ตอนที่ 2
ร่างของมู่หวั่นชิวที่กำลังก้มหน้าทำแผลวุ่นวายอยู่นั้นพลันชะงักไป นางเงยหน้าขึ้นช้าๆ
เขายืนอยู่ตรงปากถ้ำ ตลอดร่างกำลังรับแสงตะวัน บนใบหน้าขาวปรากฏแสงทองอร่าม ดวงตายังคงเหมือนเดิม แต่มีความอ่อนล้าจากการรอนแรมเพิ่มเข้ามา
เขาคือหลีจวินที่ไม่ได้พบกันมานาน เขากำลังจ้องนางไม่วางตา สี่ตาประสานกันกลางอากาศ หัวใจมู่หวั่นชิวเกิดความขมขื่นเจ็บปวดขึ้นอย่างไร้สาเหตุ ราวกับเห็นญาติที่ไม่ได้เจอกันมานาน ในดวงตามีม่านน้ำปกคลุมทันที นางจึงรีบหันหน้าไปทางอื่น
พยายามสะกดหัวใจที่อยากกระโจนไปหาเขาเอาไว้ มู่หวั่นชิวสะกดความรู้สึกตนเอง พยายามเบิกตา แล้วกดม่านน้ำกลับเข้าไป นิ้วมือแข็งเกร็งจึงค่อยขยับอย่างช้าๆ อีกครั้ง
“เจ้าออกไป” ใส่ยาเสร็จแล้ว มู่หวั่นชิวเพิ่งจะหยิบผ้าสมุนไพรขึ้นมาก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำจากบนหัว
นางจึงเงยหน้าขึ้น เห็นหลีจวินกำลังยืนอยู่ข้างกายนางและขมวดคิ้วมองดูกิริยาไม่รีบไม่ร้อนของนาง
“บาดแผลของพี่เจิงยังทำไม่เสร็จเลย” มู่หวั่นชิวก้มหน้าลง กิริยานั้นยังคงไม่รีบไม่ร้อน แต่ในใจกลับบีบตัวแน่น นางถึงขั้นไม่กล้ามองตาหลีจวิน
ไม่รู้เพราะเหตุใดทั้งที่กระทำทุกสิ่งอย่างเปิดเผย ทั้งที่ยอมรับได้ทุกอย่าง แต่พอเผชิญกับหลีจวินที่มีความโมโหรางๆ นี้แล้ว นางก็รู้สึกร้อนตัว ไม่อยากให้หลีจวินดูถูกนางด้วยเหตุนี้ คำพูดชี้แจงทะลักมาที่ริมฝีปากอยู่หลายครั้ง แต่ก็ล้วนถูกนางกลืนลงไป เพียงแค่เกร็งแผ่นหลังตนเองแล้วทำแผลต่อไปอย่างช้าๆ
“เจ้าออกไป” หลีจวินโน้มตัวลงมากดมือของนางไว้
มู่หวั่นชิวจึงเงยหน้าขึ้น “ท่าน…”
หลีจวินดึงผ้าสมุนไพรไป “ข้าทำเอง”
“แม่นางไป๋ออกไปก่อนเถอะ” เพียงคิดว่าภาพอันน่าอึดอัดใจเช่นนี้ถูกหลีจวินพบเห็นเข้าจึงรู้สึกว่าจำเป็นต้องชี้แจงสักหน่อย เจิงฝานซิวจึงหันหน้าไป แล้วมองมู่หวั่นชิวอย่างอ่อนโยน “ให้น้องหลีทำแผลให้ข้าก็พอ แม่นางไป๋ไปรอที่ปากถ้ำเถอะ อย่าเดินไปไกลเด็ดขาด” น้ำเสียงอ่อนโยนฉายความห่วงใย
สัตว์ร้ายในเขาลึกป่ากว้างนี้มีมาก
หัวคิ้วหลีจวินที่เพิ่งคลายออกกลับขมวดแน่นอีกครั้ง
ลังเลเพียงครู่มู่หวั่นชิวจึงค่อยๆ ลุกขึ้น “เช่นนั้นก็รบกวนพี่หลีแล้ว”
“พวกเราเป็นพี่น้องกัน ไม่มีอะไรรบกวน!” น้ำเสียงหลีจวินเคืองขุ่น นางเป็นอะไรกับเจิงฝานซิว ถือสิทธิ์อะไรมาพูดรบกวนแทนเขา
มู่หวั่นชิวเม้มริมฝีปาก
“แม่นางไป๋ออกไปก่อนเถอะ พวกเราอีกครู่ก็จะออกไป” เจิงฝานซิวพูดเร่งด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
มู่หวั่นชิวฉีกยิ้ม “ได้ ข้าจะรออยู่ข้างนอก”
เจิงฝานซิวพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “อย่าเดินไปไกลเด็ดขาด”
เหลือบเห็นทั้งสองคนส่งรอยยิ้มสดใสให้กัน หลีจวินจึงเพิ่มแรงที่มือ
เจิงฝานซิวกัดฟันแน่น ร้องเจ็บปวดราวกับหมูถูกเชือด “โอ๊ย!”
มู่หวั่นชิวชะงักฝีเท้าเล็กน้อย แล้วรีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
“ข้ารับปากจะแต่งนางเป็นภรรยาเอกแล้ว” พันแผลเสร็จแล้ว เจิงฝานซิวก็รับเสื้อตัวนอกที่หลีจวินยื่นมาให้
“ข้าได้ยินแล้ว” หลีจวินก้มหน้าลงเก็บกล่องยาเล็กในห่อผ้าของมู่หวั่นชิว เห็นน้ำเต้าสุราประณีตนั้นแล้ว เขาก็หยิบขึ้นมา ยิ่งมองยิ่งขมวดคิ้วแน่น “แต่นางไม่ตอบตกลง”
“พวกเรา…” ลังเลสักครู่เจิงฝานซิวก็พูดอย่างหนักแน่นว่า “ข้าต้องรับผิดชอบนาง!”
มือนั้นออกแรงทีหนึ่ง น้ำเต้ากระเบื้องเคลือบที่ประณีตพลันแหลกเป็นผงในทันที สุราขาวสีใสไหลลงมาตามร่องนิ้วของหลีจวิน ภายในถ้ำที่ไม่ใหญ่นี้มีกลิ่นสุราลอยคลุ้ง
เจิงฝานซิวหยุดมือที่สวมเสื้อผ้า มองดูผงฝุ่นในมือหลีจวินแล้วก็ปวดใจจนกลืนน้ำลาย “นั่นเป็นสุราจินหวาชั้นเลิศ แม่นางไป๋ตั้งใจเตรียมมาให้ข้าเชียวนะ”
หลีจวินก้มหน้าลงเก็บผ้าสมุนไพรที่ตกลงพื้นเข้ากล่องอย่างรวดเร็ว ปิดฝาแล้วหยิบกล่องยาขึ้นมา จากนั้นจึงหมุนตัวเดินออกไปข้างนอก “นางเป็นคนของข้านานแล้ว ไม่ต้องให้พี่รับผิดชอบ!”
“เจ้า…”
เจิงฝานซิวตกตะลึง จากนั้นก็ขยับตัวไปยืนขวางหน้าหลีจวิน แต่เป็นเพราะขยับแรงเกินไปจึงกระเทือนไปถึงแผลเจ็บไปถึงใจ เขากัดฟันแน่น มองหน้าหลีจวินอย่างจริงจังแล้วพูดทีละคำ “นางเป็นสตรีที่ดี เป็นคนที่ควรค่าจะทำดีด้วยทั้งชีวิต” เขาพูดแล้วก็เหมือนจะเข้าใจเรื่องราว ที่มู่หวั่นชิวพูดว่าชาตินี้จะไม่แต่งกับใคร คงเป็นเพราะคนตรงหน้านี้กระมัง
ไม่นานมานี้โม่เสวี่ยทิ้งใกล้มาขอไกล ขอให้เขาช่วยโรงธูปไป่เยี่ย เห็นได้ชัดว่าเพราะหลีจวินตรงหน้าผู้นี้ไม่ออกมือเข้าช่วย โม่อวี่เองก็เคยบีบบังคับให้หลีจวินแต่งกับนาง ทำให้หลีจวินเกิดความรู้สึกต่อต้านขึ้นมา ตอนนี้ยังมาเห็นภาพไม่น่าดูเช่นนี้อีก แม้หลีจวินจะแต่งงานกับนางจริง แต่อีกฝ่ายจะดีต่อนางแน่หรือ
ความคิดนี้แล่นผ่าน เจิงฝานซิวจึงหมุนตัวไปขวางหน้าหลีจวินเอาไว้ “แต่งกับนางแล้ว แต่ถ้าทำดีต่อนางไม่ได้ ทางที่ดีเจ้าก็ทิ้งความคิดนี้ไปเสียดีกว่า ข้าเคยบอกแล้วว่าเรื่องนี้ข้าจะรับผิดชอบเอง ข้าจะแต่งงานกับนาง!”
แววตาหลีจวินเย็นชา เปล่งประกายเย็นเยือกออกมาทันที ผ่านไปครู่ใหญ่เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าจะทำอย่างไรกับนางนั้น ไม่ต้องให้พี่มากังวลใจหรอก!” จากนั้นก็ก้าวยาวออกไป
“เจ้าหยุดนะ!” เจิงฝานซิวหมุนตัวกลับมาทันใด คำพูดออกจากปากแล้ว เขาก็ตะลึงไป นึกขึ้นได้ทันใดว่า คบหากับหลีจวินมานานถึงเพียงนี้ แต่นี่กลับเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นคนผู้เป็นเสมือนเทพที่แม้ภูเขาไท่ซานถล่มก็ยังไม่เปลี่ยนสีหน้าคนนี้ วันนี้กลับชักสีหน้าใส่เขา และอารมณ์ก็เหมือนจะควบคุมไม่อยู่ อีกฝ่ายแทบจะโกรธเกรี้ยวอยู่แล้ว
เพราะนางหรือ…
เห็นทีน้องหลีจะเก็บนางไว้ในใจแล้วจริงๆ ความคิดนี้แล่นผ่าน เจิงฝานซิวก็กลืนคำพูดที่ข้างลิ้นลงไป แล้วหันมาพูดว่า “ข้า…ข้าบาดเจ็บอยู่!”
ยามนี้เขาเป็นคนบาดเจ็บ หลีจวินควรจะมีเมตตา ช่วยเขาสวมใส่เสื้อผ้าแล้วประคองเขาออกไปสิ
“ขาพี่ไม่ได้บาดเจ็บ!” ผ่านไปครู่ใหญ่ปากถ้ำก็มีเสียงเย็นชาดังลอยมา
เดินออกจากปากถ้ำแล้ว เงาร่างคนที่ยืนหันมาทางปากถ้ำก็ทำให้มู่หวั่นชิวตกใจ นางเอามือจับหินตรงปากถ้ำ แล้วจ้องตรงไป เขาคือหวังชีที่ก่อนหน้านี้นางได้ค้นหาทั่วทั้งคฤหาสน์ตระกูลไป๋แล้วก็ยังไม่เจอตัว นางจึงเดินเข้าไปถามว่า “เหตุใดเจ้ามาอยู่ที่นี่”
หวังชีโค้งคำนับ “บ่าวรับคำสั่งให้คุ้มครองแม่นางไป๋!”
“คุ้มครองข้า?” เห็นเขาพูดอย่างหนักแน่น มู่หวั่นชิวก็รู้สึกเคืองขุ่น “ข้าอยู่คฤหาสน์ตระกูลไป๋แล้วไยไม่เห็นเจ้า…” เสียงพูดชะงักไปทันใด “เจ้าสะกดรอยตามข้ามาที่ถ้ำนี้หรือ”
ไม่เช่นนั้น…เขาจะมารอนางที่นี่ได้อย่างไร
“บ่าวรับคำสั่งเพียงคุ้มครองความปลอดภัยของแม่นางไป๋ ไม่ได้ให้มารับคำสั่งจากแม่นางไป๋…” หวังชียืดอกพูดโดยไม่เหลือบมองนาง
นี่เป็นคำสั่งของหลีจวินจริง ด้วยเกรงว่ามู่หวั่นชิวจะสั่งพวกเขาให้ออกไปทำงาน แล้วข้างกายนางไม่มีคนอยู่จะเป็นอันตรายได้ หลีจวินจึงมีคำสั่งเด็ดขาดให้พวกเขารับผิดชอบคุ้มครองมู่หวั่นชิวเท่านั้น รับปากว่าจะไม่ห่างจากข้างกายนางแม้แต่ชั่วขณะเดียว เรื่องอื่นทุกอย่างล้วนไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา ไม่เพียงแต่มู่หวั่นชิวแม้แต่นายท่านหลีก็สั่งพวกเขาไม่ได้ ดังนั้นก่อนหน้านี้ต่อให้มู่หวั่นชิวนำคนไปตะโกนเรียกจนคอแตก หวังชีกับอวี๋จิ่วก็ได้แต่หลบอยู่บนหลังคาเฝ้าดูความคึกคักโดยที่ไม่ยอมออกมา จนกระทั่งมู่หวั่นชิวขึ้นรถม้าออกจากคฤหาสน์ตระกูลไป๋แล้ว พวกเขาจึงตามติดออกมา…
“เจ้า…” ในใจมู่หวั่นชิวเคร่งเครียด ผ่านไปครู่ใหญ่จึงได้ผ่อนลมหายใจ “ช่างเถอะ” นางผ่อนเสียงลง “ถึงข้าจะสั่งพวกเจ้าไม่ได้ก็จริง แต่พวกเจ้าตามข้ามาจนถึงที่นี่ เห็นคุณชายเจิงได้รับบาดเจ็บแล้ว เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่เข้าไปช่วย”
หากพวกเขายอมออกหน้าก็คงไม่ถูกหลีจวินเห็นภาพน่าอึดอัดใจเช่นนั้น
ไม่รู้เพราะเหตุใดเพียงคิดว่าจะถูกหลีจวินดูถูกตนเองด้วยเหตุนี้ หัวใจมู่หวั่นชิวก็เกิดความรำคาญใจอย่างไร้สาเหตุ
“คุณชายใหญ่สั่งเอาไว้ บ่าวรับผิดชอบคุ้มครองแค่ความปลอดภัยของแม่นางไป๋เท่านั้น จะไม่ยุ่งเกี่ยวงานใดของแม่นางไป๋” หวังชีพูดอย่างเต็มปาก
นั่นคือเห็นคนจะตายก็ไม่ช่วยหรือ!
มองหวังชีที่เชิดหน้าพลางยืดอกมองตรงแล้ว มู่หวั่นชิวก็อยากจะลองเคาะหัวเขาดูว่าทำจากไม้มาหรือไม่ เหตุใดไม่รู้จักโค้งลงบ้างเลย ปล่อยให้นางที่เป็นหญิงไปทำแผลให้ชายฉกรรจ์ ทำให้หลีจวินต้องเข้าใจผิด
มู่หวั่นชิวริมฝีปากขยับ อยากจะสอบถามต่ออีกสองสามประโยค แต่ก็รู้สึกว่าคนประเภทนี้ไม่มีอะไรให้พูดด้วยจริงๆ นางจึงถอนหายใจแล้วก้าวเท้าเดินลงเขาไป หากอยู่ต่อหน้าหวังชีต่อ นางคิดว่าตนเองคงทนไม่ไหวจนต้องด่าคนออกมาแน่
“แม่นางไป๋หยุดก่อน” หวังชีขยับมาขวางหน้านาง “คุณชายใหญ่สั่งให้บ่าวคุ้มครองแม่นางไป๋ ให้แม่นางไป๋รอเขาอยู่ตรงนี้ขอรับ”
หลีจวิน?
มู่หวั่นชิวขมวดคิ้วแล้วเอ่ยปากถาม “พี่หลีตามมาถึงที่นี่ได้อย่างไร”
“ยามที่หน่วยเงาตระกูลหลีมีความเคลื่อนไหว พวกเราล้วนทิ้งเครื่องหมายพิเศษเอาไว้” หวังชีพูดชี้แจง “คิดว่าคุณชายใหญ่ที่เดินทางกลับมาแล้วไม่พบแม่นางไป๋ จึงได้ตามเครื่องหมายที่บ่าวทิ้งเอาไว้มา”
หวังชีเดาไม่ผิด พอหลีจวินกลับถึงแคว้นต้าโจวก็ได้ยินเรื่องมู่หวั่นชิวถูกคนไล่ฆ่า ด้วยความกังวลเขาไม่กล้าเสียเวลารีบรุดเดินทางกลับมาทันที เข้าเมืองต้าเยี่ยแล้ว แม้แต่บ้านก็ไม่กลับไปกลับวิ่งตรงไปที่คฤหาสน์ตระกูลไป๋ ใครจะรู้ว่าไปถึงแล้วจะกลายเป็นเสียเปล่า
พวกหลันเซียงล้วนไม่รู้ว่ามู่หวั่นชิวไปที่ใด
ดังนั้นหลีจวินจึงเดินตามเครื่องหมายที่หวังชีทิ้งไว้ตลอดทางจนมาถึงที่นี่ ได้ยินหวังชีพูดว่ามู่หวั่นชิวอยู่ในถ้ำ เขาจึงเดินเข้าไป เห็นภาพที่เจิงฝานซิวสัญญาจะแต่งงานกับมู่หวั่นชิวเข้าพอดี ความโกรธเกรี้ยวในใจแค่คิดก็รู้ได้ เขาไม่อยากให้มู่หวั่นชิวอยู่กับเจิงฝานซิวที่สวมเสื้อไม่เรียบร้อยจึงไล่นางออกมานอกถ้ำ แต่ก็กลัวว่านางจะเดินหายไปจึงใช้เสียงลับสั่งหวังชีให้เฝ้ามู่หวั่นชิวรอเขาอยู่ข้างนอก
ให้นางรอเขาอยู่ตรงนี้?
ได้ยินคำพูดของหวังชี มู่หวั่นชิวก็หันหน้าไปมองเขา คิดถึงก่อนหน้านี้ที่อยู่เย็บบาดแผลให้กับเจิงฝานซิวตามลำพังแล้วถูกหลีจวินมาเห็นเข้า นางย่อมไม่มีความกล้ามากพอจะอยู่ตรงนี้เพื่อรอพวกเขาสองคนออกมาแน่นอน นางจึงตัดสินใจพูดว่า “เจ้าแจ้งพี่หลีกับพี่เจิงทีว่าคฤหาสน์ตระกูลไป๋ยังมีงานรออยู่ ข้าต้องกลับไปก่อน” พูดจบก็เดินอ้อมตัวหวังชีจะลงเขาต่อไป
“คุณชายใหญ่สั่งให้แม่นางไป๋รอเขา…” หวังชีขยับตัวไปขวางมู่หวั่นชิวเอาไว้
คุณชายใหญ่สั่ง คุณชายใหญ่สั่ง เขาช่างเชื่อฟังคำสั่งเสียจริง!
ไฟโทสะของมู่หวั่นชิวปะทุออกมาในที่สุด “คุณชายของเจ้าจะมายุ่งกับข้าไม่ได้หรอกนะ!” พูดจบ เห็นหวังชีขวางทางไม่ยอมถอยให้ มู่หวั่นชิวจึงเอี้ยวตัวเดินเข้าพุ่มไม้ด้านข้าง แล้วเดินมุ่งไปทางป่าทึบ
นางเคยหนีเอาชีวิตรอดคนเดียวในป่าลึกมาก่อน ผ่านวันเวลาที่เรียกฟ้าฟ้าไม่ขาน เรียกดินดินไม่พูดเช่นนั้นมาแล้ว นางจึงไม่สนใจหากจะต้องเดินผ่านป่านี้ไป
“แม่นางไป๋ช้าก่อน…แม่นางไป๋…” คาดไม่ถึงว่ามู่หวั่นชิวโมโหแล้วจะเดินเข้าพุ่มไม้ไปอย่างนี้ ในนั้นมีหนามอยู่ทั่ว ทั้งมีงูหนอนปนเปอันตรายอย่างมาก ในป่านั้นทั้งทึบและครึ้ม เห็นมู่หวั่นชิวเดินเข้าไปในนั้นแล้ว จะห้ามก็ห้ามไม่ได้ ขวางก็ขวางไม่ได้ อย่างไรชายหญิงก็ไม่ควรเข้าใกล้กัน หวังชีไม่กล้าเข้าไปอุ้มมู่หวั่นชิวออกมา เขาจึงทำได้เพียงตะโกนเรียกอย่างร้อนใจอยู่ด้านหลังมู่หวั่นชิวเท่านั้น
เห็นมู่หวั่นชิวสองมือแหวกพุ่มไม้ยิ่งเดินยิ่งลึกจวนจะหายลับเข้าไปในพุ่มไม้แล้ว หวังชีจึงหันหน้าไปมองในถ้ำ สุดท้ายก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด แอบคิดในใจว่าสนใจอะไรมากไม่ได้แล้ว ข้าตามแม่นางไป๋ไปก่อนอย่าให้เกิดเรื่องจะดีกว่า…คิดถึงตรงนี้หวังชีก็หันหน้ากลับมา กำลังคิดจะเดินตามมู่หวั่นชิวไป ทว่าพอช้อนตาขึ้นแล้วก็ต้องตกใจ
รอบข้างเงียบสนิท ได้ยินเพียงเสียงลมเอื่อยพัดพุ่มไม้ไหว มีเงาร่างของมู่หวั่นชิวเสียที่ใด
นางไม่มีวิชาตัวเบา เป็นแค่หญิงอ่อนแอ เวลาแค่เพียงพริบตานี้จะไปที่ใดได้เล่า
เพียงชั่วครู่หวังชีก็มีเหงื่อผุดเต็มตัว
เขากระโดดลอยตัวเข้าไปในพุ่มไม้ “แม่นางไป๋! แม่นางไป๋!” ปากร้องตะโกน เขาเดินหาไปมาในพุ่มไม้อยู่สามสี่รอบ กระทั่งพุ่มไม้ถูกเหยียบจนราบไปหมดแล้วก็ยังไม่พบเงาร่างของมู่หวั่นชิวสักที
ทางด้านมู่หวั่นชิวนั้น เป็นเพราะหนึ่งปีมานี้อยู่สุขสบายจนเคยชิน ตอนนี้เพียงแค่เดินเข้าพุ่มไม้เพียงไม่กี่ก้าว เสื้อผ้าก็ถูกหนามเกี่ยวขาด ฝ่าเท้าถูกรากที่โผล่ออกมาขูดจนเจ็บ หันไปมองทางภูเขาที่คดเคี้ยวนั้นแล้ว มู่หวั่นชิวก็รู้สึกว่านั่นเป็นเส้นทางที่กว้างใหญ่เหลือเกิน!
นางรู้สึกเสียใจกับความกล้าของตนเอง จึงส่ายหน้าพลางถอนหายใจ เป็นคนมาแล้วถึงสองชาติ แต่ข้าก็ยังบุ่มบ่ามอยู่เช่นนี้ มิน่าเล่าตอนนั้นพี่หลีจึงไม่ยอมเชื่อข้า เห็นหวังชีที่ถูกทิ้งไว้ด้านหลังกำลังเหม่อมองถ้ำอยู่ มู่หวั่นชิวก็แอบแหวกพุ่มไม้เดินลงทางภูเขาไป
เดินไปบนทางใหญ่ดีกว่า ใช่ว่าจะถูกบีบคั้นเหมือนกับเมื่อก่อนนี้เสียหน่อย นางไม่จำเป็นต้องทำให้ตนเองลำบาก
ใครจะรู้ว่าเพิ่งเดินไปได้เพียงสองก้าว ทั้งที่คิดว่าเหยียบไปบนพื้นหญ้าเขียวขจี แต่กลับกลายเป็นเหยียบไปบนอากาศ ร่างของมู่หวั่นชิวร่วงลงไปในทันที
หลุมพราง!
หลุมพรางของนายพรานล้วนเป็นแผ่นเหล็กหรือหนามแหลมที่ทำมาจากเหล็ก หากตกลงไป คนก็จะกลายเป็นตะแกรงมีรูทันที เคยอาศัยอยู่ในบ้านหม่าจู้เอ๋อร์ที่อาศัยการล่าสัตว์เลี้ยงชีพมาก่อน มู่หวั่นชิวจึงรู้จักหลุมพรางนี้
ความคิดนี้แล่นผ่าน นางก็รวบรวมกำลัง สองมือป่ายคว้าไปสองข้าง อยากจะยึดอะไรไว้แล้วปีนกลับขึ้นไป แต่ว่าสองข้างนั้นล้วนเป็นหญ้าป่าลื่นมือ เพิ่งคว้าได้ก็หลุดมือแล้ว อย่างนี้จะช่วยนางได้อย่างไร
ร่างจึงหล่นลงไปอย่างควบคุมไม่ได้
มู่หวั่นชิวหลับตาลงอย่างสิ้นหวัง ในครั้งนี้นางยากจะหนีพ้นความตายได้แล้ว
เหนือความคาดหมายของมู่หวั่นชิว หล่นลงไปอยู่นานกลับได้ยินเสียงดังตูม ร่างของนางตกลงไปในบ่อน้ำแห่งหนึ่ง ความหนาวเหน็บแทงทะลุกระดูก นางได้สติคืนมาจากความงุนงงในทันที ว่ายน้ำหลายทีจนโผล่พ้นผิวน้ำ อาศัยแสงแดดจุดเล็กๆ ที่ส่องลงมาจากด้านบนจึงพบว่าตนเองหล่นลงมาในบ่อน้ำที่มีหน้ากว้างสามจั้งแห่งหนึ่ง รอบด้านเป็นผนังที่มีตะไคร่เขียวขึ้นเต็ม
เงยหน้าขึ้นมองไปก็เห็นว่าเพดานถ้ำนั้นสูงมากกระทั่งมองไม่เห็นปากถ้ำที่เพิ่งหล่นลงมา มีเพียงแสงแดดเป็นจุดเล็กๆ ตกกระทบบนร่างนางราวกับเป็นดวงดาว
ไม่ใช่หลุมพรางของนายพราน แต่เป็นเหวลึกที่แทบมองไม่เห็นปลายยอด
ผ่านไปครู่ใหญ่มู่หวั่นชิวจึงได้สติคืนมา นางพยายามใช้มือแหวกผืนน้ำแล้วตะโกนเสียงดังว่า “ข้ายังไม่ตาย!”
มู่หวั่นชิวพยายามว่ายกลับไปขึ้นฝั่ง มือตวัดน้ำจนเกิดเสียงดังไปทั่ว ตะไคร่น้ำริมฝั่งลื่นมาก นางลื่นล้มไปหลายครั้ง กว่าจะปีนขึ้นไปอยู่บนหินที่ค่อนข้างแห้งก้อนหนึ่งได้ในที่สุด นางพาดตัวอยู่บนนั้น ไม่ขยับเขยื้อน
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่
นิ้วมือนางเริ่มขยับ ไม่นานนางก็ค่อยๆ ปีนหินก้อนใหญ่ขึ้นมา
“พี่หลี! พี่หลี!”
“หวังชี! หวังชี!”
ยืนอยู่บนก้อนหินแล้ว มู่หวั่นชิวก็เงยหน้าตะโกนไปทางปากบ่อ เสียงนั้นดังสะท้อนไปทั่วรอบแล้วรอบเล่า
ไม่รู้ว่าตะโกนอยู่นานเท่าใด กระทั่งตะโกนจนเหนื่อยแล้ว มู่หวั่นชิวจึงหยุด นางเหม่อมองไปทางปากบ่อ พบว่าที่นั่นเงียบสนิท มีเสียงสะท้อนเสียที่ใด รอบด้านเงียบงันอย่างน่าประหลาด ทำให้คนเกิดความรู้สึกกลัวอย่างไร้ขอบเขต
มู่หวั่นชิวลูบผนังบ่อตรงหน้าไปทีละน้อย บนนั้นมีตะไคร่เกาะอยู่เต็ม ทั้งชุ่มชื้นมากจนลื่นมือ จะมีที่ให้นางวางเท้าได้อย่างไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงปากบ่อที่มองไม่เห็นปลายยอดนั่น ด้วยวรยุทธ์อันน้อยนิดที่นางฝึกมาจากอาจารย์สอนวรยุทธ์แล้ว หากคิดจะปีนกลับขึ้นไปทางเดิมก็คงไม่ต่างอะไรกับการปีนขึ้นสวรรค์
“ถึงอย่างนั้นก็อยู่รอความตายเช่นนี้ไม่ได้” พูดพึมพำกับตนเองแล้ว มู่หวั่นชิวก็มองสำรวจไปรอบด้าน
สายตาเลื่อนไปยังฝั่งตรงข้ามของบ่อ ดวงตานางพลันเปล่งประกาย ริมฝั่งตรงข้ามมีบันไดหินอยู่ ทางคดเคี้ยวนั้นยื่นยาวไปในความมืด
ที่นั่นจะมีทางออกหรือไม่
ความคิดนี้แล่นผ่าน มู่หวั่นชิวก็ผุดลุกขึ้นมา
เสื้อผ้าของนางเปียกหมดแล้ว แม้จะอยู่บนฝั่งก็ยังหนาวเข้ากระดูก มู่หวั่นชิวไม่คิดอะไรให้มากอีก นางกัดฟันแน่นแล้วกระโดดตูมลงน้ำ พยายามว่ายไปให้ถึงอีกฝั่งหนึ่ง
บนบันไดหินนั้นเป็นปากถ้ำ ไม่รู้ว่าจะทะลุไปที่ใด
แต่ไม่ว่าจะทะลุไปทางใด ขอเพียงได้ลองดูก็ยังดีกว่ามานั่งรอความตายเช่นนี้
ทำสัญลักษณ์ไว้ที่ปากถ้ำแล้ว มู่หวั่นชิวก็โค้งตัวจะเดินเข้าไป ในถ้ำสูงกว่าตัวคน แต่เป็นเพราะข้างในมืดสนิทและตนเองไม่มีกลักจุดไฟ มู่หวั่นชิวจึงแนบตัวไปกับผนังด้านหนึ่งแล้วลองเดินเข้าไป เดินไปไม่กี่ก้าวนางก็หยุด แล้วก้มลงฉีกผ้าจากกระโปรงยาวมาหนึ่งชิ้น ใช้ฟันกัดเป็นแถบยาวหลายแถบ แขวนไว้บนผนังตลอดทาง
มู่หวั่นชิวเดินไปอย่างไร้เรี่ยวแรง ตอนแรกยังหนาวจนฟันกระทบกัน แต่ยามนี้นางกลับค่อยๆ มีเหงื่อผุด พิงผนังหินที่ชื้นลื่นพลางหายใจหอบ เงยหน้าขึ้นมองความมืดที่ไร้ขอบเขตนั้นแล้วก็รู้สึกท้อแท้ นึกอยากจะกลับออกไป ด้านหลังก็เป็นความมืดอันไร้ขอบเขตเช่นกัน ลังเลสักครู่มู่หวั่นชิวจึงเดินต่อไปข้างหน้าอย่างไม่สนใจเรื่องใดอีก
ไม่รู้ว่าเดินไปนานเท่าใด นางจึงเห็นว่าที่ด้านหน้ามีแสงสว่างลอดเข้ามา มู่หวั่นชิวหัวใจเต้นแรง
มีแสงก็แสดงว่าสามารถออกไปข้างนอกได้!
ไม่รู้ว่าไปเอาเรี่ยวแรงมาจากที่ใด นางก้าวเท้ารีบเดินไปข้างหน้า วิ่งออกไปไม่กี่ก้าวก็เหมือนได้ยินเสียงคนลอดเข้ามา
ออกไปได้จริงๆ! มู่หวั่นชิวแอบคิดในใจอย่างยินดี กำลังจะก้าวเท้าไป ทันใดนั้นก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้น นางจึงหยุดฝีเท้า
อาศัยแสงสว่างที่มีมากขึ้น มู่หวั่นชิวก็สามารถมองเห็นสภาพรอบข้างได้แล้ว นางอยู่ในถ้ำที่มีความกว้างเพียงสามฉื่อกว่า ข้างหน้าราวหนึ่งฉื่อเป็นทางเลี้ยว แสงสว่างมาจากทางนั้น แสงกะพริบวูบวาบ เห็นได้ชัดว่ามีคนจุดคบไฟ
มู่หวั่นชิวลดฝีเท้าให้เบาลง แล้วค่อยๆ เดินขึ้นหน้าไปอย่างระมัดระวัง กระทั่งมาถึงตรงทางเลี้ยว นางเพิ่งเดินออกไปก็ต้องรีบหดตัวกลับมา แนบร่างติดไปกับผนังถ้ำ
ด้านในเป็นถ้ำกว้างอีกแห่งหนึ่ง คนชุดดำสองคนกำลังถือคบไฟค้นหาไปทั่ว
“ได้รับบาดเจ็บหนักออกอย่างนั้น เขาหนีไปได้ไม่ไกลแน่นอน ต้องซ่อนตัวอยู่ในเขาแห่งนี้แน่ๆ” เสียงคนผู้หนึ่งพูดขึ้น
“แปลกจริง ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ พวกเราก็ค้นจนแทบจะทั่วทั้งเขานี้แล้ว” อีกเสียงหนึ่งพูดขึ้น
“ค้นให้ละเอียด บนตัวเขาซ่อนจดหมายลับที่นายท่านส่งให้กับใต้เท้าสวีอยู่ เรื่องนี้จะผิดพลาดไม่ได้ นายท่านมีคำสั่งลับมาว่าเป็นต้องเห็นคน ตายต้องเห็นศพ!” เสียงของคนก่อนหน้าพูด
“เจ้าว่าเขาจะถูกคนช่วยไปแล้วหรือไม่ เอ๋?” เสียงนั้นชะงักไปทันใด “ข้างหน้ามีปากถ้ำ คุณชายรองตระกูลเจิงจะซ่อนอยู่ข้างในหรือไม่!”
“ดับไฟเสีย” อีกเสียงหนึ่งรีบพูดสั่ง
สิ้นเสียงพูด มู่หวั่นชิวก็รู้สึกว่าตรงหน้าพลันมืดลง จากนั้นรอบด้านก็เงียบสนิท นางได้ยินเสียงฝีเท้าคนกำลังเดินมาทางนี้อย่างชัดเจน
นั่นคือคนของอิงอ๋อง!
พวกเขากำลังค้นหาเจิงฝานซิวที่บาดเจ็บหนัก
ได้ยินคำว่า ‘คุณชายรองตระกูลเจิง’ หัวใจมู่หวั่นชิวก็ลอยสูงจนถึงคอหอย หัวใจเต้นรัว ขนาดนางซ่อนตัวอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลไป๋ พวกเขายังอยากจะมาลอบฆ่านางถึงที่บ้าน หากได้เจอกับพวกเขาที่นี่ นางจะยังมีชีวิตรอดได้อีกหรือ
แต่ว่า…พวกเขาอยู่ใกล้แค่นี้ นางจะไปซ่อนตัวที่ใดได้
“อาชิว…อาชิว…”
ขณะกำลังร้อนรน เสียงของหลีจวินก็ดังลอยมา
พอมู่หวั่นชิวหันหน้ามา นางก็เห็นว่าตรงทางเดินมีร่างสีขาวร่างหนึ่งกำลังถือคบไฟเดินเข้ามา นางรู้สึกได้ถึงบรรยากาศอันตึงเครียดที่ด้านหลัง มู่หวั่นชิวตกใจจนพูดอะไรไม่ออก นางโบกมือให้หลีจวินไม่หยุด
เพียงมองก็เห็นนางแล้ว เสียงของหลีจวินจึงยินดีเป็นพิเศษ เขารีบลอยตัวเข้ามาหา “อาชิว…”
รู้สึกว่าผนังหินที่ด้านหลังสั่นสะเทือน มู่หวั่นชิวจึงร้องอย่างตกใจ “พี่หลีระวัง!”
น่าเสียดายที่สายเกินไปแล้ว
สิ้นเสียงของนางก็ได้ยินเสียงดังครืน หินก้อนใหญ่บนหัวพากันตกลงมาราวกับแผ่นดินไหวภูเขาเคลื่อน
แย่แล้ว! มู่หวั่นชิวแอบคิดในใจ แล้วหลับตาลงทันที
พูดช้า แต่การเคลื่อนไหวกลับเร็วกว่า มู่หวั่นชิวเพิ่งจะหลับตาลง ร่างนางก็ถูกแรงหนึ่งผลักไปอีกข้าง จากนั้นก็ลอยเข้าสู่อ้อมกอดอันแข็งแรงอบอุ่น ท่ามกลางเสียงดังจนหูแทบหนวก นางรู้สึกเหมือนตนเองอยู่บนเมฆถูกคนอุ้มหลบไปทางโน้นทีทางนี้ที
มู่หวั่นชิวตกใจจนจับเสื้อคนผู้นั้นไว้แน่น ไม่กล้าลืมตา
เสียงทุกอย่างค่อยๆ หายไป…
“อาชิวไม่เป็นไรใช่หรือไม่” ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยแต่แปลกหูอยู่บ้างเหนือหัว มู่หวั่นชิวจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น
หลีจวินกำลังมองตาของนางด้วยความอบอุ่น ในดวงตาเขาเหมือนฉายความหวาดกลัวออกมา
อีกนิดเดียว เขาก็จะเสียนางไปแล้ว
“พี่หลี” มู่หวั่นชิวน้ำตาไหลพราก “ข้ายังมีชีวิตมาเห็นหน้าพี่…” มู่หวั่นชิวซบหน้าแนบอกหลีจวิน กอดเขาไว้แน่น ราวกับมีเพียงการทำเช่นนี้ นางจึงรับรู้ถึงการคงอยู่ของชีวิตได้…ตนเองยังมีชีวิตอยู่
“ไม่เป็นไรแล้ว อาชิวไม่เป็นไรแล้ว” หลีจวินแตะหลังนางปลอบประโลมเบาๆ
ผ่านไปครู่ใหญ่มู่หวั่นชิวจึงสงบสติลงได้ พบว่าตนเองกอดหลีจวินแน่น ใบหน้าก็แดงก่ำ นางจึงผลักหลีจวินออกแล้วกระโดดลงพื้น
หลีจวินขยับมือ ด้วยอยากจะกอดนางต่อไป แต่แล้วก็ค่อยๆ คลายมือลง “โชคดีที่อาชิวทิ้งสัญลักษณ์ไว้ระหว่างทาง ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่มั่นใจว่าเจ้าจะคลำทางมาจนถึงที่นี่ ต่อไปอาชิวอย่าใจกล้าทำเรื่องอย่างนี้อีกเด็ดขาด!” น้ำเสียงหวาดหวั่นฉายความเด็ดขาดรางๆ
คิดถึงความหวาดกลัวที่เกิดขึ้นในใจเมื่อครู่นี้ที่ได้ยินหวังชีบอกว่านางหายตัวไปนั้น จนถึงตอนนี้หลีจวินก็ยังคงรู้สึกหวาดหวั่นใจไม่หาย
“ข้ารู้แล้ว…” มู่หวั่นชิวเชื่อฟังราวกับนกน้อยที่คอยพึ่งพาคน
ครั้งนี้ที่ตกอยู่ในอันตรายเป็นเพราะความใจกล้าของนาง
รู้สึกว่ารอบด้านเงียบลงอย่างน่าประหลาด มู่หวั่นชิวพลันเกิดความรู้สึกขึ้นในใจ ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าในถ้ำนี้น่าจะมีคนอยู่อีกสองคน นางจึงเอ่ยปากพูดอย่างตกใจ “ในถ้ำนี้ยังมีคนอีกสองคน…”
“พวกเรารีบไปกันเถอะ!” หลีจวินดึงตัวนาง กำลังจะขยับตัวก็ได้ยินเสียงหัวเราะร่วนดังมาจากนอกถ้ำ “ย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกไม่สู้พบพานจริงๆ อิงอ๋องให้รางวัลล้านตำลึง ต้องการหัวของคุณชายหลีกับปรมาจารย์ไป๋ คุณชายหลีก็ส่งตัวเองมาถึงบ้าน วันนี้พวกเราสองพี่น้องคงรวยแล้ว”
อีกเสียงหนึ่งพูดขึ้น “ตอนนี้คิดจะหนีก็สายไปแล้ว”
สิ้นเสียงพูดก็ได้ยินเพียงเสียงดังครืน ปากถ้ำด้านหน้าถูกหินก้อนใหญ่กองหนึ่งปิดไว้ ภายในถ้ำมืดสนิทในทันที
“ว้าย!” มู่หวั่นชิวหลุดเสียงร้องตกใจ แล้วจับตัวหลีจวินไว้แน่น
หลีจวินอุ้มมู่หวั่นชิวขึ้นมา ร่างนั้นขยับกระโดดลอยตัวออกไปราวหนึ่งจั้ง เท้าเพิ่งจะแตะพื้นก็ได้ยินเสียงตรงที่ยืนเมื่อครู่มีเศษหินตกลงมา
ผ่านไปครู่ใหญ่ในถ้ำจึงเงียบเสียงลง
รออยู่นานไม่ได้ยินเสียงอะไรอีก หลีจวินถึงวางตัวมู่หวั่นชิวลงในความมืด แล้วควักกลักจุดไฟออกมา
“ปากถ้ำถูกปิดตายแล้ว!” พอมีแสงสว่าง มู่หวั่นชิวก็มองไปทางปากถ้ำ ปากถ้ำที่เดิมไม่ใหญ่อยู่แล้วยามนี้ถูกหินก้อนใหญ่กองหนึ่งปิดอุดทางแน่น เมื่อหันหน้ากลับมามองปากถ้ำที่ตนเองเดินมา ปากถ้ำตรงนั้นก็ถูกหินก้อนใหญ่กองหนึ่งอุดเอาไว้ซึ่งเกิดจากการต่อสู้ของหลีจวินกับทั้งสองคนเมื่อครู่
พวกเขาถูกขังไว้แล้ว!
“พวกเราออกไปไม่ได้แล้ว” ภายใต้แสงไฟริบหรี่ มู่หวั่นชิวมีสีหน้าซีดขาว
“ข้าจะลองดู” หลีจวินพูดพลางพามู่หวั่นชิวลอยตัวมาที่ปากถ้ำแล้วยื่นคบไฟให้นาง จากนั้นก็เดินพลังซัดฝ่ามือไปที่ปากถ้ำ
ได้ยินเพียงเสียงดังครืน ก้อนหินที่กองเต็มปากถ้ำพากันกลิ้งออกไปด้านนอก มู่หวั่นชิวถึงขั้นรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนใต้ฝ่าเท้า หัวใจนางเต้นแรง รอจนเสียงหายไปแล้ว มู่หวั่นชิวก็ยื่นหน้ามองจากทางแผ่นหลังของหลีจวิน แต่แล้วก็ต้องรู้สึกผิดหวัง
แม้หินก้อนใหญ่ที่ปากถ้ำจะถูกหลีจวินผลักไกลออกไปสามฉื่อ ทว่าทางเดินกว้างสามฉื่อกว่าซึ่งสูงกว่าตัวคนเล็กน้อยข้างนอกถูกคนทำลาย มีหินก้อนใหญ่ถล่มลงมากองเต็มไปหมด ถึงแม้หลีจวินจะมีความสามารถล้นฟ้าเพียงใด แต่หากไม่ใช้เวลาอย่างน้อยถึงแปดวันสิบวันก็คงเปิดทางเส้นนี้ไม่ได้
หากไม่มีกินไม่มีดื่ม ไม่ต้องรอให้ถึงสิบวันพวกเขาก็คงหิวตายไปแล้ว
ภายใต้ถ้ำย่อมเย็นเยือกอยู่แล้ว อีกทั้งก่อนหน้านี้นางยังแช่อยู่ในน้ำ เสื้อผ้าในตอนนี้จึงยิ่งแนบเนื้อ หนาวจนฟันกระทบกัน มู่หวั่นชิวรู้สึกว่านางคงทนได้ไม่ถึงสองวัน
อาศัยแสงไฟมองดูผนังรอบถ้ำรอบแล้วรอบเล่า มู่หวั่นชิวรู้สึกสิ้นหวังขึ้นทุกที “ข้าทำให้พี่หลีอยู่ในอันตราย” เสียงเบาหวิวแฝงความละอายใจ
“อาชิวอย่าเพิ่งสิ้นหวัง พวกเราลองหาดู อาจจะมีทางออกอื่น” น้ำเสียงหลีจวินอ่อนโยนและสงบนิ่ง เขาหันกลับไปรับคบไฟในมือมู่หวั่นชิวมา เริ่มคลำไปตามผนังหิน
หากที่นี่ยังมีทางออกอื่น เชื่อว่าคนนอกถ้ำนั้นคงพบมันแล้ว คงไม่โง่คิดว่าอุดปากถ้ำอย่างนี้แล้วจะสามารถขังพวกเขาให้ตายได้
มองดูแผ่นหลังสูงใหญ่สง่างามตรงหน้าแล้ว ชั่วครู่หนึ่งมู่หวั่นชิวรู้สึกว่าตายไปเช่นนี้ก็ไม่เลว ในชาตินี้อย่างน้อยยังมีคนที่เป็นเสมือนเทพเช่นนี้อยู่เป็นเพื่อนนางได้ เส้นทางในปรโลก นางก็ไม่ต้องก้าวข้ามสะพานไน่เหอไปเพียงคนเดียว…
คลำไปหนึ่งรอบก็ไม่เจออะไร หลีจวินจึงกลับมาที่เดิมอีกครั้ง ให้มู่หวั่นชิวยืนออกห่างแล้ว เขาก็เดินพลังซัดฝ่ามือไป เสียงดังครืนหินก้อนใหญ่ตรงปากถ้ำพลันถูกผลักกระเด็นไปไกลสามฉื่อ มู่หวั่นชิวรีบวิ่งไป ด้านหน้ายังคงมีหินก้อนใหญ่อุดไว้จนเต็ม ทางเส้นนั้นถล่มลงมา ยังจะมีทางออกเสียที่ใด
เห็นหลีจวินผ่อนฝ่ามือ และชุดขาวสะอาดของเขาเต็มไปด้วยฝุ่นดินแล้ว มู่หวั่นชิวก็กอดเขาไว้จากด้านหลัง “พี่หลี…อย่าเหนื่อยอีกเลย”
ไม่มีประโยชน์
หลีจวินร่างแข็งเกร็ง เขาหันมาอย่างช้าๆ แล้วพยักหน้าทันใด “ได้ พวกเราจุดไฟนั่งพักกันก่อน”
หาเศษไม้ที่คนก่อนหน้าเผาเหลือไว้ในถ้ำก่อกองไฟขึ้นมา หลีจวินยกหินเรียบมาก้อนหนึ่ง แล้วเรียกให้มู่หวั่นชิวมานั่ง พอจับมือนางก็ต้องตกใจ “ไยมืออาชิวเย็นอย่างนี้” พอหันหน้ามา อาศัยแสงไฟ หลีจวินจึงพบว่าเสื้อผ้าของมู่หวั่นชิวเปียกชื้น ทั้งยังถูกเกี่ยวจนขาดรุ่งริ่งแนบติดเนื้อ “อาชิวตกน้ำหรือ”
“ถ้าไม่ใช่เพราะมีสระน้ำเก่าแก่นั่น ข้าคงจะตกลงมาตายไปแล้ว” ทั้งที่อยากจะหัวเราะอย่างผ่อนคลาย แต่พอเอ่ยปาก ฟันมู่หวั่นชิวกลับกระทบกันไม่หยุด
“อาชิวรีบเปลี่ยนเสื้อก่อนเถอะ” หลีจวินพูดพลางถอดเสื้อตัวนอกยื่นให้นาง
เปลี่ยนเสื้อ?
มู่หวั่นชิวส่ายหน้าทันที ในถ้ำไม่มีที่กำบัง ต่อให้นางไม่สนใจอย่างไรก็ไม่กล้าพอจะเปลี่ยนเสื้อผ้าต่อหน้าเขาได้
เห็นนางส่ายหน้า หลีจวินก็ยัดเสื้อใส่มือนางแล้วรีบหมุนตัวไป ปากก็พูดว่า “ในถ้ำทั้งมืดทั้งหนาว ไอเย็นจะแทงทะลุกระดูกเอาได้ อาชิวรีบเปลี่ยนเถอะ”
เสื้อผ้ายังมีไออุ่นจากตัวเขาอยู่ เมื่อกุมอยู่ในมือเช่นนี้ร่างของมู่หวั่นชิวก็รู้สึกอุ่น ทำให้นางทนไม่ไหวอยากจะคลุมไว้บนตัว มองดูเสื้อผ้าเปียกชื้นบนตัวแล้ว นางก็เงยหน้าขึ้นมองแผ่นหลังสูงใหญ่ตรงหน้า ลังเลสักครู่มู่หวั่นชิวจึงเม้มริมฝีปาก ปลดกระดุมออกทีละเม็ด…
แม้จะเป็นเพียงเสื้อตัวนอก แต่หลีจวินตัวสูงกว่านางมาก เสื้อตัวใหญ่โคร่งนี้สามารถห่อตัวนางได้พอดี ใช้แถบรัดเอวรัดจนแน่นแล้ว มู่หวั่นชิวก็รู้สึกอบอุ่นไปทั้งตัว เห็นผมยังคงมีน้ำหยดอยู่จึงดึงปิ่นปักผมออก ปล่อยให้ผมดำสยายลงมาแล้วหันไปผิงไฟ จากนั้นก็พูดกับหลีจวินที่ยังคงหันหลังให้นางว่า “ข้าเปลี่ยนเสร็จแล้ว”
หลีจวินหมุนตัวมา มองเห็นมู่หวั่นชิวที่อยู่กลางแสงไฟก็รู้สึกตกใจ
ท่ามกลางแสงไฟอ่อนแรงนั้น นางอยู่ในชุดยาวสีขาว ลำคอและไหปลาร้าเผยให้เห็นอยู่รางๆ ใบหน้าขาวนวลเมื่อกระทบกับไฟก็เกิดเป็นแสงสะท้อน ดูงดงามเหนือธรรมดาราวกับเป็นนางสวรรค์ ดึงดูดจิตวิญญาณคนได้ หลีจวินจิตใจหวั่นไหว เขาถึงขั้นรู้สึกว่าบางส่วนในร่างกายเกิดความเจ็บปวดขึ้นมา
“พี่หลีเป็นอะไรหรือ” เห็นเขาตะลึงมองตนเอง มู่หวั่นชิวจึงเอ่ยปากถาม
เดินพลังภายในไปหลายรอบ หลีจวินจึงสะกดความรุ่มร้อนที่เกิดขึ้นนั้นไว้ได้ เขาเอ่ยปากถามอย่างยากลำบาก “หน้าของอาชิว…”
“หน้าของข้าเป็นอะไรหรือ” มือยกขึ้นจับแก้มในทันที มู่หวั่นชิวนึกได้ว่าก่อนหน้านี้ร่างของนางแช่อยู่ในบ่อน้ำ ยาบนใบหน้าจึงถูกชะล้างไปหมด คิดได้ว่าถูกหลีจวินเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงแล้ว นางจึงรีบเบือนหน้าหนี เพียงชั่วครู่ก็หันหน้ากลับมา สบสายตากับหลีจวินแล้วพูดว่า “ท่านป้าบอกว่าโฉมหน้าของข้าจะทำให้คนคิดไม่ดีได้ง่ายจึงต้องทาให้ดำเอาไว้” คิดถึงภาพตอนที่ส่งนางหนีออกมา หม่าจู้เอ๋อร์ก็จับดินป้ายที่ใบหน้าของนาง มู่หวั่นชิวถึงกับพ่นหัวเราะออกมา
“คิดไม่ถึงว่าที่แท้อาชิวจะสวยอย่างนี้ แม้แต่ข้าก็ยังมองจนตะลึงไปเลย”
รู้จักหลีจวินมานานถึงเพียงนี้ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาชมนางโดยไม่ปิดบังเช่นนี้ แม้ฟังแล้วชวนขนลุกอยู่บ้าง แต่มู่หวั่นชิวกลับไม่รู้สึกว่าน่ารังเกียจเท่าใด กลับรู้สึกถึงความหวานขึ้นในใจ ใบหน้าก็แดงเรื่อ นางรีบก้มหน้าลงแล้วเก็บเสื้อบนพื้นขึ้นมา
“ข้าเก็บเอง”
หลีจวินรับเสื้อไปบิดเอาน้ำออก แล้วปูไปบนก้อนหินเพื่อผิงไฟ
ทำทุกอย่างเสร็จแล้ว หลีจวินก็ดึงตัวมู่หวั่นชิวให้นั่งลงด้วยกัน “ก่อนหน้านี้คิดอยากจะพาอาชิวมาที่เขาฉี่หลิง วันนี้ในที่สุดก็สมปรารถนาแล้ว แต่น่าเสียดายที่อาชิวมองไม่เห็นทิวทัศน์ข้างนอก” ห้านิ้วกางเป็นหวี ค่อยๆ สางผมดำที่ยุ่งเหยิงของมู่หวั่นชิว หลีจวินมีสีหน้าสงบนิ่งอ่อนโยน
แม้จะต้องตาย แต่หากสามารถอยู่กับนางเช่นนี้ ได้ฝังอยู่ในที่เดียวกันก็ถือเป็นเรื่องงดงามมากแล้ว
“เขาฉี่หลิง?” มู่หวั่นชิวเงยหน้าขึ้น “พวกเราอยู่ที่เขาอวี้กวนมิใช่หรือ” นางจำได้ว่านางตกลงมาในถ้ำจากบนเขาอวี้กวน
“ทางที่พวกเราเดินนั้นอยู่กลางเขา จากระยะห่างและทิศทางน่าจะมาถึงเขาฉี่หลิงแล้ว” หลีจวินปากพูดไปพลางมือก็มวยผมของมู่หวั่นชิวไปอย่างเงอะงะ แล้วรับปิ่นในมือมู่หวั่นชิวมาปักผม จากนั้นจึงหมุนตัวมู่หวั่นชิวมามองสำรวจอย่างละเอียด ก่อนที่เขาจะรู้สึกขัดเขินอยู่บ้าง
ผมดำขลับสวยงามกลับถูกเขามวยจนดูเป็นชายก็มิใช่หญิงก็ไม่เชิงไปแล้ว “ข้ามวยผมเป็นแต่แบบบุรุษ” ในเสียงพูดแฝงความเสียใจบางๆ หลีจวินยื่นมือจะไปดึงปิ่นปักผมออก คิดอยากลองมวยผมให้นางใหม่อีกครั้ง
ช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตเขาหวังว่าจะสามารถแต่งนางให้สวยงามด้วยมือตนเองได้
“ไม่ต้องแล้ว…” มู่หวั่นชิวยื่นมือไปกดมือของเขาไว้ “เช่นนี้ก็ดีแล้ว ข้าชอบมาก…” สิบนิ้วสัมผัสกัน ร่างของคนทั้งสองก็สั่นไปพร้อมกันด้วย
สี่ตาประสานกัน ทั้งสองไม่มีใครยอมเลื่อนใบหน้าหนี หลีจวินจ้องดวงตาราวหยดน้ำของนางอย่างเงียบๆ แล้วพลิกมือมาจับมือเล็กของนางไว้ ก่อนดึงนางเข้ามาในอ้อมกอดอย่างช้าๆ
อิงแอบอยู่ในอ้อมกอดเขาอย่างสบายใจ หูก็ฟังเสียงหัวใจของเขาที่เต้นอย่างทรงพลัง แม้เป็นการนั่งรอให้ชีวิตค่อยๆ หมดลงไปอย่างเงียบๆ ทว่าจิตใจมู่หวั่นชิวกลับรู้สึกสงบเป็นพิเศษ
อิงอ๋องยังไม่ตาย แค้นของนางก็ยังไม่ได้ชำระ มาจากไปเช่นนี้ออกจะน่าเสียดายอย่างมาก แต่ว่าฟังเสียงน้ำหยดในถ้ำหินแล้ว มู่หวั่นชิวก็รู้สึกในทันใดว่าสิ่งเหล่านั้นล้วนไม่จำเป็นอีกแล้ว เพียงแค่นอนเงียบๆ อยู่ในอ้อมกอดใครคนหนึ่ง ตายไปพร้อมเขาอย่างช้าๆ สลายเป็นเถ้าถ่านอย่างช้าๆ ก็เป็นเรื่องที่งดงามมากเรื่องหนึ่งเช่นกัน…
ในชั่วขณะนั้นหัวใจพลันว่างเปล่า นางถึงขั้นลืมไปแล้วว่าในชาตินี้นางยังมีศัตรูที่เกลียดเข้ากระดูกอีกหนึ่งคน…หร่วนอวี้
ทั่วร่างอบอุ่น มู่หวั่นชิวค่อยๆ เข้าสู่ความฝัน
แต่กลับถูกเสียงไอทำให้ตกใจตื่น มู่หวั่นชิวจึงลืมตาขึ้นทันใด “พี่หลีเป็นอะไรหรือ”
“เหมือนมีควันไฟ…” หลีจวินตอบ
เหตุใดนางจึงไม่ได้กลิ่นควันไฟ
มู่หวั่นชิวขมวดคิ้ว เงยหน้าขึ้นอยากจะมองสีหน้าของหลีจวิน สายตาก็เลื่อนไปบนผนังหินด้านหลังเขา ร่างนางสั่นกระตุกไปทันใด
หลีจวินหันหน้ามาทันที แสงไฟที่เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างดึงเงาร่างของพวกเขาทอดยาวไปบนผนังหินราวกับภูตผี นอกจากนั้นแล้วก็ไม่มีอะไร เขาจึงหันหน้ากลับมาอย่างสงสัย “อาชิวเห็นอะไรหรือ”
“ตรงนี้มีภาพวาดบนผนัง!” มู่หวั่นชิวลุกพรวดขึ้นนั่ง ชี้นิ้วไปที่ผนังถ้ำ
หลีจวินมองไปตามนิ้วมือของนาง เป็นจริงตามที่พูด ท่ามกลางแสงไฟสลัวบนผนังสลักภาพเจ้าแม่กวนอินเอาไว้ บนหัวสวมมงกุฎมุก มีสร้อยหยกและพลอยพันตัว มือถือกิ่งหลิวที่ใส่อยู่ในขวดสะอาด ยืนอยู่บนฐานดอกบัวพันกลีบสีทองเปล่งประกาย ท่าทางราวกับมีชีวิต
“บนเขาฉี่หลิงมีถ้ำหินมากมาย ส่วนใหญ่ก็สลักภาพบนผนังเอาไว้เช่นนี้” หลีจวินพูดจบก็เห็นมู่หวั่นชิวลุกขึ้นเดินไปที่ผนังหิน เขาจึงก้าวเท้าเดินตามไป
“ก่อนหน้านี้ได้ยินพี่หลีพูดถึงเขาฉี่หลิงแห่งนี้ ข้าก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ” มู่หวั่นชิวยืนอยู่หน้าผนังหินแล้วพูดว่า “ตอนนี้ในที่สุดก็จำได้แล้ว ภาพบนผนังนี้ข้าเคยเห็นในตำราวิชาปรุงเครื่องหอมตระกูลเว่ย…” นางพูดพลางยื่นมือไปลูบฝักบัวก้านหนึ่งที่ยื่นออกมาจากฐานดอกบัวพันกลีบใต้เท้าเจ้าแม่กวนอิน
แม่นางเว่ยเคยทำสัญลักษณ์พิเศษไว้บนฝักบัวนี้ นางคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจมาตลอด ภาพในตำราวิชาปรุงเครื่องหอมตระกูลเว่ยร่างด้วยเส้น ดูแล้วไม่ให้ความรู้สึกพิเศษอะไร พอมาเห็นภาพสลักจริง มองดูฝักบัวก้านหนึ่งที่ยื่นออกมาจากกลางฐานบัวพันกลีบที่เบ่งบาน มู่หวั่นชิวก็คิดว่าน่าจะมีอะไรผิดปกติ แต่มองอยู่นานกลับรู้สึกว่าดูเป็นธรรมชาติ ราวกับว่ามันควรจะวางไว้ตรงนั้น
“ที่นี่ต้องมีอะไรแน่นอน” ปากพูดบ่น มือมู่หวั่นชิวก็ลูบไปบนนั้นไม่หยุด “เอ๋?” นางร้องขึ้นมาทันใด “ฝักบัวนี้ขยับได้” พอบิดนิ้วก็ได้ยินเสียงดังแกร๊ก ตัวฝักบัวก็หักลงข้างล่างในทันที
กำลังขมวดคิ้วอยู่ หางตาก็เหลือบเห็นร่างของมู่หวั่นชิวโอนเอน หลีจวินจึงจับตัวนางไว้ ปากก็ตะโกนพูด “อาชิวระวัง!”
เพิ่งสิ้นเสียงพูดก็เห็นหินก้อนใหญ่ใต้เท้าของคนทั้งสองแยกออก เผยให้เห็นปากถ้ำอันดำมืด กำลังจะเดินพลังเพื่อลอยขึ้นไปด้านบน หลีจวินก็เกิดความคิดในใจ กอดมู่หวั่นชิวแล้วพาดิ่งลงไปข้างล่างแทน
ลอยลงมาบนหญ้าแห้งกองหนึ่งเบาๆ มู่หวั่นชิวกับหลีจวินจึงเงยหน้าขึ้นพร้อมกัน ได้ยินเพียงเสียงดังครืน หินก้อนใหญ่เหนือหัวค่อยๆ ปิดเข้าหากัน ตรงหน้ามู่หวั่นชิวมืดสนิทลงทันที จึงเอ่ยปากถาม “ที่นี่คือที่ใด”
“คงจะเป็นถ้ำอีกแห่งหนึ่ง ที่นี่อาจจะมีทางออก” น้ำเสียงหลีจวินแฝงความยินดี เขาปล่อยตัวมู่หวั่นชิว แล้วยื่นมือควักกลักจุดไฟออกมา
เป็นถ้ำหินแห่งหนึ่งจริงๆ มีขนาดเล็กกว่าเมื่อครู่ครึ่งหนึ่ง รอบด้านล้วนมีกลิ่นราอับชื้น หลีจวินมือถือกลักจุดไฟเดินสำรวจไปทั่ว “ที่นี่ไม่มีคนมานานแล้ว”
“ที่นี่ยังมีเทียน…” อาศัยแสงไฟ มู่หวั่นชิวก็เหลือบเห็นว่าบนโต๊ะหินตรงหน้าวางเทียนสีแดงยาวหนึ่งฉื่อไว้สองฝั่ง
จุดเทียนแล้ว หลีจวินจึงดับไฟจากกลักจุดไฟ
พอเทียนแดงสว่าง มู่หวั่นชิวก็พบว่าบนโต๊ะนั้นวางแผ่นป้ายสีแดงไว้ชิ้นหนึ่ง นางจึงเอ่ยปากอ่านว่า “ป้ายวิญญาณปรมาจารย์ปรุงเครื่องหอมเว่ยหง”
ปรมาจารย์ปรุงเครื่องหอมเว่ยหง?
(ตอนต่อไปพบกันวันที่ 19 กุมภาพันธ์ค่ะ)
Comments
comments