาผิดหวังไม่ได้

“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่” อิงอ๋องวางรายงานในมือลงบนโต๊ะ “พวกเจ้าใครจะอธิบายให้ข้าฟังได้บ้าง นี่มันเรื่องอะไรกัน” สายตาของเขากวาดมองพวกจูชุนที่ยืนเงียบๆ อยู่สองข้าง “บอกว่าตระกูลหลีจะล่มสลายแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดตอนนี้ถึงยังอยู่ดีเล่า”

นิ้วมือชี้ไปทางทุกคน

“พวกเจ้าบอกว่าขอเพียงลดจำนวนเครื่องหอมบรรณาการของตระกูลหลีอย่างกะทันหัน ฤดูฝนนี้ก็สามารถทำให้ตระกูลหลีขาดทุนจนยากจะกลับมาได้แล้วมิใช่หรือ! ข้าเชื่อคำพวกเจ้า จึงได้คิดหาวิธีลดจำนวนเครื่องหอมบรรณาการของตระกูลหลี…” เขาพูดทีละคำอย่างช้าๆ ทันใดนั้นก็ตบโต๊ะ “แต่ตอนนี้ฤดูฝนใกล้จะผ่านไปแล้ว เหตุใดตระกูลหลียังไม่ล่มสลายอีก พวกเจ้าลองว่ามาซิ เหตุใดตระกูลหลีจึงยิ่งโด่งดังขึ้นทุกวัน” เขาโยนรายงานไปตรงหน้าทุกคน “เหตุใดเสด็จแม่ทรงยกน้ำหอมสังสารวัฏกับขี้ผึ้งเหลวกลิ่นดอกไม้ขึ้นเป็นเครื่องหอมบรรณาการอีก”

ทุกคนทรุดลงคุกเข่าบนพื้น

ชุยเจี๋ยเก็บรายงานขึ้นมา รีบอ่านอย่างเร็วหนึ่งรอบจึงโขกหัวพูดว่า “ท่านอ๋องทรงคลายโกรธลงด้วย กระหม่อมคิดว่าที่เรื่องมีความเปลี่ยนแปลง สาเหตุนั้นมาจากไป๋ชิว…” แล้วโขกหัวอีกหนึ่งครั้ง “เพราะกระหม่อมประเมินฝีมือของนางต่ำเกินไป นางเหนือกว่าปรมาจารย์กู่ที่ถูกขนานนามว่าเป็นเทพเสียอีก ครั้งนี้หากไม่ใช่นางออกมือ ตระกูลหลีก็…” เสียงนั้นขาดห้วงไป เขาเงยหน้าขึ้นทันใด “ท่านอ๋องอย่าทรงกังวล กระหม่อมคิดว่าความโด่งดังของร้านหลีจี้เป็นเพียงเปลือกนอก ปัญหาที่แท้จริงยังคงไม่คลายไป”

“หมายความว่าอย่างไร”

“ดูจากรายงานนี้แล้ว ความโด่งดังของหลีจี้ก็อยู่ที่ขี้ผึ้งเหลวกลิ่นดอกไม้และน้ำหอมสังสารวัฏ ขณะที่เครื่องหอมอื่นยังคงขายไม่ออก สินค้าชุดใหญ่ที่กองอยู่ในคลังของร้านหลีจี้ขอเพียงหนึ่งวันขายไม่ออก ปัญหานี้ก็ไม่อาจคลายลงได้ นอกเสียจาก…” เสียงพูดของเขาผ่อนลง

ทุกคนล้วนเงยหน้าขึ้น

“นอกเสียจากเครื่องหอมเหล่านี้จะเป็นเหมือนกับเม็ดหอมบุปผาสวรรค์ที่ถูกปรับแก้เป็นกระวานหอมบุปผาสวรรค์อย่างน่าอัศจรรย์…”

“เจ้าคิดว่าตระกูลหลีไม่มีทางทำเช่นนี้ได้หรือ” อิงอ๋องมองหน้าชุยเจี๋ยอย่างดุดัน

ชุยเจี๋ยตัวสั่น “กระหม่อมคิดว่าขอเพียงตระกูลหลีมีไป๋ชิวอยู่ ทุกอย่างล้วนเป็นไปได้”

“ที่ตระกูลหลีครั้งนี้เป็นปลาเค็มพลิกตัว* ล้วนเป็นเพราะไป๋ชิว คนผู้นี้สามารถทำเรื่องอัศจรรย์ได้” สื่อเหวินฉวยโอกาสพูดเสริม “ท่านอ๋องจะทรงประมาทไม่ได้เด็ดขาด”

“ไป๋…ชิว…” อิงอ๋องพูดพึมพำประโยคหนึ่ง “เรามีคำสั่งลับว่าถ้านางไม่เชื่อฟังให้ฆ่าได้เลย” ในดวงตาฉายแววเย็นเยือกในทันที เขามองจูชุนอย่างเย็นชา “เหตุใดนางยังมีชีวิตอยู่ดี!”

จูชุนโขกหัวไม่หยุด “กระหม่อมไร้ความสามารถ กระหม่อมทำพลาด” เขาเล่าเรื่องตอนที่ไล่ฆ่ามู่หวั่นชิวออกมา แต่กลับซ่อนเรื่องที่หร่วนอวี้ยื่นมือเข้าช่วยเอาไว้ “คนข้างกายนางล้วนเป็นหน่วยเงาที่ดีที่สุดของตระกูลหลี”

“หร่วนอวี้เล่า” อิงอ๋องสีหน้าโกรธเกรี้ยว “เขาไปอยู่ที่ใด”

ขอเพียงหร่วนอวี้ลงมือ ตระกูลหลีจะมีหน่วยเงาเท่าใดนั้นก็ไม่ใช่ปัญหา

“คืนนั้นผู้บัญชาการหร่วนถูกใต้เท้าฉินรั้งตัวไว้ ปลีกตัวไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ” อย่างไรก็เป็นพี่น้องที่ร่วมเสี่ยงชีวิตกันมา เรื่องมาถึงตัวเช่นนี้ สุดท้ายจูชุนก็ใจร้ายไม่พอที่จะผลักหร่วนอวี้ออกมา

กระพุ้งแก้มของอิงอ๋องสั่นไปหลายที หน้าเขียวคล้ำด้วยพูดอะไรไม่ออก

“ฉินต้าหลงเป็นสุนัขรับใช้ตัวหนึ่งของตระกูลหลี” ชุยเจี๋ยพูด “หนึ่งปีมานี้ที่ผู้บัญชาการหร่วนไม่มีผลงานอะไรก็เพราะถูกเขาขวางเอาไว้”

“เจ้าเมืองต้าเยี่ยควรเปลี่ยนคนได้แล้ว” จูชุนโขกหัวพูด

“ฉินต้าหลงอาศัยการสนับสนุนจากตระกูลหลี นับว่ามีผลงานโดดเด่น หากจะลดขั้นเขาเกรงว่าฮ่องเต้จะทรงสงสัยเอาได้” ชุยเจี๋ยพูด

“เช่นนั้นก็เลื่อนขั้น!” สื่อเหวินพูดอย่างเด็ดขาด “ตราบใดที่ตระกูลหลียังไม่ล่ม การใหญ่ของท่านอ๋องก็สำเร็จได้ยาก!”

อิงอ๋องไม่ได้พูดจา ในดวงตาฉายความเหี้ยมโหด

“ใต้เท้าหร่วนค่อยๆ เดิน” ส่งหร่วนอวี้ออกจากบ้านไปแล้ว มองจนแผ่นหลังเขาหายลับไปกลางระเบียงทางเดิน มู่หวั่นชิวจึงหมุนตัวกลับมา พบกับหวังชีที่มายืนอยู่กลางห้องอย่างไร้เสียงราวกับภูตผี นางเกือบจะตะโกนร้องออกมา มือขวาทาบอกขณะผ่อนลมหายใจ แล้วพูดเสียงเอื่อยว่า “หวังชี ต่อไปเวลาจะเข้ามาในห้องจำไว้ว่าต้องเคาะประตูก่อน”

“บ่าวจำไว้แล้วขอรับ” หวังชีหน้าร้อน

“หวังชีมีธุระหรือ”

“บ่าวสงสัยว่าใต้เท้าหร่วนจะไม่ประสงค์ดีต่อแม่นางไป๋ ขอแม่นางไป๋ระวังเขาให้มาก”

มู่หวั่นชิวขมวดคิ้ว “เจ้ามีหลักฐานอะไร”

“คืนก่อนมีคนแอบเข้าคฤหาสน์ตระกูลไป๋คิดจะจับตัวท่านไป แต่ถูกบ่าวกับน้องเก้าขวางเอาไว้ วันนี้ใต้เท้าหร่วนมาเยือน บ่าวจึงพบว่าใต้เท้าหร่วนกับคนชุดดำมีไฝแดงที่ข้อมือซ้ายเช่นเดียวกัน…” หวังชีมองหน้ามู่หวั่นชิว “บ่าวสงสัยว่าใต้เท้าหร่วนคิดจะจับตัวแม่นางไป๋”

หร่วนอวี้คิดจะจับตัวนางไป

เพราะเหตุใด

หากคิดทำร้ายนางจริง เหตุใดวันนั้นเขาจึงต้องคลุมหน้ามาช่วยนางด้วย

ได้ฟังคำพูดนี้แล้ว มู่หวั่นชิวก็ส่ายหน้า จากนั้นก็นึกได้ว่ากู่ฉินถูกตระกูลหลิ่วกักตัวเอาไว้ ยามนี้อีกฝ่ายซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังหลิ่วเฟิ่งคอยทำงานถวายชีวิตให้ ร่างนางพลันสั่นกระตุก เขาคงกลัวว่าข้าจะช่วยตระกูลหลีทำลายการใหญ่ของอิงอ๋อง เขาต้องคิดกักตัวข้าแน่นอน! ความคิดแล่นผ่าน มู่หวั่นชิวก็หน้าซีด

เห็นมู่หวั่นชิวส่ายหน้าก็คิดว่านางไม่เชื่อ หวังชีจึงพูดว่า “ในเวลาสำคัญเช่นนี้ขอแม่นางไป๋เชื่อการคาดเดาของบ่าวด้วย” แล้วพูดอีกว่า “ใต้เท้าหร่วนเป็นคนนิสัยทารุณโหดร้าย ขอให้ตอนที่แม่นางไป๋ไปมาหาสู่กับเขาโปรดระวังตัว”

เรื่องนี้นางรู้แล้ว

มู่หวั่นชิวถอนหายใจเบาหวิว ชาติก่อนเหตุใดจึงไม่มีใครเตือนสตินางมาก่อน แม้แต่โยวจวินที่เปิดแผงแขวนป้ายดูดวงชะตาใต้หอชุนเซียงยังบอกว่าชีวิตนางมีวาสนาดี ขอเพียงอดทนรอก็จะมีผลลัพธ์ที่ดีแน่นอน คิดถึงเรื่องนี้แล้ว หัวใจมู่หวั่นชิวก็บีบตัวแรง นางจึงเงยหน้ามองหวังชี

“เจ้า…”

กำลังพูดอยู่ เสียงเคาะประตูก็ดังลอยมา

หวังชีกระโดดสวบหายไปอย่างไม่เห็นร่องรอย

เห็นเขาหายตัวรวดเร็วเหมือนภูตผี มู่หวั่นชิวก็ส่ายหน้าแล้วตะโกนไปทางประตู “เข้ามา!”

หลันเซียงถือเทียบเชิญสีแดงสดเดินเข้ามา “คุณหนู จั่วเฟิงเจ้าเมืองคนใหม่ส่งเทียบเชิญมา เชิญคุณหนูไปร่วมงานเลี้ยงเทศกาลฉงหยาง* เก้าค่ำเดือนเก้าที่จวนว่าการเจ้าเมืองจะจัดขึ้นเจ้าค่ะ”

“ไม่ไป!” มู่หวั่นชิวส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด ทันใดนั้นก็หยุดชะงัก “เจ้าว่าเจ้าเมืองคนใหม่ชื่ออะไรนะ” นางยื่นมือไปรับเทียบเชิญมา

“ชื่อจั่วเฟิงเจ้าค่ะ เพิ่งมารับตำแหน่งเมื่อวาน จึงคิดจะใช้โอกาสในเทศกาลฉงหยางนี้เชิญผู้มีชื่อเสียงจากทุกวงการมา”

เป็นเขาหรือ

เขามาต้าเยี่ยได้อย่างไร

มู่หวั่นชิวมือสั่นจนเทียบเชิญแทบจะตกลงพื้น จั่วเฟิงเป็นทหารอายุน้อยที่มีชื่อเสียงของอิงอ๋อง เขาเป็นคนที่มีแผนการมากมาย ทั้งหน้าเนื้อใจเสือ มีคนให้ฉายาเขาว่าเสือหน้ายิ้ม คือเป็นคนที่ก่อนหน้ายังยิ้มกับเจ้า แต่พอหมุนตัวแล้วก็สามารถฆ่าเจ้าได้ทันที เขาเป็นขุนนางตรวจสอบขั้นสาม ชาติก่อนหลังจากอิงอ๋องขึ้นครองราชย์แล้วก็ได้รับความไว้วางใจอย่างมาก กระทั่งปีนขึ้นสู่ตำแหน่งอัครเสนาบดี

ในชาตินี้เขากลับมาที่ต้าเยี่ย มาเป็นเจ้าเมืองต้าเยี่ยแทนฉินต้าหลง

เห็นทีอิงอ๋องคงร้อนใจมากแล้ว ถึงกับไม่เสียดายจั่วเฟิงลดขั้นเขาส่งมาที่ต้าเยี่ย หากมีเขากับหร่วนอวี้หนึ่งบุ๋นหนึ่งบู๊คอยนั่งควบคุมอยู่ นางกับตระกูลหลีคงจะเดินไปได้ยากขึ้นแล้ว!

คิดถึงเรื่องเหล่านี้ มู่หวั่นชิวก็สีหน้าซีดขาว จั่วเฟิงคนนี้เคยเป็นศิษย์ของบิดานาง แม้จะไม่เคยเห็นนาง แต่ว่าเขากับบิดามารดาของนางล้วนไม่ใช่คนแปลกหน้ากัน ใบหน้าของนางก็ละม้ายคล้ายมารดาด้วย หากได้เจอหน้าเขา ไม่แน่ว่าเขาอาจจะสงสัยฐานะของตัวนางก็ได้

“คุณหนูเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” เห็นสีหน้าของนางผิดปกติ หลันเซียงจึงเอ่ยถาม

“ใต้เท้าฉินเล่า” มู่หวั่นชิวเอ่ยปากถาม

ชาติก่อนหลังจากอิงอ๋องขึ้นครองราชย์แล้ว ฉินต้าหลงก็ลาออกกลับไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่บ้านเกิด ในชาตินั้นเขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ติดตามองค์รัชทายาทแล้วมีจุดจบที่ดี

“เลื่อนขั้นย้ายไปแล้วเจ้าค่ะ” หลันเซียงพูด “ได้ยินทหารส่งเทียบเชิญบอกว่าเพราะเมืองต้าเยี่ยมีอัจฉริยะสองคนอย่างท่านกับปรมาจารย์หลิ่ว ใต้เท้าฉินจึงได้รับพระราชทานรางวัลจากฝ่าบาท ได้เลื่อนสามขั้น ตอนนี้เตรียมจะไปรับตำแหน่งที่เมืองอันคังเจ้าค่ะ”

“เลื่อนขั้นย้ายไปแล้ว?” ความไม่สบายใจของมู่หวั่นชิวลดลงไปหลายส่วน ฉินต้าหลงไม่ถูกลดขั้นก็แสดงว่าการทำงานในราชสำนักของอิงอ๋องยังถูกจำกัดเอาไว้ อำนาจบารมีของเขายังไม่ถึงขั้นที่จะสร้างความกังวลใด

“เจ้าค่ะ เลื่อนขั้นแล้ว เมื่อครู่หลีชิงมาแจ้งข่าว คืนนี้นายท่านจะจัดงานเลี้ยงฉลองที่ใต้เท้าฉินได้เลื่อนขั้นและต้อนรับใต้เท้าจั่ว ขอเชิญท่านไปร่วมงานด้วยเจ้าค่ะ” หลันเซียงพูด “บ่าวเห็นใต้เท้าหร่วนอยู่จึงไม่ได้รายงานท่านเจ้าค่ะ”

“ข้ารู้แล้ว” ดึงสติคืนมาแล้ว มู่หวั่นชิวก็คิดสักครู่ ก่อนจะสั่งหลันเซียง “เจ้าไปเรียนนายท่านหลี ข้าจะเตรียมสอบนักปรุงเครื่องหอมระดับเลิศ ให้เขาช่วยบอกปัดคำเชิญของจั่วเฟิงให้ข้าด้วย” ได้ตระกูลหลีบอกปัดคำเชิญแทนนาง จั่วเฟิงคงไม่กล้าทำอะไรนางหรอก

หลันเซียงลังเล “งานเลี้ยงอื่นท่านจะไม่ไปก็แล้วไปเถอะเจ้าค่ะ แต่งานเลี้ยงนี้นายท่านหลีเป็นคนเชิญ…” แล้วพูดอีกว่า “พูดอีกอย่าง ท่านต้องไว้หน้าเจ้าเมืองที่เพิ่งมารับตำแหน่งใหม่บ้าง”

มู่หวั่นชิวส่ายหน้า “เจ้าไปเถอะ”

หลันเซียงจึงหมุนตัวถอยออกไป

มองดูแผ่นหลังหลันเซียงหายลับไป มู่หวั่นชิวก็ถอนหายใจ ถ้าพี่หลียังอยู่ สิ่งเหล่านี้ไม่ต้องให้ข้าพูด เขาก็จะปฏิเสธให้ข้าก่อนแล้ว นึกถึงตอนที่หลีจวินอยู่ เรื่องเหล่านี้ไม่ต้องให้นางยุ่งยากใจเลย นับวันนางมีแต่จะคิดถึงความใจกว้างของเขา ทันใดนั้นนางก็คิดถึงเขาขึ้นมา ใกล้จะสองเดือนแล้ว เขาไปที่ใดกันแน่

นายท่านหลียังคงรักษาความลับ

แววตาเลื่อนไปที่เทียบเชิญสีแดงสดในมือ มู่หวั่นชิวก็สะดุ้ง

พี่หลีจากไปเกือบสองเดือนแล้ว!

นางหยิบปฏิทินบนโต๊ะขึ้นมาพลิกดู แล้วหลุดปากพูดว่า “สวรรค์ กำหนดสองเดือนของทะเบียนเรือนเฮยมู่เหลือแค่สามวันแล้ว!”

เสียงดังตึง ปฏิทินในมือตกลงบนพื้น

สองเดือนมาแล้วที่โม่อวี่ไม่ส่งข่าวมา ไม่รู้ว่าซื้อทะเบียนเรือนได้หรือไม่ ถ้าเขากลับมาไม่ได้ภายในสามวันเล่า

หากโม่อวี่กลับมาไม่ทัน ไม่ต้องพูดถึงว่าหร่วนอวี้จะรับปากยืดเวลาให้หรือไม่เลย แค่พูดถึงจั่วเฟิงเจ้าเมืองคนปัจจุบัน เขาจะยอมให้นางดึงเวลาไปอีกหรือ

มู่หวั่นชิวส่ายหน้า เขาไม่มีทางทำเด็ดขาด!

ไม่เช่นนั้นอิงอ๋องคงไม่เสียแรงกายแรงใจย้ายเขามาที่เมืองต้าเยี่ยเช่นนี้แน่

คิดถึงตรงนี้ มู่หวั่นชิวจึงเอ่ยปากพูด “เสวี่ยเอ๋อร์…”

ไม่ได้ยินเสียงตอบอยู่นาน มู่หวั่นชิวจึงขมวดคิ้ว “ไม่เห็นเงาของนางตั้งแต่เช้า นางไปที่ใดอีกแล้ว” ปากพูดบ่น นางก็ผลักประตูออกมา

เฉินเซียงกำลังยืนนิ่งอยู่ที่ประตู เห็นนางออกมาจึงรีบย่อตัวคำนับ “คุณหนู…”

“เสวี่ยเอ๋อร์ล่ะ” มู่หวั่นชิวถามแล้วก้าวเท้าออกจากประตูไป

“แม่บ้านเสวี่ยออกไปรับอาจารย์นอกเมืองตั้งแต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ บ่าวเห็นใต้เท้าหร่วนอยู่จึงไม่ได้บอกท่าน”

“ออกไปรับอาจารย์นอกเมือง?” มู่หวั่นชิวขมวดคิ้ว “อาจารย์คนใด”

“คุณชายเจิงอย่างไรเล่าเจ้าคะ” เฉินเซียงตอบกลับ “แม่บ้านเสวี่ยได้รับจดหมายของอาจารย์นางแต่เช้า ในจดหมายบอกว่าควรจะมาถึงตั้งแต่เมื่อวันก่อนแล้ว แต่ตอนนี้ยังไม่เห็นเงาเลย นางไม่วางใจจึงอยากออกนอกเมืองไปดูสักหน่อย”

พี่เจิง!

มู่หวั่นชิวรู้สึกยินดี เขามาเมืองต้าเยี่ยแล้ว!

ได้ยินว่าจั่วเฟิงมาที่เมืองต้าเยี่ย หลีจวินก็ไม่อยู่ข้างกาย นางกำลังไร้หนทาง รู้สึกเหมือนหัวใจทั้งดวงว่างเปล่า ยังดีที่เจิงฝานซิวมาได้จังหวะพอดี นางจึงหันไปสั่งการเฉินเซียง “รีบไปเตรียมใบชาชั้นเลิศมาต้อนรับพี่เจิง”

เฉินเซียงมีความรู้สึกยินดีร่วมไปด้วยจึงรับคำอย่างรวดเร็ว

รอจนกระทั่งกลางวันก็ยังไม่เห็นเงาร่างของเจิงฝานซิวกับโม่เสวี่ย มู่หวั่นชิวจึงเกิดความรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมารางๆ หยิบจดหมายของเจิงฝานซิวขึ้นมาอ่านอีกรอบ ตามข้อความในจดหมายนี้ พี่เจิงควรจะมาถึงตั้งแต่เมื่อวันก่อนแล้ว เหตุใดตอนนี้ยังไม่เห็นแม้แต่เงาเล่า เสวี่ยเอ๋อร์ก็หายไปด้วย

ไม่เหมือนหลีจวินที่มีนิสัยเจ้าเล่ห์และชอบคิดวิธีแปลกๆ เจิงฝานซิวนั้นจะเป็นคนตรงไปตรงมา เวลาทำอะไรก็ล้วนจริงจัง เขาบอกว่าเมื่อใดก็เมื่อนั้น ไม่เคยพูดส่งเดช แม้ติดขัดอะไรเขาก็จะมีจดหมายมาแจ้งเสมอ

วันนี้วันอะไรกัน

สายตาเลื่อนไปบนปฏิทิน มู่หวั่นชิวหัวใจกระตุก

วันที่หนึ่งเดือนเก้า!

นางนึกได้แล้ว ชาติก่อนในวันนี้เจิงฝานซิวได้หลักฐานที่อิงอ๋องยักยอกเงินช่วยเหลือภัยพิบัติ รวบรวมพรรคพวกทำการส่วนตัวมาแล้ว ระหว่างที่เดินทางมารวมตัวกับตระกูลหลีที่ต้าเยี่ย เขาก็ถูกอิงอ๋องส่งยอดฝีมือตามไล่ฆ่าจนได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาหนีไปยังเขาอวี้กวนที่อยู่นอกเมืองทางเหนือของต้าเยี่ย ห่างออกไปสิบลี้ สองวันให้หลังจึงถูกคนตระกูลหลีหาตัวเจอ แม้จะยื้อชีวิตเอาไว้ได้ แต่เขาก็ต้องเสียแขนไปหนึ่งข้าง

ในตอนนั้นตระกูลหลีล่มสลายลงไปแล้ว เป็นเวลาที่เครื่องหอมชุดใหญ่ขึ้นราจนเปลี่ยนสภาพไป เหยาจิ่นก็ยืนกรานจะแยกบ้าน นายท่านหลีคิดหาทุกวิธีเพื่อซื้อตัวขันทีที่คอยดูแลข้างพระวรกายฝ่าบาทให้ส่งหลักฐานที่อิงอ๋องรวบรวมพรรคพวกทำการส่วนตัว เดิมทีหากสามารถล้มอิงอ๋องลงสำเร็จก็จะฟื้นฟูตระกูลหลีขึ้นมาได้ แต่ใครจะรู้ว่าทันทีที่พบว่าเสด็จพ่อทรงเกิดความสงสัยขึ้นมา อิงอ๋องก็ร้อนใจจนเกิดความคิดจะฆ่าพ่อกับพี่ชายทันที ทำให้ในชาตินั้นเกิดเรื่องเศร้าที่ไม่อาจย้อนกลับได้อีก

วางปฏิทินลงแล้ว มู่หวั่นชิวก็ดีดตัวลุกขึ้น

“หวังชี! หวังชี!” นางยืนตะโกนอยู่ตรงหน้าต่าง โชคยังดีที่หลีจวินเตรียมหวังชีกับอวี๋จิ่วไว้ข้างกายนาง ตอนนี้จึงมีคนไปช่วยเจิงฝานซิวได้พอดี

ตะโกนอยู่นานกลับได้ยินเพียงเสียงใบไม้ลอยอยู่กลางสายลมนอกหน้าต่าง มีเงาร่างของหวังชีเสียที่ใดเล่า มู่หวั่นชิวจึงตะโกนต่อไปอีก “อวี๋จิ่ว! อวี๋จิ่ว! หวังชี!”

หลันเซียงผลักประตูเดินเข้ามาแล้วถามอย่างสงสัย “คุณหนูจะหาใครหรือเจ้าคะ” นอกจากโม่เสวี่ยแล้ว พวกหลันเซียงล้วนไม่มีใครรู้ว่ามีหวังชีกับอวี๋จิ่วสองคนนี้ซ่อนตัวอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลไป๋

มู่หวั่นชิวส่ายหน้า “ไม่มีอะไร เจ้าออกไปเถอะ”

หลันเซียงมองภายในห้องอย่างประหลาดใจ แล้วเดินออกไปอย่างสงสัย

พวกเขาอาจจะซ่อนอยู่บนหลังคาเลยไม่ได้ยินที่ข้าเรียก…คิดในใจแล้ว มู่หวั่นชิวก็ก้าวออกนอกห้อง ทว่าทั้งลานด้านหน้าและหลังล้วนเดินไปแล้วหนึ่งรอบ รวมถึงยอดไม้บนหลังคาก็หาไปรอบหนึ่ง อย่าว่าแต่หวังชีกับอวี๋จิ่วเลย แม้แต่นกก็ยังไม่เห็น

กระนั้นมู่หวั่นชิวก็ยังเชื่อว่าพวกเขาต้องซ่อนตัวอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลไป๋อย่างแน่นอน ดังนั้นจึงเรียกพวกหลันเซียงกับเฉินเซียงมาช่วยตะโกนเรียกจนทั่วทั้งหน้าและหลังบ้าน แต่เวลาเต็มสองเค่อผ่านไปก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาร่างของสองคนนี้

พวกเขาอาจจะถูกนายท่านหลีเรียกกลับไปชั่วคราวเพื่อตามหาพี่เจิงก็ได้…ในใจคิดไป มู่หวั่นชิวก็โบกมือไปทางหลันเซียง “อย่าตะโกนอีกเลย เตรียมรถเถอะ”

หากจำไม่ผิด เจิงฝานซิวตอนนี้คงกำลังบาดเจ็บหนักและซ่อนอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งบนเขาอวี้กวนนอกเมืองทางเหนือ ไม่ว่าอย่างไรนางต้องช่วยเขากลับมาก่อน

เก็บกล่องยาอย่างลวกๆ แล้ว มู่หวั่นชิวจึงขึ้นรถม้าแล้วสั่งการว่า “ไปประตูเมืองทางเหนือ”

รถม้าเคลื่อนออกประตูเมืองทางเหนือไป

“หยุด” มาหยุดลงตรงตีนเขาอวี้กวนที่อยู่ห่างจากตัวเมืองไปสิบลี้ คนบังคับม้าดึงเชือกบังคับ “คุณหนู ด้านหน้าทางแคบเกินไป รถม้าข้ามไปไม่ได้ขอรับ”

มู่หวั่นชิวพลิกเปิดม่านรถ ตรงหน้ามีทางเล็กคดเคี้ยวมุ่งไปยังป่าลึก นางโค้งตัวลงจากรถม้าแล้วหันไปสั่งการคนบังคับรถ “เคลื่อนรถม้าไปซ่อนในที่มิดชิดก่อนเถอะ ไม่นานข้าก็กลับมา” แล้วก้าวเท้าเข้าป่าไป

ถูกความเจ็บทำให้ตกใจตื่น เจิงฝานซิวพลันจับกระบี่ข้างกายเอาไว้

“อย่าขยับ พี่ได้รับบาดเจ็บมา ถ้าไม่รักษาให้ทันเวลาแขนข้างนี้จะพิการได้” มีเสียงราวนกน้อยดังมาทางด้านหลัง

เจิงฝานซิวร่างแข็งเกร็ง ผ่านไปนานเขาจึงเผยอริมฝีปากที่แห้งผาก “แม่นางไป๋หรือ” แล้วถามอีกว่า “เจ้าตามมาที่นี่ได้อย่างไร”

“ข้า…” มู่หวั่นชิวมือชะงักไป แล้วพูดขึ้นอย่างคลุมเครือ “ได้รับจดหมายของพี่เจิงแล้ว รออย่างไรท่านก็ไม่มา ข้ากับเสวี่ยเอ๋อร์จึงแยกย้ายกันตามหา พี่เจิงเจอเข้ากับใครจึงได้รับบาดเจ็บหนักเช่นนี้” นิ่งเงียบอยู่ชั่วครู่ ไม่ได้ยินเสียงจึงพูดอีกว่า “ข้างมือพี่มีสุราอยู่ ถ้าพี่เจิงเจ็บก็ดื่มสักสองสามอึกเถอะ ข้ากำลังจะใช้ใยต้นหม่อน* เย็บบาดแผลให้พี่”

หันหน้าไป เจิงฝานซิวจึงพบว่าข้างมือมีน้ำเต้าสุรากระเบื้องเคลือบเล็กที่ประณีตหนึ่งอัน ขณะเดียวกัน ก็พบว่าตนเองกำลังเปลือยอกจนถึงท่อนแขน ร่างนั้นแข็งเกร็ง นางรักษาบาดแผลให้ข้าเช่นนี้ ชายหนุ่มหญิงสาวอยู่ด้วยกันอย่างนี้ ต่อไปนางจะไปแต่งงานกับใครได้อย่างไร

ด้วยไม่รู้ถึงความคิดในตอนนี้ของเจิงฝานซิว เพียงรู้สึกกล้ามเนื้อของเขาเกร็งตัวแน่น คิดว่าเขากำลังเจ็บมาก มู่หวั่นชิวจึงหยุดการกระทำ “พี่เจิงผ่อนคลายลงสักหน่อย ถ้าเจ็บก็ดื่มสุราสักสองสามอึก”

กล้ามเนื้อแข็งเกร็งเช่นนี้ นางลงเข็มไม่ได้แน่

“ประคองข้าขึ้นมา” เจิงฝานซิวประคองตัวจะลุกขึ้นด้วยมือข้างเดียว

“แผลคมมีดของพี่เจิงยาวเกินไป ขยับได้ยาก” นางคิดว่าเขานอนคว่ำอย่างนี้ นางเย็บแผลให้เขาได้ง่ายกว่า

เจิงฝานซิวขบกราม ก่อนจะหยัดพื้นด้วยมือเดียว พยายามจะลุกนั่ง

เข็มในมือแทบจะปักไปบนแผ่นหลังของเขา มู่หวั่นชิวจึงตะโกนเสียงดัง “พี่ขยับช้าๆ หน่อย ข้าจะประคองพี่เอง!”

มู่หวั่นชิวใช้ฟันกัดใยต้นหม่อน กลั้นลมหายใจขณะประคองเจิงฝานซิวขึ้นนั่ง แล้วคุกเข่าตรงด้านหลังเขา “เช่นนี้ก็ดี บาดแผลเห็นได้ชัดเจนจะลงเข็มได้ง่าย”

“เจ้าออกไป” เจิงฝานซิวเสียงเย็นราวน้ำแข็ง เขากำลังเปลือยอกจนถึงท่อนแขน ในตอนนี้หากมีใครเข้ามาเห็นเข้า เกรงว่าชื่อเสียงของนางจะเสียหาย!

เพราะอยู่เมืองผิงเฉิงมาตลอด เจิงฝานซิวจึงยังไม่รู้ว่าชื่อเสียงของมู่หวั่นชิวถูกหร่วนอวี้ทำลายไปจนสิ้นนานแล้ว เขาไม่เหมือนหลีจวินที่เปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ แต่เขากลับป้องกันความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงอย่างเคร่งครัด กระทั่งกลายเป็นแสดงออกไปทื่อๆ เช่นนี้

“ออกไปหรือ” มู่หวั่นชิวตกตะลึง จากนั้นจึงพูดว่า “ข้าออกไปแล้วใครจะเย็บบาดแผลให้พี่เล่า” ในใจพึมพำต่อว่าคนที่ได้รับบาดเจ็บนี่ไร้เหตุผลสิ้นดี!

ที่หัวไหล่มีความเจ็บปวดส่งผ่านมา เจิงฝานซิวจึงขบกรามแน่น “บาดแผลของข้าไม่ต้องให้เจ้าเย็บหรอก เจ้ารีบออกไป!” รับรู้ว่าแผ่นหลังของเขาแข็งเกร็งมากขึ้น บรรยากาศพลันตึงเครียด ใจของเขาก็อ่อนยวบลง จึงผ่อนน้ำเสียงลงในที่สุด “ออกไปเรียกโม่อวี่เข้ามา”

โม่อวี่หายไปอย่างไร้ข่าวคราว แม้แต่โม่เสวี่ยก็หายตัวไปอีกคน เขาจะให้นางไปหาคนจากที่ใดอีก

คิดถึงชื่อเสียงของตนเองที่ถูกหร่วนอวี้ทำลายไป มู่หวั่นชิวก็รู้สึกปวดใจ แอบคิดในใจว่าเขาคิดว่าที่ข้าไม่หลบเลี่ยงความเข้าใจผิดเช่นนี้ ถือเป็นคนที่ไม่รู้ยางอายอย่างนั้นหรือ

ไม่ใช่ไม่รู้ยางอาย แต่เพราะตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าชาตินี้จะไม่แต่งงานกับใครจึงไม่มีอะไรให้ห่วง

ถ้าใจใสสะอาดจะกลัวอะไรกับโคลนตม

“บาดแผลของพี่เจิงหนักถึงเพียงนี้ ถ้ายังไม่ทำแผลอีกเกรงว่าแขนข้างนี้ต้องพิการแน่นอน” สะกดความเจ็บปวดในใจแล้ว มู่หวั่นชิวก็พยายามทำให้เสียงพูดฟังดูราบเรียบ “พี่เจิงวางใจได้ ข้าเย็บเสร็จแล้วก็จะไป”

ไม่รู้เพราะเหตุใดทั้งที่ได้ยินเสียงนางราบเรียบเป็นปกติ แต่เจิงฝานซิวกลับรู้สึกถึงความเจ็บปวดล้นฟ้าปกคลุมรอบตัวเขา ทำให้เขาทนไม่ไหวอยากเข้าไปเยียวยา อยากไปปลอบขวัญ ตรงหน้าปรากฏภาพในวันนั้นที่โม่อวี่บังคับให้หลีจวินแต่งงานกับนาง เจิงฝานซิวก็ใจสั่น ใช่แล้ว จากท่าทีของข้า นางคงคิดไม่ถึงว่าข้ากำลังคิดเผื่อนาง กลัวจะทำให้นางเสื่อมเสียชื่อเสียง คิดว่าข้าก็เหมือนหลีจวินที่ดูถูกนาง ความคิดนี้แล่นผ่าน เขาก็กลืนคำพูดที่ทะลักมาถึงปลายลิ้นลงไป

เมื่อคิดได้แล้ว เจิงฝานซิวก็แอบหมิ่นตนเองในใจ อยู่ในสภาพอย่างนี้แล้ว ถ้าชื่อเสียงของนางจะเสียหายก็คงถูกข้าทำเสียหายไปแล้วกระมัง แม้ตอนนี้จะหลบเลี่ยงก็เป็นเพียงการปิดหูขโมยกระดิ่งเท่านั้น เขาแอบทอดถอนใจ ช่างเถอะ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าก็แต่งงานกับนางเลยแล้วกัน

ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว เจิงฝานซิวจึงผ่อนคลายร่างลง เขายื่นมือไปหยิบน้ำเต้าสุรามา ใช้ฟันกัดจุกออก ดื่มกรึ๊บๆ จากนั้นก็หลับตาลง ปล่อยให้มู่หวั่นชิวเย็บแผลเขาไปทีละเข็ม

ในความเงียบงันนี้เวลาค่อยๆ ไหลไปตามมือของมู่หวั่นชิวที่เย็บไปทีละเข็ม

กระทั่งเย็บเข็มสุดท้ายเสร็จ บนหัวมู่หวั่นชิวก็เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ นางกัดปลายใยต้นหม่อนจนขาด แล้วยกแขนเสื้อเช็ดเหงื่อ มู่หวั่นชิวหันไปมองแผลที่ตนเองเย็บบิดเบี้ยวเหมือนตะขาบนั้นแล้วก็หัวเราะออกมา “ข้าทำงานฝีมือไม่เป็นตั้งแต่เด็ก เย็บได้ไม่น่าดูเสียเลย เกรงว่าหลังจากบาดแผลพี่หายแล้ว รอยแผลเป็นนี้จะต้องออกมาน่าเกลียดมากแน่”

มีชีวิตผ่านมาแล้วสองชาติ นางมีความสามารถพิเศษมากกว่าคนอื่นมากมายนัก แต่กลับทำงานฝีมือและทำอาหารไม่เป็น ซึ่งเป็นความสามารถสองอย่างที่คนเป็นภรรยาที่ดีและเป็นแม่ที่ดีควรจะมี ในใจจึงแอบเยาะเย้ยตนเอง ต่อให้มีชีวิตอีกกี่ชาติ สวรรค์ก็ไม่ยอมให้ข้าได้เป็นภรรยาที่ดีและเป็นแม่ที่ดีสินะ!

ทันใดนั้นนางก็รู้สึกอิจฉาหญิงสาวที่มีชีวิตเรียบง่ายเหล่านั้น แม้จะปรุงเครื่องหอมไม่เป็น ไม่มีความต้องการอะไรเป็นพิเศษ แต่กลับได้เป็นภรรยาที่มีความสุข

“ถ้ารอยแผลเป็นนี้น่าเกลียดเกินไปจนข้าแต่งภรรยาไม่ได้ แม่นางไป๋ก็แต่งงานกับข้าเถอะ ไม่อย่างนั้นเกรงว่าข้าคงต้องอยู่ตัวคนเดียวไปทั้งชาติแล้ว” เจิงฝานซิวหัวเราะเสียงสดใส กึ่งล้อเล่นให้สัญญาว่าจะแต่งงานกับนาง

แต่งกับเขา?

มือของมู่หวั่นชิวที่ถือขวดยาชะงักอยู่ตรงนั้น เวลาผ่านไปครู่ใหญ่จึงก้มหน้าลงทายาให้เขาต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปากก็พูดหยอกล้อ “ข้าน่ะ ชาตินี้ไม่คิดจะแต่งงานกับใคร ถ้าภายหน้าพี่เจิงแต่งภรรยาไม่ได้จริงๆ พวกเราก็หนีไปอยู่ในเขาลึก สร้างบ้านอยู่ใกล้กัน ดูแลกันไปจนแก่เฒ่าก็พอ”

ไม่ว่าจะเป็นคำขอแต่งงาน ให้นางแต่งให้กับผู้อื่น เป็นภรรยาที่ดี หรือแม่ที่ดีนั้น สำหรับนางแล้วล้วนเป็นคำร้องขอที่มากเกินไป

ในชาตินี้นางไม่มีความสามารถพอจะไปรักใครคนหนึ่งทั้งใจอีกแล้ว

นางบอกว่านางจะไม่แต่งกับใคร!

เพราะความบริสุทธิ์ถูกตนเองทำลายไปหรือ หรือเพราะหลีจวิน?

คิดถึงท่าทีแข็งกร้าวของหลีจวินในอดีต เจิงฝานซิวก็หัวใจเต้นรัว เขาเรียกนางอย่างขมขื่น “แม่นางไป๋…” พยายามจะหมุนตัวกลับมามองหน้าของนาง

“พี่อย่าขยับตัว” มู่หวั่นชิวห้ามเขา “บาดแผลเย็บได้ไม่ดีไปแล้ว ยานี้ยังใส่ไม่ดีอีก ถ้ากลายเป็นหนองจนทำให้แขนข้างนี้พิการขึ้นมา เกรงว่าพี่คงจะแต่งภรรยาไม่ได้จริงๆ แล้ว!”

รู้สึกว่าผิวใต้ฝ่ามือเกร็งตัวในทันใด มู่หวั่นชิวก็ขมวดคิ้ว กำลังจะเอ่ยปาก เสียงพูดอย่างอึดอัดใจก็ดังมาเข้าหู

“น้องหลี” เห็นหลีจวินจับจ้องมู่หวั่นชิวที่อยู่ด้านหลังตนเอง เจิงฝานซิวจึงพูดเสริมอีกประโยค “นางกำลังทำแผลให้ข้า”

หลีจวิน!

เขากลับมาแล้ว?

* ผู้กล้าตัดข้อมือ มาจากสำนวน ‘งูพิษฉกมือผู้กล้าตัดข้อมือ’ หมายถึงบุรุษที่มีความเด็ดขาด ถึงคราวคับขันย่อมกล้าเสียสละส่วนน้อยรักษาส่วนมากโดยไม่ลังเล

* ไม่กลัวโจรขโมยแต่กลัวโจรหมายตา หมายถึงเมื่อไม่รู้เจตนาของอีกอีกฝ่ายก็ยิ่งเกิดความหวาดระแวง การที่โจรได้ของที่ขโมยไปแล้วถือว่าเรื่องราวได้เกิดขึ้นและจบลง เมื่อเวลาผ่านไปก็จะลืมเหตุการณ์ไปเอง แต่หากถูกโจรหมายตาโดยไม่รู้ว่าจะลงมือเมื่อไร จะขโมยอะไร ก็ยากที่จะป้องกันและต้องใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวง

* ปลาเค็มพลิกตัว เป็นสำนวน หมายถึงผู้ที่สามารถฟื้นตัวขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วหลังจากผ่านสถานการณ์ยากลำบาก

* เทศกาลฉงหยาง คือวันที่เก้าเดือนเก้าตามจันทรคติจีน โดยสมัยโบราณถือว่าเลขเก้าคือเลขที่มีพลังกล้าแกร่งเรียกว่าเลขหยาง จึงเรียกชื่อวันที่มีเลขเก้าสองตัวว่าฉงหยาง (หยางซ้อน) และถือเป็นวันผู้สูงอายุ ในวันนั้นผู้คนจะชื่นชมดอกเบญจมาศและเดินขึ้นเขาหรือที่สูงเพื่อดื่มสุราชมทิวทัศน์ ถือเป็นเสมือนการหลบภัย หากขึ้นเขาไม่ได้ก็กินขนมฉงหยางเกา โดยคำว่า “เกา” ที่แปลว่าขนมมีเสียงคล้ายคำว่า “สูง”

* ‘ใยต้นหม่อน’ เป็นเส้นใยที่ได้จากลำต้นของต้นหม่อน โดยลอกเปลือกสีเหลืองภายนอกออกให้เหลือแต่ผิวชั้นที่เป็นเส้นใยสีขาวบริสุทธิ์ นำมาทุบและแปรรูปจนกลายเป็นเส้นใยเล็กๆ ในตำราแพทย์จีนใยชนิดนี้มีความยืดหยุ่นและช่วยระบายความร้อนขับพิษ ทำให้บาดแผลสมานตัวได้เร็วขึ้น

 

(ตอนต่อไปพบกันวันที่ 17 กุมภาพันธ์ค่ะ)

หน้าที่แล้ว1 of 7

Comments

comments

Editor Jamsai: