ตอนที่ 1
“เงินของตระกูลเหยาเอากลับมาหมดแล้ว” มือถือกล่องไม้จันทน์แดงที่ใส่ตั๋วเงินกว่าสองล้านตำลึงเอาไว้ เสียงพูดของซุนมือไวก็สั่นเครือด้วยความตื่นเต้น เขาวางกล่องไม้ลงบนโต๊ะตรงหน้าหลีจวินด้วยมือที่สั่นเทา “ครั้งนี้โชคดีที่ได้แผนเด็ดของคุณชายหลี ข้าโตมาถึงเพียงนี้แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นเงินมากมายอย่างนี้”
“ตระกูลเหยาให้เงินสดจริงหรือ” หลีจวินรู้สึกตกใจ จากการคำนวณของเขากำลังทรัพย์ของตระกูลเหยาควรจะหมดแล้ว แผนนี้เขาก็ไม่คิดว่าโรงธูปไป่เยี่ยจะได้รับเงินสด เขาหวังจะให้ตระกูลเหยาทำสัญญาเขียนใบค้างหนี้มาก่อน รอให้ราคาจันทน์หอมกลับมาสู่สภาพเดิมค่อยให้ซุนมือไวเอาใบค้างหนี้ไปรับเงินจากร้านเหยาจี้มา
คิดไม่ถึงว่าตระกูลเหยากลับให้เงินสด
ปากพูดถาม หลีจวินก็เปิดกล่องไม้จันทน์แดง เอาตั๋วเงินออกมาดูอย่างละเอียดทีละใบ
ตนเองที่เป็นเพียงช่างย่อมไม่เคยเห็นตั๋วเงินมากมายเช่นนี้มาก่อน แต่หลีจวินซึ่งเป็นถึงบุตรชายคนโตของตระกูลดังก็ไม่เคยเห็นของเช่นนี้เหมือนกันหรือ เห็นหลีจวินทำเหมือนไม่เคยเห็นตั๋วเงินและพลิกเปิดดูทีละใบไม่จบสิ้นแล้ว ซุนมือไวก็แอบรู้สึกประหลาดใจ
หากไม่รู้มาก่อนว่าหลีจวินเป็นคนทำอะไรอย่างเปิดเผย ซุนมือไวยังสงสัยว่าเขาคิดจะฮุบเงินเหล่านี้ไว้เองแล้ว
“อีกครู่ท่านลุงเอาตั๋วเงินเหล่านี้ไปที่ร้านเต๋อเซิ่งชางสาขาย่อยเถอะ ให้เฉาหงตรวจสอบดูว่าตั๋วเงินเหล่านี้ใช่ออกมาจากตระกูลหลิ่วหรือไม่” เวลาผ่านไปนานหลีจวินจึงเอาตั๋วเงินเก็บเข้ากล่องทีละใบ ปิดฝาแล้วยื่นให้ซุนมือไว
เฉาหงเป็นหลงจู๊ใหญ่ร้านเต๋อเซิ่งชางสาขาย่อยในเมืองซั่วหยาง
เดิมทีซุนมือไวมีชาติกำเนิดเป็นช่าง ด้วยชาติกำเนิดของหลีจวินนั้นไม่จำเป็นต้องมาคลุกคลีด้วยก็ได้ แต่เพราะมู่หวั่นชิวนับถือซุนมือไวราวบิดาในไส้ เขาจึงเรียกซุนมือไวว่าท่านลุงตามนางไปด้วย รวมถึงหลี่เหล่าฮั่นอีกคน เขาจึงเคารพพวกเขาเป็นพิเศษ
“คุณชายใหญ่เรียกข้าเช่นนี้เท่ากับเป็นการฆ่าข้าแล้ว” ถึงตอนนี้ซุนมือไวยังไม่ชินกับการที่หลีจวินซึ่งเป็นเสมือนเทพมานับถือเขาอย่างนี้ ชายอกสามศอกผู้นี้ย่อมรู้สึกหน้าเสีย เขาถูมือทั้งสอง มองหลีจวินอย่างเคอะเขิน “คุณชายใหญ่เรียกชื่อข้าก็พอ”
หลีจวินยิ้มบางๆ “ท่านเป็นท่านลุงของอาชิวก็เหมือนเป็นท่านลุงของข้า” น้ำเสียงนุ่มทุ้มและเป็นมิตร ทำให้ซุนมือไวอบอุ่นใจ แอบคิดว่าด้วยชาติกำเนิดของเขา สามารถทำดีต่อทุกคนที่อยู่ข้างกายอาชิวเช่นนี้แสดงว่าเขาเก็บอาชิวมาใส่ใจจริงๆ อาชิวได้รับการทะนุถนอมจากเขาอย่างจริงใจเช่นนี้ก็คุ้มค่าแล้ว แต่น่าเสียดาย…เขาแอบถอนใจ อาชิวเป็นช่าง ไม่สามารถแต่งงานกับเขาได้
ได้ยินมาว่าหลีจวินเคยพูดเรื่องแต่งงานกับมู่หวั่นชิวไม่ใช่เพียงครั้งเดียว แต่มู่หวั่นชิวก็ไม่ได้ตอบตกลง
ซุนมือไวไม่เข้าใจว่าหลีจวินที่มีความเพียบพร้อมเช่นนี้ ไฉนมู่หวั่นชิวถึงต้องปฏิเสธด้วย ในใจเขาเหตุผลเดียวที่มีก็คือฐานะความเป็นช่างของมู่หวั่นชิวไม่เหมาะจะเป็นภรรยาเอกของหลีจวิน ดังนั้นจึงไม่ยอมตอบตกลง ในใจเขาด้วยความสามารถของมู่หวั่นชิวและสภาพการเงินตอนนี้แล้ว นางไม่จำเป็นต้องแต่งเป็นอนุภรรยาของคนอื่นเลย
ด้วยเหตุนี้ถึงแม้ใจจะเห็นความดีในตัวหลีจวินเพียงใด แต่ซุนมือไวกับแม่สั่วจื่อและซานนีเอ๋อร์ก็ล้วนไม่มีใครคิดว่าหลีจวินจะเป็นที่พึ่งพิงสุดท้ายของมู่หวั่นชิว
ในใจถอนหายใจไม่หยุด ซุนมือไวเลื่อนสายตาไปบนกล่องไม้จันทน์แดง ปากก็ถามอย่างสงสัย “คุณชายหลีสงสัยว่าเงินนี้เหยาซื่อซิงจะยืมมาจากตระกูลหลิ่วหรือ”
“แค่สินค้าของพวกเราสองชุดก็ทำให้ตระกูลเหยาสูญเงินไปเกือบสามล้านห้าแสนตำลึง ข้าลองคำนวณคร่าวๆ รวมกับเงินเหล่านี้ จันทน์หอมที่ตระกูลเหยาตุนเอาไว้อย่างน้อยต้องใช้เงินมากถึงแปดเก้าล้านหรืออาจจะถึงสิบล้านตำลึง” หลีจวินอารมณ์ดีอย่างมาก เขามองซุนมือไวด้วยรอยยิ้ม “ตามที่ท่านลุงรู้จักตระกูลเหยามา เขามีเงินมากมายอย่างนี้เชียวหรือ”
“ไม่มี” ซุนมือไวส่ายหน้าตามสัญชาตญาณ คิดอย่างจริงจัง ก่อนที่เขาจะส่ายหน้าอย่างแรง “ไม่มีแน่นอน ช่วงเวลาที่ราคาจันทน์หอมพุ่งขึ้นสูง พวกเราได้คำนวณเงินแทนตระกูลเหยาแล้ว ทรัพย์สินและกิจการทั้งหมดของตระกูลเหยา รวมแปลงวัตถุดิบที่ชานเมืองเหล่านั้นรวมกันแล้วก็แค่สองสามล้านตำลึง” เสียงพูดชะงักไปทันใด “ถ้าอย่างนั้นเขาเอาเงินมากมายมาจากที่ใด”
“ตระกูลเหยาเป็นตระกูลใหญ่ของที่นี่ จันทน์หอมที่เขารับซื้อก่อนหน้านี้ล้วนติดค้างเงินเอาไว้ นัดว่าจะจ่ายเงินในเดือนสี่ปีหน้า…” หลีจวินเคาะห้านิ้วเบาๆ บนโต๊ะ “มีจวนว่าการเจ้าเมืองรับรอง วันที่ห้าเดือนหนึ่งนั้นตระกูลเหยาใช้แปลงวัตถุดิบหนึ่งร้อยฉิ่งทางชานเมืองด้านใต้ของซั่วหยางไปค้ำประกันยืมเงินร้านแลกเงินไท่เหอสองล้านตำลึง วันที่สิบสามเดือนหนึ่งยังให้ใต้เท้าเฉียนรับรอง เขาใช้แปลงวัตถุดิบอีกแปลงมาค้ำประกัน ยืมเงินจากร้านแลกเงินหงต๋าหนึ่งล้านตำลึง ครั้งก่อนเงินที่ให้พวกเราหนึ่งล้านห้าแสนตำลึงก็ออกมาจากตระกูลหลิ่ว เดิมข้าคิดว่าหลิ่วอู่เต๋อจิ้งจอกเฒ่าตัวนั้นอย่างไรเสียก็สามารถเอาเงินออกมาได้เพียงสองล้านตำลึง ไม่คิดว่าเขากลับเอาเงินออกมาได้อีกหนึ่งล้านตำลึง…” เขาชี้ไปที่กล่องไม้จันทน์แดง “ในนี้มีแปดแสนเป็นตั๋วเงินของร้านแลกเงินอันต๋า ตระกูลหลิ่วไม่เคยใช้ตั๋วเงินจากที่นั่น ข้าสงสัยว่านอกจากตระกูลหลิ่วแล้วยังมีคนอื่นที่ร่วมมืออยู่เบื้องหลังการแย่งชิงจันทน์หอมครั้งนี้อีก!”
ยิ่งคิดก็ยิ่งสนุกเสียแล้ว
คิดถึงตระกูลหลิ่วสูญเงินไปสามล้านตำลึง แม้จะไม่ทำให้ล่มสลายในทันที แต่ก็สะเทือนไปถึงรากฐานแน่นอน น้ำเสียงหลีจวินที่พูดดูอดทนเป็นพิเศษ
ซุนมือไวดวงตาเบิกโต
“เรื่องเหล่านี้คุณชายหลีรู้มาได้อย่างไร” แม้แต่เขาที่เป็นคนในพื้นที่ยังไม่รู้เรื่องเลย ปากก็พึมพำถาม ซุนมือไวพูดกับตนเองซ้ำอีกครั้ง “มิน่าเล่าคุณชายหลีลงมือแล้วถูกเป้าทุกครั้ง ที่แท้เป็นเพราะท่านสืบเบื้องลึกของอีกฝ่ายอย่างชัดแจ้งแล้ว”
โบราณว่าไว้ รู้เรารู้เขารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง
ไม่ต้องพูดว่าหลีจวินเจ้าเล่ห์และวางแผนดี แค่เรื่องที่เขาอยู่ไกลถึงเมืองต้าเยี่ยก็ยังรู้ความเคลื่อนไหวของตระกูลเหยาอย่างชัดเจนอย่างนี้ เกรงว่าแม้แต่คนทั่วไปก็ไม่อาจเทียบได้ ใครก็ตามที่มาต่อกรกับตระกูลหลี หากไม่ล่มก็แปลกแล้ว!
คิดถึงเรื่องเหล่านี้แล้ว ซุนมือไวก็ปาดเหงื่อ แอบพูดในใจว่า…โชคดีที่เขามีความรักลึกซึ้งต่ออาชิว ไม่เช่นนั้นหากเอาโรงธูปไป่เยี่ยไปแข่งขันกับตระกูลหลี พวกข้าจะตายวันใดหรือตายอย่างไรก็ยังไม่รู้เลย
มองดูท่าทางเหม่อลอยของซุนมือไวแล้ว หลีจวินก็พูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านลุงรีบไปเถอะ จำไว้ว่าให้สำนักคุ้มภัยหงหย่วนส่งคนคุ้มกันมาเพิ่มที่นี่อีก และให้คุ้มกันท่านลุงไม่ให้ห่างกาย” หากเหยาซื่อซิงรู้ว่าเขาถูกซุนมือไวกับตนเองร่วมมือวางแผนจัดการ พูดยากว่าเขาจะไม่เป็นบ้า คิดใจร้อนกระทั่งมาขอตายพร้อมกับซุนมือไวก็ได้
คิดถึงเรื่องเหล่านี้ได้ในทันใด ซุนมือไวจึงพยักหน้าอย่างตื้นตัน “ขอบคุณคุณชายหลีที่คิดอย่างรอบคอบ” ปากพูดไป เขาก็เดินเข้ามาถือกล่องไม้จันทน์แดงเอาไว้ “ข้าจะไปร้านเต๋อเซิ่งชางสาขาย่อยเดี๋ยวนี้…” เดินไปสองก้าวเขาก็หมุนตัวกลับมา “เอาแต่ดีใจ ข้าลืมไปเลย นายท่านมีจดหมายมาให้รับเงินจากตระกูลเหยาแล้วคืนให้ท่านก่อนหนึ่งล้านหนึ่งแสนตำลึง หนึ่งล้านเป็นต้นทุน หนึ่งแสนเป็นดอกเบี้ย”
อาชิวนี่คำนวณกับข้าอย่างชัดเจนเสียจริง
ได้ฟังคำพูดนี้แล้วหลีจวินก็ขมวดคิ้ว เขาโบกมือให้ซุนมือไว “ไม่รีบร้อน เงินเหล่านี้ท่านลุงเก็บไว้ก่อนเถอะ รอไว้ใช้ซื้อร้านเหยาจี้ดีกว่า”
“ซื้อร้านเหยาจี้?” ซุนมือไวตกใจมาก เขามองหลีจวินอย่างไม่เชื่อหู “คุณชายใหญ่ไม่ต้องการร้านเหยาจี้หรือ”
สามารถฉวยโอกาสหาเงินได้เกือบสองล้านตำลึง เขาก็พอใจแทนมู่หวั่นชิวแล้ว แต่ไม่เคยกล้าคิดว่าหลังจากตระกูลเหยาล้มแล้ว โรงธูปไป่เยี่ยจะยังสามารถแบ่งผลประโยชน์ได้อีกเล็กน้อย
ไม่ใช่แบ่งเล็กน้อย แต่เป็นการกลืนทั้งหมด!
“อิงอ๋องกับตระกูลหลิ่วจับจ้องตระกูลหลีอยู่ ทรัพย์สินของตระกูลหลีจะแบ่งกระจายง่ายๆ ไม่ได้…” หลีจวินพูดจาคลุมเครือ “ช่วงเวลานี้ท่านลุงก็ให้ทุกคนในโรงธูปไป่เยี่ยเตรียมพร้อม รอรับซื้อร้านเหยาจี้เถอะ”
หากไม่มีจันทน์หอมที่มู่หวั่นชิวเลียนกลิ่นออกมา ตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าตระกูลหลีจะร้องไห้อยู่ที่ใดเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะล้มร้านเหยาจี้ได้ ผลงานนี้ย่อมต้องเป็นของนางทั้งหมด หากเป็นไปได้ เขาหวังว่าจะเอาทุกสิ่งที่งดงาม ทุกสิ่งที่นางชอบบนโลกใบนี้มาได้ เขาพร้อมจะชิงทุกอย่างกลับมามอบให้นาง ขอเพียงได้เห็นรอยยิ้มเบิกบานใจของนางทุกวันก็พอ
ตระกูลหลีไม่กล้าแบ่งกระจายทรัพย์สินง่ายๆ หรือ
ซุนมือไวกะพริบตา เช่นนั้นเพราะอะไรหลีจวินจึงยังให้นายท่านของเขายืมเงินหนึ่งล้านตำลึงมาซื้อร้านเครื่องหอมไป๋จี้โดยไม่ลังเลอีก
ต่อให้โง่เพียงใด ซุนมือไวก็เข้าใจว่าหลีจวินทำเพื่อถอยให้โรงธูปไป่เยี่ย ชายสูงวัยน้ำตาคลอโดยไม่รู้ตัว คุณชายใหญ่ตระกูลหลี…คุณชายใหญ่ตระกูลหลี…เทิดทูนนายท่านจนลอยขึ้นฟ้าแล้วจริงๆ…
คิดถึงว่าเพราะข้อจำกัดทางชาติกำเนิด มู่หวั่นชิวจึงไม่ยอมตอบตกลงแต่งกับเขา ซุนมือไวก็เกิดความเสียใจอย่างไร้สาเหตุ แอบคิดในใจว่าคุณชายใหญ่ตระกูลหลีก็นับว่าเป็นชายหนุ่มที่มีความมุ่งมั่น นายท่านได้ความรักจากเขาเช่นนี้ แม้จะเป็นเพียงอนุภรรยาก็คุ้มค่า วันใดมีโอกาสได้เจอนายท่าน ข้าต้องเกลี้ยกล่อมนางสักหน่อย
นับจากอดีตการแต่งงานล้วนเป็นคำสั่งพ่อแม่คำของแม่สื่อ จะมีคำว่าความรักได้อย่างไร มู่หวั่นชิวโชคดีเพียงใดที่ได้พบหลีจวินคนที่รักนางเข้ากระดูกเช่นนี้ ซุนมือไวเชื่อว่าหากพลาดโอกาสนี้ไปแล้ว นางจะต้องเสียใจไปชั่วชีวิตแน่นอน
แม้ว่าร้านหลีจี้จะมีสาขาย่อยในเมืองซั่วหยาง แต่หลีจวินยังชอบที่จะอยู่ในโรงธูปไป่เยี่ย ทุกวันเมื่อจัดการงานในสาขาย่อยเสร็จแล้ว เขาก็จะมาโรงธูปไป่เยี่ย ฟังซุนมือไวและครอบครัวสั่วจื่อเล่าเรื่องตอนที่มู่หวั่นชิวยังอยู่ที่เมืองซั่วหยาง ถึงตอนกลางคืนก็นอนในห้องที่มู่หวั่นชิวเคยนอน
ภายหลังเมื่อมีเงินแล้วพวกเขาก็ทำตามความต้องการของมู่หวั่นชิว ห้องของทุกคนล้วนซ่อมแซมและตกแต่งใหม่ เครื่องเรือนก็เปลี่ยนใหม่หมด มีเพียงห้องของมู่หวั่นชิวห้องเดียวที่ไม่ได้แตะต้อง การจัดแต่งยังคงเหมือนกับตอนที่นางจากไป แม่สั่วจื่อเพียงแค่ให้คนไปเก็บกวาดทุกวันเท่านั้น
นี่เป็นสิ่งที่มู่หวั่นชิวทิ้งไว้เป็นที่ระลึกให้กับชีวิตของตนเองในช่วงนั้น
ตอนนั้นพวกเขาไม่มีเงิน ผ้าห่มของมู่หวั่นชิวก็ได้แม่สั่วจื่อเอาผ้าห่มเก่าๆ ไปซักมาให้ บนนั้นมีส่วนปะมากมาย ทั้งแข็งและหนัก จะเป็นสิ่งที่ลูกหลานตระกูลดังที่คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดอย่างหลีจวินเคยใช้ได้อย่างไร
แม่สั่วจื่อรู้สึกไม่ดีจึงให้คนไปซื้อผ้าห่มผ้าไหมเย็บสามชั้นมาหนึ่งผืน ทั้งนุ่มและอบอุ่น แต่กลับถูกหลีจวินปฏิเสธ เขาเคยอยู่ในคุกมาแล้ว นับประสาอะไรกับเรื่องเหล่านี้
เขาอยากจะสัมผัสกับชีวิตที่มู่หวั่นชิวเคยอยู่ แม้ว่าหลังจากซื้อโรงธูปไป่เยี่ยไปแล้วชีวิตมู่หวั่นชิวจะดีขึ้น แต่ภายในห้องว่างเปล่าเรียบง่ายนี้ก็ยังคงเห็นได้ถึงเงาของความยากลำบากที่นางเคยได้รับมา
นางเคยลำบากอย่างนั้นมาก่อน
ลมเหนือโชยมา ค่ำคืนยาวนาน ภายใต้แสงตะเกียงโดดเดี่ยวสายตาของหลีจวินเลื่อนไปยังขวดโหลที่ถูกสั่วจื่อเรียงอย่างเป็นระเบียบอยู่บนพื้น เขายื่นมือไปหยิบขึ้นมาแล้ววางลง
โหลกระเบื้องเคลือบเหล่านี้แต่ละใบนั้นทั้งเรียบง่ายและน่าเกลียด เทียบกับขวดแก้วประณีตเหล่านั้นในห้องปรุงเครื่องหอมของนางที่ต้าเยี่ยแล้ว สิ่งเหล่านี้สามารถใช้คำว่าน่าเกลียดจนดูไม่ได้มาบรรยายได้เลย
แต่ว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่นางเคยสะสมเงินทุกอีแปะเพื่อเก็บรวบรวม ได้ยินแม่สั่วจื่อเล่าว่านางในตอนนั้นเป็นคนเก็บของเหลือที่มีชื่อบนถนนหน้าโรงธูปหลินจี้ ตลาดเครื่องหอมทุกที่พอวายแล้วนางก็จะไปเก็บวัตถุดิบและโหลกระเบื้องเคลือบที่ถูกคนทิ้งไว้หรือลืมไว้กลับมากองหนึ่ง ถูกคนกลอกตาขาวใส่และเหยียดหยาม แต่นางยังคงลุ่มหลงไม่คลาย
วันคืนนับไม่ถ้วนนางก็เหมือนเขาในตอนนี้ อยู่ในห้องอย่างโดดเดี่ยวตามลำพัง แยกและจดจำวัตถุดิบทุกชนิดอย่างขันแข็ง ฝึกแยกแยะกลิ่นทุกชนิด
คนซั่วหยางล้วนเคยอิจฉาที่ไม่ถึงหนึ่งปีนางก็สามารถเปลี่ยนจากคนโง่เรื่องการปรุงเครื่องหอมที่ดมไม่เป็นแม้แต่กลิ่นเดี่ยว กระโดดขึ้นมาเป็นอาจารย์ปรุงเครื่องหอม ขึ้นมาแทนที่อาจารย์หลิวที่มีชื่อเสียงอยู่บนถนนสายนั้น แต่ใครจะรู้บ้างว่านางเคยผ่านความลำบากและเสียหยาดเหงื่อเช่นนี้มาก่อน
ตอนนี้ทุกคนล้วนมองว่านางยืนอยู่ในจุดรุ่งเรืองอย่างสง่างาม อิจฉาความเป็นสุดยอดอัจฉริยะของนาง แต่จะมีใครรู้บ้างว่าเบื้องหลังนั้นอัจฉริยะผู้นี้ต้องทนกับสิ่งที่ทุกคนอาจทนไม่ได้มามากมายเท่าใด
นางคนเดียวเดินผ่านค่ำคืนเงียบเหงาเหล่านี้มานานเท่าใดกัน
ลูบโหลกระเบื้องที่ทั้งเรียบง่ายและน่าเกลียดแต่กลับล้างอย่างสะอาด แต่ละใบติดแผ่นป้ายไว้อย่างเรียบร้อยและเขียนชื่อวัตถุดิบเอาไว้อย่างงดงาม คิดถึงสิ่งที่แม่สั่วจื่อพูดว่านางในยามนั้นสวมเสื้อกั๊กตัวเดียวห้าหกเดือน ร้อนจนเหงื่อท่วม เพราะเสื้อหน้าร้อนยังอยู่ที่โรงจำนำ ยังไม่มีเงินไปไถ่คืนมาได้ เพียงแค่นึกถึง ความรู้สึกรักทะนุถนอมราวกับดอกไม้ถูกบีบจนสลายก็พุ่งเข้ามาในหัวใจ ดวงตาเย็นชาของหลีจวินมีน้ำรื้นขึ้นมา
…ร่างบอบบางอย่างนั้นจะทนรับการกดทับของผ้าห่มที่ทั้งหนาและแข็งเช่นนี้ได้อย่างไร หลีจวินนอนนิ่งเงียบอยู่บนเตียงดิน บนร่างเขามีผ้าห่มที่ทั้งหนาและแข็งทาบทับจนรู้สึกหายใจไม่ออก เขาถอนหายใจเอื่อย แม้เครื่องนอนจะไม่สบายเพียงใด แต่เมื่อคิดว่าผ้าห่มนี้มู่หวั่นชิวเคยห่มมาก่อน หลีจวินก็รู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก
วันเวลาที่ยากลำบากของนางเขากลับไม่เคยได้อยู่ร่วมทุกข์กับนาง แต่ตอนนี้เขาได้ลิ้มรสความขมขื่นแต่หวานชื่นนั้นแล้ว
ตรงหน้าปรากฏภาพดวงตาลึกล้ำคู่นั้นและใบหน้าใสซื่อน่ารัก แล้วความรู้สึกก็เปี่ยมล้นอยู่ในใจ ทันใดนั้นก็คิดถึงจุมพิตร้อนแรงที่เกิดโดยไม่คาดคิดก่อนที่จะมาที่นี่ วันนั้นเขาสับสน ลุ่มหลงจนยากจะหักห้ามใจได้ ในตอนนั้นเขาไม่ทันสังเกต แต่เมื่อย้อนคิดดู จุมพิตนั้นมิใช่เพียงเขาที่ครอบครองอยู่ฝ่ายเดียว ทว่านางก็ตอบสนองเขาด้วย และนางก็สับสน ลุ่มหลงเช่นเดียวกับเขา คิดถึงใบหน้าแดงเรื่อราวดอกท้อเดือนสามนั่นแล้ว มุมปากหลีจวินก็ยกโค้งมีรอยยิ้มออกมาในทันที
ในใจของนางมีความชอบเขาบ้างแล้ว เพียงแต่ตัวนางเองอาจจะยังมองไม่เห็น แต่เขาไม่กลัวหรอก เขามีความอดทนพอที่จะรอนางได้
สิบวันผ่านไปแล้ว เหยาจิ่นที่แต่งตัวอย่างงดงามในทุกวันกำลังรอให้หลีจวินมาหาที่บ้าน จากที่เคยขบกรามอย่างโมโหกลายเป็นเฝ้ารอ
ขอเพียงเขายอมมาขอร้องถึงที่บ้าน นางจะไม่ให้เขาคุกเข่าก็ได้ ขอเพียงเขายอมขอโทษนางต่อหน้าคนอื่นและสัญญาว่าจะยกนางขึ้นเป็นภรรยาเอกก็พอ
ความเกลียดนับพัน ความแค้นนับหมื่น ทั้งหมดล้วนมีต้นเหตุมาจากความรักในใจที่ตัดไม่ขาด
ทุกสิ่งที่นางทำ เพียงเพราะอยากให้เขาเป็นเหมือนชายอื่นที่วนอยู่รอบตัวนาง พูดถึงที่สุดแล้วนางก็ยังปรารถนาจะได้เป็นภรรยาเอกของเขา
แต่ว่านับจากวันนั้นที่ถูกกันไม่ให้พบ หลีจวินก็ไม่มาที่ร้านเหยาจี้อีกเลย
สิ่งนี้ทำให้ความมั่นใจของเหยาซื่อซิงหวั่นไหวไปเช่นกัน เขาเริ่มไม่สบายใจขึ้นมาทีละนิดจึงสั่งเหยาฟู่ว่า “ส่งคนไปสืบข่าวความเคลื่อนไหวที่ร้านหลีจี้สาขาย่อย”
คนที่ถูกส่งไปกลับมาอย่างรวดเร็ว “คุณชายใหญ่ตระกูลหลีกลับเมืองต้าเยี่ยไปเมื่อสามวันก่อนแล้วขอรับ แม้แต่หลีเฮ่อก็ถูกพาตัวไปด้วย ร้านหลีจี้สาขาย่อยให้เซวียหย่งดูแลชั่วคราว ป้ายรับซื้อจันทน์หอมหน้าประตูก็ปลดลงมาแล้ว”
เหยาซื่อซิงหน้าขาวซีด เขามองเหยาฟู่อย่างไม่เข้าใจ “หลีจวินกลับต้าเยี่ยแล้วหรือ เขาไม่รับซื้อจันทน์หอมแล้ว? นี่เขาคิดจะทำอะไรกันแน่”
เหยาฟู่ส่ายหน้า “บ่าวส่งคนไปสืบข่าวที่ต้าเยี่ยแล้ว นายท่านจะรออีกสักนิดหรือไม่”
การรอครั้งนี้ต้องรอนานถึงหนึ่งเดือน
หิมะบนเขาละลายแล้ว ดอกท้อบนต้นเบ่งบาน คนที่เก็บตัวมาตลอดฤดูหนาวเริ่มโผล่ออกมาราวกับหน่อไม้สด การเริ่มต้นปีที่ดีอยู่ที่ฤดูใบไม้ผลิ ผู้คนที่มีความสุขเริ่มวุ่นวายอยู่กับการทำการเกษตร ทั่วพื้นที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา
แต่ภายในโถงตระกูลเหยากลับมีไอแห่งความตายปกคลุม
“…อะไรนะ!” ได้ยินรายงานจากสายลับที่กลับมาจากต้าเยี่ยแล้ว เหยาซื่อซิงก็หน้าถอดสี “ตระกูลหลีไม่ได้รับคนงานเพิ่ม แล้วก็ไม่ได้เพิ่มเครื่องมืออะไรเลยหรือ” สองเดือนหากจะทำธูปไหว้พระสิบล้านดอกออกมาให้ทันได้นั้นต่อให้ร้านหลีจี้จะใหญ่โตเพียงใดก็ต้องเพิ่มคนงานและเพิ่มเครื่องมือบ้าง แล้วก็ต้องทำงานกันหามรุ่งหามค่ำ แต่ตอนนี้กลับไม่เพิ่มอะไรเลย เหยาซื่อซิงรู้สึกว่าสมองของเขาไม่ทำงาน เขามองเหยาฟู่อย่างงุนงง “…ตระกูลหลีคิดจะทำอะไรกันแน่”
“คิดจะขัดพระราชโองการ…คิดจะเป็นปลาตายตาข่ายขาดพร้อมกับพวกเราเป็นแน่” เหยาฟู่เสียงสั่นเครือ เขาลำดับคำพูดไม่ถูกแล้ว
“แพ้โดยมิสู้ นี่ไม่ใช่นิสัยของหลีจวิน…” เหยาซื่อซิงส่ายหน้าอย่างไม่วางใจ “เขาคิดจะบีบให้ข้าลดราคาสินะ!” ในดวงตาที่สิ้นหวังยังคงเปล่งแสงแห่งความหวังอยู่เลือนราง
ตระกูลหลีไม่มีทางไม่ทำสินค้าออกมา เขาไม่เชื่อว่าจันทน์หอมราคาสูงเทียมฟ้านี้จะถูกโยนใส่มือเขาเหยาซื่อซิงและต้องเน่าคาคลังของตระกูลเหยาไป ผ้าเหลืองอักษรดำบนพระราชโองการเขียนไว้อย่างชัดเจนแล้วว่าให้ตระกูลหลีส่งมอบธูปไหว้พระสิบล้านดอกภายในสองเดือน ตระกูลหลีจะไม่ต้องการจันทน์หอมได้อย่างไร!
อีกหนึ่งเดือนก็จะถึงกำหนดส่งมอบสินค้าแล้ว ถึงแม้จะซื้อจันทน์หอมได้ในตอนนี้ แต่ด้วยระยะทางไกลไปเมืองต้าเยี่ยรวมกับเวลาที่ต้องเร่งทำธูปออกมา ตระกูลหลีไม่มีทางส่งมอบสินค้าได้ทันเวลาแน่
เห็นได้ชัดว่าตระกูลหลีล้มเลิกการซื้อจันทน์หอมไปแล้ว!
เหยาฟู่มีความรู้สึกขึ้นมารางๆ ว่าอำนาจของตระกูลเหยาได้หายไปแล้ว ริมฝีปากนั้นขยับ เขาคิดจะพูดกล่อมสองสามประโยค แต่ประสานเข้ากับสายตาที่เต็มไปด้วยความหวังของเหยาซื่อซิงแล้วเขาก็ปิดปากลง
“เจ้าไปพบเซวียหย่งของร้านหลีจี้สาขาย่อย บอกเขาว่าพวกเรายินดีขายจันทน์หอมในราคาชั่งละสามร้อยตำลึง…” ชั่งละสามร้อยตำลึง ตระกูลเหยายังพอรักษาต้นทุนเอาไว้ได้บ้าง
เหยาฟู่รับคำแล้วเดินออกไป
ไม่เกินหนึ่งชั่วยามก็กลับมา “เซวียหย่งบอกว่าเขาตัดสินใจเองไม่ได้ ต้องไปปรึกษากับคุณชายสามที่เมืองต้าเยี่ยขอรับ”
“ที่นี่ห่างจากเมืองต้าเยี่ยเท่าใด แล้วต้องใช้เวลากี่วัน” เหยาซื่อซิงถามอย่างงุนงง
เห็นเหยาซื่อซิงเหมือนเริ่มเลอะเลือน เหยาฟู่ก็รู้สึกปวดใจ ในดวงตามีม่านน้ำปกคลุม เขาแอบหมุนตัว ไปใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาแล้วพูดเสียงเบา “ไม่นาน นายท่านรออีกนิดนะขอรับ”
ในวันนี้เหยาซื่อซิงล้มป่วยลง
เหยาจิ่นกลับนิ่งเงียบลงเป็นพิเศษ ไม่รู้ว่าฟังคำใครกล่อม นางไปขอหุ่นผ้าจากหมอผีมาสองตัว เขียนชื่อไว้บนนั้นว่าไป๋ชิวกับหลีจวิน ใช้เข็มปักบนตัวหุ่นทุกวัน บอกว่าขอเพียงนางตั้งใจปักเข็มไปจนครบสามร้อยหกสิบวัน หลีจวินกับไป๋ชิวก็จะเนื้อตัวเน่าเปื่อยจนตาย กับเรื่องนี้นางเชื่อถืออย่างมาก นางเก็บความฉุนเฉียวเอาไว้ แล้วเอาแต่สาปแช่งด้วยความศรัทธาตั้งแต่เช้าจรดเย็น
ยี่สิบวันผ่านไปอีกอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
คนมาทวงหนี้ที่หน้าประตูร้านเหยาจี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เกรงว่าเหยาซื่อซิงได้รู้แล้วอาการจะทรุดหนัก เหยาฮูหยินจึงให้คนปิดข่าวนี้เอาไว้
เช้าวันนี้เหยาซื่อซิงสะลึมสะลือตื่นขึ้นมา เขารู้สึกสดชื่นขึ้นมากจึงเอ่ยปากเรียกคน “อาฟู่ อาฟู่!…” เขาอยากรู้สถานการณ์ภายนอก
เรียกอยู่หลายครั้งไม่มีคนตอบรับ เหยาซื่อซิงจึงเกาะเตียงลงพื้นแล้วเดินโอนเอนออกไปนอกห้อง ระเบียงทางเดินไม่มีใคร เขากำลังจะตะโกนเรียกก็ได้ยินเสียงร้องไห้ดังมาจากเรือนหลังบ้าน หัวใจเขากระตุก ได้สติขึ้นมามากแล้ว ไม่รู้ว่าไปเอาเรี่ยวแรงมาจากที่ใดทำให้เขาเดินรวดเดียวไปจนถึงเรือนหลังบ้าน เห็นตรงลานบ้านมีคนมุงอยู่ ทุกคนกำลังร้องไห้ระงม เขาจึงผลักกลุ่มคนออกเดินเข้าไปดู แล้วก็ต้องเบิกตาโตอย่างตกใจ “อาฟู่!”
เห็นเหยาฟู่นอนนิ่งอยู่บนพื้น ตัวเปียกโชก ขาดใจตายไปแล้ว
“เกิดอะไรขึ้น” ย่อตัวนั่งลงดูอยู่พักใหญ่ เหยาซื่อซิงจึงเงยหน้าขึ้นถาม “พ่อบ้านเหยาตายได้อย่างไร ใครทำร้ายเขา”
ถูกข่าวร้ายกะทันหันนี้ทำให้ตกใจ ทุกคนจึงลืมเหยาซื่อซิงที่นอนป่วยอยู่บนเตียงไปเสียสนิท ตอนนี้เห็นเขาโผล่เข้ามาก็ตกใจพากันคุกเข่าลง “นายท่าน…”
“ใครทำร้ายเขา!” เห็นทุกคนเอาแต่ปิดปาก พยายามกลั้นเสียงร้องไห้ แต่กลับไม่มีใครตอบคำถามเขาสักคน เหยาซื่อซิงจึงตะคอกขึ้นมา
เหยาฟู่ติดตามข้างกายเขามาแต่เด็ก หลายสิบปีมานี้เขาเห็นเหยาฟู่เป็นเหมือนญาติ ตอนนี้เห็นอีกฝ่ายมาตายไปต่อหน้าต่อตา หัวใจเหยาซื่อซิงก็เจ็บเหมือนถูกมีดกรีด เหมือนถูกขวานจาม ทำให้ใจของเขาเยือกเย็นลงมาก
“เมื่อคืนอาฟู่ดื่มสุรามากเกินจนพลัดตกลงน้ำ…” เห็นสายตาเหยาซื่อซิงจ้องหน้าทุกคน เหยาฮูหยินจึงเอ่ยปากพูด “นายท่านกลับเข้าห้องพักผ่อนก่อนเถอะ ข้าจะให้คนไปตามคนมาบรรจุอาฟู่ลงโลง…”
“พูดเหลวไหล!” เหยาซื่อซิงเตะอ่างดินข้างกายจนพลิกคว่ำ “อาฟู่ไม่เคยดื่มสุรา!” แล้วพูดอีกว่า “คนตระกูลหลีบีบเขาใช่หรือไม่!” เสียงตะคอกนั้นทรงพลัง สะเทือนจนหูของทุกคนอื้อ
เหยาอันทรุดลงนั่งคุกเข่า “ได้ยินว่าตระกูลหลีส่งมอบสินค้าได้ตามกำหนด เมื่อคืนพ่อบ้านฟู่จึงไปกระโดดแม่น้ำขอรับ เช้าวันนี้ศพเพิ่งจะลอยขึ้นมา”
“ตระกูลหลีส่งมอบสินค้าได้ตามกำหนดหรือ” เหยาซื่อซิงร่างโอนเอน “ไม่มีจันทน์หอม พวกเขาส่งมอบสินค้าได้อย่างไร”
“ปรมาจารย์ไป๋ใช้วัตถุดิบเครื่องหอมอื่นเลียนกลิ่นจันทน์หอม ธูปของตระกูลหลีเหล่านั้นไม่ได้ใช้จันทน์หอมเลย และโรงธูปไป่เยี่ยยัง…” พูดยังไม่ทันจบก็ได้ยินเสียงดังพรวด เหยาซื่อซิงกระอักเลือดออกมา เหยาอันตกใจรีบลุกขึ้นไปประคองเขา “นายท่าน!”
“ข้าไม่ตายง่ายๆ หรอก…” เหยาซื่อซิงพูดเสียงแข็ง เสียงพรวดดังขึ้นอีก เขากระอักเลือดออกมาอีกครั้ง รู้สึกหนังตาหนักอึ้ง เหยาซื่อซิงค่อยๆ หลับตาลง หลังพิงตัวเหยาอันพลางหายใจหอบแรง
“นายท่าน!” เห็นสามีหายใจรวยริน เหยาฮูหยินก็ตะโกนเรียกอย่างน่าสงสาร
ได้ยินฮูหยินเรียก เหยาซื่อซิงจึงลืมตาขึ้น สายตาเลื่อนไปยังเหยาฟู่ที่อยู่ข้างเท้าฮูหยิน ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่าตระกูลเหยาสูญเงินไปเกือบสิบล้านตำลึงในชั่วข้ามคืนจึงรู้สึกเหมือนมีไอร้อนขยายตัวคับทรวงอก เพียงอ้าปากเลือดสดก็ไหลลงมาตามมุมปากเขาอีกครั้ง
ร่างนั้นโอนเอน ก่อนที่เหยาซื่อซิงจะคอพับล้มลงกับพื้น
โปรดติดตามตอนต่อไป……
Comments
comments